๔๐ อานิสงส์การทำบุญ

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย สัตบุรุษ, 16 กุมภาพันธ์ 2009.

  1. สัตบุรุษ

    สัตบุรุษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    733
    ค่าพลัง:
    +840
    ๒๑ . อานิสงส์ถวายดอกไม้ธูปเทียน






    ......ในครั้งพุทธกาลก็มีผู้กระทำมาแล้วย่อมมีผลานิสงส์อย่างอเนกประการ คือ นายสุมนมาลากร

    มีเรื่องอยู่ว่านายสุมนมาลาการนี้ เก็บดอกมะลิมาถวายพระเจ้าพิมพิสารวันละ ๘ ทะนาน และรับเงิน ๘ กหาปณะต่อวัน ขณะที่เขาเก็บดอกไม้อยู่นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จออกบิณฑบาตภายในพระนคร พร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์ ๕๐๐ รูป เป็นบริวาร


    นายสุมนมาลาการเห็นก็เกิดจิตเลื่อมใสคิดอยากจะทำบุญแก่พระตถาคต แต่ไม่เห็นอย่างอื่นนอกจากดอกไม้ จึงเอาดอกไม้เหล่านั้น
    บูชาพระองค์ โดยไม่เกรงกลัวพระราชาจะทรงกริ้วโกรธ ถึงแม้จะถูกพระราชาประหารชีวิตก็ยอมตาย


    การบูชาดอกไม้ของนายมาลาการได้กระทำซัดดอกไม้ขึ้นไปในเบื้องบน ของพระตถาคต ๒ กำมือ ดอกไม้เกิดอัศจรรย์ขึ้นไปประดิษฐานเบื้องบนเป็นเพดานกั้นพระเศียรพระตถาคต แล้วก็ซัดไปทางพระหัตถ์ขวา ๒ กำด้านพระปฤษฎางค์ ๒ กำ พระหัตถ์ซ้าย ๒ กำ รวมทั้งหมด ๘ กำ

    ดอกไม้เหล่านั้นได้เกิดอัศจรรย์แวดล้อมพระตถาคตอยู่ตลอดเวลานายมาลาการเห็นดังนั้นก็ยินดียิ่งนัก ได้ถือกระเช้าเปล่าไปเรือนฝ่ายภรรยาเห็นไม่มีดอกไม้ในกระเช้านายมาลาการบอกแก่ภรรยาว่าได้เอาดอกไม้บูชาพระตถาคตแล้วนางได้ตอบว่าธรรมดาพระราชาเป็นผู้ดุร้าย กริ้วคราวเดียวก็ทำความพินาศให้ถึงความตาย


    ดังนั้นความพินาศนี้พึงมีแก่เรา เพราะเธอได้ทำกรรมไว้ นางได้อุ้มลูกไปเฝ้าพระราชาทูลขอหย่ากับ นายมาลาการกับพระองค์ พระราชาทรงทราบความต่ำทราม แห่งจิตของนาง แล้วก็ทำเป็นกริ้วและอนุญาต ให้นางหย่ากับนายมาลาการ

    แล้วพระราชาได้เสด็จไปสู่สำนักพระศาสดาถวายบังคมทูลอาราธนา
    พระศาสดาไปรับภัตตาหารในพระราชวังพระศาสดาทรงทราบพระราชหฤทัยของพระราชา พระองค์ทรงรับอาราธนาแล้วเสด็จไปสู่พระราชวังของพระราชา แต่พระศาสดาทรงพระประสงค์ จะประทับที่
    พระลานหลวง จะประกาศคุณงามความดีของนายมาลาการพระราชาทรงอังคาส


    พระศาสดาพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์เสร็จเรียบร้อยแล้ว ตามส่งเสด็จพระศาสดาไปสู่วิหารเสด็จกลับมาตามนายมาลาการ ถวายถึง
    สาเหตุที่ถวายดอกไม้แก่พระศาสดา


    พอทราบเรื่องแล้วทรงพระราชทานรางวัลอย่าง ๘ ชนิด มีช้าง ๘ เชือก ม้า ๘ ตัว ทาส ๘ คน ทาสี ๘ คน กหาปณะ ๘ พัน นารี ๘ นาง และเครื่องประดับอย่างละ ๘ และบ้านส่วยอีก ๘ หมู่บ้านเป็นอันว่ากรรมดีได้สนองผลให้แก่นายสุมนมาลาการในวันนั้นเอง




    http://www.84000.org/anisong/21.html
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กุมภาพันธ์ 2009
  2. สัตบุรุษ

    สัตบุรุษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    733
    ค่าพลัง:
    +840
    ๒๒ . อานิสงส์ถวายหมากเบ็งบูชา



    ......องค์สมเด็จพระบรมศาสดาได้เสด็จประทับอยู่ในวิหาร เมืองสาวัตถีพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ ๕๐๐ รูปเป็นบริวาร


    ครั้นพระเจ้าปัสเสนทิโกศลได้ทรงตบแต่งดอกไม้ ของหอมพร้อมกันยังขันหมากเบ็งมีข้าวพันก้อนด้วยความประณีตบรรจงเสด็จไปถวายแก่พระภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข พร้อมข้าราชบริพารทั้งหลาย


    เมื่อถวายเสร็จแล้วพระเจ้าปัสเสนทิโกศล ได้กราบทูลถามถึงผลอานิสงส์ของการสร้างหมากเบ็งบูชาแก่สมเด็จพระพุทธเจ้า และพระอริยสาวก จะมีอานิสงส์เป็นอย่างไร



    พระพุทธ องค์ทรงตรัสพระธรรมเทศนาว่า ดูกรมหาบพิตรพระราชสมภารบุคคลใดมีใจศรัทธา ใคร่จะทำหมากเบ็งกับข้าวพันก้อนถวายบูชา พระพุทธเจ้าและพระอริยสงฆ์ ผู้นั้นเมื่อทำลายขันธ์ไปแล้วก็จะได้ไปเกิดในสวรรค์เสวยทิพย์สมบัติเป็นสุขสิ้นกาลช้านาน


    ดังกับหญิงผู้หนึ่ง ซึ่งได้ถวายหมากเบ็งบูชา พระสถูปเจดีย์สมเด็จพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้าครั้นทำกาลกิริยาตายไปก็บังเกิดในดาวดึงส์เทวสถาน มีวิมานทองสูง ๑๒ โยชน์ มีนางฟ้าพันหนึ่งเป็นบริวารได้เสวย ทิพย์สมบัติ มากมายดังนี้แล


    ดูกรมหาบพิตร อันบุคคลได้ให้หมากเบ็งบูชาพระรัตนตรัยมีผลมากนักเป็นสำดับชั้นตามขั้นหมากเบ็ง คือว่าเมื่อตนได้ตายไปจากมนุษย์โลกนี้แล้วก็ไปอุบัติในบนสวรรค์ชั้นจตุมหาราช เมื่อจุติจากชั้นจาตุมหาราชแล้วก็ได้ไปอุบัติขึ้นในชั้นดาวดึงส์ จนถึงชั้นกามาพจรเป็นที่สุดตามบุญกุศลที่ตนได้กระทำไว้ได้ เสวยสมบัติทิพย์มีวิมานอันงามวิจิตร

    และมีนางเทพกัญญาอัปสรแวดล้อมเป็นบริวาร นานได้ ๙ ล้านปี ในเมืองมนุษย์จะมีร่างกายผ่องใส ปรารถนาสิ่งใดก็จะได้สมความปรารถนาทุกประการ


    ครั้นจบพระธรรมเทศนาแล้วพระเจ้าปัสเสนทิโกศล พร้อมด้วยข้าราชบริพารทั้งหลายก็มีจิตยินดีปลาบปลื้มบันเทิงใจ ดังนี้เป็นต้น




    http://www.84000.org/anisong/22.html
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กุมภาพันธ์ 2009
  3. สัตบุรุษ

    สัตบุรุษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    733
    ค่าพลัง:
    +840
    ๒๓ . อานิสงส์การฟังธรรม



    ......ในพระนครสาวัตถี มีธรรมมิกอุบาสก คนหนึ่งมีธิดาเจ็ดคน ซึ่งทั้งบุตรและธิดาก็ขวนขวายในการให้ทาน มีการถวายสลากยาคู สลากภัตต์ ปักขิกภัตต์ อุโปสถิกภัตต์ อาคันตุกภัตต์ คนละอย่างกัน
    บุตรธิดาเหล่านั้น จึงได้ชื่อว่าอนุชาตบุตร ด้วยกันทั้งนั้น


    ครั้นต่อมาวันหนึ่งธรรมมิกอุบาสก ได้ป่วยเป็นไข้ขึ้น อายุและสังขารก็ถอยลง มีความประสงค์จะฟังธรรมจึงส่งสาส์นไปยังสำนักพระศาสดาขอให้พระองค์จัดส่งภิกษุสักแปดรูปหรือสิบหกรูป


    พระศาสดาก็ทรงส่งภิกษุไปแล้ว ธรรมมิกอุบาสกก็พูดว่าท่านเจ้าขา การที่เห็นพระผู้เป็นทั้งหลาย ข้าพเจ้าหาได้ยากมาก เพราะข้าพเจ้ามีกำลังน้อย

    ดังนั้นขอท่านพระผู้เป็นเจ้าทั้งหลาย จงสวดพระสูตรหนึ่งเถิด พระผู้เป็นเจ้าทั้งหลายก็สวดพระสูตรสติปัฏฐานให้ธรรมมิกอุบาสกฟัง
    ทันใดนั้น รถหกคันประมาณร้อยห้าสิบโยชน์ประดับด้วยเครื่องอลังการครบทุกอย่างเทียมด้วยม้าสินธพ หนึ่งพันได้แล่นมาแต่เทวโลกทั้งหกชั้น พวกเทวดาผู้ประจำรถก็กล่าวกันว่า พวกข้าพเจ้าจัก
    นำไปสู่เทวโลกของพวกข้าพเจ้า ธรรมมิกอุบาสก ไม่ปรารถนาอันตรายแก่การฟังธรรมจึงกล่าวว่ารอก่อน


    ดังนั้นภิกษุทั้งหลายก็พากันนิ่งเสีย ด้วยเข้าใจว่าธรรมมิกอุบาสกบอกให้หยุด บุตรและธิดาก็พากันร้องไห้ว่าบิดาของตน

    เมื่อก่อนนี้เป็นผู้สนใจการฟังธรรมแต่บัดนี้กลับห้ามไม่ให้ภิกษุสวดด้วย บิดาของเรากลัวตาย ภิกษุทั้งหลายก็พากันกลับสู่สำนักธรรมิกอุบาสก เผลอไปคู่หนึ่ง เมื่อได้สติแล้วถามบุตรว่าเจ้าทั้งหลายค่ำครวญกันทำไม และพระภิกษุไปไหนกันเสียหมดเล่า



    ข้าแต่พ่อ พ่อได้สั่งให้พระภิกษุหยุดสวด แล้วภิกษุทั้งหลายได้กลับไปหมดแล้วพวกฉันมาคิดว่าธรรมดาสัตว์ผู้ไม่กลัวความตายย่อมไม่มี
    พ่อไม่ได้พูดกับพระผู้เป็นเจ้า ถ้าเช่นนั้นพ่อพูดกับใคร พ่อบอกกับเทวดาทั้งหลาย ที่เอารถซึ่งประดับมาหกคัน แต่เทวโลกหกชั้น แล้วหยุดอยู่ในอากาศแล้วบอกพ่อกับเทวดาเหล่านั้น พ่อจึงบอกให้รอก่อน รอก่อน ดังนี้รถอยู่ที่ไหนเล่าพ่อ พวกฉันไม่เห็น

    พ่อจึงถามว่า "ดอกไม้ที่ร้อยเป็นพวงมีบ้างไหม"

    ลูก "มีพ่อ"

    พ่อ "เทวโลกชั้นไหนน่ารื่นรมย์ "

    ลูก"ดุสิตพิภพ ซึ่งเป็นที่อยู่ของพระโพธิสัตว์ทุก ๆ พระองค์ น่ารื่นรมย์พ่อ"

    ถ้าเช่นนั้นเจ้าจงอธิษฐานว่า ขอพวงดอกไม้จงคล้องอยู่ที่รถมาแต่ดุสิตพิภพ แล้วโยนพวงดอกไม้ขึ้นไปบุตรทั้งหลายโยนดอกไม้ขึ้นไป พวงดอกไม้ก็คล้องอยู่ที่งอนรถห้อยอยู่ในอากาศ

    มหาชนเห็นพวงดอกไม้นั้นแต่ไม่เห็นรถ อุบาสกพูดว่าพวกเจ้าเห็นดอกไม้อยู่ในอากาศแล้วมิใช่หรือ

    บุตรธิดาทั้งหลายบอกว่าเห็นแล้วจึงบอกว่านั่นแหละ พวงดอกไม้ได้แขวนอยู่ที่รถชั้นดุสิตพ่อจะไปสู่ดุสิตพิภพ พวกเจ้าอย่าตกใจไปเลย


    เมื่อต้องการจะไปบังเกิดในสำนักเดียวกับพ่อ ก็จงทำบุญให้ทาน
    รักษาศีลแล้วฟังธรรมตามโอกาสเวลาสมัย ดังที่เราได้ทำไว้แล้วนั่นแหละครั้นแล้วธรรมมิกอุบาสก ก็ทำกาลกิริยาตายไป ไปประดิษฐานอยู่ในรถที่มาแต่ชั้นดุสิตพิภพ มีนางเทพอัปสรพันหนึ่ง แวดล้อม
    วิมานแก้ว ประมาณยี่สิบห้าโยชน์ได้ปรากฏคอยรอรับธรรมมิกอุบาสกนั้น




    http://www.84000.org/anisong/23.html
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กุมภาพันธ์ 2009
  4. สัตบุรุษ

    สัตบุรุษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    733
    ค่าพลัง:
    +840
    ๒๔ . อานิสงส์ถวายข้าวจี่



    ......มีใจความว่าพระบรมศาสดา ประทับอยู่ในพระเชตวันมหาวิหารวันหนึ่งพระองค์ได้ทรงเล็งพระญาณ ตรวจดูหมู่สัตว์โลกในเวลาใกล้รุ่ง ก็ปรากฏเห็นนางปุณณทาสีในฝ่ายพระญาณของพระองค์
    ว่า นางปุณณทาสีจักต้องตายในวันนี้อย่างแน่นอน ถ้าพระองค์ไม่เสด็จไปอนุเคราะห์ก็จะต้องไปสู่ทุคติ


    พระองค์ทรงมีพระเมตตากรุณาแก่สัตว์โลกได้ไปโปรดให้พ้นจากบาปอกุศลบรรลุถึงความสุข มีมรรคผลนิพพานตามบารมีของสัตว์นั้น ๆ จะสั่งสมไว้มากน้อยเพียงใด ส่วนนางปุณณทาสี นี้ก็เช่นเดียวกัน พระองค์ได้เสด็จไปโปรดในเวลาบิณฑบาต


    พระองค์ทรงนุ่งห่มจีวรอันเป็นปริมณฑลแล้วมีพระ อานนท์ ถือบาตรตามเสด็จไปสู่ที่อยู่ของนางปุณณทาสี ส่วนนางปุณณทาสีเป็นคนยากจนเข็ญใจไร้ทรัพย์ อาศัยอยู่ในเรือนเศรษฐีชาวกรุงราชคฤห์เลี้ยงชีวิตเป็นอยู่


    ในเช้าวันนั้นนางถูกเศรษฐีให้ตำข้าววัน ยันค่ำ แต่ก็ไม่แล้ว ครั้นรุ่งเช้าก็ลุกขึ้นแต่เช้ามืดจุดไฟซ้อมตำต่อไป พอสว่างก็เสร็จพอดี นางจึงเอารำอ่อนผสมกับข้าวปั้นให้เหนียว แต่แผ่ย่างไฟให้สุกดีแล้วก็ใส่พอยกครุขึ้นบนบ่าเดินไปตักน้ำปรารถนาจะนำไปบริโภคด้วยตนเอง


    ครั้นไปถึงในระหว่างทาง เห็นพระบรมศาสดากับพระอานนท์บิณฑบาต ก็เกิดศรัทธาเลื่อมใส โดยมาคิดว่าเราตกทุกข์ได้ยากลำบากทั้งกายและใจ ต้องเป็นทาสีอาศัยเศรษฐีเลี้ยงชีวิตเป็นอยู่ วันหนึ่งวันหนึ่งเท่านั้น ก็เพราะเราไม่ได้ให้ทานรักษาศีลทำบุญไว้ในชาติปางก่อน ชาตินี้เราจึงได้เดือดร้อนลำบากมากในความเป็นอยู่

    แต่ว่าเราได้พบพระพุทธเจ้าแล้วแต่ไม่มีของที่จะถวาย เห็นมีแต่ข้าวจี่ปั้นนี้แต่ว่ามันเป็นของเลวไม่ประณีต พระพุทธเจ้าจะทรงอนุเคราะห์ฉันหรือ แต่ว่าขึ้นชื่อว่าพระพุทธเจ้าแล้วย่อมมีพระเมตตามหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ ย่อมไม่รังเกียจว่าของจะประณีตหรือเลว



    ... เมื่อนางคิดดังนั้นแล้วจึงเดินเข้าไปหาพระบรมศาสดาแล้วอาราธนาว่า ภนฺเต ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญพระองค์ทรงรับข้าวจี่ปั้นนี้ ของหม่อมฉันผู้เป็นคนยากจนเข็ญใจเถิดพระพุทธเจ้าข้า พระศาสดาจึงทรงเปิดบาตรรับข้าวจี่ ของนางปุณณทาสี แล้วเสด็จไปบ้านของเศรษฐี นางปุณณทาสี


    ครั้นใส่บาตรแล้วก็ยังยืนอยู่ที่นั้น มองดูพระพุทธเจ้ากำลังเสด็จไปสู่บ้านเศรษฐีนั้น ก็มาคิดอีกว่าเมื่อพระศาสดาเสด็จไปฉันข้าวในบ้านเศรษฐี ภัตตาหารในเรือนของเศรษฐีล้วนแต่ของดี ๆ มีกลิ่นรสอันโอชา เป็นของที่ประณีตน่าขบฉัน ส่วนข้าวจี่ของเราเป็นของเลวทราม พระองค์คงไม่ฉันแน่จะต้องเอาโยนทิ้งให้กาและสุนัขเสีย


    .... สมเด็จพระบรมศาสดาทรงทราบวาระจิตของนางปุณณทาสี ว่าคิดอย่างไร จึงรับสั่งให้พระอานนท์ปูลาดอาสนะ ที่ภายใต้ร่มทางแล้วเสด็จประทับนั่งฉันข้าวจี่นั้นให้นางปุณณทาสีเห็น

    ครั้นทำภัตตกิจเสร็จแล้วตรัสพระสัทธรรมเทศนาอนุโมทนาของนางปุณณทาสี ว่าขึ้นชื่อว่าโภคสมบัติ ของบุคคลผู้ตระหนี่อันมีอยู่ในมนุษย์โลกนี้ จะมากสักหมื่นแสนหรือมากกว่านั้นก็ตาม หาประเสริฐเท่ากับข้าวปั้นหนึ่งอันบุคคลให้ทานแล้วนั้นไม่


    เพราะว่าโภคทรัพย์ทั้งหลายที่มีอยู่กับบุคคลผู้ตระหนี่เหนียวแน่นไม่เป็นประโยชน์อันใดเลย แต่จะกินก็ทั้งยากกลับแต่จะหมดเปลืองไปครั้นผู้ตระหนี่นั้นตายลง สมบัติเหล่านั้นก็เป็นของคนอื่นไปมิได้ติดตามไปสู่ปรภพเบื้องหน้า แต่ทานอันมีประมาณน้อยที่บุคคลได้ถวายแล้วในพระอริยเจ้าเพราะทานนั้นเป็นบันไดไปสู่สุคติสวรรค์ และเป็นเสบียงเลี้ยงตนไปในหนทางทุรกันดาร



    ในคราวที่ดับขันธ์แล้ว เมื่อจบพระสัทธรรมเทศนาลงแล้วนางปุณณทาสีได้ซ้องสาธุการบันเทิงในทานสมบัติ ที่ตนได้ทำแล้วนั้นถวายอภิวาทพระศาสดาจารย์แล้วหลีกไป

    ในขณะที่นางเดินไปตามทางนั้น ด้วยความอิ่มเอิบยินดีไม่ได้ทันพิจารณาดูทางเดินไปเหยียบงูเห่า ในระหว่างทาง งูเห่าเลยขบกัดเท้านางเข้าพิษได้แล่นเข้าปาสู่หัวใจ นางปุณณทาสีก็ทำกาลกิริยาตายไปในที่นั้นแล้วได้ไปเกิดบนสวรรค์เสวยทิพย์สมบัติ มีนางฟ้าพันหนึ่งแวดล้อมเป็นบริวาร ก็เพราะอานิสงส์ที่นางได้ถวายข้าวจี่ปั้นแก่พระพุทธเจ้า




    http://www.84000.org/anisong/24.html
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กุมภาพันธ์ 2009
  5. สัตบุรุษ

    สัตบุรุษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    733
    ค่าพลัง:
    +840
    ๒๕ . อานิสงส์ข้าวประดับดิน (ใส่บาตร)



    ......ทุคคตะคนเข็ญใจไร้ทรัพย์ ความว่า สมัยหนึ่งมีบุรุษเข็ญใจไร้ญาติพี่น้องได้อาศัยพวกชาวบ้านเลี้ยงชีพไปวันหนึ่ง ๆ แต่ว่ามีจิตศรัทธาเลื่อมใสในพุทธศาสนา ปรารถนาใคร่จะถวายทานอยู่เนืองนิตย์แต่ไม่มีวัตถุทานอันประณีตพอจะทำถวายทานได้


    อยู่มาวันหนึ่งเป็นวันที่ชาวบ้านได้ทำบุญข้าวประดับดินหมู่ชนทั้งหลายก็เตรียมอาหารบิณฑบาต นำไปสู่อารามอย่างล้นหลามด้วยหน้าตาผ่องใสรื่นเริงด้วยกันทุกคน

    ฝ่ายบุรุษเข็ญใจคนนั้นออกจากกระท่อมน้อยก็แลดูประชาชนเขาทำบุญกันรื่นเริงแจ่มใส น้ำตาก็ไหลรินลงอาบหน้าโดยไม่รู้ตัว ในเมื่อความโศกเศร้าน้อยใจอยู่นั้นก็พอดี เหลือบไปเห็นพระภิกษุรูปหนึ่งเที่ยวโคจรบิณฑบาตมาหยุดตรงหน้าของทุคคตะนั้นก็เกิดศรัทธาแรงกล้านึกถึงข้าวก้อนหนึ่งประมาณเท่าผลมะตูมที่ตนหามาได้ ก็รีบไปเอามาใส่บาตรแก่ภิกษุรูปนั้นด้วยความปีติยินดี ความเสียใจน้อยก็หายไปแล้วอุทิศส่วนกุศลที่ทำแล้วนั้นไปถึงสัตว์ทั้งหลายมีบิดามารดาเป็นต้น


    ท่านกล่าวว่ามีเปรตชนซึ่งเป็นญาติของทุคคตะนั้น ยมพบาลได้ปล่อยไปเที่ยวแสวงหาอาหาร พอดีกับการทำบุญ ของทุคคตะผู้เป็นญาติอุทิศไปถึงพากันอนุโมทนา แล้วก็อวยพรให้ทุคคตะผู้เป็นญาตินั้นประสบด้วย อายุ วรรณะ สุขะ พละ ทุกทิพาราตรีกาล


    ฝ่ายพระยายมราช เมื่อทราบว่าสัตว์นรกเปรตวิสัยนี้มีส่วนบุญ อันได้กระทำไว้ เพราะการรับอนุโมทนาทานที่ญาติได้อุทิศไปถึงตนจึง
    ปล่อยให้พ้นจากกรรมในนรกแล้วก็ถือปฏิสนธิในเทวสถานด้วยอำนาจวาสนาบารมีของทุคคตะส่งไปถึงนั้น

    ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาทุคคตะได้แสวงหาเลี้ยงชีพก็คล่องแคล่วไม่ขัดสน นำตนให้ประสบความรุ่งเรืองเป็นลำดับมา ถึงกับมีทรัพย์ทำการค้าขายได้โดยสะดวก ก็ได้ทำบุญกุศลทวีขึ้นเป็นลำดับ มีการให้ทาน รักษาศีล เจริญเมตตาภาวนา เป็นต้น


    ครั้นถึงเวลาอายุขัยก็ทำกาลกิริยาตายไป ก็บังเกิดในสวรรค์เป็นเทพบุตร มีนางเทพอัปสรแวดล้อมเป็นยศบริวารเมื่อหมู่ญาติที่เป็นเทพธิดา ทราบข่าวก็พากันไปถือเครื่องสักการบูชาคุณแก่เทพบุตรนั้น


    http://www.84000.org/anisong/25.html
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กุมภาพันธ์ 2009
  6. สัตบุรุษ

    สัตบุรุษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    733
    ค่าพลัง:
    +840
    ๒๖ . อานิสงส์สลากภัตต์ (ข้าวสาร)



    ......เพราะบุญในคราวนี้เป็นการทำบุญแตกต่างกว่าธรรมดาเพราะมีการจับสลาก แล้วก็ถวายไปตามรายชื่อพระภิกษุสามเณรที่จับได้นั้น

    การทำบุญนี้เป็นการไม่จำเพาะเจาะจงว่าจะเป็นพระภิกษุรูปใดหรือ
    สามเณรองค์ใดก็ยินดีถวายทั้งนั้นเป็นการกำจัดกิเลสชนิดหนึ่งเรียกว่าอคติเสียได้ ทาน ศีล การฟังธรรม



    ในอดีตกาลล่วงมาแล้ว มีพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งทรงพระนามว่า ปทุมมุตตระ อาศัยอยู่ในกรุงสาวัตถีนครเป็นที่โคจรบิณฑบาต



    ..... มีสามีภรรยาคู่หนึ่งเป็นคนยากจนอนาถา อยู่ในพระนครนั้น
    แสวงหาเลี้ยงชีพด้วยการรับจ้างหาฟืนขาย อยู่มาวันหนึ่งบุรุษผู้สามีพิจารณาดูการเลี้ยงชีพที่ฝืดเคืองนัก ก็เนื่องมาจากตนมิได้บำเพ็ญกองการกุศล มีการให้ทานรักษาศีล สดับรับฟังพระธรรมเทศนาและเจริญเมตตาภาวนาเป็นต้นในชาติปางก่อนอย่างแน่นอน มาในชาตินี้จึงเป็นคนเข็ญใจไร้ทรัพย์อับปัญญา


    เมื่อมาพิจารณาดังนี้แล้ว จิตใจก็อยากจะทำบุญให้ทานเพื่อจะได้เป็นนิธิขุมทรัพย์ เป็นเสบียงไปในปรภพเบื้องหน้า จึงปรึกษากับภรรยาของตนตามที่เจตนาดำริไว้นั้น

    ฝ่ายภรรยาก็คล้อยตามไปด้วยความยินดีรีบจัดแจงหาเครื่องไทยทาน ทำตามสมควรแก่กำลังของตน แล้วนำไปสู่อารามทำเป็นสลากภัตต์พร้อมกับมหาชนทั้งหลาย สามีภรรยาคู่นั้นจับสลากถูกภิกษุรูปหนึ่งจึงน้อมเข้าไปถวายด้วยความปีติ

    แล้วตั้งความปรารถนาว่าเดชะบุญกุศลผลทานนี้ ขอให้ข้าพเจ้าบริบูรณ์ด้วยยศศักดิ์สมบัติบริวาร ขึ้นชื่อว่าความตกทุกข์ได้ยากเข็ญใจ เหมือนในชาตินี้อย่า ได้พึงมีแก่ข้าพเจ้าในภพต่อ ๆ ไปเลย

    สามีภรรยาคู่นั้นอยู่ต่อมาจนสิ้นอายุขัยทำกาลกิริยาตายไปแล้วก็อุบัติในดาวดึงส์สวรรค์สิ้นบุญแล้วก็มาเกิดเป็นพระเจ้าศรัทธา
    ติสสะ ณ เมืองพาราณสี พระเจ้าศรัทธาติสสะนั้นครั้นกลับชาติมาก็คือพระตถาคตนี้เอง


    เมื่อสิ้นกระแสพระธรรมเทศนาแล้วเหล่าพุทธบริษัท ทั้งหลาย มีพระเจ้าปัสเสนทิโกศลเป็นต้น ก็ชื่นชมผลทานในการ
    ถวายสลากภัตต์เป็นยิ่งนัก




    http://www.84000.org/anisong/26.html


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กุมภาพันธ์ 2009
  7. สัตบุรุษ

    สัตบุรุษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    733
    ค่าพลัง:
    +840
    ๒๗ . อานิสงส์สังฆทาน



    ......การถวายอาหารบิณฑบาตแก่ภิกษุสงฆ์ให้แก่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนทั้งหลายที่ได้พร้อมในการนำอาหารบิณฑบาตพร้อมด้วยเครื่องบริวารทั้งหลายมาถวายในท่ามกลางสงฆ์มิได้จำเพาะเจาะจงแก่
    พระภิกษุรูปใดรูปหนึ่งก็หามิได้อย่างนี้เรียกว่าสังฆทานอีกอย่างหนึ่งเรียกว่าถวายทานเจาะจงบุคลิก รูปนั้น รูปนี้ อย่างนี้เรียกว่า ปาฏิบุคลิกทาน


    จึงจัดเป็น ๒ ประเภทดังที่ได้แสดงมาแล้วนั้นการถวายทานนั้น ถ้าถวายเป็นสังฆทานมีผลาสิสงส์มากกว่าบุคลิกทาน จากดังจะเห็นจากพระสิวลีเถระผู้มีลาภมาก จนได้รับเป็นเอตทัคคะ จากพระพุทธเจ้าว่าเป็นผู้เลิศด้วยลาภจะไปทางไหน ก็มีแต่อดิเรกลาภ เหลือหลายบริบูรณ์ ก็เพราะท่านได้ถวายทานมาแต่ในชาติปางก่อน ชาตินี้ท่านก็มีความสุขกายสบายใจไม่เดือดร้อนอดอยาก


    ความพิสดารว่าในสมัยหนึ่ง พระผู้เป็นเจ้าสิวลีได้เกิดเป็นบุตรของเศรษฐี เมื่อเจริญวัยขึ้นมาก็มีจิตศรัทธาเลื่อมใสได้ให้ทานแก่พระปัจเจกโพธิวันละองค์ ๆ

    ครั้นต่อมาได้รับสมบัติแทนบิดา เป็นเศรษฐีก็ถวายทานแก่พระปัจเจกโพธิขึ้นอีกรวมเป็น ๗ องค์ ต่อวัน ตลอดมากระทำอยู่ดังนี้จนสิ้นชีพ ก็ได้ไปเกิดบนสวรรค์ชั้นยามามีวิมานสูง ๓๐ โยชน์ มีนางฟ้าเทพอัปสรหนึ่งหมื่นเป็นบริวาร เสวยสุขทิพย์สมบัติในชั้นยามาประมาณโกฏิปีในเมืองมนุษย์


    ครั้นถึงศาสนาของสมเด็จพระพุทธเจ้าของเราทุกวันนี้จึงจุติมาถือกำเนิดในตระกูลเจ้าศากยะ บริบูรณ์โภคสมบัติยิ่งนัก ครั้นเจริญวัยขั้นมาก็ออกบวชต่อพระพุทธเจ้า ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ขีณาสพ มีชื่อว่าพระสิวลีเถระ เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายที่มีลาภมาก พระเถระจะไปสู่สถานที่ใดเทวดามนุษย์ทั้งหลายย่อมสักการบูชาด้วยเครื่องไทยทานอย่างมากมายแม้บริวารของท่านก็พลอยบริบูรณ์พูนสุขไปด้วยดังนี้

    ก็เพราะอานิสงส์แห่งการถวายทานให้เป็นสังฆทาน




    http://www.84000.org/anisong/27.html
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กุมภาพันธ์ 2009
  8. สัตบุรุษ

    สัตบุรุษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    733
    ค่าพลัง:
    +840
    ๒๘ . อานิสงส์สร้างหนังสือ



    ......ดังมีใจความว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จประทับอยู่ในเชตวันมหาวิหาร ณ กรุงสาวัตถี

    ในเวลานั้นพระสารีบุตรเถระเจ้ามีความประสงค์ว่าจักทูลถามพระพุทธเจ้าให้ทรงแสดงธรรมประกาศอานิสงส์สร้างพระไตรปิฎก ให้ทราบทั่วถึงกันแก่พุทธบริษัท พระเถระเจ้าก็เข้าเฝ้าทูลถามแก่พระผู้มีพระภาคเจ้าว่าข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าชนทั้งหลายให้พุทธศาสนายืนยาวถึง ๕ พันวัสสา จะมีอานิสงส์เป็นประการใด พระพุทธเจ้าข้า



    ........ พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า ดูกรท่านสารีบุตร ถ้าชนทั้งหลายมีจิตรศรัทธาเลื่อมใสเช่นนั้นแล้ว เมื่อตายไปแล้วก็จักรได้เสวยราชสมบัติเป็นพระเจ้าจักรพรรดิราชถึง ๘ หมื่น ๔ พันกัลป์ ใช่แต่เท่านั้น เมื่อเคลื่อนจากความเป็นพระเจ้าจักรพรรดิแล้ว ก็จะได้เป็นพระราชา มีอนุภาพอีก ๙ อสงไขย


    ต่อจากนั้นก็ได้เสวยสมบัติในตระกูลต่าง ๆ เป็นลำดับไป คือตระกูลพราหมณ์มหาศาล ตระกูลเศรษฐีคฤหบดี และเป็นภูมิเทวดาอากาศเทวดา อย่างละ ๙ อสงไขย ต่อแต่นั้นก็จะได้เสวยในสวรรค์ทั้ง ๖ ชั้น เป็นลำดับไปชั้นละ ๘ อสงไขย ล


    เมื่อจุติจากชั้นเทวโลกแล้ว มาถือกำเนิดเกิดเป็นมนุษย์ ก็จะมีร่างกายบริสุทธิ์ผุดผ่อง เป็นที่รักใคร่แก่คนทั้งหลายที่ได้พบเห็นทั้งน้ำใจก็บริสุทธิ์สุจริตปราศจากบาปธรรมอกุศลทั้งปวง และเป็นผู้มีปัญญาเฉลียวฉลาดรอบรู้ทั้งทางโลกและทางธรรม ดังนี้เป็นต้น


    ดูกรท่านสารีบุตรเมื่อตถาคตสร้างบารมีอยู่ได้เกิดเป็นอำมาตย์ของพุทธบิดา แห่งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่า ปุราณโคดม ได้สร้างพระไตรปิฎกไว้ให้สืบองค์ได้ตั้งความปรารถนา ขอตรัสเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งเถิดในอนาคตกาลโน้น สมเด็จพระปุราณโคดมบรมศาสดาทรงพยากรณ์ไว้ว่า


    อำมาตย์ผู้นี้ต่อไปภายภาคหน้า จะได้ตรัสเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งมีพระนามว่า พระสมณโคดมก็คือพระตถาคต เรานี้เองดังนี้แลก็สิ้นสุดพระกระแสธรรมเทศนา ที่พระบรมศาสดาทรงแสดงแก่พระสารีบุตรเถระเจ้าแต่เพียงเท่านี้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กุมภาพันธ์ 2009
  9. สัตบุรุษ

    สัตบุรุษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    733
    ค่าพลัง:
    +840
    ๒๙ . อานิสงส์ปลูกต้นโพธิ์


    ......มีใจความว่าพระปุตถินทายกัตเถระรูปนี้ได้บวชในศาสนาของพระสมณโคดมบรมศาสดาของเราท่านได้บำเพ็ญเพียรเรียนวิปัสสนาจนสำเร็จพระอรหันต์ประกอบด้วยอภิญญา ๖ เชี่ยวชาญนัก


    เมื่อพระผู้เป็นเจ้าได้บรรลุพระอรหันต์แล้ว วันหนึ่งนั่งอยู่ในที่สงัด พระเถระเจ้าได้ระลึกถึงปุพพกรรมที่ทำให้ได้บรรลุถึงอรหัตตผล เพราเหตุกุศลผลบุญอะไรที่ตนได้กระทำไว้ในชาติปางก่อน จึงได้เสวยวิมุตติสุขถึงเพียงนี้


    พระเถระเจ้าก็ทราบชัดโดยทิพจักขุญาณ แต่เมื่อมีความประสงค์จะ แสดงถึงผลบุญ จะได้เป็นประโยชน์แก่พุทธบริษัทต่อไปในภาคหน้า จึงได้ลุกจากอาสนะไปสู่ที่บริษัททั้ง ๔ แล้วกล่าวว่า


    วิปสฺสิสฺส ภควโต ดังนี้เป็นอาทิความว่า ดูกรพุทธบริษัททั้งหลาย เมื่อครั้งศาสนาพระวิปัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า อาตมาได้กำเนิดเกิดเป็นบุรุษผู้หนึ่งมีจิตเลื่อมใสในพระศาสนา

    วันหนึ่งอาตมาได้ออกจากบ้านไปสู่อาราม ได้ทัศนาเห็นต้นไม้ศรีมหาโพธิ์เศร้าหมอง รกปกคลุมไปด้วยหญ้าและใบไม้ จึงได้ชำระถากถางหญ้า และปัดกวาดใบไม้ให้สะอาด แล้วขนทรายมาเกลี่ยทำให้เสมอ ทำเป็นแท่นที่ใต้ต้นศรีมหาโพธิ์นั้น แล้วตบแต่งประดับประดาด้วยดอกไม้ของหอม ดูแล้วเป็นที่รื่นรมย์ เมื่อกระทำแล้วมีความปีติยินดียิ่งนัก


    ครั้นเมื่อถึงมรณะสมัยใกล้จะทำกาลกิริยาตายจิตก็ระลึกถึงกุศลที่
    ตนได้ทำการปัดกวาด ชำระ และก่อแท่นที่ต้นศรีมหาโพธิ์ ครั้นตายแล้วก็ไปอุบัติในชั้นดุสิตเสวยทิพยมานทอง มีหมู่นางเทพอัปสรแวดล้อมเป็นบริวาร ครั้นจุติจากเทวโลกได้มาถือกำเนิดในมนุษย์โลก
    เป็นพระเจ้าจักรพรรดิราช ได้ท่องเที่ยวอยู่ในสังสารวัฏฏ์มาจนถึงศาสนาแห่งพระสมณโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า


    อาตมาได้เกิดในตระกูลเศรษฐี ครั้นเจริญวัยขึ้นก็ออกบวชในพระพุทธศาสนา เจริญวิปัสสนา ไม่นานนักก็ได้บรรลุพระอรหันต์ ก็เพราะบุญกุศลที่ได้ปลูกต้นไม้ศรีมหาโพธิ์นี้ก่อพระแท่นนั้น เป็นปฐมเหตุดังนี้เป็นต้น


    เมื่อจบพระธรรมเทศนาลงแล้ว พุทธบริษัททั้งหลาย ก็มีความยินดีในธรรมภาษิตที่พระเถระเจ้าแสดงเป็นยิ่งนัก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กุมภาพันธ์ 2009
  10. สัตบุรุษ

    สัตบุรุษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    733
    ค่าพลัง:
    +840
    ๓๐ . อานิสงส์ต่ออายุ



    ......บุญต่ออายุนี้นับว่าเป็นการไม่ประมาท เพราะทำตามประเพณีของพุทธศาสนา ได้อาราธนาพระสงฆ์มาเจริญพระพุทธมนต์ สวดพระปริตแล้วยังมาจัดให้มีพระธรรมเทศนาอีกด้วยดังนี้

    แม้แต่ในเมื่อองค์สมเด็จพระบรมศาสดายังมีพระชนม์อยู่ พระองค์ได้ทำทรงทำมาแล้วกับอายุวัฒนกุมาร ดังอาตมาภาพจักยกแสดงเป็นนิทัสนอุทาหรณ์ เพื่อจะได้เป็นเครื่องประดับสติปัญญาบารมีกุศลสืบต่อไป


    ดังมีใจความว่ามีพราหมณ์ ๒ คน เป็นชาวทีฆลัมพิกนคร บวชในลัทธิภายนอกพระศาสนาบำเพ็ญตบะอยู่สิ้น ๑๘ ปี บรรดาพราหมณ์ ๒ คนนั้น คนหนึ่งคิดว่าประเพณีของเราจักเสื่อมจึงได้สึกขายบริขารของ
    ตนให้แก่ชนทั่วไป เสร็จแล้วได้ภรรยาคนหนึ่งพร้อมด้วยโค ๑๐๐ ตัว ทรัพย์ ๑๐๐ กหาปณะ ตั้งไว้เป็นทุน ฝ่ายภรรยาของเขาคลอดบุตรแล้ว ส่วนสหายนอกนี้ไปสู่ต่างถิ่นกลับสู่นครนั้นเมื่อพราหมณ์สหายทราบข่าว จึงได้พาบุตรภรรยาไปเยี่ยม


    เมื่อไปถึงพราหมณ์และภรรยาไหว้สหายก็กล่าวว่า ขอให้ท่านทั้ง ๒ จงมีอายุยืน ถึงคราวบุตรไหว้สหายไม่ได้พูดว่ากระไร พราหมณ์ตกใจ จึงได้รีบถามว่าทำไมละสหาย เมื่อเราทั้งสองไหว้จึงกล่าว
    ว่าจงมีอายุยืน คราวบุตรไหว้ทำไมจึงไม่พูดว่ากระไร เหตุไรจะมีขึ้นหนอ สหาย เด็กนี้จะตายภายใน ๗ วัน


    พราหมณ์รู้สึกตกใจเป็นกำลัง จึงได้ถามอุบายแก้ว่าสหายมีวิธีแก้บ้างไหม สหายไม่มีแล้ว วิธีแก้ นี่เราเห็นสมณโคดมพระองค์เดียวพระองค์มีวิธีแก้ไขอย่างเลิศสหาย เราจะไปได้อย่างไรเดี๋ยวตบะของเราก็เสื่อมเท่านั้น ลูกตายกับตบะเสื่อมจะเอาอย่างไหนดี


    ...... พราหมณ์เลยตัดสินใจพาบุตร และภรรยาไปสู่สำนักของพระศาสดาเมื่อถึงแล้วก็ ไหว้พระศาสดาพระองค์ก็ตรัสว่าจงมีอายุยืนต่อ

    เมื่อบุตรน้อยไหว้พระศาสดาก็ไม่ตรัสว่ากระไร พราหมณ์จึงกราบทูลถึงวิธีแก้ไขเหตุนั้น พระศาสดาตรัสอุบายที่จะไม่ให้เด็กนั้นตายใน ๗ วัน แก่พราหมณ์ว่า ท่านเองทำมณฑปไว้ เมื่อเสร็จแล้วก็นิมนต์พระสงฆ์ไปเจริญพระพุทธมนต์ ๘ รูป หรือ ๑๖ รูป พราหมณ์จึงรับได้พระเจ้าเข้า



    ....พระศาสดาเมื่อพราหมณ์สร้างมณฑปเสร็จแล้ว จึงได้ส่งภิกษุไปตามจำนวนที่พราหมณ์ต้องการ ภิกษุได้เจริญพระพุทธมนต์สิ้น ๗ วัน ในวันที่ ๗ พระศาสดาได้เสด็จไปเอง เจริญพุทธมนต์ด้วยหมู่ภิกษุ
    อวรุทธกยักษ์ผู้บำรุงท้าวเวสสุวรรณ ต้องการจะจับเด็กนั้นไปกินเป็นอาหาร ก็กลับไปด้วยความผิดหวัง


    ในวันที่ ๘ สองสมีภรรยาได้นำบุตรมาวางไว้แทบพระบาทของพระศาสดา พระองค์จึงตรัสว่าขอเจ้าจงมีอายุยืน พราหมณ์ถามด้วยความสงสัยว่าจะมีอายุเท่าไร พระเจ้าข้า พระศาสดาตรัสตอบว่า ๑๒๐ ปี
    พราหมณ์พราหมณ์ ๒ สามีภรรยาจึงตั้งชื่อบุตรว่า อายุวัฒนกุมาร

    เมื่อเขาเติบโตแล้วได้มีอุบาสก ๕๐๐ คน แวดล้อมแล้ว ภิกษุทั้งหลายสนทนากันในโรงธรรมว่าผู้มีอายุทั้งหลายอายุวัฒนกุมารนี้จะตายภายใน ๗ วัน แต่แล้วกลับจะมีอายุ ๑๒๐ ปี เหตุเป็นเครื่องเจริญแห่งอายุ ของสัตว์เห็นจะมี พระศาสดาเสด็จมาแล้วตรัสถามว่า


    ภิกษุทั้งหลายพวกเธอสนทนาด้วยเรื่องอะไรกัน เมื่อภิกษุกราบทูลว่า เรื่องชื่อนี้พระองค์จึงตรัสว่า ภิกษุทั้งหลายอายุเจริญอย่างเดียวเท่านั้นหามิได้ ก็สัตว์เหล่านี้ไว้ท่านผู้มีพระคุณ ย่อมเจริญด้วยเหตุ ๔ ประการ พ้นจากอันตรายดำรงอยู่จนตลอดอายุทีเดียว




    http://www.84000.org/anisong/30.html
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กุมภาพันธ์ 2009
  11. สัตบุรุษ

    สัตบุรุษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    733
    ค่าพลัง:
    +840
    ๓๑ . อานิสงส์สร้างธรรมาสน์



    ......ความว่าในสมัยหนึ่ง พระบรมศาสดาของเราเสด็จประทับอยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร พรั่งพร้อมด้วยพระสาวกทั้งหลาย

    ในกาลครั้งนั้นยังมีเศรษฐีคนหนึ่งชื่อเมณฑก ที่ได้ชื่อเช่นนั้น เพราะเศรษฐีนั้นมีรูปแพะทองคำอันมีฤทธานุภาพมาก ภิกษุสงฆ์จึงได้โจทนากันอยู่ในคันธกุฏี


    ...... ในกาลครั้งนั้นสมเด็จพระบรมศาสดา ได้ตรัสพระธรรมเทศนาว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในกาลครั้งหนึ่ง ยังมีเมณฑกเศรษฐี แต่ในกาลครั้งก่อนนั้น ท่านได้เกิดมาในศาสนาของพระเจ้าวิปัสสีมีนามว่า อินทะเศรษฐีท่านมีจิตศรัทธาเลื่อมใสในพระบวรพุทธศาสนา ได้สละทรัพย์ และน้ำพักน้ำแรงออกก่อสร้างธรรมาสน์ถวายเป็นทานแก่พระพุทธเจ้าวิปัสสี


    เพื่อนั่งแสดงพระธรรมเทศนา และได้สร้างรูปแพะทองคำอีก ๕ ตัว รองเป็นบันไดขึ้นเพื่อเสด็จไปเทศน์ได้โดยสะดวก เมื่อเสร็จแล้วท่านก็ได้ถวายแก่พระวิปัสสีพุทธเจ้า พร้อมทั้งตั้งความปณิธานว่า ขอให้ข้าพเจ้าได้สำเร็จด้วยฤทธิ์แพะทองคำนี้เถิด


    ...... กาลต่อมาครั้นสิ้นอายุขัย เศรษฐีนั้นได้ไปเกิดบนสวรรค์ มีวิมานทองสูงได้ ๑๐ โยชน์ มีนางฟ้าเทพอัปสรพันหนึ่งเป็นบริวาร วิมานนั้นประกอบด้วยแก้ว ๗ ประการ อันรุ่งเรืองลือชาปรากฏใน
    เทวโลกนั้น ชื่อว่าอินทกเทวบุตร ครั้นจุติจากชั้นดาวดึงส์ ก็ได้มาบังเกิดในเมืองพาราณสีได้เป็นมหาเศรษฐีมีข้าวของเป็นอันมากหาที่จะนับจะประมาณมิได้ ครั้นสิ้นชีพอายุขัยก็ได้นำตนไปอุบัติในเทวโลก
    อันเป็นเทวสถานอันอุดมโอฬารไพศาลของพวกเทพนิกรอีกครั้ง จนกระทั่งถึงศาสนาแห่งพระพุทธเจ้าของเรา


    จึงก็ได้จุติจากเทวโลกมาบังเกิดเป็นเมณฑกเศรษฐี ครั้นเมณฑกกุมารเจริญวัยขึ้นได้ ๑๖ ปีนั้น แพะทองคำก็จึงทำฤทธิ์ให้เงินทองข้าวของในท้องแพะนั้นไหลออกมาเป็นอันมาก เมณฑกกุมารได้เสวย ซึ่งสมบัติข้าวของเหล่านั้นจึงมีนามว่า เมณฑกเศรษฐี นี้ก็ด้วยผลที่ท่านมีใจเจตนาดี หรือหวังดีต่อพระศาสนาต้องการสร้างถาวรวัตถุให้เป็นประโยชน์แก่สาธารณชน จนตลอดมาถึงทุกวันนี้ก็ย่อมได้รับ อานิสงส์ตามความปรารถนาของท่าน




    http://www.84000.org/anisong/31.html
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กุมภาพันธ์ 2009
  12. สัตบุรุษ

    สัตบุรุษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    733
    ค่าพลัง:
    +840
    ๓๒ . อานิสงส์ถวายผ้าปูโรงอุโบสถ



    ......ดังได้ยินมาว่าในสมัยหนึ่งพระบรมศาสดาของเราได้เสด็จประทับอยู่ ณ เชตวันมหาวิหารในกรุงสาวัตถี


    ในกาลครั้งนั้น พระเจ้าปเสนทิโกศล ได้เสวยราชสมบัติในเมืองสาวัตถีในวันหนึ่ง พระเจ้าปเสนทิโกศลได้นำเครื่องสักการบูชา มีประทีปดอกไม้คันธรสของหอมพร้อมด้วยบริวารของพระองค์เข้าไปสู่เชตวันมหาวันมหาวิหาร บูชาซึ่งพระบรมศาสนาแล้วนั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วจึงทูลถามพระศาสดาว่า บุคคลหญิงชายมีใจเลื่อมใสในศาสนามาสร้างผ้าปูลาดไว้ในโรงอุโบสถดังนี้ จะมีผลานิสงส์มากน้อยเท่าใดพระเจ้าข้า



    สมเด็จพระบรมศาสดาก็ตรัสพระสัทธรรมเทศนาว่านรชนหญิงชายทั้งหลายมีใจเลื่อมใสศรัทธา ได้สร้างผ้าปูลาดโรงอุโบสถ ก็จักมีผลานิสงส์มากมายก่ายกองเหลือที่จะคณนานับได้ในภพนี้และภพหน้า

    ผลที่ได้ในภพนี้ก็คือ จะมีผู้นับหน้าถือตาไปทางใดก็มีผู้อยากให้ร่วมกินร่วมนอน ถึงแม้จะเข้าไปทางใดก็มีผู้อยากให้ร่วมกินร่วมนอนถึงแม้ว่าจะเข้าไปสู่สมาคมใด ๆ ก็ไม่สยมสยองพองเกล้า การทำมาหากินก็สมความมุ่งมาตรปรารถนา

    เมื่อสิ้นชีพแล้วก็จะได้อุบัติขึ้นในสุขคติโลกสวรรค์ ชั้นดาวดึงส์ มีวิมานสูงได้ ๑๒ โยชน์ แล้วไปด้วยแก้ว ๗ ประการ ดูรุ่งเรืองงดงามยิ่งกว่าปราสาทหลังอื่น ๆ มีนางฟ้าเทพอัปสรกัลยาแสนหนึ่งเป็นบริวาร เทวบุตรตนนั้นมีกำลังบริษัททั้งสี่ แวดล้อมเสพดุริยดนตรีอยู่ทุกเวลามิได้ขาด


    ฉะนั้นผลานิสงส์อันนี้ย่อมเป็นบันไดนำขึ้นสู่สวรรค์ นี่แหละมหาบพิตรราชสมภาร บุคคลผู้มีมืออันชุ่มไปด้วยการให้ทาน หมู่ทวยเทพทั้งหลายย่อมความยินดีสรรเสริญ รอคอยผู้ให้ทานนั้นอยู่เสมอ

    เมื่อจบพระสัทธรรมเทศนาลง บริษัททั้งสี่มีพระเจ้าปเสนทิโกศลเป็นประธาน ก็มีความรื่นเริงยินดีในพระสัทธรรมเทศนาเป็นยิ่งนัก เป็นผู้ตั้งอยู่ในกุศลสัมมาปฏิบัติเป็นจำนวนมาก


    ครั้นทำลายขันธ์ลงก็ไปอุบัติเกิดในสัตตรัตนปราสาทเสวยสมบัติอัน
    เป็นทิพย์ มีหมู่นางอัปสรสวรรค์แวดล้อมเป็นยศบริวาร


    http://www.84000.org/anisong/32.html
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กุมภาพันธ์ 2009
  13. สัตบุรุษ

    สัตบุรุษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    733
    ค่าพลัง:
    +840
    ๓๓ . อานิสงส์อาการวัตตาสูตร



    ......ในสมัยหนึ่งสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จประทับอยู่ ณ เขาคิชฌกูฎบรรพตคีรี ใกล้ราชธานีราชคฤห์มหานคร ในสมัยครั้งนั้นพระสารีบุตรพุทธสาวก เข้าไปสู่ที่เฝ้าถวายอภิวาทโดยเคารพแล้วนั่ง
    ในที่ควรส่วนข้างหนึ่งเล็กแลดูสหธัมมิกสัตว์ทั้งหลาย ก็เกิดปริวิตกในใจคิดถึงกาลต่อไปภายหน้าว่า


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กุมภาพันธ์ 2009
  14. สัตบุรุษ

    สัตบุรุษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    733
    ค่าพลัง:
    +840
    ๓๔ . อานิสงส์เผาศพ

    ......ดูกรภิกษุทั้งหลายบุคคลผู้ใดมีจิตเมตตาสงเคราะห์เผาสรีรร่างกายของคนอนาถาที่มีแต่ร่างกระดูก ผู้นั้นจะบริบูรณ์ไปด้วยยศถาบรรดาศักดิ์ ศฤงคาร บริวารมากถึง ๘ พัน


    ถ้าซากศพนั้นยังมีเลือดเนื้ออยู่จะอำนวยผลให้เป็นผู้ มียศศักดิ์บริวารหนึ่งหมื่นถ้าเผาผีร่างกายของคนแก่เฒ่าชรา จะนำมาซึ่งธนสารยศศักดิ์บริวารแวดล้อม ถึง ๔ หมื่น


    ถ้าเผาซากศพญาติมิตรสหายบุตรและทารก จะอำนวยผลให้ผู้นั้นสมบูรณ์ หมื่นก็แลถ้า


    บุคคลผู้ใดมีใจศรัทธามาทำฌาปนกิจเผาศพบิดามารดา จะได้เสวยผลานิสงส์อันเป็นทิพย์ ยศศักดิ์สมบัติ บริวารประมาณแสนหนึ่ง


    ผู้ใดได้เผาสรีรร่างกายของภิกษุสงฆ์ จะได้รับผลานิสงส์ยศศักดิ์สมบัติ บริวารประมาณสองแสนมาตร


    แม้นแต่เผาซากศพนกที่ตกอยู่บนปฐพี ด้วยใจยินดีเลื่อมใสในศรัทธา ครั้นมาทำลายเบญจขันธ์ลงก็จะตรงไปเกิดบนสวรรค์มีวิมานเป็นที่อยู่ การทำฌาปนกิจในสรีรสัตว์เดียรัจฉาน ยังได้เสวยทิพย์สมบัติบนวิมานถึงเพียงนี้

    ก็ท่านทั้งหลายได้กระทำการจุดเผาสรีรกายของมนุษย์ ยิ่งจะมีผลานิสงส์อันโอฬารกว่านี้ร้อยเท่าทวีคูณ จะเป็นบุญนิธิขุมทรัพย์นำให้อุบัติในสุคติโลกสวรรค์ อย่างไม่มีความสงสัย เอวํ ก็มีด้วยประการฉะนี้ ฯ




    http://www.84000.org/anisong/34.html
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 กุมภาพันธ์ 2009
  15. สัตบุรุษ

    สัตบุรุษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    733
    ค่าพลัง:
    +840
    ๓๕ . อานิสงส์สร้างศาลา



    ......นันทิยะได้ถวายศาลาแก่พระบรมศาสดา ความว่านันทิยะเป็นมหาทานบดีสร้างวิหารที่ป่าอิสิปตนะพร้อมด้วยเครื่องเสนาสนะ แล้วทำมหกรรมการฉลองอย่างมโหฬาร ถวายแก่พระภิกษุสงฆ์ มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธานได้หลั่งน้ำทักขิโณทก ตกลงเหนือฝ่าพระหัตถ์พระบรมศาสดา


    ในขณะนั้น ปราสาทอันเป็นทิพย์สำเร็จแล้วด้วยแก้ว ๗ ประการ ใหญ่ ๑๒ โยชน์ สูง ๑๗ โยชน์ เพรียบพร้อมไปด้วยนางเทพธิดา ก็อุบัติขึ้นในเทวโลกรอคอยนันทิยะอยู่
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 กุมภาพันธ์ 2009
  16. สัตบุรุษ

    สัตบุรุษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    733
    ค่าพลัง:
    +840
    ๓๖ . อานิสงส์สร้างสะพาน



    ......วันหนึ่งพระกปิลัตเถระ อธิษฐานให้น้ำในมหาสมุทรแข็งกระด้างเดินไปมาได้สะดวกพระภิกษุสงฆ์เห็นฤทธานุภาพของท่าน เลื่อมใสในธรรมคำสอน ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายิ่งนัก เพราะสามารถบันดาลให้ผู้ประพฤติปฏิบัติให้บรรลุกฤษฎาภินิหารต่าง ๆ กำลังปรารภเรื่องพระกปิลัตเถระอยู่



    สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จมาประทับเหนืออาสนะ ทรงดำรัสถามทราบเรื่องแล้ว ตรัสพระธรรมเทศนาว่า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 กุมภาพันธ์ 2009
  17. สัตบุรุษ

    สัตบุรุษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    733
    ค่าพลัง:
    +840
    ๓๗ . อานิสงส์ในการสร้างธง



    ...... สมัยหนึ่งพระศาสดาสมณโคดม บรมครูเสด็จประทับอยู่ในบุพพารามวิหาร สมเด็จพระเจ้าปัสเสนทิโกศลราช กราบทูลถามถึงผลานิสงส์สร้างธงชัยบูชาพระรัตนตรัย พระบรมจอมไตรจึงตรัสพระสัทธรรมเทศนาว่า


    ดูกรบพิตรพระราชสมภารการสร้างธงชัยบูชาพระรัตนตรัยนี้ มีผลานิสงส์อันอุดมยิ่งนัก

    ครั้งศาสนาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่าวิปัสสี ยังมีบุรุษเข็ญ
    ใจกับภริยา มีจิตศรัทธาเลื่อมใสปรารถนาจะสร้างธงบูชาแก่พระรัตนตรัย จึงไปตัดไม้ในป่าเลือกหาต้นบริสุทธิ์ดี

    ครั้นตัดแล้วนำมาไว้ในอารามพยายามถากให้เกลี้ยงเกลาจะทำให้เป็นเสาธง แต่ยังมิทันจะสำเร็จเลยเกิดโรคาพาธ กระทำกาลกิริยาตายไปด้วยจิตเลื่อมใสในเสาธงที่กระทำอยู่นั้นเป็นมูลเหตุนำ
    บุรุษนั้นไปเปิดเป็นเทพบุตรในดาวดึงส์เสวยสมบัติทิพย์เนืองแน่นไปด้วยเทพอัปสรกัญญา


    ต่อแต่กาลนั้นมา มีบุรุษผู้หนึ่งได้ทัสนาเสาธงนั้นมิทันแล้วจึงมาจักแจงถากเกลาเสาธงนั้นเกลี้ยงงามดีแล้ว ยกเสาธงนั้นขึ้น ยังมิทันหาธงและทองมาประดับ ก็เกิดพยาธิร้ายภายในกายถึงความตายในปัจจุบันนั้น นำตนไปเกิดในชั้นดาวดึงส์เทวโลก มีวิมานทองสูง ๑๒ โยชน์ เป็นที่อยู่


    ครั้นต่อมาอีกมีบุรุษผู้หนึ่งได้นำทองมาปิดเสาธงจนสำเร็จดูราวกะเสาธงนั้นเป็นแท่งทองธรรมชาติ ในกาลนั้นมีพ่อค้าห้าคนเดินทางมาพบ
    เข้ามีจิตเลื่อมใสสละผ้าออกมากระทำเป็นธงผูกไว้บนเสา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 กุมภาพันธ์ 2009
  18. สัตบุรุษ

    สัตบุรุษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    733
    ค่าพลัง:
    +840
    ๓๘ . อานิสงส์ถวายสัพพทาน



    ...... ดูกรภิกษุทั้งหลาย ทานของสัปบุรุษเหล่านี้ ๘ อย่าง คือ

    ๑. ให้ของที่สะอาด

    ๒. ให้ของประณีต

    ๓. ให้ถูกกาล

    ๔. ให้ของที่สมควร

    ๕. เลือกให้

    ๖. ให้เสมอ ๆ
    ๗. กำลังให้ยังจิตให้เลื่อมใส

    ๘. ครั้นให้แล้วปลื้มใจ

    สัปปุริสทาน ๘ อย่างนี้ประเสริฐยิ่งนักหนา



    ในกาลครั้งนั้น องค์สมเด็จพระพุทธเจ้าก็สถิตสำราญอยู่ในป่าเชตวันอันเป็นอารามของนายอนาถปิณฑิกมหาเศรษฐีอยู่ในที่ใกล้ ๆ นครสาวัตถี

    ในกาลครั้งนั้นมีพระยาองค์หนึ่ง ชื่อ มหานามะ ก็เอา ประธูปประทีปคันธรสของหอม แล้วพาหมู่บริวารทั้งหลายเข้าไปสู่ที่เฝ้าพระสัพพัญญูเจ้า แล้วก็นั่งในที่ควรแห่งหนึ่ง จึงทูลถามพระสัพพัญญูเจ้าว่า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 กุมภาพันธ์ 2009
  19. สัตบุรุษ

    สัตบุรุษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    733
    ค่าพลัง:
    +840
    ๓๙ . อานิสงส์ปิดทองพระพุทธรูป



    ...... นัยว่าพระเจ้ามหารถราช เสวยสมบัติ ในสักกราชาวดีนคร ท้าวท่านเป็นสัมมาทิฎฐิบุคคลคือมีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ตรงกันข้ามกับ พระเจ้าปัญจาลราช กษัตริย์กรุงปัญจาลราชนคร
    เป็นมิจฉาทิฎฐิบุคคล คือไม่นับถือพระพุทธศาสนา กษัตริย์ทั้งสองเป็นสหายที่ไม่เคยเห็นหน้ากันเลย


    ครั้งหนึ่ง พระเจ้าปัญจาลราชได้ส่งผ้ารัตนกัมพลผืนหนึ่งไปถวายพระเจ้ามหารถราชพระเจ้ามหารถราช ทอดพระเนตรเห็นผ้ารัตนกัมพล แล้วจึงตรัสว่าสหายเราส่งผ้าอันมีค่ามากมาให้เรา เราก็ควรจัดส่งแก้วอันประเสริฐไปให้ตอบแทนพระสหาย ดังนี้ พระเจ้ามหารถจึงคิดว่า เราจะส่งแก้วสิ่งใดหนอซึ่งมีค่ามากเหนือสิ่งอื่นใด


    พิจารณาแล้วเห็นว่า แก้วใดๆจะประเสริฐกว่าพุทธรัตนะย่อมไม่มี
    จึงตกลงใจจะส่งพุทธรัตนะไปถวาย จึงสั่งให้ช่างนำแผ่นทองคำตีเป็นแผ่นบางแล้วให้เขียนรูปพระพุทธเจ้าลงไปในแผ่นทองคำด้วยชาตหรคุณมีขนาดองค์ประมาณ ๑ ศอก
    แล้วสั่งให้อำมาตย์เชิญพระพุทธรูปทองนั้นลงสู่สำเภาเพื่อนำไปถวายพระเจ้าปัญจาลราช


    ก่อนที่จะส่งราชทูตไป พระองค์ยกมือขึ้นประณมถวายนมัสการ โดยทรงระลึกถึงองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลาย พระองค์มีความประสงค์จะสั่งสอนเวไนยสัตว์ในประเทศใดๆ ขอพระองค์ทรงเสด็จไปยังประเทศนั้นๆ แล้วยังประโยชน์ให้เกิด แก่สัตว์จำพวกนั้นเถิด

    พระเจ้าปัญจาลราชสหายของหม่อมฉันเป็นมิจฉาทิฎฐิ มีความเห็นผิดจากทำนองครองธรรมมิได้มีความเชื่อความเลื่อนใสในพระองค์ ถ้าพระองค์เสด็จไปยังพระนครนั้นแล้ว ขอพระองค์ได้โปรดแสดงปาฎิหาริย์ทรมานพระเจ้าปัณจาลราชให้ละซึ่งมิจฉาทิฎฐิด้วยเถิด"


    อธิษฐานเสร็จแล้วเสด็จลงน้ำประมาณพระศอ(พระพุทธเจ้าอยู่บนเรือท่านจึงลงไปในน้ำซึ่งต่ำกว่า) เพื่อส่งรูปพระพุทธเจ้านั้นไปยังเมืองปัญจาลนคร



    ในขณะนั้น บรรดาแก้วอันเกิดในมหาสมุทรมีสีต่างๆก็ผุดขึ้นจากท้องมหาสมุทรลอยอยู่เหนือน้ำเพื่อบูชาพระพุทธรูปนั้น พื้นน้ำงามวิจิตรด้วยแก้ว ๗ ประการประหนึ่งพื้นแห่งภาชนะทอง ดอกปทุมทั้งหลายก็ผุดขึ้นเหนือพื้นน้ำพญานาคทั้งหลายก็ได้พานาคบริษัทออกจากนาคพิภพขึ้นมาสักการบูชาด้วยสุคันธมาลา เทวดาทั้งหลายก็เรี่ยราย ดอกไม้ทิพย์ลงมาจากอากาศ



    เมื่อราชทูตไปถึงกรุงปัญจาลนครแล้ว จึงเข้าไปถวายบังคมพระเจ้าปัญจาล แล้วกราบทูลเหตุอัศจรรย์ ให้ทราบโดยตลอด ท้าวเธอทรงโสมนัสปรีดาในเครื่องบรรณาการเป็นยิ่งนัก ได้เสด็จออกพร้อมจตุรงคเสนารับสั่ง ให้ชาวเมืองประโคมแตรสังข์ กังสดาล เสด็จไปยังท่าน้ำ ถวายนมัสการสักการบูชา แล้วเสด็จลงไปในน้ำประมาณพระศอ
    ทอดพระเนตรเห็นพระพุทธรูปแล้วทรงยินดีทรงแสดงตนเป็นพุทธมามกะ



    แล้วด้วยอำนาจความศัทธาของพระเจ้าปัญจาลราช และด้วยอำนาจอธิษฐานของพระเจ้ามหารถราชพระพุทธรูปนั้นก็ลอยขึ้นไปบนอากาศเปล่งรัศมี ๖ ประการ จับพื้นปฐพีตลอดจนถึงพรหมโลก กลบแสงแห่งอาทิคย์ กลบแสงรัศมีเทวดาในหมื่นโลกธาตุ


    ณ กาลนั้นในคราวนั้นพระอินทร์ ได้เสด็จลงมาถวายนมัสการพร้อมด้วยเทพบริษัท มนุษย์ก็เห็นเทวดา เทวดาก็เห็นหมู่มนุษย์ พระเจ้าปัญจาลราชเห็นปาฎิหาริย์เช่นนั้น ทรงโสมนัสยินดียิ่งนักได้นำพระพุทธรูปไปประดิษฐานในพระมนเทียร แล้วบูชาด้วยประทีปธูปเทียนชวาลา ทรงแสดงองค์เป็นอุบาสก



    ในเวลาต่อมาพระองค์ได้ให้ช่างแกะรูปพระพุทธเจ้าด้วยแก่นจันทน์แล้วประดิษฐานไว้ในศาลาไม้บุณนาค
    แล้วรับสั่งให้ชาวเมืองพากันมาปิดทองพระพุทธรูป ในครั้งนั้นพระโพธิสัตว์เป็นคนเข็ญใจในเมืองนั้น เมื่อได้ยินเสียงโฆษณาดังกล่าวแล้วตัดสินใจ อำลาลูกอำลาเมียเพื่อไปขายตัวให้เป็นทาส แล้วจะได้เงินมาซื้อทองปิดพระพุทธรูป

    แต่ด้วยความเห็นใจของภรรยา ภรรยาจึงยอมขายตนและลูกเป็นค่าทอง พระโพธิสัตว์นำลูกเมียไปขายในตระกูลที่มั่งคั่งแล้วนำไปซื้อทองปิดพระพุทธรูป เมื่อทองไม่พอจึงรำพึง "ใครหนอจักทำเนื้อมนุษย์ ให้เป็นทองได้ เราจักบริจาคตน "


    ในครั้งนั้นท้าวสักกเทวราชได้เสด็จลงมายืนอยู่ตรงหน้าแสดงตนเป็นช่างทอง ต่อพระโพธิสัตว์


    เมื่อทราบว่าช่างทองนั้นสามารถทำเนื้อให้เป็นทองได้จึงประกาศแก่เทพเทวดาขออาวุธเชือดเลือดเนื้อตกลงมา เมื่อได้ ศัสตราวุธแล้วพระโพธิสัตว์ก็เชือดเนื้อของตนจนตราบเท่าปิดทองสำเร็จเกิดความยินดีโสมนัส สลบลงแทบเท้าพระพุทธรูป


    พระอินทร์ได้เยียวยาให้หายเป็นปรกติ แล้วเป็นผู้มีกายดุจสีทอง พระอินทร์ตรัสพยากร " ท่านจัดได้เป็นพระศรีสรรเพชญ์ในอนาคต " แล้วพระอินทร์ก็กลับสู่วิมาน



    พระเจ้าปัญจาลราชพร้อมชาวเมือง ได้ทำการสักการบูชาแก่พระโพธิสัตว์ และแบ่งสมบัติให้พระโพธิสัตว์เป็นอันมาก

    ครั้นดับขันธ์แล้วพระโพธิสัตว์ไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิตเสวยสมบัติอันมโหฬาร






    http://www.84000.org/anisong/39.html
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 กุมภาพันธ์ 2009
  20. สัตบุรุษ

    สัตบุรุษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    733
    ค่าพลัง:
    +840
    40 อานิสงส์ การเจริญเมตตา



    เอวัม เม สุตัง, ข้าพเจ้า (คือพระอานนท์) ได้สดับมาแล้วอย่างนี้, เอกัง สะมะยัง ภะคะวา สาวัตถิยัง วิหะระติ เชตะวะเน อะนาถะปิณฑิกัสสะ อาราเม, สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้า, เสด็จประทับอยู่ที่เชตวันมหาวิหาร, ซึ่งเป็นอารามของอนาถปิณฑิกคฤหัสบดี ใกล้เมืองสาวัตถี ตัตระ โข ภะคะวา ภิกขุ อามันเตสิ ภิกขะโวติ, ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกพระภิกษุทั้งหลายว่า, ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, ภะทันเตติ ภิกขู ภะคะวะโต ปัจจัสโสสุง, ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว, ภะคะวา เอตะทะโวจะ,

    พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสพระดำรัสนี้ว่า, เมตตายะ ภิกขะเว เจโตวิมุตติยา, ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, เมตตาอันเป็นไปเพื่อความหลุดพ้นแห่งจิตนี้, อาเสวิตายะ, อันบุคลบำเพ็ญจนคุ้นแล้ว ทำให้มากแล้ว, พะหุลีกาตายะ ยานีกะตายะ, ทำให้มากคือ, ชำนาญให้เป็นยวดยานของใจ, วัตถุกะตายะ อะนุฎฐิตายะ, ให้เป็นที่อยู่ของใจตั้งไว้เป็นนิตย์, ปะริจิตายะ, อันบุคคลส่งเสริมอบรมแล้ว บำเพ็ญดีแล้ว, เอกาทะสานิสังสา ปาฎิกังขา, ย่อมมีอานิสงส์ สิบเอ็ดประการ, กะตะเม เอกาทะสะ,



    อานิสงส์สิบเอ็ดประการ อะไรบ้าง,

    (๑) สุขังสุปะติ, คือ (ผู้เจริญเมตตาจิตนั้น) หลับอยู่ก็เป็นสุฃสบาย

    (๒) สุขัง พุชฌะติ, ตื่นขึ้นก็เป็นสุขสบาย,

    (๓) นะปาปะกัง สุปินัง ปัสสะติ, ไม่ฝันร้าย

    (๔) มะนุสสานัง ปิโยโหติ, เป็นที่รักของเหล่ามนุษย์ทั้งหลาย,

    (๕) อะมะนุสสานัง ปิโยโหติ, เป็นที่รักของเหล่าอมนุษย์ทั่วไป,

    (๖) เทวะตารักขันติ, เทวดาย่อมคุ้มครองรักษา

    (๗) นาสสะอัคคิ วา วิสัง วา สัตถัง วา กะมะติ, ไฟก็ดี ยาพิษก็ดี ศัตราก็ดี ย่อมทำอันตรายไม่ได้,

    (๘) ตุวะฎัง จิตตังสะมาธิยะติ, จิตย่อมเป็นสมาธิได้โดยเร็ว,

    (๙) มุขะวัณโณ วิปปะสีทะติ, ผิวหน้าย่อมผ่องใส,

    (๑๐) อะสัมมุฬโห กาลัง กะโรติ, เป็นผู้ไม่ลุ่มหลง ทำกาลกิริยาตาย,

    (๑๑) อุตตะรัง อัปปะฎิวำชฌันโต, พรัหมะโลกูปะโค โหติ, เมื่อยังไม่บรรลุคุณวิเศษอันยิ่งๆขึ้นไป, ย่อมเป็นผู้เข้าถึงพรหมโลกแล,



    เมตตายะ ภิกขะเว เจโตวิมุตติยา, ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, เมตตาอันเป็นไปเพื่อความหลุดพ้นแห่งจิตนี้, อาเสวิตายะ, อันบุคลบำเพ็ญจนคุ้นแล้ว ทำให้มากแล้ว, พะหุลีกาตายะ ยานีกะตายะ, ทำให้มากคือ, ชำนาญให้เป็นยวดยานของใจ, วัตถุกะตายะ อะนุฎฐิตายะ, ให้เป็นที่อยู่ของใจตั้งไว้เป็นนิตย์, ปะริจิตายะ, อันบุคคลส่งเสริมอบรมแล้ว บำเพ็ญดีแล้ว, เอกาทะสานิสังสา ปาฎิกังขา, ย่อมมีอานิสงส์ สิบเอ็ดประการ, อิทะมะโว จะ ภะคะวา, พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ตรัสธรรมปริยายอันนี้แล้ว, อัตตะมะนา เต ภิกขู ภะคะวะโต, ภิกษุทั้งหลายเหล่านี้ ก็มีใจยินดี, ภาสิตัง อะภินันทุนติ, พอใจในภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น, อิติ, ด้วยประการฉะนี้แล




    http://www.84000.org/anisong/40.html



    [vdo]http://audio.palungjit.org/attachment.php?attachmentid=12005[/vdo]​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 กุมภาพันธ์ 2009

แชร์หน้านี้

Loading...