NEW ! NEW AGE PLUS+ พลังงานใหม่ พลังงานอิสระ.. GRAND NATURE ..

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Little Duck, 25 กุมภาพันธ์ 2010.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    สัมผัสวิญญาณสุนัข

    เมื่อคืนวันที่ 6 สิงหาคม 2553<O:p</O:p
    สัมผัสวิญญาณสุนัข<O:p</O:p
    ดิฉันทำสมาธิตามปกติดั่งเช่นทุกวัน <O:p></O:p
    คืนนั้นก่อนสำสมาธิมองเห็นรูปพ่อแม่ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย<O:p</O:p
    จึงลองนึกอธิษฐานดู(ไม่คิดว่าจะเป็นจริง)
    <O:p</O:p
    ดิฉันอธิษฐานว่าขอพ่อแม่ครูบาอาจารย์มาช่วยอบรมสั่งสอนธรรมะให้กับดิฉันด้วย<O:p</O:p
    พอนั่งสมาธิได้สักพัก ก็มีแสงสว่างจ้าพุ่งมาทางด้านหน้าเหนือศีรษะ<O:p</O:p
    แสงจ้ามากแม้จะหลับตาอยู่ก็ยังตาพร่า <O:p</O:p
    นึกแปลกใจเหลือประมาณว่ามันเกิดอะไรขึ้นแต่สมาธิก็ยังดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง
    <O:p</O:p
    สักครู่เมื่อแสงจ้าจางหายก็ปรากฏเป็นหน้าสุนัขมีลูกน้อยเกาะอยู่ข้างลำตัว<O:p</O:p
    เป็นสุนัขที่สำนักงานที่เพิ่งตายไปหนึ่งวัน ตอนกลางวันคุยกับแม่บ้าน<O:p</O:p
    แม่บ้านบอกว่าเห็นมันหายไปจึงตามหา พบอีกทีนอนตายอยู่ใต้บันไดทางขึ้นสำนักงาน<O:p</O:p
    พอกำหนดรู้ว่าเป็นเจ้าจ้อน (มีคนตั้งชื่อให้มันว่าจ้อน)<O:p</O:p
    ก็แผ่เมตตาแล้วอุทิศบุญกุศลให้มัน แล้วบอกให้มันไปตามแสงสว่างนำทาง
    <O:p</O:p
    สีหน้าเจ้าจ้อนแจ่มใสไม่ทุกข์ไม่โศก(เพราะมันตายท้องกลม)<O:p</O:p
    คล้ายมันจะหมดทุกข์แล้ว แล้วมันก็ไม่ได้แสดงความโกรธเคืองแต่ประการใด<O:p</O:p
    (มีคนฉีดยาคุมให้มันโดยไม่ทันรู้ว่าวันท้อง ลูกมันก็เลยตายในท้อง ออกมาได้ตัวหนึ่งแต่ตายตั้งแต่ก่อนเกิดแล้ว)
    <O:p</O:p
    มันคงจะมาลาดิฉัน ดิฉันก็เลยแผ่เมตตาให้มันไป<O:p</O:p
    แล้วบอกทางไปมันไปสู่สุขติภพ<O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 สิงหาคม 2010
  2. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    สัมผัสจิตหลวงปู่สรวง

    สัมผัสจิตหลวงปู่สรวง<O:p</O:p
    ดิฉันนั่งสมาธิต่อไปก็มีคำว่า “สรวง” ผุดรู้ขึ้น <O:p</O:p
    ในสมาธิดิฉันแปลกใจ แต่จิตก็รับรู้ได้ทันทีว่า <O:p</O:p
    โอ หลวงปู่สรวง มาโปรดดิฉัน
    <O:p</O:p
    ดิฉันกำหนดจิตกราบนมัสการท่าน ตื่นเต้นดีใจมาก<O:p</O:p
    พร่ำเรียกหาแต่ชื่อ “หลวงปู่สรวง ๆ ๆ” ด้วยความเคารพรักและศรัทธา<O:p</O:p
    “หลวงปู่สรวงมาหาหนูใช่ไหม หลวงปู่สรวง หลวงปู่...หลวงปู่”<O:p</O:p
    “หลวงปู่ขาช่วยสอนธรรมะให้หนูหน่อย หนูอยากละขันธ์ห้าได้”
    <O:p</O:p
    เร็วดังใจนึก ในจิตนึกเห็นภาพหลวงปู่สรวงนอนอยู่ข้างกองไฟ <O:p</O:p
    ที่ท่านเผาสิ่งของ (ภาพนั้นเคยเห็นในพลังจิตนี่เอง) แต่ไปปรากฏในนิมิต<O:p</O:p
    แม้จะปรากฏให้เห็นเพียงแวบเดียว แต่ธรรมะที่ได้ยิ่งใหญ่นัก<O:p</O:p
    หลวงปู่สื่อมาบอกว่าให้ละซึ่งสิ่งของทุกสิ่งทุกอย่าง<O:p</O:p
    ถ้าไม่ยึดติดในสิ่งของใด ๆ ในโลก ก็จะนำไปสู่การละซึ่งขันธ์ห้าได้เหมือนกัน
    <O:p</O:p
    นี่แหละธรรมะที่ได้จากการสัมผัสจิตหลวงปู่สรวง<O:p</O:p
    ไม่ว่าจะจริงหรือไม่ จะเป็นเทวดาเนรมิต หรือจิตปรุงแต่ง<O:p</O:p
    แต่ก็เป็นธรรมะที่ชี้ทางสว่างได้เหมือนกัน
    <O:p</O:p
    ข้าพเจ้าขอโมทนา สาธุ ในคุณความดีทั้งหมดทั้งมวลของหลวงปู่สรวง<O:p</O:p
    และขออุทิศบุญกุศลทั้งหมดทั้งมวลให้กับเพื่อนมนุษย์และสรรพสัตว์ทั้งหลาย<O:p</O:p
    ที่อาศัยอยู่ในโลกนี้ จักรวาลนี้ และอนันตจักรวาล<O:p</O:p
    ขอให้ท่านทั้งหลายจงเป็นผู้ถึงซึ่งความสุขเถิด<O:p</O:p
    <O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 สิงหาคม 2010
  3. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    ปรากฏการณ์สัมผัสห้วงอวกาศ

    ในคืนวันที่ 7 สิงหาคม 2553 เวลาประมาณ 0.45 น.<O:p</O:p
    ปรากฏการณ์สัมผัสห้วงอวกาศ<O:p</O:p
    อยากจะถามทุกท่านว่าใครได้สัมผัสห้วงอวกาศบ้าง<O:p</O:p
    ปรากฏการณ์สัมผัสห้วงอวกาศที่ว่านี้<O:p</O:p
    ดิฉันสัมผัสด้วยกายเนื้อ มีสติสมบูรณ์ทุกประการ
    <O:p</O:p
    มันวิเศษมากจนไม่อาจบรรยายถึงความวิเศษนั้นได้<O:p</O:p
    มันสวยงามยิ่งกว่าในภาพยนตร์เรื่องใด ๆ<O:p</O:p
    จะเล่าให้ฟังว่าวันนั้นตอนหัวค่ำข้าพเจ้าเดินจงกรมอยู่ที่โรงรถ<O:p</O:p
    ตอนหัวค่ำนั้นฝนเทลงมาอย่างหนัก <O:p</O:p
    และคิดว่าคืนนี้ฟ้าคงปิดเพราะฝนตกหนักขนาดนั้น เมฆคงยังไม่จางหายไปง่าย ๆ
    <O:p</O:p
    หลังจากเดินจงกรมอยู่ประมาณสองชั่วโมงครึ่งก็ขึ้นบ้าน<O:p</O:p
    สวดมนตร์แล้วปฏิบัตินั่งภาวนาสมาธิ <O:p</O:p
    พอถอยออกจากสมาธิก็ลงไปกรวดน้ำที่หน้าบ้าน<O:p</O:p
    กรวดน้ำ(ใต้หลังคาโรงรถ)เสร็จ ก็ขึ้นบ้านปิดประตูหน้าต่างเตรียมตัวนอน<O:p</O:p
    ขณะที่เอื้อมมือไปปิดหน้าต่างตาเหลือบไปเห็นดาวบนปลายฟ้าส่องแสงวับวามงามกระจ่าง
    <O:p</O:p
    แปลกใจว่าทำไมหลังฝนตกหนักอย่างนี้ ท้องฟ้าไม่น่าเปิดจนเห็นแสงดาวได้<O:p</O:p
    จึงกลับลงไปที่หน้าบ้านอีกครั้ง เดินไปบริเวณที่โล่งซึ่งเป็นสนามหญ้า<O:p</O:p
    แล้วแหงนหน้าดูฟ้าทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือค่อนไปทางเหนือ<O:p</O:p
    ทันใดนั้นก็ต้องตกตะลึงระคนตื่นเต้นระทึกใจ
    <O:p</O:p
    โอ คุณพระคุณเจ้าช่วย นี่มันอะไรกัน
    <O:p</O:p
    นั่นมันทางช้างเผือกนี่นา ท้องฟ้าใสกระจ่างมองทะลุปรุโปร่งไปถึงอวกาศ<O:p</O:p
    ดวงดาวนับล้านดวง ปรากฏอยู่ตรงหน้าดิฉันนี่เอง<O:p</O:p
    ดวงดาวนับล้านจริง ๆ เป็นกระจุกก็มี กระจายอยู่ก็มี <O:p</O:p
    เห็นชัด ๆ ว่าเป็นกลุ่มดาวในทางช้างเผือก (สัมผัสรู้ว่าเป็นทางช้างเผือก)<O:p</O:p
    เห็นหมอกที่คลุมจักรวาลอยู่เบาบาง แต่ดวงดาวและกลุ่มดาวก็ยังกระจ่างชัด (ไม่ใช่เมฆอย่างที่เห็นในโลก)
    <O:p</O:p
    แต่ที่น่าแปลกก็คือ รอบกลุ่มดาวที่เห็นเป็นวงกว้าง <O:p</O:p
    รอบนอกกลับมีดวงดาวดวงใหญ่หลายดวงเรียงเล็งมายังกลุ่มดาวในทางช้างเผือก<O:p</O:p
    ทั้งสวยงามทั้งมหัศจรรย์ ไม่แน่ใจว่าจะเป็นนิมิตอะไรหรือเปล่า
    <O:p</O:p
    ดิฉันทั้งตื่นเต้น ตื่นตาตื่นใจและตื่นตะลึง <O:p</O:p
    หมุนกายพลางแหงนหน้าดูจนทั่วท้องฟ้าเพราะนึกว่าฝันไป<O:p</O:p
    แต่ดิฉันยังไม่หลับจะฝันได้อย่างไร
    <O:p</O:p
    ดิฉันจ้องมองทางช้างเผือกและห้วงอวกาศที่ลึกล้ำสวยงามเหลือประมาณ<O:p</O:p
    ชูมือขึ้นเหมือนจะคว้าดวงดาวได้ โบกมือทักทายกล่าวคำว่าสวัสดี<O:p</O:p
    และอวยพรให้ดวงดาวในจักรวาลมีความสุขสดใสตราบนานเท่านาน<O:p</O:p
    ดิฉันจ้องมองพยายามเก็บภาพห้วงอวกาศอันลึกล้ำให้นานที่สุด
    <O:p</O:p
    แหะ ๆ แต่สู้ยุงไม่ไหว ต้องเอ่ยลาทางช้างเผือกและดวงดาวอันสุกใสนับล้านดวง<O:p</O:p
    ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าในชีวิตนี้จะได้สัมผัสห้วงอวกาศและดวงดาวนับล้านดวง<O:p</O:p
    ช่างเป็นมิติมหัศจรรย์ยิ่งนัก ขอบคุณสวรรค์ ขอบคุณรูปธรรมต่างมิติ <O:p</O:p
    ขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เปิดฟ้าให้ข้าพเจ้าได้ยลเป็นขวัญตา ชั่วชีวิตนี้คงไม่มีวันลืมเลย<O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 สิงหาคม 2010
  4. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,680
    ค่าพลัง:
    +51,926
    *** จันทร์เอ๋ย จันทร์เจ้า ****

    ดวงจันทร์...เป็นหน้าต่างของโลก
    ดวงจันทร์....อยู่เหนือโลก
    โลกุตตระ...เดินทางมาจากดวงจันทร์
    มาส่งยื่นสัจจะ....ให้ผู้หนึ่งที่จะเป็นตัวแทนศาสนา ต่อไป

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  5. สตธศร

    สตธศร Namo Amithapho

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    707
    ค่าพลัง:
    +1,537
    <object width="445" height="364">


    <embed src="http://www.youtube.com/v/SwyFPRVAZDU?fs=1&hl=en_GB&color1=0x5d1719&color2=0xcd311b&border=1" type="application/x-shockwave-flash" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true" width="445" height="364"></object>

    That a hero lies in you
     
  6. JINTAWADEE

    JINTAWADEE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,559
    ค่าพลัง:
    +4,728
    มีสิ่งหนึ่งที่ติดค้างในใจข้าพเจ้ามาตลอด เกี่ยวกับหนึ่งเดียวที่ถูกเลือก

    สัจจะคือ ความจริงตามธรรมชาติ ธรรมชาติคือ การสนับสนุนเกื้อกูลกันทางจิตวิญญาณในเชิงสร้างสรรค์

    เหตุใด จำต้องกำหนดผู้หนึ่ง ผู้ใด ทั้งที่ทั้งหมดสามารถใช้ความรู้ที่แต่ละท่านถนัดนำมาเกื้อกูล ร่วมแชร์ความรู้ นำสิ่งที่สร้างสรรค์ในเชิงบวกตามเส้นทางแต่ละสาย แต่ละสี มาบรรจบพบกันได้ ด้วยการทำงานเป็นทีม ร่วมด้วยช่วยกัน ด้วยความรัก (อันปราศจากเงื่อนไขอย่างแท้จริง)

    ข้าพเจ้าฝันถึงการทำงานด้วยกัน พร้อมกันทั้งหมด ด้วยการสนับสนุนเกื้อกูล จับมือกันไป ในยุคหน้า โดยไม่มีใครเป็นผู้นำ

    คำว่า "หนึง" ของข้าพเจ้า คือ ตัวตนรวมอันเปรียบเสมือนกระแสหลักของจิตวิญญาณ อันประกอบด้วย จิตวิญญาณต่างร่าง (ในอดีต ปัจจุบัน อนาคต) จิตวิญญาณต่างร่างแต่ร่วมวัตถุประสงค์ในปัจจุบันชาติ จิตวิญญาณเสมือนร่วมร่าง แต่ต่างมิติ

    พระจันทร์โคจรรอบโลกและดวงอาทิตย์ โลกโคจรรอบพระอาทิตย์

    พระจันทร์มองดูตัวเอง และเห็นการกระทำทั้งหมดของโลก และพระอาทิตย์ไปพร้อมกัน ในขณะที่โลกเห็นดวงจันทร์และพระอาทิตย์ และพระอาทิตย์ก็มองเห็นทั้งโลกและดวงจันทร์ (ฉันหมุนรอบเธอ เธอหมุนรอบฉัน)

    ทั้งหมดอยู่ในจักรวาล (universe) จักรวาลมองเห็นการกระทำของทุกสรรพสิ่ง โลก พระอาทิตย์ พระจันทร์มีอยู่พร้อมกันทั้งหมดเป็นปัจจุบัน เปรียบเสมือน อดีต ปัจจุบัน อนาคต เกิดขึ้นพร้อมกันทั้งหมดเป็นปัจจุบัน

    ทุกจิตวิญญาณที่ปรากฏในลักษณะของจินตภาพ (ปราศจากร่างกายตัวตน) หรือ ปรากฏทางกายภาพ ล้วนเกิดมาเพื่อสนับสนุนเกื้อกูลซึ่งกันทั้งสิ้น ไม่มีจิตวิญญาณใดที่โดดเดี่ยว หรือเป็นกระแสเดียว ดังนั้น ทุกจิตวิญญาณ มนุษย์ คน สัตว์ พืช ฯลฯ ล้วนมีคุณค่า หรือความสำคัญเท่าเทียมกันทั้งหมด

    ข้าพเจ้าปรารถนาให้เพื่อนทุก ๆคน อยู่ด้วยกัน เดินด้วยกัน ทำหน้าที่ด้วยกันโดยพร้อมเพรียงกัน และกลับบ้านพร้อมกัน ในที่สุด

    ความฝันอันสูงสุด

    ALL MY LOVE FOR U

    JINTAWADEE
     
  7. JINTAWADEE

    JINTAWADEE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,559
    ค่าพลัง:
    +4,728
    แม้ข้าพเจ้าอยากนำแต่ละคีย์มาลงใหม่อีกครั้ง แต่ภายในข้าพเจ้ากลับตอบกลับออกว่า "ไม่มีเพิ่มเติม" ซึ่งข้าพเจ้าก็มั่นใจว่า ลิตเติ้ลดั๊ก รู้คำตอบล่วงหน้าดีอยู่แล้ว เพราะคีย์หลักทุกอย่างถูกเขียนมาแล้ว ส่วนการใช้ ขึ้นอยู่กับแต่ละท่านสามารถนำไปประยุกต์ใช้ตามความถนัดของตนเองอย่างไรเพื่อบรรลุเป้าหมายที่แต่ละท่านได้เลือกมา

    คิดถึงเพื่อนทุกคน (จริง ๆ นะเนี่ย)

    จินตวดี


     
  8. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,680
    ค่าพลัง:
    +51,926
    *** โลกุตตระ ****

    คือ ผู้ที่อยู่เหนือโลก คือ พระไตรปิฎก
    เป็นตัวหนังสือ เป็นบทสวด เป็นสติธรรม
    เป็นคำสั่งสอนมาจากหลายทิศทางของพระพุทธเจ้าที่ทำแล้วทุกๆพระองค์
    คำสอนของท่าน เรียกว่า "หลักธรรมโลกุตตระ"

    โลกุตตระ เมื่อปรากฏเป็นมนุษย์ลงบนโลก
    ท่านตรงไปหาคนผู้หนึ่ง ที่พบเป็นคนแรก จึงคิดว่าจะเอาเป็นตัวแทนศาสนาสักคน
    แล้วท่านก็ดูแล้วว่าคนผู้นี้ทำได้ สามารถทำได้เยี่ยงอย่างพระพุทธเจ้าเก่าๆที่ท่านสั่งสอนไว้

    เมื่อท่านผู้นี้ทำได้จริง
    ก็ได้เป็นผู้ทำหน้าที่ สั่งสอนความหมายสัจจะธรรม โปรดด้วยสัจจะปฏิบัติ
    เช่นเดียวกับพระพุทธเจ้าเก่าๆ

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  9. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,680
    ค่าพลัง:
    +51,926
    ถึง คุณJINTAWADEE

    สัจจะ เป็นสิ่งยิ่งใหญ่ไพศาลมากกว่าที่เราคิดกัน
    เราต้องตั้งใจปฏิบัติจริงจัง เมื่อทำได้อย่างที่ตนประกาศไว้ ก็จะเห็นเองรู้เอง
    แล้ว สัจจะจะกลายเป็นสื่อกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั่วทั้งจักรวาล

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  10. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,680
    ค่าพลัง:
    +51,926
    *** พร รับสัจจะ ๑ ****

    ชีวิตของเราถูกสรุปแล้วว่า...ตัวกระทำไม่ตาย
    เราทำดีก็ไม่ตาย ทำความชั่วก็ไม่ตาย

    ในโลกนี้ มีความสำคัญที่เป็นแก่นสารมากที่สุด
    อยู่ในเยี่ยงย่างของพระพุทธเจ้า คือ สัจจะ
    สัจจะเป็นแก่นสาร นอกนั้นไม่เป็นแก่นสาร

    ที่เป็นแก่นสารนี้ หมายความว่า
    ตัวกระทำไม่ตายนี้ส่งผลให้กับคนทุกคน ในผู้ปฏิบัติทุกผู้ปฏิบัติ
    ทุกชีวิตของผู้ที่เกิดแก่เจ็บตายนั้น อยู่ในกรอบ อยู่ในระเบียบ
    อยู่ในประเพณี อยู่ในความเชื่อถือยึดถือ
    มันก็ต้องมีขอบเขต คือ สัจจะธรรม

    สัจจะธรรมนี้ จะนำให้ชีวิตเราหลุดพ้นไปจากโลกได้หรือไม่
    มันขึ้นอยู่กับตัวเรา เราจะต้องเป็นคนที่ให้คำตอบกับตัวเราเองได้
    เราพ้นจากรูปรึเปล่า พ้นจากรสหรือเปล่า กลิ่นหรือเปล่า เสียงหรือเปล่า
    การกระทำความเชื่อในเรื่องของคนอื่น เราลดเราปลดเราละได้ไหม
    อันนี้นิสัยเราจะต้องมีคำตอบ
    ตอบตัวเองว่า เราจะหลุดพ้นได้ไหมในเยี่ยงอย่างของพระพุทธเจ้า

    ถ้าเราปฏิบัติตน เราก็จะมีคำตอบ
    ถ้าเราไม่ปฏิบัติตน เราจะหาคำที่ไหนมาตอบให้แก่ตนคงจะยาก

    สัจจะ นี้มาจากโลกุตตระ
    โลกุตตระ นี้คือความหมายว่าเป็นธรรมที่หลุดพ้น คือพระไตรปิฎกนั่นเอง
    พระไตรปิฎกแผลงมาในรูปของมนุษย์เหนือโลก
    ที่ท่านอุตส่าห์พร่ำสอนตักเตือนว่า อะไรไม่เป็นแก่นสารเท่าสัจจะ
    เพราะนี่เป็นอนามัยของดวงอาทิตย์
    เพราะฉนั้น ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงเดือน ดวงดาว
    หรือว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากลโลกนี้ จะต้องสยบให้กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ คือ สัจจะ

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
    <!-- google_ad_section_end -->
     
  11. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,680
    ค่าพลัง:
    +51,926
    *** พร รับสัจจะ ๒ ****

    โลกุตตระนี้เป็นพระไตรปิฎก ท่านมาในรูปของมนุษย์เหนือโลก
    ท่านเดินมาสอน เดินมาหาคนที่เชื่อ เดินมาหาคนที่ทำความจริงได้เยี่ยงอย่างพระพุทธเจ้า
    แต่ว่ายังหาไม่ได้ อันนี้แสดงว่าโลกเราก็จะร้อนเป็นไฟ

    คนแรกที่รับอาสา ว่าจะทำเยี่ยงอย่างของพระพุทธเจ้า
    จึงตัดหมดทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่มีการไว้หน่อเนื้อเชื้อไขอะไรทั้งสิ้น
    รูป รส กลิ่น เสียง ความเชื่อถือ ความนับถือ ความเคารพรักสิ่งใดจึงต้องปลดออกหมด

    และให้สัจจะกับโลกุตตระ นับถือหลักธรรมโลกุตตระ
    ไม่ก้มหัวให้กับใครเป็นอันขาด ลัทธิต่างๆ ประเพณีต่างๆ ขนบธรรมเนียมประเพณีต่างๆ
    ไม่มีการให้อยู่เหนือศีรษะเป็นอันขาด จึงได้ทุ่มเททั้งชีวิตและจิตใจว่า
    บวชไม่สึกตลอดชีวิต ฉันหนเดียวตลอดชีวิต จะไม่นับถือผู้ใดตลอดชีวิต
    ไม่เชื่อผู้อื่นเป็นที่พึ่งตลอดชีวิต ไม่เชื่อใครเขาจะทำให้เราพ้นจากความทุกข์ได้
    ไม่เชื่อแผ่นดิน ไม่เชื่อน้ำ ไม่เชื่อลม ไม่เชื่อไฟ
    เราเชื่อหลักธรรมคำสั่งสอนของสัจจะ นำให้เราหลุดพ้นได้
    อันนี้เป็น เยี่ยงอย่างของพระพุทธเจ้าที่สำเร็จทุกองค์ไป
    แม้แต่ กุกุสันโธ โคนาคม พระกัสสปะ และพระโคดม

    ทำไป ทำไป ทำไป ก็มีสัจจะ ๑๐ ข้อ สรุปความว่า
    วันนี้ไม่เชื่อว่าผู้อื่นจะเป็นที่พึ่ง
    ไม่เห็นว่าตนดีแล้ว
    ไม่เชื่อว่าใครจะเป็นที่พึ่งของเรา เราจะเป็นที่พึ่งต่อตนเองได้เสมอไปทุกๆเรื่อง
    ไม่เชื่อว่าการกระทำของตนจะมีผลตอบแทน
    ไม่เชื่อว่าการกระทำของตนไม่ทำให้คนอื่นเขาเป็นทุกข์
    ไม่เชื่อว่าการกระทำของตนจะทำให้เราหลุดพ้นจากความจริงได้
    ไม่เชื่อว่าการกระทำของตนจะทำให้เรานี้พ้นจากความทุกข์ ความสุข
    ไม่เชื่อว่าเราจะไม่เป็นทาสผู้อื่น รู้ตัวหรือไม่รู้ตัว
    ไม่เชื่อคนอื่นเขาจะทำความดีความชั่วให้แก่เราในทางหลุดพ้นได้
    ความดีและความชั่วนี่มันเกิดจากการกระทำของเรา เราต้องกลั่นกรองด้วยตัวเองทั้งสิ้น

    เพราะฉะนั้น สัจจะทั้งหลายนี้
    คือเชื่อ ธรรมเที่ยงมีจริง ทำไม่เที่ยงมีจริง

    การกระทำทั้งหลายแหล่นี้ที่เราทำดีหรือทำชั่ว
    ทำไปโดยไม่รู้หรือทำโดยรู้ ก็เป็นตัวกระทำไม่ตายทั้งสิ้น
    อุปมาเหมือนวีดีโอ เขาบันทึกรูปกระทำของเราไว้
    เราจะไปฉายที่ไหนมันก็ทำให้ปรากฏภาพสว่างอยู่ตลอดเวลา นั่นคือเรื่องการกระทำ

    จึงเป็นประจักษ์พยานแล้วว่า ตัวกระทำไม่ตาย
    วีดีโอนี้อยู่ในวงจรปิด เขาก็ถ่ายรูปได้ เขาก็เก็บภาพได้ จะกี่ล้านปีตามก็ตัวกระทำไม่ตาย
    เพราะฉะนั้น ถ้าคนไหนทำไม่ได้ โลกเขาก็ไม่ให้เราอยู่ เขาก็ไม่ให้เรามาลอยนวลอยู่
    ถ้าใครทำไม่ได้ มันก็อยู่ไม่ได้ ถ้าใครทำได้ อันนี้ก็แคล้วคลาดไปจากอำนาจของกรรมทั้งปวง

    เพราะฉะนั้น สัจจะ ๑๐ ข้อที่มีอยู่นี้
    คือ เชื่อกรรมมีจริง เชื่อตัวกระทำไม่ตาย

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "<!-- google_ad_section_end -->
     
  12. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,680
    ค่าพลัง:
    +51,926
    *** โลกุตตระ...ให้ทำความเชื่อ ตรงความจริง ****

    เราเชื่อไหมว่า...พระพุทธเจ้ามีจริง
    เราเชื่อไหมว่า....พ่อแม่คนเรามีจริง
    เราเชื่อไหมว่า...เกิดแก่เจ็บตายมีจริง
    เราเชื่อไหมว่า....การกระทำที่เป็นกรรมทุกวันนี้ต้องเวียนว่ายตายเกิด เพราะเราได้ทำไว้
    เราเชื่อไหมว่า...คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เป็นบัญชีที่คนยังทำไม่ได้ แล้วต้องกลับมาทำใหม่

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "<!-- google_ad_section_end -->
     
  13. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,680
    ค่าพลัง:
    +51,926
    *** พระพุทธเจ้าเชื่อแล้วปฏิบัติ ****

    คนเรานี้เกิด แล้วคนเราก็ตาย เกิดตาย
    เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าเบื่อเรื่องการเกิดตาย

    โลกุตตระจึงสอนว่า
    ถ้าจะหนีเรื่องการเกิดการตายแล้ว
    ต้องทำเยี่ยงอย่างพระพุทธเจ้าเก่าๆที่ท่านสั่งสอนไว้

    โลกุตตระก็ช่วยอะไรไม่ได้มาก ท่านต้องช่วยตัวเอง
    ถ้าเชื่อแล้วปฏิบัติตนเองอยู่ในแนวทางของพุทธศาสนา เช่น กุกุสันโธเป็นต้น โกนาคมเป็นต้น
    เราก็จะสามารถหลุดพ้นไป ตามเยี่ยงอย่างในอดีต

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "<!-- google_ad_section_end -->
     
  14. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,680
    ค่าพลัง:
    +51,926
    *** ยุคที่อันตราย ****

    ทุกวันนี้...คนเราถูกแทรกความเชื่อที่ไม่ใช่ความจริงกันมาก
    เราควรที่จะพิจารณา สิ่งที่ตนเองเชื่อยึดถืออยู่ ว่ามีเหตุผลต่อเนื่องโดยตลอดหรือไม่
    เชื่อแล้วได้อะไร ทำแล้วได้อะไร ตรงตามเป้าหมายที่ต้องการหรือไม่

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  15. ศิลปินชนบท

    ศิลปินชนบท เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    773
    ค่าพลัง:
    +1,678
    อ่ะโหอะโห วันนี้ท่านหนุมานมาเป็นชุดเลยคับพี่น้องค๊าบบ กราบอนุโมทนาสาธุค่ะศิลปินชนบท มีเพลงมาฝากไว้ในอ้อมอกอ้อมใจในยามดึกสักเพลง[ame=http://www.youtube.com/watch?v=j3zg5Ahfw3g&feature=related]YouTube - ฉันจะดูแลเธอให้ดีที่สุด.wmv[/ame]
     
  16. Ryox

    Ryox Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    14
    ค่าพลัง:
    +52
    22.22 เคยหันไปเจอเลขนี้ในนาฬิกาบ่อยๆหลายๆวันโดยบังเอิญน่ะครับจะเกี่ยวกันมั้ยนี่
     
  17. ณ.

    ณ. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2006
    โพสต์:
    3,387
    ค่าพลัง:
    +9,080
    หุหุ...ฉันใดก็ฉันนั้น

    เมื่อมีเธอจึงมีฉัน มีฉันจึงมีเธอ
    หากไม่มีเธอ ฉันจึงไม่มี

    สิ่งที่อุบัติขึ้นล้วนโยงใยเป็นเครือข่าย
    มันก็เหมือนจุดหลายๆ จุดที่มาต่อกันเป็นเส้น
    เส้นหลายๆ เส้น ที่มาต่อกันเป็นรูปร่าง
    รูปร่างหลายๆ รูปร่าง ที่มาประกอบกันเป็นรูปภาพ
    รูปภาพหลายๆ รูปภาพ ที่มาร่วมกันเป็นโลก
    โลกหลายๆ โลก ที่รวมกันเป็นจักรวาล
    จักรวาลหลายๆ จักรวาล ที่เป็นอนันตจักรวาล
    เรากำลังค้นหาหรือปฏิเสธสิ่งใด
    สิ่งใดที่จะทำให้เราคลี่คลายความสงสัยลงได้

    สัตว์ทุกชนิดเกิดมาพร้อมกับความอยาก
    ไม่เว้นแม้แต่มนุษย์หรือคน ซึ่งทำทุกสิ่งเพื่อตอบสนองความอยาก
    เอากลับไปถามตัวเองดูว่าใช่หรือไม่
    เราหลายต่อหลายคนหาหนทางที่จะหยุดความอยากนั้น
    นั่นคือความอยากอีกด้าน...ใช้ให้เป็น
     
  18. where?

    where? เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    299
    ค่าพลัง:
    +883
    นิทานเมล็ดข้าว

    เราแต่ละคนจะเป็นเมล็ดข้าวชนิดไหนกันหนอ?
    เป็นเมล็ดข้าวงอกงามที่แพร่พันธ์หรือเมล็ดที่เน่าเสียใช้การไม่ได้({)

    กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ ดินแดนอันไกลโพ้นแห่งหนึ่งผืนดินปกคลุมไปด้วยนาข้าวอันอุดมสมบูรณ์ ผู้คนมีแต่ความสมบูรณ์พูนสุขเกื้อหนุนช่วยเหลือเกื้อกูลกันและกันด้วยความรักและเมตตาอันปราศจากเงื่อนไขพวกเขาได้ข่าวภัยพิบัติที่ทำลายเมืองอื่นอยู่เนืองๆ ทำให้พืชไร่เสียหายประชาชนอดอยาก พวกเขาจึงส่งพืชพันธุ์ธัญญาหารเพื่อไปช่วยเหลือระหว่างที่มีการบรรทุกสัมภาระและอาหารเพื่อไปช่วยเหลือประชากรในท้องที่เหล่านั้นเกวียนบรรทุกเมล็ดข้าวเล่มหนึ่งเดินทางผ่านดินแดนอันแห้งแล้ง ผืนดินแตกระแหงกระสอบข้าวใบหนึ่งรั่วทำให้ข้าวบางส่วนร่วงหล่นไปตามทางที่เกวียนเล่มนั้นเดินทางผ่านไปสายลมแรงพัดพาเอาเมล็ดบางส่วนไปตกลงบนกองหินที่แดดเผาบางส่วนไปตกในหนองน้ำที่แห้งปานทะเลทรายบางส่วนก็ตกลงบนดินที่แตกระแหงปราศจากร่มเงาของไม้ใหญ่

    แต่เมล็ดข้าวสีทองหยิบมือหนึ่งถูกลมหอบไปตกลงบนดินใกล้กับหินก้อนใหญ่แม้ว่าผืนดินจะแห้งแล้ง แต่เมล็ดข้าวสีทองเมล็ดหนึ่งก็กล่าวกับเมล็ดอื่นๆว่า "โชคดีจังนะที่พวกเราได้อาศัยร่มเงาจากหินก้อนนี้สักวันหนึ่งเราอาจจะงอกขึ้นเป็นต้นกล้าก็ได้แล้วเราก็จะกลายเป็นนาข้าวที่สมบูรณ์พูนสุขเหมือนกับผืนดินของบรรพบุรุษที่เราจากมา"เมล็ดข้าวสีทองเมล็ดอื่นๆได้ยินด้งนั้นก็เต็มไปด้วยความหวังพวกมันพากันขยับเข้าไปใกล้ก้อนหินเพื่ออยู่ใต้ร่มเงา และต่างพากันขอบใจก้อนหินก้อนหินก้มลงมองพวกมันแล้วก็ยิ้มอย่างภาคภูมิที่มันได้กลายเป็นก้อนหินที่มีประโยชน์ขึ้นมา

    แต่มีเมล็ดข้าวสีดำสนิทเมล็ดหนึ่งซึ่งแปลกแยกไปจากเมล็ดอื่นๆแต่เพียงเปลือกนอกมันชายตามองเมล็ดข้าวอื่นๆที่แลดูเหมือนๆกันอย่างเย่อหยิ่งแล้วมันก็ขยับตัวเข้าใกล้ก้อนหินอีกนิดเพื่อให้ได้ร่มเงาแต่มันก็ไม่นึกขอบใจก้อนหินสักเท่าไรนัก

    วันแล้ววันเล่าผ่านพ้นไปเมล็ดข้าวอื่นๆที่ตกลงบนก้อนหิน ตกลงในหนองน้ำแห้ง และกลางลานดินอันแตกระแหงก็ตกเป็นอาหารของฝูงนกฝูงการที่บินโฉบไป

    เมล็ดข้าวอีกเมล็ดหนึ่งข้างหินก้อนใหญ่ก็กล่าวขึ้นว่า "พวกเราโชคดีจังนะที่ได้อาศัยร่มเงาของก้อนหิน และได้อาศัยเป็นที่กำบังจากฝูงนก"เมล็ดข้าวเมล็ดอื่นๆได้ยินด้งนั้นก็เต็มไปด้วยความหวังต่อไป เวลาผ่านไปแต่ความแห้งแล้งก็ยังคงครอบงำดินแดนแห่งนี้และเมล็ดข้าวก็ยังไม่อาจงอกเป็นต้นกล้าได้ แต่ละเมล็ดยังคงเต็มไปด้วยความหวังความปรารถนาและศรัทธาในความเป็นไปได้ อันคาดการณ์ไม่ได้ดวงตะวันเริ่มคล้อยและก้อนหินก็ไม่อาจให้ร่มเงากับเมล็ดข้าวเหล่านี้ได้เช่นเคยแต่มันก็สงบนิ่งและส่งกำลังใจให้เมล็ดข้าวต่อไปว่า "เมื่อตะวันคล้อยต่อไปสักวันหนึ่งฉันก็จะให้ร่มเงาแก่พวกเธอได้อีก อย่าเพิ่งหมดหวังนะ"เมล็ดข้าวตระหนักในน้ำใจของก้อนหินและขอบใจที่มันได้ให้ร่มเงาแก่พวกเขามาแล้ว

    เมฆน้อยก้อนหนึ่งลอยผ่านมามันก้มลงมองดูเมล็ดข้าวที่ออกันอยู่ข้างก้อนหินและพยายามหลบจากแดดจ้าที่แผดเผาอย่างไร้ผล มันคล่อยๆเคลื่อนตัวน้อยๆของมันต่ำลงและทอดเงาลงไปบังเมล็ดข้าวกลุ่มนั้น เมล็ดข้าวเริ่มรู้สึกเย็นลงเมล็ดสีทองเมล็ดหนึ่งแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้า มันร้องขึ้นด้วยความดีใจว่า"ดูซิ!พวกเราโชคดีอีกแล้ว ที่ได้อาศัยร่มเงาจากเมฆน้อย"เมล็ดข้าวสีทองทั้งหลายเต็มไปด้วยความหวัง พวกมันขอบใจก้อนหิน และ เมฆน้อยเมล็ดข้าวสีดำชายตามอง มันขยับตัวเขาไปใต้ร่มเงาของเมฆน้อยแต่มันก็ไม่นึกขอบใจสักเท่าไรนัก

    วันแล้ววันเล่าเมฆน้อยยังคงทอดเงาให้กับเมล็ดข้าวแต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าเมล็ดข้าวจะงอกเป็นต้นกล้าได้อย่างไรนอกจากว่าพวกมันยังคงเต็มไปด้วยความหวัง ความปรารถนาและศรัทธาในความเป็นไปได้อันคาดการณ์ไม่ได้

    เมื่อเมฆก้อนใหญ่กลุ่มหนึ่งลอยผ่านมาและพบเหตุการณ์นี้เข้าพวกมันมองเห็นความเมตตาของเมฆน้อยที่พากเพียงให้ร่มเงาแก่กลุ่มเมล็ดข้าวและตระหนักในความหวัง ความปรารถนาและศรัทธาของเมล็ดข้าวมันจึงลอยตัวต่ำลงจนเป็นผืนเดียวกับเมฆน้อยเมล็ดข้าวสีทองอีกเมล็ดหนึ่งแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่มืดครึ้ม แล้วมันก็ร้องว่า "ดูซิ! พวกเราโชคดีอีกแล้วที่ได้อาศัยร่มเงาจากเมฆใหญ่"
    เมล็ดข้าวสีทองทั้งหลายเต็มไปด้วยความหวังพวกมันขอบใจก้อนหิน เมฆน้อย และ เมฆใหญ่ เมล็ดข้าวสีดำชายตามองมันขยับตัวเขาไปใต้ร่มเงาของเมฆน้อยเมฆใหญ่แต่มันก็ไม่นึกขอบใจเมฆก้อนใหญ่สักเท่าไรนัก

    คื่นที่ 1
    น้ำค้างหยดแรกพร่างพรมลงบนเมล็ดข้าวทั้งหลาย พวกมันกำลังหลับสนิทความชุ่มชื่นของน้ำค้างทำให้สติสัมปชัญญะของมันคมชัดจนกระทั่งพวกมันระลึกถึงความจำเก่าก่อนในชาติภพทั้งหลายในอดีตที่พวกมันเคยเป้นส่วนหนึ่งของรวงข้าวและนาข้าวอันอุดมที่มันจากมาทำให้พวกมันตื่นขึ้นมาด้วยความคาดหวังอันยิ่งใหญ่ เมล็ดข้าวสีทองเมล็ดหนึ่งกล่าวว่า "ฉันรอคอยวันที่พวกเราจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของนาข้าวอันอุดมอีกครั้งหนึ่ง"เมล็ดข้าวสีทองทั้งหลายเต็มไปด้วยความหวัง พวกมันขอบใจก้อนหิน เมฆน้อย เมฆใหญ่ และน้ำค้างหยดแรก


    เมล็ดข้าวสีดำชายตามอง มันขยับตัวด้วยความชุ่มชื่นของน้ำค้างแต่มันก็ไม่นึกขอบใจน้ำค้างหยดแรกสักเท่าไรนัก<O:p</O:p

    คืนที่ 2
    น้ำค้างหยดที่สอง พร่างพรมลงเมล็ดข้าวทั้งหลาย พวกมันกำลังหลับสนิทความชุ่มชื่นของน้ำค้างทำให้สติสัมปชัญญะของมันคมชัดจนกระทั่งพวกมันฝันอย่างคมชัดแลเห็นทุ่งกว้างแห่งนี้กลายเป็นนาข้าวอันอุดมทำให้พวกมันตื่นขึ้นมาด้วยความคาดหวังอันยิ่งใหญ่ เมล็ดข้าวสีทองเมล็ดหนึ่งกล่าวว่า "ฉันแลเห็นอนาคตว่า อีกไม่นานพวกเราจะทำให้ดินแดนแห่งนี้ กลายเป็นนาข้าวอันอุดม"เมล็ดข้าวสีทองทั้งหลายเต็มไปด้วยความหวัง พวกมันขอบใจก้อนหิน เมฆน้อย เมฆใหญ่น้ำค้างหยดแรก และน้ำค้างหยดที่สอง


    เมล็ดข้าวสีดำชายตามองมันดูดซับความชุ่มชื่นของน้ำค้าง แม้มันจะฝันไม่น้อยไปกว่าเมล็ดข้าวสีทองเมล็ดอื่นๆแต่มันก็ไม่นึกขอบใจน้ำค้างหยดที่สองสักเท่าไรนัก

    <O:p</O:p
    คืนที่ 3
    น้ำค้างหยดที่สาม พร่างพรมลงบนเมล็ดข้าวทั้งหลาย พวกมันกำลังหลับสนิทความชุ่มชื่นของน้ำค้างทำให้สติสัมปชัญญะของมันคมชัด จนกระทั่งพวกมันตระหนักได้ว่ามันคือจิตวิญญาณผู้มาถือกำเนิด พร้อมด้วยพลังอำนาจตามธรรมชาติอันน่ามหัศจรรย์ซึ่งจะทำให้มันเป็นเมล็ดที่สมบูรณ์และสามารถงอกเป็นต้นกลัาได้ต่อไปทำให้พวกมันตื่นขึ้นมาด้วยความคาดหวังอันยิ่งใหญ่ เมล็ดข้าวสีทองเมล็ดหนึ่งกล่าวว่า "ฉันแลเห็นอนาคตว่า พวกเราจะงอกขึ้นเป็นต้นกล้าอันสมบูรณ์"เมล็ดข้าวสีทองทั้งหลายเต็มไปด้วยความหวัง พวกมันขอบใจก้อนหิน เมฆน้อย เมฆใหญ่น้ำค้างหยดแรก น้ำค้างหยดที่สอง และน้ำค้างหยดที่สาม

    เมล็ดข้าวสีดำชายตามองมันดูดซับความชุ่มชื่นของน้ำค้างจนเมล็ดของมันพองโตไม่น้อยไปกว่าเมล็ดข้าวสีทองเมล็ดอื่นๆและเต็มไปด้วยความเป็นได้อันคาดการณ์ไม่ได้แต่มันก็ไม่นึกขอบใจน้ำค้างหยดที่สามสักเท่าไรนัก

    คืนที่ 4
    น้ำค้างหยดที่สี่ พร่างพรมลงบนเมล็ดข้าวทั้งหลาย พวกมันกำลังหลับสนิทความชุ่มชื่นของน้ำค้างทำให้สติสัมปชัญญะของมันคมชัด จนกระทั่งพวกมันตระหนักได้ถึงมรดกล้ำค่าทางกายภาพและพันธุกรรมที่มันได้รับมอบมาจากบรรพบุรุษท้้งหลายของมันมันฝันเห็นจิตวิญญาณต่างร่างแต่ร่วมมิติในอดีตและอนาคตชาติและมองเห็นแนวโน้มและความเป็นไปได้ของพวกมันมันฝันเห็นจิตวิญญาณต่างร่างแต่ร่วมวัตถุประสงค์ของมันที่กำลังงอกขึ้นเป็นต้นกล้าอยู่ณ ดินแดนอื่นๆอันชุ่มชื่นไปด้วยฝนทำให้เมล็ดของมันชุ่มชื่นพองโตไปด้วยราวกับว่าได้ฝนมันฝันเห็นจิตวิญญาณเสมือนร่วมร่างแต่ต่างมิติในอดีต-ปัจจุบัน-อนาคตชาติบนเส้นทางแห่งความเป็นได้อื่นๆที่พวกมันงอกงามขึ้นเป็นต้นกล้าในลักษณะต่างๆอันเป็นไปได้-หลากหลาย-เป็นอนันต์เมล็ดข้าวสีทองทั้งหลายเต็มไปด้วยความหวัง พวกมันขอบใจก้อนหิน เมฆน้อย เมฆใหญ่น้ำค้างหยดแรก น้ำค้างหยดที่สอง น้ำค้างหยดที่สาม และน้ำค้างหยดที่สี่

    เช้าวันรุ่งขึ้นต้นต้อยติ่งเริ่มงอกงามขึ้นมาทำให้เมล็ดข้าวสีทองบางเมล็ดเริ่มกระสับกระส่าย บางเมล็ดกล่าวว่า "ดูสิวัชชพืชพวกนี้มาแย่งความชื้นไปจากพวกเรา" แต่เมล็ดข้าวสีทองเมล็ดหนึ่งกลับกล่าวว่า "ต้นต้อยติ่งเป็นสัญญาณเตือนให้เรารู้ว่าเราจะงอกงามขึ้นเป็นต้นกล้าได้ในไม่ช้าด้วยน้ำค้างเหล่านี้"เมล็ดข้าวสีทองที่ยังไม่ไหวตัวพอที่จะดูดซับน้ำค้างกลับเริ่มไหวตัวและซึมซับน้ำค้างได้ขึ้นแม้ว่าต้นต้อยติ่งจะทำให้เมล็ดข้าวสีทองบางเมล็ดกระสับกระส่ายแต่มันก็ทำให้หลายๆเมล็ดตื่นตัวมากขึ้นกว่าเดิม

    เมล็ดข้าวสีดำชายตามองมันดูดซับความชุ่มชื่นของน้ำค้างอย่างไม่เต็มใจนัก ด้วยความคิดว่าประวัติศาสตร์และแนวโน้มของมันแตกต่างไปจากเมล็ดข้าวสีทองอื่นๆโดยสิ้นเชิงมันมองดูเพียงเปลือกนอกของมันด้วยความหยิ่งผยองและคิดว่ามันจะรอคอยวันที่ลมใต้จะพัดพามันไปสู่ดินแดนใหม่เพื่อขยายพันธุ์กลายเป็นนาข้าวที่พิเศษผิดแผกไปจากเมล็ดข้าวสีทองที่แสนจะธรรมดามันไม่นึกขอบใจน้ำค้างหยดที่สี่สักเท่าไรนัก

    คืนที่ 5
    น้ำค้างหยดที่ห้า พร่างพรมลงบนเมล็ดข้าวทั้งหลาย พวกมันกำลังหลับสนิทความชุ่มชื่นของน้ำค้างทำให้สติสัมปชัญญะของมันคมชัด จนกระทั่งพวกมันตระหนักได้ถึงอิสระแห่งความปรารถนาของแต่ละเมล็ดเมล็ดข้าวสีทองเมล็ดหนึ่งปรารถนาที่จะงอกขึ้นเป็นต้นกล้าที่ออกรวงข้าวมากมายจนลำต้นของมันน้อมลงสู่ดินเมล็ดข้าวสีทองอีกเมล็ดหนึ่งปรารถนาที่จะงอกขึ้นเป็นต้นกล้าที่ออกรวงไม่มากนักแต่เมล็ดของมันอิ่มเอิบแข็งแรงเป็นพิเศษเมล็ดข้าวสีทองอีกเมล็ดหนึ่งปรารถนาที่จะงอกขึ้นเป็นต้นกล้าที่ออกรวงไม่มากและเมล็ดน้อยเพื่อที่มันจะได้ชูช่อขึ้นสู่ฟ้ากว้างพวกมันต่างก็ตื่นขึ้นมาด้วยความคาดหวังอันยิ่งใหญ่ด้วยการตระหนักว่าเมล็ดแต่ละเมล็ดคือจิตวิญญาณที่มาถือกำเนิดพร้อมกับพลังอำนาจที่จะมีได้-ทำได้-เป็นได้สมความปรารถนาทุกประการเมล็ดข้าวสีทองทั้งหลายเต็มไปด้วยความปรารถนาอันแรงกล้า ความมุ่งมั่น และ ความหวังพวกมันขอบใจก้อนหิน เมฆน้อย เมฆใหญ่ น้ำค้างหยดแรก น้ำค้างหยดที่สองน้ำค้างหยดที่สาม น้ำค้างหยดที่สี่ และ น้ำค้างหยดที่ห้า

    เช้าวันรุ่งขึ้นต้นต้อยติ่งเริ่มออกดอกสีม่วงบานสะพรั่งทำให้เมล็ดข้าวสีทองบางเมล็ดกระสับกระส่ายยิ่งขึ้นไปอีก บางเมล็ดร้องถามว่า "ทำไม่เธอไม่ไปงอกขึ้นที่อื่นนะ" แต่เมล็ดข้าวสีทองเมล็ดหนึ่งกลับกล่าวว่า "วัชพ์ชเหล่านั้นเป็นสัญญาณเตือนให้เรารู้ว่าเราจะงอกงามขึ้นเป็นต้นกล้าได้และเต็มไปด้วยรวงข้าวได้ในที่สุด"เมล็ดข้าวสีทองที่เคยกระสับกระส่ายก็หันมาขมักเขม้นซึมซับน้ำค้างได้ดียิ่งขึ้นไปอีกและมันก็พบว่าเมล็ดของมันเริ่มงอกรากและมีแนวโน้มว่าจะแตกใบเลี้ยงในไม่ช้า

    เมล็ดข้าวสีดำชายตามองมันหยุดดูดซึมความชุ่มชื่นของน้ำค้างมันมองเห็นว่าน้ำค้างเพียงน้อยนิดเหล่านี้ไม่พอเพียงสำหรับเมล็ดสีดำที่แสนพิเศษของมันมันไม่แยแสว่าเมล็ดสีทองจะแบ่งปันน้ำค้างกับวัชชพืชเพราะความใฝ่ฝันของมันคือทุ่งนาที่มีฝนชุ่มชื่นมันรอคอยให้ลมใต้พัดพาเมล็ดที่แห้งสนิทของมันเพื่อที่มันจะได้ไปได้ไกลสมความปรารถนา มันไม่นึกขอบใจน้ำค้างหยดที่ห้าสักเท่าไรนัก

    คืนที่ 6
    น้ำค้างหยดที่หก พร่างพรมลงบนเมล็ดข้าวทั้งหลายพวกมันกำลังหลับสนิท ความชุ่มชื่นของน้ำค้างทำให้สติสัมปชัญญะของมันคมชัดจนกระทั่งพวกมันตระหนักได้ถึงการเป็นส่วนหนึ่งของภาพรวมในโลกแห่งความเป็นจริงพวกมันตระหนักได้ว่า แม้ผืนดินอันแห้งแล้งและแสงแดดที่แผดจ้าก็เป็นส่วนหนึ่งของสรรพสิ่งทั้งหลายที่ก่อให้เกิด เมฆและน้ำค้าง มันตระหนักได้ว่ามันได้รับการสนับสนุนจากแสงดาว แสงจันทร์และแม้แต่แสงแดดอันแผดจ้าและผืนดินอันเคยแตกระแหงมันเป้นเมล็ดข้าวที่เจริญงอกงามในโลกแห่งความเป็นจริงหลากมิติซึ้งสัมพันธ์กับสรรพสิ่งทั้งหลาย แม้มันจะเป็นเพียงเมล็ดที่ร่วงลงสู่ดินแต่มันก็เต็มไปด้วยความมหัศจรรย์ที่จะงอกเป็นต้นกล้าต่อไปในโลกนี้ มิตินี้และในโลกอื่น มิติอื่นๆอันหลากหลายเป็นอนันต์ แม้พวกมันจะมีความเรียบง่าย-เดินดินแต่มันก็เต็มไปด้วยความมหัศจรรย์-เหินฟ้า เมล็ดข้าวสีทองทั้งหลายเต็มไปด้วยความหวังความปรารถนาอันแรงกล้าและความศรัทธาในการเป้นส่วนหนึ่งของภาพรวมที่เกื้อกูลกันและกันทำให้พวกมันรู้สึกปลอดภัย และรู้ถึงพลังอำนาจในตนเอง แต่ถึงกระนั้นมันก็ตระหนักว่ามันเป็นไปได้ก็ด้วยการเกื้อกูลซึ่งกันและกัน พวกมันจึงขอบใจก้อนหิน เมฆน้อย เมฆใหญ่น้ำค้างหยดแรก น้ำค้างหยดที่สอง น้ำค้างหยดที่สาม น้ำค้างหยดที่สี่น้ำค้างหยดที่ห้า และน้ำค้างหยดที่หก

    เช้าวันรุ่งขึ้นต้นต้อยติ่งเริ่มออกฝักทำให้เมล็ดข้าวสีทองหายกระสับกระส่าย เพราะมันตระหนักว่า เมื่อเมล็ดต้อยติ่งแก่และน้ำค้างพร่างพรมลงมาอีก มันจะแตกตัวและเมล็ดของมันก็จะกระเด็นไปไกลไปงอกงามในถิ่นฐานอื่นๆ แต่เมล็ดข้าวสีทองเมล็ดหนึ่งกล่าวว่า "วัชพ์ชเหล่านั้นเป็นสัญญาณเตือนให้เรารู้ว่า เราจะงอกงามจนออกรวงได้ในที่สุด"เมล็ดข้าวสีทองทั้งหลายจึงเลิกกระสับกระส่ายหันมาขมักเขม้นซึมซับน้ำค้างได้ดียิ่งขึ้นไปอีก และมันก็พบว่าเมล็ดของมันเริ่มงอกรากและแตกใบเลี้ยงไปตามๆกัน

    เมล็ดข้าวสีดำชายตามองมันปฏิเสธน้ำค้าง จนเมล็ดของมันแห้งสนิท มันเต็มไปด้วยความตื่นเต้นด้วยความฝันว่าทุ่งนาแห่งใหม่ของมันจะเป็นดินแดนที่เต็มไปด้วยฝนชุ่มฉ่ำและแสงแดดแผดจ้ามันไม่จำเป็นจะต้องคอยน้ำค้างทีละหยดเพื่อจะงอกเป็นต้นกลัามันจึงไม่นึกขอบใจน้ำค้างหยดที่หกสักเท่าไรนัก

    คืนที่ 7
    น้ำค้างหยดที่เจ็ด พร่างพรมลงบนเมล็ดข้าวทั้งหลาย พวกมันกำลังหลับสนิทความชุ่มชื่นของน้ำค้างทำให้สติสัมปชัญญะของมันคมชัด จนกระทั่งพวกมันตระหนักได้ว่าแม้ว่าแสงแดดอาจจะแผดเผาเมล็ดอื่นๆบนกองหินหรือหนองน้ำแห้งจนเมล็ดเหล่านั้นไม่มีโอกาสได้งอกงามและบางเมล็ดก็กลายเป็นอาหารของนกกาไปแต่จิตวิญญาณของพวกมันก็ดำเนินต่อไปอย่างเป็นอมตะด้วยความปรารถนาอันไม่มีวันจบสิ้นเมล็ดที่ยังไม่ได้งอกขึ้นเป็นต้นกล้าในชาติภพนี้ยังคงปรารถนที่จะได้เผชิญกับประสบการณ์อันท้าทายต่อไปในรูปแบบที่มันเลือกมันจะเลือกไปถือกำเนิดในสภาพแวดล้อมต่างๆที่เอื้ออำนวยต่อการเรียนรู้ที่จะทำให้มันเปลี่ยนความเชื่อจากมุมมองจำเพาะหนึ่งๆให้กลายเป็นความรู้ไม่ว่ามันจะงอกขึ้นเป็นต้นกล้าได้สำเร็จหรือไม่ในโลกใด มิติใดในเส้นทางแห่งความเป็นไปได้เส้นใด มันก็ไม่เคยเผชิญกับความล้มเหลวเพราะชีวิตทุกชาติภพ ทุกมิติ ทุกเส้นทางแเห่งความเป็นไปได้ล้วนเป็นโอกาสอันแตกต่างกัน ที่มันเองเป็นผู้เลือกเพื่อเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์และเรียนรูุ้ถึงคุณค่าของชีวิตด้วยการใช้เอกลักษณ์ของมันในทิศทางจำเพาะและมุมมองจำเพาะนั้นๆอย่างดีที่สุด

    เมล็ดข้าวสีทองทั้งหลายเต็มไปด้วยความรักที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปทั้งในชาติภพนี้มิติน้ี และชาติภพหน้า มิติหน้า ด้วยความมุ่งมั่น และ ความหวัง พวกมันตระหนักว่าจิตวิญญาณของมันเป็นอมตะ และมันจะต้องเผชิญกับความท้าทายใฝ่รู้และความสนเท่ห็ในชีวิตต่่อไปอีกจนกว่าบทเรียนของมันจะสมบูรณ์และช่องว่างแห่งประสบการณ์ของมันจะเติมเต็มจนพอเพียง เมล็ดข้าวสีทองตื่นขึ้นมาพบว่ารากของมันก็งอกลงสู่ดินและยอดของมันก็แตกใบขึ้นสู่ฟ้าได้อย่างเป็นธรรมชาติพวกมันงอกงามร่วมกันอย่างร่าเริง พวกมันขอบใจก้อนหิน เมฆน้อย เมฆใหญ่ น้ำค้างหยดแรกน้ำค้างหยดที่สอง น้ำค้างหยดที่สาม น้ำค้างหยดที่สี่ น้ำค้างหยดที่ห้าน้ำค้างหยดที่หก และน้ำค้างหยดที่เจ็ด

    เมล็ดข้าวสีดำชายตามองมันพร้อมแล้วที่จะให้ลมใต้พัดพามันไปสู่ดินแดนในฝันอันกว้างไกลมันปรารถนาจะเป็นข้าวพันธุ์ใหม่ที่ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใครมันไม่แยแสเมล็ดข้าวสีทองที่พอใจกับการเริ่มงอกเป็นต้นกล้า ต้นเล็กต้นน้อยมันไม่แยแสน้ำค้างหยดที่เจ็ดสักเท่าไรนัก

    ใกล้รุ่ง ลมใตัพัดกระหน่ำแต่เมล็ดสีทองทั้งหลายก็หลับสนืทด้วยความเชื่อมั่นว่าก้อนหินและผืนดินจะปกปักรักษาและคุ้มครองพวกมันแสงเดือนครอบคลุมพวกมันเสมือนผ้าห่มที่ห่อหุ้มและถนอมพวกมันไว้จนกว่าจะถึงเวลางอกงามเมื่อตะวันมาเยือนขอบฟ้า ดวงดาวจะกะพริบให้กำลังใจว่าวันใหม่ของพวกมันจะรุ่งเรือง และพวกมันก็จะเจริญงอกงามต่อไปแต่เมล็ดข้าวสีดำกลับนอนไม่หลับมันจินตนาการถึงทุ่งนาข้าวกว้างใหญ่ไพศาลที่มันจะกลายเป็นเมล็ดข้าวพันธุ์ใหม่ที่ไม่มีใครเสมอเหมือน ความฝันของเมล็ดข้าวสีทองทั้งหลายดูจิบจ้อย มันจะแปลกอะไรเมล็ดข้าวสีทองก็ยังคงเป็นแค่เมล็ดข้าวสีทองที่แสนจะธรรมดาและดูเหมือนๆกันไปหมดและไร้ความสำคัญ

    ในคืนนั้นเอง ลมใต้ก็หอบเมล็ดข้าวสีดำไป ตามเจตนาความเชื่อและความปรารถนาอย่างแรงกล้าของมัน และมันก็ไปตกลงบนพื้นดิน ณถิ่นฐานที่ไม่ไกลนักแต่มันก็ไม่รู้ไม่เห็นเมล็ดข้าวสีทองทั้งหลายที่กำลังนอนหลับและฝันกันอย่างสนุกสนานและมันก็คิดว่า "ความฝันของเมล็ดข้าวสีทองเหล่านั้นช่างน่าขันเสียจริงมันไม่ยิ่งใหญ่เหมือนความฝันของฉันหรอก"

    คืนที่ 8
    น้ำค้างหยดที่แปดพร่างพรมลงบนเมล็ดข้าวทั้งหลาย พวกมันกำลังหลับสนิทความชุ่มชื่นของน้ำค้างทำให้สติสัมปชัญญะของมันคมชัด จนกระทั่งพวกมันตระหนักได้ว่าจิตวิญญาณของมันมีชีวิตอยู่-เป็นอยู่-ดำเนินไปในโลกแห่งความเป็นจริงหลากมิติ-โลกอืนๆ-ในสภาวะอื่นๆอย่างเป็นอนันต์ ความเป็นไปทั้งหลายของเมล็ดแต่ละเมล็ดในแต่ละชาติภพ ในแต่ละโลกในแต่ละมิติ ตลอดจนความเป็นไปของมันในโลกอื่น มิติอื่น ล้วนส่งผลกระทบกันหมดมันไม่ได้เป็นเมล็ดอันโดดเดี่ยวแต่ละเมล็ดที่จะงอกขึ้นเป็นต้นกล้าเพียงต้นเดียวในโลกนี้ มิติน้ี หากแต่ว่ามันกำล้งเป็นเมล็ดที่ได้งอกเป็นต้นกล้าและขยายพืชพันธุ์อย่างกว้างขวางแล้วในอดีตและ อนาคต และความเป็นไปทั้งหลายก็กำลังมีการถ่ายทอดแลกเปลี่ยนและสนับสนุนมันอยู่ ณปัจจุบันนี้ พวกมันตื่นขึ้นมาด้วยความสุขสมบูรณ์ตระหนักในความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันและยอดใบของมันก็เจริญงอกงามยิ่งขึ้นไปอีก

    เมล็ดข้าวสีทองทั้งหลายเต็มไปด้วยเจตนาความเชื่อมั่นและความปรารถนาอย่างแรงกล้ามันมองเห็นต้นต้อยติ่งที่มีเมล็ดเต็มต้นดีดตัวออกไปและกระจายพันธุ์กว้างไกลเมล็ดข้าวสีทองแตกยอดแตกใบต่อไปอย่างต่อเนื่อง พวกมันเต็มไปด้วยความร่าเริ่งและตระหนักว่าความฝันของพวกมันกลายเป็นความเป้นจริง พวกมันขอบใจก้อนหิน เมฆน้อยเมฆใหญ่ น้ำค้างหยดแรก น้ำค้างหยดที่สอง น้ำค้างหยดที่สาม น้ำค้างหยดที่สี่น้ำค้างหยดที่ห้า น้ำค้างหยดที่หก น้ำค้างหยดที่เจ็ดและน้ำค้างหยดที่แปด

    ในที่สุดเมล็ดข้าวสีทองก็งอกงามเป็นต้นกล้าที่เต็มไปด้วยแนวโน้มและความเป็นได้ตามเจตนา ความเชื่อและความปรารถนาอย่างแรงกล้าของแต่ละเมล็ด มันงอกงามร่วมกันและทำให้ผืนดินปกคลุมไปด้วยสีเขียว ต้นต้อยติ่งก็งอกงามปะปันไปกับต้นข้าวผืนดินชุ่มชิ้นขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุด ฝนก็ตกแล้วตกอีก ต้นข้าวมากมายออกรวงสีทองและเต็มไปด้วยต้นข้าวที่บ้างก็มีรวงข้าวที่แน่นจนยอดของมันโน้มลงสู่ดินบ้างก็ชูยอดสูงสู่ฟ้า บ้างก็มีเมล็ดที่สมบูรณ์เป็นพิเศษพวกมันมีความสุขและอกงามร่วมกันอย่างร่าเริง พวกมันขอบใจก้อนหิน เมฆน้อย เมฆใหญ่น้ำค้างหยดแรก น้ำค้างหยดที่สอง น้ำค้างหยดที่สาม น้ำค้างหยดที่สี่น้ำค้างหยดที่ห้า น้ำค้างหยดที่หก น้ำค้างหยดที่เจ็ด และ น้ำค้างหยดที่แปดแต่แล้วต้นข้าวตันหนึ่งก็ร้องถามว่า "เอ! ใครเห็นต้นต้อยติ่งบ้างไหม?" แม้ต้นต้อยติ่งจะยังคงแตกเป็นต้นใหม่ต่อไป ออกดอกสีม่วงสะพรั่งมีเมล็ดและขยายพันธุ์ต่อไปอย่างไม่หยุดยั้งแต่ต้นข้าวก็งอกเลยสูงขึ้นไปจนมองไม่เห็นต้นต้อยติ่ง แล้วต้นข้าวตันหนึ่งก็ร้องว่า "เอ! ใครเห็นต้นข้าวที่มีเมล็ดสีดำบ้างไหม?" มีต้นข้าวที่มีเมล็ดสีดำปนเปอยู่บ้างไม่มากก็น้อยแต่มันก็ล้วนมีแนวโน้มและความเป็นไปได้ในทิศทางอันเป็นเอกลักษณ์ไม่ได้มากหรือน้อยไปกว่าเมล็ดข้าวสีทองที่ดูเสมือนว่ามีอยู่อย่างดาดดื่นมันอาศัยผืนดินเดียวกัน อุ้มความชุ่มชื้นให้กับผืนดินร่วมกันและสร้างวงจรที่ทำให้ฝนตกต่อไป

    ทุ่งกว้างที่เคยแห้งแล้งกลับกลายเป็นนาข้าวอันอุดมสมบูรณ์เมล็ดข้าวสีทองในรวงข้าวหลับ และฝันว่ามันเคยเป็นเมล็ดที่งอกงามในทุ่งนาอื่นๆมาแล้วมันเดินทางไปกับเกวียนสัมภาระ มันร่วงหล่นจากกระสอบข้าว มันเคยเผชิญกับความแห้งแล้งมันตื่นขึ้นและชื่นชมกับความชุ่มชื่น มันขอบคุณผืนดิน แดดจ้า มันขอบใจก้อนหินเมฆน้อย เมฆใหญ่ น้ำค้างหยดแรก น้ำค้างหยดที่สอง น้ำค้างหยดที่สาม น้ำค้างหยดที่สี่น้ำค้างหยดที่ห้า น้ำค้างหยดที่หก น้ำค้างหยดที่เจ็ด น้ำค้างหยดที่แปดที่มันจดจำได้เลือนรางเสมือนความฝัน

    ห่างไกลออกไปเมล็ดข้าวสีดำเริ่มงอกรากและแตกใบเลี้ยง มันพอใจกับใบเลี้ยงของมันมันไม่รู้ไม่เห็นนาข้าวอันอุดม มันไม่รู้จักรวงข้าวสีทองที่เกิดขึ้นใหม่มากมายแต่มันก็พอใจกับฝนและไม่แยแสกับน้ำค้างต่อไป เวลาผ่านไปมีเมล็ดข้าวสีแปลกๆลอยมาตามลมจากนาข้าวอันอุดมแหล่งอืนๆมาร่วงหล่นในทุ่งแห่งนี้มันมองดูเมล็ดข้าวสีดำที่กำลังแตกใบเลี้ยง และ มันก็ไม่ชืื่นชมความแปลกของสีดำเพราะสีของมันก็แปลกไปจากเมล็ดข้าวสีทองอื่นๆไม่น้อย

    ไม่ว่าเมล็ดข้าวสีดำจะงอกงามได้เร็วช้าเพียงใด มันก็เต็มไปด้วยแนวโน้มความเป็นไปได้อันหลากหลายเป็นอนันต์และมันก็จะเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์ในทิศทางของมันได้ในที่สุดไม่ว่าในช่องว่าง-ระยะทางและกาลเวลาเมล็ดข้าวเหล่านั้นจะเรียกการเจริญงอกงามของของมันว่าเร็ว-ช้า ก่อน-หลังก้าวหน้า-ล้าหลัง ล้มเหลวหรือประสพความสำเร็จ

    ในโลกแห่งความเป็นจริงหลากมิติ-นาข้าว ท้องถิ่นกันดาร ฝน น้ำค้างและความแห้งแล้งล้วนเป็นมิติจำเพาะที่ทำให้เมล็ดข้าวเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์และคุณค่าชีวิตของมันได้อย่างเป็นเอกลักษณ์จากมุมมองจำเพาะ และ จากความเชื่อจำเพาะ

    โนวา อนาลัย
     
  19. where?

    where? เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    299
    ค่าพลัง:
    +883
    เรื่องของจิตวิญญาณ

    ก็เหมือนลูกเสือ
    เมื่อมาถือกำเนิดบนโลกมนุษย์แล้ว ข้าขอสัญญาว่า
    ข้อ 1...................
    ข้อ 2...................
    ข้อ 3...................
    ได้ทำกันแล้วหรือยัง?
     
  20. Tossaporn K.

    Tossaporn K. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,565
    ค่าพลัง:
    +7,747
    คุณ where ครับ ผมมีปัญหาอยู่ตรงที่ผมไม่รู้ว่าปฏิญานตนไว้ก่อนมาเกิดว่าอย่างไร เลยยังงงงงกับตัวเองอยู่ครับ เหมือนเขาผลักผมมาเกิดแล้วบอกว่าถึงเวลาจะรู้เองว่าจะทำอะไร
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...