ใครดูโฆษณาบ้างคับ หนังสือ พลังแห่งชีวิต

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Kamen rider, 16 ตุลาคม 2004.

  1. potisad

    potisad เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    68
    ค่าพลัง:
    +103
    เรียนคุณ คุณไพบูลย์ จิระวิจิตรกุล
    สิ่งที่คุณพยายามอธิบายให้ทุกท่านฟัง นะครับ ว่า เมื่อมีใครสักคนหนึ่งที่ร่ำรวยและมีเงินเหลือใช้ และเมื่อเขาสำนึกถึงความรักที่พระเจ้าคือพระเยซูคริสต์ ยอมตายบนไม้กางเขนเพื่อไถ่บาป และผู้นั้นที่ได้ยอมรับพระองค์เข้ามาในจิตใจ สำนึกถึงพระคุณที่พระเจ้ารักเขา อยากจะบอกถึงความรักของพระเจ้าให้คนทั่วโลกได้รับรู้ และรับการเปลี่ยนแปลงชีวิตไปในทางที่ดีเหมือนที่เขาได้รับและได้สัมผัส
    คนๆคนี้ตายไปแล้วครับ เธอมีชื่อว่า อาร์เธอร์ เดมอส เป็นนักธุรกิจในวงการประกันผู้ล่วงลับไปแล้วเมื่อ 1996 เป็นผู้ก่อตั้งมูลนิธิอาร์เธอร์ เอส.เดมอส (Arthur S.Demoss Foundation) ตั้งอยู่ในเวสต์ ปาล์ม บีช รัฐฟลอริดา ปัจจุบัน ภรรยาของอาร์เธอร์ เป็นประธาน(แนนซี เดมอส )
    และมูลนิธินี้มักจะมีชื่อเข้าไปพัวพันกับกลุ่มการเมืองขวาจัดหลายกลุ่ม อาทิ Republican GOPAC และ Plymouth Rock Foundation ซึ่งเป็นกลุ่มคริสเตียนที่มีแนวคิดรุนแรงสุดขั้ว ที่พยายามเรียกร้องให้มีการลงโทษประหารในกรณีของบุคคลที่มีเพศสัมพันธ์แบบรักร่วมเพศ พวกที่คลั่งเวทมนตร์คาถา และกลุ่มที่ชอบมีชู้
    และหนังสือ Power for Living นี้เขียนโดยบาทหลวงเจมี บักกิงแฮม มูลนิธินี้ยังพยายามเข้าไปเผยแพร่ Power for living ในรูปแบบต่างๆ ในประเทศอื่นๆ ด้วย อาทิ เยรูซาเลม โบลิเวีย ไอร์แลนด์เหนือ และไอร์แลนด์ อีกทั้งยังได้เริ่มขยายโครงการเข้ามาในเอเชียและแอฟริกาด้วย
    แต่...แต่สำหรับเยอรมนีแล้ว กลับถูกต่อต้านอย่างรุนแรง โดยเมื่อต้นปี 2545 มูลนิธิอาร์เธอร์ฯ ได้พยายามใช้กลยุทธ์เดียวกันนี้โปรโมตให้ชาวเยอรมันสั่งหนังสือ Kraft zum Leben ซึ่งก็คือพลังแห่งชีวิตในเวอร์ชั่นภาษาเยอรมันของมูลนิธิ ในที่สุดคณะกรรมการวิทยุโทรทัศน์ของเยอรมนีประกาศแบนโฆษณาเหล่านี้ โดยอ้างว่าผิดกฎหมายของประเทศ กรณีอื้อฉาวดังกล่าวส่งผลให้มูลนิธิต้องยอมเปิดตัวเองลงไป
    ผมขอคารวะในน้ำใจที่ปรารถนามอบสิ่งที่ดีนะครับ แต่สิ่งที่คิวว่าดีนั้นไม่สามารถพิสูจฯผ่านการทดลองปฏิบัติได้อันยิ่ง เพราะว่าผม (ลอกที่โพสท์"ว้ในเวบอื่นมาลงนะครับ)"ผมคนหนึ่งเมื่อวัยหนุ่มหลงวิ่งตามก้นสาวเจ้าเข้าโบสถ์คริสต์ 2ปี ต่อมาขลิบปลายอวัยวะเพศเข้าเป็นมุสลิมทั้งละหมาด 5 เวลาถืออดรอมฎอน เกือบ5ปี สิ้นที่เรียนรู้ค้นพบมาแพ้ราบคาบต่อพระแก่ๆที่ไม่มีการศึกษาทางโลกหรือบาลี"
    ผมเคยอ่านบทความหนึ่งผ่านมานานแล้ว อ้าง อับเบิตไอสไตย์ กล่าวว่า ศาสนาที่สามารถท้าให้ลองพิสูจน์ มีหนึ่งเดียว คือพุทธศาสนา
    ผมคนหนึ่งที่เมื่อผ่านการพิสูจน์แล้วจึงเชื่อ ผมจึงทะเยอทะยานไปพิสูจน์มาแล้ว ทั้ง 3 โบสถ์
    ขอคารวะอีกครั้ง และเมื่อถึงวาระหนึ่งผมเชื่อว่า คนมีสติปั__าเช่นคุณ จะพยายามค้นหาคำตอบจนเจอ อย่าเพิ่งด่วนสรุปตอนนี้ซิครับ ให้กาลเวลาผ่านไปอีกนิดครับ anapanus2@chaiyo.com
     
  2. potisad

    potisad เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    68
    ค่าพลัง:
    +103
    เรียน คุณ จากไบเบิ้ล
    อุอุ...เล่นยกไบเลิ้ลมากางเลยนะครับ ...อิอิ
    คุณครับ สำนวนเหล่านี้นะครับ ถูกแปลและเรียบเรียงร้อยกรองขึ้นมาใหม่นะครับ ไม่ใช่สำนวนข้อความเดิม (ฉบับที่นครวาติกัน) โดยคนที่ถูกซื้อตัวมาแปลได้ทั้งงาน เงิน ตำแหน่ง (คนที่เคยเกาะผ้าเหลือง เอาแก่นไปหากินนะครับ พวกนี้ขายของดี หากิน ต่ำชั้นกว่าห_ิงโสเภณี)
    คุณครับมีหลายคนนะครับที่ไปดี ไม่เอาคำสอนของพระไปดัดแปลง
    ผมรู้จักฟอร์ดินัน บางท่านและ บาดหลวงบางคนไม่พรำเพรื่อ นะครับ
    โอ้ ..พระจิต อิอิ
     
  3. jherora

    jherora บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
  4. เปาบุ้นจิ้น

    เปาบุ้นจิ้น สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    9
    ค่าพลัง:
    +1
    เรียนคุณ pordee
    ศาสนาเทวะนิยม ไม่เหมาะสมกับคนที่ชอบสงสัยครับ
    บางคำถามที่คุณสงสัยนะครับ มนุษย์ตอบไม่ได้ ...หากว่าผู้ใดตอบได้คนนั้นก็คือพระเจ้าแล้วครับ
    ขณะนี้ เห็นจะมีแต่ ท่านไสบาบา ลองไปถามดูจิครับ....อุอุ
    แต่มนุษย์ที่เหาะได้ หายตัวได้ แต่ไม่อ้างพระเจ้า คือ เดวิท คอฟเวอร์ฟิวล์
    ขอความสุขสวัสดี จงมีแก่คุณทุกทิวาราตรีครับ
     
  5. potisad

    potisad เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    68
    ค่าพลัง:
    +103
    เรียน คุณ เมฆคล้อยอนิจจัง
    คุณอธิบายง่ายๆๆ ถึงความต่างศักย์แห่งภูมิธรรม ผมนับถือภูมิธรรมคุณมากเลยครับ
    ใจเย็นๆ หากพิจารณาให้ดี แล้วคุณจะพบ มากกว่านี้ครับ
    ขอให้ปั__าคุณเจริ_ เป็นที่พึ่งของเหล่าสัตว์ ในอนาคต ด้วยครับ... นิมนต์
    ไม่รู้ไงกลายเป็ยเปาบุ้นจิ้น ไปแล้วเรา
     
  6. potisad

    potisad เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    68
    ค่าพลัง:
    +103
    เรียน คุณ แมวลาย
    ขอนับถือข้อมูลคุณครับ ผมเพิ่งทราบครับ
    Little Budha สร้างมาดีนะครับ ตั้งใจทำ ตั้งแต่ มีดอกบัวผุดขึ้นมารองรับ แต่มาตรฐานหนังฝรั่งต้องใส่เลิฟซีลสักนิด...อิอิ อีกประการอิงธิเบต ต้องทำใจอีกมุมมองหนึ่งที่แตกต่างไปจากไทยนะครับ ใช่มะคุณzipper
    ขอให้คุณแห่งความเพียรอุตสาห จงบันดาลให้ท่านประสพความสุขด้วยเถิด
     
  7. potisad

    potisad เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    68
    ค่าพลัง:
    +103
    เรียน คุณ WebSnow
    ดีมากครับ ระยะต้นควรปูพื้นฐานเชิงลึกในจิตใจของตนเองก่อนของคนทุกคนทุกระดับชั้น ทุกวัยทุกรุ่น
    บารมีใดที่ท่านทำไว้ดีแล้ว จงมีแก่ขัพเจ้าด้วย อิอิ(คนนี้ต้องขอบารมี)
     
  8. potisad

    potisad เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    68
    ค่าพลัง:
    +103
    เรียน คุณStar Platinum
    อันนี้ผมเห็นด้วยครับ สิ่งที่พระองค์ทรงเมตตาเปรียบเสมือนเปิดของที่คว่ำอยู่ให้สาธารณชนที่เหมาะสมพึงทราบ แลไม่ปิดบัง แอบซ่อน นั้นหมายธรรมะเป็นของกลางสาธารณะ เชิ_ท่านมาดูเถิด ควรน้อมเข้ามาใส่ตัว ท่านพิสูจน์ทำได้จริง เมื่อทำได้แล้วก็จะรู้จริง(เหมือนเข้าห้องแลบทำการศึกษาค้นคว้าทดลอง เปี๊ยบเลย)
    ขอนับถือ ขอบารมีคุ้มครองผมด้วยนะครับ นี้ก็อีกคนขอบารมีกันดื้อๆๆ
     
  9. potisad

    potisad เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    68
    ค่าพลัง:
    +103
    เรียน คุณ telwada
    ครับๆๆ ท่านผมเห็นด้วยครับท่าน ก็เล่นพยักคอ ยักไหล่ยังงี้ ผมเมื่อยแทนครับ ....อุอุ
    กราบขอบารมีท่านคุ้มครองผมด้วยนะครับ นี้ก็อีกคน
     
  10. copy

    copy บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    ดังตฤณ
    ------------
    ผมดูคุณบอย คุณปุ๊ และคุณกอบชัย
    ของคนอื่นยังไม่ได้ดู
    รู้สึกว่าที่มีผลสะเทือนแรงๆน่าจะคุณบอยกับคุณปุ๊
    แต่ที่มีผลสะเทือนให_่จริงๆคือทุกพรีเซนเตอร์รวมกัน

    ความจริงจะไปว่าเขาก็ไม่ได้ นึกด้วยซ้ำว่าทำไมมาช้า
    ผมเห็นความก้าวหน้าของสื่อโฆษณาในระยะหลังๆแล้ว
    เกิดความเชื่ออย่างหนึ่งว่าสมัยนี้ถ้าใครมีเงินถึง
    จะใช้วิธีการทางโฆษณาให้เกิดผลจูงใจอย่างไรก็ได้

    วัฒนธรรมการทำบุ_ของคริสต์นั้น
    จะเป็นแบบออกจากตัวกระจายสู่วงกว้าง
    เป็นการสร้างบรรยากาศความสุขร่วมกัน
    แต่วัฒนธรรมการทำบุ_ของพุทธไทย (เน้นว่าพุทธไทย)
    จะเป็นแบบแสวงหาหลักบุ_สูงสุดเข้าสู่ตัว
    พูดง่ายๆหาพระผู้มีคุณวิเศษเพื่อทำบุ_ให้ตัวเองเจริ_มากๆ
    ซึ่งก็ถูกหลักกฎแห่งกรรม
    แต่ในแง่การสืบทอดศาสนาจะไม่ค่อยไปกันได้ไกลเท่าไหร่

    ที่พูดมารวมให้เป็นคำสั้นๆก็ได้ครับ
    ของเขาช่วยกัน ของเราเอาตัวรอด

    วัฒนธรรมแบบที่เราๆเห็นกันในบอร์ดอาจไม่ใช่เช่นนั้น
    แต่วัฒนธรรมแบบพุทธทั่วๆไปจะอย่างนั้นจริงๆ
    แม้แต่การทำบุ_ก็ต้องจัดแบ่งว่านั่นของเธอ นี่ของฉัน
    กระทั่งเปลือกของศาสนา เช่นหลักการทำบุ_ให้เกิดความไพศาลยังไม่รู้วิธีกันเลย
    อย่าเพิ่งไปพูดเรื่องการระดมกำลังกันช่วยรักษาแก่นพระศาสนา

    ลองถามคนในศาสนาอื่นเกี่ยวกับเนื้อหาทางศาสนาที่เขาเชื่อ
    จะได้ยินเรื่องราวมากมายที่ได้ยินได้ฟังจากโบสถ์หรือที่อ่านเอง
    โดยมากจะเป็นถ้อยคำเด็ดๆที่ตรึงเขาไว้กับความเชื่อได้อย่างเหนียวแน่น
    แต่ถ้าถามคนในศาสนาของเราเกี่ยวกับเนื้อหาทางพุทธ
    เดี๋ยวนี้จับต้นชนปลายกันไม่ค่อยถูกแล้ว
    เฉพาะที่เห็นในอินเตอร์เน็ตก็มีการโจมตีกันควันคลุ้ง
    คนอยากมาหาความสงบหรือความเย็น
    ก็เจอแต่การเข่นกัน ทะเลาะเบาะแว้งอวดภูมิกัน
    มีแต่ความวุ่นวายและความเร่าร้อน
    และอ้างกันเสมอว่าทำเพื่อรักษาศาสนา
    เขม่นกันเอง หมั่นไส้กันเอง หรือกระทั่งทำลายล้างกันเอง
    ราวกับเพื่อจะให้เหลือตัวเองเป็นคนสุดท้ายที่ถูกต้องที่สุด

    เศรษฐีของเขาถ้ามีเหลือเศษร้อยล้าน (ผมว่าน่าจะมากกว่านั้นมาก)
    ก็โยนมาให้ส่วนรวม เอาแก่นของศาสนาคือคำสอนมาเผยแพร่กัน
    แต่เศรษฐีของเราถ้าเหลือเศษเงินเท่ากัน
    ดูแล้วแนวโน้มน่าจะเอาไปสร้างถาวรวัตถุให้ยิ่งให_่
    ด้วยความเข้าใจว่านั่นเป็นทางเดียวที่จะได้บุ_สูงสุด
    หรือทำประโยชน์สูงสุดแก่ศาสนิกชน
    การจัดอบรมทั้งปริยัติและปฏิบัติเป็นไปแบบสำนักใครสำนักมัน
    ยิ่งรู้มากแทนที่จะได้คำตอบอาจกลายเป็นยิ่งสับสนมาก

    ความจริงปัจจุบันไม่มีศาสนาไหนมีเอกภาพอย่างแท้จริง
    แต่สำหรับพุทธในไทยเรามีปั_หามากกว่าเรื่องของเอกภาพ
    เพราะแบบแผนวิธีสืบทอดจะไม่เน้นให้ความรู้กันที่แก่น
    ไม่เน้นชี้มาว่าพุทธเรามีเรื่องของการแก้ปั_หาได้ในปัจจุบัน
    แต่จะเป็นที่เปลือก และเป็นเปลือกที่ไม่ค่อยสอดคล้อง
    กับหลักทานและศีลของพระพุทธเจ้าเสียด้วย
    ถ้าเรายังจับจุดปั_หาของเราเองไม่ถูก
    ผมเกรงว่าการระดมกำลังของทางโน้น
    อาจเป็นสั__าณให้รู้สึกได้ว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งให_่กำลังจะเกิดขึ้นครับ

    ญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญ

    งานของดังตฤณ http://dungtrin.com
    ห้องเตรียมเสบียง http://www.bangkokmag.com/provision/provision.php
     
  11. copy

    copy บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    คำสอนของพระพุทธศาสนาแท้จริงแล้วเป็นคำสอนที่สมบูรณ์แบบมีความเป็นเหตุเป็นผลมากที่สุด แม้ฝรั่งหลายๆคนก็หันมานับถือพระพุทธศาสนาเพราะเชื่อว่าจะเป็นศาสนาแห่งยุควิทยาศาสตร์ในอนาคต เป็นศาสนาแห่งเหตุและผล เป็นศาสนาที่ไม่ได้โยนเหตุผลของชีวิตทุกอย่างไปที่อำนาจสูงสุดบางอย่างที่มองไม่เห็นและไม่สามารถพิสูจน์ได้

    หากเราได้ลองศึกษากรณีความเสื่อมของพระพุทธศาสนาในเกาหลีดูแล้วเราจะพบว่า คริสต์ศาสนาได้มุ่งเข้าครอบงำสังคมเกาหลีโดยใช้หลักการตลาดโฆษณาชวนเชื่อโดยนำคนที่ได้รับความนิยมในหมู่เด็กวัยรุ่นและคนรุ่นใหม่ที่ประสบความสำเร็จในชีวิต มาเป็นตัวชูของการโฆษณาชวนเชื่อ หลังจากนั้นก็แผ่ความเชื่อเหล่านั้นเข้าไปยังผู้ปกครองและผู้เกี่ยวข้องกับงานวัฒนธรรมและศาสนา และ ในที่สุดเกาหลีก็มีประธานาธิบดีเป็นคริสต์ถึงสองคนติดต่อกัน ทั้งสองท่านก็ได้ทำหน้าที่ในฐานะคริสต์ชนอย่างดี และได้นำมาถึงความเสื่อมของพุทธศาสนาในเกาหลี นอกจากนี้พระในเกาหลีนิยมสร้างวัดในที่ห่างไกลชุมชน บนภูเขาสูงๆ และไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์หรือกิจกรรมกับประชาชนมากนัก ในที่สุด พระ กับ ประชาชนก็ห่างกัน สุดท้ายประชาชนก็ไม่ได้รับทราบว่าตัวเองนับถือพุทธแล้วตัวเองได้ใช้คำสอนของพุทธในชีวิตประจำวันอะไรได้บ้าง เมื่อเขาเหล่านั้นมีปั_หาก็หันไปพึ่งอำนาจที่มองไม่เห็น อำนาจที่ถูกเชื่อว่าจะช่วยเขาได้ หากได้ประสบกับพลังอันนั้นด้วยความเป็นจริงหรืออุปาทาน เขาก็บังเกิดความเชื่ออย่างสนิทใจ

    ศาสนาคริสต์ใช้จุดอ่อนคือความซับซ้อนของพระธรรมคำสั่งสอนในพระพุทธศาสนาที่ทำให้คนทั่วไปยากที่จะเข้าใจถึงคำสอนของพระศาสดาได้ ศาสนาคริสต์จึงนำเสนอความง่ายของการเข้าถึงและแสวงหาคำตอบของชีวิตที่ดีกว่าง่ายกว่าแก่ประชาชนที่กำลังหาที่พึ่ง หากสิ่งเชื่อมที่สำคั_ระหว่าง พระธรรม กับ ประชาชน คือ พระสงฆ์ไม่ได้อยู่ในสภาพที่สามารถถ่ายทอดคำสั่งสอนไปยังประชาชนอย่างถูกจุดและโดนใจแล้ว พระธรรมก็ย่อมห่างไกลจากประชาชนมากขึ้นเข้าทุกที และ นำไปสู่ความไม่เชื่อถือในองค์พระศาสดาโดยไม่ต้องสงสัย

    บางคนกลับคิดว่าการรักษาพระศาสนาคือการอ่านพระสูตร ท่องพระสูตร ยกพระสูตรมาตอบปั_หาโดยไม่ได้อธิบายให้คนส่วนให_่เข้าใจนั้นเป็นการรักษาคำสอนดั้งเดิมที่มีความไพเราะและความสมบูรณ์ของอรรถพยั_ชนะ แต่หารู้โดยเท่าไม่ถึงการณ์ว่าได้สร้างความห่างเหินระหว่างพระธรรมกับผู้แสวงหาคำตอบในพระพุทธศาสนาโดยไม่ได้ตั้งใจ

    คำถามคือ ถึงเวลาแล้วหรือยัง ที่เราชาวพุทธ ในฐานะชาวพุทธ จะช่วยกันถ่ายทอด ศาสนาที่เชื่อว่าสมบูรณ์ที่สุดในแง่ของพระธรรมคำสั่งสอน ให้ประชาชนส่วนให_่ในสยามประเทศได้เข้าใจและสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้ โดยที่ไม่ต้องสงสัยว่า ฉันเป็นชาวพุทธแล้วฉันได้อะไรจากพระพุทธศาสนา และ พระพุทธองค์

    -----------
    แช่อิ่ม
     
  12. ดังตฤณ

    ดังตฤณ บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    ถ้ามองไปรอบๆ ก็ถือว่าชาวพุทธบนเน็ตส่วนให_่
    เป็นชาวพุทธที่พยายามเข้าให้ถึงแก่น
    ซึ่งเท่ากับเป็นชาวพุทธที่กำลังช่วยกันรักษาศาสนาอยู่แล้วครับ

    ปั_หาของพุทธไทยในปัจจุบันเป็นเรื่องให_่
    ผมขอเสนอเป็นข้อหลักๆจากสายตาของผม
    ซึ่งอาจจะยังคับแคบอยู่ เรียกว่าเห็นอย่างนี้ก็คุยกันให้ฟัง

    ๑) หากดูศาสนาอื่นจะเห็นว่าเขายึดมั่นศาสดาเป็นหลัก
    ศาสดาของพวกเขามีพระชนม์อยู่เสมอในรูปของคำพูด
    บางศาสนามีการถ่ายทอดคำพูดชนิดไม่มีทางบิดพลิ้ว
    ไม่มีใครกล้าบิดเบือน หรือถึงแม้โดนบิดเบือน
    เขาก็ไม่ทิ้งศาสดาของเขากัน
    ความปรากฏแห่งศาสดาจึงเป็นอมตะ
    แต่พุทธเรา อะไรๆก็อ้างว่าพระพุทธเจ้าตรัสอย่างนั้น
    พระพุทธเจ้าตรัสอย่างนี้ โดยไม่มีการเทียบเคียงอย่างแท้จริง
    ไม่มีใจที่เป็นกลางพอ ว่าท่านตรัสไว้จริงๆหรือไม่
    ตรงนี้พูดลึกมากไม่ได้ เพราะจะเป็นเรื่องขัดแย้งไม่สิ้นสุด
    เอาเป็นว่าชาวพุทธแต่ละหมู่เหล่าต่างกำลังยึดอะไรบางอย่าง
    ที่ตนเชื่อกันเฉพาะกลุ่ม ว่านั่นคือพระวจนะของพระศาสดา
    นั่นคือตัวแทนพระศาสดา ใครจะละเมิดมิได้
    หลายกลุ่มพลิกคำสอนกันใหม่หมดชนิดเปลี่ยนศาสดา
    แต่ด้วยความเชื่อถืออาจารย์ ก็ช่วยอาจารย์เถียงแบบหัวชนฝา
    ว่านั่นคือคำสอนของพระศาสดา
    เมื่อศูนย์กลางของศาสนาเราไม่ใช่พระศาสดาอย่างแท้จริง
    ต่างฝ่ายต่างอยากเป็นให_่ ก็เลยขาดเอกภาพ
    ศูนย์กลางศรัทธามักเป็นครูบาอาจารย์ของแต่ละสำนัก
    ตรงนี้ผมมองว่าเป็นปั_หาสำคั_สูงสุด

    ๒) ระบบการศึกษาของพุทธไทยนั้น
    ผู้ทรงคุณวุฒิที่ได้รับการยกย่องและมียศมีศักดิ์
    มักจะหมายถึงผู้ที่มีความสามารถทางบาลี
    หรือไม่ก็หมายถึงผู้มีเส้นสาย มีอิทธิพลในการซื้อหา
    แม้มีพระดีอยู่อีกมาก ก็ไม่มีโอกาสควบคุมพระไม่ดี
    ปัจจุบันผู้มีตำแหน่งสูงสุดยังเป็นผู้ประเสริฐ
    แต่หากหมดท่านไปก็ไม่มีอะไรเป็นประกัน
    ในเมื่อคลื่นลูกหลังเติบโตกันขึ้นมาด้วยระบบอำนาจ
    ไม่ใช่ระบบคุณธรรม ฉะนั้นปั_หาจะเกิดจากสิ่งที่ดูเหมือนยอด
    เมื่อหัวเป็นอย่างไร หางก็ย่อมเป็นอย่างนั้น
    จะให้หางส่วนให_่ดีกว่าหัวนั้นหวังยาก

    ๓) ศาสนิกชนส่วนให_่หลงติดอยู่ในกระแสโลกาภิวัฒน์ฝ่ายต่ำ
    บริโภคข้อมูลเฉพาะที่เป็นด้านลบเกี่ยวกับพระและศาสนกิจทั้งหลาย
    มีความรู้กันอย่างมากที่สุดก็เรื่องวัดที่จะไปทำบุ_หรือพระที่จะมาบิณฑบาต
    ความผูกพันทางใจระหว่างผู้คนกับศาสนานั้นเลือนรางเต็มทน
    คนไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามี "ข้อแนะนำ" อันใดที่สามารถนำมาใช้ได้ในชีวิตจริง
    พอพูดเรื่องศีลก็จะนึกถึง "สิ่งที่ไม่อาจปฏิบัติได้จริง" กันก่อนเพื่อน
    ทั้งนี้ต้องยอมรับว่าความจริงเป็นสิ่งพูดยาก จาระไนยาก
    และแก่นศาสนาของเราก็เน้นกันแต่การพูดเรื่องจริง
    เพราะฉะนั้นคนเลยเกาะกันที่เปลือก
    และพอมีการบิดเบือนเปลือกเพื่อประโยชน์ส่วนตน หรือส่วนของกลุ่ม
    เช่นพูดว่าต้องทำทานกับตนจึงจะได้บุ_มากและมีสิทธิ์ถึงนิพพาน
    เรื่องก็เลยไปกันให_่ ชาวพุทธเกือบร้อยเปอร์เซนต์ได้รับข้อมูลผิดๆ
    ทั้งจงใจบิดเบือน และที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์

    ๓ ข้อปั_หาให_่ๆในสายตาของผมนี้
    สรุปเป็นแนวทางแก้ปั_หาได้คือ

    ๑) ต้องคิดกันจริงๆว่าทำอย่างไรจะอั_เชิ_พระพุทธเจ้ากลับมา
    ทำให้เหมือนพระองค์ทรงพระชนม์ขึ้นมาอีกครั้ง
    ถ้านึกว่าแค่ "อ้างพุทธพจน์" แล้วได้ผลก็ขอให้ลืมได้
    โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคนอ้างพุทธพจน์ยังเต็มไปด้วยอัตตามานะ
    และทำทุกอย่างเพื่อสนองความอยากของตนเอง

    ๒) ทำอย่างไรจะให้ระบบการศึกษาของสงฆ์มุ่งหาแก่น
    ไม่ใช่มุ่งหายศศักดิ์และโอกาสโกยปัจจัย

    ๓) จะอาศัยอิทธิพลของสื่อที่มีอยู่ในปัจจุบันอันใดบ้าง
    ทำให้ฆราวาสเกิดแรงบันดาลใจ เห็นค่าของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
    ก่อนอื่นต้องลบทัศนคติของเราเองที่จะทำให้เกิดการดูถูกดูแคลนผู้อื่น
    อย่ามองว่าเขาเป็นลิงได้แก้ว อย่ามองว่าเขาโง่
    บางระบบการสอนเน้นเลย ใครไม่ศึกษาทางนี้คือพวกปั__าทราม
    ใครเถียงคือพวกเต่า พวกบัวในตม ซึ่งก็ฝังแน่นในความรู้สึกของผู้ศึกษาจริงๆ
    เราต้องทำตัวเป็นสะพานเชื่อม ไม่ใช่ข้าศึก
    และที่จะเป็นสะพานเชื่อมได้ มุมมองของเราต้องกระจ่าง
    คือมองเพื่อนพ้องชาวพุทธด้วยความเข้าใจว่าเขาควรเริ่มอย่างไร
    ด้วยขั้นตอนหนึ่ง สอง สาม แบบไหน
    ที่ทำๆกันอยู่ ขึ้นต้นมาก็มักจะรวบรัดตัดความ
    เอาเขามาตามทิศทางที่เรากำลังเชื่ออยู่ทันที
    พูดง่ายๆแทนที่จะคิดกันว่าจะช่วยให้คนอื่นศรัทธาพุทธได้อย่างไร
    ก็คิดกันแต่ว่าทำยังไงจะให้คนอื่นเชื่อตามฉันเท่านั้น

    ให้ความเห็นไว้เท่านี้ก่อนครับ
     
  13. ครรชิต

    ครรชิต บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    <div class="postcolor">
    การพยายามเผยแผ่ในแต่ละศาสนา ในยุคต่างๆนั้นมีมานานแล้ว การที่ศาสนาใดจะทำการใดๆในการขยายจำนวนผู้นับถือ
    ผมเห็นว่า<span style="COLOR: blue">เป็นเรื่องธรรมดา</span>ที่มีอยู่ในโลก..<br>
    <br>
    ในยุคที่ศาสนาพราหมณ์รุ่งเรืองอยู่ในอินเดีย ศาสนาพุทธเกิดขึ้นทีหลัง เมื่อมีการเผยแผ่ศาสนาพุทธออกไป
    ทราบกันดีอยู่ว่าทำให้ศาสนาพราหมณ์ซาลงไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับยุคของผู้ปกครองประเทศด้วยว่าส่งเสริมในศาสนาใด..
    <!--emo&:05:--><br>
    <br>
    เมื่อศาสนาพุทธรุ่งเรืองถึงขีดสุด ศาสนาพราหมณ์ก็เริ่มพัฒนาขึ้นมา โดยอาศัยข้อด้อยของพุทธศาสนา
    เป็นโอกาสในการเผยแผ่ ยกตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ ศาสนาพุทธเน้นนำ<span style="COLOR: red">ผู้นับถือให้ขัดเกลากิเลสเพื่อความหลุดพ้นในที่สุด
    </span>ซึ่งขัดกับกิเลสของคนจำนวนมากที่พอใจในกิเลสที่มีอยู่มาช้านาน มนุษย์สมบัติ
    ลาภ ยศ สรรเสริ_ ที่ศาสนาพุทธไม่เน้น(คือถ้าได้ ก็เกิดจากผลแห่งความเพียรซึ่งได้มาโดยเหนื่อยยาก)
    ศาสนาพราหมณ์จึงใช้จุดอ่อน ในการเน้นการมีเทพเจ้าต่างๆในการดึงคนเข้าศาสนากล่าวคือสามารถ
    ร้องขอ อ้อนวอน ให้เทพเจ้าต่างๆประทานให้ได้..
    <!--emo&:16:--><br>
    <br>
    ถึงจุดนี้ พุทธศาสนาจึงเริ่มมีการพัฒนาเพื่อดึงคนเอาไว้ แต่ในหลักการนั้นไม่สามารถ&nbsp;
    อ้อนวอน หรือ ร้องขอให้พระพุทธเจ้าช่วยหรือประทานในทรัพย์สมบัติใดๆได้ เพราะพระองค์เข้าสู่นิพพานไปแล้ว
    ไม่กลับมาอีกแล้ว จึงได้มี<span style="COLOR: blue">การพัฒนาพระโพธิสัตว์</span>ในรูปแบบต่างๆ
    โดยมีเหตุผลที่ว่าในขณะนี้พระโพธิสัตว์ซึ่งมีหลายพระองค์กำลังบำเพ็_เพียรเพื่อตรัสรู้ในอนาคตข้างหน้า
    ย่อมสามารถช่วยเหล่าสัตว์ต่างๆในโลกแห่งนี้ได้..
    <!--emo&:02:--><br>
    <br>
    เมื่อพุทธกับพราหมณ์ มีความเหมือนกับ ในด้านการมีเทพเจ้าเพื่ออ้อนวอน และร้องขอ ได้
    ก็ทำให้ไม่มีอะไรต่างกันในหลัก เมื่อถึงจุดนี้ ศาสนาพุทธที่เกิดหลังพราหมณ์ในอินเดีย
    <span style="COLOR: red">ก็มาถึงความเสื่อม</span>..
    <!--emo&:31:--><br>
    ผสมกับศาสนาอิสลามได้ทำการแพร่ขยายมาจากตะวันออกกลางด้วย วิธีการทางสงครามด้วยแล้ว
    ยิ่งเป็นเหตุให้ศาสนาพุทธรูปแบบใหม่ยิ่ง<span style="COLOR: blue">หมด</span>ไปจากอินเดียเร็วขึ้น..
    <!--emo&:20:--><br>
    <br>
    และแล้วศาสนาฮินดูก็เกิดขึ้น เพื่อแข่งกับอิสลามในอินเดีย ถึงจุดนี้พุทธในอินเดียก็<span style="COLOR: red">ไม่เหลือ</span>
    ไปอยู่ที่ลังกาจุดหนึ่ง และจีนอีกจุดหนึ่ง ซึ่งเป็นคนละนิกาย อย่างที่เราทราบๆกันอยู่.
    <!--emo&:15:--><br>
    <br>
    จากนั้นเล่าว่าศาสนาพุทธแบบลังกาได้เข้ามาทางประเทศไทยทางภาคใต้แล้วขยายขึ้นมาทางเหนือ(ตามการคาดคะเน)
    หรืออีกเรื่องเล่าคือมาพร้อมกับผู้ที่นับถือพุทธที่หนีภัยสงคราม(อิสลาม) มาตั้งถิ่นฐานในสุวรรณภูมิ
    ได้แก่ พม่า ไทย และลาว (อันนี้หลวงปู่มั่นท่านเล่า ผมไม่ได้ว่าเอง)...
    <!--emo&:18:--><br>
    <br>
    ที่เล่ามาเป็นคุ้งเป็นแคว ก็เพราะเห็นว่าเรื่องอย่างนี้มันมีมานานแล้ว ตัวผมเองไม่ได้เป็นห่วงเป็นใยอันใด
    จะว่าไปก็ไม่ได้เกิดขึ้นมารอบเดียว มันเกิดขึ้นแล้ว ซ้ำแล้วซ้ำอีก ถ้าเชื่ออย่างที่พระพุทธเจ้าว่า
    ก่อนพระองค์จะตรัสรู้ ก็มีพระพุทธเจ้าพระองค์อื่นอยู่ หลังจากนี้ ก็จะมี พระพุทธเจ้ามาตรัสรู้อีก
    เพราะฉนั้น <span style="COLOR: blue">การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป นับครั้งไม่ถ้วนของพุทธศาสนา</span>นั้น
    เป็นเรื่องที่สุดแสนจะธรรมดาอยู่แล้ว ในรอบพุทธกาล 5000 ปี ใน 2500 ปี ก็จากอินเดีย
    ไปลังกา จีน _ี่ปุ่น ไทย ไม่เห็นมีที่ไหนแน่นอน...
    <!--emo&:07:--><br>
    <br>
    ยิ่งสมมุติว่าถ้าไปเกิดในยุคที่พุทธศาสนาล่มสลายในอินเดีย แล้ว<span style="COLOR: blue">ปล่อยวาง</span>ไม่ได้คงกลุ้มพิลึก...
    <!--emo&:31:--><br>
    <br>
    ผมเชื่ออยู่เพียงว่ายังไง 5000 ปีในยุคที่มีพุทธศาสนาให้ได้ศึกษา เพื่อหาทางออกจากการ
    เกิดแก่ เจ็บ ตาย <span style="COLOR: blue">เป็นช่วงเวลาที่พิเศษที่สุด</span>สำหรับผมแล้ว
    แต่ที่เหลืออีก 2500 ปี ไม่รู้จะทันหรือปล่าว..ฮิ.ฮิ.....
    <!--emo&:04:--><br>
    <br>
    สำหรับตัวผมเองนั้นในการเข้ามาศึกษาและปฏิบัติ ไม่ได้มาตามความอยากเป็นนั้นเป็นนี่
    ไม่ได้มาตามการชักชวน หรือไม่ได้มาโดยสิ่งล่อกิเลสใดๆ <span style="COLOR: blue">
    ถึงเวลา..มันลุกขึ้นมาศึกษาและปฏิบัติเอง</span> (เรียกว่ามันถึงคราวก็ว่าเหอะ) ขอเพียงอย่างเดียว
    <span style="COLOR: blue"><b>ขอให้ได้เกิดเป็นมนุษย์ และพบพุทธศาสนา</b></span>แค่นั้นก็พอใจ...เหมือนในเพลงแฮะ..
    <!--emo&:05:--><br>
    <br>
    ส่วนใครจะเป็นอย่างไร..จะนับถืออย่างไร..จะรู้แก่นธรรมหรือไม่...ผมนั้นมีหน้าที่ดึงเท่าที่ดึงได้...เพราะถึงอย่างไรของอย่างนี้..<span style="COLOR: red">เจ้าตัวต้องลืมตาขึ้นมาพบความจริงเอง</span>..ศึกษาและปฏิบัติเอง
    ของอย่างนี้ถ้าดึงแล้วไม่รู้เรื่อง ก็ต้องทางใครทางมัน...convert..
    <!--emo&:20:--><br>
    <br>
    พุทธศาสนาสอนอยู่เรื่องเดียวที่ว่า <span style="COLOR: blue">&quot;ความจริงเป็นอย่างไร
    ความจริงนั้นมีผลกับเราอย่างไร แล้วเราควรจะปฏิบัติต่อสิ่งนั้นอย่างไร&quot;</span> เรียกรวมๆว่า
    &quot;ธรรมะ&quot; ผลจากการปฏิบัติคือ &quot;หายโง่&quot;..
    <!--emo&:12:--><br>
    เมื่อรู้แล้ว ก็จบ ภพ จบ ชาติ เสียที วู้ย..หลง<span style="COLOR: blue">โง่</span>อยู่มาตั้งนาน.
    <!--emo&:16:-->
    </div>
     
  14. ปอ

    ปอ บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    เล่นงานโฆษณาหนังสือ พลังแห่งชีวิต กรมศาสนาหวั่นครอบงำชาวไทยพุทธ

    กระทรวงวัฒนธรรมเริ่มก้นร้อน หวั่นแคมเป_โฆษณา"พลังแห่งชีวิต" ครอบงำชาวพุทธ โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่น ย้ำราชการไทยให้การรับรองแค่ โรมันคาทอ ลิกกับโปแตสแตนต์

    ในขณะที่กรมการศาสนาวอนองค์กรเครือข่ายศาสนาคริสต์ทบทวน รวมทั้งตรวจสอบว่าดำเนินการถูกต้องตามหลักศาสนาหรือไม่

    จากกรณีที่มีการทุ่มโฆษณาหนังสือพลังชีวิต ซึ่งเกี่ยวพันกับศาสนาหนึ่งผ่านทางสื่อต่าง ๆ นั้น เมื่อวันที่ 1 พ.ย. นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) กล่าวว่า กรณีนี้ตนเกรงว่าจะมีการครอบงำชาวพุทธ โดยเฉพาะในภาพยนตร์โฆษณาเป็นการนำดารานักแสดงที่มีชื่อเสียงและมีอิทธิพลต่อวัยรุ่นมาเป็นแบบอย่าง ซึ่งสามารถชักนำให้เกิดการหันเหทัศนคติทางความเชื่อไปได้ โดยหนังโฆษณาดังกล่าวเป็นของศาสนาคริสต์และตนก็ทราบมาว่ามีนายทุนต่างชาติให้เงินจำนวนมหาศาลในการทำหนังโฆษณาดังกล่าว อย่างไรก็ตามศาสนาคริสต์ในประเทศไทยที่ได้รับรองจากทางราชการมีอยู่เพียง 2 นิกาย คือ โรมันคาทอลิก และโปแตส แตนต์เท่านั้น

    "ผมมองว่าขณะนี้เป็นช่วงที่มีข่าวพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาในทางที่ไม่ดีออกมามาก จึงเกรงว่าจะเป็นการเปิดช่องทางให้แก่ผู้ที่ไม่หวังดีจะทำลายพระพุทธศาสนาของไทย ดังนั้นหากศาสนาพุทธยังไม่มีความเข้มแข็งที่เพียงพอก็อาจจะทำให้ศาสนาอื่นเข้ามาแทรกแซงได้" นายวีระศักดิ์ กล่าว

    ด้านนายปรีชา กันธิยะ อธิบดีกรมการศาสนา (ศน.) กล่าวว่า ทางกรมกำลังประสานกับองค์กรเครือข่ายของศาสนาคริสต์ เนื่องจากเห็นว่าประเด็นเกี่ยวกับศาสนาเป็นเรื่องละเอียดอ่อน โดยทางกรมได้ขอให้ทางองค์กรเครือข่ายศาสนาคริสต์พิจารณาทบทวนเรื่องดังกล่าว และยังมอบหมายให้เจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบว่าภาพยนตร์โฆษณาที่ออกอากาศนั้นได้ดำเนินถูกต้องตามหลักของศาสนาคริสต์หรือไม่ และก็ต้องดูว่าอยู่ในสถานะที่รัฐ ธรรมนู_ให้ทำได้หรือไม่ โดยเฉพาะโฆษณาดังกล่าวได้ทำให้เกิดความสมานฉันท์หรือเป็นการทำให้เกิดความแตกแยกทางศาสนา

    "เรื่องศาสนาพุทธที่กำลังเกิดวิกฤติศรัทธานั้น ผมได้หารือกับพระเทพโสภณ อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร.) เพื่อหาแนวทางในการฟื้นฟูพระพุทธศาสนาให้มีความเข้มแข็งมากขึ้น โดยในเร็ว ๆ นี้จะมีการจัดประชุมพระสังฆาธิการและครูพระสอนศีลธรรมทั่วประเทศเพื่อให้ความรู้ในการเผยแผ่ธรรมะไปสู่ประชาชนอย่างทั่วถึงและเกิดประโยชน์สูงสุด เนื่องจากที่ผ่านมาเรื่องของการเผยแผ่ยังมีลักษณะต่างคนต่างทำกันอยู่ นอกจากนี้ทางกรมยังจะเสนอให้เรื่องของการเผยแผ่พระพุทธศาสนากลายเป็นยุทธศาสตร์ระดับประเทศอีกด้วย" อธิบดีกรมการศาสนา กล่าว. .. ข่าวจาก เดลินิวส์
     
  15. กล้วยป่า

    กล้วยป่า บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    <p>ขออนุ_าตเสริมพี่ดังตฤณด้วยมุมมองอันน้อยนิดของตัวเองบ้างนะคะ..
    <!--emo&:08:-->
    <!--endemo--><br>
    <br>
    <span style="COLOR: green">กล้วยป่าคิดว่าจุดสำคั_อีกบางประการที่ทำให้ศาสนาพุทธยังไม่สามารถครองใจคนได้อย่างแท้จริงกับคนส่วนให_่
    (แบบแค่เป็นพุทธตามทะเบียนบ้านเท่านั้น) ก็คือ..</span><br>
    <br>
    1. <span style="COLOR: blue">ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่มีหลักคำสอน และวิธีการปฏิบัติที่ละเอียดอ่อน
    </span>อีกทั้งยังมีจุดมุ่งหมายสูงสุดคือทำให้ผู้นับถือมีความแจ่มแจ้งทาง <b>
    <span style="COLOR: red">&quot;ปั__า&quot; </span></b>โดยลำดับ คือผู้นับถือต้องพิสูจน์ให้เห็นตามความเป็นจริงด้วยปั__าของตนเอง
    จึงจะถือได้ว่ามีความสำเร็จ และเจริ_ก้าวหน้าในทางธรรมในการนับถือพุทธศาสนา..<span style="COLOR: blue">ซึ่งกว่าจะถึงจุดนี้ได้นั้นมิใช่จะง่ายๆ
    เลย!</span> เนื่องจากการเข้าถึง <span style="COLOR: red">&quot;ความมีปั__าที่แจ่มแจ้ง&quot;</span>
    ตามวิธีของพุทธนั้นสิ่งที่ละเอียดอ่อน ต้องอาศัยความเพียรพยายามของผู้ปฏิบัติให้รู้เห็นด้วยตนเองเท่านั้น
    แล้วก็รู้ได้เฉพาะตนเท่านั้น เมื่อรู้แล้วจะไปบอกให้ใครเข้าใจตามตนก็ไม่ได้...ซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับศาสนาคริสต์ที่สอนให้ยึดมั่นในคุณงามความดี
    และความมีตัวตนของพระเจ้า ซึ่งจะต้องอาศัย <b><span style="COLOR: blue">&quot;ศรัทธา&quot;</span></b>
    เป็นหลัก ...ศรัทธาก็คือความเชื่ออย่างสุดจิตสุดใจ ซึ่งมีลักษณะการถ่ายทอดจากคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่งได้ดีกว่า..ดังนั้นการเผยแพร่คำสอนของศาสนาคริสต์จึงทำได้ง่ายกว่า
    <span style="COLOR: red">เพราะการปลูก<b>&quot;ศรัทธา&quot;</b>ให้เกิดในจิตวิ__านคนนั้นย่อมง่ายกว่าการปลูก
    <b>&quot;ปั__า&quot; </b>(ซึ่งละเอียดอ่อนกว่า) ให้เกิดขึ้นในคนอย่างแน่นอนอยู่แล้ว!</span><br>
    <br>
    2.&nbsp; ศาสนาพุทธเป็นสิ่งที่แทบจะแยกกันไม่ออกกับวัฒนธรรม ประเพณีแบบดั้งเดิมของคนไทย
    (ดังนั้น expression ของศาสนาพุทธจึงมักอยู่ในรูปเปลือกนอก ก็ไม่น่าแปลกที่ทัศนคติของคนส่วนให_่ที่มีต่อศาสนาพุทธจึงมักอยู่ที่เปลือกนอกส่วนให_่
    โดยเฉพาะจุดที่แทบจะไม่เป็นพุทธเลย เช่น ความศักดิ์สิทธิ์ หรือเครื่องลางของขลัง) ส่วนประเพณีของชาวพุทธก็มักจะเกี่ยวข้องกับการทำบุ_
    การตักบาตร การสร้างวัด สร้างพระ หรืออะไรๆ ที่ดูไปในทางโบราณๆ ไม่ใช่ความเป็นสมัยใหม่
    ไม่มีลักษณะที่ร่วมสมัย ....<span style="COLOR: red">ดังนั้นรูปแบบภายนอกของศาสนาพุทธทำนองนี้
    จึงมักถูกคนรุ่นใหม่มองว่าเป็นสิ่งที่คร่ำครึ ล้าสมัย เชย โบราณ ดูไม่น่าสนใจ ฯลฯ (สุดแล้วแต่จะกล่าว..)
    </span><span style="COLOR: blue">ซึ่งต่างจากศาสนาคริสต์ที่ผูกมากับความเป็นวัฒนธรรมตะวันตกที่ดูทันสมัย
    และมีความร่วมสมัยกว่า และดูเหมือนจะสอดคล้องกับการดำเนินชีวิตในปัจจุบันมากกว่า
    </span>โดยเฉพาะการเอาคนที่นับถือศาสนาคริสต์ไปผูกกับภาพลักษณ์ของความเป็นคนรุ่นใหม่
    ประสบความสำเร็จในชีวิต มีความทันสมัย และดูดี..เป็นจุดขายที่โน้มน้าวให้ใครๆอยากจะศรัทธาตาม..<br>
    <br>
    3. <span style="COLOR: blue">ความมีตัวตนของพระพุทธเจ้า (พระพุทธศาสดา) ยังดูเหินห่าง..เลือนลาง
    ในความคิดของคนปัจจุบัน </span>(ชาวพุทธบางคนอาจจะเชื่อแค่ว่าพระพุทธเจ้าเป็นเพียงเรื่องเล่าในตำนาน..จะมีจริงรึเปล่าก็ไม่รู้!)
    ต่างจากความมีตัวตนของพระเยซู ซึ่งมีรูปลักษณ์ดูเหมือนคนธรรมดาทั่วไป ดังนั้นเมื่อคิดถึงพระเยซู
    จึงเข้าใจได้ง่ายกว่า สัมผัสจับต้องได้ง่ายกว่า...ต่างจากพระพุทธเจ้า ที่เมื่อบอกให้ชาวพุทธนึกถึงภาพพระพุทธเจ้า
    ก็มักจะนึกถึงพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ (ซึ่งดูห่างไกลจากความที่พระพุทธเจ้าก็เคยเป็นมนุษย์อยู่จริงๆ)<br>
    <br>
    4. <span style="COLOR: blue">ค่านิยมของสังคม และสิ่งที่คนส่วนให_่ประพฤติปฏิบัติ..มีมากที่เป็นเรื่องขัดศีลธรรมในพุทธศาสนาจนกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดา</span>...ดังนั้นคนที่ถือศีล
    รักษาศีล (แม้แค่ 5 ข้อธรรมดาๆ) ก็จะดูแปลกแยกแตกต่างจากคนทั่วไปมากๆ แล้ว อาจจะเป็นที่ดูถูกดูหมิ่นของคนทั่วไปด้วยซ้ำ
    ...เช่น คนทั่วไปมักจะดื่มเหล้าเบียร์เป็นเรื่องปกติ&nbsp; การโกหกเล็กๆ น้อยๆ เป็นเรื่องปกติ&nbsp;
    การเหยียบมด ตบยุงเป็นเรื่องปกติ เป็นต้น<br>
    <br>
    <u><b>การแก้ไขปั_หา</b></u><br>
    <br>
    กล้วยป่าคิดว่าการแก้ปั_หาเรื่องนี้..อาจจะยากอยู่สักหน่อย..สามารถจะทำได้ถ้าหากชาวพุทธด้วยกันมีความสามัคคี
    มีความเป็นเอกภาพ และไม่แตกคอกันเอง <span style="COLOR: red">(ซึ่งจุดนี้แหละ! ที่กล้วยป่าว่ายากที่สุด
    เพราะดูเหมือนชาวพุทธที่แตกคอกันเองจะมีมากๆ)</span><br>
    <br>
    ในเมื่อศาสนาพุทธมีจุดเด่นที่การทำ &quot;ปั__า&quot; ให้แจ่มแจ้งเป็นหลัก
    <span style="COLOR: blue">(คือเป็นศาสนาในระดับ &quot;ปั__า&quot; มิใช่เพียงแค่ระดับ&quot;ศรัทธา&quot;)</span>
    ดังนั้นการแก้ปั_หาในศาสนาพุทธจึงต้องการคนที่สามารถทำ &quot;ปั__า&quot; ให้แจ่มแจ้งแล้วจำนวนมากมารวมตัวช่วยกันให้เกิดความเป็นเอกภาพ
    (พูดตรงๆ ก็คือบุคคลในระดับอริยะ หรือเข้าใกล้พระอริยะ ยิ่งเป็นฆราวาสก็ยิ่งดี) ที่ต้องการคนที่มี
    &quot;ปั__า&quot; แบบพุทธแจ่มแจ้งแล้วมาช่วยกัน ก็เพื่อแก้ปั_หาการแตกคอกัน การเอาชนะคะคานแบบเพิ่มอัตตา
    การสำคั_ตนว่าดีกว่า การทะเลาะขัดแย้งแบบไม่จำเป็นให้หมดสิ้นไป..เพื่อให้มีความเห็นตรงกันในธรรมแบบเป็นเอกภาพ
    และมีความเป็นกลางที่สุด..ก็จะนำไปสู่การเผยแผ่พุทธศาสนาอย่างได้ประโยชน์สูงสุดได้นะคะ..<br>
    <br>
    <span style="COLOR: blue">(พูดให้ตรงขึ้นอีก!..คือถ้ามีคนแบบพี่ดังตฤณหลายๆ คน มาช่วยๆ
    กันก็จะดีมากๆ เลยนะคะ..กล้วยป่าว่างานศาสนาเป็นงานที่ยิ่งให_่มากๆ ต้องใช้วิธีแทคทีมถึงจะดีค่ะ)</span>
    <br>
    <br>
    สิ่งที่คนที่มี &quot;ปั__า&quot; แบบพุทธควรมาช่วยกันมากๆ ก็คือ<span style="COLOR: red">การใช้สื่อในรูปแบบต่างๆ
    </span>เพื่อเผยแผ่พระพุทธศาสนา..ช่องทางไหนก็ได้ ถ้ามีช่องทางไหน สื่อแบบไหน ก็เอามันให้ครบทุกแบบ
    ทุกๆ ทางเลยค่ะ..เพื่อให้ครอบคลุมถึงคน (ชาวพุทธ) ทุกระดับ ทุกชนชั้น ทุกอาชีพ ทุกวัยให้มากที่สุด...และรูปแบบของสื่อที่ใช้ก็ควรมีลักษณะที่ร่วมสมัยมากขึ้น
    (ควรฉีกแนวออกจากความโบราณ คร่ำครึ ให้ได้มากที่สุด) ก็จะได้ประโยชน์มากที่สุดค่ะ<br>
    <br>
    อย่างกรณี &quot;หนังสือพลังชีวิต&quot; นี้เค้าใช้โฆษณา...เราก็เอาบ้างซิคะ!
    <span style="COLOR: blue">คือจะเป็นไปได้มั๊ย?..ว่าเราก็มีโฆษณาแนวพระพุทธศาสนาบ้าง!
    (แนวให้คนเห็นความสำคั_ของทาน ศีล ภาวนา) </span>(แต่ว่าไม่ใช่สินค้าแบบ..รีเจนซี่-บรั่นดีไทยนะ!&nbsp;
    <!--emo&:10:-->
    <!--endemo-->&nbsp;, แต่ถ้าสามารถทำโฆษณาออกมาได้สวยอย่างเค้าก็ ok นะ!
    <!--emo&:08:-->
    <!--endemo-->&nbsp; ) เป็นไปได้มั๊ย? ที่เราจะมีละครแนวพระพุทธศาสนา แบบชี้ให้คนเห็นบาปบุ_คุณโทษ
    (แบบตามจริง ไม่เว่อร์ และไม่น่าเบื่อ) เป็นไปได้มั๊ย? ที่เราจะมีภาพยนตร์แนวพระพุทธศาสนา
    (อย่าง &quot;องคุลีมาล&quot; นี่ก็ใช้ได้..แต่จะมีวิธีการส่งเสริมอย่างไร? ที่จะให้คนไปดูมากๆ
    ไม่มีปั_หาความขัดแย้งเหมือนแต่ก่อน เพื่อให้ผู้สร้างหนังเกิดกำลังใจที่จะสร้างสรรค์งานดีๆ
    ได้อีก ไม่ท้อแท้! ว่าหนังเจ๊ง)<br>
    <br>
    แต่นาทีนี้กล้วยป่าว่า <b><span style="COLOR: red">&quot;โฆษณา&quot; </span></b>นี่มีผลกระทบต่อจิตใจผู้ดู
    ผู้ชมมากที่สุด..เนื่องจากกระจายอยู่ทุกช่อง เป็นภาพซ้ำๆ ที่ช่วยตอกย้ำใจคนได้เป็นระยะเวลานาน
    คนจะดูได้บ่อย จนติดตา ติดใจได้มากกว่า!...ก็คงต้องมุ่งเป้าหมายไปที่เศรษฐี นายทุนที่มีความเข้าใจในหลักพระพุทธศาสนา
    แล้วก็เป็นผู้มี &quot;ปั__า&quot; แบบพุทธละค่ะ ..ถ้าสามารถโน้มน้าวจิตใจคนเหล่านี้ให้มาช่วยส่งเสริมเผยแผ่พระพุทธศาสนาในวิถีทางที่จะให้ผลยิ่งให_่กว่าการทำบุ_สร้างวัด
    สร้างโบสถ์วิหารแบบเดิมๆ ก็จะส่งผลสะเทือนที่จะเป็นประโยชน์ต่อการสืบทอดพระพุทธศาสนาได้อย่างมากทีเดียวค่ะ<br>
    <br>
    ส่วนเรื่องระบบปกครองสงฆ์..
    <!--emo&:15:-->กล้วยป่าว่าฆราวาสอย่างเราคงไม่สามารถไปแก้ปั_หาอะไรได้มากนัก..จึงยังไม่ใช่เป็นความหวังที่แท้จริง
    เนื่องจากมีลักษณะเป็นระบบปกครองมากกว่าที่จะเป็นระบบธรรมนะคะ<br>
    <br>
    </p>
     
  16. นิรนาม41

    นิรนาม41 บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    <div class="postcolor">
    <b>เกมรุกทางศาสนา</b><br>
    <a href="http://www.thairath.co.th/thairath1/2547/column/remark/nov/3ญ11ญ47.php" target="ญblank">
    http://www.thairath.co.th/thairath1/2547/column/remark/nov/3ญ11ญ47.php</a><br>
    <br>
    <b>ก็มีคำถามตามมามากมายกับแคมเป_โฆษณา &quot;ความเชื่อในพระเจ้า&quot; ของมหาเศรษฐีอเมริกัน
    ทั้งทางโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ และหนังสือแจกฟรีชื่อ &quot;พลังแห่งชีวิต&quot; ด้วยคำพูดของบุคคลที่มีชื่อเสียงในสังคมไทย
    เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือมากขึ้น ต้องถือ เป็นเกมรุกใหม่ของศาสนาคริสต์ในสังคมไทย</b><br>
    <br>
    ศาสนาคริสต์ เป็นศาสนาที่เปิดเกมรุกต่อเนื่องในเมืองไทยมานานแล้ว แม้แต่ในป่าเขาและริมทางหลวงที่ห่างไกล
    เราก็เห็นป้ายของพระเจ้าติดโดดเด่นให้เห็น<br>
    <br>
    <b>ในขณะที่ศาสนาพุทธ ซึ่งเป็นศาสนาประจำชาติ กลับมีแต่ข่าวฉาวคาวโลกีย์ของพระขึ้นหน้าหนึ่งให้เสื่อมศรัทธามาโดยตลอด
    ซึ่ง ผมเห็นด้วยครับกับการกำหนดสถานที่ &quot;อโคจร&quot; สำหรับพระเสียบ้าง เป็นพระไม่อยู่วัด
    แต่กลับไปเดินศูนย์การค้า บางรายก็ไปซื้อซีดีโป๊ หนังสือโป๊ไม่เปลือย น่าเกลียดเต็มที</b><br>
    <br>
    ผมอยากให้ชาวพุทธในร้านค้าเหล่านี้ โปรดอย่าขายของผิดศีลให้พระกิเลสหนาเหล่านี้เลยครับ
    เจอเมื่อไร ให้แจ้งตำรวจจับสึกเสียให้เข็ด เพราะพฤติกรรมเหล่านี้เป็นการบ่อนทำลาย
    พระพุทธศาสนาโดยตรง<br>
    <br>
    <b>กลับมาเรื่องแคมเป_พระเจ้ากันต่อครับ จากการสืบเสาะของหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์พบว่า
    เจ้าของเงินแคมเป_โฆษณาชิ้นนี้ ก็คือนาย Arthur S. Demoss เจ้าของบริษัท เนชั่นแนล
    ลิเบอร์ตี้ ไลฟ์ อินชัวรันซ์ บริษัทประกันชีวิตในอเมริกา โดยตั้งงบประมาณแคมเป_นี้ในประเทศไทยสูงถึง
    400 ล้านบาท ผ่านทางเอเยนซี่โฆษณาและบริษัทประชาสัมพันธ์</b><br>
    <br>
    แค่ไม่กี่วันที่ออกแคมเป_โฆษณานี้ มีคนขอหนังสือไปแล้วกว่า 4 แสนเล่ม<br>
    <br>
    แต่ที่น่าแปลกก็คือ นักธุรกิจ นักร้อง นักแสดง ที่มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ โฆษณาชิ้นนี้
    โดยอ้างว่า แต่ก่อนชีวิตเต็มไปด้วยความกลัว กลัวเสียคนรัก กลัวความเจ็บป่วย แต่พอเปิดใจยอมรับพระเจ้า
    ก็ทำให้เป็นอิสระ หายจากความหวาดกลัวโดยสิ้นเชิง กลับปฏิเสธไม่ยอมให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์
    บางกอกโพสต์ที่ไปขอสัมภาษณ์ในเรื่องนี้<br>
    <br>
    <b>ถ้าจริง ก็ต้องกล้าพิสูจน์</b><br>
    <br>
    ผมเห็นด้วยกับอาจารย์ทวีวัฒน์ ปุณฑริกวิวัฒน์ อาจารย์สอนวิชาปรัช_าในมหาวิทยาลัยมหิดล
    ที่ออกมาแสดงความเห็นในเรื่องนี้ โดยตั้งคำถามกับรัฐบาลว่า<br>
    <br>
    <b>การปล่อยให้มีการซื้อเวลาออกอากาศทางโทรทัศน์เพื่อ &quot;โฆษณาเรื่องความเชื่อในศาสนา&quot;
    นั้น ถูกต้องเหมาะสมหรือไม่</b><br>
    <br>
    ผมว่าเป็นเรื่องที่รัฐมนตรีที่รับผิดชอบจะต้องนำไปพิจารณาอย่างจริงจังโดยทันที และรีบตอบต่อสังคมว่า
    อนุ_าตหรือไม่ เพราะแคมเป_ให้คนเชื่อในพระเจ้านี้ ยังทำต่อเนื่อง ถ้าหากศาสนาคริสต์สามารถทำได้
    ศาสนาอื่น และลัทธิความเชื่ออื่นๆ ที่มีเงินมากพอ ก็สามารถทำได้เช่นกัน<br>
    <br>
    แล้วอะไรจะเกิดขึ้นในสังคมไทย ลองไปคิดกันดู<br>
    <br>
    <b>สงครามศาสนาทางสื่อ เพื่อช่วงชิงสาวกจะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน</b><br>
    <br>
    พุทธศาสนิกชนที่ร่ำรวยก็มีเยอะ อย่าง &quot;วัดธรรมกาย&quot; ที่มีพลังทุนไม่แพ้ทุนศาสนาอื่น
    และมีผู้สนับสนุนเป็นมหาเศรษฐีในสังคมไทยไม่แพ้ นายทุนแคมเป_ที่กำลังทำอยู่ แล้วซื้อเวลาสถานีวิทยุโทรทัศน์ทุกช่อง
    สื่อหนังสือพิมพ์ ออกแคมเป_สู้กันบ้าง สังคมไทยจะเป็นอย่างไร<br>
    <br>
    <b>ความเชื่อและการนับถือศาสนาในเมืองไทยเปิดเสรีอยู่แล้ว กำหนดไว้ในรัฐธรรมนู_ด้วยซํ้า
    ใครจะนับถือศาสนาอะไรก็ได้ แต่การใช้แคมเป_โฆษณาเพื่อโน้มน้าวความเชื่ออย่างตรงไปตรงมา
    เป็นเรื่องที่ต้องระวังเหมือนกัน</b><br>
    <br>
    ศาสนาพุทธ แม้จะเป็นศาสนาประจำชาติ แต่ถ้าขืนปล่อยให้พระกิเลสหนานำความเสื่อมเสียมาบ่อยๆ
    ก็เสื่อมได้เหมือนกัน<br>
    <br>
    <b>ผมว่าถึงเวลาที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติจะต้อง จัดระเบียบกิจวัตรของสงฆ์กันอย่างจริงจังเสียที
    อะไรที่สงฆ์พึงทำ อะไรที่สงฆ์ไม่ควรทำ สังคายนาให้ชัดเจนไปเลย ก่อนที่จะแย่ลงไปกว่านี้.</b><br>
    <br>
    &quot;ลม เปลี่ยนทิศ&quot;<br>
    หมายเหตุประเทศไทย</div>
     
  17. ปอ

    ปอ บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    ที่มา
    http://www.dailynews.co.th/scoopone.asp?columnid=6123
    --------------------------------------
    สกู๊ปหน้า 1 : ต่างวิธีแต่ 'ดี' เหมือนกัน 'พลังชีวิต' 'ทุกศาสนา' มีให้เติม

    วิจารณ์กันหนาหูขึ้นเรื่อย ๆ สำหรับการปูพรมเผยแพร่ "คริสต์ศาสนา" ระลอกใหม่ในไทย โดยใช้คนดัง-คนในวงการบันเทิงที่นับถือศาสนาคริสต์เป็นพรีเซ็นเตอร์โฆษณาหนังสือ "พลังแห่งชีวิต" ทางทีวี

    ทางกระทรวงวัฒนธรรมก็หวั่นเรื่อง "ครอบงำวัยรุ่น" ทางกรมการศาสนาก็ห่วงว่าจะ "สร้างความแตกแยก" ในสังคมไทย ขณะที่ทางฝ่าย "พุทธศาสนา" พระสงฆ์ผู้ให_่หลายรูปก็แสดงความ "ไม่สบายใจ"

    อย่างไรก็ตาม ทางผู้ประสานงานเกี่ยวกับหนังสือพลังแห่งชีวิตในไทยบอกว่า...หนังสือดังกล่าวนี้ เพียงแค่ต้องการ "เผยแพร่หลักคำสอน" ของศาสนาคริสต์ มิได้ต้องการทำลายหรือสร้างความแตกแยกทางศาสนา

    ไม่ว่าจะยังไงนี่ก็เป็นอีกครั้งที่ "คริสต์-พุทธ" ถูกจับคู่
    ประเด็น "รูปแบบการเผยแพร่" ถูกวิพากษ์ !!!

    กับกรณีดังกล่าว...โดยเฉพาะประเด็น "รูปแบบการเผยแพร่" ระหว่างศาสนาพุทธกับศาสนาคริสต์ในประเทศไทย...ผศ.ทวีวัฒน์ ปุณฑริกวิวัฒน์ อาจารย์ภาควิชาศาสนาเปรียบเทียบ คณะสังคมศาสตร์และมนุษย ศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล วิเคราะห์และแจกแจงว่า...พุทธศาสนาเข้ามาในแผ่นดินไทยกว่า 2,000 ปีมาแล้ว ทำให้ซึมซับเป็นส่วนหนึ่งของวัฒน ธรรม วิถีชีวิต และความเป็นอยู่ของคนไทยส่วนให_่

    กระบวนการศึกษาพุทธศาสนานั้น เป็นระบบมากขึ้นเมื่อ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงปฏิรูปการศึกษาให้เป็นแบบตะวันตกมากขึ้น มีการจัดตั้งโรงเรียน แต่ใช้ "วัด" เป็นศูนย์กลางการเรียนการสอน และ "พระสงฆ์" ทำหน้าที่เป็นครูไปในตัว สอนด้านต่าง ๆ และอบรมศีลธรรมจรรยาไปด้วย ต่อมาเมื่อมีการเรียนวิชาเฉพาะทางมากขึ้น โรงเรียนกับวัดต้องแยกจากกัน วิชาศาสนาก็ยังถูกบรรจุอยู่ในหลักสูตร

    "เพียงแต่การแยกเรียน นักเรียนที่นับถือพุทธไปเรียนพุทธศาสนา ที่นับถือคริสต์ไปเรียนคริสต์ศาสนา และมุสลิมไปเรียนศาสนาอิสลาม เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง อาจจะสร้างความแตกแยกได้"

    การเผยแพร่พุทธศาสนาในประเทศ ซึ่งมี "พระไตรปิฎก" เป็นคัมภีร์สำคั_นั้น ผศ.ทวีวัฒน์ บอกว่า...การเผยแพร่จะยึดสถาบันการศึกษาเป็นหลัก เช่น โรงเรียน, มหาวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยสงฆ์ รวมถึงวัดวาอารามต่าง ๆ ที่ยังคงเป็นศูนย์กลางของพระพุทธศาสนาอยู่ ขณะที่ "วิธีการเผยแพร่พุทธศาสนา" นั้น จะ "เน้นกระบวนการศึกษา" และ "ใช้สติปั__า" และธรรมทูต ที่เผยแพร่จะใช้วิธีให้ข้อมูล ให้การศึกษา เป็นหลัก

    "จะไม่มีการบังคับ หรือกดดันให้เปลี่ยนศาสนาใด ๆ ทั้งสิ้น"

    อาจารย์ภาควิชาศาสนาเปรียบเทียบ ระบุต่อไปว่า...ศาสนาคริสต์เข้ามาเผยแพร่ในไทยครั้งแรกในสมัย สมเด็จพระนารายณ์มหาราช พร้อมกับการมาเจริ_สัมพันธไมตรีของชาติตะวันตก และเข้ามาอีกครั้งในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 พร้อมกับลัทธิล่าอาณานิคม ก็ไม่ประสบผลสำเร็จนัก

    สาเหตุที่ศาสนาคริสต์ไม่ค่อยประสบความสำเร็จในไทย ทั้ง ๆ ที่บางประเทศในเอเชียอย่างฟิลิปปินส์เป็นคาทอลิกทั้งประเทศ หรือกว่า 50% ของประชากรเกาหลีใต้นับถือศาสนาคริสต์ ก็เพราะคนไทยมองว่า "ศาสนาทุก ศาสนาสอนให้ทุกคนเป็นคนดี" เพียงแต่อาจจะมีวิธีการที่แตกต่างกัน จึงไม่จำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนศาสนา

    คนไทยใจกว้าง ยอมรับที่จะนั่งคุย ฟัง และอ่านคัมภีร์ศาสนาใดก็ได้ แต่ไม่ค่อยจะเปลี่ยนศาสนา นอกจากนี้ยัง "มองทุกศาสนาเป็นมิตร" ไม่มองว่าศาสนาอื่นเป็นปรปักษ์ และไม่ชอบการถูกกดดัน ถูกบังคับ

    กล่าวสำหรับ "การเผยแพร่ศาสนาคริสต์" นั้น ผศ.ทวีวัฒน์ บอกว่า ...ทางบาทหลวงและเหล่ามิชชันนารีทั้งหลายถือว่า "เป็นภารกิจอย่างหนึ่ง" ที่บั__ัติอยู่ในคัมภีร์ "ไบเบิล"

    "จะต้องหาสมาชิกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้"

    ความแตกต่างของศาสนาพุทธและศาสนาคริสต์อยู่ตรงที่ว่า... ศาสนาคริสต์ให้ความสำคั_กับ "ศรัทธา" ในตัวพระเจ้า และศาสดา ส่วนศาสนาพุทธ ให้ความสำคั_กับ "ปั__า...ที่ต้องบรรลุด้วยตนเอง"

    ดังนั้น จึงไม่แปลกที่จะมีการเคาะประตูบ้านเพื่อแจกคัมภีร์ไบเบิล พูดคุยเกี่ยวกับพระเจ้า และชักชวนให้ไปโบสถ์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ได้กลายเป็นเอกลักษณ์ของศาสนาคริสต์ไปแล้ว...

    "เป็นวิธีที่รุกเพื่อที่จะให้ได้สมาชิก ขณะที่ศาสนาพุทธ และฮินดู จะไม่ใช้วิธีนี้"

    อาจารย์ภาควิชาศาสนาเปรียบเทียบ ยังระบุถึงการโฆษณาหนังสือพลังชีวิตผ่านสื่อสาธารณะว่า...เป็นอีกยุทธศาสตร์หนึ่งของการเผยแพร่ศาสนาสคริสต์ถึงห้องนอน ห้องนั่งเล่น เพราะของเดิมไม่ค่อยได้ผล จึงเปลี่ยนให้ก้าวหน้าขึ้น และใช้บุคคลมีชื่อเสียงเป็นพรีเซ็นเตอร์ ในขณะที่ทางศาสนาพุทธยังไม่ได้เปลี่ยนอะไรมากนัก

    "ที่จริงควรมีกฎหมายควบคุมการออกอากาศทางสื่อสาธารณะ เพราะก็เปรียบเหมือนการชี้นำหรือครอบงำทางความคิด-ความเชื่อ..."... ผศ.ทวีวัฒน์ กล่าวถึงการเผยแพร่ลัทธิความเชื่อทางสื่อในภาพรวม

    ว่ากันถึง "หนังสือ" หรือแม้แต่ "ซีดี-วีซีดี" ทุกศาสนาหลัก ๆ ยุคนี้ต่างก็มีการใช้ไม่ต่างกันนัก...ศาสนาพุทธในไทยก็มีหนังสือดังหลายเล่ม เช่น "คู่มือมนุษย์" ของท่านพุทธทาส ซีดีเพลงพระคาถาก็ยังมี เผยแพร่ธรรมะทางทีวี-ทางวิทยุก็มี...

    จุดสำคั_ก็คือ...ทุกศาสนาต้อง "เผยแพร่อย่างเหมาะสม"
    เช่น "ไม่กระทบศาสนาอื่น-ไม่บิดเบือนจนสร้างปั_หา"
    "พลังแห่งชีวิต"...ทุกศาสนาต่างก็มีให้กับผู้ที่นับถือ !!!.
     
  18. (~*aom*~)

    (~*aom*~) บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    "ไม่จำเป็นต้องทำการตลาดให้พระพุทธเจ้า"

    พอดีไปอ่านเจอค่ะ
    สัมภาษณ์คุณดนัย จันทร์เจ้าฉาย ลงในหนังสือเนชั่น สุดสัปดาห์ค่ะ :)

    "ไม่จำเป็นต้องทำการตลาดให้พระพุทธเจ้า"
    ที่มา: http://www.bangkokbiznews.com/weekend/20041103/web02.shtml

    "ตอนนี้กระแสทั่วโลก พุทธศาสนามีคนสนใจอย่างมากมาย เพราะอะไร เพราะเขาตั้งคำถามว่า สิ่งที่ได้ยินได้ฟังมาเกี่ยวกับพุทธศาสนานั้นจริงหรือไม่ เมื่อสงสัยแล้วก็ต้องปฏิบัติ การปฏิบัติก็คือการเจริ_สติภาวนานี่เอง เมื่อปฏิบัติแล้วเกิดปั__ารู้เห็นตามความเป็นจริงก็ไม่มีใครหลอกได้"

    ดนัย จันทร์เจ้าฉาย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ็มดีเค คอนซัลแทนส์ (ประเทศไทย) จำกัด และสำนักพิมพ์ดีเอ็มจี นักการตลาดรุ่นใหม่ที่นำการบริหารเชิงพุทธมาใช้ในบริษัทกล่าว

    และเมื่อถามถึงการนำการตลาดกลับไปรับใช้พระพุทธศาสนาบ้าง เขาตอบว่า เราไม่จำเป็นต้องทำการตลาดให้กับพระพุทธเจ้า เพราะบริษัทของพระองค์ ที่พระองค์ทรงเป็นประธานผู้ก่อตั้งนั้นอยู่มากว่า 2,547 ปีแล้ว มีหลักการปฏิบัติและเป้าหมายชัดเจนที่สุด มีกลยุทธ์ มีการบริหารตนเอง บริหารชีวิตในชีวิตประจำวัน บริหารครอบครัว บริหารองค์กร บริหารสังคมเพื่อไปสู่การพ้นทุกข์ด้วยการปฏิบัติตามหลักมรรคมีองค์ 8

    "เพียงแค่เราปฏิบัติ เริ่มต้นด้วยมีสัมมาทิฐิ คือมีความเห็นชอบด้วยปั__า แล้วเราก็จะไม่หลงทาง"

    เพราะอะไร ดนัยอธิบายต่อมาว่า เพราะพระองค์ทรงวางแผนการเดินทางไว้ให้มากที่สุดถึง 84,000 พระธรรมขันธ์ รอการพิสูจน์อยู่ตลอดเวลา ไม่มีความจำเป็นที่ต้องทำการตลาดให้พระองค์ เพราะเรื่องภาษาบางครั้งปิดกั้นสัจธรรมความเป็นจริง

    "ธรรมะสื่อกันด้วยกาย วาจา และใจ ปฏิบัติเองรู้เอง เป็นปัจจัตตัง คือรู้ได้เฉพาะตน ภาษาเป็นเพียงสิ่งสมมติเท่านั้นเอง เราอย่าไปมองกรอบนอก พุทธศาสนาคือสิ่งที่สัมผัสได้ สิ่งที่เราควรรักษาไว้คือการสื่อออกไปตรงๆ อย่างแรกคือบอกเขาว่า ห้ามเชื่อ แต่ต้องมาพิสูจน์เอง มาปฏิบัติการทางจิต มาเข้าห้องแล็บในตัวเอง เราเรียนรู้ทุกอย่างนอกตัวเราไปจนถึงนอกโลก แต่ภายในตัวเราเคยศึกษาไหม"

    ในบริษัทที่ดนัยเป็นเจ้าของ จึงเปิดโอกาสให้พนักงานลาไปปฏิบัติธรรมได้โดยไม่ต้องใช้วันลา เพื่อให้พิสูจน์สัจธรรมด้วยตนเอง นอกจากนี้เขายังทำชมรม 'คนรู้ใจ' (ตัวเอง) ขึ้น เพื่อเปิดโอกาสให้คนนอกและคนในบริษัทได้มีโอกาสสัมผัสกับกิจกรรม และกุศโลบายเกี่ยวกับการปฏิบัติธรรมอย่างหลากหลาย นอกจากนี้

    "ผมทำโครงการปฏิบัติธรรมให้กับคนทำสื่อด้วย ผมบอกว่า เรามาหยุดกัน หยุดเขียนเรื่องของคนอื่น แต่มาเขียนเรื่องตัวเอง บ่อยครั้งที่เรารู้จักคนอื่นมากกว่าตัวเอง แต่จะมีอะไรที่ดีไปกว่าการรู้จักตัวเอง พุทธศาสนาไม่ได้สอนอะไรนอกจากสอนให้รู้จักตัวเองก่อน เมื่เรารู้จักตัวเอง เราก็จะรู้จักผู้อื่นด้วย"

    เขาบอกว่า เพราะหัวใจของพระพุทธศาสนาคือตัวปั__านี่เอง ผมเพิ่งกลับจากงานมหกรรมหนังสือ แฟรงค์เฟิร์ต บุ๊คส์แฟร์ ประเทศเยอรมนี พุทธศาสนาที่นั่นมาแรงมาก กลุ่มแพทย์ วิศวกร นักธุรกิจระดับผู้บริหาร ตลอดจนชนชั้นปกครองที่เขาไม่ต้องกังวลเรื่องทำมาหาเลี้ยงชีพ เขาเริ่มศึกษาพุทธศาสนาอย่างจริงจังในเรื่องที่เขาได้ยินได้ฟังมาว่าจริงหรือเปล่า

    "ในสหรัฐเมริกาเอง การเจริ_สติภาวนาก็ได้รับความสนใจอย่างมากเช่นกัน เพราะวัตถุภายนอกที่เขามีอยู่ไม่สามารถตอบสนองความสงบสุขภายในได้ ที่เห็นชัดๆ คือ หลังตึกเวิลด์ เทรดถล่ม คนหาที่พึ่งทางใจกันอย่างมาก เขาก็ค้นหาจนได้ศึกษาพุทธศาสนานี่แหละที่มาเยียวยา เพราะพุทธศาสนาไม่ให้พึ่งปัจจัยภายนอก แต่ให้พึ่งตนเอง ทุกอย่างเกิดจากการกระทำของเราเอง ในสังคมที่มีปั__าพุทธศาสนาจะเบ่งบาน สังคมไทยก็เป็นสังคมที่มีปั__า แต่เราก็ต้องตั้งคำถามว่า ที่เป็นอยู่เป็นพุทธหรือเปล่า พิธีกรรมไม่ใช่หลักธรรมของศาสนา พิธีกรรมเป็นเพียงการนำศรัทธาน้อมเข้าสู่การศึกษาตัวเอง"

    ดนัยเล่าว่า นิตยสาร TIME ฉบับวันที่ 4 สิงหาคม ที่ผ่านมา เขาทำสกู๊ปเรื่องเกี่ยวกับพุทธศาสนาในระดับโลกว่าได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก นักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกาและเยอรมันได้สแกนสมองมนุษย์ออกมา ผลการวิจัยเขาได้สัมผัสพลังของคลื่นสมองของผู้ปฏิบัติธรรมเจริ_สติสมาธิภาวนา ว่าคลื่นสมองของคนเหล่านี้มีระเบียบ มีการจัดคลื่นสมองที่มีประสิทธิภาพสูง ทำให้ร่างกายสมดุลปราศจากโรคมะเร็ง ไมเกรน หรือโรคต่างๆ

    "นอกจากนี้ยังทำให้เซลล์สมองที่มีอยู่ 100% ซึ่งปกติเราใช้เพียง 7% นั้น สามารถใช้ประโยชน์ได้มากกว่าที่เป็นอยู่ เช่นเดียวกันที่เราใช้คอมพิวเตอร์ เรามักใช้เพียง 1% ของคุณสมบัติที่มันมีอยู่ บางทีเราไม่รู้เลยว่า มันทำอะไรได้ตั้งมากมาย เราปล่อยให้อีกตั้ง 90 กว่าเปอร์เซ็นสู_เสียการใช้ประโยชน์ไป เช่นเดียวกับตัวเรา ทุกคนมีศักยภาพของตัวเองอยู่ ทุกอย่างอยู่ในตัวเรา คัมภีร์ชีวิตอยู่ในกายกับใจเรานี่เอง"

    นั่นคือคำตอบที่ว่า ทำไมพุทธศาสนาจึงไม่ต้องอาศัยการตลาดในการโปรโมท และประชาสัมพันธ์เป็นเงินหลายร้อยหลายพันล้านบาท

    "พระพุทธองค์ตรัสรู้ธรรมก็ขณะที่ท่านเป็นมนุษย์ ท่านรู้ทุกอย่างเพราะท่านใช้ศักยภาพในตัวเองอย่างเต็มเปี่ยม ซึ่งเดี๋ยวนี้พิสูจน์ได้แล้วทางการแพทย์ สังคมตะวันตกตื่นเต้นกันมากกับการค้นพบตัวเองตามแนวทางที่พระพุทธองค์ทรงวางไว้ให้พิสูจน์กันเอง"

    และจากการศึกษาและปฏิบัติธรรมาตั้งแต่เด็กของดนัย เขาค้นพบว่า พุทธศาสนามีความเป็นสากล

    "คือความสามารถที่จะรู้ทุกสิ่งทุกอย่างตามความเป็นจริง คนที่มีสภาวะธรรมสูงก็จะอยู่ในทุกๆ ที่อย่างสงบสุข และมีประสิทธิภาพ"

    สำหรับหนังสือธรรมะที่พิมพ์แจก ดนัยเห็นว่า ก็เห็นพิมพ์แจกกันมากมาย แต่ถามว่าอ่านแล้วปฏิบัติกันหรือเปล่า นั่นอีกเรื่องหนึ่ง

    "สำนักพิมพ์ดีเอ็มจีของผมเอง ก็แจกหนังสือธรรมะเป็นธรรมทานเหมือนกัน จริงๆ แล้วการเป็นพุทธที่ดีไม่ต้องแจก ถ้าเรามีความสุข น้อมนำธรรมเข้ามาอยู่ในตัวเอง อยู่ตรงไหนก็ทำให้คนอื่นมีความสุขไปด้วย model ที่ดีที่สุดคือตัวเรา อุปกรณ์ทุกอย่างเป็นเพียงตัวเสริมเท่านั้น"

    เพราะพุทธศาสนาไม่ใช่เรื่องที่เพียงแต่เข้าใจ แต่ต้องเข้าถึงด้วย ดนัยยกตัวอย่างว่า ส่วนให_่ ดีชั่วรู้หมด แต่อดใจไม่ไหว ถ้าหลักธรรมอยู่ในใจเราแล้ว ดีชั่วรู้หมดแล้วก็อดใจไหวด้วยทั้งต่อหน้าและลับหลัง เหมือนมีองครักษ์ 2 องค์ คือ 'สติ' และ 'สัมปชั__ะ' ซึ่งจะคอยเตือนเราทั้งความดีและความชั่ว อย่างเช่น ทำไมยังโกรธอยู่ ทำไมยังว่าคนอื่นอยู่ เพราะเรายังเข้าไม่ถึงธรรมนั่นเอง

    "ตอนนี้สังคมไทยกำลังเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยองค์ความรู้ เราต้องหันมาศึกษาแก่นธรรมคำสอนของพระพุทธองค์กันจริงๆ จังๆ จะได้ไม่มีใครมาหลอกเรา เพราะเวลาเรามีความทุกข์ เราจะไปอ้อนวอนใครให้คลายทุกข์ เราต้องทำตัวเองให้มีภูมิคุ้มกันความบกพร่องทางใจด้วยตนเอง"

    แล้วอะไรที่เป็นวัคซีนคุ้มกันความบกพร่องทางใจได้ดีที่สุด ดนัยยืนยันว่า ก็คือหลักธรรมคำสอนของพระพุทธองค์นั่นเอง ซึ่งเรามีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นแสงสว่างนำทางเราเท่านั้น แต่ตัวเราต้องปฏิบัติจนกระทั่งเป็นแสงสว่างให้กับตัวเองให้ได้

    และจากประวัติศาสตร์การก่อร่างสร้างชาติมา ประเทศไทยก็เป็นประเทศที่ใจกว้างมาก ตั้งแต่สมัยที่เป็นราชอาณาจักรสยามเราโอบอุ้มทุกศาสนาทุกเชื้อชาติมาโดยตลอด ดนัยเล่าว่า ทุกศาสนาเข้ามาเผยแผ่ตั้งแต่สมัยพระนารายณ์มหาราชจนถึงปัจจุบัน นั่นทำให้พุทธศาสนามั่นคงและสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ชาวพุทธแต่งงานกับคนที่นับถือศาสนาไหนก็ได้ ประเทศไทยถือว่าเป็นดินแดนหนึ่งในโลกที่หลากหลายศาสนาอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขมาตลอด

    ในประเด็นนี้ดนัยเห็นว่า ทุกศาสนา ทั้งคริสต์ อิสลามและพุทธ ต่างมีหลักในการเจริ_สติ สมาธิภาวนาเหมือนกัน ทุกศาสนาสอนให้ปฏิบัติธรรมเรียนรู้ตัวเองกันทั้งนั้น

    "ดังนั้นใครจะมาเผยแผ่อะไร เราไม่ต้องกลัว น่าจะเป็นสิ่งที่ดีมากกว่า เราจะได้ตื่นตัวในการปฏิบัติธรรมกันมากขึ้น เราต้องฉลาดในการที่จะใช้ประโยชน์จากทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับตัวเรา บางครั้งเราไม่สามารถควบคุมปัจจัยภายนอกได้ แต่เราดูแลและเรียนรู้จากปัจจัยภายนอกที่มากระทบเราได้ เพราะศาสนาพุทธให้เรากลับมาเอกซเรย์ตัวเอง เห็นตัวเอง เราบกพร่องอะไรก็ดูตัวเราเองก่อน"
     
  19. ปอ

    ปอ บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    ความคิดเห็น บางอันผม ก๊อปมาจากลานธรรม เห้นว่ามีประโยชน์มาให้อ่านครับ

    เชิ_ทุกท่านแสดงความคิดเห็นต่อ..............
     
  20. witt

    witt เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2004
    โพสต์:
    208
    ค่าพลัง:
    +551
    ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน พระเยซูก็ถือว่าเป็นพระโพธิสัตว์องค์หนึ่งน่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...