แปลกแต่จริง...อิสลามพกพระเครื่อง...ท่านเชื่อหรือไม่

ทำใจครับ...ผมทำงานมาสิบกว่าปี เจอทั้งแขกดีและแขกเห็นแก่ตัว เห็นมาเยอะ ยิ่งแขกต่างประเทศเคร่งแต่เปลือก เห็นหมูท่ารังเกียจ เห็นเบียร์วิ่งเข้าใส่ บางคนยังระมาดไม่เป็นเลย แต่เรื่องเยอะ กะทะอาหารต้องแยก โน้น นี้ นั้น สรุป เยอะครับ แต่ดีๆคบเป็นเพื่อนได้ ผมก็เจอครับ และยังคบอยู่ทุกวันนี้

 

เหออออ ครับ บางคนก็เหมือนที่บอกเเหละครับ มือถือสากปากถือศีลเเหละครับ แต่ดีๆ เนี้ยหาไม่ค่ือยเจอนะครับพี่

 

เคยเล่าไปที่ไหนสักที่ ผมเคยมีเพื่อเรียนมหาลัยด้วยกัน ชื่อ ไอ้เลาะ ( บังเลาะ ) ซี้กันมากขนาด ตบหัว เตะตูด เรียกชื่อพ่อ

พอไปกินเหล้ากัน จะมีกับแกล้ม ที่ไอ้เลาะชอบที่สุดคือ ลาบหมู ครับ มันจะ ไปซื้อหมูที่ตลาดทำเองด้วย ส่วนใหญ่ทำกินที่บ้านผมเพราะใกล้มหาลัย ใกล้ตลาด พอกินเหล้ากับลาบหมุ มันบอกว่าอยู่ใต้หลังคา อัลเลาะห์ไม่เห็นครับ อันนี้มันว่า ผมไม่ได้ว่า


พอถึง สิบสี่ตุลา เรื่องมันยาว เอาว่า ตั้งแต่นั้น ผมไม่ได้เจอกับมันอีกครับ

และนอกจากนั้น พอไปเรียนหนังสือ ในที่ไกล เจอพวกแขกอิหร่านเพียบ เตะบอล กินเบียร์กัน มันกินทุกอย่างครับที่ผมทำ หมูแดง ไส้กรอก กินเบียร์ทีเป็น แพ็คๆกว่าจะเมา

คนเหมือนกันครับ...แหะๆ

 

ถ้าของแรง ผีจะแรง ก็แรงที่จิตครับ
เห็นด้วยอย่างแรงครับคำนี้

 

เครื่องรางของแขกเท่าที่ผทเคยเห็นก็มีประคำและกระดาษทิชชู่พับเลี่ยมอย่างดี

ส่วนของคาทอลิกมีเยอะพอๆกับของพุทธครับ ทั้งประคำ กางเขน เหรียญต่างๆ

มีทั้งพระเยซู แม่พระ(ปางต่างๆ) นักบุญอีกเยอะแยะมากมาย อิทธิคุณก็ว่าไปตาม

ความโดเด่นของนักบุญแต่ละท่านครับ

 

ถ้าคุณได้อ่านคัมภีร์ของเขาทั้งเล่มในบรรยากาศนั้น (ต้องอ่านตลอดนะครับ เหมือนคุณดูหนังผี หนังฆาตกรรม คุณต้องดูตลอดทั้งเรื่อง ต้องรับบรรยากาศทั้งเรื่อง ไม่ใช่ดูแล้วพอถึงฉากหวาดเสียวแล้วปิด ออกไปทำใจแล้วกลับมาดูใหม่นะครับ จะเสียอรรถรส) คุณจะไม่แปลกใจเลยว่าทำไมพวกเขา

มือถือสากปากถือศีล , พูดอย่างทำอย่าง , เหยียดหยามคนศาสนาอื่น , จิตใจแข็งกระด้าง , มีความโหดเหี้ยมอยู่ในใจลึก ๆ ฯลฯ

ผมอ่านไปขำไป อ่านไปสยองไป ลองอ่านเป็นแซมเปิ้ลก็ได้ครับ ...


47 : 4 และเมื่อพวกเจ้าพบบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาก็จงฟันที่คอ (จงฆ่าเสีย)จนกระทั่งเมื่อพวกเจ้าปราบพวกเขาจนแพ้แล้วก็จงจับพวกเขาเป็นเชลยหลังจากนั้นจะปล่อยเป็นไทหรือจะเรียกเอาค่าไถ่ก็ได้จนกระทั่งการทำสงครามได้สิ้นสุดลงด้วยการวางอาวุธ (*1*) เช่นนั้นแหละและหากอัลลอฮ.ทรงประสงค์แน่นอน พระองค์จะทรงตอบแทนการลงโทษพวกเขา (*2*) แต่ทั้งนี้เพื่อพระองค์จะทรงทดสอบบางคนในหมู่พวกเจ้ากับอีกบางคนส่วนบรรดาผู้ที่ถูกฆ่าตายในทางของอัลลอฮ.พระองค์จะไม่ทรงทำให้การงานของพวกเขาไร้ผลเป็นอันขาด (*3*)

<O</O(1) คือเมื่อพวกเจ้าประจันบานกับพวกปฏิเสธศรัทธาในสนามรบก็จงฆ่าพวกเขาเสียและเมื่อพวกเจ้าได้ฆ่าพวกเขาเป็นจำนวนมากแล้วจนกระทั่งพวกเขาอ่อนกำลังลงเพราะถูกฆ่าและได้รับบาดเจ็บเป็นจำนวนมากแล้วก็จงจับพวกเขาเป็นเชลยหลังจากนั้นพวกเจ้าจะเลือกเอาโดยปล่อยพวกเขาเป็นไทโดยไม่คิดค่าตอบแทนหรือจะเรียกเอาค่าไถ่ก็ได้จนกระทั่งการทำสงครามได้สิ้นสุดลงด้วยการวางอาวุธ
(2) โดยพวกเจ้าไม่ต้องลงมือฆ่าเช่นถูกแผ่นดินสูบหรือเกิดโรคตายระหว่างพวกเขา
(3) แต่ทรงใช้ให้มีการฆ่าเพื่อฮิกมะฮ.คือ มีการทดสอบ คนมุอ.มินถูกฆ่าตายก็ได้เข้าสวรรค์ ส่วนกุฟฟารถูกฆ่าตายก็เข้า นรก<O</O

แค่คำสั่งของเบื้องบนเขาสั่งให้ทำอะไรกับคนที่เขา "เรียกว่าเชลย" แล้วก็ไม่มีคำว่าเมตตาที่เขาพร่ำ "พีอาร์" ตลอดทั้งเล่มแล้วล่ะครับ (คือเขาจะแทรกคำสรรเสริญเยินยอเบื้องบนเขาเป็นระยะ ๆ นั่นแหละ ซึ่งถ้าคุณพิจารณาตาม "โลกความจริง" ไม่ใช่ "โล
กนิยาย" ที่เขาบรรจงยัดเยียดในคัมภีร์แล้วจะเห็นว่าส่วนใหญ่ตรงกันข้ามหรือไม่ก็ไม่ได้ดีเด่ตามนั้นถ้าเทียบกับศาสนาอื่น)

อ่านไปขนลุกไป ยิ่งขนลุกมากขึ้นเมื่อรู้ว่าเขาเที่ยวแทรกซึมเข้าไปในรัฐบาล (ชุดก่อนเยอะ) และเที่ยวทำลายศาสนาพุทธอยู่ทุกวินาทีในยามนี้

* * *

ที่ว่านี่ต้องแยกแยะด้วยนำครับ เพราะศาสนาพุทธเราสอนให้รู้จักใช้ปัญญา คุณต้องเข้าใจว่าการศึกษาในเรื่องแบบนี้คุณต้องรู้อยู่สองมิติคือ

1) มิติของโลกศาสนา หรือเรียกว่าอุดมคติด้านศาสนา
2) มิติของโลกความจริง

ต้องดูว่าในโลกศาสนาพูดยังไง ในโลกความจริงกระทำอย่างไร เหมือนพุทธเรานี่แหละ บอกว่ามีปัญญา ๆ แต่หาคนเข้าถึงลำบากนัก เพียงแต่ศาสนาเราแยกแยะชัดเจนถึงบุคคลที่แตกต่างกัน จะดีจะเลวไม่ใช่เพราะนับถือศาสนาหรือเลิกนับถือ แต่อยู่ที่จิตใจและการกระทำ

อย่างคนศาสนาอื่นเช่นไอสไตรน์ เขาเป็นยิว บรรพบุรุษถือยิว แต่ในใจเขาถือพุทธ เขาไม่สามารถประกาศได้ว่าถือพุทธเพราะศาสนากลุ่มนี้เขาแรงมาก (ในคัมภีร์ยิวก็ร้ายกาจไม่เบา) ใครนอกใจเขาสาปแช่งเอาไม่ได้ผุดได้เกิดเชียว และสังคมก็จะแอนตี้อย่างแรง บางสังคมถึงกับเข่นฆ่ากันเทียว เมืองไทยก็เห็นบ่อย

เวลาเขาจะพูดเขาจะเลี่ยงไปใช้คำว่า "ศาสนาแห่งจักรวาล" แทน แต่ถ้าเราพิจารณาโดยตลอดจะพบว่าเขาบรรยายว่าศาสนาแห่งจักรวาลจะต้องเป็นศาสนาที่ใช้ปัญญา ไม่ใช่ความกลัวมาบีบ มาขู่เข็ญให้นับถือ ไม่นำหน้าด้วยศรัทธา ให้เชื่อลูกเดียว เราก็เดาได้ว่ามีศาสนาพุทธเด่นนำหน้าอยู่นั่นแหละ หาใช่ศาสนาในกลุ่มทางที่บรรพบุรุษเขาเชื่อไม่

นี่คือโลกความจริงที่เป็นไป ในหลายตัวอย่างที่เพื่อนเห็นมาหรือได้ยินมาก็คือโลกศาสนาที่ตัดกับโลกความจริงที่ไม่สามารถเข้ากันได้ อย่างผมเคยได้ยินเพื่อนเป็นแอร์ฯ เดินทางไปหลายประเทศ เห็นคนพวกนี้พูดอย่างทำอย่าง (ในคัมภีร์เขาก็บอกไว้บางที่ด้วยว่าศาสดาเขาก็พูดอย่างทำอย่าง ทำตัวอย่างนึง "กลับคำสาบาน" ก็ยังได้เพราะเบื้องบนยกเอาให้ ถ้าสมประโยชน์ต่อตนเอง) เช่น บรรดาสาว ๆ ลูกเศรษฐีในบ้านแต่งคลุม พอออกนอกบ้านขี่รถสปอร์ท เปลี่ยนชุดโป๊ยิ่งกว่าฝรั่งเสรี ไปเที่ยวล่าผู้ชาย พอกลับบ้านก็ห่มคลุมเหมือนเดิม ไม่ต้องดูอื่นไกลดูประเทศเราก็ได้ บางที่กินเหล้าแต่ใส่ขวดสีชา ทำเสมือนว่ากินน้ำชา

ผมเองก็ได้ตอนเด็ก ๆ เพื่อนผมกินหมู ผมถามว่าไม่เป็นไรเหรอ มันบอกเฮ้ยเบา ๆ อย่าทักสิวะ กูไม่รู้ว่าเป็นหมูกูไม่ผิด พระเจ้าให้อภัยว้อยย

 

อ่อ...อีกอันที่แขกอิสลามเค้าพกกัน ผ้าคลุมหินดำ ที่ซาอุฯ

 

อย่างว่าอ่ะนะ ชนกลุ่มใดยังแยกแยะไม่ออกว่าอะไรคืออะไรก็เป็นอย่างนี้

เหมือนของเขาเป็นระบบเผ่ามีเทพหรือผีประจำเผ่า ใครรบชนะเผ่าอื่นก็บังคับให้เผ่าแพ้มานับถือผี นับถือเทพเผ่าของตัวเอง

อย่างเคยอ่านเจอนักวิชาการเคยบอกว่า เบื้องบนของยิว (ผมไม่เอ่ยชื่อนะครับ) ที่แท้โมเสสเอามาจากผีหรือเทพประจำเผ่าของพ่อตาของตัวเอง

แล้วก็แต่งนิยายบอกว่าผีของเผ่าตัวเองสุโค่ย ๆ ที่สุด แต่ถ้าลองย้อนไปติดตามพฤติกรรมในนิยายเหล่านั้นจะพบว่าไม่จริงเลย อย่างดีก็พอ ๆ กัน เผลอ ๆ เลวทรามต่ำช้ากว่าผีเผ่าอื่นที่ตัวเองด่าเสียอีก

อย่างมีมุสลิมเคยด่าพระพุทธเจ้าว่าละเมอเพ้อว่าบรรลุนิพพาน สติตังบ๊องไปแล้ว ผมก็ยกเอาหลักฐานในสติปัฏฐานสูตรไปลงเช่น ... ตั้งตัวตรง ดำรงสติให้มั่น ...ฯลฯ ไม่มีตรงไหนที่สติเผลอไผล

และผมก็เอาหลักฐานจากพวกเขาเองเอามาลงโม้เอาไว้ เช่น ศาสดาของตัวเองเวลาจะไปดาวโหลดข้อมูลจากเบื้องบนมีอาการ ... ตัวแข็ง ขยับตัวไม่ได้ เหมือนมีของหนักทับอยู่

ลองเทียบดูก็แล้วกันใครกันแน่ที่เพ้อพก แถมอาการแบบนี้เป็นอาการของผีอำอีกต่างหาก

นี่แหละครับ ถ้าคนไม่เชื่ออะไรง่าย ๆ แล้วค้นหาหลักฐานค้นหาที่มาก็จะพบความจริงที่เขาโกหกหลอกลวงและเหยียดหยามผู้อื่น

จึงไม่แปลกอะไรที่เขาจะพูดอย่างทำอย่าง กูถูกคนอื่นผิด พูดยังไงก็ไม่ฟังไม่สน ต้องศึกษากำพืดของศาสดาของเขาด้วยว่ามีความประพฤติอย่างไร

ถ้าสนใจศึกษาก็จะตาสว่างเยอะแยะ เขาก็คงรู้เขาจึงขู่และสร้างสังคมปิดเอาไว้ก่อนไม่ให้คนในสังคมมีโอกาสสงสัยหรือมีการศึกษามากนัก

มีบางพวกของเขาไปเกิดและเติบโตในประเทศค่อนข้างเสรีทางความคิด เช่น สหรัฐอเมริกาก็มีหัวคิดที่ค่อนข้างทันสมัย ทันสมัยจนพวกเดียวกันในประเทศไทยหรือประเทศอื่นด่าเอาว่านอกคอกไปเลย

 

อิสลามไม่ค่อยเห็ตแต่คริสต์นิกายโรมันคาทอลิกเค้ามาขอพระผมเลยเป็นเพื่อนที่เรียนด้วยกันเค้าเห็นผมพระเยอะเลยมาขอไปมังผมก็ให้ไป3องค์

 

เมื่อก่อนอดีตแฟนผมก็เป็นคาทอลิกครับ เขาให้ไม้กางเขนผม เผอิญวันก่อนโน้นผมพกติดตัวไปโดยไม่รู้ตัว คือไปยกกรุพระเก่าที่ใส่กล่องเอาไว้แล้วไม้กางเขนก็ใส่รวม ๆ กันไว้ เอาไปให้หลวงปู่บุญหนาปลุกเสก ไม้กางเขนก็เลยกลายเป็นพระเครื่องไปด้วยโดยปริยาย

 

กดไลท์ให้เลยครับ... ผมชอบมาก ประโยคที่เฉดสีแดงไว้ครับ

อ่านแล้วจิตใจปลอดโปร่งดีมากๆครับ กับข้อความ ของคุณพี เสาวภา

 

ตามนั้นครับพี่ บ่าว เรื่องจริง กล้ายืนยันครับ และมีมากด้วย โดยเฉพาะ หลวงปู่ทวดวัดช้างให้ ปี 2497-2512 ครับ

 

อิสลามพกพระไม่แปลกครับ
ถ้ากินหมูนี่แปลก
อิสลามถ้าเคร่ง ๆ เหล้าเบียร์นี่ไม่เอาเลย

 

ที่เคร่งครัดก็มีมาก ที่สุดโต่งก็มากกว่าครับ

แต่คนดีๆก็มากนะครับพี่น้องมุสลิม เพียงแต่ถูกบังคับให้เชื่อเท่านั้น