แฮ่ๆๆๆๆตั้งกระทู้อย่างนี้จะมีคนมาอ่านมั้ยเนี่ยแฮ่ๆๆๆๆ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย zipper, 26 มีนาคม 2005.

  1. zipper

    zipper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    5,226
    ค่าพลัง:
    +10,590
    เหตุการณ์พิเศษ รุ่นวัดแก้วฟ้าที่4

    รุ่นทีมาเที่ยววัดแก้วฟ้า รุ่นที่4 มีอยู่ 1 คนที่เป็นโรคป่วยมาก และเป็นมานานมาก เมื่อมองด้วยตาในพบว่า ที่กระดูกสันหลังตอนบน มี สิ่งที่ดำ เหมือน ปลิง หรือ ตุ๊กแกผียึดเกาะหลังอยู่ เหมือนเป็นกาฝาก ทางวิญญาณ

    ผม ลองไล่ดู ปรากฏว่า ไม่ออก และมี พลังแรงมาก ออกมา ต่อต้านจน คนที่อยู่รอบด้านรู้สึกรู้สัมผัสของพลังของเขา

    จึงมีวิธีเดียวคือ ให้คล้องลูกประคำที่มี พระพุทธองค์ไว้ที่คอ และขออำนาจ พระพุทธคุณ ช่วยปัดเป่า และสัญญากับ เจ้ากรรมนายเวร นั้นว่า ถ้าออกไป จะ จัดการ เรื่อง บวชพระ สามรูปให้ พร้อมถวายมหาสังฆทาน

    เมื่อ พาเข้าไปในวัด และ เข้าไปในรูป พระพุทธองค์ตรัสรู้ย้อยกลับไป กว่า 2500 ปี เข้าไปทั้ง คนป่วยและ เจ้ากรรมนายเวร ทั้งคู่เข้าไป ฟังองค์พระสัมสัมพุทธเจ้าเทศน์ "เรื่อง การไม่จองเวร " ปรากฏว่า เจ้ากรรมนายเวร เมื่อฟัง พระพุทธองค์ เทศน์ เขาเชื่อ และ ออกจากร่างคนป่วย

    จึงไปที่โบสถ์เก่า เชิญพระสงฆ์มารับ เงินบริจาค ในการบวชพระสามรูป โดยถวายเป้น ชุด ผ้าไตร สาม ชุด
    ขณะที่ทำการถวาย และทำการกรวดน้ำ เขามารับ เห็นกันชัดๆๆ ผู้คนรอบข้างเห็นและสัมผัสได้ ก็เป็นอันว่า ไม่มีการจองเวร แยก กันไป

    ซึ่งหมายความว่า ผู้ใดมีกรรมเวรหนักหนา เมื่อพาทั้งคู่เข้าฟังเทศน์กับพระพุทธองค์โดยตรง เรื่องก็จะยุติได้ หมายความว่า บารมีแห่งพุทธะ ยังคงเป็นแสงสว่างที่ให้ชีวิต และให้ความปลอดโปร่งแก่จิตวิญญาณได้ ..นโม ตัสสะ

    จากคุณ : ตาที่สาม - [ 8 เม.ย. 48 12:46:24 ]
     
  2. Kamen rider

    Kamen rider เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    3,773
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +1,998
    .[​IMG]
     
  3. MBNY

    MBNY Administrator ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2003
    โพสต์:
    6,860
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +22,504
    น้องเอก ..
    ดีจัง เลยค่ะ ยาวมาก
    ยังอ่าน ไม่จบเลย
    พี่จะ ปริ้นท์เก็บ ไว้อ่าน นะคะ
    น่าสนใจ มากๆ เลย

    ขอบคุณ นะคะ [​IMG]
     
  4. zipper

    zipper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    5,226
    ค่าพลัง:
    +10,590
    ยินดีเลยครับพี่แม่บ้าน <img src=http://www.palungjit.org/board/images/smilies/b-flower.gif> ดีใจที่พี่แวะมานะครับ
     
  5. กระสือข้างส้วม

    กระสือข้างส้วม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มกราคม 2005
    โพสต์:
    1,212
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +392
    มาอ่านด้วยคน

    แหม...กระทู้นี้ อ่านแล้วได้ทุกอารมณ์เลยแฮะ หะ ๆ ๆ

    มาขอสมัครเป็นแฟนคลับคุณตาที่สามเลยละกานนนน อิ อิ
     
  6. zipper

    zipper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    5,226
    ค่าพลัง:
    +10,590
    ยินดีต้อนรับ แฟนคลับคุณตาที่สามคนล่าสุด อิอิอิ
     
  7. มีน

    มีน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    36
    ค่าพลัง:
    +72
    ขอบคุณค่ะคุณซิปเปอร์ เชยอีกแล้วเรา ช่วยลบให้ด้วยค่ะ
     
  8. zipper

    zipper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    5,226
    ค่าพลัง:
    +10,590
    เอ่อ ผมไม่สามารถลบข้อความของคุณได้ ต้องให้คุณลบเองแล้ว
     
  9. DJ-วิเศษ

    DJ-วิเศษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +3,005
    ขอบคุณครับสำหรับวิธีเอาเพลงใส่บล็อค มัน work แล้วล่ะ

    ใส่เพลงในบล็อคตามที่พี่แนะนำได้แล้วล่ะครับพี่ เท่ๆๆ ดี..ขอบคุณสำหรับวิชาดีๆ ที่มอบให้ ขอให้มีความสุขวันสงกรานต์ มีความสุขกายเย็นใจมากๆๆๆๆๆๆๆ นะครับ..อิอิ
    [​IMG]
     
  10. DJ-วิเศษ

    DJ-วิเศษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +3,005
    ขอบคุณครับสำหรับวิธีเอาเพลงใส่บล็อค มัน work แล้วล่ะ

    ใส่เพลงในบล็อคตามที่พี่แนะนำได้แล้วล่ะครับพี่ เท่ๆๆ ดี..ขอบคุณสำหรับวิชาดีๆ ที่มอบให้ ขอให้มีความสุขวันสงกรานต์ มีความสุขกายเย็นใจมากๆๆๆๆๆๆๆ นะครับ..อิอิ
    [​IMG]
     
  11. zipper

    zipper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    5,226
    ค่าพลัง:
    +10,590
    เอกสารโดยความอนุเคราะห์จากคุณ ตาที่สาม (5)

    *** ผมได้เรียบเรียงภาษาไทยเพื่อให้สะดวกต่อเพื่อนสมาชิก ความถูกต้องของเนื้อหาให้ยึดตามเอกสารต้นฉบับครับ *****


    1. travelling through the body

    การฝึกหัดที่ดีที่สุด ในการเรียนรู้การเห็นภายในคือโดยการผ่อนคลายแบบเต็มที่และดูกายภายในให้ทั่ว
    (travelling through the body)

    อันดับแรกนอนทอดตัวลงไป คลายเสื้อผ้าให้หลวมๆ หายใจลึกๆ และผ่อนคลาย ทำอีกซ้ำๆ

    จากนั้น หายใจเข้าลึกๆ และเกร็งทั้งตัวอย่างแรงเท่าที่จะทำได้แล้วกลั้นหายใจไว้แล้วผ่อนหายใจออกพร้อมคลายการเกร็งตัว ทำอีกซ้ำๆ...

    คราวนี้ทำอย่างเดิมแต่ให้เกร็งตัวเพียงครึ่งเดียว...

    จากนั้น ให้หายใจลึกๆและผ่อนคลายโดยไม่ต้องเกร็งตัว โดยทำซ้ำกันสามครั้ง

    จินตนาการเห็นว่าความตรึงเครียดกำลังเคลื่อนออกจากร่างกายเสมือนน้ำผึ้งเหนียวๆไหลสู่พื้นที่รองรับเราอยู่

    ให้รู้สึกว่าหัวใจเต้นช้าลงๆ จนอยู่ในระดับช้าอย่างพอดี..

    จากนั้นให้จินตนาการว่าตัวคุณมีขนาดจิ๋ว เหมือนจุดที่ปลายลำแสง และเข้าสู่กายคุณที่ส่วนไหนก็ได้แล้วแต่เลือก

    ตัวจิ๋วของคุณไหลไปสู่ไหล่ซ้าย และคลายความตึงเครียดในจุดที่ผ่านไป

    จากนั้นตัวจิ๋วของคุณไหลลงสู่แขนซ้ายและเข้าสู่ มือ ให้ผ่อนคลายด้วยความรู้สึกยุบยิบ อบอุ่นและมีพลัง

    แขนซ้ายคุณหนักและอุ่น

    จากนั้นตัวจิ๋วของคุณไหลกลับไปที่แขนซ้าย แล้วลงไปที่ขาซ้าย คลายความตึงเครียดที่ขา จากนั้นไปที่ขาขวา
    แล้วกลับไปที่แขนขวา

    ทั้งกายคุณหนักและอบอุ่น

    จากนั้นเริ่มสำรวจระบบต่างๆในร่างกายด้วยตัวจิ๋วของคุณ

    ไปที่หัวใจ และไหลไปตามกระแสเลือดขณะถูกสูบฉีดไปทั่วร่างกาย สำรวจดูว่าระบบการสูบฉีดดังกล่าวยังทำงานดี หรือมีสุขภาพดีอยู่หรือเปล่า

    จากนั้นไปที่ปอดดูที่เนื้อเยื่อของปอด แล้วไปที่ระบบย่อยอาหาร ตามสายทางอาหารที่เข้าสู่ร่างกายโดยเริ่มจากปากลงผ่านหลอดอาหารไปสู่กระเพาะ

    ให้ดูว่าสภาพมันเป็นอย่างไร ได้รับพลังงานเพียงพอไหม ปริมาณของเอนไซม์ช่วยย่อยสมดุลหรือไม่

    จากนั้นตามอาหารไปสู่กระเพาะส่วนล่าง ลำไส้เล็ก และลำไส้ใหญ่ สำรวจดูว่าทุกอย่างยังดีอยู่ไหม..

    จากนั้นเข้าสู่ตับ ตับออ่น ม้าม..ดูว่ามันยังทำงานดีอยู่หรือเปล่า

    ไปที่อวัยวะเพศ ดูว่ามันได้รับการดูแลตามที่มันควรจะได้รับหรือไม่

    ถ้ามีส่วนไหนของร่างกายที่คุณมีความกังวลอยู่ ก็ส่งตัวจิ๋วของคุณไปที่ส่วนนั้นด้วยความรักและพลังงาน

    โดยดูอย่างถ้วนถี่ที่บริเวณนั้น ขาดสิ่งใดก็ให้ตัวจิ๋วจัดการ โดยถ้าต้องทำความสะอาดก็ให้ตัวจิ่วจัดการเสีย หรือถ้าขาดพลังงาน ก็ให้ตัวจิ๋วส่งพลังงานเข้าไป

    เมื่อได้สำรวจและดูแลตัวคุณเป็นที่พอใจแล้ว ก็ให้ตัวจิ๋วกลับสู่สภาพปกติและกลมกลืนไปกับร่างจริง

    คุณสามารถกลับสู่การสำรวจอย่างนี้เวลาไหนก็ได้ตามต้องการ

    นำตัวคุณกลับมาสู่สภาพความตระหนักปกติ แต่ยังอยู่ในสภาพการผ่อนคลายอย่างลึกอย่างมีสติและความเชื่อมั่นในตัวเอง

    คุณได้กำลังสแกนตัวของคุณเอง


    2. Scanning a friend.

    นั่งบนเก้าอี้ตรงข้ามกับเพื่อนให้คนหนึ่งเป็นคนดู และอีกคนหนึ่งเป็นคนถูกดู

    ทำสมาธิให้จิตใจสงบ แล้วค่อยๆเพ่งไปที่เพื่อนในขณะที่หลับตาอยู่

    จำความรู้สึกที่เหมือนเมื่อคุณสำรวจร่างกายของคุณ

    จากนั้นเพ่งให้เห็นไปตลอดกายของเพื่อนคุณ ซึ่งจะให้ความรู้สึกแตกต่างกันเล็กน้อยเพราะคราวนี้เป็นการสแกนจากด้านนอกของร่างกาย

    แรกสุดเลยทำการสแกนหาพื้นที่บนร่างกายที่อาจจะเป็นปัญหา โดยคุณอาจจะใช้มือช่วยก็ได้แต่อย่าแตะตัวเพื่อนคุณ

    ต่อๆไปคุณจะไม่มีความจำเป็นต้องใช้มือช่วย

    เมื่อรู้สึกว่าพบพื้นที่บนตัวเพื่อนคุณแล้ว ให้เพ่งไปที่ตรงนั้นมากขึ้น

    เพ่งไปที่อวัยวะตรงส่วนนั้น เชื่อในสิ่งที่คุณเห็น โดยคุณอาจจะได้เห็นสี ลวดลายลาย ความรูสึกบางอย่าง หรือได้รู้สึกสัมผัสเลือนรางกับบางสิ่งบางอย่าง

    ให้เกิดเป็นภาพขึ้นในหัวคุณ

    เมื่อคุณรู้สึกพอใจแล้วกับสิ่งที่คุณพบ ก็ย้ายไปที่บริเวณอื่นที่น่าสนใจแล้วทำแบบเดิม หรือไม่ก็เริ่มสแกนใหม่

    คุณสามารถสแกนบางส่วนของร่างกาย แต่ถ้าคุณคุ้นเคยกับองค์ประกอบของร่างกาย(ซึ่งคุณควรจะต้องเรียนถ้าต้องการเป็นผู้รักษา-healer) ก็สแกนระบบต่างๆได้เลย และสังเกตุสิ่งที่คุณเห็น

    เมื่อสำรวจจนพอใจแล้ว ค่อยๆกลับมาสู่ตัวคุณและลืมตาขึ้น

    แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับเพื่อนในสิ่งที่คุณสามารถเก็บเกี่ยวได้ และสิ่งนั้นๆ สัมพันธ์กับเรื่องที่เพื่อนคุณรู้เกี่ยวกับตัวเขาเองมาก่อนหรือไม่

    มีอะไรที่ไม่เกี่ยวข้องกัน..และคุณสามารถอธิบายได้ไหมว่าทำไม เพราะบางทีคำตอบอยู่ที่สมมุติฐานของคุณ บางทีปัญหานั้นอยู่ในตัวคุณเอง บางที่คุณถูก แต่เพื่อนคุณไม่ทราบมาก่อนในเรื่องที่คุณเห็น

    คราวนี้ให้คุณถูกสำรวจโดยเพื่อนของคุณบ้าง และให้ความร่วมมือกับเพื่อนของคุณเพื่อให้เธอทำง่ายขึ้น

    3. Meditation to open your third eye scanner

    บทฝึกหัดแนะนำโดย Rev.C.B.ครูคนหนึ่งของข้าพเจ้า

    โดยการนอนราบลงไป หรือนั่งหลังตรง ให้อยู่ในลักษณะสบายๆ หายใจลึกๆเข้าทางจมูก ให้อากาศเข้าไปเต็มส่วนท้องน้อย เต็มช่วงกลางและช่วงบนของปอด

    แล้วอ้าปากให้กว้างเท่าที่จะทำได้ ให้ส่วนหลังของลิ้น
    อัดกับส่วนหลังของคอหอย เมื่อปล่อยลมออกทำให้เกิดเสียงเรอ

    ลองทำให้เกิดเสียงเรอยาวๆ เท่าที่ทำได้ เสียงเรอควรเบาๆ ไม่ดังน่าเกลียด

    อย่าโยกศรีษะไปด้านหลัง ให้ตั้งตรงไว้ แล้วปล่อยลมออกช้าๆ ลมส่วนท้องน้อยออกมาก่อน ช่วงกลาง ช่วงบนของปอด จนหมด

    หายใจเข้าออกอย่างผ่อนคลาย แล้วทำซ้ำการหายใจแบบเรออีก

    ขณะที่ปล่อยลมออกให้จินตนาการเห็นลำแสงสีทองเริ่มจากบริเวณกระดูกเชิงกรานด้านหลัง วิ่งขึ้นไปตามกระดูกสันหลังเข้าสู่สมองส่วนกลาง

    ทำซ้ำสามครั้งพร้อมกับหายใจแบบเรอ

    ต่อไปเพ่งไปที่ด้านหน้าของลำตัวและเห็นลำแสงสีชมพู ทำซ้ำสามครั้งพร้อมกับหายใจแบบเรอ

    สังเกตุว่าลำแสงทั้งสองจะเปล่งแสงรวมกัน และเข้าไปสู่กึ่งกลางของสมอง

    เมื่อคุณได้ฝึกทำเช่นนี้แล้ว อย่าทำซ้ำเกิน สามหรือสี่ครั้งเพราะจะทำให้มึนงงได้

    กรุณาให้ความศรัทธาต่อการฝึกหัดเพราะมันทรงประสิทธิผลมาก

    ทำทุกอย่างอย่างช้าๆ คุณไม่สามารถเร่งการเปลี่ยนแปลงให้เร็วขึ้นในแบบที่กระทำกับวัตถุได้ มันจะไม่ได้ผล แม้ว่าเราส่วนใหญ่หวังจะให้ได้ผล

    หลายครั้งในระหว่างการรักษา ข้าพเจ้าได้หายใจอย่างเร็ว เพื่อช่วยยกระดับการสั่น และพลังงานเพื่อที่ว่าจะสามารถเห็นแสงออราได้ดีขึ้น เห็นแสงออราระดับที่สูงขึ้น และ การส่งผ่านความถี่ที่สูงขึ้นผ่านสนามพลัง

    ในการที่จะทำเช่นนั้นข้าพเจ้าเรอผ่านส่วนบนของลำคอ แต่ด้วยการหายใจสั้นๆและเร็วผ่านจมูก ทั้งนี้เนื่องเพราะข้าพเจ้าได้ฝึกหัดทำมาหลายครั้งมากจึงทำได้อย่างง่ายดาย

    บางครั้งก็ใช้การสูดลมหายใจเข้าออก ยาว สม่ำเสมอ ต่อเนื่องกันไปโดยไม่หยุดและเรอออกมา เพื่อทำให้รวมศูนย์การเพ่ง ทำใจให้ใสและให้เกิดสมดุลของสนามพลัง

    ข้าพเราเรียกเทคนิคการหายใจอย่างนี้ว่า nasal rasp breath

    เมื่อมีการเห็นและการได้ยินเหนือปกติ เกิดร่วมกัน ข้อมูลที่ได้รับจะมีประโยชน์มากขึ้น.

    Finding the cause of illness...การหาสาเหต ของความเจ็บป่วย ด้วยการย้อนอดีต

    ข้าพเจ้าได้ค้นพบหนทางที่จะรู้สาเหตุของปัญหาทางกายภาพบางอย่าง มันประกอบด้วยเทคนิคสองประการ

    ประการที่หนึ่ง ด้วยการฟื้นความจำในแบบปกติ โดยการระลึกถึงอดีตเมื่อยังอยู่ในวัยที่หนุ่มกว่า แล้ว ที่ อายุ หรือสถานที่ ในช่วงชีวิตนั้น

    ระลึกจำมันไว้ แล้วย้อนระลึกความจำในอดีตที่นานกว่านั้น ขบวนการภายในอะไรของคุณที่ฟื้นความจำ? มันรู้สึกเหมือนอะไร?

    เมื่อข้าพเจ้าระลึกถึงบางสิ่งในอดีต ข้าพเจ้าใช้จิต
    ในรูปแบบเฉพาะบางอย่าง ข้าพเจ้ารู้ว่าความรู้สึกนั้น เป็นอย่างไร ข้าพเจ้าจดจำความรู้สึกในรูปแบบใดแบบหนึ่งคือ เป็นภาพ หรือเป็นเสียง

    มันเป็นเรื่อง่ายมากในการระลึกย้อนอดีต เราทำทุกคน เราส่วนใหญ่ก็เชื่อว่า เราสามารทำเช่นนั้นได้กับเฉพาะตัวของเราเท่านั้น ไม่ใช่ทำเพื่อคนอื่นซึ่งนั่นเป็นความเชื่อที่คับแคบ

    ข้าพเจ้าพบว่าด้วยขบวนการภายในการย้อนกลับสู่ช่วงอดีตเช่นนี้ ใช้อ่าน-รู้ ประวัติของการเจ็บป่วยได้

    ประการที่สอง โดยการใช้การเชื่อมต่อกับปฏิกิริยาทางกายและการเห็นภายใน คือ ข้าพเจ้าจะเชื่อมต่อกับส่วนของร่างกายที่กำลังสงสัยว่ามีปัญหาด้วย kinesthetic sense

    แล้วนำภาพของบริเวณปัญหานั้นขึ้นมาเพื่อบอกอาการในปัจจุบันจากนั้นก็ย้อนกลับ สู่อดีต ดูประวัติการเจ็บป่วยของ
    บริเวณนั้น เมื่อย้อนกลับสู่อดีตที่ยาวนานขึ้นเรื่อยสุดท้ายก็จะเห็นเหตุของปัญหา

    ตัวอย่างเช่นข้าพเจ้าจะเห็นความเจ็บปวดเกิดขึ้นที่บริเวณร่างกายส่วนนั้นของคนไข้ที่เวลาในอดีตช่วงต้นๆ ของคนไข้ และเห็นความเจ็บปวดอีกอันหนึ่งที่เวลาในอดีตที่นานกว่า และย้อนขึ้นไปเรื่อยๆ...

    ความเจ็บป่วยรุนแรงส่วนมาก เป็นผลมาจากความเจ็บปวดต่อเนื่องอันยาวนานจากอดีต ข้าพเจ้าเพียงแต่ย้อนกลับไปในอดีตเรื่อยๆ จนถึงเวลาก่อนที่จะเกิดความเจ็บปวด
    เริ่มแรกที่บริเวณนั้น

    ความเจ็บปวดเริ่มแรกที่เกิดขึ้น เป็นสาเหตุก่อเกิดปัญหาปัจจุบัน

    <img src=http://palungjit.org/attachments/a.72659/>

    จากคุณ : superbat - [ 9 เม.ย. 48 15:31:00 ]



    <b>ความคิดเห็นที่ 1</b>

    (ต่อ)

    <img src=http://www.pantip.com/cafe/wahkor/topic/X3404731/X3404731-1.jpg>

    จากคุณ : superbat - [ 9 เม.ย. 48 15:31:41 ]



    <b>ความคิดเห็นที่ 2</b>

    ...(ต่อ)

    <img src=http://www.pantip.com/cafe/wahkor/topic/X3404731/X3404731-2.jpg>

    จากคุณ : superbat (superbat) - [ 9 เม.ย. 48 15:47:23 ]




    <b> ความคิดเห็นที่ 3</b>

    ขอบคุณมากค่ะกับความตั้งใจ สแกน โพส ที่สำคัญแปลค่ะ
    ขอรวบรวมไว้ก่อนนะคะ

    จากคุณ : ตัวกลมๆ - [ 9 เม.ย. 48 20:14:05 ]



    <b>ความคิดเห็นที่ 4</b>

    4 http://www.pantip.com/cafe/wahkor/topic/X3390025/X3390025.html

    3 http://www.pantip.com/cafe/wahkor/topic/X3387652/X3387652.html

    2 http://www.pantip.com/cafe/wahkor/topic/X3381854/X3381854.html

    1 http://www.pantip.com/cafe/wahkor/topic/X3374337/X3374337.html

    จากคุณ : Dr.slump - [ 9 เม.ย. 48 21:03:09 ]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • X3404731-0.jpg
      X3404731-0.jpg
      ขนาดไฟล์:
      58.8 KB
      เปิดดู:
      242
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 เมษายน 2006
  12. zipper

    zipper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    5,226
    ค่าพลัง:
    +10,590
    เอกสารโดยความอนุเคราะห์จากคุณ ตาที่สาม (6)

    ผมเรียบเรียงภาษาไทย ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับสี หากนึกภาพไม่ออกว่าแต่ละสีเป็นอย่างไร ลองเข้าไปดู ชื่อและสีที่ลิงค์ ที่ให้ไว้ข้างล่างนี้ และ

    เช่นเดิมครับ ความถูกต้องของเนื้อหาให้ยึดต้นฉบับเดิม....

    http://www.w3schools.com/html/html_colornames.asp


    The meaning of color in the aura

    ผู้คนมากมายมาหาข้าพเจ้าและถามว่า ออราของฉันสีอะไร? และ มันหมายความว่าอย่างไร? หลายผู้คนได้รับการบอกกล่าวจากผู้อ่านออรา(อื่นๆ)ว่า ออราของคุณสีอย่างนั้น อย่างนั้น และหมายความว่าอย่างนั้น อย่างนั้น..

    โดยปกติข้าพเจ้าจะไม่กล่าวอย่างนั้น ดังที่จะได้เห็นในหนังสือเล่มนี้ เมื่อมีคนถามว่า ออราของฉันสีอะไร?

    โดยปกติข้าพเจ้าจะตอบว่า ออราของระดับไหน? หรือบางทีข้าพเจ้าก็จะอ่านออราโดยดูสีที่โดดเด่น จากรูปร่างรวมๆของออรา และกล่าวทำนองว่า ออกไปทางน้ำเงิน และมีสีเหลืองและม่วงปนอยู่บ้าง....

    เพื่อนร่วมงานของข้าพเจ้าชื่อ Pat (Rodegast) de Vitalis ผู้ซึ่งให้การชี้นำ(ทางจิตวิญญาณ)กับ Emmanuel สามารถอ่านสีออราในระดับ จิตวิญาณ (soul level)ได้

    Emmanuelมีสีออราของเทพคุ้มครอง (the person on the soul level as it connectes to the task in this lifetime)

    สีเหล่านี้สื่อความหมายเฉพาะ และ Pat ก็แปลความจากการที่เธอเห็น ดังที่แสดงในตารางที่ 23-1.

    โปรดจำไว้ว่า การใช้ความหมายเหล่านี้ แปลความหมายจากที่คุณเห็น คุณจะต้องมีความสามารถในระดับเดียวกับ Pat

    การอ่านสีในระดับจิตวิญญาณ จะต้องทำใจให้ใสด้วยการทำสมาธิขั้นสูง เมื่อมีสมาธิแล้วก็ตั้งจิตอธิษฐานขอให้เห็น. เมื่อผ่านการฝึกพอสมควรแล้วสีเหล่านี้จะปรากฏ
    ในมโนภาพ (mind-screen)

    คุณอาจจะเห็นรูปแบบ หรือ ภาพ ประกอบกับสีเหล่านี้ด้วยเช่นกันซึ่งคุณสามารถอธิบายต่อคนป่วยเพื่อว่าเขาจะได้เข้าใจความหมายของสีด้วย

    สีแดง หมายถึง ความรุนแรงทางความรู้สึก อารมณ์ ความกระตือรือร้น

    แดงสีกุหลาบ (reddish-pink)หมายถึงความรัก
    แดงสดใส(clear red)หมายถึง อิสระภาพ ความโกรธ
    แดงเลือดหมู(dark red) หมายถึงมีอารมณ์โกรธ
    แดงส้ม (red-orange) หมายถึง อารมณ์ทางเพศรุนแรง

    สีส้ม หมายถึง ความทะยอทะยาน

    สีเหลือง หมายถึง ความเฉลียวฉลาด

    สีเขียว หมายถึง พลังในการรักษา (healing/nurturing energy)

    สีน้ำเงิน หมายถึง ความเป็นครู ความออ่นไหว

    สีม่วงแดง(purple) หมายถึง สื่อสัมพันธ์ลึกซึ้งกับจิตวิญญาณ

    สีน้ำเงินม่วง-คราม (indigo)หมายถึงมีแนวโน้มสื่อสัมพันธ์กับจิตวิญญาณ

    สีม่วงจาง (lavender) หมายถึง จิตวิญญาณ

    สีขาว หมายถึง ความจริง

    สีทอง หมายถึง เทพเจ้า การรับใช้มนุษย์ด้วยรัก

    สีเงิน (silver)หมายถึงความสามาถในการสื่อสารที่ดี

    สีดำกำมะหยี่ (velvet black) หมายถึง ประตูสื่อสารกับอีกโลกความจริงหนึ่ง เหมือนหลุมดำในอวกาศ

    สีเลือดนก(Maroon) หมายถึงหน้าที่การงาน

    สีดำ หมายถึง สัญญาณนำไปสู่ด้านลบ อุปสรรค


    Color in Healing Session

    สีรุ้งทุกสีใช้ในการรักษา โดยแต่ละสีมีผลต่อการรักษาต่างกัน โดยผ่านทางจักระ

    สีแดง เพื่อ ประจุสนามพลัง เผาผลาญมะเร็ง และให้ความอบอุ่นกับส่วนที่เย็น

    สีส้ม เพื่อ ประจุสนามพลัง เพิ่มพลังทางเพศ เพิ่มภูมิคุ้มกัน

    สีเหลือง เพื่อ แก้อาการวิงเวียน และช่วยให้มีสติ สัมปชัญญะ

    สีเขียว เพื่อ ความสมดุลทั่วไป และการรักษาทุกกรณี

    สีนำเงิน เพื่อ ความเย็น และความสงบ และใช้เพื่อปรับ eteric field และ เกราะป้องกัน (shielding)

    สีม่วงแดง เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยสื่อสัมพันธ์กับเทพผู้รักษาของเขา

    สีคราม เพื่อเปิดตาที่สาม เสริมการเห็น สมองโล่ง

    สีขาวเพื่อ การประจุสนามพลัง ให้เกิดความสบ แก้ความเจ็บปวด

    สีทอง เพื่อ ปรับ(ออรา?) ระดับที่เจ็ดและเพิ่มความเข้มแข็งของ สนามพลัง

    สีดำกำมะหยี่ เพื่อให้ผู้ป่วยเข้าสู่ภาวะเงียบ สงบ เข้าถึงเทพเจ้า ปรับเปลี่ยนกระดูกที่ไม่แข็งแรงเนื่องจากมะเร็งหรือ ความเจ็บปวดอื่นๆ

    สีม่วง-นำเงิน เพื่อ สลายความเจ็บปวดขณะปฏิบัติเกี่ยวข้องกับเนื้อเยื่อและกระดูก และยังช่วยให้ผู้ป่วยมีพลังเพิ่ม


    โดยทั่วไปในการรักษา ข้าพเจ้าจะไม่ควบคุมสีที่ผ่านเข้ามา แต่สามารถคงสภาวะของสีเหล่านั้นได้ และมีน้อยครั้งที่ข้าพเจ้าตั้งใจจะส่งสี หนึ่งเพื่อการรักษาหนึ่งๆ

    ตาราง 23-2 แสดงสีที่ใช้ในการรักษา

    <img src=http://www.pantip.com/cafe/wahkor/topic/X3409967/X3409967-0.jpg>


    จากคุณ : superbat - [ 12 เม.ย. 48 11:39:42 ]



    <b>ความคิดเห็นที่ 1</b>

    (ต่อ)

    <img src=http://www.pantip.com/cafe/wahkor/topic/X3409967/X3409967-1.jpg>

    จากคุณ : superbat - [ 12 เม.ย. 48 11:40:15 ]



    <b>ความคิดเห็นที่ 15</b>

    อาจจะมีการสับสนเรื่องออร่าและสี ที่แบ่งเป็นสองกลุ่มที่ไม่เหมือนกัน

    ตอนแรก เป็นสีและความหมายของ กายทิพย์ที่เมื่อมองด้วยตาที่สาม จะเห็นสีของเขา เมื่อเราเห็นสี เราก็จะรู้กำพืดของคนๆๆนั้นได้โดยเขาไม่มีทางซ่อนเร้น.

    มีประโยชน์ในการคบหาสมาคม เพราะ รู้เขาแล้ว เราก็ชนะไปครึ่งหนึ่ง ออร่านี้ ช่วยให้สามารถ เลือกคนเข้าทำงานในตำแหน่ง พิเศษประเภทการเงิน หรือ ราชการลับได้ หรือ จะใช้ในการประกอบธุรกิจได้ เพราะเราจะรู้ว่า เขาจะโกงใหม

    ตอน สอง เป็นแสงสี ที่กำหนดเพื่อใช้พลังตาที่สามกำหนด ขนาด ความแรงและชนิดสี แล้วส่งออกไป เหมือน ยิงด้วยแสงเลเซอร์นั่นเอง ตำราเขาจะบอกว่า โรคอะไร ใช้แสงสีอะไร

    ที่จำง่ายที่สุดตือ แสงแดง(ร้อน) จะใช้รักษาโรคที่เย็น หรือ แสงเขียว (เย็น) ใช้รักษาโรคที่เป็นอาการเร้อน ดังนั้นผู้ที่มาให้ผมตรวจ ผม จะตรวจโรคและ ส่ง แสงเลเซอร์ รักษาไปด้วยเป็นของแถมเสมอ..พูดอย่างนี้ หลายคนคงคิดว่า ผม โกหก อีกแล้ว...ทั้งๆๆที่เป้นคำแปลชัดๆๆจาก หนังสือของ Barbara Ann Brennan ในการรักษา

    และอ่านผ่านๆๆ บางกระทู้ข้างบนบอกเลยว่า ต้องย้อนกลับไปรักษาในอดีตชาติ..ซึ่งผมเคยบอกว่า ไม่ทำ เพราะ ส่วนใหญ่เป็นเรื่อง ผ่าตัดเสริมสวยแผลเป็นในอดีต เช่นในอดีต ถูกฟันด้วยดาบที่ปาก จนปากบิด พอเกิดมา ใหม่ปาก ก็บิด มาแต่เกิด..โรคธรรมดาๆๆทุกๆๆวันนี้ ก็รักษาไม่ทันอยู่แล้ว

    ที่ประหลาดที่สุด เมื่อ เราส่งแสงแดง เป็นเลเซอร์จากตาที่สามเข้าไปในอวัยวะ ที่เป็นมะเร็งเช่นที่ตับ พอพลังเข้าไปรักษา เราจะมองเหมือนเห็นก้อนถ่านดำ(ตับส่วนมะเร็ง)จะถูกจุดไฟแดง เหมือน ถ่านคุด้วยไฟ แดง(ไฟนั้นจะเผาทำลายเชื้อมะเร็ง)

    เวลาผมจะทานอาหารทุกมื้อ จะใช้เวลา ประมาณ 30 วินาที ใช้ตาที่สามยิงเลเซอร์สีแดง ฆ่าเชื้อโรคและทำลายพิษในอาหารทุกจานบนโต๊ะ ..นี่คือการใช้ตาที่สาม ฆ่าเชื้อโรค..การมีตาที่สาม ดี ทุกอย่าง..พวกเราไม่อยากมีกันบ้างหรือ

    จากคุณ : ตาที่สาม - [ 18 เม.ย. 48 18:29:45 ]
     
  13. zipper

    zipper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    5,226
    ค่าพลัง:
    +10,590
    นกน้อยขอเรียนถามพี่ตาที่สามเรื่องมนุษย์ต่างดาวค่ะ

    มนุษย์ต่างดาวที่มาจากดาวศุกร์นั้นเหมือนหรือแตกต่างกับพวกที่มาจากดาวอังคารอย่างไรคะ แล้วจะมีนิสัยใจคอคล้ายๆกันไหมคะ

    จากคุณ : บัวรำพึง - [ 9 เม.ย. 48 14:56:11 ]



    <b>ความคิดเห็นที่ 6</b>

    เท่าที่รู้จัก และสนทนากับเชื้อสายของ มนุษย์ต่างดาว จาก ดาวศุกร์และดาว อังคาร พอสรุปสั้นๆๆเป็นสังเขปดังนี้
    1. จากดาวศุกร์ โครงสร้าง กาย จะค่อนข้างใหญ่ ใบหน้ามัก จะเป็นรูป เหลี่ยม มือใหญ่ สั้น มีผมดก และ จอนผม หรือผมข้างหูจะยาวเป้นพิเศษ พูดน้อยแต่ช่างคิด เรียนหนังสือสูง ชอบวิชาการ
    2. จากดาวอังคาร กายเล็ก ผอม มือผอมยาว เหมือนคู่ปาท่องโก๋ ใจดี อ่อนโยน สงบเสงี่ยม มักกังวล เพราะ กายไม่สมดุลย์ในการที่มาเกิดในสภาพบนโลก โดยเฉพาะ การกินอาหาร เพราะ บรรพบุรุษ กินแต่แสง พอมาเจอ อาหารธาตุ จึงต้องปรับระบบกายให้เข้าที่

    จากคุณ : ตาที่สาม - [ 9 เม.ย. 48 23:18:19 ]


    <b>ความคิดเห็นที่ 7</b>

    เหมือนมีคนเคยถามแล้ว แต่ขอถามอีกทีนะครับ

    มนุษย์ต่างดาวที่อยู่ในโลกนี่คือ

    มนุษย์ต่างดาว ที่ตาย แล้ว มาเกิดในโลกแทนรึเปล่าครับ?

    จากคุณ : freeek!!! - [ 10 เม.ย. 48 02:42:18 ]



    <b>ความคิดเห็นที่ 9</b>

    ตอบ มนุษย์ต่างดาว ที่มาบนโลก มีทั้งสองอย่าง คือตัวจริงมา และ วิญญาณมาเกิด

    และเมื่อ วิญญาณมาเกิด ก็คือตัวเก่าที่ใส่เสื้อใหม่ พวก เก่าก็จำได้ ก็จะบินมาอยู่ด้วยกัน ที่เราเห้นคือกายหยาบ แต่เมื่อมองด้วยจิต ก็คือตัวเดิม

    ถ้าคุณ อ่านตามที่ ผู้หญิงคนหนึ่งใน อเมริกา (ในกระทู้ข้างล่าง ลองหาดูบ้าง)เล่าว่า เธอมาจากดาวศุกร์ ทุกอย่าง
    เป้นการก่อสร้างในจิต คือ เป็นบ้านเมืองทิพย์ คนที่มีตาพิเศษ จึงจะเห็น ถ้ามอง ธรรมดา จะไม่เห็น เพราะอยู่ในอีกมิติ ครับ

    จากคุณ : ตาที่สาม - [ 10 เม.ย. 48 06:31:57 ]
     
  14. zipper

    zipper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    5,226
    ค่าพลัง:
    +10,590
    มนุษย์ต่างดาว...ต่างดาว...ต่างดาว

    หายไป 2 วันปรากฏว่ามีเพื่อนใหม่เข้ามาห้องนี้เพิ่มขึ้นเยอะมาก..ขอต้อนรับและดีใจจริงๆ ที่จะมีเพื่อน
     
  15. zipper

    zipper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    5,226
    ค่าพลัง:
    +10,590
    ชุมชนคนบังบด...!

    ขออ้างอิงจากกระทู้ของคุณGreat P เรื่องชาวบังบดนะคะ
    ด้วยความสนใจเรื่องของชาวลับแล ( ถ้ามีจริง ) เกี่ยวกับมิติที่เค้าอยู่กัน...เลยหาดูจากคุณครูgoogle ก็ได้ความมาแบบนี้ค่ะ...

    ...........................................................................

    * ปรัชญา โลกและจักรวาล#20 มนุษย์ลับแล บังบด *

    ...........................................................................


    มนุษย์ลับแลหรือบังบด อาศัยกายมนุษย์เกิด อยู่ในมิติประมาณ 5 มิติด้านบนของคน กินบุญ กินกาย(กลิ่น,ซาก)เทวดาชั้น1จาตุมหาราชิกาเป็นอาหาร เป็นอันตรายต่อมนุษย์และเทวดาสวรรค์ชั้น 1 ได้

    มนุษย์ลับแลเป็นเจ้าที่ที่สำคัญของประเทศไทย ช่วยเฝ้าบ้าน เฝ้าวัง อาศัยอยู่ตามต้นไม้ตามบ้านเรือนหรือขอบชายป่า อยู่ตามป่าพรหมแดนระหว่างประเทศแถบนี้ มีอายุยืนหลัก 500ปีขึ้นไป เป็น(อดีต)มนุษย์ต้องคำสาปไม่มีทางดีขึ้น(ฆ่าคนมากเกิน) มีชีวิตความเป็นอยู่ใกล้เคียงกับคน

    ในอดีตพวกแม่ทัพมักจะเลี้ยงมนุษย์ลับแลไว้เพื่อเป็นหูเป็นตาคอยสอดส่องศตรู มนุษย์ลับแลจำนวนมากหลายๆแสนค่อนข้างน่ากลัว

    ในอดีตมีเทพเทวดาจากแถบประเทศอินเดียที่มาบุกประเทศไทยต้องล้มตายเป็นจำนวนมาก เพราะโดนมนุษย์ลับแลฟันด้วยดาบที่มีมิติถึงสวรรค์ชั้น 1
    (สวรรค์ชั้น 1 เวลาช้ากว่ามิติของมนุษย์ลับแลมาก จะสู้ด้วยยาก) เวลาต่อสู้มนุษย์ลับแลจะโผล่แค่ตาและ
    ดาบเท่านั้น ดาบทำมาจากดาบจริงค่อยๆเหลื่อมเข้าไปมิติเทวดา ต้องมีพระทรงฌานช่วยทำให้

    มนุษย์ลับแลมีขนาดใกล้เคียงกับคนอาจเล็กกว่าหรือโตกว่าเล็กน้อย เสียงดังฟังชัดได้ยินชัดเจน เวลาทำงานตัดไม้ปลูกบ้านสร้างเรือนถ้าคนอยู่ในบริเวณนั้นก็จะได้ยินเสียง อาจทำร้ายคนได้ถ้ามีคำสั่งหรือค่าจ้าง ทำร้ายคนได้ในเวลาหลับ โดยฟันมิติในสมองคนที่เสมอกับชั้นจาตุมหาราชิกา ปกติมักไม่ตาย แต่จะทำให้สมองทึบคิดอะไรไม่ค่อยออก ตื่นลำบาก หรือตกใจตื่น (คนส่วนใหญ่
    ใช้มิติในสมองระดับสวรรค์ชั้น1ในการทำงาน) มนุษย์ลับแลจะฟันมิติในสมองทุกๆคืนติดต่อกัน ทำให้คนที่โดนลอบทำร้ายไม่สบายทำงานไม่ได้ สามารถดลใจให้คนทะเลาะกันหรือฆ่ากันตายได้ถ้าเผลอไม่ระมัดระวัง

    ด้วยพฤติกรรมลอบทำร้ายคนแบบแอบๆซ่อนๆ ทำร้ายคนเวลานอนหลับ มีพระองค์หนึ่ง(เข้าฌาน)เห็นเข้าจึงสาปให้เป็นพวกไม่มีหน้ามีตา ไม่สามารถที่จะสู้หน้าใครได้ ชีวิตต้องคอยแอบซ่อน ไม่มีหน้าตาตัวเองจริงๆ (ใช้ซากเทวดา กายในกายคนเป็นหน้าตา) มีชีวิตอยู่(อายุยืน)เพื่อรออะไรบางอย่าง ไม่มีโอกาสได้กลับมาเกิดเป็นคนอีกโดยง่าย

    มนุษย์ลับแลมีอยู่ 2 พวก พวกหนึ่งไม่เป็นมิตรกับคน จะคอยทำร้ายเสมอ ทำบาปมากจนไม่มีความหวังจะกลับมาเกิดเป็นคนอีก

    พวกที่2เป็นคนในอดีต ทำบาปทำกรรม เกี่ยวข้องกับการฆ่าคนตายที่ละมากๆ ยังมีความหวังตั้งใจที่จะกลับมาเกิดเป็นคนอีกครั้ง พวกที่ 2 มักจะมาช่วยคน


    ถ้าคนถูกทำร้ายโดยมนุษย์ลับแล แต่มีจำนวนไม่มากนักประมาณ 500 องค์ใหญ่ๆ อยู่เป็นเจ้าที่ในตัวคนก็มี ชื่อที่ใช้กันก็ซ้ำ หรือคล้ายกับคน(มีชื่อเสียง)ในประเทศไทยในอดีต ไม่รู้ว่าเป็นตัวจริงหรือตัวปลอม แต่น่าจะเป็นพวกเจ้าที่ในคน

    มนุษย์ลับแลเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ประเทศไทยตกต่ำอย่างมากเจริญได้ยากพวกแม่ทัพหรือกษัตริย์ในอดีตชอบเลี้ยงและใช้มนุษย์เหล่านี้ในการควบคุมลูกน้องข้าราชบริพารลูกหลาน (สั่งให้ทำงานผ่านทางมิติเสียงระยะทางไกล) ส่งไปเป็นเจ้าที่คอยติดตามคอยสั่งเวลาให้ใครไปทำงานไกลๆ เป็นสิ่งที่อยู่เบื้องหลังเครื่องรางของขลัง พระเครื่องที่ศักดิ์สิทธิ์ จัดเป็นคุณไสยหรือวิชาทางไสยศาสตร์อย่างหนึ่ง

    -----------------------------
    สุรศักดิ์ ยุติธรรมนนท์

    http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K3387006/K3387006.html
    ..........................................................................



    * ส่วนอีกเรื่องนึง...มาจากที่นี่ค่ะ

    http://www.dharma-gateway.com/misc/misc-secret_memoir_12.htm



    ** บันทึกลับ ภิกษุนิรนาม **


    ๑๒.เจอกายทิพย์


    เมื่ออาตมายังเด็ก ก็มีตาเห็น หูได้ยิน เป็นปกติ คือเวลาเห็นก็ เห็นทั่วไปหมด แม้แต่จิตวิญญาณก็เห็นเราเดินไปมาขวักไขว่ เช่น มนุษย์ เรานี้ หูนั้นใครพูดคุยก็ได้ยินไปหมด จนบางครั้งก็รำคาญว่า คนเรานี่ มันช่างพูดกันไม่รู้จักจบสิ้น จนชินไปเอง

    ครั้นออกธุดงค์คราวนี้ ก็สามารถ กำหนดได้ คือไม่ต้องการให้เห็นก็ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ถ้าต้องการจึงจะ เห็น จึงจะได้ยินได้ จึงเป็นการตัดรำคาญไปได้อย่างหนึ่ง คือไม่ต้องเห็น ต้องได้ยินตามบารมีเก่า ที่ติดมาแต่อดีตชาติอย่างพร่ำเพรื่อ

    บางครั้งเมื่อจิตเป็นพุทโธ มีพุทโธอยู่ในจิต ถึงความเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน มีอารมณ์สนุกอยากจะเห็นสภาพป่า ที่ไกลจากบริเวณที่นั่งอยู่ มันก็เห็นทะลุปรุโปร่งออกไปอย่างกว้างไกล ไม่มีขอบเขต ได้เห็นเสือ เห็นหมี บ้างเดิน บ้างนั่ง บ้างนอน อยู่กับความสงบเงียบ เห็นฝูงกวาง พากันเลาะเล็มยอดไม้ใบหญ้าที่กำลังแตกใบอ่อนไปตามประสาตน

    อาตมาได้เห็นพระภิกษุสงฆ์ แบกกลดเดินธุดงค์บ้าง บางรูปก็ บำเพ็ญภาวนา บางรูปก็เดินจงกรม บางทีก็เห็นชีปะขาว แม่ชี ที่นั่น ที่นี่อยู่ทั่วไป ฤาษีชีไพรผมยาวเครารุงรังก็เห็นมีอยู่เช่นกัน ข้อแตกต่าง ที่สังเกตเห็นได้ ถ้าเป็นภิกษุสงฆ์ ที่ยังเป็นมนุษย์อยู่ จะเห็นได้ที่ท่านมีกลด อยู่กับตัว ไม่แบกเดินไป ก็นั่งกางกลดอยู่ตามโคนไม้ ส่วนที่ท่านเป็น กายทิพย์ คือละสังขารทิ้งกายเนื้อธาตุขันธ์ไปแล้ว จะไม่มีกลด บางรูป นั่งอยู่ในสมาธิ ช้านานไม่มีกำหนด บางรูปก็นอนเอกเขนกสบายอารมณ์ อยู่ตามแท่นหิน หรือหน้าถ้ำริมธารน้ำไหล หรือบนพื้นหญ้าเรียบๆ ท่ามกลางหมู่ไม้ดอกและใบ บางรูปก็เลื่อนลอยไปเหนือพื้นดิน บางรูป พิสดารขึ้นไปนั่งรับลมอยู่บนยอดไม้ ดูไปช่างมากมายเสียจริงๆ จนทำให้ คิดว่า ป่าในเขตจังหวัดเลยและเพชรบุรีนี้ เปรียบเหมือนป่าหิมพานต์ เป็นแผ่นดินธรรมค้ำจุนโลก เป็นแดนบุญของบ้านเมือง เทพยดาอารักขเทวา ที่เป็นสัมมาทิฐิก็มีอยู่ทั่วไป เห็นได้จากเมื่อพระอริยสงฆ์ที่เป็นกายทิพย์ ท่านไปนั่งเข้าฌานสมาบัติอยู่โคนต้นไม้ เขาจะรีบลงมาอยู่ข้างล่างทันที ด้วยมีความนอบน้อมเคารพ

    * ในป่าเขาแห่งนี้ มีหมู่บ้านสำหรับพวกกายทิพย์อยู่หลายแห่ง ไม่ เฉพาะแต่ทีบนเขาภูกระดึงเท่านั้น พวกกายทิพย์นี้ก็คือ พวกลับแล หรือ บังบด มีฤทธิ์อยู่อย่างหนึ่ง คือ เขาจะให้มนุษย์เห็นก็ได้ ไม่ให้เห็นก็ได้ เป็นพวกมีศีล ชอบทำบุญให้ทาน ที่หมู่บ้านเชิงเขาภูกระดึงนั้น เขาเคย มาร่วมตักบาตรทำบุญที่วัดเสมอ คนช่างสังเกตจึงจะรู้ได้ ภิกษุสงฆ์ที่ ท่านเป็นกายทิพย์ ท่านไม่ต้องฉันอาหาร แต่พระภิกษุสงฆ์ที่เป็นมนุษย์ ยังต้องฉันอยู่

    พวกบังบดจึงมักมาใส่บาตรแก่พระที่เขาเห็นว่า ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ มีจิตเบาละเอียดเสมอเขา พระที่มาถือธุดงค์อยู่ในป่าแถบนี้ ถ้าปฏิบัติจริงๆแล้วไม่อด ธรรมย่อมรักษาแน่นอน

    ...........................................................................

    จากคุณ : ระนาดแก้ว - [ 22 เม.ย. 48 18:02:53 ]



    <b>ความคิดเห็นที่ 2</b>

    และที่ web นี้ เค้ามีการสนทนากันถึงเรื่องเวลาในโลกที่ต่างมิติกันค่ะ...ดิฉันขอคัดมาเฉพาะเรื่องที่คิดว่าน่าจะเกี่ยวข้องค่ะ...

    http://www.konmeungbua.com/webboard/aspboard_Question.asp?GID=908

    ...........................................................................

    ในวิชาฟิสิกส์ มีการเรียนกันเรื่องเวลา และมีบทพิสูจน์ที่ว่านักบินอวกาศที่ไปอยู่ในอวกาศและมีคู่แฝดอยู่บนโลก เมื่อเดินทางกลับมายังโลก จะมีความแตกต่างเรื่องอายุเกิดขึ้น จะเด็กกว่า เป็นต้น นั่นเป็นปรากฏการณ์ของเวลาที่มีผลทางกายภาพ

    แต่ในมิติอื่นๆ ที่คุณ...เคยมีประสบการณ์ และผมเข้าใจว่าในมิติต่างๆ มีความแตกต่างกันเรื่องของเวลา เช่น บังบด สวรรค์ นรก หรือ การเข้าสมาธิในมิติของฌาณ ผมอยากถามว่า

    1. มิติต่างๆ ที่ซ้อนทับกับภพของมนุษย์ มีความแตกต่างเรื่องเวลากัน หรือไม่ ขอตัวอย่างครับ

    2. การที่จิต หรือ แม้กระทั่งกายเนื้อ เข้าไปในมิติต่างๆ ที่มีความแตกต่างของมิติเวลา จะมีผลต่อระบบกลไกกรรม หรือไม่ เคยได้ยินมาว่าถ้าเรารู้ว่าจะผจญกรรมหนัก ให้เข้าฌาณสมาบัติ กรรมขณะนั้นจะผ่านไป เพราะความไม่ลงตัวของระบบเวลาขณะเข้าฌาณ จริงไหมครับ

    3. ในเรื่องระบบของเวลาในทางภพภูมิแล้ว มีความเป็น Systemsatic หรือ มีกฏเกณฑ์ที่แน่ชัดไหม เช่น ถ้าภพมนุษย์ปัจจุบันเวลา 8.oo น. ในภพของบังบด จะเป็นเวลา 8.00+xxx เป็นต้น

    ขอรบกวนเท่านี้

    จากคุณ...เมื่อวันที่ 20/3/2547 13:10:22
    ..........................................................................


    ข้อความที่ 2

    1.มิติต่างๆมีความแตกต่างกันเรื่องเวลาแน่นอน ครับ ยกตัวอย่าง เคยไปสนทนาธรรมกับครูบาอาจารย์ภายใน เราจำได้ว่าตอนถอดจิตออกไปนั้นประมาณสี่ทุ่ม ไปสนทนากับท่านได้พักเดียว คุยกันไม่กี่เรื่องท่านบอกว่าให้กลับได้แล้ว เราก็บอกว่าเดี๋ยวก่อนหลวงปู่ที่นี่อากาศสบายดี จะอยู่เล่นสักพัก คุยได้อีกหน่อยเดียว ท่านบอกอีกว่าให้กลับได้แล้วนะ สายมากแล้ว เราก็ได้แต่คิดว่า เอ ทำไมท่านเร่งให้เรากลับจัง อยากอยู่อีก แต่ก็กลับมา ปรากฏว่าในเช้าวันรุ่งขึ้นเราตื่นสายประมาณแปดโมง ตื่นมาตกใจเลยว่าทำไมเวลาไปเร็วขนาดนั้น ในความรู้สึกเหมือนกับคุยกับครูบาอาจารย์ได้ไม่ถึง 20 นาทีเลย แต่เวลาโลกมนุษย์ผ่านไปถึง 10 ชั่วโมงแล้ว เรื่องแบบนี้เราประสบด้วยตัวเองอยู่บ่อยๆ ด้วยเหตุนี้จึงเชื่อแน่ว่าเวลาในระบบภพภูมิแตกต่างกัน

    2. การเข้าไปภพภูมิอื่นทั้งธาตุสี่ นั้นมีผลต่อระบบกลไกกรรมแน่นอนครับ ในมนุษย์กรรมเสวยเราที่ธาตุสี่เป็นหลัก ในภพภูมิอื่นสิ่งแวดล้อมและกาลเวลาเปลี่ยนไป ผลกระทบที่มีต่อธาตุสี่ย่อมแตกต่างกัน อย่างคนที่เคยอยู่ในมนุษย์แล้วไปอยู่ในบังบด เขาจะมีอายุยืนยาวกว่าคนในโลกมนุษย์หลายเท่า อายุขนาดนั้นหากอยู่ในมนุษย์อาจเกิดตายไปหลายครั้งก็ได้ ส่วนที่ "จิต" เข้าสู่ระบบภพภูมิอื่นนั้น ไม่แน่ใจนัก แต่ถ้าเทียบกับตัวเองแล้วก็เข้าใจว่าเป็นไปได้ เพราะเพื่อนรุ่นเดียวกันกับเรานั้น เขาดูแก่กว่าเรามาก และก็ไม่แน่ใจว่าจะเป็นเพราะว่าการปฏิบัติสมาธิของเราทำให้ดูแก่ช้าหรือเปล่า แต่หากไปแค่จิตอย่างเดียวไม่เอาธาตุสี่ไปด้วย อายุในโลกมนุษย์ก็ไม่ค่อยแตกต่างกัน ส่วนเรื่องการหนีกรรมโดยเข้าฌานสมาบัตินั้น อันนี้เราไม่เคยทำครับ แต่เชื่อว่าทำได้ ก็เป็นแบบที่เราๆทำบุญกุศลหนีกรรมบางอย่างกันนั่นแหละ

    3. ในเรื่องของกลไกเวลา เรา "เชื่อว่า" มีกฏเกณฑ์ชัดเจน แต่เท่าที่เคยไปสัมผัสบังบดมา เรายังไม่เห็นเรื่องเวลาของเขาเลย อย่างไรก็ตามเรื่องกาลของแต่ละภพภูมินั้นก็มีการแปรเปลี่ยนตามกฏไตรลักษณ์ เช่นกันครับ

    จากคุณ...เมื่อวันที่ 20/3/2547 20:34:01

    ...........................................................................


    ข้อความที่ 8

    เท่าที่อ่านคำตอบจากคุณ...น่าจะสรุปได้ว่า

    (ขอเอาความรู้ทางวิทย์มาขยายความหน่อย)


    ระบบเวลาเป็นลักษณะ Absolute system ลักษณะเคลื่อนไปข้างหน้า โดยมีระบบเวลาย่อยๆของแต่ละมิติเดินทางขนานกันไปด้วยสเกลที่แตกต่างกัน เพราะเมื่อเราข้ามไปมิติอื่นแล้วกลับออกมายังโลกมนุษย์ เวลาของโลกมนุษย์ก็ยังคงเคลื่อนไปตามปกติ ระบบธาตุขันธ์และจิตเป็นลักษณะ relative system กล่าวคือ เมื่อ ณ จุดหนึ่งของเวลาบนโลก เมื่อเราข้ามไปอีกมิติ ธาตุขันธ์ของเราที่อยู่บนโลกจะหยุดการแก่ และเมื่อกลับออกมาจากมิติอื่น ก็จะดำเนินการแก่ไปตามปกติ

    ดังนั้นแสดงว่า

    1. ถ้าเราไปเยี่ยมนรก สามารถไปได้หลายวัน เพราะเมื่อกลับมาก็ใช้เวลานิดเดียวใช่ไหม?

    2. ถ้าเราอยากมีอายุยืนยาว ก็ต้องผ่านมิติบ่อยๆ ไปในมิติที่มีระยะเวลายาวกว่า


    จากข้อความข้างต้นเลยเกิดคำถามใหม่ว่า

    1. อายุไขของมนุษย์จะนับเวลาอย่างไร (เรื่องนี้จะทำให้ยมโลกปั่นป่วนหรือไม่ ถ้าเราเกิดไปต่างมิติบ่อยๆ)

    3. ถ้าพวกบังบด มาเที่ยวเล่นในมิติของโลก จะทำให้อายุไขของเค้าเหล่านั้นสั้นลง หรือไม่

    4. เช่นเดียวกัน เทวดาที่มาอยู่มิติโลกมนุษย์จะมีอายุไขสั้นลงตามระบบเวลาโลกหรือไม่

    5. แสดงว่าการระลึกชาติได้ ไม่ได้เกิดจากที่จิตย้อนไปตามระบบเวลา แต่เป็นการค้นหาไปข้างหน้าของระบบเวลาใช่ไหม (หรืออาจจะเป็นการเห็นจากระบบบันทึกกรรม) ถ้าเป็นเช่นนี้จริง แสดงว่า เราไม่สามารถย้อนเวลาหาอดีต แบบ back to the future ได้ใช่ไหม

    ขอรบกวนแค่นี้ครับ

    จากคุณ...เมื่อวันที่ 21/3/2547 23:22:52

    ...........................................................................


    จากคุณ : ระนาดแก้ว - [ 22 เม.ย. 48 18:26:44 ]



    <b>ความคิดเห็นที่ 3 </b>

    โดยส่วนตัวคิดว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจมากค่ะ...ทั้งเรื่องของเวลาในต่างมิติซึ่งดูจะสัมพันธ์กับเรื่องของชุมชนคนบังบดก็ดี หรือประสบการณ์แปลกๆ ที่เคยเกิดขึ้นกับผู้คนในส่วนอื่นๆของโลกเรา อาทิ การที่คนๆหนึ่งหายไปจากสถานที่หนึ่ง แล้วไปปรากฏตัวอยู่อีกแห่งหนึ่งในเวลาหลังจากนั้นนานนับเดือน ขณะที่เจ้าตัวกลับรู้สึกว่าเวลาผ่านไปเพียงชั่วครู่ อีกทั้งเข็มนาฬิกาข้อมือกลับหยุดเดินโดยไม่ทราบสาเหตุซะงั้น...ในช่วงเวลาที่ตนเองอันตรธานไป

    หรือการที่มีชายคนหนึ่งหายตัวไปอย่างลี้ลับและไร้ร่องรอยที่บริเวณหน้าบ้านของตนเอง ต่อหน้าบุตร ภรรยา และบุคคลที่สาม โดยหลังจากนั้นคนในครอบครัวกลับได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือจากชายคนดังกล่าว ณ จุดเกิดเหตุ ทว่าเป็นเสียงที่ดังแว่วมาราวกับต้นเสียงนั้นอยู่ที่ไหนไกลๆซักแห่ง

    ทั้งสองเรื่องข้างต้นนี้ดิฉันอ่านจากบันทึกเรื่องลี้ลับในต่างประเทศ...ที่มีการรวมเล่มตีพิมพ์ค่ะ ซึ่งหลายท่านอาจจะเคยผ่านตามาบ้างแล้ว ส่วนเรื่องเมืองลับแลหรือชาวบังบดนั้นก็เคยได้ยินผู้ใหญ่บางท่านเล่าให้ฟัง รวมถึงอ่านพบจากบันทึกที่พระภิกษุซึ่งธุดงค์ไปตามป่าเขาน่ะค่ะ...

    จากคุณ : ระนาดแก้ว - [ 22 เม.ย. 48 18:28:10 ]
     
  16. zipper

    zipper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    5,226
    ค่าพลัง:
    +10,590
    เอกสารโดยความอนุเคราะห์จากคุณ ตาที่สาม (7)

    **เอกสารชุดนี้อ่านยาก มีเรื่องต่อเนื่องจากบทก่อนๆ ผมแปลตะกุกตะกัก ครับ ก็ขอให้ยึดเอาเนื้อหาจากต้นฉบับนะครับ***

    บางส่วนของเนื้อหามีอยู่ใน เวบนี้ครับ

    http://www.bearcy.com/handsoflight1.html

    จากคุณ : superbat - [ 28 เม.ย. 48 12:24:14 ]

    <b>ความคิดเห็นที่ 1</b>

    (ต่อ)


    จากคุณ : superbat - [ 28 เม.ย. 48 12:25:16 ]



    <b>ความคิดเห็นที่ 2</b>

    Maturity:

    ในขณะเมื่อเราเข้าใกล้ความแก่และความตาย สามารถเพิ่ม higher-vibration rate ให้กับพลังงานของกาย (energy bodies).

    เมื่อแสงขาวผ่านเข้ามาสู่ชีวิต สีผมเปลี่ยนเป็นขาวสว่าง (bright white) ทำให้เข้าใกล้กับโลกจิตวิญญาณ ความสัมพันธ์แบบ I-thou(..ความเป็นฉัน ของฉํน หรือ ตัวกู ของกู ..) เพิ่มความสัมพันธ์ส่วนบุคคลอันลึกซึ้งกับพระเจ้า

    พลังงานระดับต่ำที่ที่ผ่านทางจักระจะลดลง
    โดยถูกแทนที่ด้วยพลังงงานระดับสูงที่จะทำให้เข้าใกล้โลกแห่งวิญาณมากกว่าชีวิตที่อยู่บนโลกกายภาพนี้

    บุคคลมีการเตรียมตัวที่จะกลับคืนสู่โลกแห่งจิตวิญญาณ และเมื่อเข้าใจหรือรับทราบขบวนการทางธรรมชาติเหล่านี้ความรัก ความเข้าใจ ความสงบก็จะเกิดขึ้น

    สิงเหล่านี้ดำเนินไปตลอดที่มีการเจริญเติบโตอันยาวนาน จักรที่ลิ้นปี่(solar plexus chakra)จะเปลี่ยนแปลงไปด้วย

    บุคคลสามารถเพิ่มขีดความสามารถการเรียนรู้ที่ทำให้ชีวิตตื่นเต้นและน่าค้นหา แต่เป็นที่น่าเสียดายที่
    วัฒนธรรม(ตะวันตก) ของเราไม่ยอมรับและใช้ประโยชน์จากความรู้เหล่านี้ เหมือนกับวัฒนธรรมอื่นๆ เช่นวัฒณธรรมของชาวอเมริกันพื้นเมือง ซึ่ง ผู้เฒ่า ผู้แก่
    ยังคงมีบทบาทต่อการตัดสินใจของชุมชน...


    Death:

    Phoebe Bendit กล่าวว่า ที่ภาวะความตาย ขณะที่บุคคลจากโลกนี้ไปจะมีแสงเปล่งออกจากส่วนบนของศรีษะผ่านทางจักรที่ 7 (crown chakra)

    ประสบการณ์การออกจากจักรนี้มักจะถูกอธิบายว่า เป็นการออกสู่อุโมงค์ที่เชื่อมต่อความมีชีวิตและความตาย ซึ่งอุโมงค์ดังกล่าวจะมีความมืดและยาวและมีแสงอยู่ที่
    ปลายอุโมงค์

    ประสบการณ์อุโมงค์นี้ สามารถกล่าวได้ว่าวิญญาณกำลังขึ้นเบื้องสูงผ่านกระแสพลังงานหลักของกายตามแนวสันหลัง และออกไปทางแสงจ้าของจักรที่เจ็ด

    ที่ภาวะความตายวิญญาณจะพบกับเพื่อนเก่าๆที่เสียชีวิตไปก่อนแล้วและผู้นำวิญญาณ (spirit guide).

    ที่เวลานี้วิญญาณจะเห็นเรื่องราวทั้งชีวิตของตัวเอง
    ผ่านเข้ามาอย่างรวดเร็วและชัดเจน ทั้งเรื่องราวที่เพิ่งเกิดขึ้น ทางที่เลือกแล้ว บทเรียน ที่เรียนแล้ว และบทเรียนที่ยังค้างอยู่เมื่อต้องเกิดในครั้งต่อไป มีข่วงเวลาของการฉลองเมื่อการงานเสร็จสิ้นในโลกของวิญญาณ ก่อนที่จะมีการเกิดครั้งต่อไป

    ภายหลังการตายของบุคคลเนื่องจากการป่วยอันยาวนาน ข้าพเจ้ามักจะเห็นเสมอว่า บุคคลจะพักโดยมีแสงสีขาวหุ้มห่อในช่วงระยะหนึ่งคล้ายกับการดูแลผู้ป่วยในโรงพยาบาล

    ข้าพเจ้าได้เฝ้าสังเกตุบุคคลสองคนเป็นระยะเวลาสองสามวันก่อนจะเสียชีวิต ทั้งสองกรณีเขามีอาการป่วยมาระยะหนึ่งและกำลังจะเสียชีวิตเนื่องจากมะเร็ง ร่างกายส่วนล่าง
    ปริแตกเป็นก้อนสีขาวซีด ทำให้ผู้ป่วยดูขาวซีด

    จักรส่วนล่างทั้งสามก็แตกสลายมีพลังงานออกจากจักรลิ้นปี่ จักรทั้งสี่ส่วนบนเปิดเป็นรูกว้างมาก ไม่มีเกราะคลุมเหมือนเช่นเคย

    บุคคลผู้อยู่ในภาวะนั้น วิญญาณจะใช้เวลาอยู่นอกกายเป็นส่วนใญ่แล้วก็จากไปที่ใดที่หนึ่งพร้อมกับผู้นำวิญญาณ เมื่อวิญญาณยังอยู่ในร่าง จะมีวิญญาณมากมายอยู่ร่วมในห้อง

    มีกรณีหนึ่ง ข้าพเจ้าได้เห็น ยมทูต เฝ้าประตูอยู่. เมื่อผู้ป่วยมีความเจ็บปวดมากๆ ข้าพเจ้าถาม ยมทูตว่าทำไมคุณไม่ช่วยให้เธอตาย เขาตอบว่า เขายังไม่ได้รับคำสั่ง..



    Heyon on death:

    อาจารย์ของข้าพเจ้า (my guide-Heyon)ได้เคยบรรยายเกี่ยวกับกระบวนการของการตายและข้าพเจ้าขอนำเสอดังนี้

    ท่านกล่าวว่า ความตายไม่ใช่สิ่งที่เราเคยเข้าใจ แต่มันคือ
    การเปลี่ยนสถานะจากความรู้สึก(consciousness)ในสภาพหนึ่ง ไปสู่ความรู้สึกอีกสภาพหนึ่ง

    ท่านกล่าวว่า เราได้ตายแล้วด้วยการลืมว่าเราคือใคร ซึ่งการลืมนั้นมันเป็นกำแพงกั้นเราจากความเป็นจริงและเรามาเกิดขึ้นใหม่เพื่อเรียกคืนความจำนั้น


    ดังนั้นแม้ว่าเราจะกลัวความตายแต่เราก็ได้ตายแล้ว และในกระบวนการเกิดใหม่เราจะพบว่ามีหลายครั้ง ท่านกล่าวว่า สิ่งที่ตายคือความตายเท่านั้น (ชีวิตเกิดใหม่หลายรอบ..)

    ระหว่างการมีชีวิต เราได้ลบประสบการณ์ที่เราปราถนาที่จะลืมและเราได้ทำอย่างได้ผลด้วยการไม่จำอะไรเลย เราเริ่มกระบวนการการปิดกั้นนี้ตั้งแต่ในวัยเด็กและต่อเนื่อง
    ไปตลอดชีวิตของเรา

    ความรู้สึก(consciousness)ที่ถูกปิดกั้นไว้นี้สามารถเห็นได้จากสนามออรา ซึ่งจะได้กล่าวต่อไป

    Heyon กล่าวว่าความตายที่แท้จริงได้เกิดขึ้นไปแล้วในรูปแบบกำแพงภายใน

    อย่างที่คุณทราบแล้วสิ่งเดียวที่แยกคุณออกจากทุกสิ่งคือตัวคุณเอง และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือความตายได้เกิดขึ้นแล้วในตัวคุณ บางทีสิ่งที่ชัดเจนที่สุดที่เรารู้จักในความเป็นมนุษย์คือความตายมันปิดกั้น และแยกเราออกจากความจริง ความสูญสิ้นความจำทำให้เราไม่ทราบว่าเราเป็นใครและนั่นแหละคือความตาย

    เราได้ตายมาแล้วและเราก็ได้มาเกิดใหม่..

    กระบวนการการตายซึ่งเราจะเรียกว่าการเปลี่ยนสภาพไปสู่ภาพที่ดีกว่า สามารถเห็นได้จากสนามพลังงาน (energic field) อธิบายในมุมมองของออราคือ


    มีการชะล้างสนามพลัง มีการเปิดจักรทุกตำแหน่ง เมื่อคุณตายคุณกำลังเข้าสู่อีกมิติหนึ่ง จักรด้านล่างทั้งสามหายไปและ ร่างกายส่วนล่าง(ออรา..?) หายไปด้วย

    สำหรับผู้ที่กำลังเฝ้าดูผู้ที่กำลังจะตายจะเห็น ความซีดเผืดของผิวหนังที่มือ และที่หน้า ความซีดเผือดดังไข่มุกเกิดขึ้นกับผู้ที่กำลังจะตายในขณะที่ความซีดเหมือนกลุมเมฆอัน
    สวยงามค่อยๆหายไป ซึ่งกลุ่มความซีดดังกล่าวหมายถึงพลังงานส่วนล่างที่รักษาร่างกายไว้ มันจะแยกตัวออกและหายไป จักรที่ส่วนล่างนั่นจะเปิดและมีสายใยพลังงานออกมาจักรส่วนบนเปิดกว้างออกสู่มิติหนึ่ง

    นี่คือสภาวะเริ่มต้นของการตายโดยที่สนามพลังส่วนล่างและส่วนบนแยกออกจากกัน และหลังจากนั้นประมาณสามชั่วโมง มีการชำระกาย การทำกายให้บริสุทธิ์ โดยพลังงาน
    ชะผ่านเหมือนกับน้ำพุพุ่งตามแนวกระแสพลังงาน หลัก(แนวกระดูกสันหลัง) น้ำพุของแสงสีทองไหลชะผ่านทำความสะอาดและแสงออราจะเป็นสีทองขาว

    ประสบการณ์อย่างนี้ผู้กำลังจะตายจะจำได้อย่างไร? คุณอาจจะเคยได้ยินว่า บุคคลเห็นภาพชีวิตของเขาทั้งหมดถูกล้างออกไป ซึ่งนั่นก็คือปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นพร้อมกันกับการล้างออรา นั่นคือ อุปสรรคกีดขวางถูกล้างไป ความหลงลืมทั้งหมดในชีวิตถูกเปิดเผย ทั้งหมดไหลผ่านทางความรู้สึกตัว-สติ และเมื่อบุคคลจากไป ความรู้สึกตัวก็จากไปด้วย

    มันเป็นการหลอมรวมกันเข้าของกำแพงต่างๆที่ถูกสร้างขึ้นมา และด้วยการหลอมรวมกันของกำแพงแห่งความลืม คุณจะจำได้ว่าคุณคือใคร และคุณจะรวมเข้ากับ
    ตัวตนที่ยิ่งใหญ่ที่เบาและไพศาล

    ดังนี้ความตายจึงเป็นประสบการณ์ที่เยี่ยมยอดซึ่งขัดกันกับความเข้าใจโดยทั่วไป

    คุณคงเคยได้ยินเรื่องราวของคนที่ตายแล้วในทางการแพทย์แต่กลับฟื้นขึ้นมาอีก

    เขาทั้งหมดจะพูดถึงอุโมงค์ที่มีแสงอยู่อีกด้าน และได้พบพูดคุยกับชีวิตที่ปลายอุโมงค์นั้น ส่วนใหญ่จะได้ย้อนเห็นภาพชีวิตตนเอง ส่วนใหญ่เผยว่า เขาตัดสินใจที่จะกลับ
    มาสู่โลกของกายหยาบเพื่อทำภาระให้เสร็จสิ้น แม้ว่าโลกใหม่นั้นจะสวยงามเพียงใด และคนเหล่านี้ส่วนใหญ่จะไม่กลัวความตายแต่จะอย่างยินดีที่จะได้ไปสู่ดินแดนแห่งความสงบนั้น

    ดังนั้น มีกำแพงกั้นคุณออกจากความจริงนี้ สิ่งที่คุณเรียกว่าความตายมันเป็นเพียงการเปลี่นสภาพเข้าสู่ความเป็นแสง

    ความตายที่คุณจินตนาการ คุณมีประสบการณ์
    สามารถพบได้ในกำแพงของคุณ ทุกๆครั้งที่คุณแยกตัวคุณด้วยวิธีใดก็ตาม คุณตายไปทีละน้อย ทุกครั้งคุณปิดกั้นพลังชีวิตอันยอดเยี่ยมจากการไหลลื่น คุณก็กำลัง
    สร้างความตายเล็กๆขึ้น


    ดังนั้นเมื่อคุณจดจำช่วงชีวิตของคุณได้และเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต คุณก็กลับมาสู่ความมีชีวิต และเมื่อคุณขยายความตระหนักรู้ ละลายกำแพงระหว่างโลก กำแพงระหว่างโลกจิตวิญญาณและโลกกายภาพ ความตายก็หายไป ซึ่งมันไม่มีอะไรเลยมันเป็นการปลดปล่อยกำแพงของภาพลวงเท่านั้น

    และคุณในนิยามใหม่ก็คือความจริงอันยิ่งกว่า คุณจะยังคงมีสภาพตัวตน กล่าวคือเมื่อคุณออกจากกายคุณจะยังมีความเป็นตัวตนและคุณสามารถสัมผัสตัวตนนั้นได้ในการทำสมาธิ

    เมื่อกายหยาบคุณตายลง คุณจะเข้าสู่ความจริงอีกมิติหนึ่ง โดยยังคงความเป็นตัวตนนั้นอยู่และเมื่อคุณจากร่างไป คุณอาจจะรู้สึกตัวเป็นเพียงจุดของแสงสีทอง แต่คุณ
    จะยังคงคงความรู้สึกเป็นตัวตนอยู่

    จากคุณ : superbat - [ 28 เม.ย. 48 12:34:16 ]



    <b>ความคิดเห็นที่ 4</b>

    ขอบคุณมากค่า คุณ Superbat..

    เราตามเก็บลิงค์ของเอกสารที่คุณแปลมาน่ะค่ะ แต่อันแรกสุด เอกสาร(1) เก็บไม่ทันน่ะค่ะ ไม่ทราบว่า คุณยัง save url ไว้หรือเปล่า ช่วยบอกให้ทราบหน่อยได้ไหมคะ

    อ้อ เผื่อเป็นประโยชน์ ต่อคนที่สนใจ เอกสาร hands of lihgt เช่นกัน ลองตามลิงค์ข้างล่างนี้นะคะ

    1. เอกสารโดยความอนุเคราะห์จากคุณ ตาที่สาม (1) - เก็บไม่ทัน รอผู้สงเคราห์อยู่ค่ะ ???
    ได้มาแล้วค่า - http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/X3374337/X3374337.html
    2. เอกสารโดยความอนุเคราะห์จากคุณ ตาที่สาม (2) -http://www.pantip.com/cafe/wahkor/topic/X3381854/X3381854.html
    3. เอกสารโดยความอนุเคราะห์จากคุณ ตาที่สาม (3) -http://www.pantip.com/cafe/wahkor/topic/X3387652/X3387652.html
    4. เอกสารโดยความอนุเคราะห์จากคุณ ตาที่สาม (4) -http://www.pantip.com/cafe/wahkor/topic/X3390025/X3390025.html
    5. เอกสารโดยความอนุเคราะห์จากคุณ ตาที่สาม (5) -http://www.pantip.com/cafe/wahkor/topic/X3404731/X3404731.html
    6. เอกสารโดยความอนุเคราะห์จากคุณ ตาที่สาม (6) -http://www.pantip.com/cafe/wahkor/topic/X3409967/X3409967.html

    ..
    แก้ไขเมื่อ 28 เม.ย. 48 23:43:57

    จากคุณ : ชีวิตใหม่ - [ 28 เม.ย. 48 17:01:52 ]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 พฤษภาคม 2005
  17. zipper

    zipper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    5,226
    ค่าพลัง:
    +10,590
    เอกสารโดยความอนุเคราะห์จากคุณ ตาที่สาม (8)

    เอกสารชุดนั้เป็นแผ่นสุดท้ายจากทั้งหมด 16+ปก แผ่นครับ

    รวมชุดอื่นๆ ที่คุณ ชีวิตใหม่ (..ขอขอบคุณครับ..) รวบรวมไว้ในกระทู้นี้

    http://www.pantip.com/cafe/wahkor/topic/X3442106/X3442106.html

    ท่านใดที่ได้อ่านหรือศึกษาแล้วมีความคิดเห็นประการใด ลองมาคุยสู่กันฟังบ้างนะครับ....

    *****คราวนี้เนื้อหาไม่ยาก แต่การเรียบเรียงก็ยังคงให้ดูเทียบเคียงกับต้นฉบับนะครับ*******

    .....เมื่อความจำในอดีตชาติถูกเปิดเผยโดยไม่ใช่การถูกบีบบังคับให้เปิดเผย ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับประสบการณ์ในอดีตชาติ มักจะเกี่ยวข้องกับประสบการณ์ในชาติปัจจุบันเสมอ

    นี่เป็นข้อเท็จจริงที่สำคัญที่ผู้รักษาจะต้องรู้ไว้ เพื่อให้แน่ใจว่า มีการสื่อระหว่างอดีตชาติและชาติปัจจุบันเกิดขึ้น ความจำในอดีตชาติจึงอาจนำมาประยุกต์แก้ปัญหาที่เกิดขึ้นใน
    ปัจจุบัน

    ผุ้ทำการรักษาบางคนสามารถเห็นอดีตชาติของผู้ป่วยได้ทันทีเพียงสัมผัสร่างของผู้ป่วย ตัวอย่างเช่นเมื่อผู้รักษาจับตัวผู้ป่วยในลักษณะเดียวกับแม่โอบกอดลูก เขาก็จะสามารถทราบข้อมูลเรื่องราวของผู้ป่วยได้



    Seeing and Healung Past-life Trauma:

    ข้าพเจ้า เห็นและรักษา ความเจ็บปวดจากอดีต ได้ในสามทาง แต่ละทางจะเกี่ยวข้องกับระดับของออราที่ต้องทำการรักษา

    ทุกระดับของออรา จาก ชั้น ketheric ลงไปจะเป็นผลกระทบจากความเจ็บปวดจากอดีตชาติ ในออราสี่ระดับแรก ความเจ็บปวดจากอดีตชาติจะเห็นเป็นเหมือนกลุ่มพลังงาน (energy block)ปรากฏอยู่

    ที่ระดับออรา etherric และ ketheric จะแสดงให้เห็นปัญหาทางโครงสร้าง โดยที่ ระดับ ketheric อดีตชาติจะแสดงเป็นแถบหรือวงแหวนปรากฏอยู่ในออรารูปไข่

    1)การเห็นอดีตที่เกี่ยวข้องกับการรักษาบางครั้งเกิดขึ้นเพียงแค่คนไข้พูดกับข้าพเจ้าเท่านั้น 2) หรือบางทีเพียงวางมือในกลุ่มพลังงานนั้นๆ 3)การอ่านอดีตชาติจากแถบในระดับออรารูปไข่ ข้าพเจ้าก็เพียงแต่วางมือในแถบนั้นแล้วภาพในอดีตชาติก็จะปรากฏให้เห็น


    Healing past-life blocks in the lower four levels of the aura:

    วิธีการขจัด ปัญหาจากอดีตชาติที่ข้าพเจ้าศึกษาจาก Petey Peterson ที่ Healing ligth center ใน Glendale,
    California มีประสิทธิภาพมาก สามารถขจัดปัญหาจากอดีตชาติที่เป็นอุปสรรคต่อชีวิตปัจจุบันอย่างได้ผล

    เริ่มแรก ผู้รักษาเพ่งพลังงานไปที่ block วิธีนี้จะทำให้พลังงานเคลื่อนย้ายออกจาก blockนั้น โดยปกติความเจ็บปวดจะลดลง

    หลังจากขจัด block ที่ระดับออราที่หนึ่ง ที่เกิดขึ้นในช่วงชีวิตนี้ ความเจ็บปวดจากอดีตชาติอื่นๆ จะปรากฏและถูกขจัดไปในทำนองเดียวกัน

    ผู้รักษาจะต้องสามารถควบคุมสถานการณ์การตอบสนองของผู้ป่วยที่อาจจะเกิดขึ้นเช่น ความเจ็บปวดอันรุนแรง ความกลัว หรือ ความโกรธอันรุนแรง

    โดยผู้รักษาจะต้องอยู่เคียงคุ๋กับผู้ป่วยทุกสถานการณ์ โดยจะต้องไม่ถอนพลังงานการรักษาออกก่อน แต่จะต้องดำเนินไปอย่างต่อเนื่องจนกว่าจะขจัดปัญหาออกไปได้

    เพื่อที่จะทำดังกล่าว ผู้รักษาก็เริ่มในแบบปกติโดยการ จัดสมดุลของพลังงานระหว่างผู้ป่วย ผู้รักษาและ UEF guide

    ระหว่างนั้นผู้รักษาจะต้องตระหนักรู้ใน block ที่ปรากฏอยู่ และพุ่งความสนใจไปที่นั่น จากนั้นวางมือลงไปที่จุดนั้นแล้วปล่อยพลังงาน หรืออาจจะใช้มือซ้ายวางด้านหลังและมือขวาวางทางด้านหน้าก็ได้

    หลังจากปล่อบพลังงานจำนวนหนึ่งแล้ว ผู้รักษาจะสื่อสารกับผู้ป่วยให้เปิดเผยความจำและกลับไปสู่อดีต...


    จากคุณ : superbat - [ วันแรงงาน 07:03:11 ]


    --------------------------------------------------------------------------------
    <b>ความคิดเห็นที่ 1</b>

    ต้องขอขอบคุณ คุณตาที่สามเป็นอย่างสูงที่ได้เอื้อเฟื้อ เอกสารและให้ได้เผยแผ่...

    ผมเคยมี หนังสือ ของ อาจารย์พิศ เงาเกาะ เรื่องราว คล้ายๆ อย่างในเอกสารทั้งหมดนี่ละครับ แต่ทั้งหมดนั้นเขียนขึ้นจากประสบการณ์ การปฏิบัติสมาธิ และการปฏิบัติจริงจากผู้ที่มีปัญหา ทั้งหลาย...คือท่านสามารถเห็นอวัยวะภายใน เห็นออรา ในอวัยวะที่ผิดปกติ...

    ถ้าว่าไปแล้วเรื่องการใช้หลักสมาธิในการรักษากายที่เจ็บป่วยนี้ พระคุณเจ้า สายปฏิบัติ ล้วนมีประสบการณ์ นั้นครับ หรือแม้แต่หลวงตามหาบัว ในหนังสืออัตชีวประวัติของท่าน...ก็มีกล่าวไว้...

    คุณตาที่สามจะไม่ลองเรียบเรียงออกมาเป็นหนังสือในเชิงวิชาการบ้างหรือครับ ให้คนรุ่นหลังๆ ได้ศึกษา ได้เรียนรู้..
    ในทำนองคล้ายกับ BBN ก็ได้ครับ...

    ในเนื้อหา 1-7 ที่ได้โพสต์ไปแล้วนั้น ในส่วนการพิจารณากายภายในนั้น เหมือนกับ การพิจารณากาย ในสมถกรรมฐานเลยครับ แม้แต่ในบทสวดยังมีในเรื่องให้พิจารณากาย จนครบอาการสามสิบสอง...

    ในบทอื่นๆ ก็เป็นหลักการทำสมาธิและใช้ผลที่เกิดขึ้นครับ..

    กล่าวโดยรวมๆ ล้วนมีพื้นฐานจากการทำจิตให้นิ่งแล้ว การรู้การเห็นต่างๆ จะเกิดขึ้น ครับ แต่ทั้งนี้แต่ละคนนั้น มีอินทรีย์ไม่เท่ากัน บางคนอาจได้ไว บางคนช้า หรือบางคนไม่ได้เลยก็เป็นได้

    แต่ทั้งหมด ถ้ามีความเพียรฝึกฝนอยู่ย่อมไปถึงฝั่งได้ครับ

    ผมมีความคิดเห็นแค่นี้ก่อน ท่านใดมีความคิดเห็นอย่างไรเล่ามาแลกเปลี่ยนกันครับ...

    จากคุณ : superbat - [ วันแรงงาน 08:23:28 ]




    <b>ความคิดเห็นที่ 2</b>

    ขอบคุณคุณsuperbatกับเวลาที่ขัดเกลาเป็นภาษาไทยให้ค่ะ สำหรับประสบการณ์ขออ่านและศึกษาก่อนนะคะ

    จากคุณ : ตัวกลมๆ - [ วันแรงงาน 20:13:56 ]




    <b>ความคิดเห็นที่ 3</b>

    ขอบคุณมากๆ ครับ ^__^
    เอกสารนี้มีทั้งหมดกี่หน้าอ่ะครับ

    จากคุณ : freeek!!! - [ วันแรงงาน 22:27:20 ]




    <b>ความคิดเห็นที่ 4</b>

    ขอบคุณมากเลยครับ

    จากคุณ : CraZyBMW - [ วันแรงงาน 23:23:42 ]




    <b>ความคิดเห็นที่ 5</b>

    ขอบคุณ คุณ Superbat มากๆ เลยนะคะ ที่ขยันแปลดีจริงๆ จะพยายามศึกษาน่ะค่ะ (บุญไม่ค่อยถึง คือมีความขึ้เกียจมากกว่าความขยัน แหะๆ)

    ตอนแรกได้พยายามมองท้องฟ้า อย่างที่ Barbara แนะนำแล้วไม่เห็นอะไร ก็เลยต้องขอเวลาศึกษาใหม่... จากนั้น คงจะพอมีความคิดเห็นมาแชร์ได้บ้างค่ะ ..

    จากคุณ : ชีวิตใหม่ - [ 2 พ.ค. 48 01:19:13 ]




    <b>ความคิดเห็นที่ 6</b>

    ยินดีครับทุกท่าน ....

    อยากฟังความคิดเห็น ในเนื้อหาที่รับทราบไปแล้วครับ ว่ามีความคิดเห็นกันอย่างไรบ้าง......

    แนวความคิดเรื่องภูมิปัญญาตะวันออก และตะวันตก ของผม ตรงกันกับคุณตาที่สาม คือผมเคยกล่าวเรื่องนี้หลายครั้ง ในกระทู้ของ พันธ์ทิพย์ ทำนองว่า ไม่วันใดก็วันหนึ่งข้างหน้า

    เราชาวตะวันออก จะต้องเดินตามหลังตะวันตก เราจะใช้ตำราเรียนเรื่องสมาธิ หรืออยากทำสมาธิ ก็เพียงแต่เข้าไปในร้าน ที่ต้องเสียตางค์ มีเครี่องไม้เครื่องมือ เสียบตามตัว แล้วเราก็จะได้สมาธิ...

    ทั้งๆที่เรื่องอย่างนี้เราพัฒนามาก่อนเขา แต่คนยุคเราไม่ค่อยเห็นคุณค่า...ถ้าผมได้อ่านหนังสือของคุณตาที่สามมาก่อน ก็อาจเป็นไปได้ว่าผมลอกเลียนความคิดเห็นนั้น

    แต่ข้อเท็จจริงคือ ผมอ่านหนังสือของคุณตาที่สามเมื่อไม่นานมานี้ จากการเอื้อเฟื้อของคุณตาที่สามเอง ซึ่งต้องขอขอบคุณมา ณ ที่นี้

    ใจความในหนังสือก็ทำนองเดียวอย่างที่กล่าวข้างต้น...

    เรื่องของ BBN นั้น..ถ้าหากลองศึกษาหลักสมถกรรมฐาน จะเห็นว่าคล้ายคลึงกันอย่างมากครับ...

    อย่างไรก็ตามหากใครมีความตั้งใจฝึกและมีความคืบหน้า มาเล่าสู่กันฟังบ้างนะครับ....


    ....แก้คำผิดครับ..
    แก้ไขเมื่อ 02 พ.ค. 48 02:01:33

    จากคุณ : superbat - [ 2 พ.ค. 48 01:54:33 ]





    <b>ความคิดเห็นที่ 7</b>

    ผมกับ คุณ พิศเงาเกาะร้จักกันดี บ้านท่านอยู่ โคราช ในซอยเล็กๆ บนทางไป ขอนแก่น นานๆๆที ท่านจะมาที่บ้านของท่านที่ บางบัวทอง ท่านเคยเป็นอาจาริย์สอนหนังสือ สังกัด กระทรวงศึกษา และมีความสารถตามที่ว่า คือ มองทะลุ คน รักษาคน ทั้งไกล้และไกล มานานนับสิบปี จนบารมี สูงมาก จนไม่มีเวลามากพอที่จะปฏิบัติทางจิต

    ในสุดท้ายเบื้องบนแนะนำให้ท่านเห็นว่า บุญมากพอแล้ว ให้ หันมา ปฏิบัติเพื่อการหลุด พ้น ช่วงหลังท่านจึง หยุดการรักษา แต่ยังยินดีที่จะสนทนาเรื่อง ธรรมะ กับทุกๆๆ คน....ครับ

    จากคุณ : ตาที่สาม - [ 3 พ.ค. 48 09:16:36 ]



    <b>ความคิดเห็นที่ 8</b>

    คุณตาที่สามได้เรียบเรียงหนังสือในทำนองเล่าเรื่องแล้ว..

    ขอสนับสนุน คุณตาที่สามให้เรียบเรียง จากประสบการณ์ การตรวจ การขจัดปัญหา ในเชิงวิชาการบ้างครับ เช่นมีรายละเอียด ผู้ประสบปัญหา วิธีแก้ และผล ในเชิงสถิติ...

    อาจจะรวมเอาปัญหาที่เคยประสบอื่น และการแก้ ปัญหานั้นๆ......

    ผมว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก เพราะหนังสือไทย ทำนองนี้ยังน้อย และหาผู้ที่จะมีความสามารถพิเศษยาก อย่างน้อยกระตุ้นให้คนหันมาสนใจด้านนี้มากขึ้นครับ......

    ผมคิดๆ ดูเรื่องนี้ฝรั่งไม่รู้มากไปกว่าเรา แต่เขาทำออกมาเป็นรูปธรรม แถมยังออกไปทางธุระกิจอย่าง คุณ บราบรารา.. เราก็น่าจะทำได้นะครับ......

    จากคุณ : superbat - [ 3 พ.ค. 48 19:32:58 ]




    <b>ความคิดเห็นที่ 9</b>

    อยากเจออาจาย์พิศ เงาเกาะมากเลยคะ เตยอ่านหนังสือที่ท่านเขียน เกี่ยวกับที่ท่านมองเห็น...จะว่า กรรมก็ไม่ใช่แต่จะเป้นต้นเหตุของกรรมหรือสิ่งที่เป็นรากเหง้าของปัญหาที่มีในปัจจุบัน ท่านอยู่ไม่ไกลจากบ้านหนูที่ โคราช ถ้าเจอก็คงถามหาน้องเหมือนเดิม อาจารย์ตาที่สามรู้จักทุกคนที่หนูสนใจเลย

    จากคุณ : Pojjy - [ 3 พ.ค. 48 21:08:25 ]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  18. xx

    xx สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    68
    ค่าพลัง:
    +16
    xx
     

แชร์หน้านี้

Loading...