แอนิต้า - ผู้มีประสบการณ์ตายแล้วฟื้น และหายป่วยจากมะเร็งระยะสุดท้ายเพียงแค่ข้ามวัน

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Chayutt, 1 พฤศจิกายน 2010.

  1. มีแปปเดียว

    มีแปปเดียว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2010
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +3,876
    <TABLE style="BORDER-BOTTOM: medium none; BORDER-LEFT: medium none; BORDER-COLLAPSE: collapse; BACKGROUND: #ffffe5; BORDER-TOP: medium none; BORDER-RIGHT: medium none" border=1 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#ffffe5><TBODY><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: medium none; BORDER-LEFT: maroon 1.5pt solid; PADDING-BOTTOM: 0cm; PADDING-LEFT: 5.4pt; WIDTH: 100%; PADDING-RIGHT: 5.4pt; BORDER-TOP: maroon 1.5pt solid; BORDER-RIGHT: maroon 1.5pt solid; PADDING-TOP: 0cm" vAlign=top width="100%">
    เนื้อความ :
    </TD></TR><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: medium none; BORDER-LEFT: maroon 1.5pt solid; PADDING-BOTTOM: 0cm; PADDING-LEFT: 5.4pt; WIDTH: 100%; PADDING-RIGHT: 5.4pt; BORDER-TOP: medium none; BORDER-RIGHT: maroon 1.5pt solid; PADDING-TOP: 0cm" vAlign=top width="100%">พูดถึงคำว่าอัตตาและอนัตตาแล้วคนไม่ค่อยรู้จักศาสนาเห็นเข้าแทนที่จะอยากรู้จักศาสนา ก็อาจนึกว่าศาสนาเป็นเรื่องไม่น่าเข้าใจ ไม่น่ารู้จักเพราะมีความขัดแย้งไม่ลงตัว ไม่รู้จะเชื่อใครดี
    </TD></TR><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: medium none; BORDER-LEFT: maroon 1.5pt solid; PADDING-BOTTOM: 0cm; PADDING-LEFT: 5.4pt; WIDTH: 100%; PADDING-RIGHT: 5.4pt; BORDER-TOP: medium none; BORDER-RIGHT: maroon 1.5pt solid; PADDING-TOP: 0cm" vAlign=top width="100%">ส่วนคนที่รู้จักศาสนาอยู่แล้วก็น่าตั้งคำถามให้ตัวเองว่าเมื่อพูดถึง "อนัตตา" เราเกิดมุมมองขึ้นอย่างไรในหัว หรือในใจถ้าปรากฏในใจ ก็น่าถามตัวเองต่อว่าอนัตตาถึงใจเราตื้นลึกแค่ไหน
    </TD></TR><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: medium none; BORDER-LEFT: maroon 1.5pt solid; PADDING-BOTTOM: 0cm; PADDING-LEFT: 5.4pt; WIDTH: 100%; PADDING-RIGHT: 5.4pt; BORDER-TOP: medium none; BORDER-RIGHT: maroon 1.5pt solid; PADDING-TOP: 0cm" vAlign=top width="100%">น่าจะตั้งมุมมองกันอย่างแยกแยะคืออนัตตาในระดับรูปนามและอนัตตาในระดับนิพพานอย่างน้อยจะได้เห็นขึ้นมาว่ากำลังพูดถึงอนัตตา "แบบ" ใด
    </TD></TR><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: medium none; BORDER-LEFT: maroon 1.5pt solid; PADDING-BOTTOM: 0cm; PADDING-LEFT: 5.4pt; WIDTH: 100%; PADDING-RIGHT: 5.4pt; BORDER-TOP: medium none; BORDER-RIGHT: maroon 1.5pt solid; PADDING-TOP: 0cm" vAlign=top width="100%">และอีกจุดหนึ่งที่น่าสนใจคือ "ตั้งค่า" ไว้ในใจอย่างไร จะมีผลกับท่าทีการปฏิบัติธรรมของตนเองแค่ไหนกล่าวคือเชื่อไว้ก่อนล่วงหน้าว่ามีอัตตาหรือเชื่อไว้ก่อนล่วงหน้าว่ามีแต่อนัตตาจะให้ผลลัพธ์กับการปฏิบัติบ้างไหม
    *** จิตที่ทิ้งหมด ปล่อยวางหมดนั้น ต้องมุ่งอัตตาหรืออนัตตา ***
    นี่เป็นคำถามที่ละเอียดอ่อนมากถ้าหากพอใจศึกษาพุทธศาสนาในระดับความคิดคำถามนี้เปล่าประโยชน์อย่างสิ้นเชิง
    </TD></TR><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: medium none; BORDER-LEFT: maroon 1.5pt solid; PADDING-BOTTOM: 0cm; PADDING-LEFT: 5.4pt; WIDTH: 100%; PADDING-RIGHT: 5.4pt; BORDER-TOP: medium none; BORDER-RIGHT: maroon 1.5pt solid; PADDING-TOP: 0cm" vAlign=top width="100%">ว่าตามจริง คนเราถ้าไม่มีทุกข์ โชคร้ายเหลือเกินเกิดมาเจอแต่ความสุขก็ไม่รู้จะแสวงหาวิชาดับทุกข์ไปทำไมบางคนอยู่ในแวดวงพุทธเพราะอยู่ในกระแสบุญใกล้พ่อแม่ที่ใจบุญมาแต่เด็ก แต่ทั้งชีวิตไม่ระแคะระคายเลยว่าเนื้อแท้ของพุทธพูดถึงทุกข์และการดับทุกข์ได้ยินอย่างผิวเผินบ่อยก็อาจเป็นมรรคผล นิพพานอัตตา อนัตตาหรือมองไปเลยว่าพุทธศาสนาและศาสนาทั้งหลายคือการข่มขู่การล่อใจด้วยนรกสวรรค์
    </TD></TR><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: medium none; BORDER-LEFT: maroon 1.5pt solid; PADDING-BOTTOM: 0cm; PADDING-LEFT: 5.4pt; WIDTH: 100%; PADDING-RIGHT: 5.4pt; BORDER-TOP: medium none; BORDER-RIGHT: maroon 1.5pt solid; PADDING-TOP: 0cm" vAlign=top width="100%">ในความรู้สึกของผู้ปฏิบัติแล้วคำต่างๆข้างต้นไม่น่าสนใจนัก เพราะสิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าเป็นปัญหาใหญ่หลวงเกินพอ
    </TD></TR><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: medium none; BORDER-LEFT: maroon 1.5pt solid; PADDING-BOTTOM: 0cm; PADDING-LEFT: 5.4pt; WIDTH: 100%; PADDING-RIGHT: 5.4pt; BORDER-TOP: medium none; BORDER-RIGHT: maroon 1.5pt solid; PADDING-TOP: 0cm" vAlign=top width="100%">มีรูปและนามกายหยาบปรากฏอยู่! ความรู้สึกนึกคิดปรากฏอยู่!
    </TD></TR><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: medium none; BORDER-LEFT: maroon 1.5pt solid; PADDING-BOTTOM: 0cm; PADDING-LEFT: 5.4pt; WIDTH: 100%; PADDING-RIGHT: 5.4pt; BORDER-TOP: medium none; BORDER-RIGHT: maroon 1.5pt solid; PADDING-TOP: 0cm" vAlign=top width="100%">เมื่อมาตามทางที่ถูก จิตถูกทำให้ผ่องแผ้วด้วยทานและศีลต่อยอดด้วยการปรุงจิตให้อยู่ในสภาพพร้อมรู้นิ่ง รู้นาน จับอารมณ์ติดด้วยการฝึกสมาธิตัวสมาธิจิตนั้นเองถูกตีกรอบให้เห็นอยู่แต่กายและใจความเคลื่อนไหวทางกาย และความกระเพื่อมไหวทางใจตัวที่อยู่ในสภาพรู้นิ่งๆไม่ปะปน ไม่ผสมรวม ไม่เกิดอาการพุ่งจับกายใจไม่หลงไปกับอารมณ์สุขทุกข์ที่จรมาทนรักษาความนิ่ง เลี้ยงตัวอยู่ในสภาพพร้อมที่จะเห็นสิ่งถูกรู้ต่างๆนั้นเลื่อนไหลไป เกิดขึ้นเพื่อดับลงทั้งสิ้น
    </TD></TR><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: medium none; BORDER-LEFT: maroon 1.5pt solid; PADDING-BOTTOM: 0cm; PADDING-LEFT: 5.4pt; WIDTH: 100%; PADDING-RIGHT: 5.4pt; BORDER-TOP: medium none; BORDER-RIGHT: maroon 1.5pt solid; PADDING-TOP: 0cm" vAlign=top width="100%">ถ้าปฏิบัติได้จนเกิดความชินชำนาญความเลื่อนไหลกลายเป็นอารมณ์จิตกลายเป็นตัวปรุงแต่งจิตให้อยู่ในสภาพที่เรียกว่า "กระแสวิปัสสนา" ไม่เห็นกายเป็นตัวตนเห็นแต่ว่ามันเปลี่ยนอิริยาบถไปเรื่อย ก็ทราบความเป็นอนิจจังเห็นแต่ว่ากายนี้เองเรียกร้องให้ขยับท่า ทนอยู่ในท่าใดนานๆไม่ได้ ก็ทราบความเป็นทุกขังเมื่อเห็นอนิจจังและทุกขังแห่งกาย ก็เกิดความรู้ชัดขึ้นมาโต้งๆว่าสภาพที่เป็นไปเอง ควบคุมให้นิ่ง ให้ทนไม่ได้นี้ คือธรรมชาติ คืออนัตตาความกระสับกระส่ายนั้นเองเป็นทุกข์เมื่อเห็นกาย เห็นรูปเป็นทุกข์ด้วยใจโดยอาการนี้แม้ตาเห็นรูปกายหยาบอื่นที่น่าพิสมัย หรือแม้เกินนิมิตเห็นรูปประณีตสักปานใดก็จะ "รู้สึก" ขึ้นมาว่านั่นยังต้องทุกข์ นั่นยังต้องเปลี่ยนเพราะเห็นธรรมชาติแห่งรูปเสียแล้วว่าต้องเปลี่ยน
    </TD></TR><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: medium none; BORDER-LEFT: maroon 1.5pt solid; PADDING-BOTTOM: 0cm; PADDING-LEFT: 5.4pt; WIDTH: 100%; PADDING-RIGHT: 5.4pt; BORDER-TOP: medium none; BORDER-RIGHT: maroon 1.5pt solid; PADDING-TOP: 0cm" vAlign=top width="100%">นักบวชก่อนพุทธกาลเห็นเช่นนี้จึงเกิดความแน่ใจว่าถ้าดับรูปเสียได้ก็เป็นอันสูญสิ้นความทุกข์อันเกิดจากความเกิดดับ ความไม่แน่นอน ความไม่เป็นสาระแห่งรูปดังนั้นจึงกำหนดใจไม่ให้ไปไหน ขังนิ่งอยู่ในนามอันว่างเปล่าบ้างขังอยู่กับตัวรู้ของตัวเองตามลำพังบ้าง ขังอยู่กับความไม่มีอะไรเลยบ้างขังอยู่กับความมีก็ไม่ใช่ ไม่มีก็ไม่ใช่บ้างแล้วก็ประจักษ์ภาวะนามธรรมอันแสนสุขุมประกาศต่อกันมาว่ากายเป็นเพียงมายา อัตตาเที่ยงแท้ถาวรคือสภาพอันเหนือชั้นทรงดุลยภาพและพลังอันเป็นอนันต์บรรยายและพรรณนาสิ่งที่ตนค้นพบกันอย่างชนิดที่สานุศิษย์ฟังกันอ้าปากค้างและปรารถนาจะเข้าให้ถึงสภาพเช่นนั้นบ้าง
    </TD></TR><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: medium none; BORDER-LEFT: maroon 1.5pt solid; PADDING-BOTTOM: 0cm; PADDING-LEFT: 5.4pt; WIDTH: 100%; PADDING-RIGHT: 5.4pt; BORDER-TOP: medium none; BORDER-RIGHT: maroon 1.5pt solid; PADDING-TOP: 0cm" vAlign=top width="100%">แต่สำหรับนักปฏิบัติในพุทธเขตไม่จำเป็นต้องเป็นพระหรือฆราวาสหากเข้ามาเห็นเสียแล้วว่าแม้สภาพจิตแม้ความคิดอ่าน ความทุกข์สุข หรือความโอฬารล้ำลึกสุดพรรณนาปานใดก็ล้วนอยู่ใน "สภาพ" ที่ถูกรู้ได้เมื่อถูกรู้ได้ก็เห็นได้เดี๋ยวนั้นเลยว่าเปลี่ยนแปลงได้หากยังไม่ตายดับจากความเป็นมนุษย์เสียก่อนความเปลี่ยนนั้นถูกประจักษ์ชัดได้ตลอดเวลา เพราะมีอาการฟ้องชัดว่าไม่อาจรักษาความเที่ยง ความทนดังนั้นผู้ปฏิบัติธรรมในพุทธศาสนาเมื่อได้ยินว่ามีสภาพปรุงแต่งทางนามธรรมอันใดสูงส่ง เลิศลอยก็ "รู้สึก" ไม่เชื่อ ไม่เอาเพราะเห็นเสียแล้วว่า
    *** ขึ้นชื่อว่าปรุงแต่งได้ กำหนดดูแล้วเห็นว่ายังเปลี่ยนแปลงได้ สิ่งนั้นยังเป็นทุกข์อยู่ ***
    </TD></TR><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: medium none; BORDER-LEFT: maroon 1.5pt solid; PADDING-BOTTOM: 0cm; PADDING-LEFT: 5.4pt; WIDTH: 100%; PADDING-RIGHT: 5.4pt; BORDER-TOP: medium none; BORDER-RIGHT: maroon 1.5pt solid; PADDING-TOP: 0cm" vAlign=top width="100%">สรุปคือถ้ามีสมาธิเห็นรูปนามเกิดดับสักครั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับอนัตตาจะหมดไปจะรู้ว่าที่ไหนมีความเกิดดับ ที่นั่นเป็นทุกข์เสมอถึงตรงนั้นจึงจะเข้าใจว่าศาสนาพุทธกล่าวถึง "ทุกข์" และการ "ดับทุกข์" แท้ๆอย่างไร
    </TD></TR><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: medium none; BORDER-LEFT: maroon 1.5pt solid; PADDING-BOTTOM: 0cm; PADDING-LEFT: 5.4pt; WIDTH: 100%; PADDING-RIGHT: 5.4pt; BORDER-TOP: medium none; BORDER-RIGHT: maroon 1.5pt solid; PADDING-TOP: 0cm" vAlign=top width="100%">ส่วนที่จะเรียกนิพพานเป็นความเที่ยง เป็นอัตตาหรือเป็นอนัตตานั้น สุดแต่ความพอใจของผู้ยังมองไม่เห็นนิพพานเป็นเรื่องที่ไม่เป็นโทษนัก
    </TD></TR><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: medium none; BORDER-LEFT: maroon 1.5pt solid; PADDING-BOTTOM: 0cm; PADDING-LEFT: 5.4pt; WIDTH: 100%; PADDING-RIGHT: 5.4pt; BORDER-TOP: medium none; BORDER-RIGHT: maroon 1.5pt solid; PADDING-TOP: 0cm" vAlign=top width="100%">เรื่องที่จะเป็นโทษก็คือถ้าเชื่อว่ามีอัตตาเชื่อว่าอัตตาคือรูปพอใจในรูปจิตจะไม่ทิ้งรูป อย่าว่าแต่จะทิ้งนาม
    </TD></TR><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: medium none; BORDER-LEFT: maroon 1.5pt solid; PADDING-BOTTOM: 0cm; PADDING-LEFT: 5.4pt; WIDTH: 100%; PADDING-RIGHT: 5.4pt; BORDER-TOP: medium none; BORDER-RIGHT: maroon 1.5pt solid; PADDING-TOP: 0cm" vAlign=top width="100%">เมื่อไม่เกิด "จิตทิ้ง"ทิ้งได้หมดทุกอย่าง ทิ้งจนเกิดมิติเปิดทะลุก็ไม่มีวันเห็นธรรมชาติอีกแบบหนึ่งที่เป็นคนละระนาบกับจิต เจตสิก และรูป
    </TD></TR><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: medium none; BORDER-LEFT: maroon 1.5pt solid; PADDING-BOTTOM: 0cm; PADDING-LEFT: 5.4pt; WIDTH: 100%; PADDING-RIGHT: 5.4pt; BORDER-TOP: medium none; BORDER-RIGHT: maroon 1.5pt solid; PADDING-TOP: 0cm" vAlign=top width="100%">ธรรมชาตินั้นมีอยู่สี่ คือจิต เจตสิก รูป และนิพพานผู้กล่าวว่าการถึงนิพพานคือการดับสูญย่อมจัดเป็นมิจฉาทิฏฐิในระดับความคิดเพราะนิพพานเป็นธรรมชาติอีกชนิดหนึ่งไร้การปรุงแต่ง เป็นปรมังสุขขัง
    </TD></TR><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: medium none; BORDER-LEFT: maroon 1.5pt solid; PADDING-BOTTOM: 0cm; PADDING-LEFT: 5.4pt; WIDTH: 100%; PADDING-RIGHT: 5.4pt; BORDER-TOP: medium none; BORDER-RIGHT: maroon 1.5pt solid; PADDING-TOP: 0cm" vAlign=top width="100%">หากนิพพานถูกมองว่าดับสูญ คือความว่างวายสิ้นเชิงจนถูกกลัวว่าเป็นสภาพ "สูญเสีย"ก็เกิดความรู้สึกทำนองเดียวกับเรามีทรัพย์เรื่องอะไรจะโยนทรัพย์ทิ้งน้ำ
    </TD></TR><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: medium none; BORDER-LEFT: maroon 1.5pt solid; PADDING-BOTTOM: 0cm; PADDING-LEFT: 5.4pt; WIDTH: 100%; PADDING-RIGHT: 5.4pt; BORDER-TOP: medium none; BORDER-RIGHT: maroon 1.5pt solid; PADDING-TOP: 0cm" vAlign=top width="100%">ทางพุทธศาสนา กล่าวว่ามีสองสิ่งที่เที่ยงคือนิพพานและช่องว่างหากนิพพานว่างวายอย่างที่กลัวกัน ท่านก็คงไม่จำแนก คงรวมเอานิพพานกับช่องว่างไว้เป็นสิ่งเดียวกัน
    </TD></TR><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: medium none; BORDER-LEFT: maroon 1.5pt solid; PADDING-BOTTOM: 0cm; PADDING-LEFT: 5.4pt; WIDTH: 100%; PADDING-RIGHT: 5.4pt; BORDER-TOP: medium none; BORDER-RIGHT: maroon 1.5pt solid; PADDING-TOP: 0cm" vAlign=top width="100%">ถ้าให้เข้า "ถึงใจ" จริงๆจะเริ่มเห็นนับแต่กายและใจปรากฏเป็นความเกิดดับๆต่อหน้าต่อตา ใจเหมือนสว่างขึ้นเป็นสติ หรี่ลง มืดไป แล้วสว่างขึ้นมาอีก รู้รูปรู้นามเป็นขณะๆจนเห็นเป็นสายความเกิดดับชัดเจน
    </TD></TR><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: medium none; BORDER-LEFT: maroon 1.5pt solid; PADDING-BOTTOM: 0cm; PADDING-LEFT: 5.4pt; WIDTH: 100%; PADDING-RIGHT: 5.4pt; BORDER-TOP: medium none; BORDER-RIGHT: maroon 1.5pt solid; PADDING-TOP: 0cm" vAlign=top width="100%">เมื่อนั้นสิ่งที่ "ถึงใจ" ก็คือรู้เพื่อละนั้นเป็นอย่างไร
    </TD></TR><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: medium none; BORDER-LEFT: maroon 1.5pt solid; PADDING-BOTTOM: 0cm; PADDING-LEFT: 5.4pt; WIDTH: 100%; PADDING-RIGHT: 5.4pt; BORDER-TOP: medium none; BORDER-RIGHT: maroon 1.5pt solid; PADDING-TOP: 0cm" vAlign=top width="100%">ในแนวสมาธิก่อนหน้าพระพุทธองค์ จะเหมือนกันหมดอยู่อย่าง นั่นคือปฏิบัติเพื่อให้ "เกิดอะไรขึ้นมา" หรือ "เห็นอะไรขึ้นมา" แต่แนวทางของพระพุทธองค์นั้น ไม่รอให้เกิดอะไรเลย ทิ้งๆๆๆลูกเดียว ไม่ให้เหลืออะไร
    </TD></TR><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: medium none; BORDER-LEFT: maroon 1.5pt solid; PADDING-BOTTOM: 0cm; PADDING-LEFT: 5.4pt; WIDTH: 100%; PADDING-RIGHT: 5.4pt; BORDER-TOP: medium none; BORDER-RIGHT: maroon 1.5pt solid; PADDING-TOP: 0cm" vAlign=top width="100%">คำว่านิพพานนั่นแหละตัวดี ตัวขวางอย่างดี
    </TD></TR><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: medium none; BORDER-LEFT: maroon 1.5pt solid; PADDING-BOTTOM: 0cm; PADDING-LEFT: 5.4pt; WIDTH: 100%; PADDING-RIGHT: 5.4pt; BORDER-TOP: medium none; BORDER-RIGHT: maroon 1.5pt solid; PADDING-TOP: 0cm" vAlign=top width="100%">ผู้ปฏิบัติจะเห็นว่านิพพานในหัวนั้นเป็นเรื่องไร้สาระ นิพพานในใจ - ความดับทุกอย่างสนิทต่างหากที่น่าใส่ใจจริงจัง ปฏิบัติแล้วเกิดอาการผละจาก ตีจาก จากรูปและนามทั้งหลาย ไม่ปรารถนาให้เห็นหรือให้เกิดอะไรจนถึงที่สุดนั่นแหละ ใช่ทาง ไม่ส่งจิตออกนอกทาง
    </TD></TR><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: medium none; BORDER-LEFT: maroon 1.5pt solid; PADDING-BOTTOM: 0cm; PADDING-LEFT: 5.4pt; WIDTH: 100%; PADDING-RIGHT: 5.4pt; BORDER-TOP: medium none; BORDER-RIGHT: maroon 1.5pt solid; PADDING-TOP: 0cm" vAlign=top width="100%">พุทธศาสนาสอนให้ทิ้งความทุกข์จริงๆเริ่มต้นให้ทิ้งความหวงด้วยทานต่อด้วยทิ้งนิสัยร้ายๆด้วยศีลขึ้นมาถึงทิ้งความขุ่นหมองขัดข้องด้วยสมาธิแล้วจึงจบด้วยทิ้งรูปนามด้วยปัญญา
    </TD></TR><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: medium none; BORDER-LEFT: maroon 1.5pt solid; PADDING-BOTTOM: 0cm; PADDING-LEFT: 5.4pt; WIDTH: 100%; PADDING-RIGHT: 5.4pt; BORDER-TOP: medium none; BORDER-RIGHT: maroon 1.5pt solid; PADDING-TOP: 0cm" vAlign=top width="100%">ทิ้งรูปนามนั้น หมายถึงจิตจับได้ว่าเป็นรูปเมื่อไหร่นามอันปรุงแต่งเมื่อใด เป็นต้องระคายระคายเพราะเห็นแล้วว่ามีแต่ความแตกพังย่อยยับมีตรงไหนแตกดับตรงนั้นให้แสนละเอียดและเหมือนคงที่ปานใดก็ทราบได้ขณะเป็นมนุษย์ว่าเคลื่อนจากความรู้เคลื่อนจากความเห็นได้ทั้งสิ้น
    </TD></TR><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: medium none; BORDER-LEFT: maroon 1.5pt solid; PADDING-BOTTOM: 0cm; PADDING-LEFT: 5.4pt; WIDTH: 100%; PADDING-RIGHT: 5.4pt; BORDER-TOP: medium none; BORDER-RIGHT: maroon 1.5pt solid; PADDING-TOP: 0cm" vAlign=top width="100%">ลักษณะของจิตที่ทิ้งรูปทิ้งนามจึงต้องไม่เหลืออะไรยึดไว้เลยด้วยประการฉะนี้แม้ตัวรู้เองยังสลายไปเพราะความรู้ก็เป็นสมบัติหนึ่งของความแตกดับรู้เท่าไหร่ดับเท่านั้นไม่เหลือรู้เลยนั่นแหละจึงจะพ้นจากการดับ
    </TD></TR><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: medium none; BORDER-LEFT: maroon 1.5pt solid; PADDING-BOTTOM: 0cm; PADDING-LEFT: 5.4pt; WIDTH: 100%; PADDING-RIGHT: 5.4pt; BORDER-TOP: medium none; BORDER-RIGHT: maroon 1.5pt solid; PADDING-TOP: 0cm" vAlign=top width="100%">เพราะยังพอใจที่จะเหลือแม้ตัวรู้จึงไม่พบธรรมชาติอีกชนิดหนึ่งที่เหนือความรู้เหนือความสว่าง เหนือการปรุงแต่งใดๆทั้งหมดพอพูดกันถึงนิพพานด้วยตัวรู้ ตัวคิดแบบที่ทำกันอยู่นิพพานจึงเป็นเพียงข้อถกเถียงที่น่าระคายนิพพานที่ปรากฏต่อสายตา "คนนอก" จึงไม่น่าพึงพอใจมีแต่ความร้อนรุ่ม มีแต่ความขัดเคืองและข้อถกเถียง
    </TD></TR><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: medium none; BORDER-LEFT: maroon 1.5pt solid; PADDING-BOTTOM: 0cm; PADDING-LEFT: 5.4pt; WIDTH: 100%; PADDING-RIGHT: 5.4pt; BORDER-TOP: medium none; BORDER-RIGHT: maroon 1.5pt solid; PADDING-TOP: 0cm" vAlign=top width="100%">ปุถุชนย่อมไม่เห็นทุกข์ ไม่ชอบพูดเรื่องทุกข์ และเมื่อทุกข์แล้วก็หวังว่าวันหนึ่งจะกลับมาเป็นสุข นั่นเป็นเรื่องของการ "เห็นเหตุการณ์" ในชีวิตสามัญเท่านั้น
    </TD></TR><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: medium none; BORDER-LEFT: maroon 1.5pt solid; PADDING-BOTTOM: 0cm; PADDING-LEFT: 5.4pt; WIDTH: 100%; PADDING-RIGHT: 5.4pt; BORDER-TOP: medium none; BORDER-RIGHT: maroon 1.5pt solid; PADDING-TOP: 0cm" vAlign=top width="100%">บัณฑิตและโยคาวจรในพุทธเขตย่อมเห็นทุกข์ที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาทุกขณะจิต ไม่หวังว่าจะให้ความเกิดดับในรูปแบบใดๆเป็นสุขไปได้ เพราะชัดประจักษ์อยู่แล้วว่าที่เกิดดับนั้นทุกข์แท้ๆ แม้รูปอันสุดประณีตสุขุมก็โต้งๆอยู่ในตัวเองว่าเป็นทุกข์
    </TD></TR><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: medium none; BORDER-LEFT: maroon 1.5pt solid; PADDING-BOTTOM: 0cm; PADDING-LEFT: 5.4pt; WIDTH: 100%; PADDING-RIGHT: 5.4pt; BORDER-TOP: medium none; BORDER-RIGHT: maroon 1.5pt solid; PADDING-TOP: 0cm" vAlign=top width="100%">เห็นรูปเห็นนามเป็นทุกข์ไม่ได้ถ้าไม่มีสมาธิ และถ้ายังไม่เห็นรูปเห็นนามก็อย่าหวังว่าจะเชื่อกันสนิทใจเลยว่าเกิด แก่ เจ็บ ตายเป็นทุกข์ ยิ่งเถียงกันก็ยิ่งมัน เกิดสุขเวทนาสิงสู่โดยไม่รู้ตัว
    </TD></TR><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: medium none; BORDER-LEFT: maroon 1.5pt solid; PADDING-BOTTOM: 0cm; PADDING-LEFT: 5.4pt; WIDTH: 100%; PADDING-RIGHT: 5.4pt; BORDER-TOP: medium none; BORDER-RIGHT: maroon 1.5pt solid; PADDING-TOP: 0cm" vAlign=top width="100%">ขอความสงบผาสุก เย็นสนิทในนิพพานจงซึมสู่ใจทุกท่านที่ปรารถนาความดับทุกข์อย่างสนิท
    </TD></TR><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: maroon 1.5pt solid; BORDER-LEFT: maroon 1.5pt solid; PADDING-BOTTOM: 0cm; PADDING-LEFT: 5.4pt; WIDTH: 100%; PADDING-RIGHT: 5.4pt; BORDER-TOP: medium none; BORDER-RIGHT: maroon 1.5pt solid; PADDING-TOP: 0cm" vAlign=top width="100%">โดยคุณ :ดังตฤณ - [22 ม.ค. 2542]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  2. nontayan

    nontayan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    832
    ค่าพลัง:
    +976
    อนุโมทนาสาธุ
    ทางลัดของนิพพานที่พระพุทธเจ้าสอนไว้คือ การดับที่รูปอย่างเดียวก็สามารถดับนามตามไปด้วย
     
  3. mawmee

    mawmee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    309
    ค่าพลัง:
    +622
    มาติดตามอ่านข้อมูลดีๆจนจบค่ะ มีประโยชน์มาเลยค่ะและเป็นกำลังใจให้กับผู้ที่ป่วยด้วยค่ะ
     
  4. keroro2

    keroro2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    185
    ค่าพลัง:
    +203
    อยากรู้เพิ่มเติม ต้องอ่าน the top secret ที่อธิบาย กฏแห่งการดึงดูด ที่ว่าความคิดย่อมมีแรงดึงดูด
     
  5. พลอยรุ้ง

    พลอยรุ้ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    467
    ค่าพลัง:
    +2,088
    มาตามอ่านกระทู้ดีๆของคุณชยุตค่ะ ยังไม่ได้อ่านหรอกค่ะ ขอก๊อปไว้ก่อน กลัวหาย เด๋วนี้ไม่ค่อยได้เข้ากระทู้คุณชยุตเลยค่ะ ไม่ค่อยได้อ่านหนังสือ มันรู้สึกเหนื่อยๆน่ะค่ะ พร้อมเมื่อไหร่จะตามต่อค่ะ
    ขอบคุณที่หาเรื่องราวดีๆมาให้อีกแล้ว
    และรู้สึกประทับใจเรื่องราวส่วนตัวของคุณ ที่นำมาแชร์ให้ฟังค่ะ น่าสนใจมากๆเลยค่ะ
     
  6. ต้นบุญ

    ต้นบุญ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2009
    โพสต์:
    246
    ค่าพลัง:
    +239
    เป็นบทความที่ดีมากเลยครับ ความจริงเหนือสิ่งที่เป็นมายาทั้งปวง แม้แต่กายนี้ใจนี้ก็ไม่ใช่ของเรา ทุกสิ่งทุกอย่าง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และเสื่อมสลายไปในที่สุด อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สาธุ ในบุญกุศลของทุกท่านด้วยเทอญ
     
  7. liliwan

    liliwan Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    46
    ค่าพลัง:
    +27
    ประสบการณ์ดี ๆ ขอบคุณผู้แปลมาก ๆ นะคะ
     
  8. liliwan

    liliwan Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    46
    ค่าพลัง:
    +27
    เห็นด้วยกับคุณอัคนีวาตค่ะ:cool:
     
  9. Luthiien

    Luthiien เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    99
    ค่าพลัง:
    +215
    -ขอบคุณที่นำเรื่องราวดีๆ มาแบ่งปันนะคะ
     
  10. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    เห็นมีคนกำลังกลัวตายอยู่
    เลยขออนุญาตดันกระทู้นี้ขึ้นมาหน่อยนะครับ
    เผื่อจะมีคนเข้ามาอ่าน จนทำให้เข้าใจ
    และได้ประโยชน์ติดไม้ติดมือกลับไปบ้าง

    ...............................
     
  11. แก้วทิพย์

    แก้วทิพย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    450
    ค่าพลัง:
    +2,435
    ไม่รู้บังเอิญหรือเปล่านะคะ เมื่อคืนก็เอามาอ่าน (รวมเป็น PDF file แล้ว print ออกมา ไว้อ่าน) เพราะแต่ละประโยคที่เขาเล่าจากปรสบการณ์จริงๆ น่าสนใจมาก วันนี้เจอคุณชยุตดันกระทู้ขึ้นมาพอดี ขอบคุณที่เอาของดีๆมาให้อ่านค่ะ
     
  12. karain

    karain เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    638
    ค่าพลัง:
    +707
    แม้แต่โรคร้ายก็กลายเป็นเพียงมายา
     
  13. wangwang

    wangwang เมตตาคุณณัง อะระหังเมตตา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    406
    ค่าพลัง:
    +629
    ขอบคุณครับ สำหรับความรู้ดีๆ
     
  14. ตั๊กกี้

    ตั๊กกี้ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +0
    อ่านแล้วรู้สึกดีมากเลยค่ะ อ่านข้อความคุณชยุตที่รัยเหมือนได้เติมพลังมันรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก^-^ ขอขอบคุณสำหรับข้อความดีๆและขออนุโมทนาด้วยค่าาาาา(deejai)
     
  15. suparush_k

    suparush_k สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +2
    จิตทั้งหลายเก่าแก่เท่ากันทัั้งหมดรึเปล่าครับ
     
  16. COME&Z

    COME&Z เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,144
    ค่าพลัง:
    +234
    นี่แหละวิทยาศาสตร์ทางจิตของแท้ ของจริง จิตเป็นนายกายเป็นบ่าว น่าคิดต่อ เด็กหัวโตมากมายบางรายมีเนื้อสมองเหลือบางไม่กี่มิลลิเมตรมีIQเกิน100...? แล้วสมองสำคัญกับเราจริงๆรึเปล่า...???:cool:
     
  17. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    อันนี้ผมเองก็ไม่ทราบนะครับ
    เพราะพวกท่านไม่ได้พูดเอาไว้ชัดๆแบบนั้น
    หรืออาจจะมีพูดไว้แล้ว
    แต่ผมอาจจะยังอ่านไม่เจอก็ได้นะครับ

    ที่แน่ๆพวกท่านพูดไว้ว่า "จิตวิญญาณเป็นของอมตะ"
    และมาจากแหล่งกำเนิดเดียวกันทั้งสิ้น

    และตามนัยะของกระทู้นี้ คำว่า "จิต"
    กับคำว่า "จิตวิญญาณ" มีความหมายต่างกันนะครับ

    "จิตวิญญาณ" หมายถึง จิตเดิมแท้ หรือแก่นแท้ของชีวิตนั้นๆ
    ซึ่งมีความเป็นอมตะ ไม่มีเกิด ไม่มีตาย
    (ตามนัยยะของโลกแห่งจิตวิญญาณ ที่อยู่เหนือกาลเวลา)
    มีแต่วิวัฒน์ไป เปลี่ยนรูปแบบไป เปลี่ยนคุณสมบัติไป เท่านั้นเอง
    และหนทางการวิวัฒน์ ก็คือ เพื่อย้อนกลับไปสู่แหล่งกำเนิด

    ส่วนคำว่า "จิต" นั้น ในนัยยะของกระทู้นี้ แอนิต้าเขาบอกว่า
    มันเหมือนเป็นโปรแกรมอะไรซักอย่าง ที่เอาไว้เคลือบ หรือบัง
    การทำงานของ "จิตวิญญาณ" อีกต่อหนึ่ง
    และรวมถึง เอาไว้เป็นตัวกลางของการสื่อสารระหว่าง "จิตวิญญาณ"
    กับ "จิตสำนึก" ด้วย

    อย่าลืมว่าจิตวิญญาณ เป็นพลังงานล้วนๆ
    และเป็นของหลากมิตินะครับ
    แต่พอได้มาอยู่ในมิติที่คับแคบ และเล็กน้อย และหยาบกระด้าง
    อย่างมิติที่ 3 นี้ จิตวิญญาณจึงต้องปรับตัว
    ให้ "แสร้งว่า" รู้อะไรน้อยลง เท่านั้นเอง

    ซึ่งจะทำแบบนั้นได้ ก็ต้องอาศัยตัวช่วย คือเจ้า "โปรแกรม"
    ที่ชื่อ "จิต" ที่ว่านี่แหละครับ

    สรุปว่า "จิต" มันเป็น software ตัวหนึ่งเท่านั้นเองครับ
    ไม่ใช่ของจริงแท้อะไร

    เพราะฉะนั้น ตามนัยยะที่แอนิต้าบอกมานี้ พวกเราใครที่สื่อสารกับ
    "จิตวิญญาณ" ของตัวเองไม่ได้ ก็จะถูกเจ้า "จิต" ตัวนี้แหละ
    ปั่นหัวเล่น หรือ หลอกให้เข้าใจผิดไปตามเครื่องพราง
    หรือมายาการที่มันสร้างเอาไว้

    จึงทำให้หลงลืมตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง
    ซึ่งเป็นพลังงานแห่งแสงสว่างที่มีความประภัสสรอยู่ในตัวแล้ว ไปเสียสิ้น
    หรือ หลงลืมพลังอำนาจ และ ความดีงามของตนเองไปเสียสิ้น

    ...อะไรแบบนั้นครับ...

    สรุปว่า..ผมเองก็ไม่ทราบครับ ว่า "จิตวิญญาณ" ทุกดวง
    เกิดขึ้นพร้อมกันหมดหรือไม่

    แต่ถ้าให้ผมเดา ผมก็จะบอกว่า "ไม่" ครับ
    เพราะเท่าที่อ่านผ่านๆมานั้น "จิตวิญญาณ"
    ที่ถูก "แบ่งภาค" ออกมาจากแหล่งกำเนิดนั้น
    ก็ยังมีหลายระลอกเลย

    คือระลอกแรก ก็จะเป็นพวกมหาเทพ Archangel ทั้งหลาย
    และศาสดาของศาสนาทั้งหลายด้วย
    ไม่ยกเว้นแต่ของศาสนาที่ท่านกำลังคิดอยู่นี้ด้วย
    (ท่านว่ามาอย่างนั้นนะครับ ไปเถียงท่านเอาเองนะครับ ผมไม่เกี่ยว)

    ส่วนระลอกที่สอง ก็คือพวกที่ถูกระลอกแรกแบ่งภาคออกมา
    และก็เป็นพวกเทพอีกนั่นแหละ ซึ่งมีแต่พลังงานล้วนๆ
    ไม่มีกายเนื้อหรือกายทิพย์ใดๆทั้งสิ้น

    ส่วนระลอกที่ 3 ก็คือพวกที่ถูกระลอกที่สองแบ่งภาคออกมา
    และระลอกนี้แหละถึงจะเป็น "พระเจ้า"และผู้สร้างจักรวาลทั้งหลาย

    ระลอกที่ 4 ก็จะเป็นพวกที่ถูกแบ่งภาคออกมาจากพระเจ้า
    และระลอกถัดๆไป ก็ยังมีอีกนับไม่ถ้วนนะ

    และเราก็ไม่อาจทราบได้ว่ามนุษย์คนไหน
    ถูกแบ่งภาคมาจากระลอกไหนบ้าง
    เพราะว่า ต่างคน ต่างก็มาด้วยวัตถุประสงค์ อาจจะต่างกัน
    จึงอาจจะมาจากต่างที่กันด้วย อะไรแบบนั้นครับ

    ......................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 มิถุนายน 2012
  18. suparush_k

    suparush_k สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +2
    ขอบคุณครับคุณchayutt ได้ความรู้เพิ่มขึ้นแล้ว
     
  19. vajeemun

    vajeemun Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    22
    ค่าพลัง:
    +34
    ได้มาอ่านอีกครั้ง จากที่เคยไม่เข้าใจ อยากบอกว่าตอนนี้เข้าใจแจ่มแจ้ง ขอบคุณ คุณชยุต ที่นำแต่เรื่องราวดีๆ มาแบ่งปัน:cool:...แต่อย่างที่แอนนิต้าร์บอก.."แต่อย่างไรก็ตาม สำหรับฉันแล้ว มันรู้สึกจริงๆเลยว่า ความสามารถนี้ (การมองทะลุผ่านความเป็นมายา)
    เป็นอะไรที่สามารถบรรลุได้ โดยผู้ที่เลือกที่จะบรรลุเท่านั้นเอง"
     
  20. สงบระงับ

    สงบระงับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    660
    ค่าพลัง:
    +2,919
    เรื่องความไม่เข้าใจ..
    เรื่องของความไม่เข้าใจคือได้ย้อนกลับมาอ่านข้อความต่างมิติ
    ในหัวข้อต่างๆอีกหลายเรื่อง มีบางเรื่องที่อ่านแล้วยังไม่จบ
    หรืออ่านแล้วมันไปแก้อะไรต่างๆที่เราประสบอยู่อย่างง่ายดาย
    แล้วไม่ได้ย้อนกลับมาอ่านอึก

    หรือบางครั้งเราก็ตั้งจิตเอาว่าขอให้มีคำตอบอยู่ในนี้
    พออ่านแล้วก็เจอเลย(อาจจะดูแปลกๆแต่ก็ทำได้บ่อยๆและเป็นอยู่หลายครั้ง)
    เรื่องของความไม่เข้าใจเราโชคดีว่าเราเคย"ไม่เข้าใจมากๆ"หรือ
    "เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง"มาแล้ว
    เลยเข้าใจคนที่ไม่เข้าใจ
    คราวก่อนที่อ่านโพสท์นี้ของคุณชยุตอ่านแล้ว
    ก็ยังไม่ยิ้ม แต่วันนี้ยิ้มเลย

    นึกไปเมื่อหลายปีก่อนหน้านี้ที่ยังไม่ได้อ่าน
    ข้อความต่างมิติ ความไม่เข้าใจในอะไร อะไร
    มันเยอะมาก แม้แต่เรื่องของศาสนา
    เรื่องการเรียนคณิตศาตร์ เรามองเห็นความสุดขั้ว
    ของ"ความเข้าใจอย่างมาก"ของวิชา" วิทยาศาสตร์"
    กับ"ความไม่เข้าใจอย่างมาก"ของวิชา "คณิตศาสตร์"

    มาวันนี้เรากลับชอบวิชาคณิตศาตร์ และกลับไปเรียนรู้มันใหม่อีกครั้ง
    และเปลี่ยนความทรงจำในสมองเกี่ยวกับวิชา "คณิตศาสตร์" เสียใหม่
    เราพึงพอใจที่จะกลับไปเรียนรู้มันอีกครั้ง เพราะ
    เราพร้อมที่จะเข้าใจ
    ขอบคุณ คุณชยุตและทีมแปลทุกท่านเหมือนเคย
    :VO
     

แชร์หน้านี้

Loading...