แนวทางปฏิบัติธรรมของ หลวงปู่ต่างๆ

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย aprin, 20 เมษายน 2008.

  1. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    โอวาทธรรมหลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม
    วัดอรัญวิเวก จ.นครพนม


    [​IMG]

    " พุทธะคือผู้รู้ ก็ตัวของเรานี้ เองมิใช่ใครอื่น
    เช่นเดียวกันกับไข่ ไข่อยู่ข้างในของเปลือกไข่ ทำให้เปลือกไข่แตกเราก็ได้ไข่


    พิจารณาร่างกายของเราให้แตก แล้วเราก็จะได้ธรรมะ "



    หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม
     
  2. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    โอวาทธรรมหลวงปู่จวน กุลเชฏฺโฐ
    วัดเจติยาคิรีวิหาร จ.หนองคาย

    หลวงปู่จวน กุลเชฏฺโฐ ท่านต้องเผชิญภัยจากมาตุคาม (ผู้หญิง) อยู่หลายครา

    จนถึงครั้งที่หนักหนาสุดเพราะฝ่ายหญิงเป็นผู้มีกิริยาดี
    ตลอดจนผู้ปกครองของเธอก็สนับสนุน
    ให้ท่านลาสิกขาออกมาเพื่อช่วยกันทำมาหากิน
    ...
    หลวงปู่จวนซึ่งในขณะนั้นยังเป็นพระหนุ่ม
    ได้พยายามเจริญอสุภกรรมฐาน แต่ก็ไม่เป็นผล
    ในคืนที่กำลังจะตัดสินใจว่าจะลาสิกขาหรือไม่นั้น ท่านได้อธิษฐานว่า

    “...หากข้าพเจ้าจะได้มีวาสนาได้เห็นธรรมเจริญต่อไปในทางพระพุทธศาสนา
    ก็ขอให้มีเหตุใดเหตุหนึ่งมาช่วยคลี่คลายเรื่องที่กำลังประสบนี้ด้วยเถิด...”

    ในยามเช้าที่ออกบิณฑบาตตามปกติ
    ก็มีเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้น สมดังคำอธิษฐานในคืนที่ล่วงมา

    “เช้าวันต่อมาเมื่ออกบิณฑบาต หญิงสาวผู้นั้นก็มายืนรอใส่บาตรตามเคย
    ข้าพเจ้าพยายามไม่มองหน้าหญิงนั้นเลย พอเปิดฝาบาตรจะรับบาตร
    ก็ให้บังเอิญว่าผ้าประจำเดือนของหญิงนั้นได้หลุดลงที่พื้นดิน

    แม้หญิงนั้นจะตกใจ พยายามใช้เท้าเหยียบให้จมโคลน ปกปิดภาพของจริงไว้

    แต่ข้าพเจ้าก็ทันเห็นเลือดสีแดงเต็มตา

    ในใจเกิดความรู้สึกสลดสังเวชขึ้นมาทันที
    ด้วยเห็นถนัดเป็นของปฏิกูลพึงรังเกียจ


    ระลึกขึ้นมาได้ว่า เราได้อุตส่าห์สละชีวิตจากเพศฆราวาส มาสู่เพศบรรพชิต
    หนีจากของต่ำ มาหาของสูงแล้ว เรายังจะย้อนกลับไปหาชีวิตที่เราสละแล้วอีกหรือ”

    เมื่อคิดได้ดังนี้แล้วท่านจึงปิดฝาบาตรทันที กลับไปยังที่พัก
    เก็บบริขารและหนีออกไปจากที่แห่งนั้น โดยที่ยังไม่ได้ฉันภัตตาหารใดๆ
    ต่อมาภายหลังท่านได้เล่าเรื่องนี้ถวายท่านพระอาจารย์มั่น
    เมื่อท่านอาจารย์ได้ฟังแล้ว ก็กล่าวว่า

    “เป็นธรรมดาของพระหนุ่มที่จะต้องพบเหตุการณ์เช่นนี้
    ความสำคัญอยู่ที่ว่าจะต้องเจริญกรรมฐานต่อสู้
    เอาชนะกิเลสมารตัวร้ายนั้นอย่างไรต่างหาก”


    หลวงปู่จวน กุลเชฏโฐ ได้ต่อสู้กับกิเลสมารอย่างสง่างาม
    ครองสมณสารูปอันเป็นที่เคารพเลื่อมใสตราบจนวาระสุดท้ายแห่งชีวิต

    หลวงปู่จวน กุลเชฏฺโฐ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 สิงหาคม 2013
  3. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    โอวาทธรรมหลวงปู่จาม มหาปุญโญ
    วัดป่าวิเวกวัฒนาราม ต.บ้านห้วยทราย อ.คำชะอี มุกดาหาร

    บทสทนาหลวงปู่จามกับศิษย์

    ถาม : หลวงปู่ไม่เอาพระอรหันต์ในชาตินี้หรือ ?

    ตอบ : เอาอยู่ แต่เอาไม่ได้

    ถาม : หลวงปู่สร้างสมบุญญาบารมีไว้มากมายพอหรือยังและได้ญาณทัศนะถึงขั้นไหน ?

    ตอบ : ธรรมดาผู้ที่เกิดตายหลายชาติ นับไม่ไหว ย่อมมีอยู่

    ถาม : พลังอำนาจทางกสิณ หลวงปู่ได้เมื่อใด ?

    ตอบ : มีของเดิมอยู่

    ถาม : หลวงปู่ปรารถนาพุทธภูมิจะต้องเกิดอีกกี่ชาติ ?

    ตอบ : เกิดตายอีกหลายชาตินับไม่ไหว

    ถาม : เกิดตายอีกหลายชาติ หลวงปู่ไม่เบื่อหรือ ?

    ตอบ : เบื่อไม่ได้ เป็นหน้าที่

    ถาม : เคยเกิดมาเป็นใหญ่เป็นโต เคยเป็นตำแหน่งใดบ้างในอดีตชาติ ?

    ตอบ : พระเจ้าแผ่นดิน ฮ่องเต้ เจ้าชาย พราหมณ์ อาจารย์ทิสาปาโมกข์ ฤาษี แม่ทัพ

    ถาม : หลวงปู่เคยตกนรกไหม ?

    ตอบ : เคย หลายชาติ

    ถาม : หลวงปู่เคยเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานไหม ?

    ตอบ : เคย หลายชาติ

    ถาม : หลวงปู่ กลัวอะไรมากที่สุด ?

    ตอบ : ช้าง เจอต้องหนี

    ถาม : หลวงปู่ชอบ อะไรมากที่สุด ?

    ตอบ : “หัวเราะ” ก็แล้วแต่จะเป็นไป

    ถาม : หลวงปู่เกลียดอะไรมากที่สุด ?

    ตอบ : ตกนรก

    หลวงปู่จาม มหาปุญโญ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 สิงหาคม 2013
  4. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    โอวาทธรรมหลวงปู่ชา สุภทฺโท
    วัดหนองป่าพง บ.พงสว่าง ต.โนนผึ้ง อ.วารินชำราบ จ. อุบลราชธานี

    จงมองให้เห็น " ความรู้ " ทุกชนิด เป็นเพียงสุสานของความคิด

    หลวงปู่ชา สุภัทโท
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • chah2.jpg
      chah2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      35.7 KB
      เปิดดู:
      128
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 สิงหาคม 2013
  5. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    โอวาทธรรมหลวงปู่คำดี ปภาโส
    วัดถ้ำผาปู่นิมิตร ต.นาอ้อ อ.เมือง จ.เลย


    ถ้าในขณะทำสมาธิแล้วจิตรวมวูบลงไป เกิดเห็นร่างกายเป็นซากศพที่มีสภาพที่เหมือนกับว่าเพิ่งขุดขึ้นมาจากหลุมศพ แต่จริงๆ แล้วร่างกายเราไม่ได้เป็นเช่นนั้น เมื่อเราถอนจิตออกมาก็จะเห็นเป็นตัวตนธรรมดา อาการที่เราเห็นเป็นซากศพเช่นนี้ ท่านเรียกว่า “อสุภนิมิต” ถ้าเราเคยได้ยินครูบาอาจารย์แนะนำสั่งสอนในเรื่องของอสุภนิมิตแล้ว เราก็ทำความรู้เท่าทัน

    อสุภนิมิตนี้ถ้าเกิดบ่อยๆ จะเป็นการดีมาก ท่านอาจารย์ใหญ่ (หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต) ท่านนิยมมาก ถ้าพระเณรองค์ใดได้อสุภนิมิต เห็นร่างกายเน่าเปื่อยเป็นซากศพแล้ว ท่านว่าผู้นั้นจะสามารถที่จะบรรลุธรรมได้ง่าย

    อสุภนิมิตนี้ไม่ใช่เป็นของร้าย เมื่อเกิดขึ้นมาแล้วเราอดกลัวไม่ได้ ก็ให้เราลืมตาเสียตั้งสติให้มั่น ขออย่างเดียวอย่าลุกขึ้นวิ่งหนี ถ้าเราเคยได้ยินได้ฟังคำแนะนำอย่างนี้แล้ว เมื่อเวลาที่เกิดอสุภนิมิตก็จะระลึกได้อยู่หรอก แต่ถ้าเราไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน เมื่อเวลาที่เกิดอสุภนิมิตขึ้นก็จะเกิดความกลัว ถ้าเราลุกวิ่งหนีก็จะทำให้เราเสียสติได้ การลุกขึ้นวิ่งหนีนี้ขอห้ามโดยเด็ดขาด

    การที่เกิดอสุภนิมิตนี้เรียกว่า “มีพระธรรมมาแสดงให้เราได้รู้ได้เห็น ว่าร่างกายของเราเป็นอย่างนี้ ย่อมมีความเจริญในเบื้องต้น มีความชราในเบื้องกลาง และมีการแตกสลายไปในที่สุด”

    หลวงปู่คำดี ปภาโส
    วัดถ้ำผาปู่นิมิตร ต.นาอ้อ อ.เมือง จ.เลย


    เทศน์เมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๕
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 สิงหาคม 2013
  6. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    โอวาทธรรมหลวงปู่จันทา ถาวโร
    วัดป่าเขาน้อย อ. วังทรายพูน จ. พิจิตร


    "การเจริญวิปัสสนาค้นคว้าในกาย ขั้นเหตุนั้น จงกำหนดคาดหมายเสียก่อนว่า เป็นอย่างโน้น อย่างนี้ก็เราเคยเห็นมาแล้ว มนุษย์เพื่อนร่วมโลกร่วมสงสาร หญิงชายตายแล้ว เห็นแต่เป็นอย่างนี้ เอาไว้วัน ๒ วัน ไม่ฉีดยา ก็เหม็น เหม็นเบื่อหน่าย เหม็นน่าเกลียด เหม็นมนุษย์ร้ายกว่าเหม็นหมานั่นแหละ ทำไมเหม็นเน่าขนาดนั้น

    จึงว่า อสุภะ อสุภัง เป็นของเปื่อยเน่า เป็นของเหม็น น่าเกลียด เหม็นอย่างสุดยิ่ง นั่นแหละ ปฏิกูลน่าเกลียด...สกปรกโสโครก มีหนังหุ้มอยู่ ภายนอกดูเกลี้ยงเกลาหลอกเรา หญิง ชาย หนุ่ม สาว ภายในนั้นมีอะไรบ้าง ดิน น้ำ ลม ไฟ หลายอย่าง เอ็น กระดูก ชิ้นน้อย ชิ้นใหญ่ ไส้น้อย ไส้ใหญ่ ทุกอย่าง อาการ ๓๒ ก็ล้วนแล้วแต่ของปฏิกูลทั้งนั้น

    นั่นแหละ เมื่อเอาของภายในออกภายนอกแล้วเป็นอย่างไร ก็มีแต่ของเปื่อยเน่า มีแต่ของปฏิกูลน่าเกลียดทั้งนั้น นั่นแหละทีนี้ ก็เห็นๆ กันมาอย่างนั้น ถึงแม้เรายังไม่เป็น ยังไม่ถึง คนอื่นก็เป็นมาให้เห็นอยู่

    บางคนหญิงชายตายแล้ว เก็บไว้คืน ๒ คืน ก็ส่งกลิ่นเหม็นออกมาแล้ว คืนที่ ๓ เอาไปป่าช้าเปิดหีบออก มันขึ้นสีเขียวหมดแล้ว สีเขียว สีดำ หน้าเบ้ อะไรก็ไม่น่าดู เปลี่ยนสภาพหมด มีกลิ่นเหม็น

    น้ำเน่าไหลออกจมูก ไหลออกปาก หญิง ชาย โอ๋...น่าเกลียด น้ำเน่านั้น เขาเลิกผ้าออกไปถึงทวารหนัก ทวารเบา น้ำเน่านั้นมันก็ไหลออกจากทวารหนัก ทวารเบา

    แพทย์เขาบอกว่า ผู้หญิงมันเน่าทวารเบาก่อน เหม็นเน่า น่าเกลียด ผู้ชายเน่าที่ท้องก่อน เหม็นเน่าน่าเกลียด ปฏิกูลน่าเกลียด แสนที่จะไม่น่าปรารถนา นั่นแหละ เมื่อถึงสภาพนั้น อะไรเป็นเขา เป็นเรา ก็ถามจิตดู

    เคยเห็นมาแล้ว หลายร้อยศพ ผลสุดท้ายก็เผาหรือฝัง เมื่อเผาแล้วเป็นอย่างไร ก็เหลือแต่ร่างกระดูกขาวๆ นั่นแหละ อสุภะ อันละเอียด จากนั้นไฟก็สังหารเป็นเถ้าถ่านจนหมด ถ้าฝังถมดินไว้ ดินก็ดูดกลืนกินหมด เหลือแต่กระดูกธาตุแข็งเท่านั้น ไม่มีอะไรเป็นชิ้นดีหรอก ของเขา ของเรา เมื่อถึงสภาพนั้นแล้ว สิ่งทั้งปวงก็เป็นอย่างนี้

    นี่เป็นการเดินวิปัสสนาค้นคว้าในสกลกาย ธาตุขันธ์ อสุภะ คือ ความแก่ อสุภะ คือ ความเจ็บ อสุภะ คือ ความตาย นี่เป็นประจำอยู่ทุกธาตุ ทุกสังขาร แต่แล้วถ้าเราไม่พิจารณา ไม่ค้นคว้า มันก็ไม่เห็นของจริง
    ตามที่พระองค์เจ้าทรงบัญญัติไว้"

    จากเทปเรื่อง การฝึกจิต (๒๐ ก.ค. ๓๕)

    หลวงปู่จันทา ถาวโร
    วัดป่าเขาน้อย อ. วังทรายพูน จ. พิจิตร
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 ตุลาคม 2015
  7. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    โอวาทธรรมหลวงปู่บุดดา ถาวโร
    วัดกลางชูศรีเจริญสุข บางระจัน สิงห์บุรี

    มีอุบาสิกานักคุยกลุ่มหนึ่ง มากราบหลวงปู่แล้วชอบนำเรื่องคนอื่นมาวิจารณ์

    หลวงปู่เตือนว่า "พวกเราถูกความแก่ เจ็บ ตาย คาดโทษไว้แล้ว จงรีบแก้ไขตัวเองซี่! เกิดเป็นทุกข์ เจ็บเป็นทุกข์ ตายเป็นทุกข์ จะเอาอีกหรือ? หือ?

    มัวแต่มองตาคนอื่นทำไม? ตาของเราก็มี มองผิวหนังคนอื่นทำไม? หนังของเราเองก็มีอยู่รอบ มองหน้าคนอื่นทำไม หน้าของเราก็มีอยู่แล้ว
    ...
    ระวัง ! อย่าคล้อยตามคน สัตว์ บุคคล จะหลงทาง เดินไม่ถูกทางไม่ถึงที่หมายได้นะ"


    หลวงปู่บุดดา ถาวโร
    จากหนังสือ "หลวงปู่เล่าไว้
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 180PX-~1.JPG
      180PX-~1.JPG
      ขนาดไฟล์:
      11.3 KB
      เปิดดู:
      112
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 สิงหาคม 2013
  8. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    โอวาทธรรมพระยานรรัตนราชมานิต (เจ้าคุณนรฯ)
    วัดเทพศิรินทราวาส กรุงเทพฯ

    "ปฏิปทาอีกข้อหนึ่งของท่าน ที่นำความเชื่อความเลื่อมใสให้เกิดขึ้นแก่สาธุชนทั่วไป ที่ได้รู้ได้เห็น ได้แก่การบำเพ็ญศาสนกิจในวันพิเศษ คือ วันมาฆบูชา วิสาขบูชาและวันถวายพระเพลิงพระพุทธสรีรธาตุ ๓ สมัยกาลนี้

    ท่านเจ้าคุณนรรัตน์ ฯ ท่านจะบำเพ็ญมหากุศลเป็นกรณีพิเศษ คือเมื่อท่านเดินเวียนเทียนรอบพระอุโบสถ เสร็จแล้ว ก็เข้าสู่ภายในพระอุโบสถ เริ่มพิธีสวดมนต์ทำวัตรค่ำ และต่อจากนั้น ท่านจะนั่งฟังเทศน์ฟังสวดบรรยายธรรม ตั้งแต่หัวค่ำไปจนตลอดรุ่งสว่าง ไม่เคยลุกขึ้นจากที่เลย ท่านได้ปฏิบัติเช่นนี้มาเป็นเวลาหลายสิบปีแล้ว

    เวลาที่ท่านนั่งอยู่กับที่นั้น เห็นมียุงมาเกาะแขนท่านเต็มไปหมด อาตภาพเคยเอาผ้าเช็ดหน้าไปโบกไล่ยุงให้ท่าน ท่านพูดว่า “ไม่ต้องดอก ปล่อยให้เขากินให้อิ่ม วันนี้สละเลือดเนื้อเป็นพุทธบูชา” นับว่าท่านเป็นยอดในการอดทน เสียสละ และยอดกตัญญู"

    โดย พระมหาสงัด สุวิเวโก

    พระยานรรัตนราชมานิต (เจ้าคุณนรฯ)
    วัดเทพศิรินทราวาส กรุงเทพฯ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 ตุลาคม 2015
  9. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    โอวาทธรรมหลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท
    วัดป่าภูริทัตตปฏิปทาราม อำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี

    "ธรรมกิริยา...."

    หลวงปู่เจี๊ยะท่านเป็นคนทำอะไร
    ถ้าตามประสาโลกก็คงจะหาว่าท่านไม่ใคร่เรียบร้อยนัก
    พูดจาโผงผาง ตรงเผงจนคนรับไม่ได้

    ...การสอนของท่านก็ตรงทะลุ ซ้ำยังสอนไปดุไปแรงๆ ซ้ำด้วย
    ยกตัวอย่างในการสอนให้พิจารณาของหลวงปู่เจี๊ยะ

    "....เมื่อพระเณรลูกศิษย์ท่านพิจารณามากๆ เข้า
    ท่านก็แสดงอาการพอใจที่ได้อบรมสั่งสอนมา
    ท่านถามให้พระตอบท่าน ท่านอยากฟังเรื่องราวที่พระรูปใดปฏิบัติ
    ก็ต้องเล่าถวาย ท่านจึงจะชี้แจงข้อถูกผิด
    ท่านบอกว่า ไม่พอ การพิจารณาเท่านี้ยังไม่พอ
    การพิจารณาอะไรเป็นอสุภะ คือความไม่งามได้
    ทีนี้มาลองพิจารณาให้เป็นสุภะ คือความสวยงามหน่อยซิ
    ท่านก็เล่าการพิจารณาขั้นสุดท้าย สำหรับการพิจารณาให้ฟังว่า

    “อะไรๆ ทั้งหมดรวมลงมาอยู่ที่การพิจารณากาม
    สุดยอดกรรมฐานคือกาม ผู้ชายเราสงสัยข้องใจอะไรมากก็เป็นเพศของผู้หญิง


    เมื่อพิจารณา หน้า ตา เนื้อ หนัง อะไรๆ อื่น ก็เหมือนกันหมด
    มันเหมือนกันหมดทั้งชายและหญิงตลอดจนสัตว์อื่น

    แต่เมื่อพิจารณาอย่างนี้พิจารณาได้ยาก แต่จะแก้กาม ต้องพิจารณาแก้ที่ตรงนี้”

    ท่านสอนเด็ดขาดและแปลกกว่าใครๆ ที่เคยสอนกันมา
    แต่ในความเป็นจริงแล้ว ใครๆ ก็หลงอย่างนี้ทั้งนั้น บางคนถึงกับนั่งฟังไม่ได้

    ท่านสอนผู้หญิงให้กำหนดตัดอวัยวะเพศชาย
    สอนพระผู้ชายให้กำหนดตัดอวัยวะเพศหญิง
    ท่านสอนพูดออกมาเป็นคำที่โลกรังเกียจ แต่พากันหวงแหนนั่นแหละ
    ท่านบอกว่าการพิจารณาอย่างนี้เอาให้หนัก
    ของอย่างนี้สำหรับผู้ต้องการแก้กิเลสเอามันไว้ไม่ได้

    พระอาจารย์เจี๊ยะบอกว่า “เมื่อพิจารณาอวัยวะเพศของหญิง
    จิตยังสะดุ้งสะเทือนแสดงว่ายังใช้การไม่ได้
    อ่านตำรายังไม่จบ ให้ไปเรียนคัมภีร์มาใหม่”

    พระทั้งหลายที่ได้ยินได้ฟังเช่นนั้นก็กลัว

    ไม่กล้าพิจารณาบางองค์สั่นทั้งตัว ไม่กล้าทำ ทำไม่ได้ ท่านก็ดุเอาสิว่า
    “ไอ้ฉิบหาย!! กลัวอะไร ประสา...เอาเลย...พิจารณาเลย”

    .....และครั้งหนึ่งหลวงปู่เจี๊ยะท่านสนทนา
    กับ ท่านอาจารย์เฟื่อง โชติโก ผู้เป็นสหธรรมิก


    อาจารย์เฟื่อง : “เจี๊ยะ! ไปสอนเขาแบบนี้ เขาก็หนีหมดซิ
    ผู้หญิงฯ สอนให้พิจารณาแต่ของเน่าของเหม็น”

    อาจารย์เจี๊ยะ : “ไอ้ฉิบหาย! กูไม่เชื่อเลย ไอ้พวกนั่งจับลมๆ แม่งมึงก็หลับซิ

    พระพุทธเจ้าไปอยู่กับอาฬารดาบส และอุททกดาบส
    จนสำเร็จฌานแปด รูปฌาน ๔ อรูปฌาน ๔ ถึงมาเจริญอานาปานสติในตอนหลัง

    นี่ยังไม่ได้อะไรเลย จะมาจับลม เข้าพุท โธออก ไม่ทันหรอก
    อยู่กับหลวงปู่มั่น ๓ ปี ๔ แล้ง ไม่เคยสอนซักที
    จับลมนี่ มีแต่ให้พุทโธเร็วๆ บริกรรมพุทโธเร็วๆ เฟื่อง! สอนอย่างไรวะ”

    อาจารย์เฟื่อง : “ไอ้ฉิบหาย! สอนเขาอย่างนี้ให้เหม็นเน่า
    ตัดคอตัดแขน ตัดขา แลบลิ้นออกมาตัด คอขาด แขนขาด
    เน่าเฟะ เรี่ยราดอยู่กลางศาลา แค่ฟังเขาก็กลัวแล้ว
    แล้วใครเขาจะมาฟังเทศน์เล่า

    ใครเขาจะเข้ามาใกล้ มีเพลงเดียว กัณฑ์เดียว ๑๐ ปี ก็เอาอย่างเก่า
    ปรับปรุงสำนวนให้มันนุ่มนวลหน่อยไม่ได้หรือ?

    บางทีคนเหล่านี้เขาเข้ามาฟังพอสบายใจ
    ก็กลับบ้านไปอยู่กับลูกกับเมียเขา
    ธรรมะรุนแรงเอาไปทำเองเอามาออกสังคมไม่ได้”

    อาจารย์เจี๊ยะ : “ที่เทศน์ที่แสดงอยู่นี่ เพราะพริ้งที่สุดในโลกแล้ว
    หาฟังที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว มันไม่น่าฟังก็ชั่งแม่งมัน
    ก็ธรรมะเป็นอกาลิโกไม่จำกัดกาล เทศน์ที่ไหนก็ซัดมันซะจนเต็มเหนี่ยว”


    ประวัติและปฏิปทาพระสุทธิธรรมรังสี(หลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท) - ประวัติและปฏิปทาครูบาอาจารย์ - วัดเทียบศิลารามดอทเน็ต - Powered by Discuz!
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • Y8029045-3.jpg
      Y8029045-3.jpg
      ขนาดไฟล์:
      28.9 KB
      เปิดดู:
      329
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 สิงหาคม 2013
  10. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    โอวาทธรรมหลวงปู่ท่อน ญาณธโร
    วัดศรีอภัยวัน ต.นาอ้อ อ.เมือง จ.เลย

    กรรมฐานที่เป็น “มูลกรรมฐาน” มีอยู่ห้าอย่าง คือ พิจารณาผม ขน เล็บ ฟัน หนัง โดยพิจารณาให้เป็นของที่หน้าเกลียด น่าชัง น่าขยะแขยง ถ้าไม่ได้ขัดล้างตัดออกบ้าง มันจะสกปรกแค่ไหน

    น่ารังเกียจไหม ถ้ามันหล่นอยู่ในอาหารเรา เราจะกินมันได้ไหม น่าขยะแขยงไหม พิจารณารณาทบทวนไปมาอยู่นั่นแหละ จนเห็นจริงเข้าก็จะเกิดความเบื่อหน่ายคลายกำหนัด จนเกิดความสลดสังเวชจริง ๆ

    ธรรมะจะเกิดในตอนนั้น เรามาถือสิ่งแบบนี้ว่าเป็นของดี จึงหลงยินดีกับมัน เสียเวลาดูแลบำรุงรักษา พอพิจารณาจนเห็นจริงแล้ว มันไปถือของสกปรกว่าเป็นตัวเราเชียวหนอ น่าทุเรศจริง น่าสงสารตัวเองจริง ทำไมถึงหลงขนาดนี้นะ

    เมื่อเป็นเช่นนี้ นิพพิทาญาณก็เกิดขึ้น จะรู้สึกได้เองว่า ร่างกายของตนไม่มีสาระ ไม่มีแก่นสาร ไม่จีรังยั่งยืนอะไรเลย เราอาศัยเขาอยู่ไปวัน ๆ เท่านั้นเอง

    หลวงปู่ท่อน ญาณธโร
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • _1_~1.JPG
      _1_~1.JPG
      ขนาดไฟล์:
      35.7 KB
      เปิดดู:
      104
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 ตุลาคม 2015
  11. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    โอวาทธรรมพระโพธิญาณเถร (หลวงปู่ชา สุภทฺโท)
    วัดหนองป่าพง บ.พงสว่าง ต.โนนผึ้ง อ.วารินชำราบ จ. อุบลราชธานี

    พระพุทธองค์ท่านทรงสอนว่าให้ "นอกเหตุเหนือผล" ไม่ว่าจะทำอะไร
    ปัญญาของท่านให้นอกเหตุเหนือผล ให้นอกเกิดเหนือตาย นอกสุขเหนือทุกข์ ลองคิดตามไปซิลองพิจารณาไปตาม คนเราเคยอยู่ในบ้าน พอหนีจากบ้านไปไม่มีที่อยู่ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะเรามันเคยอยู่ในภพ อยู่ในความยึดมั่นถือมั่นเป็นภพ

    พระโพธิญาณเถร (หลวงปู่ชา สุภทฺโท)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 ตุลาคม 2015
  12. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    โอวาทธรรมหลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ
    วัดดอยแม่ปั๋ง อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่

    ดับลงที่ "สติ"

    "เวลากิเลสมันเกิดขึ้น เกิดขึ้นทางกาย เกิดขึ้นทางวาจา เกิดขึ้นทางใจ
    รู้ทันมันเดี๋ยวนี้ มันก็ดับไปเดี๋ยวนี้แหละ
    ตัวสติมันปกครองอยู่เสมอ
    ...

    ถ้ามีสติอยู่ทุกเมื่อ มันบ่ได้คุมมันหละ
    ครั้นเกิดขึ้น รู้ทันมันก็ดับ
    รู้ทันก็ดับ รู้ทันก็ดับ
    คิดผิดก็ดับ คิดถูกก็ดับ
    พอใจไม่พอใจก็ดับลงทันทีที่ตัวสติ"

    หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 สิงหาคม 2013
  13. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    โอวาทธรรมหลวงปู่เทสก์ เทสฺรํสี
    วัดหินหมากเป้ง จ.หนองคาย

    [​IMG]

    "คนเกิดมามีแต่กลัวความตาย แต่หาได้กลัวต้นเหตุ คือความเกิดไม่"

    หลวงปู่เทสก์ เทสฺรํสี
     
  14. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    โอวาทธรรมหลวงปู่เหรียญ วรลาโภ
    วัดอรัญญบรรพต จ.หนองคาย

    "สุขชั่วคราว"

    ชีวิตนี้อย่าไปหลงความสุขชั่<WBR></WBR>วคราว อย่าไปติดอยู่กับความสุขชั่<WBR></WBR>วคราวนี้ แล้วจะไม่ได้พบความสุขอันไพ<WBR></WBR>บูลย์เลย ผู้ใดติดอยู่ในความสุขชั่วค<WBR></WBR>ราว

    ติดอยู่ในการกิน ไม่ได้กินอาหารอันอร่อย ไม่ได้ฆ่าสัตว์มาทำอาหารกิน<WBR></WBR>มันไม่อร่อย นั่นเรียกว่าติดในการกิน อันเป็นเหตุให้ทำบาป
    ...

    ติดในการนอน ได้นอนมากก็ถือว่าดี ร่างกายจะได้สมบูรณ์ ถ้านอนน้อยกลัวร่างกายจะซูบ<WBR></WBR>ผอม ไม่ได้ ต้องนอนให้มากๆ เรียกว่าติดในการนอน ไม่แบ่งเวลาประกอบความเพียร<WBR></WBR>ทางจิตเลย ก็เลยไม่ได้ผลในจิตใจ ไม่ได้ชำระกิเลสออกจากจิตใจ<WBR></WBR>นี้ ลองสังเกตดู

    หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • _1_~1.JPG
      _1_~1.JPG
      ขนาดไฟล์:
      35.7 KB
      เปิดดู:
      83
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 สิงหาคม 2013
  15. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    โอวาทธรรมพระอุดมญานโมลี (หลวงปู่จันทร์ศรี จันททีโป)
    วัดโพธิสมภรณ์ อ.เมือง จ.อุดรธานี



    "บุญจะให้คุณ ต่อเมื่อผู้ให้ลืมไปแล้ว"


    พระอุดมญานโมลี (หลวงปู่จันทร์ศรี จันททีโป)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 สิงหาคม 2013
  16. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    โอวาทธรรมหลวงปู่ท่อน ญาณธโร
    วัดศรีอภัยวัน ต.นาอ้อ อ.เมือง จ.เลย


    "สมมติ กับ วิมุตติ มันก็มานำกัน เมื่อวางสมมติออกได้แล้ว จิตก็วิมุตติ จิตก็หลุดพ้น ถ้ามีสมมติอยู่ มีเขา มีเราอยู่ มีดี มีชั่ว ก็ยังอยู่ในสมมติ ถ้าเลยดีเลยชั่ว ไม่มีดี ไม่มีชั่ว มันก็หลุดพ้นจากสมมติ

    ถ้าเลยดีเลยชั่ว ไม่มี ดี ไม่มีชั่ว มันก็หลุดพ้นจากสมมติ สมมติกันเอาเองว่ามันดี สมมติกันเอาเองว่ามันชั่ว ถ้าดีมาก็ถูกใจ ถ้าไม่ดีมาก็เสียใจ อยู่แค่นี้แหละ สมมติทำให้ดีใจ เสียใจ ร้องไห้ หัวเราะ

    ถ้าวิมุตติแล้วไม่มีโศกเศร้าโศกาอะไรเลย วางเฉยได้ อะไรดีก็ไม่มี อะไรชั่วก็ไม่มี ไม่มีดีใจ เสียใจ ร้องไห้ หัวเราะ ไม่มีภาคภูมิอะไรเลย เหมือนขอนไม้ที่ตายแล้ว มันไม่ทุกข์ร้อนกับอะไรทั้งนั้น"

    หลวงปู่ท่อน ญาณธโร
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • _1_~1.JPG
      _1_~1.JPG
      ขนาดไฟล์:
      35.7 KB
      เปิดดู:
      99
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 สิงหาคม 2013
  17. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    โอวาทธรรมหลวงพ่อพุธ ฐานิโย
    วัดป่าสาลวัน อ.เมือง จ.นครราชสีมา

    หลวงพ่อพุธตอบปัญหาธรรม ...สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ ทรงมีรับสั่งถาม

    คัดบางตอน ของหลวงพ่อพุธ ฐานิโย
    ...หลวงพ่อเดินทางจากวัดป่าสาลวันประมาณ พ.ศ. ๒๕๒๕ เพื่อไปเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และสมเด็จพระนางเจ้าฯ ที่พระราชวังไกลกังวล
    ................................

    "ฆราวาสบรรลุธรรมได้หรือไม่"

    สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ : หากเผื่อว่าไม่ได้บวชเป็นพระนี้ จะสามารถชำระจิตของท่านจนสามารถบรรลุถึงธรรมได้ไหมเจ้าคะ

    หลวงพ่อพุธ :อาศัยตามหลักฐานในพระคัมภีร์ ผู้ที่เป็นฆราวาสก็สามารถที่จะชำระจิตให้ถึงวิมุตติความหลุดพ้นได้

    ยกตัวอย่างเช่น สมเด็จพระเจ้าสุทโธทนะ พระพุทธบิดา พระองค์ก็สำเร็จพระอรหันต์ ในขณะทรงเป็นฆราวาสอยู่ เพราะเมื่อได้ฟังเทศน์ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วก็สำเร็จพระอรหันต์ทั้ง ๆ ที่ยังเป็นฆราวาสอยู่

    ในปัจจุบันนี้ คฤหัสถ์ที่ยังครองเพศอยู่ก็สามารถที่จะปฏิบัติในทางจิต ทำให้มีจิตสงบเป็นสมาธิ รู้ธรรมเห็นธรรมได้เหมือนกับพระในพระพุทธศาสนา

    สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ : หมายความว่า ถ้าแม้ว่าเข้าถึงพระอรหันต์แล้ว ถ้าไม่บวชก็วางเบญจขันธ์ได้อย่างสิ้นเชิงใช่ไหมเจ้าคะ

    หลวงพ่อพุธ :ตามพระคัมภีร์ก็ยืนยันว่าเป็นอย่างนั้น แต่ถ้านำมาพิจารณาให้รู้แน่นอน และจะหาเหตุผลมาขัดแย้ง ก็อาจจะมีทาง เพราะในแง่ที่จะขัดแย้งได้มีว่า โดยธรรมชาติของพระอรหันต์แล้วท่านจะวางเบญจขันธ์ คลายความยึดมั่นหมดกิเลสตัณหา มานะ ทิฏฐิ แม้อาสวะน้อยหนึ่ง ก็ไม่มีในจิตใจของท่าน อาจจะดำรงชีพอยู่จนกระทั่งอายุขัยก็ย่อมเป็นได้ ถ้าหากว่าหามติมาขัดแย้งได้ แต่ว่าคุณของความเป็นพระอรหันต์นั้น เป็นคุณธรรมหรือเป็นสัจธรรมที่สูง ซึ่งโดยหลักธรรมชาติของธรรมะชั้นนี้แล้วจะไปสิ่งสถิตอยู่ในร่างของคฤหัสถ์ ซึ่งเป็นร่างของชาวบ้านธรรมดา เป็นการไม่คู่ควรกัน จึงสามารถทำให้ร่างของฆราวาสผู้สำเร็จอรหันต์แล้วต้องสลายตัวไป อันเป็นกฎความจริงของธรรมชาติในขั้นนี้

    ถ้าจะเปรียบเทียบก็เหมือนกับแร่ธาตุบางอย่างในโลกนี้ ในเมื่อมาพบกันเมื่อใดแล้วจะต้องมีปฏิกิริยาสลายตัวหรือเกิดธาตุใหม่ขึ้นมา ในกรณีเช่นนี้ ธาตุแท้แห่งพระอรหันต์ที่บริสุทธิ์สะอาดอย่างแท้จริง

    เมื่อเกิดอยู่ในร่างของคฤหัสถ์ธรรมดา จึงมีประสิทธิภาพหรือมีอำนาจที่จะทำให้ร่างกายของคฤหัสถ์สลายตัวลงไปได้ เพราะเป็นร่างกายที่ไม่ควรที่จะรองรับคุณธรรมของพระอรหันต์

    Source : สะกิดใจ: หลงพ่อพุธเทศน์ในวัง (๒๕๒๕)ถวายพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้า
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • puth38.jpg
      puth38.jpg
      ขนาดไฟล์:
      57.1 KB
      เปิดดู:
      94
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 สิงหาคม 2013
  18. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    โอวาทธรรมหลวงปู่จาม มหาปุญโญ
    วัดป่าวิเวกวัฒนาราม ต.บ้านห้วยทราย อ.คำชะอี มุกดาหาร


    [​IMG]

    "ร่างกายมันตายแต่ใจมันไม่ตาย
    สรีระร่างกายอันนี้มีแต่คร่ำคร่าไปทุกวันๆ ชำรุดไปทุกขณะ
    จะเอาสาระอะไรกับมันก็มิได้
    อย่าบำรุงแต่กายเกินไป


    ...ให้บำรุงใจนี้ให้มาก บำรุงด้วยธรรมะ
    ใจรับธรรมะนั้นมันอิ่ม มันอิ่มไปนาน

    กายนี้กินแล้วถ่าย ถ่ายแล้วกิน กินแล้วหา
    หามาแล้วกิน หมดแล้วก็หามาอีก
    ตั้งแต่เก่าแก่ดึกดำบรรพ์เป็นต้นมาใครๆตายแล้วไม่เห็น
    ได้เอาอะไรไปสักอย่าง"

    หลวงปู่จาม มหาปุญฺโญ
     
  19. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    โอวาทธรรมหลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท
    วัดป่าภูริทัตตปฏิปทาราม อำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี

    อบรมลูกศิษย์

    เวลาอบรมลูกศิษย์ท่านจะดุมาก เพราะนิสัยท่านชอบฟังธรรมะที่เผ็ดร้อน เวลาอบรมพระเหมือนว่าท่านจะปั้นหน้า หันหน้าเข้าฝา ทั้งๆ ที่คุยกันอยู่ ทั้งๆ ที่ยิ้มๆ กันอยู่ดีๆ พอท่านหันหน้ากลับออกมาพูดเรื่องธรรมะนี่ หน้าท่านดุเลย
    วันไหนถ้าท่านได้ยินเสียงพระคุยกัน ไม่ประกอบความเพียร ท่านลงทุนทุบร่ม กระแป๋ง ขว้างลงมาโครมครามๆ ท่าจะพูดบ่นๆ ว่า

    “โน่น!...มันพากันหนีไปทางโน่นแล้ว พวกนี้ต้องสอนแบบนี้ ไม่งั้นไม่กลัว”

    พูดเสร็จแล้วท่านก็หัวเราะ...เสียงดัง ฮ่า ฮ่า...”

    เมื่อใดใครก็ตามได้เข้าไปสัมผัสจริง จะรู้ว่าพระอาจารย์เจี๊ยะ เป็นที่อบอุ่นมีเมตตาอารี ท่านมีนิสัยล่อหลอกทดสอบคนใกล้ชิดท่านอยู่เสมอ ไม่ให้ตายใจ เหมือนว่าเวลาเราจะเดินหน้า ท่านจะถอยหลัง เราถอยหลัง ท่านเดินหน้า เราไป ท่านจะเหยียบเบรค เราต้องจับเอาธรรมะท่านไม่ซ้ำซาก พูดตรงๆ แต่เฉพาะการพิจารณากายนี้ ๑๐๐ ครั้ง ก็พูด
    อย่างเก่า เทศน์อย่างเก่าไม่เปลี่ยนแปลง เฉพาะการพิจารณากายอย่างเดียว อย่างอื่นอาจมีแหลมคมตามแง่เหตุผล

    สำหรับการสอนพระ สอนให้ “พุทโธ” ถ้าพุทโธไม่อยู่ ให้กลั้นหายใจพุทโธไป ๒๐ ครั้ง แล้วออกอีก ๒๐ ครั้งในลมหายใจเดียว ให้รัวเหมือนเอ็ม ๑๖ ท่านว่าอย่างนั้น “พุทโธๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ” ให้อย่างนั้นเลย มันถึงจะอยู่ ต้องไว
    ท่านสอนต่อไปว่า

    “ถ้าพิจารณากายไม่ไหวนี่ เอาระเบิดใส่ในตัวเรา เอ็ม ๑๖ จ่อขมองเลย ถ้าตัดลิ้นตัดคอยังเสียวอยู่ เอาระเบิดให้แม่มันคอขาดไป” ให้นึกไปอย่างนั้น

    พระครูสุทธิธรรมรังษี หลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • Y8029045-3.jpg
      Y8029045-3.jpg
      ขนาดไฟล์:
      28.9 KB
      เปิดดู:
      99
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 ตุลาคม 2015
  20. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    โอวาทธรรมหลวงปู่ดูลย์ อตุโล
    วัดบูรพาราม จ.บุรีรัมย์

    "ธรรมสนทนาของหลวงปู่ดูลย์"
    (ท่านมีอายุได้ 90 ปี และได้เข้าพักที่พระตำหนักทรงพรต วัดบวรนิเวศวิหาร)

    ถาม : การภาวนาเข้าไปเห็นจิตผู้รู้นั้นทำอย่างไรครับ
    ...
    หลวงปู่ : ทำให้มากๆ ทำให้บ่อยๆ

    ถาม : เห็นจิตครั้งเดียวนี้ใช้ได้ไหมครับ

    หลวงปู่ : เห็นครั้งเดียวถ้าชัดเจนแล้วไม่ลืม ทำให้ชำนาญ เมื่อเกิดความสงบแล้วก็พิจารณาความสงบ หัดเข้าหัดออกให้ชำนาญ เมื่อเวลาภาวนา จิตสงบแล้ว พิจารณารู้ว่าเป็นอย่างนี้ๆ เมื่อถึงเวลาคับขัน สิ่งที่พร้อมอยู่แล้วมันก็ย่อมเป็นไปเอง ก็มีเท่านั้นเอง ไม่มีอะไรมากมาย

    ถาม : ในเวลาคับขันเกิดจะตายขึ้นมากะทันหัน และเราเข้าสมาธิไม่ทัน จะทำอย่างไรครับ

    หลวงปู่ : นั่นแหละ ต้องหัดเข้าให้ชำนาญ ถ้าชำนาญแล้วอะไรมาปิดบังไม่ได้หรอก

    ถาม : หลวงปู่ครับ ความสงบนั้นเราจะทำอย่างไรให้มีตลอดไป

    หลวงปู่ : ความสงบรึ ภาวนานั่นเอง ภาวนาให้จิตเกิด

    ถาม : การงดเว้นจากการทำภาวนา จิตเราจะเสื่อมไหมครับ

    หลวงปู่ : ถ้าหากเรารู้ถึงความเป็นจริงแล้ว ไม่เสื่อม ถ้ารู้ไม่ถึงความเป็นจริงมักจะเสื่อม

    ถาม : คิดๆ ไป ทั้งที่คิดไปเห็นแต่กลับไม่เห็นอีก

    หลวงปู่ : มันจะเห็นมาจากไหน ไปหาให้มันเห็น มันไม่เคยให้ใครเห็นหรอก เลิกหา เลิกคิด ของเก่าที่เคยเห็นทำเอาใหม่ ให้เลิกอยากรู้อยากเห็นของเก่า ทำใหม่อีกมันก็เกิดใหม่อีก อย่าไปยึดสิ่งที่เคยเป็นแล้วเกิดใหม่อีก ทำใหม่อีก ดูแต่จิตอย่างเดียว อะไรๆ ออกจากจิตอย่างเดียวเท่านั้น

    ถาม : ดูจิตแล้วเห็นปรุงแต่งเรื่องราวมากมาย ไม่ชนะ จะตามดับ

    หลวงปู่ : ต้องลำบากไปตามดับมันทำไม ดูแต่จิตอย่างเดียวมันก็ดับไปเอง มันออกไปปรุงแต่งข้างนอก มันเกิดจากต้นตอที่จิตทั้งนั้น หาแต่ต้นตอให้พบ ก็จะรู้แจ้งหมด อะไรก็ไปจากนี้ อะไรๆ ก็มารวมอยู่ที่นี้ทั้งหมด (ท่านพูดพลางเอาหัวแม่มือชี้ที่หน้าอก) สิ่งที่ได้รู้ได้เห็นแล้วอยากรู้อยากเห็นอีก นั่นแหละคือตัวกิเลส

    ถาม : เมื่อถึงโลกุตตระแล้ว มีเมตตา กรุณาอะไรไหมครับ

    หลวงปู่ : ไม่มีหรอก ความเมตตา กรุณา อยู่เหนือสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา อยู่ในโลกทั้งหมด จิตสูงสุดหลุดพ้น อยู่เหนือโลกทั้งหมด

    ถาม : ไม่มีเมตตาหรือครับ

    หลวงปู่ : มีก็ไม่ว่า ไม่มีก็ไม่ว่า เลิกพูดเลิกว่า เลิกอะไรๆ ทั้งหมด มันเป็นเพียงคำพูดแท้ๆ ให้ดูจิตอย่างเดียวเท่านั้น ความเป็นจริงแล้วเป็นแต่เพียงคำพูด สลัดทุกสิ่งทุกอย่างซึ่งเป็นมายาออกเสีย ตัวผู้ที่รู้และเข้าใจอันนี้แหละคือตัว พุทธะ หมดภารกิจ หมดทุกอย่างที่จะทำอะไรต่อไปอีก พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ รวมลงอยู่ที่นี่ จบอยู่ที่นี่ ไม่มียาวต่อไปอีก ไม่มีเล็ก...ใหญ่...หญิง...ชาย...อยู่ว่างเปล่า ไม่มีคำพูด เปล่า เปล่า บริสุทธิ์

    จากหนังสือ หลวงปู่ฝากไว้ บันทึกคติธรรมและธรรมเทศนา ของพระราชวุฒาจารย์ (หลวงปู่ดูลย์ อตุโล) รวบรวมบันทึกไว้โดย พระโพธินันทมุนี
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1206879581.jpg
      1206879581.jpg
      ขนาดไฟล์:
      19.6 KB
      เปิดดู:
      134
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 สิงหาคม 2013

แชร์หน้านี้

Loading...