ํธัมมานุปัสนนามหาสติปัฎฐานสี่ เป็นอย่างไร

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ขันธ์, 2 เมษายน 2009.

  1. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    คุณ บุคคลไปทั่วครับ
    คุณเคยได้ยิน นายนิวรณ์ กล่าวว่าอาจารย์ของเขากล่าวว่า เข็นควายขึ้นภูเขายังดีกว่าเข็นอริยะไซเบอร์ ไหมครับ
    ก็ คนถูกกล่าวหาก็คือ คนที่เล่นเน็ตทั้งหมด มากมายซึ่งไม่ได้ชี้แจงในขณะ ที่ นายนิวรณ์คุยกับอาจารย์ของเขา
    วันนั้นอริยไซเบอร์คือ บุคคลที่ 3
    วันนี้ อริยไซเบอร์คือบุคคลที่ 2 และอาจารย์ของนายนิวรณ์คือ บุคคลที่3
    มันก็เหมาะสมดีแล้ว ที่ผมจะพูดกลับไป ตามกาลที่เหมาะสม
     
  2. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    แต่เอาเถอะครับ ผมจะยุติ เรื่องการพาดพิงทั้งหมด เพื่อให้คนอื่นสบายใจ
    เพราะผมถือว่า ผมกล่าวตามความเป็นจริงไปหมดแล้ว
    ที่เหลือ ก็แล้วแต่จะพิจารณา อย่างน้อยมันก้เป็น กาลมสูตร ให้ท่านยั้งคิดก่อนจะเชื่อคนมากกว่า การที่เราได้พบเองเห็นเอง
     
  3. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ทำไปเถอะคุณขันธ์ คุณจะปรุงว่าผมพูดอะไร ใครพูดอะไร ใครทำอะไร คุณก็ปรุงไป

    เพราะ ยิ่งทำคนก็ยิ่งเห็นว่า คุณนั้นเอาแต่ปรุง แล้วก็ยึด สิ่งที่ตัวเองปรุง หมายจะให้
    มันเกิด สัจจนิรันดร์ในคำพูดตัวเอง

    ขนาดผม ถามแล้วถามอีกว่า หากมีข้อเท็จจริงคุณจะรับฟังไหม คุณก็ยืนยันอยู่นั้น
    แหละว่า ขอยึดตามที่ฉันคิด

    แบบนี้ คุยเรื่องอะไรก็เสียหมดแหละ เพราะหากอะไรไม่ตรงกับที่คุณคิด ก็จะเป็น
    อันว่าไม่มีทางถูกขึ้นมาได้ เพราะคุณเอาแต่ปิดรับข้อเท็จจริง

    ชอบเหลือเกินเนอะ

    ปรักปรำไปเรื่อยๆ ว่า คนนั้นพูดอย่างนั้น คนนั้นรับรองคนนี้ คนนี้สอนคนนั้นอย่างนั้น
    คนนั้นสอนคนนี้อย่างนี้ คิดเอาเองคนเดียวเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
     
  4. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    คุณ นิวรณ์ คุณยกข้อเท็จจริงที่ด่าผมตลอดไม่ใช่หรือ แล้วจะให้ผมรับข้อเท็จจริงอะไรหละครับ
    ผมยก เหตุผลมาให้คุณดูทุกอย่างแล้ว

    ทีนี้ในส่วน ที่ว่า พระเป็นลูกศิษย์พระอริยะท่านนั้นท่านนี้ ผมก็บอกว่า ไม่สำคัญหรอกครับ สำคัญที่ธรรม
    จะมาบอกว่า ผมไม่รับฟังอะไรหละครับ

    ผมยกธรรมมา คุณก็บอกว่า นายขันธ์ มั่วอย่างนั้นอย่างนี้
    ตัวคุณเองก็แสดงออกมาให้เห็นว่า คุณได้รับการฝึกมาไม่ดีเลย ทั้งในด้านสติและหลักธรรม แล้วจะให้ผมเชื่ออะไรหละครับ

    นั่นแหละประเด็นทั้งหมด

    ทีนี้ ทางแก้ไข ต่อไปจะได้ไม่ทะเลาะกัน
    1 คุณควรเลิกสร้างกระแส โหมกระแส ในการต่อต้านผม
    2 คุณควรยกเลิก การสอนคนห้ามพิจารณาธรรม ทั้งๆที่ครูบาอาจารย์กี่คนก็สอนมาว่าให้พิจารณา ถ้าคุณไม่ดื้อคุณก็ควรจะเข้าใจเรื่องง่ายๆ
    3 ผมจะยุติในการตำหนิ อาจารย์ของคุณและตัวคุณ
    4 คุณยังทำตัวไม่ดีพอ ให้คุณเลิกสอนและชี้นำคนอื่น จนกว่าตัวคุณจะปฏิบัติตนได้ดีแล้ว
    5 หากว่า คุณยังเห็นว่า ธรรมของผมผิด คุณยกขึ้นมาเป็นข้อ แล้วมาถกกัน อย่างไม่ต้องมีคนอื่นมาร่วม
     
  5. บดินทร์จ้า

    บดินทร์จ้า เจโตวิมุตติ-ปัญญาวิมุตติ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    493
    ค่าพลัง:
    +749
    พระรัตนตรัย อันมีพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสังฆเจ้า เป็นที่พึ่งสูงสุดของนักปฏิบัติธรรม นะครับ หากจะมีความเห็นใดๆเป็นการส่วนตัว อย่าประมาทครูบาอาจารย์นะครับ จะเป็นบาปต่อตัวท่านเองครับ ด้วยความปราถนาดี ไม่มีอิงข้างใด เจริญในธรรมทุกท่านครับ
     
  6. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    คุณ บดินทร์จ้า

    ในสมัยพุทธกาล พระศาสดา เชิญให้คนมาพิสูจน์
    บางคนมาพิสูจน์ ก็มีบางคน ว่าพระพุทธเจ้าแรงๆ ก็มี เช่น เขาว่าพระศาสดาชอบฆ่า
    เขาว่าพระศาสดาเป็นผู้ไม่ไหว้ ไม่กระทำอัญชลี

    แบบนี้เป็นต้น คนที่มาพูดเหล่านั้น พระศาสดาไม่เคยบอกเลยว่า จะมีบาปกรรม

    เพราะอะไร เพราะเขาพูดด้วยใจที่เป็นธรรม คือ ก็เห็นมาแบบนั้นได้ยินแบบนั้นก็พูดแบบนั้น

    อีกประการหนึ่งครับ บ้านเมืองเราถูกสอน ว่าให้อย่าเถียงผู้ใหญ่ อย่าปรามาสพระอริยะ

    เราก็เลยแยกไม่ออกว่า อะไรคือ การปรามาส อะไรคือ การแสดงความเห็นอย่างเป็นธรรม

    ผมบอกตามตรงว่า คำสอนที่ยกมานั้นไม่ถูกต้อง และจากการศึกษาดูหลายๆอย่าง ก็พบว่า คำสอนที่ผมกล่าวหานั้น ไม่ถูกต้อง

    ก็ในเมื่อผมอาจหาญ กล้ายืนหยัดด้วยธรรม และด้วยการให้เหตุผล แบบนี้แหละ คือ สิ่งที่ควรยกย่อง มากกว่า การจะมาเตือน

    ทีนี้ อะไรที่ควรเตือน และเรียกว่า เป็นการปรามาส ก็อย่างเช่น ด่าบริภาษ เช่น เข็นควายขึ้นภูเขายังง่ายกว่า เข็นอริยะไซเบอร์ หรือ การด่าบริภาษว่า คนลามกบ้าง

    อะไรก็ตามที่นายนิวรณ์ได้กระทำมา มันก็แสดงให้เห็นแล้วว่า นายนิวรณ์ เสื่อมจากคุณธรรมที่เคยมีของตนทันที อย่างไม่ต้องสงสัย นั่นแหละครับที่เรียกว่า ปรามาส

    คนที่แสดงความเห็นอย่างเป็นธรรมและบริสุทธิฺ์์ใจ อย่างผม ผมไม่เคยกลัว
    และ หากว่า กระทำผิด ที่เป็นบาป ป่านนี้ผมก็คงจะ เสื่อมจากคุณธรรมที่มีไปแล้วครับ

    แต่ตรงกันข้าม ยิ่งผมออกมาพูดเรื่องนี้เท่าไร ปัญญาที่เห็นธรรมก็ยิ่งแจ้งขึ้นเท่านั้น
    เพราะบริสุทธิ์ใจ ที่จะให้ความรู้กับคน มากกว่ามานั่งตำหนิหรือด่า ด้วยความแค้นเคือง

    โปรดฟังอีกครั้ง ( ย้อนกลับไปอ่านใหม่อีกครั้ง )
     
  7. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    นี่คุณครับ ไม่มีหรอกที่อยู่ดีๆ ใครจะกล่าวหบายคายกับใคร โดยไร้เหตุ

    เหตุ มันก็แจ้งอยู่แล้วว่า คุณกล่าวตู่คนอื่น กล่าวตู่ครูบาอาจารย์คนอื่นด้วย
    ข้อมูลอันเป็นเท็จ บอกข้อมูลจริงให้แล้ว ก็ไขสือ บอกว่า เป็นเพียงคำพูด

    ก็ที่คำพูดตัวเอง ทำไมไม่เป็นเพียงคำพูด แต่กลับหนักแน่น

    เรื่องดูเฉยๆ ก็อธิบายไปไม่รู้กี่รอบ แม้แต่เรื่องธรรมานุปัสสนานี่ก็ต้องตั้งมั่นรู้
    การตั้งมั่นรู้ก็คือ ดูเฉยๆ นี่มันก็ครอบคลุมอยู่แล้ว หากไม่ดูเฉยๆ เที่ยวออกไป
    จับกิเลส ก็ไม่เข้าหลักการปฏิบัติที่จะต้องเห็นกิเลสดับไปตามความเป็นจริง
    และพอเห็นความเป็นจริงว่ากิเลสมันดับไปเป็นธรรมดา ก็เกิดการสลัดคืนไม่
    ยึดมั่น ไม่ฉวยกิเลสเข้ามาในเรือนใจ นี่มันก็ตรงๆ ตามธรรมานุปัสสนาอยู่แล้ว
    กับคำว่า ดูเฉยๆ แม้มุมอื่นก็อธิบายไปแล้ว เช่นเห็นนิมิตวิเศษ ก็ต้องรู้ไปเฉยๆ
    ไม่เข้าไปอิน มันก็จะผ่านนิมิตแล้วไปสู่อุคหนิมิต นี่ การดูเฉยๆ ได้ทั้ง สมถะ
    และ วิปัสสนา

    พี่ก็เอาแต่ยัดเยียดคำว่า ดูเฉยๆ ในมุมมองของตัวเองว่า เป็นการปล่อยให้กิเลศ
    มันครอบงำ นี่มันยัดเยียดข้อหา ไม่มีนักภาวนาที่ไหนเขาสอนแบบนั้น มีแต่
    คุณนั้นแหละที่อยากจะยัดเยียดว่าพระท่านสอนผิด เลยยัดข้อหาไม่เลิก กล่าว
    ตู่ครูบาอาจารย์ด้วยความเท็จไม่เลิก แล้วมาทำ ไขสือ บอกว่า เป็นตำรวจมาจับโจร

    ไม่ได้ดูเหตุ ดูผล อะไรเลย

    ข้อเท็จจริงก็ไม่เอา เอาแต่ตั้งข้อหา แล้วเอาเหล็กร้อนแทงหัวใจอย่างเดียว
    หากใครดิ้น ก็สาดโคลนอีกว่า ดิ้นเพราะกิเลส เลยไม่นิ่ง

    ทำไปเถอะ เหมือนคนที่คุณชอบนั้นแหละ แบบนี้แหละที่พาชาติล้มจม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 เมษายน 2009
  8. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    บทที่ ๙ วิปัสสนูปกิเลส

    ในการปฏิบัติพระกัมมัฏฐานนั้น ในบางครั้งก็มีอุปสรรคขัดข้องต่างๆรวมทั้งเกิดการหลงผิดบ้างก็มี ซึ่งหลวงปู่ดูลย์ อตุโล ก็ได้ให้ความช่วยเหลือแนะนำและช่วยแก้ไขแก่ลูกศิษย์ลูกหาได้ทันท่วงที ดังตัวอย่างที่ยกมานี้

    มีอยู่ครั้งหนึ่ง เกิดปัญหาเกี่ยวกับ วิปัสสนูปกิเลส ซึ่งหลวงปู่เคยอธิบายเรื่องนี้ว่า เมื่อได้ทำสมาธิจนสมาธิเกิดขึ้น และได้รับความสุขอันเกิดแต่ความสงบพอสมควรแล้ว จิตก็ค่อยๆหยั่งลงสู่สมาธิส่วนลึก นักปฏิบัติบางคน จะพบอุปสรรคสำคัญอย่างหนึ่ง เรียกว่า วิปัสสนูปกิเลส ซึ่งมี๑๖ อย่าง มี โอภาสคือ แสงสว่าง และอธิโมกข์คือ ความน้อมใจเชื่อเป็นต้น

    พลังแห่งโอภาสนั้นสามารถนำจิตไปสู่สภาวะต่างๆได้อย่างน่าพิศวงเช่น จิตอยากรู้อยากเห็นอะไรก็ได้เห็นได้รู้ในสิ่งนั้น แม้แต่กระทั่งได้กราบได้สนทนากับพระพุทธเจ้าก็มี

    เจ้าวิปัสสนูปกิเลสนี้มีอิทธิพลและอำนาจ จะทำให้เกิดความน้อมใจเชื่ออย่างรุนแรง โดยไม่รู้เท่าทันว่าเป็นการสำคัญผิด ซึ่งเป็นการสำคัญผิดอย่างสนิทสนมแนบเนียน และเกิดความภูมิใจในตัวเองอยู่เงียบๆ บางคนถึงกับสำคัญตนว่าเป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งด้วยซ้ำ บางรายสำคัญผิดอย่างมีจิตกำเริบยโสโอหังถึงขนาดที่เรียกว่าเป็นบ้าวิกลจริตก็มี

    อย่างไรก็ตาม วิปัสสนูปกิเลส ไม่ได้เป็นการวิกลจริต แม้บางครั้งจะมีอาการคล้ายคลึงคนบ้าก็ตาม แต่คงเป็นเพียงสติวิกล อันเนื่องจากการที่จิตตั้งมั่นอยู่กับอารมณ์ภายนอก แล้วสติตามควบคุมไม่ทัน ไม่ได้สัดไม่ได้ส่วนกันเท่านั้น ถ้าสติตั้งไว้ได้สัดส่วนกัน จิตก็จะสงบเป็นสมาธิลึกลงไปอีก โดยยังคงมีสิ่งอันเป็นภายนอกเป็นอารมณ์อยู่นั่นเอง

    เช่นเดียวกับการฝึกสมาธิของพวกฤๅษีชีไพร ที่ใช้วิธี เพ่งกสิณ เพื่อให้เกิดสมาธิ ในขณะแห่งสมาธิเช่นนี้ เราเรียกอารมณ์นั้นว่า ปฏิภาคนิมิตและเมื่อเพิกอารมณ์นั้นออก โดยการย้อนกลับไปสู่ "ผู้เห็นนิมิต" นั้นนั่นคือย้อนสู่ต้นตอคือ จิต นั่นเอง จิตก็จะบรรลุถึงสมาธิขั้นอัปปนาสมาธิอันเป็นสมาธิจิตขั้นสูงสุดได้ทันที

    ในทางปฏิบัติที่มั่นคงและปลอดภัยนั้น หลวงปู่ดูลย์ท่านแนะนำว่า "การปฏิบัติแบบจิตเห็นจิต เป็นแนวทางปฏิบัติที่ลัดสั้น และบรรลุเป้าหมายได้ฉับพลัน ก้าวล่วงภยันตรายได้สิ้นเชิง ทันทีที่กำหนดจิตใจได้ถูกต้อง แม้เพียงเริ่มต้น ผู้ปฏิบัติก็จะเกิดความรู้ความเข้าใจได้ด้วยตนเองเป็นลำดับๆไป โดยไม่จำเป็นต้องอาศัยครูบาอาจารย์อีก"

    ในประวัติของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล พอจะเห็นตัวอย่างของวิปัสสนูปกิเลส๒ ตัวอย่าง คือกรณีของท่านหลวงตาพวง และกรณีของท่านพระอาจารย์เสร็จ จะขอยกกรณีของหลวงตาพวงมาเล่าเพื่อประดับความรู้ต่อไป

    ศิษย์ของหลวงปู่ชื่อ หลวงตาพวง ได้มาบวชตอนวัยชรา นับเป็นผู้บุกเบิกสำนักปฏิบัติธรรมบนเขาพนมรุ้ง จังหวัดบุรีรัมย์

    หลวงตาพวงได้ทุ่มเทชีวิตจิตใจให้แก่การประพฤติปฏิบัติ เพราะท่านสำนึกตนว่ามาบวชเมื่อแก่ มีเวลาแห่งชีวิตเหลือน้อย จึงเร่งความเพียรตลอดวันตลอดคืน

    พอเริ่มได้ผล เกิดความสงบ ก็เผชิญกับวิปัสสนูปกิเลสอย่างร้ายแรง เกิดความสำคัญผิด เชื่อมั่นอย่างสนิทว่าตนเองได้บรรลุอรหัตผล เป็นพระอรหันต์องค์หนึ่งเป็นผู้สำเร็จผู้เปี่ยมด้วยบุญญาธิการ ได้เล็งญาณ (คิดเอง) ไปจนทั่วสากลโลกเห็นว่าไม่มีใครรู้หรือเข้าถึงธรรมเสมอด้วยตน

    บังเกิดจิตคิดเอ็นดูสรรพสัตว์ทั้งหลาย ใคร่จะไปโปรดให้พ้นจากทุกข์โทษความโง่เขลา เล็งเห็นพระสงฆ์ทั้งหมด ตลอดจนครูบาอาจารย์ ล้วนแต่ยังไม่รู้ จึงตั้งใจจะต้องไปโปรดหลวงปู่ดูลย์ผู้เป็นพระอาจารย์เสียก่อน

    ดังนั้น หลวงตาพวงจึงได้เดินทางด้วยเท้าเปล่ามาจากเขาพนมรุ้ง เดินทางข้ามจังหวัดมาไม่ต่ำกว่า ๘๐ กิโลเมตร มาจนถึงวัดบูรพาราม หวังจะแสดงธรรมให้หลวงปู่ฟัง

    หลวงตาพวงมาถึงวัดบูรพาราม เวลา ๖ ทุ่มกว่า กุฏิทุกหลังปิดประตูหน้าต่างหมดแล้ว พระเณรจำวัดกันหมด หลวงปู่ก็เข้าห้องไปแล้ว ท่านก็มาร้องเรียกหลวงปู่ด้วยเสียงอันดัง

    ตอนนั้นท่านเจ้าคุณพระโพธินันทมุนี ยังเป็นสามเณรอยู่ ได้ยินเสียงเรียกดังลั่นว่า "หลวงพ่อ หลวงพ่อ หลวงพ่อดูลย์..." ก็จำได้ว่าเป็นเสียงของหลวงตาพวง จึงลุกไปเปิดประตูรับ

    สังเกตดูอากัปกิริยาก็ไม่เห็นมีอะไรผิดแปลก เพียงแต่รู้สึกแปลกใจว่า ตามธรรมดาท่านหลวงตาพวงมีความเคารพอ่อนน้อมต่อหลวงปู่ พูดเสียงเบา ไม่บังอาจระบุชื่อของท่าน แต่คืนนี้ค่อนข้างจะพูดเสียงดังและระบุชื่อด้วยว่า

    "หลวงตาดูลย์ ออกมาเดี๋ยวนี้ พระอรหันต์มาแล้ว"

    ครั้นเมื่อหลวงปู่ออกมาแล้ว ตามธรรมดาหลวงตาพวงจะต้องกราบหลวงปู่แต่คราวนี้ไม่กราบ แถมยังต่อว่าเสียอีก "อ้าว! ไม่เห็นกราบ ท่านผู้สำเร็จมาแล้ว ไม่เห็นกราบ"

    เข้าใจว่าหลวงปู่ท่านคงทราบโดยตลอดในทันทีนั้นว่าอะไรเป็นอะไร ท่านจึงนั่งเฉย ไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว ปล่อยให้หลวงตาพวงพูดไปเรื่อยๆ

    หลวงตาพวงสำทับว่า "รู้ไหมว่าเดี๋ยวนี้ผู้สำเร็จอุบัติขึ้นแล้ว ที่มานี่ก็ด้วยเมตตา ต้องการจะมาโปรด ต้องการจะมาชี้แจงแสดงธรรมปฏิบัติให้เข้าใจ"

    หลวงปู่ยังคงวางเฉย ปล่อยให้ท่านพูดไปเป็นชั่วโมงทีเดียว สำหรับพวกเราพระเณรที่ไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจ ก็พากันตกอกตกใจกันใหญ่ ด้วยไม่รู้ว่ามันเป็นอะไรกันแน่

    ครั้นปล่อยให้หลวงตาพวงพูดนานพอสมควรแล้ว หลวงปู่ก็ซักถามเป็นเชิงคล้อยตามเอาใจว่า "ที่ว่าอย่างนั้นๆเป็นอย่างไร และหมายความว่าอย่างไร"หลวงตาพวงก็ตอบตะกุกตะกัก ผิดๆถูกๆ แต่ก็อุตส่าห์ตอบ

    เมื่อหลวงปู่เห็นว่าอาการรุนแรงมากเช่นนั้น จึงสั่งว่า "เออ เณรพาหลวงตาไปพักผ่อนที่โบสถ์ ไปโน่น ที่พระอุโบสถ"

    ท่านเณร (เจ้าคุณพระโพธินันทมุนี) ก็พาหลวงตาไปที่โบสถ์ ไปเรียกพระองค์นั้นองค์นี้ที่ท่านรู้จักให้ลุกขึ้นมาฟังเทศน์ฟังธรรม รบกวนพระเณรตลอดทั้งคืน

    หลวงปู่พยายามแก้ไขหลวงตาพวงด้วยอุบายวิธีต่างๆ หลอกล่อให้หลวงตานั่งสมาธิ ให้นั่งสงบแล้วย้อนจิตมาดูที่ต้นตอ มิให้จิตแล่นไปข้างหน้า จนกระทั่งสองวันก็แล้ว สามวันก็แล้ว ไม่สำเร็จ

    หลวงปู่จึงใช้อีกวิธีหนึ่ง ซึ่งคงเป็นวิธีของท่านเอง ด้วยการพูดแรงให้โกรธหลายครั้งก็ไม่ได้ผล ผ่านมาอีกหลายวันก็ยังสงบลงไม่ได้ หลวงปู่เลยพูดให้โกรธด้วยการด่าว่า "เออ! สัตว์นรก สัตว์นรก ไปเดี๋ยวนี้ ออกจากกุฏิเดี๋ยวนี้"

    ทำให้หลวงตาพวงโกรธอย่างแรง ลุกพรวดพราดขึ้นไปหยิบเอาบาตร จีวรและกลดของท่านลงจากกุฏิ มุ่งหน้าไปวัดป่าโยธาประสิทธิ์ ซึ่งอยู่ห่างจากวัดบูรพารามไปทางใต้ประมาณ ๓-๔ กิโลเมตร ซึ่งขณะนั้นท่านเจ้าคุณพระราชสุทธาจารย์ (โชติ คุณสมฺปนฺโน) ยังพำนักอยู่ที่นั่น

    ที่เข้าใจว่าหลวงตาพวงโกรธนั้น เพราะเห็นท่านมือไม้สั่น หยิบของผิดๆถูกๆคว้าเอาไต้ (สำหรับจุดไฟ) ดุ้นหนึ่ง นึกว่าเป็นกลด และยังเปล่งวาจาออกมาอย่างน่าขำว่า "เออ! กูจะไปเดี๋ยวนี้ หลวงตาดูลย์ไม่ใช่แม่กู" เสร็จแล้วก็คว้าเอาบาตร จีวร และหยิบเอาไต้ดุ้นยาวขึ้นแบกไว้บนบ่า คงนึกว่าเป็นคันกลดของท่าน แถมคว้าเอาไม้กวาดไปด้ามหนึ่งด้วย ไม่รู้เอาไปทำไม

    ครั้นหลวงตาพวงไปถึงวัดป่า ทันทีที่ย่างเท้าเข้าสู่บริเวณวัดป่านี่เอง อาการของจิตที่น้อมไปติดมั่นอยู่กับอารมณ์ภายนอก โดยปราศจากการควบคุมของสติที่ได้สัดส่วนกัน ก็แตกทำลายลง เพราะถูกกระแทกด้วยอานุภาพแห่งความโกรธ อันเป็นอารมณ์ที่รุนแรงกว่า ยังสติสัมปชัญญะให้บังเกิดขึ้น ระลึกย้อนกลับได้ว่า ตนเองได้ทำอะไรลงไปบ้าง ผิดถูกอย่างไร สำคัญตนผิดอย่างไร และได้พูดวาจาไม่สมควรอย่างไรออกมาบ้าง

    เมื่อหลวงตาพวงได้สติสำนึกแล้ว ก็ได้เข้าพบท่านเจ้าคุณพระราชสุทธาจารย์และเล่าเรื่องต่างๆให้ท่านทราบ ท่านเจ้าคุณฯก็ได้ช่วยแนะนำและเตือนสติเพิ่มเติมอีก ทำให้หลวงตาพวงได้สติคืนมาอย่างสมบูรณ์ และบังเกิดความละอายใจเป็นอย่างยิ่ง

    หลังจากได้พักผ่อนเป็นเวลาพอสมควรแล้ว ก็ย้อนกลับมาขอขมาหลวงปู่กราบเรียนว่าท่านจำคำพูดและการกระทำทุกอย่างได้หมด และรู้สึกละอายใจมากที่ตนทำอย่างนั้น

    หลวงปู่ได้แนะทางปฏิบัติให้ และบอกว่า "สิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้ ว่าถึงประโยชน์ก็มีประโยชน์เหมือนกัน มีส่วนดีอยู่เหมือนกัน คือจะได้เป็นบรรทัดฐานเป็นเครื่องนำสติ มิให้ตกสู่ภาวะนี้อีก เป็นแนวทางตรงที่จะได้นำมาประกอบการปฏิบัติให้ดำเนินไปอย่างมั่นคง ในแนวทางตรงต่อไป"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 เมษายน 2009
  9. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    คุณ นิวรณ์ ผมกล่าวตู่หรือครับ

    คุณยกธรรมมาสอนคนอื่น ว่า ดูเฉยๆ อย่าไปพิจารณา ซึ่งผมก็บอกไปแล้วว่าถ้าเจริญสติ ก็ใช่ ไม่ต้องพิจารณา ให้ดูตามไปแล้วค่อยๆ พัฒนาไป

    พอผมบอกว่า ไปละกิเลสด้วย คุณก็ตามไปบอกว่า อย่าไปละ ถ้าละนี้เป็นการจงใจ
    พอผมบอกว่า ให้พิจารณาเวลา มีกำลังจิตกำลังใจ มีสมาธิดี ก็ให้พิจารณา คุณก็ยังบอกว่าอย่าไปพิจารณา

    คุณยกธรรมมาผิด แล้ว คุณไม่ยอมรับเองนี่ครับ

    ทีนี้ พอเอาพระปราโมทย์มาอ้่าง ผมก็ไม่โทษใครหรอกครับ โทษคนที่คุณยกมาอ้างนั่นแหละ ไม่เช่นนั้นคุณจะสอนคนแบบนี้หรือ
    ซึ่ง ผมก็ให้เหตุผลไปหมดแล้ว

    คุณมีพฤติกรรม การรับรู้ที่ผิดไปมาก เพี้ยนไปจากความจริงหมด มีแต่โทสะที่เกิดขึ้นในหัวใจ มันก็เลยไปเป็นอย่างอื่นไปทั้งหมด

    ส่วนเรื่องพระปราโมทย์ ก็มีคนยกมาพูดเรื่อง การบรรลุธรรมแบบผิดๆ ผมก็ต้องออกมาวิจารณ์ฺ ก็มันผิดจริงๆ คุณไม่รู้เอง

    แต่ ถ้าถามคนรู้ธรรมจริงๆ เขาก็ดูรู้ว่า นั่นคือ การเข้าใจผิดของคนพูดเอง มันชัดเจน

    ถ้าบอกว่า แค่พระโสดาบันก็ว่าไปอย่าง นี่กระโดดไปถึงพระอรหันต์ ก็กลายเป็นอุตริมนุสสธรรมอันไม่มีในตน ก็ปราชิกแน่นอน หากว่า พระท่านไม่ได้อรหันต์จริง

    ก็ ผมถึงออกมาพูด

    ผมแนะนำนะครับ ตามธรรมดาปุถุชน จะไม่สามารถทราบคำตอบที่ผมจะถามไป คุณเอาไปถามพระดู แล้วผมจะบอกให้ว่าใช่หรือไม่ใช่

    คำถามก็คือ ธรรมที่เกิดในใจ เห็นได้อย่างไร และ เห็นธรรมเกิด ดับ มีลักษณะอย่างไร ก็ตามหัวข้อนี้แหละ คุณไปถามดู

    ตรงกันข้าม ถ้าผมพูดได้ถูกต้องในครั้งนี้ มันก็หน้าที่คุณนั่นแหละที่จะต้องไปพูดให้พระท่านเห็น
     
  10. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    "เออ! สัตว์นรก สัตว์นรก ไปเดี๋ยวนี้ ออกจากกุฏิเดี๋ยวนี้"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 เมษายน 2009
  11. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    เอ้า ก็พูดกันด้วยเหตุผล ไม่ใช่หรือ
    คุณมาเคืองกันทำไมหละครับ
    ผมไม่โกรธหรอกครับ บอกตามตรง ไม่มีประโยชน์หรอกครับ คุณนิวรณ์

    ผมไม่ได้บอกว่า ผมเป็นพระอรหันต์เลย มีแต่ใครบางคนที่บอกโดยอ้อมว่า ตนเป็นพระอรหันต์ นั่นแหละ คุณยกธรรมมาตรงแล้ว เรื่องวิปัสสนูกิเลสนั่นแหละตรงดีแล้วครับ
     
  12. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ถ้าไม่เป็นอรหันต์ แล้วตัดสินได้อย่างไรว่า ขั้นตอนการเห็นมรรคผล ที่คุณ
    บอกว่า ผิดชัดเจน ผิดชัดเจน

    ไหนหละ มาตอนนี้ มาบอกว่า คุณธรรมตัวเองไม่มีที่จะพิจารณา แต่ตะกี้
    ไปวิจารณ์คำสอนพระว่าผิด แม้คุณจะไม่ได้ทำทีเป็นพูดตรงๆ แต่ก็ทำเป็น
    พูดอ้อมๆแสดงว่าตัวเองเป็นอยู่นั่นไง

    ตกลงผมผิดหรือเปล่า ที่ช่วยตักเตือนคุณว่า อย่าวิจารณ์อะไร หากยังไม่มีฐานะ

    "เออ! สัตว์นรก สัตว์นรก ไปเดี๋ยวนี้ ออกจากกุฏิเดี๋ยวนี้"

    เห็นไหมว่า ผมไม่ได้ด่าคุณ แต่กำลังช่วยคุณต่างหาก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 เมษายน 2009
  13. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    ได้สิครับ ก็ผมก็บอกไปอยู่แล้วว่า ผมมีธรรมแล้ว ใจเป็นธรรมแล้ว
    อะไรไม่ใช่ธรรม อะไรเป็นสัญญาผมก็รู้
     
  14. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    "เออ! สัตว์นรก สัตว์นรก ไปเดี๋ยวนี้ ออกจากกุฏิเดี๋ยวนี้"
     
  15. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    ในรอบแห่ง มรรคผล นั้นมีลักษณะเหมือนกัน ทั้ง 4 แต่แตกต่างกันในความละเอียดของธรรมที่ทำให้ ใจตัดกิเลสได้ คือ เห็นปัจจัยละเอียดขึ้นต่างกัน

    เช่น พระโสดาบัน เห็นว่า สักกายทิฎฐิเกิดจากอะไร ก็ตอบว่าเกิดจากความเห็น และ ความคิด

    ทีนี้ พอมาระดับ พระสกิิทาคา ก็พิจารณาเหมือนเดิมนั่นแหละ แต่ ตัวสังโยชน์เบื้องต่ำนั้นละไปแล้ว ก็จะเห็นเหตุละเอียดไปอีก ของ ราคะ และโทสะ ซึ่งชัดเจน ก็เป็นเหตุให้ดำเนินการทำให้เบาบางไปได้

    ทีนี้ ตัวญาณที่รู้ในมรรคญาณ มันก็ต้อง อบรมจนเต็ม ใน วิปัสสนาญาณนั่นแหละ เช่นเห็นรูปนามเกิดดับ จนเกิดนิพพิทาญาณ ใน ราคะ และ โทสะ

    แล้ว มรรคญาณจึงจะเกิดขึ้น


    ข้อนี้หลวงปู่มั่นเคยกล่าวไว้แล้วว่า ญาณคือ รู้จนเต็ม เหมือนการกินข้าวอิ่มแล้วจึงรู้

    นี่ผมเห็นตรงกับหลวงปู่มั่นทุกประการแล้วจึงเอามาพูดให้ฟัง ไม่ใช่ว่า ไม่มีแล้วเอามาพูด
     
  16. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    "เออ! สัตว์นรก สัตว์นรก ไปเดี๋ยวนี้ ออกจากกุฏิเดี๋ยวนี้"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 เมษายน 2009
  17. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    ก็ ถ้าเป็นวิปัสสนูกิเลส มันก็ต้องมีอาการคือ

    ยึดมั่น ถือมั่นในทัสนะ เพราะว่า มีวิปัสสนาญาณเกิดขึ้น

    จนทำให้ ( ย้ำนะครับ ) ไม่เดินออกจากกิเลส ไม่ละไม่ฝืนกิเลส ไม่เห็นภัยในกิเลส

    ก็พระศาสดากล่าวไว้แล้วว่า อย่าประมาท นั่นแหละ วิปัสสนูกิเลส และ กิเลส

    จงยังกิจทำหน้าที่ของตนให้บริบูรณ์ นั่นคือ อริยมรรค อริยผล

    คุณไปดูว่า คำสอนใดที่ ไม่เป็นไปเพื่อบอกให้คนออกจากกิเลส คำสอนนั้น ยังไม่ใช่ทาง
     
  18. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456


    "เออ! สัตว์นรก สัตว์นรก ไปเดี๋ยวนี้ ออกจากกุฏิเดี๋ยวนี้"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 เมษายน 2009
  19. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    ที่ยกมาสำทับกันนั่นแหละ ถูกต้องแล้ว เพราะว่า คิดว่าได้อรหัตตผล
    ไม่ต้องทำอะไรแล้ว ดูเฉยๆ ไม่ต้องละกิเลส เดี๋ยวมันเข้าถึงเอง

    ดีแล้วครับ นั่นแหละวิปัสสนูกิเลส
     
  20. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ยังจะยึดความเห็นตน คำแปลของตนอีก

    อธิบายไปแล้วนะ ว่าดูเฉยๆ มีอะไรบ้าง พระท่านใช้อธิบายตอนไหนบ้าง

    การเห็นกิเลสในขั้นธรรมานุปัสสนา หากตัวเองเคยเห็นจริง ก็ต้องเห็นถึง
    สภาวะที่จิตมันเฉย ไม่ไปฉวยเอาจิต เอาขันธ์มาเป็นตน นี่ก็คืออีกมุมของ
    คำว่า ดูเฉยๆ อย่ายัดเยียดคำแปลของตัวเองที่คิดเอาเองคนเดียวสิครับ

    * * * *

    "เออ! สัตว์นรก สัตว์นรก ไปเดี๋ยวนี้ ออกจากกุฏิเดี๋ยวนี้"
     

แชร์หน้านี้

Loading...