โชคเหนือเมฆ-กำไลเหนือดวง- มูลนิธิเทียนฟ้า 2497 - วัตถุมงคล หลวงปู่พิศดู-ครูบากฤษดา

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย bat119, 20 กุมภาพันธ์ 2013.

  1. bat119

    bat119 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กันยายน 2009
    โพสต์:
    14,517
    ค่าพลัง:
    +30,849
    en727779805th ชลบุรี
     
  2. ทุเรียนทอด

    ทุเรียนทอด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,329
    ค่าพลัง:
    +57,981


    สาธุ... มหาโมทนากับทุกๆท่านด้วยนะครับ..
    ได้รับปัจจัยที่โอนมา 108,888บาท แล้วนะครับพี่บัติ

    วันที่ 13 เมษายน 2558 จะนำไปทอดถวายวัดเทพธารทองนะครับ ท่านใดว่างก็ขอเชิญร่วมบุญกันในวัน เวลา ตามกำหนดการนี้นะครับ


    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]


    หากท่านใดที่ไม่สะดวกเดินทางมาร่วมบุญนี้ด้วยตนเอง ผมยินดีรับเป็นสะพานบุญให้ครับ
    โดยโอนปัจจัยมาที่บัญชีนี้ ได้ถึงวันที่ 10 เมษายน 2558
    ผมจะถอนเงินในบัญชีนี้ทั้งหมด เอาไปร่วมทอดผ้าป่าให้ทุกท่านแทนเองครับ.. สาธุ


    [​IMG]
     
  3. bat119

    bat119 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กันยายน 2009
    โพสต์:
    14,517
    ค่าพลัง:
    +30,849


    [​IMG]
     
  4. bat119

    bat119 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กันยายน 2009
    โพสต์:
    14,517
    ค่าพลัง:
    +30,849
    วันก่อนผมได้มีโอกาสสนทนากับพระอาจารย์ท่านนึง ทราบมาว่าองค์หลวงปู่พิศดู ท่านเคยอยู่กับหลวงพ่อโอภาสี แห่งอาศรมบางมดมาก่อนด้วยครับ..
    องค์หลวงปู่พิศดูท่านอุปสมบทในสายของธรรมยุติก็จริง แต่ข้อวัตรปฏิบัติของท่านนั้น ล้ำลึกยิ่งนัก เกินกว่าเราจะทราบได้ นอกจากท่านจะใช้แนวปฏิบัติของสายพระป่าเป็นแบบแผนในการภาวนาแล้ว ในส่วนลึกจริงๆ ท่านยังจัดเป็นพระอริยะแนวอจิณไตย เหนือโลก คล้ายๆกับหลวงปู่สรวง(เทวดาเล่นดิน) หลวงพ่อโอภาสี ฯลฯ อีกด้วย ซึ่งถ้าลองพิจจารณาดูให้ดีพบได้ชัดเจนว่า จริตวิสัยขององค์หลวงปู่ท่านไม่ได้กำหนดยึดเอาสายไหนเป็นต้นขั้วในการ ประพฤติปฏิบัติ และไม่ได้ลอกเลียนแบบข้อวัตรของครูบาอาจารย์ท่านใดทั้งสิ้น ท่านเคยบอกว่า " อย่างเราไม่ได้จัดอยู่ในสายไหน แต่เราถึงทุกสาย ไม่ว่าสายไหนก็มาหาเราหมด "

    ถ้าผู้ที่ได้อยู่กับองค์หลวงปู่ก็จะพอเข้าใจได้ว่า หลวงปู่อยู่เหนือสภาวะทุกสิ่ง เหนือโลกสมมุติทั้งหมด และไม่มีอำนาจใดอยู่เหนือองค์หลวงปู่ได้ แม้แต่พระวินัยบัญญัติหลวงปู่ท่านก็ไม่ติด ถึงตรงนี้ทำให้เราคิดถึงคำกล่าวของหลวงพ่อฤาษีลิงดำที่ว่า " พระอรหันต์ไม่มีอาบัติ ไม่ว่าจะล่วงละเมิด ศีลพระปาฏิโมกข์ข้อใด ก็ไม่เป็นอาบัติ พระพุทธเจ้าทรงยกให้ทุกสิกขาบท พระอรหันต์ท่านจึงมีความสุข.."

    อย่างนี้องค์หลวงปู่ท่านจึงไม่ได้ยึดติดในสิ่งสมมุติ แม้แต่ในเรื่องของข้อวัตรของพระภิกษุหรือศีลพระปาฏิโมกข์(แต่อย่างไรนั้นจะ ไม่ขอกล่าว)ท่านก็ไม่ต้องกังวลใดๆแล้วเลย หลวงปู่ท่านจึงเป็นหนึ่งเดียวในสายพระป่าที่มีความเป็นเอกเทศที่สุด สุดยอดที่สุด แต่บริบูรณ์ไม่ด่างพร้อยในทุกเรื่อง โดยเฉพาะ " สติ " และทราบมาอีกว่า นอกจากองค์หลวงปู่ของเราท่านจะเคยอยู่กับหลวงพ่อโอภาสีแล้ว องค์หลวงปู่ยังได้ซึมซับนิสสัยของหลวงพ่อโอภาสีมาอีกด้วย โดยเฉพาะเรื่องการบูชาไฟ (พุทธบูชามหาเตชะวันโต) และพระคาถาป้องกันภัยหนึ่งใน 3 บทที่องค์หลวงปู่ท่านใช้สวดและสอนให้พวกเราได้สวดตาม ในบทที่ว่า " อิติสุคโต อะระหังพุทโธ นะโมพุทธายะ ปฐวีคงคา พระภุมมะเทวา ขะมามิหัง " นั้น ท่านก็ได้รับมาจากหลวงพ่อโอภาสี ว่าเป็นพระคาถาศักดิ์สิทธิ์มากบทหนึ่ง ใช้ป้องกันภัยได้ทุกอย่างครอบจักรวาล ตามแต่อธิษฐาน..
    (ขอบคุณกระทู้เรื่องเล่าหลวงปู่พิศดู)
     
  5. ศิษย์ปิยธโร

    ศิษย์ปิยธโร อายุ วรรณโณ สุขัง พลัง สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    14,858
    ค่าพลัง:
    +14,117
    สวัสดียามสายครับป๋า อนุโมทนาสาธุบุญด้วยครับผม
     
  6. bat119

    bat119 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กันยายน 2009
    โพสต์:
    14,517
    ค่าพลัง:
    +30,849
    ....พิมพ์พระยุคเเรกนี้ส่วนมากจะมีเกศานะครับแต่สมัยนั้นนิยมฝังไว้ข้างในครับ เพื่อนๆลองจํารูปไว้ให้ดีครับเผื่อโชคดีครับ อาจได้มาแบบง่ายๆก็ได้ครับ เพราะพ่อแม่ครูบาอาจารย์เทพเทวาทั้งหลายชอบให้รางวัลกับคนอุตสาหะครับ

    ...สมัยก่อนยุคแรกๆตั้งแต่ท่านแข็งแรงเคยเอาน้ำมันก๊าดไปถวายท่านสมัยก่อน ยังไม่มีไฟฟ้าเข้าถึงครับวัดเทพธารทอง อาจารย์เข้มเป็นพระที่นำหลวงปู่อาราธนาท่านอยู่ที่นี่สมัยก่อนหลวงปู่ ท่านอยู่อย่างสมถะลำบากกายครับ แต่ท่านไม่เคยป่นเลยแม้แต่คำเดียวตอนนั้น คุณน้องยังเป็นสาวอยู่เลย ตั้งแต่ตอนนั่นที่ผมเริ่มไปกราบท่านยุคแรกๆผมก็เห็นท่านกดพิมพ์พระตากพระ แล้วครับ มีทั้งเล็กและใหญ่ ทั้งดินเผาและผงล้วนๆก็มี แต่ก็เห็นมีพระและชาวบ้านมาช่วยท่านกดนะครับ เมื่อท่านทำเสร็จท่านจะเอามาใส่ถาดหรือไม่ก็หม้อดินไว้ที่หน้าท่านสวดมนต์ บางครั้งผมก็เห็นท่านจารอักขระลงบนผ้าสบงจีวรเก่าของท่านก็มีครับ ผมก็มีอยู่ผืนหนึ่งตอนนี้ให้ลูกไปแล้วครับ ตอนนั้นผมรับราชการอยู่โรงพักเก่าชึ่งไม่ไกลจากวัดท่านเท่าไรตอนนั้นผมเห็น พระชุดนี้อยู่มากพอสมควรครับท่านตั้งใจมากๆครับในการทำพระพิมพ์บางองค์ท่าน ใช้ดินสอสวดมนต์ไปเขียนอักขระลงบนพระไปเป็นภาพที่บรรยายไม่ถูกครับ ผมดีใจครับที่มีศิษย์รุ่นแรกนำเอาพระชุดนี้มาลงให้ชมและให้ข้อมูลที่ถูกต้องจริงครับ เป็นรุ่นที่มากด้วยคุณค่าจริงครับ.

    ...เพราะชุดนี้ต้องคนแก่ๆถึงจะมี เพราะยุคนั้นแทบไม่มีใครรู้จักหลวงปู่ท่านเลย ขนาดข้าวปลาอาหารยังหายากเลยวัดเทพธารทองเมื่อก่อน แล้วก็มีอีกชุดหนึ่งที่หลวงปู่เก็บไว้ใต้ฐานพระมีคนรู้ไม่กี่คนครับ แต่ปัจจุบันนี้ไม่ทราบว่ายังมีอยู่หรือเปล่า แต่ศิษย์บางคนที่เขาเก็บไว้ก็มีน่ะแถวกระทิงมีครับ ส่วนของผมแจกเพื่อนตำรวจด้วยกันหมดเลยเหลือที่ติดตัวก็เกศาท่านครับ หลวงปู่ ท่านเป็นที่ประหยัดสมถะและมีความละเอียดในระเบียบต่างๆมาก พระเนื้อดินของท่าน เรียกว่า พระกสิณ ครับท่านสวดมนต์เดินจงกรมบริกรรมทั้งหมดครับถ้าดินสุกแล้วท่านจะนำมาไว้ที่ ห้องสวดมนต์ท่านจะสวดลายลักษณ์ของพระพุทธเจ้าตลอดถึงพระคาถาและบทสวดต่างๆ มากมายเลยครับสำหรับพระยุคแรกๆของท่าน เอาเป็นว่าตอนนี้เรารู้จักกันแล้วน่ะครับ (ขอบคุณกระทู้เรื่องเล่าหลวงปู่พิศดู)
    ..ผมขออนุญาติเพิ่มเติมข้อมูลและวิธีใช้ปลัดขิกของหลวงปู่ท่านเล็กๆน้อยๆครับ สามารถป้องกันภัยได้ทุกๆอย่าง ตลอดถึงสัตว์พิษทั้งหลายได้ สามารถฝนทาแก้พิษต่างๆได้ แช่ทำน้ำมนต์อาบได้พรมสินค้าได้ ปลัดขิกของหลวงปู่ส่วนมากแกะทำกันเอง บางครั้งพระเณรในวัดเหลากันเองก็มี มีบางปลัดบางตัวที่มีรอยจารส่วนมากเป็นดินสอบ้าง ขมิ้นบ้างครับหาน้อยมากๆ ทำจากไม้หลายอย่างครับ ถ้าคนโดนพิษหรือคุณไสย์อาราธนาแก่วงน้ำวนทวนเข็มนาฬิกาหรือไม่ก็แช่น้ำดื่ม กินได้แก้ไข้ป่าได้ครับ. อ้ออีกอย่างหนึ่งคือพระหัวขมิ้นชันกันผี กันของ กันผียักข์หรือไม่ถ้าปวดท้องหรือเป็นโรคที่ไม่ทราบสาเหตุก็อาราธนาฝนกับน้ำ ทานเลยครับหายครับ ไม่แน่น่ะครับองค์ของคุณแฝงจันทร์ที่มามาลงโชว์อาจเป็นหลวงปู่ท่านแกะเองก็ ได้ใครจะไปรู้ครับ.อิอิอิ. แต่เอ้ช่วงนี้แปลกๆสายลายงานมาว่ามีเซียนพระในพื้นที่สืบหาลูกศิษย์รุ่นแรก ของหลวงปู่เพื่อตามเช่าพระของหลวงปู่รุ่นเก่าแบบของคุณแฝงจันทร์น่ะครับแต่ คงหายากครับแต่ก็ขอเอาใจช่วยครับ มีอยู่หลายๆพิมพ์มากๆครับ.(เอื้อนขจี)

    เติมข้อมูลและวิธีใช้ครับ วันนี้ขออนุญาติลงพระกสินพิมพ์รูปเหมือนองค์หลวงปู่ครับ เป็นพิมพ์สี่เหลี่ยม องค์หลวงปู่นั่งสมาธิ ที่ฐานถ้าใช้กล้องส่องจะเขียนว่าธรรมจารี ส่วนผสมมวลสารก็จะเป็นจําพวกแร่ต่างๆ ขี้เหล็กไหล ดอกไม้ไหว้พระ ผงที่องค์หลวงปู่ลบ พระพิมพ์นี้ทําในยุคต้นๆ หลวงปู่จะเดินจงกรมภาวนาตลอดทุกขั้นตอน คนแก่ว่าสมัยนั้นเริ่มหัดทํากันพระออกมาไม่ค่อยสวย หลวงปู่ได้พูดว่า พระไม่ค่อยสวยแต่ดีนะนี่อีกหน่อยจะหายาก เพราะไม่ค่อยมีใครรู้หรือเห็น....กาล เวลาผ่านไปหลายสิบปีก็เป็นดั่งท่านกล่าวจริงๆครับคนรุ่นนั้นล้มหายตายจากไป ก็มาก พระไปอยู่ต่างถิ่นก็เยอะลูกหลานได้ไปก็คงไม่รู้เป็นของที่ใหน ก็ได้แต่หวังว่าอย่าเป็นเพียงแค่ตํานาน


    ขอบคุณกระทู้เรื่องเล่าหลวงปู่พิศดู
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 เมษายน 2015
  7. bat119

    bat119 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กันยายน 2009
    โพสต์:
    14,517
    ค่าพลัง:
    +30,849
    el882352992th นิรันดร์
    el882353009th สมชาย
    el882353043th พลับพลาไชย
     
  8. bat119

    bat119 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กันยายน 2009
    โพสต์:
    14,517
    ค่าพลัง:
    +30,849
    มูลกัมมัฏฐาน ท่านพ่อลี ธมฺมธโร
    วิปัสสนาธุระ พระธุดงค์
    ผู้ปฏิบัติธรรมมีข้อควรแสวงหาอยู่ ๒ อย่าง
    ซึ่งเป็นเครื่องมืออุปกรณ์ภายนอก
    เพื่อให้ความสะดวกแก่ผู้ปฏิบัติใหม่ๆ
    (๑) บุคคลสัปปายะ
    ให้เลือกบุคคลที่คบค้าสมาคม ให้แสวงหาแต่บุคคลผู้มีความสงบ
    จะเป็นหมู่คณะไหนๆ ก็ตาม ให้เพ่งไปในแนวสงบด้วยกัน เรียกว่า บุคคลสัปปายะ
    (๒) เสนาสนะสัปปายะ
    สถานที่สงบสงัด อากาศที่สบาย ห่างไกลจากชุมนุมชน
    สถานที่เช่นนั้นย่อมเป็นที่สบายสะดวกของผู้ฝึกหัดเรียกว่า กายวิเวก ที่สงัดกาย
    ในบาลีท่านแสดงไว้ เช่น ถ้ำ และคูหา เงื้อมผาและป่าดง สูญญาคาร บ้านว่างเปล่า
    ซึ่งไม่มีมนุษย์ไปมาเกินควรเกลื่อนกล่น ที่เช่นนั้นเรียกว่า เสนาสนะสัปปายะ
    เป็นเครื่องมือสนับสนุนของผู้ปฏิบัติใหม่ๆ ได้เป็นอย่างดี
    เวลาไปอยู่ในสถานที่เช่นนั้น
    อย่าให้ปล่อยจิตใจไปในอารมณ์ที่เป็นศัตรูแก่ความสงบ
    เช่น ใฝ่ใจไปในทางดิรัจฉานคาถาและไสยศาสตร์
    ให้ปรารภและปฏิบัติแต่ธรรมะที่จะให้ความสบายแก่ตน เช่น
    อปิจฉตา
    ทำคนเป็นคนมักน้อยในปัจจัยทั้ง ๔
    วิเวกะ
    ให้มุ่งต่อความวิเวกสงัดถ่ายเดียว
    อสังสัคคะ
    อย่าเป็นผู้จุกจิกจู้จี้คลุกคลีด้วยหมู่คณะ
    วิริยารัมภะ
    ให้ตั้งใจปรารภแต่ความพากเพียร เพื่อทำจิตของตนให้สงบถ่ายเดียว
    สีลานุสสติ
    ให้ตรวจดูมรรยาทความประพฤติของตน ได้ล่วงข้อห้ามสิกขาบทหรือไม่
    ให้รีบชำระเสียโดยเร็วด้วยเจตนาของตนเอง
    สมาธิกถา
    ให้ปรารภในเรื่องสมาธิ อารมณ์กัมมัฏฐาน
    อันเป็นเหตุแห่งความตั้งมั่นแห่งจิต
    ปัญญากถา
    ให้ปรารภแต่เรื่องที่จะให้เกิดปัญญา (วิปัสสนา)
    วิมุตติ
    ให้ยินดีในการทำความหลุดพ้นไปจากกิเลสทั้งปวง
    วิมุตติญาณทัสนะ
    ให้ปรารภตรึกตรองใคร่ครวญในการรู้เห็นธรรมะ
    ที่จะให้หลุดพ้นไปจากกิเลสอาสวะธรรมทั้งปวง
    ธรรมะเหล่านี้เป็นคู่มือของผู้ปฏิบัติทั่วไป
    จะทำใจของบุคคลผู้นั้นให้โน้มไปในทางพ้นทุกข์ถ่ายเดียว
    คือ ได้คัดลอกหมวดธรรมที่จำเป็น
    เป็นหัวข้อย่อยๆ พอเป็นเครื่องอุปการะ เครื่องสนับสนุนผู้ปฏิบัติมิให้วกเวียน
    แต่ควรถือว่าเป็นปกิณกธรรมเพียงเท่านั้น
    ส่วนความจริงนั้นต้องทำให้เกิดมีในตนเองโดยกำลังของตนเองเรียกว่า ปฏิบัติธรรม
    ถ้าเราจะถือกันแต่หมวดธรรมนี้ถ่ายเดียว ก็ได้แต่ปริยัติเท่านั้น
    ฉะนั้น ชั้นสุดท้ายอันเป็นจุดสำคัญก็คือ
    การทำจิตของตนให้สงบลงจนถึงหลักธรรมชาติ
    เป็นเองที่มีอยู่ในตนรู้เอง ละเอง นั่นแหละจึงเรียกว่า ปฏิบัติธรรม
    จึงจะนำตนเข้าถึงปฏิเวธธรรมอันเป็นรสของธรรมะจริงๆ
    ไม่ต้องมาสาวเชือก หรือสายโยงเพียงเท่านั้น
    ปริยัติธรรมทั้งหมด ก็เป็นได้แค่สะพาน หรือเชือกสายโยง
    อาศัยสาวหรือเดินข้ามฟาก
    ถ้าหากว่าเราจะรื้อเอาสะพาน หรือเชือกเหล่านั้นติดตัวไป
    ก็ไม่มีประโยชน์อะไรแก่เรา
    นอกจากความหนักหน่วงให้วกเวียนเท่านั้น
    ฉะนั้น ปริยัติทั้งหมดที่จดจำไว้
    เมื่อถึงขั้นเอาจริงแล้วเป็นเรื่องรับผิดชอบตนเองทั้งสิ้น
    จะแพ้หรือชนะ จะละหรือวางได้
    เป็นเรื่องของดวงจิตตนเองที่มีภูมิธรรมที่สร้างขึ้น
    ฉะนั้น ท่านจึงสอนอย่าให้ติดตำรา ติดสมมติบัญญัติ
    ปฏิบัติตนให้พ้นทั้งหมด จึงจะเป็นไปเพื่อความบริสุทธิ์สะอาด
    “อัตตาหิ อัตตโน นาโถ”
    อะไรจะเป็นสิ่งที่มาช่วยเหลือเราได้
    นอกจากตนของตนพึ่งตนเองได้แล้วไม่มี
    นั่นแหละเป็นการที่ถูกต้องตามแนวทางธรรมะทั้งหลาย
    พระพุทธองค์ได้ทรงถึงแล้วทั้งหมด จึงค่อยบัญญัติทีหลัง
    มิใช่ว่าบัญญัติแล้วจึงค่อยทำตาม
    เปรียบเหมือนโลกวิทยาศาสตร์เขาค้นพบ
    ทำได้ ปรากฏแล้ว เขาจึงเขียนแบบตำรา
    แต่ผู้นักตำราอ่านออกเขียนได้ รู้เรื่องราวทุกอย่าง
    เช่น เครื่องบิน รู้ได้ทุกอย่างในเครื่องสัมภาระอุปกรณ์
    แต่สร้างขึ้นด้วยความรู้ของตนเองไม่ได้
    ผู้สร้างกับผู้ใช้มันเป็นคนละอย่าง
    ถ้าเราถือกันแค่ปริยัติธรรม จดจำเพียงเท่านั้นก็ได้ เท่ากับว่าเป็นผู้ใช้
    เราควรทำตนเป็นผู้สร้างให้คนอื่นเขาใช้บ้างจึงเป็นการสมควร
    การสร้างสรรค์ขึ้นนั้น ต้องเป็นผู้รับผิดชอบในตนเองจึงจะสำเร็จได้
    เมื่อไม่สำเร็จในวิธีการนั้นๆ ก็ให้ฉลาดในตนเองจึงจะสำเร็จ
    มัวแต่เอาความฉลาดของคนอื่นมาเป็นของตน ก็พึ่งตนเองไม่ได้
    เมื่อพึ่งตนเองไม่ได้ ทำไมเราจะทำตนให้คนอื่นเขามาพึ่งตนของเราได้
    ฉะนั้น จึงได้เขียนข้อธรรมะที่จำเป็น
    พอเป็นแนวทางเบื้องต้นของผู้ปฏิบัติโดยสั้นๆ เพียงเท่านี้
     
  9. bat119

    bat119 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กันยายน 2009
    โพสต์:
    14,517
    ค่าพลัง:
    +30,849
    en728165763th นครปฐม
    en728165777th จรเข้บัว
     
  10. ศิษย์ปิยธโร

    ศิษย์ปิยธโร อายุ วรรณโณ สุขัง พลัง สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    14,858
    ค่าพลัง:
    +14,117
    สวัสดียามบ่ายครับป๋า
     
  11. ศิษย์ปิยธโร

    ศิษย์ปิยธโร อายุ วรรณโณ สุขัง พลัง สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    14,858
    ค่าพลัง:
    +14,117
    สวัสดียามสายครับป๋า วันนี้มีอะไรมาแบ่งน้องๆบ้างครับผม
     
  12. bat119

    bat119 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กันยายน 2009
    โพสต์:
    14,517
    ค่าพลัง:
    +30,849
    ยังไม่มีของเข้ามาเลยครับเสี่ยเฟริส์ท
     
  13. bat119

    bat119 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กันยายน 2009
    โพสต์:
    14,517
    ค่าพลัง:
    +30,849
    en728356989th บางนา
     
  14. ศิษย์ปิยธโร

    ศิษย์ปิยธโร อายุ วรรณโณ สุขัง พลัง สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    14,858
    ค่าพลัง:
    +14,117
    สวัสดียามเช้าครับป๋า
     
  15. ศิษย์ปิยธโร

    ศิษย์ปิยธโร อายุ วรรณโณ สุขัง พลัง สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    14,858
    ค่าพลัง:
    +14,117
    สวัสดียามสายครับป๋า สงกรานต์นี้พาลูกๆไปทำบุญที่หนครับผม
     
  16. bat119

    bat119 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กันยายน 2009
    โพสต์:
    14,517
    ค่าพลัง:
    +30,849
    คงไม่ได้ไปเที่ยวไหนครับ แต่นัดกันไปกราบพระอรหันต์ที่บ้านครับ
     
  17. bat119

    bat119 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กันยายน 2009
    โพสต์:
    14,517
    ค่าพลัง:
    +30,849
    ชีวิตคนในสมัยของท่านอาจารย์มั่น และท่านอาจารย์เสาร์นั้น สบายกว่าในสมัยนี้มาก ไม่มีความวุ่นวายมากเหมือนอย่างทุกวันนี้ สมัยโน้นพระไม่ต้องมายุ่งเกี่ยวกับพิธีรีตองต่างๆ เหมือนอย่างเดี๋ยวนี้ท่านอาศัยอยู่ตามป่า ไม่ได้อยู่เป็นที่หรอก ธุดงค์ไปโน่น ธุดงค์ไปนี่เรื่อยไป ท่านใช้เวลาของท่านปฏิบัติภาวนาอย่างเต็มที่
    สมัยโน้นพระท่านไม่ได้มีข้าวของฟุ่มเฟือยมากมายอย่างที่มีกันทุกวันนี้หรอก เพราะมันยังไม่มีอะไรมากอย่างเดี๋ยวนี้ กระบอกน้ำก็ทำเอา กระโถนก็ทำเอา ทำเอาจากไม้ไผ่นั่นแหละ
    ความสันโดษของพระป่า
    ชาวบ้านก็นานๆจึงจะมาหาสักที ความจริงพระท่านก็ไม่ได้ต้องการอะไร ท่านสันโดษกับสิ่งที่ท่านมี ท่านอยู่ไป ปฏิบัติภาวนาไปหายใจเป็นกรรมฐานอยู่นั่นแหละ
    พระท่านก็ได้รับความลำบากมากอยู่เหมือนกัน ในการที่อยู่ตามป่าตามเขาอย่างนั้น ถ้าองค์ใดเป็นไข้ป่า ไข้มาลาเรีย ไปถามหาขอยาอาจารย์ก็จะบอกว่า "ไม่ต้องฉันยาหรอก เร่งปฏิบัติภาวนาเข้าเถอะ"
    ความจริงสมัยนั้นก็ไม่มีหยูกยามากอย่างสมัยนี้ มีแต่สมุนไพรรากไม้ที่ขึ้นอยู่ตามป่า พระต้องอยู่อย่างอดอย่างทนเหลือหลาย ในสมัยนั้นเจ็บไข้เล็กๆน้อยๆ ท่านก็ปล่อยมันไป เดี๋ยวนี้สิเจ็บป่วยอะไรนิดหน่อยก็วิ่งไปโรงพยาบาลแล้ว
    บางทีก็ต้องเดินบิณฑบาตตั้งห้ากิโล พอฟ้าสางก็ต้องรีบออกจากวัดแล้ว กว่าจะกลับก็โน่นสิบโมงสิบเอ็ดโมงโน่น แล้วก็ไม่ใช่บิณฑบาตได้อะไรมากมาย บางทีก็ได้ข้าวเหนียวสักก้อน เกลือสักหน่อย พริกสักนิด เท่านั้นเอง ได้อะไรมาฉันกับข้าวหรือไม่ก็ช่างท่านไม่คิด เพราะมันเป็นอย่างนั้นเอง ไม่มีองค์ใดกล้าบ่นหิวหรือเพลียท่านไม่บ่น เฝ้าแต่ระมัดระวังตน
    ท่านปฏิบัติอยู่ในป่าอย่างอดทน อันตรายก็มีรอบด้าน สัตว์ดุร้ายก็มีอยู่หลายในป่านั้น ความยากลำบากกาย ลำบากใจในการอยู่ธุดงค์ก็มีอยู่หลายแท้ๆ แต่ท่านก็มีความอดความทนเป็นเลิศ เพราะสิ่งแวดล้อมสมัยนั้นบังคับให้เป็นอย่างนั้น
    การภาวนาของท่านนักปฏิบัติสมัยนี้
    มาสมัยนั้นสิ่งแวดล้อมบังคับเราไปในทางตรงข้ามกับสมัยโน้นไปไหนเราก็เดินไป ต่อมาก็นั่งเกวียนแล้วก็นั่งรถยนต์ แต่ความทะยานอยากมันก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เดี๋ยวนี้ถ้าไม่ใช่รถปรับอากาศ ก็จะไม่ยอมนั่งดูจะไปเอาไม่ได้เทียวแหละ ถ้ารถนั้นไม่ปรับอากาศ คุณธรรมในเรื่องความอดทนมันค่อยอ่อนลงๆ การปฏิบัติภาวนาก็ย่อหย่อนลงไปมากเดี๋ยวนี้เราจึงเห็นนักปฏิบัติภาวนาชอบทำตามความเห็น ความต้องการของตัวเอง
    เมื่อผู้เฒ่าผู้แก่พูดถึงเรื่องเก่าๆแต่ครั้งก่อน คนเดี๋ยวนี้ฟังเหมือนว่าเป็นนิทานนิยาย ฟังไปเฉยๆแต่ไม่เข้าใจเลยแหละ เพราะมันเข้าไม่ถึง พระภิกษุที่บวชในสมัยก่อนนั้นจะต้องอยู่กับพระอุปัชฌาย์อย่างน้อยห้าปี นี่เป็นระเบียบที่ถือกันมา และต้องพยายามหลีกเลี่ยงการพูดคุย อย่าปล่อยตัวเที่ยวพูดคุยมากเกินไป อย่าอ่านหนังสือ แต่ให้อ่านใจของตัวเอง
    พิจารณาอ่านใจและดูใจตัวเอง
    ดูวัดหนองป่าพงเป็นตัวอย่าง ทุกวันนี้มีพวกที่จบจากมหาวิทยาลัยมาบวชกันมาก ต้องคอยห้ามไม่ให้เอาเวลาไปอ่านหนังสือธรรมะ เพราะคนพวกนี้ชอบอ่านหนังสือ แล้วก็ได้อ่านหนังสือมามากแล้ว แต่โอกาสที่จะอ่านใจของตัวเองน่ะหายากมาก ฉะนั้นระหว่างที่มาบวชสามเดือนนี้ ก็ต้องขอให้ปิดหนังสือ ปิดตำรับตำราต่างๆให้หมดในระหว่างที่บวชนี้น่ะ เป็นโอกาสวิเศษแล้วที่จะได้อ่านใจของตัวเอง
    การตามดูใจของตัวเองนี่ น่าสนใจมาก ใจที่ยังไม่ได้ฝึก มันก็คอยวิ่งไปตามนิสัยเคยชินที่ยังไม่ได้ฝึก ไม่ได้อบรม มันเต้นคึกคักไปตามเรื่องตามราว ตามความคะนอง เพราะมันยังไม่เคยถูกฝึก ดังนั้นจงฝึกใจของตัวเอง การปฏิบัติภาวนาในทางพุทธศาสนาก็คือการปฏิบัติเรื่องใจ ฝึกจิตฝึกใจของตัว ฝึกอบรมจิตของตัวเองนี่แหละเรื่องนี้สำคัญมาก การฝึกใจเป็นหลักสำคัญ พุทธศาสนาเป็นศาสนาของใจ มันมีเท่านี้ ผู้ที่ฝึกปฏิบัติทางจิต คือผู้ปฏิบัติธรรมในทางพุทธศาสนา
    การฝึกใจ
    ใจของเรานี่มันอยู่ในกรง ยิ่งกว่านั้นมันยังมีเสือที่กำลังอาละวาดอยู่ในกรงนั้นด้วย ใจที่มันเอาแต่ใจของเรานี้ ถ้าหากมันไม่ได้อะไรตามที่มันต้องการแล้ว มันก็อาละวาด เราจะต้องอบรมใจด้วยการปฏิบัติภาวนา ด้วยสมาธิ นี้แหละที่เราเรียกว่า "การฝึกใจ"
    พื้นฐานของการปฏิบัติธรรม
    ในเบื้องต้นของการฝึกปฏิบัติธรรม จะต้องมีศีลเป็นพื้นฐานหรือรากฐาน ศีลนี้เป็นสิ่งอบรมกาย วาจา ซึ่งบางทีก็จะเกิดการวุ่นวายขึ้นในใจเหมือนกัน เมื่อเราพยายามจะบังคับใจไม่ให้ทำตามความอยาก
    กินน้อย นอนน้อย พูดน้อย นิสัยความเคยชินอย่างโลกๆ ลดมันลง อย่ายอมตามความอยาก อย่ายอมตามความติดของตน หยุดเป็นทาสมันเสีย พยายามต่อสู้เอาชนะอวิชชาให้ได้ด้วยการบังคับตัวเองเสมอ นี้เรียกว่าศีล
    เมื่อพยายามบังคับจิตของตัวเองนั้น จิตมันก็จะดิ้นรนต่อสู้มันจะรู้สึกถูกจำกัด ถูกข่มขี่ เมื่อมันไม่ได้ทำตามที่มันอยาก มันก็จะกระวนกระวายดิ้นรน ทีนี้เห็นทุกข์ชัดละ
    เห็นทุกข์ทำให้เกิดปัญญา
    "ทุกข์" เป็นข้อแรกของอริยสัจจ์ คนทั้งหลายพากันเกลียดกลัวทุกข์ อยากหนีทุกข์ ไม่อยากให้มีทุกข์เลย ความจริง ทุกข์นี่แหละจะทำให้เราฉลาดขึ้นล่ะ ทำให้เกิดปัญญา ทำให้เรารู้จักพิจารณาทุกข์ สุขนั่นสิมันจะปิดหูปิดตาเรา มันจะทำให้ไม่รู้จักอด ไม่รู้จักทน ความสุขสบายทั้งหลายจะทำให้เราประมาท
    กิเลสสองตัวนี้ทุกข์เห็นได้ง่าย ดังนั้นเราจึงต้องเอาทุกข์นี่แหละมาพิจารณา แล้วพยายามทำความดับทุกข์ให้ได้ แต่ก่อนจะปฏิบัติภาวนาก็ต้องรู้จักเสียก่อนว่าทุกข์คืออะไร
    ตอนแรกเราจะต้องฝึกใจของเราอย่างนี้ เราอาจยังไม่เข้าใจว่ามันเป็นอย่างไร ทำไป ทำไปก่อน ฉะนั้นเมื่อครูอาจารย์บอกให้ทำอย่างใดก็ทำตามไปก่อน แล้วก็จะค่อยมีความอดทนอดกลั้นขึ้นเองไม่ว่าจะเป็นอย่างไรให้อดทนอดกลั้นไว้ก่อน เพราะมันเป็นอย่างนั้นเองอย่างเช่นเมื่อเริ่มฝึกนั่งสมาธิ เราก็ต้องการความสงบทีเดียวแต่ก็จะไม่ได้ความสงบ เพราะมันยังไม่เคยทำสมาธิมาก่อน ใจก็บอกว่า"จะนั่งอย่างนี้แหละจนกว่าจะได้ความสงบ"
    อย่าทอดทิ้งจิต
    แต่พอความสงบไม่เกิดก็เป็นทุกข์ ก็เลยลุกขึ้น วิ่งหนีเลย การปฏิบัติอย่างนี้ไม่เป็น "การพัฒนาจิต" แต่มันเป็นการ "ทอดทิ้งจิต"ไม่ควรจะปล่อยใจไปตามอารมณ์ ควรที่จะฝึกฝนอบรมตนเองตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ขี้เกียจก็ช่าง ขยันก็ช่าง ให้ปฏิบัติมันไปเรื่อยๆ ลองคิดดูซิ ทำอย่างนี้จะไม่ดีกว่าหรือ การปล่อยใจตามอารมณ์นั้นจะไม่มีวันถึงธรรมของพระพุทธเจ้า
    เมื่อเราปฏิบัติธรรม ไม่ว่าอารมณ์ใดจะเกิดขึ้นก็ช่างมัน แต่ให้ปฏิบัติไปเรื่อยๆ ปฏิบัติให้สม่ำเสมอ การตามใจตัวเองไม่ใช่แนวทางของพระพุทธเจ้า ถ้าเราปฏิบัติธรรมตามความคิดความเห็นของเรา เราจะไม่มีวันรู้แจ้งว่าอันใดผิด อันใดถูก จะไม่มีวันรู้จักใจของตัวเองและไม่มีวันรู้จักตัวเอง ดังนั้นถ้าปฏิบัติธรรมตามแนวทางของตนเองแล้วย่อมเป็นการเสียเวลามากที่สุด แต่การปฏิบัติตามแนวทางของพระพุทธเจ้าแล้วย่อมเป็นหนทางตรงที่สุด
    การพัฒนาจิต
    ขอให้จำไว้ว่า ถึงจะขี้เกียจก็ให้พยายามปฏิบัติไป ขยันก็ให้ปฏิบัติไป ทุกเวลาและทุกหนทุกแห่ง นี่จึงจะเรียกว่า "การพัฒนาจิต" ถ้าหากปฏิบัติตามความคิดความเห็นของตนเองแล้ว ก็จะเกิดความคิดความสงสัยไปมากมาย มันจะพาให้คิดไปว่า "เราไม่มีบุญ เราไม่มีวาสนาปฏิบัติธรรมก็นานนักหนาแล้ว ยังไม่รู้ ยังไม่เห็นธรรมเลยสักที" การปฏิบัติธรรมอย่างนี้ไม่เรียกว่าเป็น "การพัฒนาจิต" แต่เป็น "การพัฒนาความหายนะของจิต"
    ถ้าเมื่อใดที่ปฏิบัติธรรมไปแล้ว มีความรู้สึกอย่างนี้ว่ายังไม่รู้อะไร ยังไม่เห็นอะไร ยังไม่มีอะไรใหม่ๆเกิดขึ้นบ้างเลย นี่ก็เพราะที่ปฏิบัติมามันผิด ไม่ได้ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า
    สิ้นสงสัยด้วยการปฏิบัติที่ถูกต้อง
    พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า "อานนท์ ปฏิบัติให้มาก ทำให้มากแล้วจะสิ้นสงสัย" ความสงสัยจะไม่มีวันสิ้นไปได้ ด้วยการคิด ด้วยทฤษฎี ด้วยการคาดคะเน หรือด้วยการถกเถียงกัน หรือจะอยู่เฉยๆไม่ปฏิบัติภาวนาเลย ความสงสัยก็หายไปไม่ได้อีกเหมือนกัน กิเลสจะหายสิ้นไปได้ก็ด้วยการพัฒนาทางจิต ซึ่งจะเกิดได้ก็ด้วยการปฏิบัติที่ถูกต้องเท่านั้น
    การปฏิบัติทางจิตที่พระพุทธเจ้าทรงสอนนั้น ตรงกันข้ามกับหนทางของโลกอย่างสิ้นเชิง คำสั่งสอนของพระองค์มาจากพระทัยอันบริสุทธิ์ ที่ไม่ข้องเกี่ยวกับกิเลสอาสวะทั้งหลาย นี่คือแนวทางของพระพุทธเจ้าและสาวกของพระองค์
    เมื่อเราปฏิบัติธรรม เราต้องทำใจของเราให้เป็นธรรม ไม่ใช่เอาธรรมะมาตามใจเรา ถ้าปฏิบัติอย่างนี้ ทุกข์ก็จะเกิดขึ้น แต่ไม่มีใครสักคนหรอกที่จะพ้นจากทุกข์ไปได้ พอเริ่มปฏิบัติ ทุกข์ก็อยู่ตรงนั้นแล้ว หน้าที่ของผู้ปฏิบัตินั้นจะต้องมีสติ สำรวม และสันโดษ สิ่งเหล่านี้จะทำให้เราหยุด คือเลิกนิสัยความเคยชินที่เคยทำมาแต่เก่าก่อนทำไมถึงต้องทำอย่างนี้ ถ้าไม่ทำอย่างนี้ ไม่ฝึกฝนอบรมใจตนเองแล้วมันก็จะคึกคะนอง วุ่นวายไปตามธรรมชาติของมัน
    ธรรมชาติของจิตฝึกได้เสมอ
    ธรรมชาติของใจนี้มันฝึกกันได้ เอามาใช้ประโยชน์ได้ เปรียบได้กับต้นไม้ในป่า ถ้าเราปล่อยทิ้งไว้ตามธรรมชาติของมัน เราก็จะเอามันมาสร้างบ้านไม่ได้ จะเอามาทำแผ่นกระดานก็ไม่ได้ หรือทำอะไรอย่างอื่นที่จะใช้สร้างบ้านก็ไม่ได้ แต่ถ้าช่างไม้ผ่านมาต้องการไม้ไปสร้างบ้าน เขาก็จะมองหาต้นไม้ในป่านี้และตัดต้นไม้ในป่านี้เอาไปใช้ประโยชน์ ไม่ช้าเขาก็สร้างบ้านเสร็จเรียบร้อย
    การปฏิบัติภาวนาและการพัฒนาจิตก็คล้ายกันอย่างนี้ ก็ต้องเอาใจที่ยังไม่ได้ฝึกเหมือนไม้ในป่านี่แหละ มาฝึกมัน จนมันละเอียดประณีตขึ้น รู้ขึ้น และว่องไวขึ้น ทุกอย่างมันเป็นไปตามภาวะธรรมชาติของมัน เมื่อเรารู้จักธรรมชาติ เข้าใจธรรมชาติ เราก็เปลี่ยนมันได้ ทิ้งมันก็ได้ ปล่อยมันไปก็ได้ แล้วเราก็จะไม่ทุกข์อีกต่อไป
    จิตยึดมั่นมันก็สับสนวุ่นวาย
    ธรรมชาติของใจเรามันก็อย่างนั้น เมื่อใดที่เกาะเกี่ยวผูกพันยึดมั่นถือมั่นก็จะเกิดความวุ่นวายสับสน เดี๋ยวมันก็จะวิ่งวุ่นไปโน่นไปนี่พอมันวุ่นว่ายสับสนมากๆเข้า เราก็คิดว่าคงจะฝึกอบรมมันไม่ได้แล้วแล้วก็เป็นทุกข์ นี่ก็เพราะไม่เข้าใจว่ามันต้องเป็นของมันอย่างนั้นเองความคิด ความรู้สึก มันจะวิ่งไปวิ่งมาอยู่อย่างนี้ แม้เราจะพยายามฝึกปฏิบัติ พยายามให้มันสงบ มันก็เป็นของมันอยู่อย่างนั้น มันจะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ เมื่อเราติดตามพิจารณาดูธรรมชาติของใจอยู่บ่อยๆก็จะค่อยๆเข้าใจว่าธรรมชาติของใจมันเป็นของมันอยู่อย่างนั้น มันจะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้
    ปล่อยวางได้จิตใจก็สงบ
    ถ้าเราเห็นอันนี้ชัด เราก็จะทิ้งความคิดความรู้สึกอย่างนั้นได้ ทีนี้ก็ไม่ต้องคิดนั่นคิดนี่อีก คอยแต่บอกตัวเองไว้อย่างเดียวว่า "มันเป็นของมันอย่างนั้นเอง" พอเข้าใจได้ชัด เห็นแจ้งอย่างนี้แล้ว ทีนี้ก็จะปล่อยอะไรๆได้ทั้งหมด ก็ไม่ใช่ว่าความคิดความรู้สึกมันจะหายไป มันก็ยังอยู่นั่นแหละ แต่มันหมดอำนาจเสียแล้ว
    เปรียบก็เหมือนกับเด็กที่ชอบซน เล่นสนุก ทำให้รำคาญ จนเราต้องดุเอา ตีเอา แต่เราก็ต้องเข้าใจว่าธรรมชาติของเด็กก็เป็นอย่างนั้นเอง พอรู้อย่างนี้ เราก็ปล่อยให้เด็กเล่นไปตามเรื่องของเขาความเดือดร้อนรำคาญของเราก็หมดไป มันหมดไปได้อย่างไร ก็เพราะเรายอมรับธรรมชาติของเด็ก ความรู้สึกของเราเปลี่ยน และเรายอมรับธรรมชาติของสิ่งทั้งหลาย เราปล่อยวาง จิตของเราก็มีความสงบเยือกเย็น นี่เรามีความเข้าใจอันถูกต้องแล้ว เป็นสัมมาทิฏฐิ
    ถ้ายังไม่มีความเข้าใจที่ถูกต้อง ยังเป็นมิจฉาทิฏฐิอยู่ แม้จะไปอยู่ในถ้ำลึกมืดสักเท่าใด ใจมันก็ยังยุ่งเหยิงอยู่ ใจจะสงบได้ก็ด้วยความเห็นที่ถูกต้อง เป็นสัมมาทิฏฐิเท่านั้น ทีนี้ก็หมดปัญหาจะต้องแก้เพราะไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น นี่มันเป็นอย่างนี้ เราไม่ชอบมัน เราปล่อยวางมัน เมื่อใดที่มีความรู้สึกเกาะเกี่ยวยึดมั่นถือมั่นเกิดขึ้น เราปล่อยวางทันที เพราะรู้แล้วว่าความรู้สึกอย่างนั้นมันไม่ได้เกิดขึ้นมาเพื่อจะกวนเรา แม้บางทีเราอาจจะคิดอย่างนั้น แต่ความเป็นจริงความรู้สึกนั้นเป็นของมันอย่างนั้นเอง
    ถ้าเราปล่อยวางมันเสีย รูปก็เป็นสักแต่ว่ารูป เสียงก็สักแต่ว่าเสียง กลิ่นก็สักแต่ว่ากลิ่น รสก็สักแต่ว่ารส โผฏฐัพพะก็สักแต่ว่าโผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ก็สักแต่ว่าธรรมารมณ์ เปรียบเหมือนน้ำมันกับน้ำท่า ถ้าเราเอาทั้งสองอย่างนี้เทใส่ขวดเดียวกัน มันก็ไม่ปนกัน เพราะธรรมชาติมันต่างกัน เหมือนกับที่คนฉลาดก็ต่างกับคนโง่ พระพุทธเจ้าก็ทรงอยู่กับรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ แต่พระองค์ทรงเป็นพระอรหันต์ พระองค์จึงทรงเห็นสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงสิ่ง "สักว่า" เท่านั้น
    ใจก็สักว่าใจ ความคิดก็สักว่าความคิด
    พระองค์ทรงปล่อยวางมันไปเรื่อยๆ ตั้งแต่ทรงเข้าพระทัยแล้วว่า ใจก็สักว่าใจ ความคิดก็สักว่าความคิด พระองค์ไม่ทรงเอามันมาปนกัน ใจก็สักว่าใจ ความคิดความรู้สึกก็สักว่าความคิด ความรู้สึกปล่อยให้มันป็นเพียงสิ่ง "สักว่า" รูปก็สักว่ารูป เสียงก็สักว่าเสียงความคิดก็สักว่าความคิด จะต้องไปยึดมั่นถือมั่นทำไม ถ้าคิดได้รู้สึกได้อย่างนี้เราก็จะแยกกันได้ ความคิดความรู้สึก (อารมณ์) อยู่ทางหนึ่งใจก็อยู่อีกทางหนึ่ง เหมือนกับน้ำมันกับน้ำท่า อยู่ในขวดเดียวกันแต่มันแยกกันอยู่
    พระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกของพระองค์ ก็อยู่ร่วมกับปุถุชนคนธรรมดาที่ไม่ได้รู้ธรรม ท่านไม่ได้เพียงอยู่ร่วมเท่านั้น แต่ท่านยังสอนคนเหล่านั้น ทั้งคนฉลาด คนโง่ ให้รู้จักวิธีที่จะศึกษาธรรมปฏิบัติธรรมและรู้แจ้งในธรรม ท่านสอนได้เพราะท่านได้ปฏิบัติมาเองท่านรู้ว่ามันเป็นเรื่องของใจเท่านั้น เหมือนอย่างที่ได้พูดมานี่แหละ
    ดังนั้นการปฏิบัติภาวนานี้อย่าไปสงสัยมันเลย เราหนีจากบ้านมาบวช ไม่ใช่เพื่อหนีมาอยู่กับความหลงหรืออยู่กับความขลาดความกลัว แต่หนีมาเพื่อฝึกอบรมตัวเอง เพื่อเป็นนายตัวเอง ชนะตัวเองถ้าเราเข้าใจได้อย่างนี้ เราก็จะปฏิบัติธรรมได้ ธรรมะจะแจ่มชัดขึ้นในใจของเรา
    ธรรมะมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง
    ผู้ที่เข้าใจธรรมะก็เข้าใจตัวเอง ใครเข้าใจตัวเองก็เข้าใจธรรมะทุกวันนี้ก็เหลือแต่เปลือกของธรรมะเท่านั้น ความเป็นจริงแล้วธรรมะมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง ไม่จำเป็นที่จะต้องหนีไปไหน ถ้าจะหนีก็ให้หนีด้วยความฉลาด ด้วยปัญญา หนีด้วยความชำนิชำนาญ อย่าหนีด้วยความโง่ ถ้าเราต้องการความสงบก็ให้สงบด้วยความฉลาด ด้วยปัญญาเท่านั้นก็พอ
    เมื่อใดที่เราเห็นธรรมะ นั่นก็เป็นสัมมาปฏิปทาแล้ว กิเลสก็สักแต่ว่ากิเลส ใจก็สักแต่ว่าใจ เมื่อใดที่เราทิ้งได้ ปล่อยวางได้แยกได้เมื่อนั้นมันก็เป็นเพียงสิ่งสักว่า เป็นเพียงอย่างนี้อย่างนั้นสำหรับเราเท่านั้นเอง เมื่อเราเห็นถูกแล้ว ก็จะมีแต่ความปลอดโปร่ง ความเป็นอิสระตลอดเวลา
    พระพุทธองค์ตรัสว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลายท่านอย่ายึดมั่นในธรรม" ธรรมะคืออะไร คือทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่มีอะไรที่ไม่ใช่ธรรมะความรักความเกลียดก็เป็นธรรมะ ความสุขความทุกข์ก็เป็นธรรมะความชอบความไม่ชอบก็เป็นธรรมะ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งเล็กน้อยแค่ไหนก็เป็นธรรมะ
    ปฏิบัติเพื่อละ อย่าปฏิบัติเพื่อสะสม
    เมื่อเราปฏิบัติธรรมเราเข้าใจอันนี้ เราก็ปล่อยวางได้ ดังนั้นก็ตรงกับคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ว่า ไม่ให้ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใด ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในใจเรา ในจิตเรา ในร่างกายของเรา มีแต่ความแปรเปลี่ยนไปทั้งนั้น พระพุทธองค์จึงทรงสอนไม่ให้ยึดมั่นถือมั่นพระองค์ทรงสอนพระสาวกของพระองค์ให้ปฏิบัติเพื่อละ เพื่อถอนไม่ให้ปฏิบัติเพื่อสะสม
    ถ้าเราทำตามคำสอนของพระองค์ เราก็ถูกเท่านั้นแหละ เราอยู่ในทางที่ถูกแล้ว แต่บางทีก็ยังมีความวุ่นวายเหมือนกัน ไม่ใช่คำสอนของพระองค์ทำให้วุ่นวาย กิเลสของเรานั้นแหละที่มันทำให้วุ่นวาย มันมาบังคับความเข้าใจอันถูกต้องเสีย ก็เลยทำให้เราวุ่นวาย
    ความจริงการปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้านั้น ไม่มีอะไรลำบาก ไม่มีอะไรยุ่งยาก การปฏิบัติตามทางของพระองค์ไม่มีทุกข์เพราะทางของพระองค์คือ "ปล่อยวาง" ให้หมดทุกสิ่งทุกอย่าง
    จุดหมายสูงสุดของการปฏิบัติภาวนานั้น ท่านทรงสอนให้"ปล่อยวาง" อย่าแบกถืออะไรให้มันหนัก ทิ้งมันเสีย ความดีก็ทิ้งความถูกต้องก็ทิ้ง คำว่าทิ้งหรือปล่อยวางไม่ใช่ไม่ต้องปฏิบัติ แต่หมายความว่าให้ปฏิบัติ "การละ" "การปล่อยวาง" นั่นแหละ
    จงอยู่กับปัจจุบัน อย่าจมอยู่กับอดีต
    พระองค์ทรงสอนให้พิจารณาธรรมทั้งหลาย ที่กายที่ใจของเราธรรมะไม่ได้อยู่ไกลที่ไหน อยู่ที่ตรงนี้ อยู่ที่กายที่ใจของเรานี่แหละดังนั้นนักปฏิบัติต้องปฏิบัติอย่างเข้มแข็ง เอาจริงเอาจังให้ใจมันผ่องใสขึ้น สว่างขึ้น ให้มันเป็นใจอิสระ ทำความดีอะไรแล้วก็ปล่อยมันไป อย่าไปยึดไว้ หรืองดเว้นการทำชั่วได้แล้ว ก็ปล่อยมันไป พระพุทธเจ้าทรงสอนให้อยู่กับปัจจุบันนี้ ที่นี้และเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่อยู่กับอดีตหรืออนาคต
    คำสอนที่เข้าใจผิดกันมาก แล้วก็ถกเถียงกันมากที่สุด ตามความคิดเห็นของตนก็คือเรื่อง "การปล่อยวาง" หรือ "การทำงานด้วยจิตว่าง" นี่แหละ การพูดอย่างนี้เรียกว่าพูด "ภาษาธรรม" เมื่อเอามาคิดเป็นภาษาโลกมันก็เลยยุ่ง แล้วก็ตีความหมายว่าอย่างนั้น ทำอะไรก็ได้ตามใจชอบละซิ
    ความจริงมันหมายความอย่างนี้ อุปมาเหมือนว่าเราแบกก้อนหินหนักอยู่ก้อนหนึ่ง แบกไปก็รู้สึกหนัก แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรกับมันก็ได้แต่แบกอยู่อย่างนั้นแหละ พอมีใครบอกว่า ให้โยนมันทิ้งเสียซิ ก็มาคิดอีกแหละว่า "เอ...ถ้าเราโยนมันทิ้งไปแล้ว เราก็ไม่มีอะไรเหลือน่ะซิ" ก็เลยแบกอยู่นั่นแหละ ไม่ยอมทิ้ง
    ประโยชน์ของการปล่อยวาง
    ถ้าจะมีใครบอกว่า โยนทิ้งไปเถอะ แล้วจะดีอย่างนั้น เป็นประโยชน์อย่างนี้ เราก็ยังไม่ยอมโยนทิ้งอยู่นั่นแหละ เพราะกลัวแต่ว่าจะไม่มีอะไรเหลือ ก็เลยแบกก้อนหินหนักไว้ จนเหนื่อยอ่อนเพลียเต็มที จนแบกไม่ไหวแล้วก็เลยปล่อยมันตกลง ตอนที่ปล่อยมันตกลงนี้แหละก็จะเกิดความรู้เรื่องการปล่อยวางขึ้นมาเลย เราจะรู้สึกเบาสบาย แล้วก็รู้ได้ด้วยตัวเองว่าการแบกก้อนหินนั้นมันหนักเพียงใดแต่ตอนที่เราแบกอยู่นั้นเราไม่รู้หรอกว่าการปล่อยวางมีประโยชน์เพียงใด
    ดังนั้นถ้ามีใครมาบอกให้ปล่อยวาง คนที่ยังมืดอยู่ก็ไม่รู้ไม่เข้าใจหรอก ก็จะหลับหูหลับตาแบกก้อนหินก้อนนั้นอย่างไม่ยอมปล่อย จนกระทั่งมันหนักจนเหลือที่จะทนนั่นแหละ ถึงจะยอมปล่อย แล้วก็จะรู้สึกได้ด้วยตัวเอง ว่ามันเบามันสบายแค่ไหนที่ปล่อยมันไปได้ต่อมาเราอาจจะไปแบกอะไรอีกก็ได้ แต่ตอนนี้เราพอรู้แล้วว่า ผลของการแบกนั้นเป็นอย่างไร เราก็จะปล่อยมันได้โดยง่ายขึ้น ความเข้าใจในความไร้ประโยชน์ของการแบกหาม และความเบาสบายของการปล่อยวางนี่แหละ คือตัวอย่างที่แสดงถึงการรู้จักตัวเอง
    ความยึดมั่นถือมั่นในตัวของเราก็เหมือนก้อนหินหนักก้อนนั้นพอคิดว่าจะปล่อย "ตัวเรา" ก็เกิดความกลัวว่าปล่อยไปแล้วก็จะไม่มีอะไรเหลือ เหมือนกับที่ไม่ยอมปล่อยก้อนหินก้อนนั้น แต่ในที่สุดเมื่อปล่อยมันไปได้ เราก็จะรู้สึกเองถึงความเบาสบายในการที่ไม่ได้ยึดมั่นถือมั่น
    การฝึกใจต้องไม่ยึดมั่นถือมั่น
    ในการฝึกใจนี้ เราต้องไม่ยึดมั่นทั้งสรรเสริญ ทั้งนินทา ความต้องการแต่สรรเสริญ และไม่ต้องการนินทานั้น เป็นวิถีทางของโลกแต่แนวทางของพระพุทธเจ้าให้รับสรรเสริญตามเหตุตามปัจจัยของมัน และก็ให้รับนินทาตามเหตุตามปัจจัยของมันเหมือนกัน เหมือนอย่างกับการเลี้ยงเด็ก บางทีถ้าเราไม่ดุเด็กตลอดเวลา มันก็ดีเหมือนกันผู้ใหญ่บางคนดุมากเกินไป ผู้ใหญ่ที่ฉลาดย่อมรู้จักว่าเมื่อใดควรดุเมื่อใดควรชม
    ใจของเราก็เหมือนกัน ใช้ปัญญาเรียนรู้จักใจ ใช้ความฉลาดรักษาใจไว้ แล้วเราก็จะเป็นคนฉลาดที่รู้จักฝึกใจ เมื่อฝึกบ่อยๆมันก็จะสามารถกำจัดทุกข์ได้ ความทุกข์เกิดขึ้นที่ใจนี่เอง มันทำให้ใจสับสนมืดมัว มันเกิดขึ้นที่นี่มันก็ตายที่นี่
    ถ้ายึดมั่นเข้าเราก็ถูกกัด
    เรื่องของใจมันเป็นอย่างนี้ บางทีก็คิดดี บางทีก็คิดชั่ว ใจมันหลอกลวง เป็นมายา จงอย่าไว้ใจมัน แต่จงมองเข้าไปที่ใจ มองให้เห็นความเป็นอยู่อย่างนั้นของมัน ยอมรับมันทั้งนั้น ทั้งใจดีใจชั่วเพราะมันเป็นของมันอย่างนั้น ถ้าเราไม่ไปยึดถือมัน มันก็เป็นของมันอยู่แค่นั้น แต่ถ้าเราไปยึดมันเข้า เราก็จะถูกมันกัดเอา แล้วเราก็เป็นทุกข์ ถ้าใจเป็นสัมมาทิฏฐิแล้วก็จะมีแต่ความสงบ จะเป็นสมาธิ จะมีความฉลาด ไม่ว่าจะนั่งหรือจะนอน ก็จะมีแต่ความสงบ ไม่ว่าจะไปไหน ทำอะไรก็จะมีแต่ความสงบ


    <a href="http://image.ohozaa.com/view2/ygn7YUYgZRE7BOP4" target="_blank"><img border="0" src="http://image.ohozaa.com/i/e71/JV1cb6.jpg" /></a>​
     
  18. ศิษย์ปิยธโร

    ศิษย์ปิยธโร อายุ วรรณโณ สุขัง พลัง สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    14,858
    ค่าพลัง:
    +14,117

    เหมือนกันเลยครับเทศกาลงดเดินทางครับผม พระอรหันต์ที่บ้านดีกว่า
    ขอให้คุณแม่สุขภาพดีขึ้นเป็นลำดับๆนะครับป๋า สวัสดียามบ่ายครับผม
     
  19. bat119

    bat119 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กันยายน 2009
    โพสต์:
    14,517
    ค่าพลัง:
    +30,849
    [​IMG]
     
  20. bat119

    bat119 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กันยายน 2009
    โพสต์:
    14,517
    ค่าพลัง:
    +30,849
    เมื่อระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒ ผู้คนในกรุงเทพฯ ได้อพยพออกไปอยู่บ้านนอกกันเป็นส่วนมาก ไม่ยกเว้นแม้แต่พระสงฆ์องค์เจ้า พระในวัดเทพศิรินทร์ก็อพยพ แต่ท่านธมฺมวิตกฺโก ไม่ได้ไปไหนเลย ท่านที่อยู่กุฏิของท่านตลอดระยะเวลาสงครามครั้งนี้ ท่านได้เล่าเหตุการณ์ว่าทางด้านหลังวัดซึ่งปัจจุบันเป็นบริเวณสุสานหลวงได้มีทหารญี่ปุ่นมาพักเต็มไปหมด และอาบน้ำในสระของวัดซึ่งเดี๋ยวนี้เป็นสระเต่า ที่หน้ากุฏิของท่านเดิมเป็นศาลาใหญ่ ปัจจุบันได้รื้อออกแล้วสร้างเป็นโรงเรียนปริยัติธรรม
    ที่ศาลานี้ในระหว่างสงครามได้มีญี่ปุ่นเอาเครื่องรับวิทยุมาตั้ง โดยเห็นว่าเป็นวัดไม่เป็นที่สงสัย และมีเจ้าหน้าที่มาคอยควบคุมเครื่องส่งวิทยุนี้ วันหนึ่งมีผู้มาบอกท่านว่าจะมีเครื่องบินเอาระเบิดมาทิ้งเครื่องวิทยุที่ตั้งอยู่ที่ศาลาให้ท่านหลบไปเสีย ท่านเล่าว่าท่านไม่ยอมหลบ แต่กลับนั่งรอคอยอย่างสงบ เวลาประมาณหลังเที่ยงวัน มีเสียงเครื่องบินผ่านมา ท่านก็เปิดหน้าต่างออกมาดู เห็นเครื่องบินวนอยู่หลายรอบและที่สุดก็ทิ้งระเบิดลงมา
    ท่านได้ร้องถามในใจว่า "Do you kill me, my friend ?" แล้วก็มองดูลูกระเบิดปรากฏว่าลูกระเบิดได้ผ่านศาลาและกุฏิท่านไป ลูกแรกไปตกข้างโบสถ์ถัดจากนั้นก็ไปตกถูกตึกโรงเรียนวัดเทพศิรินทร์ และตึกที่ทำการรถไฟแห่งประเทศไทย ผลปรากฏว่าโรงเรียนวัดเทพศิรินทร์ และตึกที่ทำการรถไฟแห่งประเทศไทย ผลปรากฏว่าโรงเรียนวัดเทพศิรินทร์ คือ ตึกแม้นนฤมิต และตึกของการรถไฟพังพินาศ ส่วนลูกที่ตกข้างโบสถ์นั้นไม่ระเบิด
    ภายหลังได้ติดต่อเจ้าหน้าที่มาขุดเอาไป ท่านบอกว่าพระเชียงแสนและพระประธานในโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์ ถ้าลูกระเบิดที่ตกนั้นระเบิดขึ้นมาโบสถ์ก็คงพังเสียหายมาก ท่านผู้อ่านที่นับถือท่านอาจจะคิดว่าที่ลูกระเบิดด้านไปเพราะความศักดิ์สิทธิ์ของท่านธมฺมวิตกฺโก แต่สำหรับผมไม่ขอวิจารณ์ด้วย สำหรับท่านเองท่านไม่กลัวความตาย จึงไม่อพยพหนีไปไหน ท่านบอกว่า ความตายคือมิตรที่ดีที่สุด นำความสงบมาให้และเป็นมิตรที่ซื่อตรง จะมาถึงทุกคนอย่างแน่นอนไม่ว่าจะมั่งมียากจน ดีหรือชั่ว จะต่างกันก็แต่ช้าหรือเร็วเท่านั้น นอกจากนี้การระลึกถึงความตายเป็นอนุสติอีกด้วย ถึงตอนนี้ท่านธมฺมวิตกฺโก ก็ยกเอากลอนในอุทานธรรมมากล่าวว่า
    "ระลึกถึงความตายสบายนัก
    มันหักรักหักหลงในสงสาร
    บรรเทามืดโมหันต์อันธการ
    ทำให้หาญหายสะดุ้งไม่ยุ่งใจ"
    ท่านธมฺมวิตกฺโก อยู่ในวัดเทพศิรินทร์ตลอดระยะสงครามโดยปลอดภัย เวลากลางคืนท่านก็ลงจำวัดในหีบศพที่โยมพ่อเอามาให้แล้วใช้จีวรคลุมบนหีบศพต่างมุ้ง ท่านบอกว่าหากพลาดพลั้งระเบิดตกลงมาเวลาคนมาเก็บศพก็ไม่ลำบาก ท่านไม่ยอมออกจากวัดจริง ๆ การไม่ยอมออกจากวัดนี้เป็นความตั้งใจเด็ดขาดของท่าน แม้เมื่อโยมพ่อและโยมแม่เสียชีวิตท่านก็ไม่ยอมออกไปเยี่ยมศพ เพียงแต่สั่งการให้ใครทำอะไร และทำอย่างไรเท่านั้น นอกจากนี้ ท่านบอกว่าท่านได้นั่งสวดอุทิศส่วนกุศลไปให้
    ความบางตอนจากหนังสือ ตามรอย ธมฺมวิตกฺโก พระอรหันต์กลางกรุง

    [​IMG]
    "จงแผ่เมตตาให้สรรพสัตว์ทั่วไปแม้ที่เป็นศัตรู ท่านรักคนที่เขารักท่าน
    ที่จริงไม่แปลกอะไรเลย ๆ ใคร ๆ ก็ทำได้ แต่ที่แปลกและทำได้ยากและ
    เป็นผลดีที่สุดนั้นคือต้องรักคนที่เขาเกลียดท่านด้วย"
    โอวาทท่านธมฺมวิตกฺโก ภิกฺขุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 เมษายน 2015

แชร์หน้านี้

Loading...