เหรียญถุงเงินมหาโภคทรัพย์หลวงพ่อแพวัดพิกุลทอง

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย Jumbo A, 17 สิงหาคม 2022.

  1. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,685
    ค่าพลัง:
    +21,337
    FB_IMG_1705647681611.jpg

    รูปหล่อโบราณรุ่นแรกหลวงพ่อสมบุญ วัดจันทรังษีให้บูชา 500 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20240119_213950.jpg IMG_20240119_214011.jpg
     
  2. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,685
    ค่าพลัง:
    +21,337
    FB_IMG_1705662646958.jpg

    หลวงปู่บุญทัน ฐิตปัญโญ
    พระกัมมัฏฐานผู้มีอภิญญาแห่งวัดป่าประดู่ อำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี องค์ท่านเป็นสหธรรมิกติดตามหลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม ไปวิเวกทางภาคเหนือในหลาย ๆ ท้องถิ่น แอดมินท่องถิ่นธรรมเคยได้ฟังเรื่องราวของท่าน จากท่านพระอาจารย์แอ วรสุวัณโณ แห่งวัดป่าน้ำริน จังหวัดเชียงใหม่ซึ่งเคยอยู่กับหลวงปู่บุญทัน ได้เมตตาเล่าให้แอดมินฟังว่า... ครั้งนึงก่อนที่ท่านจะฉันจังหัน ท่านได้พิจารณาภัตตาหารก่อนขบฉัน ขณะท่านมองดูลงในบาตรเพียงครู่ แล้วนำผ้าปิดฝาบาตรหยิบของอย่างนึงออกจากบาตร จากนั้นคว้าเอากระโถน คว่ำลงปิดของชิ้นนั้นเอาไว้ พระเณรที่อยู่ใกล้ ๆ ท่านก็ตกใจ นึกว่าหลวงปู่จะหยิบกระโถนเขวี้ยงใส่ใคร จึงได้ถามหลวงปู่บุญทันว่า... “หลวงปู่ทำอะไร ทำไมเอากระโถนคว่ำใส่ของกินอย่างนั้นหล่ะขอรับ”

    หลวงปู่บุญทัน ตอบว่า... “รอก่อน รอแปร็บเดียว เดี๋ยวก็รู้กัน”

    ไม่ถึงชั่วโมง มีชายคนนึง เข้ามาที่วัดอย่างทุลักทุเล เข้ามากราบขอขมาหลวงปู่ ขอให้หลวงปู่บุญทัน อดโทษให้ แล้วเขาก็สารภาพว่า เขาเองเรียนคุณไสย จึงปล่อยของใส่มากับหลวงปู่ เพื่อดูความสามารถของหลวงปู่ว่า จะแน่จริงไหม ตอนนี้เขาร้อนในอกมากเลย ทนไม่ไหว จึงต้องมากราบขอขมาหลวงปู่ บัดนี้..เขารู้แล้วว่าตนเองทำผิดพลาดไป”

    หลวงปู่บุญทัน บอกว่าท่านเมตตาอยู่ เพราะถ้าท่านไม่เอากระโถนครอบของที่เขาทำเอาไว้ ของนั้นจะลอยคืนกลับไปที่เจ้าของทันที อาจทำให้ถึงตายได้ นี่ท่านครอบเก็บเอาไว้ ช่วยป้องกันผู้ที่ปรองร้ายท่านไม่ให้ถึงตาย พอท่านอโหสิกรรมให้กับเขา หลวงปู่ก็เปิดกระโถนออก ในกระโถนเป็นแค่ก้างปลาเท่านั้น ดูไม่น่าจะมีพิษภัยใดใด แต่สำหรับผู้มีฌานแล้ว ท่านมองเห็นได้ด้วยตาใน ไม่ใช่มองด้วยตานอก พวกเล่นคุณไสยมักทำยาสั่งใส่รวมกับอาหารลงในบาตร เพื่อลองวิชาอาคมของตนเอง อันนี้เป็นกรรมหนักมาก ถ้าพระไม่รู้จักพิจารณาอาหารก่อน ฉันทันที ก็อาจเป็นภัยถึงชีวิตได้

    • #ปลามหัศจรรย์
    วันหนึ่งพวกญาติโยมชาวบ้านเขาจะพากันไปทำบาปคือ ไปทอดแหหาปลามาฆ่ากินกัน หลวงปู่บุญทัน ฐิตปัญโญ ท่านรู้ว่าชาวบ้านจะไปทอดแหกันซ้ำร้ายชาวญาติโยมทั้งหลายได้มานิมนต์หลวงปู่ให้ไปฉันข้าวป่าซึ่งเป็นประเพณีในถิ่นนั้นอีกด้วย หลวงปู่บุญทันรู้ว่า พวกญาติโยมจะไปจับปลามาปรุงเป็นอาหารเพื่อถวายพระในวันนั้น เป็นสิ่งที่ไม่ควร แม้ว่าพระองค์ใดรู้การกระทำบาป โดยการใดก็ตาม แล้วขึ้นรับฉัน ก็ถือว่าอาบัติแก่พระองค์นั้นๆ

    หลวงปู่บุญทันท่านได้ออกปากชวนตาปะขาวนิน (อุบาสก) ไปสู่หนองน้ำก่อนล่วงหน้า แล้วท่านสั่งให้ตาปะขาวนินไปตัดกระบอกไม้ไผ่ ๓-๕ กระบอกมาวางไว้ตรงหน้า จากนั้นท่านได้ลงมือเขียนอักขระเป็นคาถา หัวใจปลาช่อนใส่ลงไปบนกระบอกไม้ไผ่ ร่ายมนตร์ทำจิตสงบอฐิษฐานใจจากฤทธิ์อภิญญา กลายเป็นปลามหัศจรรย์ โดยการโยนกระบอกไม้ไผ่ลงน้ำทันที ปลาเที่ยวแหวกว่ายไปมาอย่างสนุกสนานทันทีที่ลงถึงน้ำ เที่ยวดำผุดดำว่ายดังกับว่ามีปลาช่อนเป็นร้อยเป็นพัน หลวงปู่อฐิษฐานฤทธิ์กระบอกไม้ไผ่เป็นปลาช่อนแล้ว ท่านก็ชวนตาปะขาวนิน ไปยังแถบหนึ่งของหนองน้ำนั้น เพื่อรอดูญาติโยมจะมาจับปลากัน

    หลวงปู่บุญทันได้เล่าให้ตาปะขาวนินว่า พวกญาติโยม จะไม่ได้ปลาสักตัวเดียว เพราะปลาวิเศษเหล่านี้มันจะมีกำลังมาก วิ่งชนแหที่ดักปลาขาดหมด หลวงปู่รอเวลาเฝ้าดูพวกญาติโยมพักหนึ่ง ก็เห็นกลุ่มชาวบ้าน พร้อมกับอุปกรณ์จับปลามายืนดูความอัศจรรย์ในหนองน้ำ ปลาจำนวนมากเที่ยวดำน้ำไปมาจนน้ำขุ่นไปเลยทีเดียว พวกชาวบ้านมองเห็นเช่นนั้นก็คิดว่าปลาต้องมีมากมายแน่ๆ แล้วก็กรูกันลงไปในหนองน้ำ บ้างก็เหวี่ยงแหแล้วกระโดดตามลงไปอย่างลิงโลด ความจริงไม้ไผ่นั้นไม่ถูกคนรบกวน มันก็เป็นไม้ไผ่อยู่เช่นเดิม ครั้นทอดแหลงไปเมื่อไรกระบอกไม้ไผ่ก็จะแสดงฤทธิ์ ด้วยอำนาจอภิญญาของหลวงปู่ มันจะกลายเป็นปลาวิ่งชนแหที่เหวี่ยงครอบมันไว้ขาดเป็นช่อง แล้วก็พุ่งเข้าชนผู้คน ญาติโยมถึงกับสะดุ้งตกใจไปตามกันเลยทีเดียว จำนวนปลาก็ดูเหมือนจะเพิ่มทวีขึ้นเรื่อยๆ พวกญาติโยมพยายามอย่างเต็มที่สุดฝีมือ เพื่อจะจับปลาให้จงได้

    ปลาช่อนในหนองน้ำนั้น ก็ชนแหจนขาดสะบั้นไปมา ไม่มีใครได้ปลาเลยสักตัวเดียว จนเป็นที่อ่อนอกอ่อนใจ ในที่สุดก็เลิกรากันกลับบ้านไป

    หมายเหตุผู้เล่าคือ
    พระครูธรรมวารีนุรักษ์ (หลวงพ่อคำหล้า วรสุวัณโณ) หรือท่านพระอาจารย์แอ วัดป่าน้ำริน ตำบลขี้เหล็ก อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ท่านเคยอยู่อุปัฏฐากรับใช้ครูบาอาจารย์ตั้งแต่สมัยเป็นสามเณร อยู่กับหลวงปู่ชอบ หลวงปู่ตื้อ หลวงปู่แหวน หลวงปู่บุญทัน หลวงปู่กิ วัดป่าสนามชัย หลวงปู่ไท วัดเขาพุนก หลวงปู่คำดี ปัญโญภาโส หลวงปู่ทิวา อาภากโร เป็นต้น

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    หลวงปู่บุญทันเป็นครูบาอาจารย์ในสายวัดป่ากรรมฐานศิษย์หลวงปู่มั่นภูริทัตโตและก่อนจะมาเป็นศิษย์ลป.มั่น ท่านเป็นศิษย์ในสายสมเด็จลุนแห่งสปป.ลาว ในประวัติท่่่านเคยไปเลาาเรียน สรรพวิชา ถึงภูเขาควาย มาแล้ว
    เหรียญใบโพธิ์หลวงปู่บุญทันให้บูชา
    300 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20240119_214101.jpg IMG_20240119_214131.jpg
     
  3. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,685
    ค่าพลัง:
    +21,337
    1705673919567.jpg

    "หลวงปู่จำเนียร โชติธัมโม วัดต้นเลียบ
    อ.สทิงพระ จ.สงขลา ผู้ที่มีร่างกายเป็นหิน
    เกจิอาจารย์สายเขาอ้อ ผู้มีญาณวิเศษ
    สามารถรู้วันมรณภาพของตัวเอง"
    หลวงปู่จำเนียร โชติธัมโม มีนามเดิมว่า นาย
    จำเนียรเรืองศรี เกิดเมื่อเดือน 4 ปีเถาะ
    พ.ศ.2440 ที่บ้านพังไทร ตำบลดีหลวง อำเภอ
    สทิงพระ จังหวัดสงขลา ท่านเกิดเบื่อหน่าย
    ชีวิตฆราวาส ซึ่งท่านเห็นว่ามีแต่ความวุ่นวาย
    สับสนจึงตัดสินใจเดินมุ่งสู่ร่มกาสวพัสตร์ เมื่อ
    ตอนอายุ 60 ปี หลังจากอุปสมบทแล้วได้รับ
    ฉายาว่า โชติธรรมโม แปลว่า ธรรมะอัน
    สว่างไสวหลวงปู่จำเนียรได้ศึกษาปฏิบัติ
    กรรมฐาน เจริญกสิณเวทวิทยาคม จากสำนัก
    เขาอ้อ (เป็นศิษย์อาจารย์เดียวกันกับ
    พล.ต.ต.ขุนพันธ์ รักษ์ราชเดช) กับท่าน
    อาจารย์ยู วัดปากพล จังหวัดพัทลุง และ
    อาจารย์ทวดขาว ฆราวาสจอมขมั่งเวท
    จังหวัดพัทลุง จนมีความเชี่ยวชาญทางด้าน
    วิทยาคมจนเป็นเลิศ ร่ำเรียนวิชาอยู่ยง
    คงกระพัน วิชากำบังตัววิชาปลาไหลใครจับ
    ท่านไม่ได้หลังจากที่อุปสมบทแล้ว ท่านได้ไปจำพรรษา
    อยู่ที่วัดพะโคะ ในขณะที่ท่านนั่งเจริญสมาธิ
    ภาวนา ปรากฏดวงวิญญาณขององค์หลวงพ่อ
    ทวดมาปรากฏต่อหน้าท่าน และได้ชี้มาที่ตัว
    ท่านบอกให้ไปช่วยดูแลต้นเลียบ อันเป็น
    สถานที่ฝังรกขององค์หลวงพ่อทวด ซึ่งใน
    ขณะนั้นยังไม่มีผู้ใดดูแล มีสภาพที่รกร้าง
    เมื่อหลวงปู่จำเนียร มาจำพรรษาที่ต้นเลียบ
    แห่งนี้แล้ว ก็ได้รวบรวมชาวบ้านในละแวก
    ใกล้เคียงมาช่วยกันพัฒนา เพื่อให้เหมาะเป็น
    สถานที่เจริญธรรม วิปัสสนากรรมฐาน
    ใครมีเรื่องเดือดร้อน ถูกคุณไสย หรือถูกผี
    เข้า ท่านจะช่วยรักษาประพรมน้ำมนต์ให้และ
    ใช้ไม้เท้าคดคู่กายของท่านชี้ไปที่หน้าผาก
    กลับหายเป็นปกติทุกรายไป อีกอย่างท่าน
    สามารถดูดวง ผูกชะตาได้แม่นยำนัก ท่านจะ
    มีลูกศิษย์ลูกหามากมาย ไม่ว่าไทยหรือเทศ
    โดยเฉพาะลูกศิษย์ทางมาเลเซีย สิงคโปร์ นั้น
    มีมากมายนัก
    หลวงปู่จำเนียร เป็นพระที่ถึงพร้อมด้วยความ
    ดี เป็นพระที่สมถะ สามารถกราบไหว้ได้อย่าง
    สนิทใจ ไม่สะสมสิ่งใด มุ่งปฏิบัติธรรม
    วิปัสสนากรรมฐาน ชาวบ้านเชื่อกันว่าท่าน
    เป็นผู้ที่มีเมตตามหานิยม มีวาจาสิทธิ์ ท่านสามารถหยั่งรู้ได้ถึงวันมรณภาพของตัวเอง
    โดยท่านได้บอกกล่าวกับลูกศิษย์ใกล้ชิดว่า
    ก่อนจะถึงวันเข้าพรรษา 7 วัน ท่านจะละ
    สังขารแล้ว และท่านระบุไว้ในพินัยกรรมว่า
    ร่างของท่านจะไม่เน่าเปื่อย จะแห้งไปเอง
    ปรากฏว่าเมื่อเวลาผ่านไปก็เป็นจริงอย่างที่
    ท่านพูดเอาไว้ โดยเมื่อวันอาทิตย์ที่ 21
    กรกฎาคม 2539 เวลา 21.20 นาฬิกา ท่าน
    ก็ได้จากไปอย่างสงบ แต่ก็ยังทิ้งร่องรอยการ
    ปฏิบัติและคุณงามความดีไว้ให้คนรุ่นหลังได้
    เจริญรอยตาม และยึดเป็นเยี่ยงอย่าง รวม
    อายุได้ 99 ปี 40 พรรษา
    ซึ่งปัจจุบันนี้ สรีระสังขารของท่าน ทางคณะ
    ศิษยานุศิษย์ได้เก็บไว้ในโลงแก้ว ณ
    สำนักสงฆ์ต้นเลียบ เพื่อให้สาธุชนได้เข้า
    กราบไหว้ เพื่อขอพรบารมี ถึงแม้ว่าท่านจะ
    มรณภาพไปแล้ว แต่ปาฏิหาริย์ที่ท่านได้ปลุก
    เสกและสร้างวัตถุมงคลของสำนักสงฆ์ต้น
    เลียบ ก็ยังคงเป็นที่ยึดเหนี่ยว แสวงหาของนัก
    สะสมพระเครื่องหลวงพ่อทวด
    สถานที่ตั้ง วัดต้นเลียบ หมู่ 1 ตำบลดีหลวง
    อำเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลา

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    หลวงปู่ทวดติดเกศาจีวรพ่อท่านเนียรวัดต้นเลียบทำตามสูตรผสมน้ำนมควายพ่อท่านมุ่ยวัดป่าระกำเหนือรุ่นซื้อที่ดิน ปี๒๕๓๙ ให้บูชา 600 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20240119_210251.jpg IMG_20240119_210329.jpg
     
  4. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,685
    ค่าพลัง:
    +21,337
    1705679642171.jpg
    ประวัติ พระอาจารย์ตี๋เล็ก
    พระครูสมุห์พินิตปัญญาสาโร
    ท่านเป็นชาวเพชรบูรณ์ เกิดวัน
    พฤหัสบดีที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2522
    ตรงกับวันเพ็ญเดือน 6 (วันวิสาขบูชา)
    บรรพชาเป็นสามเณรเมื่ออายุ 8 ขวบ
    เศษ เป็นศิษย์หลวงพ่ออุตตมะวัดวังวิ
    เวการาม กาญจนบุรี, หลวงพ่อพูล วัดไผ่
    ล้อม นครปฐม, หลวงปู่ซุ้ย วัดซับ
    ตะเคียน เพชรบูรณ์, หลวงปู่เทียน อกา
    ลิโก (สายหลวงปู่มั่น) ชัยภูมิ, หลวงปู่
    สรวง เทวดาเล่นดิน และพระเกจิอาจาร
    ย์อื่นๆ ทั้งเรียนโดยตรงและเรียนจาก
    ตำราอีกเกือบ 40 ท่าน อาทิ หลวงปู่ศุข
    วัดปากคลองมะขามเฒ่า, หลวงพ่อเดิม
    วัดหนองโพธิ์, หลวงปู่รุ่ง วัดท่ากระบือ
    ฯลฯ ในครั้งที่ธุดงค์ในจังหวัดชัยภูมิ ได้
    มีโอกาสพบกับหลวงปู่เทพโลกอุดร ซึ่ง
    ท่านได้เมตตา ปรับขันธ์ธาตุทำให้เกิด
    ความสมดุล จึงทำให้พระอาจารย์
    สามารถรวมวิชาคาถาอาคมต่างๆ เข้า
    เป็นหนึ่งเดียวกันได้ ส่งผลให้วัตถุมงคล
    ที่ท่านอธิษฐานจิตมีพุทธคุณครอบคลุม
    ในทุกด้านทั้งเมตตามหานิยม โชคลาภ
    มหาอำนาจ แคล้วคลาดคงกระพันชาตรี
    และมหาอุด
    พระอาจารย์ตี๋เล็ก ธุดงค์เพื่อปฏิบัติ
    ธรรมตั้งแต่ยังเป็นสามเณรจวบจน
    ปัจจุบัน โดยธุดงค์ทั้งในป่าแถบเหนือ
    อิสาน กลาง และพม่า ในระหว่างการธุด
    งค์นอกจากจะพบสถานที่สงบสำหรับฝึ
    กปฏิบัติธรรม และกำจัดกิเลสแล้ว ยัง
    ทำให้การเจริญวิปัสสนากรรมฐานของ
    ท่านเจริญรุดหน้าตามลำดับ นอกจากนี้
    ยังได้มีโอกาสพบปะและศึกษาวิปัสสนา
    กรรมฐานเพิ่มเติม และศึกษาวิชาอาค
    มกับพระอริยสงฆ์หลายรูป
    ในคราวที่ท่านไปศึกษาอยู่กับหลวงปู่
    สรวง เทวดาเล่นดิน จ. ศรีษะเกษ เป็น
    เวลา 2 ปี 8 เดือน โดยศึกษาวิชาอาคม
    ต่างๆ จากหลวงปู่สรวงในลักษณะที่เป็น
    ปริศนาธรรม ซึ่งพระอาจารย์ตี๋เล็ก
    สามารถศึกษาได้ทั้งหมด (พระธุดงค์ที่ร่
    วมไปด้วยได้เฉพาะวิชมขาอาคม) จึ่งทำให้
    วัตถมงคลของท่านมีพทธคุณทาง
    เมตตามหานิยม โภคทรัพย์ และไชค
    ลาภเป็นเลิศด้วย

    ท่านเป็นชาวเพชรบูรณ์ เกิดวันพฤหัสบดีที่ 10
    พฤษภาคม พ.ศ. 2522 ตรงกับวันเพ็ญเดือน 6 (วัน
    วิสาขบูชา) บรรพชาเป็นสามเณรเมื่ออายุ 8 ขวบเศษ
    เป็นศิษย์หลวงพ่ออุตตมะวัดวังวิเวการาม กาญจนบุรี,
    หลวงพ่อพูล วัดไผ่ล้อม นครปฐม, หลวงปู่ซุ้ย วัดซับ
    ตะเคียน เพชรบูรณ์, หลวงปู่เทียน อกาลิโก (สาย
    หลวงปู่มั่น) ชัยภูมิ, หลวงปู่สรวง เทวดาเล่นดิน และ
    พระเกจิอาจารย์อื่นๆ ทั้งเรียนโดยตรงและเรียนจาก
    ตำราอีกเกือบ 40 ท่าน อาทิ หลวงปู่สุข วัดปากคลอง
    มะขามเฒ่า, หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพธิ์, หลวงปู่รุ่ง
    วัดท่ากระบือ ฯลฯ ในครั้งที่ธุดงค์ในจังหวัดชัยภูมิ ได้
    มีโอกาสพบกับหลวงปู่เทพโลกอุดร ซึ่งท่านได้เมตตา
    ปรับขันธ์ธาตุทำให้เกิดความสมดุล จึงทำให้พระ
    อาจารย์สามารถรวมวิชาคาถาอาคมต่างๆ เข้าเป็น
    หนึ่งเดียวกันได้ ส่งผลให้วัตถุมงคลที่ท่านอธิษฐาน
    จิตมีพุทธคุณครอบคลุมในทุกด้านทั้งเมตตามหา
    นิยม โชคลาภมหาอำนาจ แคล้วคลาดคงกระพัน
    ชาตรี และมหาอุด
    พระอาจารย์ตี๋เล็ก ธุดงค์เพื่อปฏิบัติธรรมตั้งแต่ยัง
    เป็นสามเณรจวบจนปัจจุบัน โดยธุดงค์ทั้งในป่าแถบ
    เหนือ อิสาน กลาง และพม่า ในระหว่างการธุดงค์
    นอกจากจะพบสถานที่สงบสำหรับฝึกปฏิบัติธรรม
    และกำจัดกิเลสแล้ว ยังทำให้การเจริญวิปัสสนากร
    รมฐานของท่านเจริญรุดหน้าตามลำดับ นอกจากนี้
    ยังได้มีโอกาสพบปะและศึกษาวิปัสสนากรรมฐานเพิ
    มเติม และศึกษาวิชาอาคมกับพระอริยสงฆ์หลายรูป
    ในคราวที่ท่านไปศึกษาอยู่กับหลวงปู่สรวง เทวดา
    เล่นดิน จ. ศรีษะเกษ เป็นเวลา 2 ปี 8 เดือน โดย
    ศึกษาวิชาอาคมต่างๆ จากหลวงปู่สรวงในลักษณะที่
    ป็นปริศนาธรรม ซึ่งพระอาจารย์ตี๋เล็กสามารถศึกษา
    ได้ทั้งหมด (พระธุดงค์ที่ร่วมไปด้วยได้เฉพาะวิชา
    อาคม) จึงทำให้วัตถุมงคลของท่านมีพุทธคุณทาง

    เมตตามหานิยม โภคทรัพย์ และโชคลาภเป็นเลิศ
    ด้วย

    สมเด็จพุทธชยันตี 2600 ปีที่ระลึกแห่งการตรัสรู้ของสมเด็จพระสัมสัมพุทธเจ้า ในปี พ.ศ. 2555 หลายประประเทศจัดงานเฉลิมฉลอง โดยวัตถุประสงค์ของพุทธชยันตีในประเทศต่าง ๆ มุ่งการจัดกิจกรรมเพื่อถวายเป็นพุทธบูชาเป็นวาระพิเศษตลอดทั้งปี เช่น การจัดกิจกรรมพุทธบูชา การปฏิบัติธรรม และการจัดกิจกรรมเพื่อสังคม เพื่อเฉลิมฉลองรำลึกในโอกาสครบรอบ 2600 ปี แห่งการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าในวันวิสาขบูชา เมื่อ 45 ปี ก่อนพุทธศักราช พระอาจารย์ตี๋เล็กท่านเล็งเห็นความสำคัญในจุดนี้จึงถือโอกาสสร้างวัตถุมงคลขึ้นมาเพื่อถวายเป็นพุทธบูชาแด่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า.
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    พระสมเด็จนี้ในปีที่ทอดกฐินเคยนำออกให้ทำบุญองค์ละ 2,000 บาทในสมัยนััน

    พระสมเด็จพุทธชยันตีมวลสารผสมเกศาด้านหลังจารยันต์พระอาจารย์ตี๋เล็กให้บูชา 350 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ
    IMG_20240119_221801.jpg IMG_20240119_221829.jpg
     
  5. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,685
    ค่าพลัง:
    +21,337
    วันนี้ จัดส่ง
    1705735964503.jpg
    ขอบคุณครับ
     
  6. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,685
    ค่าพลัง:
    +21,337
    get_auc3_img (20).jpeg get_auc3_img (21).jpeg get_auc3_img (19).jpeg เปิดดูไฟล์ 6316552 เปิดดูไฟล์ 6316553 เปิดดูไฟล์ 6316554 เปิดดูไฟล์ 6316555
    5-wm (3).jpg
    พระผงพิมพ์พระพุทธชินราช วัดเจดีย์ยอดทอง จ.พิษณุโลก ปี14 เนื้อผงพุทธคุณ พิธีใหญ่ พระที่มีครูบาอาจารย์สายหลวงปู่มั่นปลุกเสกมากที่สุดอีกรุ่น มวลสารของวัดพุทธมงคลนิมิตรปี 09 พระชุดนี้หลวงปู่ฝั้นท่านติดภาระกิจไม่สามารถมาพุทธาภิเสกให้ได้ ท่านเจ้าอาวาสท่านเลยขนมวลสารทั้งหมดไปให้หลวงปู่ฝั้นเมตตาให้ที่วัด เมื่อเสร็จสิ้นเป็นองค์พระแล้วก็ได้กราบอาราธนาพ่อแม่ครูจารย์สายพระอาจารย์มั่นเป็นจำนวนมาก มานั่งแผ่เมตตาจิตซึ่งแม้แต่องค์หลวงตามหาบัว ก็ได้มานั่งแผ่เมตตาให้ด้วยในขณะนั้น
    และด้วยวัดพุทธมงคลนิมิตเป็นศูนย์กลาง ที่เวลาครูบาอาจารย์จะขึ้นมาวิเวกภาวนาในภาคเหนือก็จะผ่านวัดพุทธมงคลนิมิตร ท่านเจ้าอาวาสก็ได้อาราธนาให้อธิษฐานจิตให้ในโบสถ์ทุกครั้งไป และในภายหลังหลวงปู่ฝั้นก็ได้มาเมตตาเดี่ยวให้อีกเป็นพิเศษ
    กล่าวคือพระชุดนี้เป็นการรวบรวมพลังจิตของพ่อ-แม่ครูจารย์สายพระอาจารย์มั่นไว้มากที่สุดก็ว่าได้
    และท่านเจ้าอาวาสยังเป็นศิษย์เจ้าคุณหลวงปู่จันทร์ วัดศรีเทพ อีกด้วยจึงไม่แปลกที่วัดแห่งนี้จะมีพระของหลวงปู่จันทร์ตกค้างอยู่
    และก็เป็นวาสนาของพระสมเด็จรุ่นแรกขององค์หลวงปู่สูนย์ ที่ได้รับมวลสาร พระชำรุดของวัดพุทธมงคลนิมิตร มาเป็นจำนวนมากไม่ต่ำกว่าเป็นกิโล หายากแล้วล่ะครับมวลสารที่ได้รับเมตตาจากหสวงปู่ฝั้น หลวงปู่ชอบ หลวงปู่ตื้อ หรือแม้แต่องค์หลวงตามหาบัว หลวงปู่สิมฯลฯ
    กล่าวคือพระชุดนี้เป็นการรวบรวมพลังจิต
    ของพ่อ-แม่ครูจารย์สายพระอาจารย์มั่นไว้
    มากที่สุดก็ว่าได้
    และท่านเจ้าอาวาสยังเป็นศิษย์เจ้าคุณหลวงปู่
    จันทร์ วัดศรีเทพ อีกด้วยจึงไม่แปลกที่วัดแห่ง
    นี้จะมีพระของหลวงปู่จันทร์ตกค้างอยู่
    และก็เป็นวาสนาของพระสมเด็จรุ่นแรกของ
    องค์หลวงปู่สูนย์ ที่ได้รับมวลสาร พระชำรุด
    ของวัดพุทธมงคลนิมิตร มาเป็นจำนวนมากไม่
    ต่ำกว่าเป็นกิโล หายากแล้วล่ะครับมวลสารที่
    ได้รับเมตตาจากหสวงปู่ฝัน หลวงปู่ชอบ
    หลวงปูตื้อ หรือแม้แต่องค์หลวงตามหาบัว
    หลวงปู่สิมฯลฯ
    เอามาจากกระทู้ของท่าน ttt_kung ขอ
    อนุญาตด้วยครับ แสดงว่าพระของวัดพุทธ
    มงคลนิมิตร ได้รับการปลุกเสกจากพระสาย
    กรรมฐานหลายท่าน เพราะที่นี่เป็นเหมือน
    ที่พักระหว่างทางที่จะไปภาคเหนือ แค่นี้ก็สุด
    ยอดแล้วครับ

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    มีวัตถุมงคล ไม่กี่รุ่นที่ หลวงปู่เทศน์ เทศรังสี เมตตา อธิฐานให้ และยังมี ลป ขาว อนาลโย พอจ.ฝั้น อาจาโร ลพ.โชติ ระลึกชาติ ศิษย์อาวุโส ในลป.เสาร์ ลป.มั่น อีกหลายรูป
    พระพุทธชินราชวัดเจดีย์ยอดทองพิษณุโลกให้บูชา
    800 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ สภาพสวยเดิมๆ หลัง แบบ ปิดทอง เจดีย์ (ปิดรายการ)

    IMG_20240121_183704.jpg IMG_20240121_183743.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มกราคม 2024
  7. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,685
    ค่าพลัง:
    +21,337


    http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?t=38764
    paragraph__1_717.jpg
    พุทธศาสนา ศาสนธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้านั้น เป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุดในโลก
    ไม่มีสิ่งใดที่จะเปรียบเทียบในบรรดาศาสนาทั่วสกลโลกนี้แล้ว
    จะเอามาเปรียบเทียบไม่ได้เลย ผิดกันไกลราวฟ้ากับดิน ทำไมถึงว่าเช่นนั้น

    เรานี่...เป็นคนซนที่สุด แก่นดื้อ พ่อแม่พอมีอันจะกินฐานะดีอยู่ แต่ไม่ได้เคยสนใจในเรื่องธรรมะเลย
    มัวแต่เที่ยวซุกซนตามประสาคนหนุ่ม คือว่าไม่มีวี่แววที่จะสนใจในเรื่องธรรมะเรื่องศาสนาเลยแม้แต่น้อย
    แต่เราคงมีบุญเก่าอยู่บ้าง บุญนั้นแหละชักจูงนำพาเข้ามาทางพระศาสนา
    ประกอบกับบิดามารดาเป็นผู้มีศรัทธา เชื่อเรื่องบาปกรรมอยู่เป็นพื้นเพนิสัยอยู่แล้ว
    อันนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ชักจูงเราให้เข้ามาทางศาสนาได้ บทเวลาได้มาบวช ใครๆ เขาก็แปลกใจ
    เพราะมันนิสัยขัดกับศาสนาที่อยู่ในกรอบอันดีงาม และมีระเบียบเรียบร้อย
    แต่สำหรับศาสนาเป็นเครื่องหล่อหลอมอยู่แล้ว และสอนมุ่งเน้นลงที่ใจ เมื่อเราเป็นคนจริงอยู่แล้ว
    จึงง่ายต่อการปฏิบัติ เพราะคนจริงย่อมถึงธรรมอันเป็นความจริง ไม่มากก็น้อย

    ใครๆ เขาก็แปลกอกแปลกใจที่เรายอมบวชแต่โดยดี ทั้งๆ ที่ชีวิตนี้ยังไม่เคยท่องคำว่า
    “นโม ตสฺส ฯลฯ” แม้แต่ครั้งเดียว เราไม่เคยดูถูกบุญ
    ดูถูกพระแต่ตอนนั้นมันห่วงสนุกซุกซนไปตามเรื่องไปตามวัย
    คนทั้งหลายเขาเรียกว่า “ไอ้ตัวแสบ” ไม่ใช่นักเลง แต่ไม่เกรงกลัวใคร แม้แต่นักเลง...
    เล่นอะไรก็ตาม ห้ามโกง เสียเท่าไหร่ไม่ว่า แต่อย่าโกง

    :b42: เข้าสู่การเป็นนาค

    การเตรียมตัวอุปสมบทต้องไปเป็นผ้าขาว รักษาศีลประพฤติธรรม
    เรียนรู้วัตรปฏิบัติที่จะพึงกระทำต่อวัดและครูบาอาจารย์
    จนท่านเห็นว่าสมควรก่อน ท่านถึงจะให้บวช
    ถ้าปฏิบัติไม่ได้ ทำไม่ได้ ท่านก็ยังไม่ให้บวช
    ธรรมเนียมพระป่ากรรมฐานท่านเคร่งครัดนักเรื่องเหล่านี้
    ไม่ใช่สุ่มสี่สุ่มห้ามาจากไหนจะมาบวชได้ง่ายๆ

    :b42: จิตรวมตั้งแต่เป็นนาค

    ครั้งหนึ่งตอนที่มาเข้านาคได้ไม่นานนัก อยู่ระหว่างการฝึกขานนาค ท่องบทสวดต่างๆ
    คืนหนึ่งฟังเทศน์ท่านอาจารย์กงมาฯ ท่านเทศน์ตามปกติทุกๆ วัน
    ท่านก็แสดงธรรมของท่านไปเรื่อยๆ เราก็ฟังเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง ท่านสอนให้ภาวนาพุทโธ
    เราก็ภาวนาพุทโธอยู่อย่างนั้น นั่งเข้าสมาธิฟังเทศน์อยู่อย่างนั้น อันนี้มันก็เป็นเหตุที่แปลกอยู่นะ

    พอเรานั่งภาวนา ฟังไปๆ จิตอยู่กับคำบริกรรม หูก็ได้ยินเสียงเทศน์ไป
    คือจิตก็ทำหน้าที่ของมัน หูก็ทำหน้าที่ของมัน มันเกิดเป็นสมาธิ
    แต่ตอนนั้นเราไม่รู้ว่ามันเป็นสมาธิ มันรวมจนกระทั่งว่าไม่มีตัว ไม่มีตน ตัวตนหายหมด
    แล้วก็ปรากฏภาพนิมิต ที่ตัวเองนี้มาปรากฏหมอบลงไปฟุบกับกองทราย
    ที่เป็นทรายขาวอยู่ในบริเวณวัดนั้นอย่างชัดเจน
    ตัวนี้อ่อนไปหมด ปรากฏว่าในขณะนั้นเราปรากฏว่าตัวเองไม่มีตัวตน
    จนกระทั่งท่านแสดงธรรมจบลง เราถึงรู้สึกตัว
    ตอนนั้นท่านแสดงธรรมนานมาก ทีหนึ่งเป็นชั่วโมงๆ ขึ้นไป
    เมื่อจิตถอนออกมา ออกจากที่ภาวนาก็คลานเข้าไปถามท่านว่า

    “ท่านอาจารย์ครับ เมื่อตะกี้ทำไมผมนั่งฟังเทศน์ท่านอาจารย์ ผมไม่มีตัว ตัวผมหายไปไหน
    แต่สักประเดี๋ยวตัวผมนี่ ไป...ไปหมอบอยู่ที่...ที่กองทรายนั่นน่ะ ทำไมมันถึงเป็นอย่างนั้นครับ”

    คำถามนี้เราถามท่าน เพราะก็อธิบายไม่ถูก และไม่รู้จะถามท่านอย่างไร
    เพราะตั้งแต่เกิดมาไม่เคยเป็นเช่นนี้ ที่กล้าถามท่าน เพราะความตื่นเต้นตื่นตาตื่นใจ
    ที่ชีวิตหนึ่งชีวิตนี้เราได้เห็นอย่างนั้น ท่านก็บอกว่า
    “ไม่เป็นไร...เออ...ทำไป...ทำไป...ดีแล้วนะ”
    ท่านว่าอย่างนั้น เราก็ภูมิใจว่าเราทำถูกต้อง

    การมีครูบาอาจารย์ดี ท่านรู้จริงผ่านการปฏิบัติมา
    สอนแบบมีหลักเกณฑ์ไม่สุ่มเดาจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก
    อาจารย์เป็นบัณฑิตท่านก็ย่อมสอนในแนวทางเจริญเพื่อความเป็นบัณฑิต
    แต่ถ้าอาจารย์โง่เขลาสอนแบบสุ่มสี่สุ่มห้า
    มันก็เหมือนคนตาบอดจูงคนตาบอด อาจารย์ก็ตาบอด
    แล้วจะมาสอนลูกศิษย์ที่ตาบอดอยู่แล้วให้ตาดี อันนี้มันเป็นไปได้ยากยิ่งนัก
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    พระผงรูปเหมือนหลวงปู่มั่นภูริทัตโตหลวงปู่เจี๊ยะอธิษฐานจิตปลุกเสกให้บูชา 350 บาทน่าจะส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20240121_183825.jpg IMG_20240121_183847.jpg
     
  8. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,685
    ค่าพลัง:
    +21,337
    FB_IMG_1705842380528.jpg
    หลวงปู่กิ ธมฺมุตฺตโม
    เกิดที่บ้านสนามชัย อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี ที่มาเกี่ยวข้องป็นศิษย์ติดตามหลวงปู่ใหญ่เสาร์ กนฺตสีโล นั้น มีในหนังสือของอาจารย์พิศิษฐ์ ไสยสมบัติ ดังต่อไปนี้ “ลุ พ.ศ.2478 พระอาจารย๋เสาร์ พำนักที่ วัดป่าสุทธาวาส อ.เมือง จ.สกลนคร ชวนท่านพระอาจารย์ทองรัตน์ กนฺตสีโล ศิษย์ทางสายมหานิกายซึ่งเป็นพระอาจารย์ของหลวงพ่อชา สุภทฺโท วัดหนองป่าพง ไปจำพรรษาที่วัดธาตุศรีคูร อ.นาแก จ.นครพนม ขณะนั้นประจวบกับเป็นช่วงเวลาที่พระภิกษุหนุ่มใจเด็ดองค์หนึ่งนามว่า พระกิธมฺมุตฺคโม มาจากบ้านหนองผำ นครจำปาสัก แขวงจำปาสัก แดนดินถิ่นประเทศไทยในครั้งกระโน้น
    เมื่อแรกเข้ามาเมืองอุบลราชธานี ก็ได้ติดตามพระอาจารย์บุญมาก ธิติปฺธญ ซึ่งท่านได้นำศิษย์ 10 กว่ารูป ออกเดินทางธุดงค์จากอุบลฯ เพื่อเข้ากราบคารวะพระอาจารย์เสาร์ ระหว่างทางติดตามมาจนถึงอำเภอนาแก ได้พบกับท่านพระอาจารย์ทองรัตน์ กอปรกับย่างเข้า เดือน 8 หน้าพรรษากาลพอดี จึงได้อยู่พักจำพรรษาที่วัดธาตุศรีคูณกับท่านพระอาจารย์ทองรัตน์
    หลวงปู่กิ ธมฺมุตฺตโม แห่งวัดสนามชัยบ้านสนามชัย อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี ผู้ทรงศีล สมาธิ พรหมจรรยามีความทรงจำเป็นเลิศรอบรู้เชี่ยวชาญเรื่องภูมิประเทศทั้งภูเขาและเถื่อนถ้ำไนแดนลาวและแถบชายแดนภาคอีสาน ท่านหลวงปู่กิได้เล่าเรื่องราวแต่หนหลังจากความทรงจำอันแม่นยำว่า ครั้งแรกท่านจะไปกราบคารวะท่านพระอาจารย์เสาร์ ปีนั้นหมอกลงหนาทึบแผ่ปกคลุมทั่วเมืองนครพนม ยิ่งตอนเช้าเหยียบน้ำค้างลัดทุ่งไปบิณฑบาตรหนาวเหน็บจนจนเท้าเป็นตะคริว ต้องอาศัยขออังสะฝ่าเท้าด้วยกองไฟจากชาวบ้านที่สุมฟืนอยู่พอค่อยยังชั่วจึงออกเดินบิฑบาตรต่อไปได้ ท่านพระอาจารย์พิศิษฐ์ได้ขมวดลงท้ายว่า นี่คือบันทึกจากปากคำของท่านหลวงปู่กิที่จดจำเหตุการณ์เมื่อ 60 ปีก่อนโน้นได้แม้แต่รายละเอียดเล็กๆน้อยๆก็ไม่ลืมเลือนเลย นับว่าเป็นบุญของเราที่ได้รับรู้เรื่องราวในกาลก่อนเพราหลังจากนั้นไม่นาน องค์ท่านก็มาด่วนละสังขารไปโดยไม่มีใครคาดคิดมาก่อน
    FB_IMG_1705842249546.jpg
    ประวัติหลวงปู่กิ ธัมมุตฺตโม วัดป่าสนามชัย จ.อุบลราชธานี

    พรรษาที่ ๕๒ ปี ๒๕๔๒ เมื่อวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๔๒ หลวงปู่กิได้เดินทางไปร่วมงานทอดกฐินสามัคคี ณ วัดถ้ำซับมืด อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ซึ่งมีพระคุณเจ้าหลวงปู่ทา จารุธัมโม สหธรรมิกของหลวงปู่เป็นประธานสงฆ์ หลวงปู่ได้เล่าเรื่องราวให้บรรดาญาติโยมฟังว่า หลวงปู่ทาเมื่อครั้งยังเป็นฆราวาสอยู่นั้น ได้ถือศีลเป็นผ้าขาวคอยติดตามอุปัฏฐากท่านพระครูญาณโสภิต (หลวงปู่มี ญาณมุนี ) อดีตเจ้าอาวาสวัดป่าสูงเนิน จ.นครราชสีมา ศิษย์องค์สำคัญของหลวงปู่เสาร์ กันตสีโล ตั้งแต่เมื่อครั้งหลวงปู่เสาร์ ยังมีชีวิตอยู่ ภายหลังจึงได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ (ปัจจุบันหลวงปู่ทา มีอายุ ๙๑ ปี พรรษา ๕๖ ) คณะศิษยานุศิษย์ที่ได้มีโอกาสไปร่วมงานในครั้งนั้น ยังจดจำภาพอันน่าประทับใจที่พ่อแม่ ครูบาอาจารย์ผู้อาวุโสทั้งอายุและพรรษา ๒ รูป สนทนาธรรมและปรารภถึงเรื่องราวเมื่อครั้งอดีตกันอย่างสนุกสนาน ภายหลังจากที่ไม่ได้พบกันเป็นเวลานานกว่า ๖๐ ปี
    ต่อมาเมื่อวันที่ ๑๑ – ๑๒ ธันวาคม ๒๕๔๒ หลวงปู่กิได้เดินทางไปร่วมงานทำบุญครบรอบวันเกิด ๘๕ ปี ของท่านพระครูปราโมทย์ธรรมธาดา (หลวงปู่หลอด ปโมทิโต) ณ วัดสิริกมลาวาส (วัดใหม่เสนานิคม) กรุงเทพมหานคร หลวงปู่ได้เมตตาเล่าให้ญาติโยมฟังว่าได้เคยเข้ามาที่วัดสิริ กมลาวาสแห่งนี้ ตั้งแต่เมื่อครั้งท่านเจ้าคุณพระราชธรรมเจติยาจารย์ (วิริยังค์ สิรินธโร) สร้างวัดแห่งนี้ขึ้นมาใหม่ๆและไม่ได้แวะเข้ามาเป็นเวลาหลายสิบปีแล้ว ในคืนวันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๔๒ ภายหลังจากที่ได้ร่วมเจริญพระพุทธมนต์ถวายหลวงปู่หลอดแล้ว หลวงปู่ยังได้อยู่นั่งฟังพระธรรมเทศนาของพระเถระทั้งหลาย อันได้แก่ พระสุธรรมคณาจารย์ (หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ) พระญาณทีปาจารย์ (หลวงปู่ท่อน ญาณธโร) พระราชธรรมสุธี (หลวงตาพวง สุขินฺทริโย) เป็นเวลานานหลายชั่วโมง ตั้งแต่ช่วงหัวค่ำ จนเกือบถึงรุ่งสว่างของเช้าวันที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๔๒
    ในวันที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๔๒ หลังจากได้ร่วมพิธีเททองหล่อรูปเหมือน ๓ บูรพาจารย์ คือท่านเจ้าคุณพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจันโท) หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต เสร็จเรียบร้อยแล้ว หลวงปู่ได้เข้ากราบนมัสการลา หลวงปู่หลอด ปโมทิโตพร้อมกับหลวงปู่จันทร์โสม กิตติกาโร ก่อนเดินทางกลับไปจังหวัดอุบลราชธานี หลวงปู่ยังได้เมตตาให้ญาติโยมได้ถ่ายรูปท่านกับหลวงปู่จันทร์โสมไว้เป็นที่ระลึก ที่ได้เดินทางมาร่วมในงานครั้งนี้ ซึ่งไม่มีใครคาดคิดมาก่อนเลยว่า นี่คือกิจนิมนต์ที่กรุงเทพครั้งสุดท้ายของหลวงปู่

    LOL YOONUTIE
    มือท่านโดยตรงย่อมมีความศักดิ์สิทธิ์เป็นที่
    ทราบกันดีของศิษยานุศิษย์ คนที่ไปสู่แนวรบ
    ในสนามสงครามอินโดจีนอยู่รอดปลอดูภัย
    เกือบทุกคน เมื่อมาอยู่วัดป่าสนามชัย ตั้งแต่
    ๒๕๒๐ ลูกศิษย์ก็ขออนุญาตท่านสร้างพระผง
    รุ่นแรกคือ พระว่าน ๑๐๘ รูปเหมือนท่านองค์
    เท่าหัวแม่มือรูปกลมลี ต่อมาก็สร้างเหรียญ
    พระกริ่งรูปเหมือนท่าน รูปเหรียญคู่กับ
    บูรพาจารย์หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล้ หลวงปู่มั่น
    ภูริทัตโต ลูกศิษย์นำไปสักการะบูชาก็
    ปลอดภัย มีประสบการณ์หลากหลายมาก
    แล้วแต่ผู้นำถือติดตัวไป เช่นเกิดอุบัติเหตุทาง
    รถยนต์คนที่หอยพระผงหลวงปู่กิ รถยนต์
    พลิกคว่ำไม่ได้รับอันตรายเลย คนห้อย
    เหรียญขับขี่รถจักรยานยนต์ไปชนรถสิบล้อ
    รถจักรยานยนต์ พังยับเยินคนขับกระเด็น
    เข้าไปใต้รถสิบล้อไม่ได้รับอันตรายเลย เป็น
    ที่น่าอัศจรรย์ เรื่องอัศจรรย์นี้เป็นเรื่องเหนือ
    เหตุเหนือผลอธิบายยาก แต่สำหรับผู้ใกล้ชิด
    ติดตามกับพ่อแม่ครูบาอาจารย์สายกัมมัฏ
    ฐาน ย่อมเป็นคนรู้เรื่องนี้ดีค่อนข้างเชื่อมั่นใน
    อำนาจจิต สิ่งของมงคลอะไรที่ได้รับกับมือ
    ท่านถือว่าสุดยอด องค์ท่านไม่ได้สวดอะไร
    มากมาย เพียงแต่องค์ท่านยกขึ้นอธิษฐานจิต
    เท่านั้น ถือว่าสิ่งนั้นศักดิ์สิทธิ์แล้ว เพราะพระ
    ขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    เหรียญหลวงปู่เสาร์หลวงปู่มั่นหลวงพ่อกี๋วัดสนามชัยให้บูชา 300 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20240121_193400.jpg IMG_20240121_193319.jpg
     
  9. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,685
    ค่าพลัง:
    +21,337
    1702571035568-jpg-jpg.jpg

    หลวงพ่อไป๋ ญาณผโล วัดท่าหลวง พิจิตร
    ข้อมูลประวัติ
    เกิด วันอังคารที่ 14 เมษายน 2439 ณ บ้านวังไม้ดัก พิจิตร เป็นบุตรของ นายน้อย นางเล็ก นาควิจิตร
    บรรพชา อายุ 16 ปี ณ วัดคลองคเชนทร์ ได้ 2 พรรษา จึงลาสิกขาบท
    อุปสมบท อายุ 20 ปี วันที่ 3 พฤษภาคม 2459 ณ วัดมูลเหล็ก
    มรณภาพ วันที่ 21 มิถุนายน 2517 ณ โรงพยาบาลพิจิตร เวลา 22.48 น.
    รวมสิริอายุ 78 ปี
    หลวงพ่อไป๋ ญาณผลโล (สกุลเดิม นาควิจิตร) หรือ พระฑีฆทัสสีมุนีวงศ์ เกิดเมื่อวันที่ 14 เม.ย. 2439 หมู่ที่ 7 ต.โรงช้าง อ.เมือง จ.พิจิตร เมื่อครั้งวัยฉกรรจ์อายุครบเกณฑ์ทหารได้รับใช้ชาติสังกัดทหารราบประจำมณฑลพิษณุโลก เป็นเวลา 2 ปี ได้รับยศเป็นสิบตรี เมื่อปี 2459 ได้ลาออกจากราชการทหารและอุปสมบทเมื่อวันที่ 3 พ.ค. 2459 ณ วัดมูลเหล็ก ต.คลองคะเชนทร์ อ.เมือง จ.พิจิตร โดยมีพระครูศีลธรารักษ์ (ยิ้ม) เป็นพระอุปัชฌาย์ สุดท้ายวันที่ 5 ธ.ค. 2499 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะที่พระฑีฆทัสสีมุนีวงศ์ มงคลพิจิตร ยติคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี (เจ้าอาวาสวัดท่าหลวงและเจ้าคณะจังหวัดพิจิตรตลอดมาจนถึงมรณภาพ 43 ปี) เมื่อวันที่ 22 มิ.ย. 2517 รวมอายุได้ 78 ปี 2 เดือน 8 วัน 53 พรรษา ซึ่งเครื่องรางและพระเครื่องที่ลือเรื่องของท่านคือ ตะกรุดกระดูกแร้ง (เกจิอาจารย์เมืองพิจิตร, 2522)
    วัตถุมงคลที่ได้รับความนิยม
    วัตถุมงคลของหลวงพ่อเพชร วัดท่าหลวง พิจิตร ล้วนเป็นวัตถุมงคลที่สร้างขึ้นในช่วงระหว่างที่ท่านครองวัดเป็นเจ้าอาวาสทั้งสิ้น ทั้งประภทเหรียญปั๊ม พระหล่อ เป็นต้น

    พระเครื่องที่รู้จักกันดีที่หลวงพ่อไป๋ได้สร้างขึ้น คือ หลวงพ่อเพชรสามเหลี่ยม เพื่อสมทบทุนทรัพย์สร้างอุโบสถวัดท่าหลวง แต่พิมพ์นี้คือพระคะแนนทำจากเนื้อเงิน หายากมาก (ที่มา : หนังสือพระเครื่องพระบูชาเมือง

    หลวงพ่อไป๋ ญาณผลโล (สกุลเดิม นาควิจิตร) หรือ พระฑีฆทัสสีมุนีวงศ์ เกิดเมื่อวันที่ 14 เม.ย. 2439 หมู่ที่ 7 บ้านวังไม้ดัก ต.โรงช้าง อ.เมือง จ.พิจิตร เป็นบุตรของ นายน้อย นางเล็ก นาควิจิตร บรรพชา อายุ 16 ปี ณ วัดคลองคเชนทร์ ได้ 2 พรรษา จึงลาสิกขาบท เมื่อครั้งวัยฉกรรจ์อายุครบเกณฑ์ทหารได้รับใช้ชาติสังกัดทหารราบประจำมณฑลพิษณุโลก เป็นเวลา 2 ปี ได้รับยศเป็นสิบตรี เมื่อปี 2459 ได้ลาออกจากราชการทหารและอุปสมบทเมื่อวันที่ 3 พ.ค. 2459 ณ วัดมูลเหล็ก ต.คลองคะเชนทร์ อ.เมือง จ.พิจิตร โดยมีพระครูศีลธรารักษ์ (ยิ้ม) เป็นพระอุปัชฌาย์และได้เรียนวิชาอาคมจากหลวงพ่อเงินบางคลานและท่านยังเป็นศิษย์น้องของหลวงพ่อพิธวัดฆะมังด้วย สุดท้ายวันที่ 5 ธ.ค. 2499 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะที่พระฑีฆทัสสีมุนีวงศ์ มงคลพิจิตร ยติคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี (เจ้าอาวาสวัดท่าหลวงและเจ้าคณะจังหวัดพิจิตรตลอดมาจนถึงมรณภาพ 43 ปี) เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2517 ณ โรงพยาบาลพิจิตร เวลา 22.48 น. รวมอายุได้ 78 ปี 2 เดือน 8 วัน 53 พรรษา
    วัตถุมงคลที่ได้รับความนิยม
    วัตถุมงคลของหลวงพ่อเพชร วัดท่าหลวง พิจิตร ล้วนเป็นวัตถุมงคลที่สร้างขึ้นในช่วงระหว่างที่ท่านครองวัดเป็นเจ้าอาวาสทั้งสิ้น ทั้งประภทเหรียญปั๊ม พระหล่อ เป็นต้น
    พุทธคุณที่เล่าสืบทอดกันมา
    พุทธคุณในเหรียญรุ่นปี 11 นี้เด่นทาง เมตตามหานิยมและรุ่นปี 14 ด้านรักษาโรค ส่วนตะกรุดกระดูกแร้งพุทธคุณ108
    เครื่องรางและพระเครื่องที่ลือเรื่องของท่านคือ ตะกรุดกระดูกแร้ง และเหรียญปลอดโรคปี2514

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ


    เหรียญหลวงพ่อไป๋ วัดท่าหลวงพิจิตรให้บูชา 150 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ
    IMG_20240121_193435.jpg IMG_20240121_193515.jpg
     
  10. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,685
    ค่าพลัง:
    +21,337
    FB_IMG_1705847137855.jpg
    หลวงปู่เมตตาเล่าถึงประวัติ
    และมูลเหตุที่ขาท่านต้องเป็นเช่นดังทุกวันนี้

    ถ้าพูดแล้วก็จะว่าเป็นการขายหน้าตัวเองก็ได้ หลวงปู่มีพี่ชายอยู่คนหนึ่ง ก็มีน้องชายอยู่ ๖ คน ๗ คน ๗ คนก็รวมตัวหลวงพ่อนี่แหละ ก่อนพ่อจะหมดบุญ น้องชายก็อยู่วัด.. "เอ่อ ซอยลาซาล ๑๐๕ กรุงเทพ" ส่วนตัวหลวงพ่อออกจากวัดธรรมมงคลมาแล้ว (อยู่กับหลวงปู่วิริยังค์ ) มาอยู่ที่กลางดงพญาเย็น พ่อป่วยหนัก น้องชายเขียนจดหมายเล็กๆ เท่ากับ ๓ นิ้วมือนี่ ส่งขึ้นไปบนภูเขาบนถ้ำ ฝากกับชาวไร่ข้าวโพดขึ้นไป ห้ามไม่ให้น้องไปบอกว่าอยู่ที่ไหน

    ใครถามก็ช่าง จนกระทั่งพ่อป่วยนอนอยู่โรงพยาบาลที่ขอนแก่น ลงมาก็ไม่มีตังค์ ค่ารถก็ไม่มี ต้องไปขอยืมจากหลวงปู่เมตตาหลวง “หลวงพ่อครับ ผมจะไปเยี่ยมพ่อ พ่อป่วยหนักอยู่โรงพยาบาล น้องเขียนจดหมายมาถึงว่าคงจะไม่รอด”

    ตอนนั้นก็ไปตั้งๆวัด ได้สร้างวัดเทพพิทักษ์ปุณณารามใหม่ๆ แต่ว่าองค์พระก็ยังไม่เสร็จ ปั้นอยู่ข้างบนภูเขานั่นแหละเขาสีเสียดอ้า ไปกราบเรียนท่าน ท่านก็ทิ้งปัจจัยให้ ๕๐ บาท “พอก็พอนะ ค่ารถไม่พอก็เดินเอา” ท่านว่างั้น เออ ดีเว้ยเรา

    พอไปๆ ดูแล้ว ไปกับน้อง น้องก็เป็นพระเหมือนกัน เลยบอกน้องว่า “เอาพ่อเรากลับบ้านเถอะ” น้องชายก็ถามกลับมาว่า “ทำไมเหรอ ?”

    ลป. : “เอาพ่อเรากลับบ้านเถอะ ไปบอกหมอ”

    จะไปบอกหมอขออนุญาตกลับบ้าน แต่พ่อยังเดินได้พูดได้อยู่นะ ดีๆอยู่ เสร็จแล้วก็กลับ ไปจับดูไปแมะดู แมะดูที่หน้าผาก แมะดูที่ตามข้อมือ เออ ใช่ เหมือนฟังระบบหัวใจของพ่อ

    แล้วก็พิจารณาดู พ่อเราจะอยู่ได้อีกกี่วัน พ่อฉันจะอยู่ได้อีกกี่วัน มันก็เลยบอกขึ้นมา “ถ้าเอากลับไปบ้าน ๓ วันก็หมดบุญ” มันพูดมันเข้าใจนะ มันโกหกตัวเองว่ะ ก็ยอมรับ

    พอนั่งรถแล้วจะกลับจากขอนแก่นมาอำเภอฝาง บ้านฝาง น้องก็ถามอีก..“พ่อเราเป็นยังไง ?”

    ลป. : “พ่อเราจะอยู่กับเราอีก ๓ วันเท่านั้นนะ เราเตรียมตัวได้”

    ก็ไปกลับมาถึงบ้าน น้องชายวันนี้ไม่ได้มาด้วย น้องชายให้เฝ้าวัดอยู่ เป็นโยมเมื่อก่อนแกเป็นพระ แกติดทหารก็เลยได้สึกออกไป "กาศเอ๊ย" (ชื่อน้องชายท่าน) “พ่อเราจะอยู่กับเราได้อีกแค่ ๓ วันนะน้อง พวกเราเป็นพระ ปฏิบัติพ่อของเราให้ถึงที่เลย” ได้ทำแค่ ๓ วัน คิดเสียใจเท่าทุกวันนี้ “กูไม่มีวาสนาที่จะได้ปฏิบัติพ่อเลย”

    หนีตั้งแต่ออกโรงเรียน ตอนเรียนหนังสืออยู่ก็ไม่ได้อยู่บ้าน ไปอยู่ที่อื่น เรียนจบชั้น ม.๖ ออกมาแล้วก็บวช (ท่านจบ ป.๔ และไปเรียนต่อ สมัยนั้นการศึกษาเทียบกับชั้น ม.๖ ) เพราะว่าเป็นนักกีฬา เตะฟุตบอล เป็นนักฟุตบอล แต่ไม่ได้เตะฟุตบอล แต่ฟุตบอลเตะว่ะ กระเด็นเข้าโกลเลยนี่ใช่ไหม ถึงได้โกนหัวห่มผ้าเหลืองนี่ บอลเตะมาเข้าโกล ไม่ได้เตะบอลเข้าโกลนะ มันกลับตาลปัตรกันว่ะ ถ้าได้เตะบอลเข้าโกลคงจะไม่ได้มายังงี้หรอก ก็คงจะอยู่เหมือนกับญาติธรรมทั้งหลายนี่แหละเนี่ย แต่นี่บอลมันเตะเอาว่ะ บอลมันเตะกระเด็นเข้าโกลเลยว่ะ สุดท้ายก็ได้อยู่ยังงี้ว่ะ (ลป.ท่านขำ พอใจ)

    นั่นน่ะพอจบก็บวชเลย จบปลาย ๒๕๐๖ ก็เข้านาค ไปเข้านาคอยู่ที่กรุงเทพ วัดบรมนิวาส พอจะเข้าพรรษากลับออกจากวัดบรมนิวาสไปขอนแก่น โกนหัวบวชเณรเลยในปีนั้น บวชเณรปี ๒๕๐๗ บวชพระปี ๒๕๐๘ นิดเดียวเนาะ หายใจยังไม่ทั่วท้องเลย

    ในวันที่ ๓ ที่พ่อจะหมดบุญ สังเกตดู...ไม่รู้หลวงพ่อสุชินเราจะอยู่สังเกตแม่หรือเปล่าตอนจะหมดลมท่าน ดูยังไง โยมพ่อนอนอยู่ สังเกตแต่ปลายเท้าของพ่อขึ้นมา คนเราเนื้อมันเขม่นกันยังไง คล้ายๆ กับมันเป็นตะคริวนี้นะ มันยิกๆๆๆ นี้ใช่ไหม แต่ปลายเท้านี่ ก็เลยชี้ให้น้อง บอกว่า

    “กาศเอ๊ย นี่พ่อเราจะไปแล้วนะ ดูให้ดี” ปลายเท้านี่ยิกๆๆๆ ขึ้นมา ขึ้นมาเรื่อยๆ ไล่ขึ้นมา พอมาถึงสะดือหยุด มองดูอีกจะมาจากส่วนไหน เพราะว่าศีรษะก็วางอยู่ที่ตักเนี่ย ศีรษะของพ่อ เป็นพระแต่เราเอาศีรษะพ่อมาวางบนตักนี่ดูดิ นั่งดูนั่งเพ่งนะ ขึ้นมาจากปลายนิ้วมือนี่ จากปลายฝ่าเท้ามาปลายนิ้วมือทั้ง ๒ ข้างเลย เขม่นมาเลย..ขึ้นมา

    เชื่อแน่ว่าวิญญาณพ่อจะต้องออก ไม่ได้ออกลงข้างล่าง แต่จะออกขึ้นข้างบน เอ๊ะ ภูเขาเลากานี่ในตำนาน พระพุทธเจ้าเขาตรัสเอาไว้ ไม่มีอะไรที่จะห้ามจิตของมนุษย์ได้ ภูเขาเลากาจะแน่นหนาสักเท่าไหร่ ไกลสักเท่าไหร่ก็ใกล้ จิตเวลามันไปน่ะ จริงหรือเปล่า

    ลองนึกถึงบ้านแล้วคิดถึงปั๊บหรือเปล่า ไม่มีอะไรกั้นเลยใช่ไหม ไม่มีเลย

    นี้ก็อวดเก่งที่เนี่ย อาจารย์ชินคงจะไม่อวดเก่งเหมือนกับหลวงพ่อองค์นี้นะ ไม่งั้นจะกั้นจิตพ่อตัวเองไม่ให้ออกนะ ป่ะโถ ตั้งใจเข้าจริงๆ แล้วตั้งใจปิ๊งเลยว่ะ ลองดู! มันจะมีการบังคับกันได้จริงหรือเปล่า จะต้องการพิสูจน์ พอพ่อมานี่นะ เวลาจะไปล่ะ คล้ายๆร่างกายน่ะ มันเป็นของว่างนะ ตัวตนสกลกายของพวกเรานี่แหละมันว่างนะ มันไม่มีอะไรเลย แต่มันว่างคล้ายๆ มันว่างเป็นอากาศอยู่นี่ จิตของพ่อนั่นวึ่บไปเลยนะ เข้าข้างหน้าออกข้างหลัง วื้ดไปเลยว่างไปเฉยๆนะ

    อ้าว มันอะไรกันวะ มันไปโดยไม่มีอะไรขัดข้องเลย เชื่อแล้ว! เชื่อแล้ว!

    เพราะตัวเองเคยอยู่วัดธรรมมงคล พ.ศ. ๒๕๑๑ ก็เคยตาย ได้ไปนรกสวรรค์ก็อยู่ที่นั่นวัดธรรมมงคล เอาภูมิธรรมที่นั่นที่ได้ออกจากอาจารย์วิริยังค์มาพิจารณาเข้ากับหลักที่ได้ทดลองดู ตายมา ๓ ครั้ง แต่ว่าการตายของพ่อตายมาอย่างนั้น พอจะหมดนี่กำลังจะต่อสู้กันนี่ ถามขึ้น “พ่อ” “หือ” (โยมพ่อตอบ) “พ่ออย่าคิดอะไรให้วุ่นเป็นเด็ดขาดนะ บุญกุศลที่พ่อกระทำมาแล้วด้วยกาย วาจา และใจ นั่นแหละคือบุญอันแท้จริง มันเป็นของพ่อนะ เป็นปัจจัตตังนะ ไม่มีใครอื่นจะแย่งของพ่อไปได้หรอก แล้วพ่อจะมาถือว่าสมบัติพัสถาน ไร่นาเรือกสวนที่ว่าพ่อมี มีที่มีทางมีอะไรไม่รู้ ไร่นานู่นมากๆ นี่ พ่อจะแบกไปได้หรือ ไม่มีหรอก

    อย่านะ! รีบพูดเลย พอพูดจบแล้วก็ “ทุกสิ่งอย่างแม้แต่น้องก็ไม่ต้องมาสนใจเขา แม่ก็ไม่ต้องมาสนใจ ให้พ่อทำใจให้สบาย แล้วก็ไปอย่างสบายเลย” “อื้อ” ได้ยินแต่เสียง “อื้อ” คำเดียว แล้วก็นอนหลับไปเฉยๆน่ะ คุยกันแล้วก็หลับไปเวลานั้นเหมือนกับหลับ ก็เลยบอก กาศเอ๊ย (ชื่อน้องชาย) น้องเรา พ่อเราหมดบุญแล้ว ไปแล้ว” โอ้โหย ไอ้พวกน้องๆ ที่ไม่ได้บวช น้องผู้หญิงผู้ชาย ทั้งแม่ร้องไห้กัน ก็โฮขึ้นอย่างหนักเลยทีนี้

    ฮ่วย! มันจังได๋กันแน่นี้วะ มันไม่ถูกเลยนะร้องไห้นี่ ถือว่าผิดแล้วนะนี่ว่ะ ก็เลยถามแม่ขึ้น “แม่ร้องไห้ทำไม” ญาติโกโหติกาก็มากนะ “ร้องไห้ทำไม” แม่ไม่พูด แต่ไอ้พวกญาติพี่น้องนั่นแหละที่มาเฝ้าอยู่นั่นน่ะ พูดแทน “ก็ร้องไห้เพราะเขามีความอาลัยคิดถึง”

    ลป. : “เหรอ มันไม่ใช่ ที่แม่ฉันร้องไห้ไม่ใช่ร้องไห้ยังงั้น พวกน้องๆ เหมือนกัน” แม่ ก็เลยถามแม่ดูซิ “ที่แม่ร้องไห้นี่กลัวพ่อจะฟื้นขึ้นมา จะไม่ได้สมบัติพ่อใช่ไหม” ก็เลยถามไปยังงี้ว่ะ ชาวบ้านที่ฟังอยู่น่ะ ก็ว่ากันว่า “โอ๊ย ด่าก็ด่าแสบเกินไปเว้ย” เขาว่าด่าเขาอีก..

    เอ้า ก็เลยถามพวกน้องอีก “แล้วพวกแกร้องไห้น่ะกลัวพ่อจะตายไม่จริง ถ้าพ่อตายแล้วจะได้กัดกันกินเหมือนกับหมาจะได้กินคือแย่งสมบัติพ่อกินเหมือนกับหมาใช่ไหม”

    เงียบหมดเลย น้องๆ หนีกันเลยแตกสาโสเสกันหมดเลยว่ะ

    ก็เลยว่า “นี่มันไม่เข้าใจ ผู้มีพระคุณก็คือพ่อและแม่ของเราน่ะหมดบุญแล้ว ท่านจากเราไปแล้วนี่ เราจะปฏิบัติครั้งสุดท้ายอยากได้บุญก็ไม่คิดกัน ไปต้มน้ำร้อนขึ้น เอามาอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าให้พ่อให้แม่ ให้นอนอยู่อย่างไร ทำให้มันถูกต้องสิ จะมาร้องไห้กลัวพ่อไม่ตายยังไง จะไม่ได้สมบัติกันได้ยังไง มันไม่ถูก!”

    เราว่าเอาหนักเหมือนกันว่ะ แม้แต่กำนันผู้ใหญ่บ้านหนีเลยว่ะ โดดลงบ้านหนีหมดเลยว่ะ (หัวเราะ)
    คนมันบอกว่า “ด่าก็ด่าเจ็บด่าแสบเกินไปเว้ยเฮ้ย”

    ก็ได้ด่าซะเมื่อไหร่ ไม่ได้ด่าเลย พูดเรื่องจริงให้ฟังยังบอกว่าด่าอีก.."เอ๊อ ชอบกลนะมนุษย์นี่"

    แล้วก็ญาติพี่น้องหรือว่าญาติโกของโยมแม่ทวีคงจะไม่ร้องไห้เนาะ อาจารย์สุชินก็คงจะน้ำตาไม่ร่วงเนาะ ให้ผมร่วงคนเดียวก็พอ ไม่ร่วงข้างใน มันหมดน้ำตาจะร่วงแล้ว (หัวเราะ)

    นี่มันเหตุการณ์ที่ผ่านมา ทำไมไม่นึกว่าอันไหนจะเป็นบุญเป็นกุศล ในเมื่อเวลาพ่อแม่เราหมด พ่อแม่เราแสดงธรรมให้เราฟังแล้ว ก็พิจารณาขึ้นมาในเวลานั้น วันหนึ่งข้างหน้าแล้วเราคงจะหมดลมหายใจหมือนกัน

    ถอดจากเทปพระธรรมเทศนา
    หลวงปู่สวาท ปัญญาธโร วัดโป่งจันทร์ อ.คิชฌกูฏ จ.จันทบุรี ในงานสวดพระอภิธรรมโยมแม่ของพระอาจารย์สุชิน ปริปุณโณ วัดธรรมสถิต อ.เมือง จ.ระยอง วันที่ 16 เม.ย.63

    ถอดเทป/เรียบเรียง : นรินทร์ ศรีสุทธิ์
    ภาพประกอบ : หมาน ราชสีมา
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ



    พระมีโชควัดป่าโป่งจันทร์รุ่นมีโชคลาภหลวงพ่อสวาทวัดโป่งจันทร์
    ให้บูชา
    500 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20240121_193151.jpg IMG_20240121_193231.jpg IMG_20240121_193122.jpg
     
  11. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,685
    ค่าพลัง:
    +21,337
    1599-5e42.jpg
    วัดเทพสิงหาร
    ต.นายูง อ.นายูง จ.อุดรธานี


    “วัดเทพสิงหาร” ต.นายูง อ.นายูง จ.อุดรธานี ก่อตั้งขึ้นเมื่อปีพุทธศักราช 2410 โดยท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย แต่ผู้ที่เป็นเจ้าอาวาสรูปแรก คือ หลวงปู่เครื่อง ธมฺมจาโร

    ภิกษุ 6 แผ่นดิน

    หลวงปู่เครื่อง ธมฺมจาโร ท่านเกิดเมื่อปีพุทธศักราช 2410 ที่บ้านนาหมี ตำบลนายูง เพราะเกิดแต่ปลายรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 และถึงกาลมรณภาพในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลปัจจุบัน ด้วยอายุยืนยาวถึง 112 ปี จึงได้ชื่อว่าภิกษุ 6 แผ่นดิน

    “คน ที่ไม่เคยฆ่าสัตว์ แต่เคยเฆี่ยนตีสัตว์ จะมีอายุยืน และมีโรคเบียดเบียน ส่วนคนที่ไม่เคยฆ่าสัตว์ ไม่เคยเฆี่ยนตีสัตว์ ทั้งอายุยืน และไม่มีโรค” (หลวงปู่หล้า เขมปัตโต วัดภูจ้อก้อ อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร)

    หลวงปู่ เครื่อง เกิดเมื่อวันเสาร์ ขึ้น 5 ค่ำ เดือน 6 ปีเถาะ (พุทธศักราช 2410) มรณภาพเมื่อวันที่ 26 มีนาคม พุทธศักราช 2523 เป็นภิกษุอายุยืนที่สุดในภิกษุสายกัมมัฏฐานศิษย์พระอาจารย์มั่น ภูริทัตฺตเถร ทั้งปวง

    บ้านเกิดบ้านป่า

    บ้าน นายูง สมัยท่านเกิดคือบ้านป่าที่แท้จาริง มองดูนายูงทุกวันนี้ก็มีรอยป่าดิบให้นึกเห็นภาพ ต้นไม้ที่หายไปให้เอาปีเดือนคูณเข้า ภาพป่าดงดิบก็จะชัดเจนสมบูรณ์จนเยือกหนาว
    สมัยที่ท่านเกิด คือสมัยของเด็กบ้านป่า ไม่ใช่สมัยพระเถรในตอนปลายชีวิตจึงไม่จำเป็นต้องพรรณนาถึงความกันดาร ลำบาก หรือคับแค้นแห่งการดำรงชีวิตคนบ้านป่า-ไม่ว่าไหนๆ ก็เหมือนกันทั้งสิ้น

    อุปสมบทครั้งที่ 1 (ก่อนเบียด)

    บวช ครั้งแรกอายุ 21 ปีเต็ม เข้าใจว่าท่านบวชตามประเพณีนิยม พรรษาเดียวก็มีอันได้สึกออกมาสมรสกับ “นางสาวนาค ลุนทอง” ชาวหมู่บ้านเดียวกัน เรียกว่าบวชก่อนเบียด

    อนิจจังกับการครองเรือน

    หลวง ปู่เครื่อง ขณะดำรงเพศฆราวาสในชีวิตครองเรือนกับนางนาค ก็มีอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ปรากฏขึ้น บุตรชาย-หญิงทั้งสองคนเสียชีวิตตั้งแต่ยังเล็กไปด้วยกัน (ไม่ทราบสาเหตุของการตายท่านไม่ได้เล่าไว้) ต่อมานางนาคผู้เป็นมารดาผู้พิลาปร่ำรำพันหาลูกทั้งสองคนไม่สร่าง ก็ตรอมใจตายตามไปอีกคน เสียลูก เสียเมีย และเสียขวัญอย่างใหญ่หลวงแล้ว

    ทุกข์ ที่ส่งมอบโดยมือของอนิจจังกับอนัตตา คือสิ่งที่ท่านรับมือไม่อยู่ ถึงกับเตลิดเปิดเปิงไปอย่างคนที่สิ้นไร้ความหมายแห่งชีวิต เหมือนถูกพายุใหญ่ชัดไปไกลจนถึงเมืองลาว ไปเพื่อให้ลืม หรือเพื่อให้จำก็ไม่มีใครรู้จัก นอกจากตัวท่านเอง

    อุปสมบทครั้งที่ 2

    เบื่อหน่ายเป็นเหตุผลเดียวที่ท่านบอกเพื่อบวชในครั้งที่ 2

    สถานที่บวช - วัดศรีสะเกษ แขวงเมืองเวียงจันทน์
    อุปัชฌาย์ - พระครูแก้ว
    พระกรรมวาจาจารย์ - พระอาจารย์เถิง
    พระอนุสาวนาจารย์ - พระอาจารย์คำ

    บวช แล้วก็ได้อยู่ศึกษาทั้งวิชาอาคมและการเจริญวิปัสสนากรรมฐานอย่างจริงจังกับ พระอุปัชฌาย์อาจารย์คือ พระครูแก้ว ผู้เป็นสหายของเจ้ามหาชีวิตลาว เจ้าศรีสว่างวงศ์ เป็นเวลา 3 ปีเต็มกับการพำนักจำพรรษากับพระครูแก้ว ท่านจึงได้กราบลาออกหาความวิเวกตามลำพัง

    ชีวิตวิเวก

    พระ ธุดงค์คล้ายนกขมิ้นหลงรัง ค่ำไหนนอนไหน เป็นเรื่องที่ไม่ต้องกำหนดหมายเดินหน้าไปเรื่อยๆ ในป่าเขาลาว ตอนเหนือสุดของป่าเขาแห่งเมืองเวียงจันทน์ ท่านพบผีตองเหลืองกลุ่มหนึ่งโดยบังเอิญ
    “พวกนี้ไม่นุ่งผ้า พอเห็นหลวงปู่ก็ตกใจ พากันซุบซิบอยู่พักหนึ่งแล้วกรูเข้ามาล้อมกรอบหลวงปู่ มีไม้แหลมแทนหอกคนละด้าม ทำท่าจะพุ่งหอกแทงหลวงปู่ ต้องยืนนิ่งๆหลับตาลงเสีย แล้วเร่งภาวนา แผ่เมตตาให้พวกเขา”
    หลวงปู่เล่าชวนให้ระลึก
    กิริยา ที่หลวงปู่ไม่คิดหนี หากแต่ยืนนิ่งหลับตา เป็นของแปลกที่ผีตองเหลืองกลุ่มนั้น (ประมาณ 10 คน) ไม่เคยเห็นที่คิดจะทำร้ายก็รีรอก่อน แล้วก็พาลสงสัย เข้ามาเขย่าตัวหลวงปู่เพราะเห็นว่ายืนนิ่งเฉยเกินไป
    ท่านลืมตาขึ้น ส่งภาษามือ ทั้งโบกห้ามและชี้ไปที่หอกไม้ พวกผีตองเหลืองจึงเข้าใจ และส่งหอกให้หลวงปู่ด้ามหนึ่ง ท่านปฏิเสธที่จะรับไว้ พวกนั้นจึงดึงมือหลวงปู่ จูงท่านไปสู่ที่พัก และหาอาหารมาถวาย
    แม้เป็นเวลาวิกาลท่านก็รับอาหารที่ทำจากเนื้อสัตว์ป่าไว้ในบาตร บางทีจะถนอมไมตรีกันไว้ก่อน ที่ท่านรับแล้วฉันมีเพียงน้ำเท่านั้น

    ไม่ได้อบรมธรรม แต่สอนอารยธรรม

    คืน นั้นท่านนั่งขัดสมาธิบนหินก้อนหนึ่ง มีผีตองเหลืองทั้งหมดนั่งล้อม คืนประวัติศาสตร์แห่งอารยธรรม ท่านสอนให้พวกนั้นรู้จู้กเอาใบไม้มาปิดอวัยวะที่เปลือยล่อนจ้อนเป็นครั้งแรก ทายสิครับว่าพวกนั้นเชื่อหรือไม่ ต่อไปใบไม้สวยๆ ก็จะเป็นแฟชั่นของผีตองเหลืองเผ่านี้ดอกกระมัง

    กลับบ้านเกิด

    นานเนในป่าเขา ยาวไกลแห่งสองเท้าย่ำ
    ท่านคิดถึงบ้านเกิด
    ขณะ นั้นบิดาของท่านคือ หลวงศักดาธรรมเรือง อายุปูนแก่มากแล้ว กำลังถือศีลเป็นชีปะขาวในบ้านนายูง บ้านเกิด ท่านก็กลับมา และได้ตั้งสำนักวิปัสสนาขึ้นในที่ลุ่มข้างเนินเขาเตี้ย ๆ ติดกับหมู่บ้าน (ปัจจุบันคือสถานที่ตั้งสถานนีอนามัยตำบลนายูง)


    อาคันตุกะสำคัญ

    ใน ปีพุทธศักราช 2439 ภิกษุอาคันตุกะรูปหนึ่งธุดงค์มาถึง และเข้าพำนักในสำนักวิปัสสนาของหลวงปู่เครื่อง ภิกษุอาคันตุกะท่านนี้มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับหลวงปู่เครื่อง แต่ศักดิ์ศรีและฐานะของท่านยิ่งใหญ่เกินประมาณ ท่านคือ พระอาจารย์มั่น ภูริทัตฺตเถร

    พระอาจารย์มั่นได้ธุดงค์มาที่บ้านนายูง หลวงปู่เครื่องจึงได้อยู่ปฎิบัติธรรมกับท่าน

    พระ อาจารย์มั่นได้เสนอแนะให้หลวงปู่เครื่องจัดหาสถานที่ตั้งสำนักสงฆ์ขึ้นใหม่ เพื่อให้อยู่ในสถานที่สูงกว่าเดิม หลวงปู่เครื่องเห็นด้วยและลงมือปฏิบัติด้วยกัน วัดเทพสิงหารจึงอุบัติขึ้นในบัดนั้น



    ธุดงค์สู่เมืองนักปราชญ์

    4 ปีในการพำนักอยู่ด้วยกันของทั้งสองท่านในวัดเทพสิงหาร นับเป็นเวลามากมายสำหรับนักปฏิบัติสองคนจะได้แลกเปลี่ยนข้อธรรม และแสดงอุปนิสัยแก่กันจนเป็นที่พอใจแก่กัน ดังนั้นถึงเวลาแล้วที่จะได้ออกเดินทางไกลร่วมกันสักครั้งหนึ่ง พระอาจารย์มั่นกับหลวงปู่เครื่อง ออกธุดงค์สู่เมืองอุบลราชธานี

    สำเร็จลุน

    ถึง อุบลฯ หลวงปู่เครื่องได้แยกทางกับพระอาจารย์มั่นมุ่งหน้าต่อไปทางทิศตะวันออกสู่ อำเภอโขงเจียม ตะวันออกสุดแดนสยาม ข้ามเขตแดนประเทศเข้าสู่แผ่นดินลาว เป้าหมายคือ สำเร็จลุน ขณะนั้นสำเร็จลุนมีอุโฆษแห่งชื่อชนิดไม่ที่กั้นไว้ได้เป็นผู้ที่ถูกประมวล ไว้ด้วยความลี้ลับ อภินิหาร และฉกาจแห่งขลังอย่างไม่มีใครระบือเท่า ขณะนั้นท่านพำนักอยู่วัดเขาแก้ว แขวงเมืองจำปาศักดิ์ ซึ่งนั่นคือที่ซึ่งหลวงปู่เครื่องเดินออกไปหา

    ฝากตัวเป็นศิษย์

    หลวง ปู่เล่าว่าได้อยู่ศึกษาวิชาอาคมและปฏิบัติธรรมกับสำเร็จลุนเป็นเวลา 3 ปี ได้เห็นอภินิหารของท่านมากมาย เช่นบางครั้งลงจากเขาไปบิณฑบาตที่หมู่บ้าน พอจะกลับ สำเร็จลุนหายตัวไปเฉยๆ เมื่อท่านกลับถึงวัดก็พบสำเร็จลุนนั่งรอฉัน

    นี่เป็นเรื่องแปลกที่พบเห็นบ่อยที่สุด

    สำเร็จ ลุนมักอยู่ในถ้ำตลอดเวลาทั้งกลางวันและกลางคืนเว้นแต่บิณฑบาตเท่านั้นจึงจะ ออกมา หลวงปู่เครื่อง ก็เป็นศิษย์อีกคนหนึ่งที่ไม่ใคร่จะพูดถึงสำเร็จลุนผู้เป็นอาจารย์ เหมือนคนอื่นๆที่ไม่อยากพูด
    ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น คำถามนี้ผมยังหาคำตอบที่แน่ชัดไม่ได้

    พระอาจารย์เสาร์

    เมื่อสำเร็จลุนเห็นว่าหลวงปู่เครื่องพอจะเอาตัวรอดได้แล้ว จึงแนะนำให้ท่านไปหา พระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีโล สหธรรมิกของสำเร็จลุน เคยอยู่ปฏิบัติธรรมด้วยกันบนภูเขาควาย ท่านให้เหตุผลว่า “การยึดติดอยู่กับครูบาอาจารย์ ไม่มีทางพ้นทุกข์ได้ ไม่อาจพบยอดธรรมอันวิเศษโดยง่าย อาจาร์คือผู้ชี้ทางเดินให้แค่นั้น” 3 ปี กับสำเร็จลุนก็สิ้นสุดลง

    ท่องไพรฉบับธุดงค์

    สำเร็จ ลุนไม่ประสงค์ให้หลวงปู่เครื่องยึดติดอยู่กับครูบาอาจารย์ ชะเนาะขันเกลียวระหว่างศิษย์กับอาจารย์ก็คลาย อิสรภาพของศิษย์ก็อุบัติขึ้น แต่ความโดดเดี่ยวอ้างว้างกลับเข้ามาครอบงำแทน แม้คำแนะนำเชิงคำสั่งให้หลวงปู่เครื่องไปหาพระอาจารย์เสาร์ กันตสีโล จะยังก้องในหู ทว่าเสียงเพรียกแห่งป่าดงพงพียังร่ำให้ท่านก้าวเข้าไปหา สมบัติอันล้ำค่าของนักปฏิบัติรอท่านค้นเอาอยู่ในนั้น
    ยังก่อนพระอาจารย์เสาร์
    ต้องป่าวิเวกเป็นปัจจุบันเท่านั้น
    เมื่อ ออกจากพระอาจารย์สำเร็จลุนแล้ว ท่านได้วิเวกไปทางแขวงวังเวียงที่ยังคงขึ้นอยู่กับจำปาศักดิ์ พื้นที่ทั้งหลายเป็นป่าดงดิบ ห้อมล้อมหนาแน่นและกว้างไกล จนเป็นเหตุให้ท่านต้องวนเวียนอยู่ในป่าแถบนั้นเป็นเวลานานถึง 2 ปี เหมือนว่าหลงป่า และมีป่าเป็นที่เลี้ยงชีพ มีผลไม้ป่าบรรเทาความหิวและเติมกำลังให้เดินหน้าไปได้ไม่จอดสนิทกับที่
    ข้อ เท็จจริงของป่าเมืองลาวนั้น ถ้าผู้ไม่รู้จักคุ้นเคยกับเส้นทางที่ทอดแทรกไปป่าที่เชื่อมหมู่บ้านหรือ เมืองทั้งเมืองเอาไว้ สภาวะของคนหลงป่าย่อมเกิดขึ้นได้ง่าย
    คำพูดที่ว่า “ป่าดงดิบ” มันเป็นคำพูดที่ง่ายเกินไป แต่ความเป็นจริงแล้วมันยิ่งใหญ่เกินประมาณ อย่างเช่นพื้นที่ป่าเขาแถบริมโขงด้านโขงเจียม หรือศรีเมืองใหม่ ถ้าเดินออกไปไม่ถูกทิศ บอกได้ว่าทั้งเดือนหรือทั้ง 3 เดือน คุณจะไม่มีวันพบบ้านเรือนผู้คนเลย
    ป่าดงดิบก็ดูจะเบาไปหน่อยเมื่อเปรียบกับน้ำหนักป่าเมืองลาวที่แท้จริง

    บ้านชาวไทยเขินกับผีเฮี้ยน

    ใน วันหนึ่งในระหว่าง 2 ปี ที่ท่านวนเวียนในป่าแขวงวังเวียง ท่านเดินเท้าถึงภูพระมอม ซึ่งที่นั่นมีหมู่บ้านป่าซุกตัวอยู่แห่งหนึ่ง เป็นหมู่บ้านของพวกไทยเขิน หมู่บ้านใหญ่พอสมควร ถึงกับมีวัดสวยงามเก่าแก่อยู่ประจำด้วย พวกชาวบ้านได้นิมนต์หลวงปู่เครื่องอยู่จำพรรษา ซึ่งท่านก็รับ เนื่องจากว่าแม้เป็นวัดงดงามเก่าแก่ แต่กลับไม่มีพระเณรอยู่ประจำแต่อย่างใด
    ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น
    ไม่มีกุลบุตรใดในหมู่บ้านนี้มีศรัทธาหรืออย่างไร
    ไม่มีชาวบ้านคนไหนเอาใจใส่บำรุงพระเณรให้อยู่ได้รึ
    คำตอบคือไม่ใช่
    จิต หรือใจหรืออะไรที่นึกรู้ได้นั้น บอกหลวงปู่ว่านี่คือวัดเฮี้ยนที่เอาเป็นเอาตายแก่พระเณรที่มาอยู่อาศัยจน กระทั่งอยู่ไม่ได้ หรือพากันตายไปเอง
    ที่นึกรู้ก็เป็นว่านึกรู้ได้ถูกต้อง เมื่อชาวบ้านสารภาพว่า ที่นี่ได้มีผีดิบอาละวาดมาเนิ่นนานแล้ว
    4 เดือนที่ผ่านมา มีคนตายเพราะผีดิบ 40 คน
    ผีดิบไม่ใช่ผีสุก
    ผีสุกคือผีที่ถูกเผา ผีดิบคือผีที่ฝังดิน ไม่ใช่ผีอย่างท่านเคาน์แดร็กคิวล่า หรอกครับ

    คาถาปราบ

    หลวง ปู่เล่าว่าระหว่างพำนักที่วัดแห่งนั้น ท่านเจริญพระคาถาขันธปริตรจนได้ผลดี ผีเฮี้ยนหรืออะไรที่ทำให้คนตายไม่มีสาเหตุก็จางหาย ความร่มเย็นเป็นสุขก็คืนกลับมาสู่หมู่บ้านและวัดแห่งนั้นอีกครั้งหนึ่ง

    หนีพระอาจารย์เสาร์ไม่พ้น

    ออก พรรษาแล้วท่านก็ออกจากป่าที่เรียกว่าหลงอยู่ 2 ปีได้สำเร็จ ท่านสามารถจับทิศทางการเดินธุดงค์ได้โดยไม่สะเปะสะปะอย่างเก่า และคราวนี้ท่านเดินขึ้นเหนือมุ่งสู่เวียงจันทน์

    “ขึ้นเวียงจันทน์ก็มีโอกาสได้พบพระธุดงค์จากเมืองไทยหลายท่าน และหนึ่งในจำนวนพระไทยที่ได้พบก็คือพระอาจารย์เสาร์ กันตสีโล”

    น่าเสียดายที่ไม่มีรายละเอียดของการอยู่กับพระอาจารย์เสาร์ แต่เมื่อแยกจากพระอาจารย์เสาร์แล้ว ชีวิตธุดงค์ของหลวงปู่ก็ดำเนินต่อไป



    30 ปีในเมืองลาว

    หลวง ปู่เครื่องแทบจะเป็นพระลาวไปแล้ว เมื่อรวมยอดเวลาทั้งหมดที่ท่านโคจรอยู่ในแผ่นดินลาวนับได้ 30 ปี ถ้าไม่มีสงครามอินโดจีน ท่านคงจะอยู่ที่นั่นนานกว่านี้ ระหว่างสงครามท่านเดินทางกลับประเทศไทย ขณะนั้นอายุของท่านปาเข้าไปถึง 60 ปีแล้ว และได้ใช้ชีวิตธุดงค์ต่อไปในประเทศไทย เดินออกไปทั่วภาคอีสาน ล่องลงจนถึงกรุงเทพฯ ตลอดเวลาที่สงครามดำเนินอยู่ จนกระทั่งสงครามสงบ แผ่นดินลาวก็กวักมือเรียกท่านให้เดินเข้าไปหาอีกครั้ง

    ภูเงี้ยว

    กลับ เข้าเมืองลาวครั้งนี้ท่านขึ้นภูเงี้ยว ท่านเล่าว่าสัณฐานของภูเงี้ยวเป็นภูเขาสูงชัน ทรงสี่เหลี่ยม มีถ้ำมากมาย และมีค้างคาวอาศัยอยู่เป็นจำนวนมหาศาล แต่แปลกที่ไม่มีกลิ่นของขี้ค้างคาวปรากฏเลย

    หมู่บ้านประหลาด

    ที่ เหลือเชื่อยิ่งขึ้นคือท่านพบหมู่บ้านอีกแห่งหนึ่ง ตั้งอยู่เชิงภูเงี้ยว มีครอบครัวชาวบ้านอยู่รวมกันราว 10 หลังคาเรือน คนทั้งหมดไม่ว่าหญิงชาย เด็กหรือคนหนุ่มสาว หรือคนชราล้วนตาบอดกันหมด แม้บอดตาแต่ไม่บอดใจ พวกเขาทราบว่าท่านเป็นพระธุดงค์ ก็พากันดีใจ ขอนิมนต์ท่านเทศนาโปรดเป็นการใหญ่ อิ่มเอิบทั่วกันในกลางป่าแห่งนั้น

    “หลวง ปู่ถามไถ่สาเหตุที่พวกเขาตาบอด ก็ได้ความว่าเมื่อก่อนต่างมีอาชีพฆ่าสัตว์ในโรงฆ่าสัตว์อยู่ในเมือง ต่อมาเกิดโรคระบาด เป็นตาแดงกันทั้งหมด รักษาไม่หาย จนกระทั่งตามองไม่เห็น”
    เมื่อ ตาบอดแล้วก็เป็นปัญหาในการอยู่ร่วมกับสังคม ทางการลาวจึงจัดที่อยู่ให้ และฝึกสอนอาชีพจักสานและงานฝีมือให้ได้ทำอยู่ที่นั่นเป็นที่เวทนาแก่หลวงปู่ ยิ่ง

    กลับวัดเทพสิงหาร

    หลวง ปู่เครื่องใช้ชีวิตในเมืองลาวคราวนี้นานถึง 10 ปี จนกระทั่งอายุดได้ 73 ปี จึงเดินทางกลับเมืองไทย สู่บ้านเกิด บ้านนายูง เข้าสู่วัดเทพสิงหารอีกครั้ง และอยู่อย่างมั่นคงที่นี่ไม่หนีไปไหนอีก อยู่เป็นหลักชัยแห่งการประพฤติปฏิบัติให้ชาวพุทธแถบนั้นยึดเหนี่ยวเป็น ตัวอย่างสืบไป

    1600-65eb.jpg
    พระอุโบสถวัดเทพสิงหาร อ.นายูง จ.อุดรธานี


    หลวงปู่เครื่อง ธมฺมจาโร กับหลวงปู่แหวน สุจิณโณ

    หลวง ปู่เครื่องกับหลวงปู่แหวนแห่งดอยแม่ปั๋ง ทั้งสองท่านรู้จักคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี เคยพบกันและเคยพำนักด้วยกันแต่ครั้งต่างยังโคจรอยู่ในแผ่นดินลาว และเมื่อพรากจากกันแต่คราวนั้นก็ไม่ได้พบกันอีกจนกระทั่งวันที่ 23 ก.พ. 2520 เวลาบ่ายโมงตรง คณะของหลวงปู่เครื่องก็ได้เดินทางขึ้นดอยแม่ปั๋ง ทำให้การพบกันครั้งนี้มีความหมายและความน่ารักน่าอบอุ่นปรากฏขึ้นอีก บทสนทนาต่อจากนี้ถอดออกจากเทปบันทึกเสียง มีหลายท่านได้ฟังและได้อ่านมักกล่าวแสดงความชื่นชมว่าน่ารักมาก สำหรับภิกษุชรา 2 ท่าน ได้ฟื้นความหลังกัน

    หมายเลข 1 จะแทนตัวหลวงปู่แหวน
    หมายเลข 2 จะแทนตัวหลวงปู่เครื่อง

    1. “อายุเท่าใดแล้ว อายุล่วงไปกี่ปี”
    2. “ร้อยกว่า”
    1. “ร้อยเท่าใด”
    2. “ร้อยเก้า”
    1. “ร้อยเก้าหรือ”
    2. “จะร้อยสิบเต็มในวันที่ 11 พฤษภาคมที่จะถึงนี้”
    1. “สาธุ มาคนเดียวก้อ หูยังยินก้อ ตายังดีอยู่เนาะ”
    2. “หูยังดี ตายังดีอยู่”
    1. “อันนี้ตาเทียม ตาจริงมัวหมดแล้ว” ปู่แหวนชี้ที่แว่นตาของท่านเอง
    2. “มาจำพรรษาที่นี่นานหรือยัง”
    1. “ได้สิบสี่ปี สิบห้าปีแล้วเน้อ”
    อาจารย์หนูกล่าวย้ำ “มาอยู่ที่นี่ได้สิบห้าปีแล้ว”

    พระราชสิทธาจารย์ “หลวงปู่แหวนนี่อยู่มาหลายที่ เมื่อก่อนอยุ่บ้านเต่าเห่โน่น หลวงปู่แหวนเป็นพระลูกวัด ส่วนอาจารย์หนูเป็นเจ้าอาวาส”
    อาจารย์หนู “ทหารเขาเอาคนหนุ่มมาเป็น คนแก่ไม่เอา”
    2. “คนแก่เป็นทหารไม่ได้นะ”
    1. “จำเป็นต้องเป็นเจ้าปู่เจ้าตาต่อไป” และกล่าวต่อไปอีกว่า “ปู่หม่อน ปู่หม่อน” (หมายถึงปู่ทวด)

    1. “แต่เดิมอยู่บ้านใดก้อ”
    2. “บ้านนายูง”
    1. “บ้านผือ บ้านนายูงนี้ก้อ”
    2. “ใช่แล้ว”
    1. “บ้านนายูง บ้านน้ำซึม เคยไป”

    หลวงปู่เครื่องเอะอะว่า “นึกว่าใคร จำได้แล้ว”
    1. “มีบ้านนาหมี นายูง นาต้องเน้อ แต่เดิมเป็นป่ามืดน้อ”
    2. “จำได้อยู่ เคยไปอยู่ร่วมกัน แต่มันนานมาแล้ว”
    1. “เมื่อปี 2461 อยู่จำพรรษาบ้านคำต้องเน้อ สมัยนั้นเป็นป่าดง คนไปฆ่าสัตว์กันมาก เดี๋ยวนี้จึงมาเกิดเป็นคนเต็มบ้านเต็มเมือง”
    2. “ขอนั่งตามสบายนะ”
    1. “เอ้า, นั่งตามสบาย เหยียดแข้ง เหยียดขาให้สบายเน้อ”
    2. “ไม่ไปเยี่ยมบ้านบ้างหรือ”
    1. “ไปเยี่ยมแต่ปี 2461 บรรดาญาติโยมมาตามเอาที่บ้านนาหมีนายูง ไปอยู่สามวันมีคนมาเยี่ยมเจ็ดแปดสิบหมู่บ้านจึงอยู่ต่อไปอีก ถึงเดือน 7 ขึ้น 3 ค่ำ ขอลาศรัทธาญาติโยมทุกๆ คนเน้อ ลาครั้งนี้ไม่มีกำหนดเน้อ” หลวงปู่แหวนกล่าวต่อไปอีกว่า “ตั้งแต่นั้นมาไม่ได้ไปอีกเลย”

    พระราชสิทธาจารย์ “มีลูกหลานมาเยี่ยมบ้างไหม”
    1. “มีเหมือนกันแต่จำเขาบ่ได้” แล้วหันมาถามหลวงปู่เครื่องว่า “เคยไปเรียนหนังสือกับอาจารย์หงษ์ อาจารย์สิวที่บ้านลาเขาใหญ่ อุบลฯ บ้างหรือไม่”
    2. “เคยไปอยู่สี่ห้าปี”
    1. เมื่อแต่ก่อนเคยไปเหมือนกัน ครูบาอาจารย์เอาหนังสือไส่หลังช้างมามากเน้อ”

    พระเจ้าอยู่หัวเสด็จเยี่ยม

    เมื่อ เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2519 พระเจ้าอยู่หัวเสด็จเยี่ยมพสกนิกรที่บ้านน้ำทรง ต.นางัว อ.น้ำโสม จ.อุดรธานี หลวงปู่เครื่องได้เข้าเฝ้ารับเสด็จพระเจ้าอยู่หัว และกราบบังคมทูลความประสงค์จะก่อสร้างพระอุโบสถ วัดเทพสิงหาร พระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ถวายพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์จำนวน 28,000 บาท เป็นทุนเริ่มต้นในการก่อสร้างพระอุโบสถ บรรดาข้าราชบริพารร่วมกันถวายเพิ่มเติมอีก 35,000 บาท ภายหลังพระอุโบสถสร้างสำเร็จ พระเจ้าอยู่หัวพระราชทานพระปรมาภิไธยย่อ “ภปร.” ไว้ประดิษฐานที่หน้าบันพระอุโบสถด้วย


    อภินิหาร

    กำนัน สุรชาติ ชำนาญศิลป์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) จ.อุดรธานี เล่าว่า เคยถูกผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ (ผกค.) กลุ่มหนึ่งจากภูซาง ใกล้อำเภอน้ำโสม จับตัวไปเรียกค่าไถ่ ตอนกลางคืนผกค.หลับยาม ก็พยายามดิ้นรนเพื่อให้หลุดจากเชือกที่พันธนาการตนเอง แต่ก็ดิ้นไม่หลุด จนเหนื่อยและอยากจะหลับไป ก่อนหลับได้อธิษฐานขอบารมีหลวงปู่เครื่องให้ช่วย จนกระทั่งในที่สุดก็หลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อน

    พอลืมตาตื่นในวันรุ่ง ขึ้นเชือกที่พันธนาการหลุดออกหมด ผกค. หายตัวไปหมด ไม่ทราบว่าใครมาช่วยหรือ ผกค. เกิดเปลี่ยนใจอย่างไร พอลงจากภูซางได้ก็รีบบึ่งไปกราบหลวงปู่เครื่อง และถวายตัวเป็นศิษย์แต่นั้นมา

    มรณภาพ

    วัน ที่ 26 พฤศจิกายน 2523 หลวงปู่เครื่องได้มรณภาพลง ในขณะมีอายุได้ 112 ปี ปัจจุบันอัฐิธาตุของท่านประดิษฐานอยู่ที่วัดเทพสิงหาร ศิษย์หรือใครก็ตามสามารถไปนมัสการได้ทุกวัน...

    โอวาทธรรม

    “จิต มนุษย์มีพลังมหาศาล จะทำอะไรก็มักสำเร็จ ก็เพราะมีดวงจิตที่เป็นกำลังสำคัญ จิตดวงเดียวสำคัญที่สุด…จิตมันบอกลักษณะไม่ได้ แต่มันก็มีความรู้สึกอยู่ภายใน…เว้นแต่ว่ามนุษย์เกิดมาแล้ว จะเอาดีหรือเอาชั่วเท่านั้น มันเป็นขั้นตอนอยู่ตรงนี้ถ้าเอาดีก็ต้องได้ของดีมาประดับตัวแน่นอน…”

    “มนุษย์ ควรเจริญด้วยธรรม ๔ ประการ คือ อายุ วรรณะ สุขะ พละ ย่อมเจริญแก่ผู้มีปกติในข้อวัตรปฏิบัติธรรม คือ ความดีมีศีลธรรมนั้นเองจะช่วยได้…”



    ข้อมูลจากนิตยสารศักดิ์สิทธิ์
    โดย...อำพล เจน
    http://www.suankhung.com/index.php?l...6598&Ntype=777


    ข้อมูลอ้างอิง : http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=13&t=20253
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    เหรียญ หลวงปู่เครื่องธนาคารกรุงเทพสร้างรุ่นนี้มีประสบการณ์แคล้วคลาดจากกระสุนปืนมีนักการเมืองถูก m16 ยิงใส่จนรถพรุนทั้งคันแต่ไม่ถูก
    ให้บูชา
    200 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20240121_193636.jpg IMG_20240121_193558.jpg
     
  12. sunmk

    sunmk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2020
    โพสต์:
    1,131
    ค่าพลัง:
    +912
    จองพระผงพิมพ์พระพุทธชินราช วัดเจดีย์ยอดทอง
     
  13. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,685
    ค่าพลัง:
    +21,337
    chob.jpg
    หลวงปู่เตือนเสมอถึงภัย ๔ อย่างของพระกรรมฐาน ท่านได้สอนศิษย์ของท่านควรระวัง...
    “ระวังเหมือนถ้าเฮาจะลงไปในฮ้วงน้ำข้ามโอฆสงสาร
    ก็ต้องระวังภัย ๔ อย่างคือ คลื่น หนึ่ง จระเข้ หนึ่ง วังน้ำวน หนึ่ง...และ ปลาร้าย อีกหนึ่ง”

    ท่านบอกให้ศิษย์ระวัง “ทั้งคลื่น ทั้งจระเข้ ทั้งวังน้ำวน และปลาร้าย

    ความดื้อดึง ไม่อดทนเชื่อฟังต่อโอวาทที่ครูบาอาจารย์พร่ำสอนและนำเปรียบด้วยภัย คือ คลื่น

    ความเห็นแก่ปากแก่ท้อง เห็นแก่หลับแก่นอน ไม่บำเพ็ญเพียร เปรียบด้วยกับ จระเข้

    กามคุณ ๕ อย่าง...รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เปรียบด้วยภัย คือ วังน้ำวน

    ใครหลงติดกามคุณทั้ง ๕ นี้ก็จะ “ติด”
    เหมือนลิงติดตังอยู่ในวังน้ำวน และมีแต่จะถูกกระแสน้ำดูดจมลงอย่างไม่ต้องสงสัย มาตุคาม
    ที่พระพุทธเจ้าสอนพระอานนท์ไว้ก่อนจะเสด็จปรินิพพานว่า...


    ควรหลีกเลี่ยงไม่พบปะด้วย...หากจำต้องพบปะก็ไม่ควรพูดด้วย...หากจำต้องพูดด้วย
    ก็ต้องพูดด้วยความสำรวมมีสติ...ท่านเปรียบด้วยภัย คือ ปลาร้าย...


    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    พระผงรูปเหมือน 93 ปีหลวงปู่ชอบ องค์นี้พิเศษด้านหลังติดจีวร หายาก ให้บูชา 300 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ
    IMG_20240121_193030.jpg IMG_20240121_193058.jpg
     
  14. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,685
    ค่าพลัง:
    +21,337
    paragraphparagraphparagraph__11_128.jpg
    ประวัติและปฏิปทา
    พระครูสุนทรศีลขันธ์
    (หลวงปู่สิงห์ทอง ปภากโร)

    วัดป่าสุนทราราม (วัดบ้านกุดแห่)
    ตำบลกุดแห่ อำเภอเลิงนกทา จังหวัดยโสธร

    ๏ ชาติภูมิ

    “พระครูสุนทรศีลขันธ์” หรือ “หลวงปู่สิงห์ทอง ปภากโร” มีนามเดิมว่า สิงห์ทอง ประมูลอรรถ เกิดเมื่อวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๔๖๘ ตรงกับวันพฤหัสบดี ขึ้น ๗ ค่ำ เดือน ๔ ปีฉลู จุลศักราช ๑๒๘๗ ณ บ้านกลางใหญ่ ต.กลางใหญ่ อ.เขื่องใน จ.อุบลราชธานี โยมบิดา-โยมมารดาชื่อ นายบ่อง และนางอูบ ประมูลอรรถ มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันทั้งหมด ๓ คน ท่านเป็นบุตรคนโต มีรายชื่อตามลำดับดังนี้

    (๑) หลวงปู่สิงห์ทอง ปภากโร
    (๒) นางรั้ว ประมูลอรรถ
    (๓) นางทองดำ ประมูลอรรถ (แม่ชีทองดำ)

    ก่อนที่ท่านจะมาปฏิสนธิในครรภ์โยมมารดานั้น ในคืนหนึ่งโยมมารดานิมิตฝันว่า มีชายแก่คนหนึ่งเอางาช้างยาวใหญ่สีขาวบริสุทธิ์มามอบให้ แล้วสั่งกำชับว่า “งาช้างนี้เป็นมงคล ขอให้รักษาไว้ให้ดีเพื่อเป็นมรดกของเจ้า ห้ามไม่ให้ผู้ใดใครคนหนึ่งเอาไปเป็นกรรมสิทธิ์อย่างเด็ดขาด” ไม่นานนักโยมมารดาของท่านก็ได้ตั้งครรภ์ และได้พยายามถนอมรักษาครรภ์เป็นอย่างดี จนครบทศมาส ๑๐ เดือนแล้วคลอดออกมา เมื่อถึงเวลาคลอดตามปกติของผู้มีบุญญาบารมี แต่โบราณว่าไว้จะผิดธรรมชาติ นั่นคือเวลาคลอดท่านเอาก้นหรือขาออกมาก่อน เป็นที่ลำบากของโยมมารดาอย่างยิ่ง เมื่อคลอดออกมาได้โยมมารดาเจ็บปวดอย่างหนักแทบขาดใจถึงกลับสลบไป ผู้เฒ่าผู้แก่ต้องเอาผ้าถุงมาพัดโบกให้จนฟื้นเป็นปกติ หมอตำแยได้ตัดสายรกสายสะดือ ล้างเช็ดตัวให้สะอาด เอาไปวางนอนในกระด้ง หลังจากนั้นโยมบิดา-โยมมารดาก็เลี้ยงดูด้วยความรักตลอดมา โดยมี “โยมป้าตาล” เป็นผู้อุปการะดูแลเปรียบเสมือนโยมมารดาอีกคนหนึ่ง เมื่อท่านอายุได้ ๒ ขวบโยมป้าตาลก็ตายจากไป โยมบิดา-โยมมารดาจึงได้เลี้ยงดูจนเติบโตเป็นผู้ใหญ่

    ปี พ.ศ. ๒๔๗๑ โยมบิดา-โยมมารดาได้อพยพย้ายครอบครัวมาอยู่บ้านกุดแห่ ต.กุดเชียงหมี อ.เลิงนกทา จ.อุบลราชธานี (จ.ยโสธร ในปัจจุบัน) เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์ดี

    ๏ การบรรพชาและอุปสมบท

    ปี พ.ศ. ๒๔๘๗ เมื่ออายุ ๑๙ ปี ท่านได้เข้าพิธีบรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดสำราญนิเวศ (พระอารามหลวง) ต.บุ่ง อ.อำนาจเจริญ จ.อุบลราชธานี (อ.เมือง จ.อำนาจเจริญ ในปัจจุบัน) โดยมี พระครูทัศนวิสุทธิ์ (พระมหาดุสิต เทวีโร) เป็นพระอุปัชฌาย์

    หลังจากบรรพชาแล้ว ได้มาจำพรรษาอยู่กับ พระอาจารย์ดี ฉนฺโน ณ วัดป่าสุนทราราม ต.กุดแห่ อ.เลิงนกทา จ.ยโสธร เป็นเวลา ๑ ปี แล้วก็ได้ลาสิกขามาประกอบอาชีพเลี้ยงดูโยมบิดา-โยมมารดา และน้องสาวทั้งสอง เพราะโยมบิดาป่วยด้วยโรคเรื้อรัง โรคหืด ครั้นเมื่อน้องสาวทั้งสองของท่านมีครอบครัว ท่านได้มอบสมบัติให้น้องๆ ไปทั้งหมด แล้วท่านก็ออกไปอุปสมบทเป็นพระภิกษุตามคำสั่งของพระอาจารย์ดี ฉนฺโน

    นิมิตก่อนที่หลวงปู่สิงห์ทองท่านจะตัดสินใจออกบวช มีความดังนี้ ในปี พ.ศ. ๒๔๙๐ คืนหนึ่งท่านได้ฝันไปว่า มีผู้เฒ่าผมขาวทั่วหัวถือฆ้อนกระบองเพชรมีหนาม ไล่ตามหมายจะเอาชีวิตท่าน ท่านก็วิ่งหนีตั้งแต่บ้านของท่านจนถึงนานายแปลง ห้วยหินลับ วิ่งไล่กันขึ้นไปบนเถียงนา ท่านก็กระโดดจากเถียงนาหนีไปหลบซ่อนที่กองฟาง ผู้เฒ่าคนนั้นหาไม่เจอจึงไปถามนายเผย คูณศรี เพื่อนของท่านว่า “แกเห็นเซียงสิงห์ทองวิ่งมาทางนี้ไหม” นายเผยตอบว่า “ไม่เห็น” ผู้เฒ่าคนนั้นจึงเดินไปอีกทาง ส่วนท่านพอผู้เฒ่าไปแล้วก็วิ่งหนีกลับบ้านด้วยความกลัว จนสะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกกลัวอยู่ เหนื่อยจนหายใจหอบ

    เมื่อตั้งสติได้ ท่านก็ได้สวดมนต์ไหว้พระ ระลึกถึงพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ เมตตาพรหมวิหาร ๔ แล้วตั้งใจนั่งสมาธิ ตั้งแต่เวลาประมาณตีสองจนถึงเช้า พอสายท่านได้ไปกราบนมัสการเพื่อขอรดน้ำมนต์กับพระอาจารย์ดี ฉนฺโน ทำให้รู้สึกสบายใจขึ้น จากนั้นจึงได้พิจารณาถึงความตาย ว่าสัตว์ทั้งหลายหนีไม่พ้น ดังเพื่อนๆ หลายคนที่ได้ตายลงไป จึงมีความคิดที่จะออกบวช

    และในปี พ.ศ. ๒๔๙๓ ท่านได้ฝันว่าตัวเองถึงแก่ความตาย ร่างถูกบรรจุลงโลงถูกหามจะนำไปเผาที่วัดป่าสุนทราราม มีผู้ชาย ๔-๕ คนหามไป ไม่มีพระมาสวดมาติกาบังสกุลเลย หามเวียนรอบกองฟอนครบสามรอบ ก็ยกโลงศพวางบนกองฟอนใกล้ต้นมะตูม วิญญาณของท่านออกจากร่างไปอยู่บนกิ่งต้นมะตูม แล้วมองดูร่างของท่านซึ่งกำลังถูกเผาไหม้ ท่านร้องตะโกนบอกว่า “สูเอากูมาเผา แต่กูไม่ร้อนดอก” แต่ไม่มีใครพูดตอบ ชายเหล่านั้นก็กลับบ้านไป ปล่อยให้ท่านอยู่เพียงคนเดียว ท่านจึงลงมาดูศพของท่านที่ถูกเผาจนหมด ไฟก็ดับมอดลง ในกองฟอนเหลือแต่เถ้ากับกระดูก จึงคิดตรองว่าจะทำอย่างไรดี ทันใดนั้นก็คิดว่าเราจะเอากระดูกมาปั้นเป็นรูปพระ จึงหาเอาครกกับสากมาบดตำให้ละเอียด เอาน้ำสะอาดมาผสม แล้วปั้นเป็นรูปพระ เมื่อปั้นเสร็จไม่รู้จะเอาไปไว้ที่ไหน คงต้องทิ้งลงกองฟอนอีกเป็นแน่ แต่แล้วท่านก็สะดุ้งตื่นจากฝัน เมื่อตั้งสติได้จึงแปลความฝันว่า เราคงตายจากเพศคฤหัสถ์แน่ คงได้อุปสมบทเร็ววันนี้เป็นแน่แท้

    ครั้นมีอายุ ๒๖ ปี ท่านได้เข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุ เมื่อวันที่ ๒๙ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๙๔ ณ อุโบสถวัดป่าสุนทราราม โดยมี พระครูภัทรคุณาธาร เป็นพระอุปัชฌาย์ และ พระอาจารย์ดี ฉนฺโน เป็นพระกรรมวาจาจารย์ เมื่ออุปสมบทแล้ว ก็อยู่ศึกษากับพระอาจารย์ดี ฉนฺโน และเป็นพระอุปัฏฐากรับใช้ตลอดมา

    พระครูวิมลสีลาภรณ์ (หลวงปู่เนย สมจิตฺโต) วัดป่าโนนแสนคำ ต.เจริญศิลป์ อ.เจริญศิลป์ จ.สกลนคร ได้เข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ เขตวิสุงคามสีมาวัดป่าสุนทราราม (วัดบ้านกุดแห่) จ.ยโสธร เมื่อวันที่ ๒๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๐๐ โดยมีพระครูภัทรคุณาธาร (บุญ โกสโล ป.ธ.๔) วัดพรหมวิหาร ต.สวาท อ.เลิงนกทา จ.ยโสธร เป็นพระอุปัชฌาย์, พระครูสุนทรศีลขันธ์ (พระอาจารย์สิงห์ทอง ปภากโร) เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระสมุห์อุ้ย เป็นพระอนุสาวนาจารย์ เมื่ออุปสมบทแล้ว หลวงปู่เนยท่านได้เข้ารับฟังธรรมจากพระอาจารย์ดี ฉนฺโน เจ้าอาวาสวัดป่าสุนทราราม (วัดบ้านกุดแห่) ในขณะนั้น อยู่เป็นสม่ำเสมอและบ่อยๆ
    http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?t=42461
    https://www.banmuang.co.th/mobile/news/region/205708

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    ลองอ่านประวัติท่านดูก่อนครับ ศิษย์สายหลวงปู่มั่น ผู้มีอาวุโสสูง
    รูปหล่อรุ่น 2 หลวงปู่สิงห์ทอง ที่ระลึกตึกสงฆ์อาพาธ ให้บูชา 300 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ
    img_20231222_230132-jpg.jpg img_20231222_230158-jpg.jpg img_20231222_230103-jpg.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มกราคม 2024
  15. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,685
    ค่าพลัง:
    +21,337
    1703001808857-jpg.jpg
    หลวงตาพวง สุขนทร์โย (ศษย์หลวงปู่มั
    น)
    พระอริยเจ้าลุ่มน้ำชี วัดศรีธรรมาราม
    อ.เมือง จ.ยโสธรหลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ กล่าวถึง หลวงตาพวงชื่อเสียงของหลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ แห่งวัดบ้านไร่ อำเภอด่านนทด จังหวัดนครราชสีมา ย่อมเป็นที่รู้จักกันดีในสายวงวัตถุมงคลโชคลาภ ของคนไทยทั่วประเทศเพราะด้วยปฏิปทาที่เรียบง่ายสมถะและเมตตาแก่ทุก ๆ คนที่ไปหามิใช่แต่ชาวจังหวัดนครราชสีมาที
    เลื่อมใสและศรัทธาท่าน ชาวยโสธรเอ
    งก็เช่นเดียวกันที่เลื่อมใสศรัทธาในวัตร
    ปฏิบัติ และพากันไปกราบนมัสการ
    หลวงพ่อคูณ เพื่อความเป็นสิริมงคล
    รวมทั้งขอวัตถุมงคลเพื่อคุ้มครองป้อ
    งกันภยันตรายต่าง ๆมิได้ขาด
    แต่ทุก ๆ ครั้งที่ชาวยโสธรไปกราบ
    นมัสการหลวงพ่อคูณนั้น หากท่าน
    ทราบว่าเป็นชาวยโสธรแล้วหลวงพ่อ
    คูณท่านจะไม่ยอมให้วัตถุมงคล และ
    บอกว่าให้กลับไปเอาที่ยโสธร ท่านมัก
    จะพูดว่า "ที่ยโสธรมีคนเก่งกว่ากูมีอีก
    ผมหงอก ๆ ขาว ๆ ที่นั่งอยู่ริมแม่น้ำซีนั่น
    แหละ ท่านหมดกิเลสแล้ว ท่านไม่แสดง
    เฉยๆ กูยังไม่ถึงเท่าท่านเลย ไป"
    เมื่อส่มภาษณ์หลวงตาพวง ถึงเรื่องนี้
    ท่านก็เล่าให้ฟังว่า "ก็เคยได้ยินมาจากจะ
    หมู่บ้านที่อยู่ในเขตของอำเภอพนมไพร
    จังหวัดร้อยเอ็ดญาติโยมหลายสิบคนแล้ว ที่เล่าให้ฟังเหมือนกันว่าเมื่อชาวยโสธรไปกราบหลวงพ่อคูณ ท่านมักจะไล่กลับมาหาหลวงตา"หลวงตาเองก็ไม่เคยได้พูดคุยกับหลวงพ่อคูณสักครั้งเดียว หลวงตาก็เคยไปวัดบ้านไร่มาสองครั้ง แต่ไม่เคยมีโอกาสพูดคุยกับท่านเพราะมีญาติโยมเป็นจำนวนมากจึงไม่มีโอกาสพูดคุยกัน
    หลวงพ่อคูณจะทราบได้อย่างไรก็ไม่
    ทราบหรืออาจเป็นเพราะมีลูกศิษย์เล่า
    ให้ฟังถึงประวัติหลวงตากระมัง"
    ปาฏิหาริย์หลวงตาพวง เดินบิณฑบาตร
    ข้ามแม่น้ำชีมีเรื่องเล่าขานกันในหมู่ชาวบ้านแถบลำน้ำชีอันเป็นที่ตั้งของ วัดศรีธรรมารามซึ่งหลวงตาพวงเคยจำพรรษาอยู่ ฝั่งตรงข้ามของวัดศรีธรรมารามเป็นหมู่บ้า
    นที่อยู่ในเขตของอำเภอพนมไพร
    จังหวัดร้อยเอ็ด ชาวบ้านเล่ากันว่ามีคน
    จังหวัดร้อยเอ็ด ชาวบ้านเล่ากันว่ามีคน
    ออกไปเก็บกับดักหนูที่ดักไว้ในช่วงเช้า
    มืดได้เห็นหลวงตาพวงออกเดินบิณฑบา
    ตโดยเดินบนแม่น้ำาชีจากวัดศรีธรรมา
    รามไปบิณฑบาตในหมู่บ้านฝั่งอำเภอ
    พนมไพรคุณสมจันทร์ โพธิศรี อยู่บ้านเลขที่ 68บ้านกุดกุง (คุ้มหนองแสง) ต. เขื่อนคำอ.เมือง จ. โสธร เล่าให้ฟังเป็นภาษาอิสานว่า "เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2538- 2539 เช้าวันหนึ่งข่อยไปดักหนูป่าแมะ ได้เห็นหลวงตาพวงเพิ่นเดินข้ามแม่น้ำชีไปแมะ ขอยนี้แหละเป็นผู้เห็น
    ท่านเองเลย" (คัดจากหนังสือโลกทิพย์)
    เมื่อถามเรื่องนี้กับหลวงตา หลวงตาก็
    ตอบว่า "เป็นเรื่องของเขาเห็นปรากฎใน
    สายตา หลวงตาไม่ค้าน ไม่ได้ปฏิเสธ
    ขาคงเห็นด้วยสายตาของเขา จะเล่า
    ลืออย่างไร หลวงตาไม่ได้พูด ไม่ได้อวด
    อะไร" แล้วหลวงตาก็เปลี่ยนเรื่องพูดถึง
    เรื่องหมู่บ้านในฝั่งอำเภอพนมไพรว่า
    "หลวงตาก็รับนิมนต์ไปสวดหรือไม่ก็ฉัน
    ที่หมู่บ้านฝั่งนี้เป็นประจำทุกวันออก
    พรรษาชาวบ้านทั้งหมู่บ้าน ก็พากันมา
    มอบกายถวายตัวเป็นลูกศิษย์ มากราบ
    ขอพรเพราะพวกเขาไม่มีที่พึ่งในหมู่บ้าน
    เขาจึงมาพึ่งหลวงตา เมื่อมีการงานอะไร
    พวกเขาก็มาช่วยเสมอ ๆ แม้แต่มาอยู่ที่
    วัดป่าใหม่นิคมพัฒนาราม พวกเขาก็ยัง
    มา"

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    พระผงรูปเหมือนหลวงตาพวงปลุกเสกอธิษฐานจิตไตรมาส 2540 ให้บูชา 300 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    img_20231219_230551-jpg.jpg img_20231219_230614-jpg.jpg img_20231219_230527-jpg.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มกราคม 2024
  16. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,685
    ค่าพลัง:
    +21,337
    พระผงเจ้าสัวมหาเศรษฐี 2546 หลวงพ่อซำวัดตลาดใหม่อำเภอวิเศษชัยชาญจ.อ่างทอง พิธีใหญ่ ครูบาอาจารย์ปลุกเสกหลายรูปเช่น ลพ.ทรง วัดศาลาดินลพ.มี วัดม่วงคัน และครูบาอาจารย์ท่านอื่นๆ ในอ.วิเศษชัยชาญ อ่างทอง 21 ปีผ่านมาแล้ว นะครับ
    ปิดทุกรายการ


    IMG_20240122_140730.jpg IMG_20240122_140640.jpg IMG_20240122_140519.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กุมภาพันธ์ 2024
  17. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,685
    ค่าพลัง:
    +21,337
    1649-c172.jpg
    ใช้กรรมเก่าตั้งแต่เด็ก

    ด้วยเหตุที่ต้องช่วยงานทางบ้านตั้งแต่เป็นเด็กเล็ก เด็กชายหลวงในขณะนั้นแม้อายุเพียง ๕ ขวบ วันหนึ่งขณะที่ได้ช่วยแม่ใช้มอง (ที่ตำข้าว) ตำขาวอยู่นั้น เด็กชายหลวงมิทันระวังตัว ไม้ค้ำมองตำข้าวได้เกิดล้มมาทับข้อเท้าข้างขวาอย่างจัง จนข้อเท้าพลิกเดินไม่ปกติตั้งแต่นั้นมา

    หลวงปู่หลวงท่านบอกว่า “เป็นกรรมเก่าของท่านเอง” ตั้งแต่อดีตชาติ เคยใช้เท้าขวาเตะผู้มีพระคุณ กรรมนั้นได้ตามมาส่งผลให้ต้องชดใช้ แม้จะล่วงเลยมานานนับอีกชาติหนึ่งก็ตาม ท่านว่ากรรมใดๆ ก็ตาม มิอาจตัดหรือลบล้างได้ ต้องชดใช้ เว้นแต่กรรมที่คู่กรณีต่างอโหสิกรรมต่อกันแล้วเท่านั้น จึงอาจระงับหมดไปได้ ยกเว้นกรรมที่เป็นอนันตริยกรรม คือ กรรมหนัก กรรมบางอย่างอาจขอผ่อนปรนจากหนักเป็นเบาได้ด้วยบุญกุศลที่ได้สร้างได้ทำ แต่ก็ยังต้องชดใช้บางส่วนที่เหลืออยู่ กรรมมันตามคอยส่งผลได้นับร้อยๆ ชาติ “คนเราทำกรรมก่อกรรมไว้ เมื่อตายไปก็ต้องชดใช้กรรมอยู่ในนรก จะยาวนานอย่างไรก็ตามความหนักเบาของกรรม พ้นจากนรกขึ้นมา ก็ต้องมาใช้เศษกรรมในภพภูมิอื่นต่ออีกจนหมดกรรม ใช่ว่าจะใช้กรรมหมดได้ในครั้งเดียว ชาติเดียว ครู่เดียว ฉะนั้น เราจึงไม่ควรประมาทในกรรม กรรมมันเป็นวิบาก กรรมมันตัดรอนเอาได้ทุกเมื่อ”

    จากอุบัติเหตุในครั้งนั้น มีผลให้เด็กชายหลวงต้องป่วยหนักจนเกือบตาย นางสียาได้ไปขอบนบวชไว้ว่า ถ้าลูกของนางหายจากการป่วยครั้งนี้ จะให้บวชเป็นพระ อันเป็นสาเหตุหนึ่งที่ฝังใจเด็กชายหลวง นำไปสู่ความคิดที่จะเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ แม้ในภายหลังก่อนที่นางสียาจะถึงแก่กรรม นางก็ยังได้สั่งเสียลูกชายในวาระสุดท้ายว่า “ขอให้ลูกหลวงบวชให้ได้”


    ๏ บวชเป็นพระในมหานิกาย

    ระหว่างนี้ นายหลวง สอนวงศ์ษา ได้ทำงานรับจ้างทั่วไป โดยเป็นช่างลูกมือการก่อสร้างบ้านและงานอื่นๆ เท่าที่จะหาได้ ทั้งในตัวจังหวัดอุดรธานีหรือแถบใกล้บ้าน เมื่อมีเวลาว่างก็เพียรศึกษาอ่านหนังสือธรรมะ และฝึกนั่งสมาธิตามตำราควบคู่กันไป ได้เห็นผู้คนรอบข้างต้องดิ้นรนทำมาหากิน ต้องเหน็ดเหนื่อยเมื้อยล้าอยู่แทบทุกวันตั้งแต่เช้ายันค่ำ วนเวียนอยู่เช่นนั้นเป็นกิจวัตร จะหาความสุขที่แท้จริงไม่ได้เลย ต่างมีภาระหน้าที่ที่ต้องทำเพื่อให้ชีวิตตนเองและครอบครัวอยู่ได้ บ้างก็พยายามสะสมเงินทองทรัพย์สมบัติ แต่ถึงจะยากดีมีจน มีฐานะ มีหน้าที่ มีชื่อเสียงเช่นไร ต่างก็หนีไม่พ้นที่จะต้องพบกับการเกิด การแก่ การเจ็บ และการตายไปได้ ไม่มีสิ้นสุด ชีวิตคนเราก็เท่านี้ ทำอย่างไรจึงจะพ้นจากวงเวียนแห่งกรรมเหล่านี้ไปได้

    นายหลวงยิ่งศึกษาธรรมะจากหนังสือ แม้ไม่มีผู้ใดชี้แนะสั่งสอนเป็นครูบาอาจารย์ คงมีแต่หลวงลุงที่วัดเท่านั้นที่จะพอพึ่งพาปรึกษาได้ในบางเรื่อง ถึงแม้หลวงลุงจะเป็นพระที่บวชในพระศาสนา แต่ท่านก็มีกิจภาระมากมาย ทั้งต้องยุ่งกับเรื่องทุกข์ของชาวบ้านที่มาพึ่งพาขอความช่วยเหลือจากท่าน ด้วยเหตุที่ท่านเป็นพระที่เก่งทางไสยศาสตร์ ไหนจะสอนงานหนังสือนักธรรมที่ทำอยู่ ก็ไม่พ้นเรื่องยุ่งๆ ทางโลก

    มีแต่หนังสือธรรมะที่หาอ่านได้เท่านั้น พอยึดเป็นแนวทางปฏิบัติได้ จะผิดถูกอย่างไรก็ตามที แต่เมื่อได้ทำสมาธิตามหนังสือแล้ว ก็เกิดผลจนน่าพอใจในระดับหนึ่ง จุดใดที่สงสัยก็ยังติดอยู่อย่างนั้น ไม่สามารถแก้ได้เอง คงทำตามความเข้าใจของตนเองเท่าที่ทำได้เท่านั้น ใจหนึ่งก็คิดอยากจะบวชเรียน เพื่อที่จะได้มีเวลาอ่านหนังสือและศึกษาธรรมให้เต็มที่ จะได้แสวงหาครูบาอาจารย์มาช่วยชี้แนะสั่งสอน ก็ได้แต่เพียงคิดดำริไว้ในใจเท่านั้น ยังหาโอกาสปล่อยวางภาระหน้าที่ไม่ได้สักที

    จนวันหนึ่งได้มีโอกาสไปช่วยอาทำการก่อสร้างกฏิพระที่วัด ก็ได้ปรารภกับอาว่า ถ้าได้บวชก็จะดี เพราะตอนนี้ก็มีอายุครบบวชได้แล้ว ได้ปรึกษากับญาติผู้ใหญ่คนอื่นๆ ก็เห็นดีด้วย อนุญาตให้ได้บวชตามประสงค์

    ครั้นเมื่อมีอายุได้ 22 ปีเต็มบริบูรณ์ ก็มีจังหวะที่ว่างเว้นจากหน้าที่การงาน หลวงลุงก็ได้ชวนให้บวชและไปอยู่ด้วยที่วัด จึงได้ทำการอุปสมบทเป็นพระภิกษุสงฆ์ในสังกัดมหานิกาย เช่นเดียวกับหลวงลุง คือ พระอาจารย์สีทอง พนฺธุโล ผู้เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้รับนามฉายาทางพระพุทธศาสนาว่า “ขนฺติพโลภิกฺขุ” ณ พัทธสีมาวัดศรีรัตนาราม อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร ในปี พ.ศ. ๒๔๘๕ นั่นเอง



    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    พระผงรูปเหมือนหลวงปู่สรวงกตปุญโญให้บูชา 120 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20240122_180136.jpg IMG_20240122_180158.jpg IMG_20240122_180113.jpg
     
  18. อาณัติ

    อาณัติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2006
    โพสต์:
    6,074
    ค่าพลัง:
    +22,254
    เหรียญหลวงปู่สามอกิญจโนปี 2531 วัดป่าไตรวิเวก
    ให้บูชา 120 บาท
    เหรียญพระอาจารย์วันอุตตโม ธนาคารกรุงไทยสร้าง
    ให้บูชา 120
    พระผงรูปเหมือนพิมพ์คะแนนจิ๋วหลวงปู่เริ่มปรโมให้บูชา 100 บาท

    ขอปิด 3 รายการ...
     
  19. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,685
    ค่าพลัง:
    +21,337
    หลวงพ่อโด่-อินทโชโต-วัดนามะตูม-อ.พนัสนิคม-จ.ชลบุรี.jpg
    87482017113102_view_resizing_images_1_.jpg
    หลวงพ่อโด่ อินทโชโต - พระครูพินิจสมาจาร
    วัดนามะตูม อ.พนัสนิคม จ.ชลบุรี

    "พระครูพินิจสมาจาร" หรือ "หลวงพ่อโด่ อินทโชโต" เจ้าอาวาสวัดนามะตูม อ.พนัสนิคม จ.ชลบุรี เป็นพระเกจิอาจารย์เรืองวิทยาคมรุ่นเก่าอีกรูปหนึ่งที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วภาคตะวันออก

    เกิดในสกุลชัยเสมอ เมื่อวันจันทร์ที่ 22 ต.ค.2420 ที่บ้านเนินมะกอก ต.นามะตูม อ.พนัสนิคม จ.ชลบุรี

    ในช่วงวัยเยาว์ บิดา-มารดาให้ไปอยู่ในความอุปการะของนายฮวด และนางแตงกวา คหบดีบ้านหัวสะพาน เรียนหนังสือขอมและหนังสือไทย

    กระทั่งอายุครบ 21 ปีเข้าพิธีอุปสมบท ที่วัดนามะตูม โดยมีพระอาจารย์เพ็ง วัดหน้าพระธาตุ เป็นพระอุปัชฌาจารย์, พระอาจารย์ปั้น วัดนามะตูม เป็นพระ กรรมวาจาจารย์ และพระอาจารย์คง วัดประชาระบือธรรม (วัดบางกระบือ) กรุงเทพฯ เป็นพระอนุสาวนาจารย์

    ศึกษาพระธรรมวินัยตามควรแก่พระนวกะสมัยนั้น จน พ.ศ.2446 ได้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดนามะตูม

    พ.ศ.2476 เป็นเจ้าคณะตำบลนามะตูม พ.ศ.2481 เป็นพระอุปัชฌาย์ พ.ศ.2503 เป็นเจ้าคณะอำเภอพนัสนิคม

    พ.ศ.2481 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นตรี ในราชทินนามที่พระครูพินิจสมาจาร

    พ.ศ.2511 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นเอก ในราชทินนามเดิม

    ศึกษาวิทยาคมอีกหลายแขนง โดยได้รับการถ่ายทอดมาจากหลวงพ่อเอี่ยม วัดนอก จ.ชลบุรี ส่วนด้านการแพทย์แผนโบราณนั้นท่านก็ได้ศึกษาจากหลวงพ่อปั้นและโยมจอกอย่างรอบรู้

    เป็นผู้ริเริ่มสร้างวัด 3 วัด คือ วัดเนินหลังเต่า ต.บ้านช้าง อ.พนัสนิคม, วัดทุ่งเหียง และวัดหนองยาง ต.หนองบอนแดง อ.บ้านบึง จ.ชลบุรี

    นอกจากนี้ ยังได้ซื้อที่ดินถวายวัดเกาะโพธิ์ ต.ท่าบุญมี เพื่อขยายให้กว้าง 1 ไร่ และสมทบสร้างโรงพยาบาลสงฆ์ที่ชลบุรี อุปการะเลี้ยงพระภิกษุ-สามเณรที่สำนักสงฆ์จิตภาวัน อ.บางละมุง

    สำหรับการบูรณะวัดวาอารามให้อยู่ในสภาพดี ทั้งวัดในปกครองและวัดที่อยู่ในความดูแลของท่าน สร้างตั้งแต่กุฏิ หอฉัน มณฑป อุโบสถ ศาลาการเปรียญ เมรุเผาศพศาลาหน้าเมรุ

    หลวงพ่อโด่ยังสร้างวัตถุมงคลเป็นจำนวนมาก ล้วนแต่ได้รับความนิยมจากบรรดานักสะสมนิยมพระเครื่อง อาทิ เหรียญหลวงพ่อโด่รุ่นแรก ปี พ.ศ.2496 เหรียญสร้างโบสถ์วัดบ้านใหม่ พ.ศ.2500 เหรียญฉลองเลื่อนสมณศักดิ์ พ.ศ.2503 เหรียญกลมและเหรียญจักร พ.ศ.2513 พระปิดตาท่านก็ได้สร้างไว้หลายรุ่น

    ท่านมีลูกศิษย์มากมาย ที่มีชื่อเสียงเป็นรู้จัก คือ หลวงปู่โทน กันตสีโล วัดเขาน้อยคีรีวัน อ.บ้านบึง จ.ชลบุรี

    ในช่วงปีพ.ศ.2500 จนถึงปี พ.ศ.2515 ท่านนับว่าเป็นพระเกจิ ที่ดังที่สุดของอำเภอพนัสนิคม และมีชื่อเสียงในแถบตะวันออกอย่างมาก พิธีปลุกเสกของวัดต่างๆ ในสมัยนั้นจะต้องมีชื่อของหลวงพ่อโด่ เช่น พิธีปลุกเสกพระหลวงพ่อโสธรรุ่นเก่าๆ หลายรุ่น พิธีจักรพรรดิปี 2515 พิษณุโลก และพิธีปลุกเสกพระพุทธ 25 ศตวรรษ เป็นต้น

    ต่อมามีอาการอาพาธ ทางคณะศิษย์นำท่านส่งเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล ด้วยวัยที่ชราภาพทำให้อาการมีแต่ทรุดหนักลง

    ในที่สุดมรณภาพด้วยอาการอันสงบ ในคืนวันที่ 10 เม.ย.2515 สิริอายุ 95 ปี พรรษา 74
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    ลพ.วิเวียร วัดดวงแข ก็ไปฝากตัว เป็นศิษย์ท่านเรียน วิชา
    พระผงรูปเหมือนรุ่น ๑ แบบปิดทอง กรรมการ หลวงพ่อโด่วัดนามะตูมให้บูชา 200 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20240122_215817.jpg IMG_20240122_215920.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มกราคม 2024
  20. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,685
    ค่าพลัง:
    +21,337
    bud29070166p1.jpg
    ไกลออกไปจากเมืองหลวง เมื่อหลายสิบปีที่แล้ว บริเวณทุ่งแถบนั้นเต็มไปด้วยต้นข้าวที่กำลังออกรวงเหลืองอร่าม ข้าวแต่ละรวงเบ่งบานและอวบโต จนลำต้นไม่อาจทานน้ำหนักของเมล็ดข้าวได้ ต้องโน้มตัวทอดลงสู่พื้นดิน บริเวณนั้นมีชื่อเรียกว่า "บ้านไผ่เดาะ" อยู่ในตำบลบางตะเคียน อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี และจังหวัดนี้เองนับแล้วคืออู่ข้าวอู่น้ำ ของเมืองไทยก็คงไม่ผิด
    บ้านไผ่เดาะ เป็นชุมชนที่หนาแน่นพอสมควร อาชีพหลักของผู้คนที่นั่นคือการทำนา อันเป็นอาชีพดั้งเดิมที่บรรพบุรุษมอบให้ไว้ เนื่องจากเป็นดินแดนอันอุดมสมบูรณ์ ทำนาได้ผลมากมาย ความสงบสุขจึงมีให้เห็นอยู่ทั่วไป
    ณ ที่นี่แหละ คือถิ่นกำเนิดของเด็กคนหนึ่ง ที่มีชื่อว่า "เป้า" เด็กชายเป้าผู้นี้เมื่อเติบใหญ่ได้กลายเป็นผู้ที่ได้รับการกล่าวขวัญถึงอย่างมาก น้อยคนนักที่จะไม่รู้จัก แต่ก่อนที่จะถึงเวลานั้นขอให้เราย้อนกลับ ไปสู่ครั้งปฐมวัยของเด็กน้อยผู้นี้กันเถอะ
    เด็กชายเป้าเป็นบุตรของชาวนาโดยตรงผู้หนึ่ง บิดาชื่อว่า "นายช้าง" มารดาชื่อว่า "นางเปรม" มีพี่น้องรวมทั้งสิ้น ๘ คน เป้าเป็นบุตรคนที่ ๕ เมื่อเป้าเกิดทั้งพ่อแม่ญาติพี่น้อง ก็รู้ว่าเป้าไม่ใช่คนแข็งแรงอะไรนัก เพราะเป้าเป็นเด็กผอม พุงป่อง และเจ็บออดๆ แอดๆ เสมอแต่ว่าอาการนั้นก็ไม่หนักหนาอะไร คงเลี้ยงดูกันได้เรื่อยมา
    ชีวิตในวัยเด็กนั้นเป้าก็เหมือนกับเด็กอื่นๆทั่วไป คือชอบเล่นฝุ่นสนุกซุกซนตะลอนๆ ไปตามชายทุ่งและดำผุดดำว่ายอยู่ในคลองบึงที่ไม่ห่างจากบ้านนัก ทั้งๆที่เป็นเด็กซึ่งพ่อแม่ออกจะเป็นห่วงอยู่ เพราะเกรงว่าโรคภัยจะแทรกแซง เนื่องจากความอ่อนแอ แต่เป้าก็คงซุกซน และเจริญวัยเรื่อยมา พร้อมกับอายุที่เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ เป้าเริ่มมีภาระเล็กๆน้อยๆ คือติดตามผู้ใหญ่ออกไปทำนา ตามแรงความสามารถเท่าที่จะทำได้ ซึ่งก็ถือว่าเป็นการสอนวิชาชีพที่จะกลายเป็นสมบัติติดตัวไปวันข้างหน้าอีกวิธีหนึ่ง
    แต่กับพ่อกับแม่ของเป้าแล้วคิดไปไกลกว่านั้นอีก คือชีวิตของชาวนาจะมีอะไรไปมากกว่าตื่นเช้าออกสู่ทุ่งกว้าง เย็นลงก็กลับบ้าน วิชาความรู้อื่นนั้นคงไม่มี ในเมื่อหาเวลาที่จะร่ำเรียนไม่ได้ ความคิดที่วูบขึ้นมาเช่นนั้น ในขณะนั้นทำให้พ่อแม่ของเป้าตัดสินใจส่งลูกชายน้อยๆ ไปขอรับวิชาความรู้ จากแหล่งรวมของสรรพวิชาทั้งหลาย นั่นก็คือวัด วัดแรกที่เป้าได้ร่ำเรียนคือวัดใกล้ๆบ้านนั่นเอง เป้าได้รับรู้ธรรมเนียมใหม่ กล่าวคือเป้าต้องรับใช้ปรนนิบัติพระภิกษุผู้เป็นอาจารย์ด้วยหลังจากเลิกเรียนแล้ว ซึ่งก็หาทำให้เด็กน้อยเบื่อหน่ายไม่ การรับใช้อาจารย์ก็เหมือนกับรับใช้พ่อแม่ ดังนั้นเป้าจึงมิได้รังเกียจ ตรงกันข้ามกับมีความกระตือรือร้น เมื่ออาจารย์เรียกหาความรู้ในด้านอ่านออกเขียนภาษาไทยของเด็กชายเป้าก็ก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็วอ่านเขียนได้คล่องแคล่ว และด้วยความกระตือรือร้นของเด็กผู้นี้ ทำให้อาจารย์ผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาบังเกิดความเมตตา สอนเด็กชายเป้าให้รู้จักอ่านเขียนภาษาขอมต่อไป
    ว่ากันว่าใครก็ตามในสมัยนั้นยุคนั้น ถ้าเรียนภาษาขอมก็ถือว่าเป็นการเรียนในชั้นสูง แต่เรียนไปได้ไม่นาน เป็นก็จำต้องย้ายวัดเพื่อการศึกษาต่อไป ตามธรรมเนียมของนักเรียนใหม่ พระอาจารย์ย่อจะปล่อยให้ผ่านไปไม่ได้ เป้าจึงต้องย้อนเรียนภาษาไทยอีกครั้งเป็นการทบทวน ดูเหมือนว่าความรู้ในภาษาไทยที่เป้ามีอยู่แล้วจะเป็นที่รับรองของพระอาจารย์ เป้าจึงได้ก้าวต่อไปสู่ชั้นสูงคือเรียนภาษาขอมอีกครั้ง
    ในครั้งนี้เด็กน้อยผู้นี้ได้แสดงความสามารถ ให้ประจักษ์อีกครั้งหนึ่งเพราะชั่วเวลาไม่นาน เป้าก็อ่านหนังสือของเลยหน้าเด็กๆรุ่นเดียวกันจนเป็นที่เลื่องลือยกย่อง อาจารย์เองก็ถึงกับออกปากชมไม่ขาดปากเลย เพื่อนๆของเป้าถึงกับออกปากอย่างล้อเลียน เป้าน่ากลัวไม่ใช่คนไทย แต่เป็นขอม จึงอ่านเขียนหนังสือขอมได้คล่องแคล่วนัก และแล้วฉายาว่า "ขอม" ก็ปรากฏขึ้นตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา แต่เมื่อเรียกกันไปนานๆ ชื่อเป้าก็ชักเลือนหายไปทุกที เพื่อนฝูงและผู้รู้จักมักคุ้นตลอดจนคนที่สูงอายุกว่า ต่างยอมรับเอาฉายาขอมเข้าไว้อย่างสะดวกปากคำหนึ่งก็ขอมสองคำก็ขอม ที่สุดชื่อเป้าอันเป้าชื่อเดิมของเด็กน้อยผู้นี้ ก็สูญหายไปจากปากอย่างเด็ดขาด กลายเป็นเด็กชายขอมขึ้นมาแทนที่
    กล่าวถึงการศึกษาที่วัด อันเสมือนโรงเรียนสำหรับยุคนั้น เปรียบได้กับการคึกษาของนักเรียนประจำในยุคนี้ กล่าวคือต้องพำนักอยู่ทีวัดตลอดไป โดยมีอาจารย์ที่เป็นทั้งครูและผู้ปกครองไปพร้อมๆกัน แต่นั่นก็หาใช่ว่านักเรียนของวัดจะไม่มีโอกาสได้กลับบ้าน ที่จริงเมื่อถึงเวลาอันสมควร นักเรียนวัดก็กลับบ้านกันทั้งนั้น เป้า หรือบัดนี้มีชื่อใหม่ตามความนิยมว่า "ขอม" ก็กลับบ้านเหมือนกัน เมื่อถึงบ้านความซุกซนแบบเดิมๆ ที่เป้าเคยเล่นซุกซนก็หายไป เป้าหรือขอมกลายเป็นเด็กที่มีระเบียบรู้จักการปรนนิบัติรับใช้ผู้สูงอายุกว่า การพูดจาก็ฉาดฉานจะอ่านจะเขียนก็คล่องแคล่ว สร้างความชื่นใจให้กับผู้ที่เป็นพ่อแม่เป็นอย่างยิ่ง จนทำให้นายช้างและนางเปรมลงความเห็นพ้องต้องกันว่า ตนนั้นได้แก้วไว้ในมือแล้วสมควรที่จะได้รับการเจียรไนต่อไป ดังนั้นหลังจากที่ศึกษาอยู่ ณ วัดบางสามได้ระยะหนึ่งของก็ถูกส่งตัวเข้ากรุงซึ่งเป็นการเผชิญชีวิตครั้งใหญ่สำหรับเด็กเล็กๆ คนหนึ่งที่ไม่เคยจากบ้านไปไหนไกลเกินกว่าวัดบางสาม แต่การไปครั้งนี้หมายถึงอนาคตที่จะชี้บอกว่า ต่อไปจะได้เป็นเจ้าคนนายคน ดังคำเปรียบเทียบที่ผู้ใหญ่ชอบพูดกันหรือไม่ แทนที่จะเป็นเพียงชาวไร่ชาวนาดังบรรพบุรุษของตน และแน่ล่ะกรุงเทพฯ ช่างเป็นคำที่หวานหูเสียนี่กระไร สวรรค์สำหรับทุกคน ใครได้ไปแล้วมักไม่ยอมกลับกัน
    ขอมถูกพ่อแม่พามาฝากไว้วัดสระเกศ เนื่องจากมีภิกษุที่รู้จักคุ้นเคยกับทางบ้านจำพรรษาอยู่ที่นั่น วัดสระเกศก็เลยได้เป็นบ้านที่สองของเด็กชายขอม พร้อมๆ กับการเข้าโรงเรียนประถมศึกษาซึ่งตั้งอยู่ที่วัดนั้นด้วย บัดนี้แทนที่จะเรียนแบบแผนเก่า แต่ขอมได้เรียนหลักสูตรการศึกษา แบบใหม่ที่หลวงท่านกำหนดให้อนุชนได้เล่าเรียน ชีวิตอันเป็นประจำวันของขอม ในกรุงเทพฯ ก็เริ่มต้นด้วยการตื่นแต่เช้าตรู่ หาอาหารใส่ปากใส่ท้องแต่พออิ่ม แล้วก็มุ่งหน้าไปยังโรงเรียน คร่ำเคร่งอยู่กับการเรียนไปจนบ้ายคล้อยจึงกลับวัด คอยปรนนิบัติรับใช้พระอาจารย์ที่ขอมอาศัยอยู่ด้วย และได้อาศัยข้าวก้นบาตรของพระอาจารย์นั้นเอง เป็นอาหารยังชีพเรื่อยมา
    เวลาผ่านไปจากวันเป็นสัปดาห์ จากสัปดาห์เป็นเดือน และจากเดือนเป็นปี ขอมคงปฏิบัติตนเสมอต้นเสมอปลายกับการศึกษา ขณะที่การรับใช้พระอาจารย์ก็รักษาไว้มิให้ขาดตกบกพร่อง เป็นอยู่เช่นนี้ล่วงได้ ๓ ปี ขอมจบการศึกษาในชั้นประถมปีที่ ๓ ก็เดินทางกลับสู่อ้อมอกของพ่อแม่อีกครั้งหนึ่งขอมกลับบ้านอย่างคนที่ไปชุบตัวในเมืองหลวงมาแล้วเมื่อย่างก้าวไปที่ใด ก็มีแต่คนนิยมชมชอบ จะพูดจาก็มีคนนับถือ และแม้ว่าชีวิตเริ่มเข้าสู่วัยหนุ่ม ซึ่งก็หมายถึงวัยแห่งความกระตือรือร้น และการเที่ยวเตร่สนุกสนานเฮฮากับเพื่อนฝูงและสาวพื้นบ้านเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ก็ตามแต่หนุ่มน้อยขอมก็ไม่ยอมปล่อยใจให้ล่องลอยไปเกินกว่าขอบเขต สิ่งที่ขอมคิดมากในขณะนั้นคือ ทำนาช่วยภาระของพ่อแม่ แต่เรานั้นหาได้เป็นคนโดยสมบูรณ์ไม่หากยังไม่ได้บวชเรียน ดังนั้นเมื่อขอมอายุครบบวช พ่อแม่ก็จัดการบวชให้ที่วัดบางสาม อันเป็นวัดใกล้บ้านและสถานศึกษาเดิมของขอม เพราะระยะเวลานี้ ขอมมีนิสัยไปในทางรักสันโดษ ชอบพินิจพิเคราะห์ตรึกตรองต่างกว่าเพื่อนวัยเดียวกันคนอื่นๆ
    พิธีอุปสมบทขอมจัดทำกันอย่างเต็มที่เท่าที่ฐานะจะอำนวยได้ และท่ามกลางความชื่นชมของทุกคนเนื่องจากพ่อแม่ของขอมเป็นผู้ที่กว้างขวางมีคนไปมาคบหาด้วยจำนวนมาก การบวชคราวนี้จึงมี พระครูวินยานุโยคแห่งวัดสองพี่น้อง เป็นองค์อุปัชฌาย์ พระอาจารย์กอนวัดบางสาม เป็นกรรมวาจาจารย์ พระอาจารย์เผือกวัดบางซอ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ขอมได้รับฉายาที่พระอุปัชฌาย์ตั้งให้คือ "อนิโชภิกขุ"
    นวกะภิกษุอนิโช หรือเด็กชายเป้าที่เพื่อนๆ เรียกกันว่า "ขอม" ก็ได้ก้าวเข้าสู่ร่มกาสาวพัตร์ ตั้งแต่บัดนั้น พระขอม หรือ อนิโชภิกษุ เมื่อจำพรราอยู่ที่วัดบางสามก็ตั้งหน้าตั้งตาศึกษาพระธรรมวินัยด้วยความเอาใจใส่อย่างยิ่ง และได้ปฏิบัติตนในในศีลจารวัตร เป็นอย่างดีอยู่หลายปีจนกระทั่งเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงก็มาถึง ยังมีสำนักสงฆ์สร้างขึ้นใหม่แห่งหนึ่ง มีชื่อเรียกตามความนิยมของชาวบ้านว่า "วัดไผ่โรงวัว" ที่นี่ไม่มีสมภารเจ้าวัด บรรดาชาวบ้านย่านนั้นซึ่งจับตาดูพระขอมมาตั้งแต่ต้น ลงความเห็นพ้องต้องกันว่า ผู้ที่สมควรได้ตำแหน่งสมภารวัดใหม่นี้ไม่มีท่านใดเหมาะเท่าพระขอม เมื่อลงความเห็นกันดังนี้ ต่างก็พากันไปนิมนต์ อนิโชภิกษุหรือพระขอม ให้ไปจำพรรษาอยู่ที่วัดไผ่โรงวัวก่อน พระขอมซึ่งเคยเป็นที่คุ้นเคยกับพุทธบริษัทที่นั่นไม่อาจขัดศรัทธาได้ จึงได้ย้ายไปจำพรรษาอยู่ที่วัดนั้นเป็นเวลา ๒ ปี
    ชีวิตของท่านอโชภิกษุในช่วงนี้ หากจะขาดก็คือขาดสถานศึกษาเล่าเรียน เพราะวัดไผ่โรงวัวเป็นวัดใหม่ ขาดสถานศึกษาเล่าเรียน สิ่งนี้ทำให้พระขอมได้พิจารณาตนเองและเห็นว่าอันธรรมวินัยของพระศาสดานั้น ท่านยังเข้าไม่ถึงพอที่จะเป็นสมภารเจวัดได้ หากผู้ศรัทธายังประสงค์จะให้ท่านเป็นผู้นำของวัดนี้อยู่ ท่านก็จำต้องเสาะแสวงหาความรู้เพิ่มเติม ดังนั้นท่านจึงขอย้ายไปจำพรรษาที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ ซึ่งอยู่ในตัวเมืองสุพรรณบุรี แล้วไปศึกษาพระปริยัติธรรมที่วัดประตูสารใกล้ๆกับวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ ที่ท่านจำพรรษาอยู่นั่นเอง การศึกษาพระปริยัติธรรมของพระขอมดำเนินไป 3 ปี ก็สอบไล่ได้นักธรรมชั้นเอก อันเป็นความรู้ชั้นเถรภูมิ
    คราวนี้ท่านกลับมาสู่วัดไผ่โรงวัวอีกครั้งหนึ่งอย่างสมภาคภูมิ กลับมาอย่างผู้พร้อมที่จะบริหารกิจให้พระศาสนาเต็มที่ ดังได้กล่าวมาแล้วว่าวัดไผ่โรงวัวเป็นวัดใหม่ ความใหม่นี้เอง เป็นความใหม่ที่ยังไม่ถึงพร้อมกล่าวง่ายๆ คือไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน กุฏิที่อยู่จำพรรษาของภิกษุ สามเณร ก็เป็นกระต๊อบมุงจากเก่าๆ มีอยู่เพียง ๒ หลัง ศาลาการเปรียญที่จะเป็นที่บำเพ็ญกุศลของทายก ทายิกา เป็นเพียงโรงทำด้วยไม้ไผ่หลังคามุงจาก อาศัยพื้นดินเป็นพื้นของศาลาน่าอนาถใจยิ่ง
    ภาระของพระขอม คือปรับปรุงศาสนาสถานแห่งนี้ให้น่าพักพิง สมกับเป็นวัดเสียก่อน เพื่อจะได้เป็นหนทางนำไปซึ่งการปรับปรุงจิตใจ ของชาวบ้านผู้ศรัทธาเป็นขั้นที่ สอง และเนื่องจากบรรดาชาวบ้านต่างก็มีศรัทธาพระขอมเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว งานปรับปรุงก่อสร้างชั้นแรกจึงผ่านไปได้ไม่ยาก เริ่มด้วยการถมดิน ไม่ให้น้ำท่วมวัดได้ เพราะบริเวณดังกล่าวนี้เป็นที่ลุ่มมาก ถึงฤดูฝนคราใดน้ำท่วมทุกปีและท่วมมากขนาดเรือยนต์เรือแจมแล่นถึงกุฏิได้ เมื่อถมดินเสร็จท่านได้จัดการขุดสระน้ำสำหรับเป็นที่สรงน้ำของพระภิกษุสามเณร และเพื่อชาวบ้านทั้งหลายจะได้อาศัยอาบกินโดยทั่วไป แล้วซ่อมกฏิที่ชำรุด ทรุดโทรม สร้างศาลาการเปรียญ สร้างโบสถ์ จัดสรรให้เหมาะสมเป็นระเบียบเรียบร้อยสวยงาม สมกับคำว่า "วัด" ศรัทธาของประชาชนก็เพิ่มมากขึ้น
    นับแต่พระขอม สละเพศฆารวาสมาสู่พระพุทธศาสนา ท่านมีความตั้งใจมั่น ดังที่เรียกว่า มโนปณิธาน เรื่องนี้ท่านกล่าวกับผู้ใกล้ชิดว่า "..อาตมาได้ฟังพระท่านเทศน์ว่า บุคคลผู้ใดเลื่อมใส ได้สร้างพระพุทธรูปจะเล็กเท่าต้นคาก็ดี โตกว่าต้นคาก็ดี ผู้นั้นจะได้เป็นพรหมเป็นอินทร์ หมื่นชาติ แสนชาติ ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ก็จะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์ หมื่นชาติแสนชาติ ผู้นั้นจะไม่เป็นผู้ตกต่ำเลยจนตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพาน ถ้าผู้ใดสร้างพระพุทธรูปด้วยทองคำ ผู้นั้นจะได้เกิดเป็นองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า.." ด้วยมโนปณิธานนี้เองทำให้ท่านขอมคิดเริ่มสร้างพระพุทธโคดมด้วยทองสัมฤทธิ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก พ.ศ. ๒๕๑๒ ท่านขอมก็เริ่มบอกบุญแก่ญาติโยมใช้เวลา ๒ ปีกว่าจะเริ่มสร้างได้ เนื่องจากเป็นงานใหญ่นั่นเอง ถึงต้องใช้เวลาสร้างทั้งหมด ๑๒ ปี ด้วยกัน จะแล้วเสร็จ พ.ศ. ๑๕๑๒ หลังจากนั่นท่านขอมก็เริ่มสร้างสิ่งก่อสร้างอีกหลายอย่าง อาทิเช่น สังเวชนียสถาน ๔ ตำบล แดนสวรรค์ นรกภูมิ เมืองกบิลพัสดุ์และอีกหลายๆ อย่างด้วยกัน ดังที่เป็นกันอยู่เท่าทุกวันนี้
    ถ้าถามว่าหลวงพ่อขอมจะสร้างสิ่
    ถ้าถามว่าหลวงพ่อขอมจะสร้างสิ่งก่อสร้างไว้มากมายเพื่ออะไร ท่านก็ตอบว่า อาตมาสร้างไว้เพื่อให้ผู้ศรัทธาและอนุชนรุ่นหลัง ได้ศึกษาเรื่องราวของพุทธประวัติ นอกจากงานก่อสร้างแล้วหลวงพ่อขอมท่านก็ยังเป็นนักเขียน นักแต่งที่มีความสามารถไม่ยิ่งไม่หย่อนไปกว่าด้านงานก่อสร้าง ผลงานของท่านปรากฏอยู่หลายเรื่องเฉพาะ ที่จัดพิมพ์แจกเป็นธรรมทานไปแล้วก็มีเรื่อง ธรรมฑูตเถื่อน พุทธไกรฤกษ์ สมถะและวิปัสสนา
    จนมาถึงวันที่ ๗ มกราคม พ.ศ. ๒๕๓๓ เวลา ๑๖.๔๕ น. หลวงพ่อขอมก็มรณภาพลงด้วยโรคหัวใจล้มเหลว รวมสิริอายุ ๘๘ ปี ๖๘ พรรษา ทำให้นักถึงคำปฏิญาณ ของท่านอนิโช ที่กล่าวไว้ ๕ ข้อ คือ
    ๑. ชีวิตของเราที่เหลือขอช่วยพระพุทธองค์ไปจนตาย
    ๒. เมื่อมีชีวิตอยู่ ถ้าเรามีเงิน ส่วนตัวสัก ๑ บาท เราก็จะอายพุทธบริษัทเป็นอย่างยิ่ง
    ๓. เราจะให้รูปพระองค์เกลื่อนไปในพื้นธรณี
    ๔. โอ..โลกนี้ ไม่ใช่ของฉัน
    ๕. เราต้องตาย ตายใต้ผ้าเหลืองของเรา
    บัดนี้ท่านอนิโชนั้น ได้ทำคำปฏิญาณของท่านได้สมบูรณ์แล้วทุกประการ ท่านพระครูผู้นี้จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเด็กชายเป้าในอดีต ซึ่งบัดนี้สละทุกสิ่งเพื่อเจริญรอยตามบาทพระพุทธองค์ ท่านคือศิษย์พระคถาคต ผู้มุ่งมั่น

    สมเด็จปรกโพธิ์สายรุ้งหลวงพ่อขอม วัดไผ่โรงวัว ปี 2500 เนื้อผงน้ำมัน หลังรูปเหมือนเหนังสือตรง 2 แถว ลงกรุ หายาก พระสมปรกโพธิ์เด็จพิมพ์ 3 ชั้น เนื้อผงพุทธคุณ ผสมผงเกสรว่าน108ชนิด และผงเก่า ของสมเด็จพระพุทธาจารย์โต และผงที่ หลวงพ่อขอมเขียนและลบเองกับมือ พระสมเด็จรุ่นนี้ คนในพื้นที่เรียนกันว่าพระสมเด็จ พิมพ์สายรุ้ง ของหลวงพ่อขอม วัดไผ่โรงวัว (วัดโพธาราม) อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี พระสมเด็จรุ่นนี้ สร้างราวปี พ.ศ.2500 เป็นพระที่ หลวงพ่อขอมสร้างไว้บรรจุในเจดีย์ ไม่ได้นำออกแจกจ่ายญาติโยม พระชุดนี้ออกมาตอนที่พระเจดีย์ ถูกทุบเมื่อราวปีพ.ศ.2530 ด้านหลังเป็นรูปเหมือนหลวงพ่อขอม พิมพ์หยดน้ำ และมีตัวหนังสือเขียนกำกับเอาไว้ 1แถว องค์ในภาพนี้ เรียกว่า พิมพ์1แถวตัวหนังสือตรง ส่วนพระสายรุ้ง รุ่น2สร้างราวปีพ.ศ.2516 ด้านหลังจะเป็นรูปหลวงพ่อขอม พิมพ์รูปไข่ และจะไม่มีคราบขี้กรุ พุทธคุณเมตตา แคล้วคลาดปลอดภัย คงกระพันและมหาอุต
    ผมมีข้อมูลดีๆ ของคุณเบญจพร มาเล่าให้ฟังกันครับคือ เรื่องราวนี้เกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2518 ทางวัดบางนมโค จัดพิธีมหาพุทธภิเษกในงานทำบุญ 100 ปีของหลวงพ่อปาน ซึ่งครั้งกระนั้นมีพระอาจารย์ผู้ทรงวิทยาคมมาร่วมพิธีปรกปลุกเสก 4 องค์ด้วยกันคือ
    หลวงพ่อขอม วัดไผ่โรงวัว
    หลวงพ่อเชิญ วัดโคกทอง
    หลวงพ่อเมี้ยน วัดโพธิ์กบเจา
    หลวงพ่อมี วัดมารวิชัย ซึ่งท่านเป็นพระเถระจารย์ในศิษย์หลวงพ่อปาน ที่วัดบางนมโคต้องนิมนต์ท่านมาร่วมพิธีทุกครั้งเมื่อมีงาน....
    หลวงพ่อมีเข้าไปในโบสถ์วัดบางนมโค เป็นองค์ที่ 3 ต่อจากหลวงพ่อเชิญและหลวงพ่อเมี้ยนและด้วยความที่หลวงพ่อมีเป็นพระอาจารย์ที่มีอุปนิสัยนอบน้อมถ่อมตนเห็นว่าตนเองยัง มีอายุน้อย ท่านจึงเลือกธรรมมาสน์ที่หันหน้าเข้าหาประธานตรงที่นาคนั่งขานนาคในเวลาอุปสมบท ขณะนั้นหลวงพ่อขอม วัดไผ่โรงวัวมาถึงพอดี ท่านจึงขึ้นนั่งบนธรรมาสน์ที่เหลือซึ่งตั้งอยู่หน้าพระประธาน อันเป็นที่นั่งพระอุปัชฒาย์จึงหันหน้าชนกับหลวงพ่อมีโดยมีประรำอิทธิ์มงคลขึ้นอยู่ระหว่างกลาง พอพระภิกษุสงฆ์สวดพุทธาภิเษา หลวงพ่อมีก็เข้าสมาธิจิตปลุกเสก ฉับพลันนั้นท่านก็รู้สึกว่า มีสิ่งของตกลงมาธรรมาสน์ใกล้หน้าแข็งของท่านดัง "กึก" หลวงพ่อมีนั่งเข้าสมาธิจิตเฉยเมยไม่ได้มีความสนใจไยดีต่อเสียงรอบข้างแต่อย่างใด สักครู่หนึ่ง ก็มีเสียงตกลงมาดังกึกบนธรรมาสน์ที่เดียวกันอีกครั้งและมีเสียงกุกๆกักๆพอได้ยิน หลวงพ่อมีทราบได้ในทันทีว่า ถูกลองของแน่แล้ว แต่ไม่มีอารมณ์หวั่นไหวยังคงนั่นหลับตาเฉย พร้อมกับเข้า เตโชกสิณ อธิษฐานจิตให้เห็นว่าสิ่งที่ตกลงมา 2 ครั้งนั้นมันเป็นอะไรกันแน่ ด้วยทิพยอำนาจแห่งเตโชกสิณ สิ่งที่ปรากฏภายในดวงจิตของหลวงพ่อมีก็คือ ตะปูโลงผี ขนาด 3 นิ้ว 2 ตัว กำลังเคลื่อนไหวดุจมีชีวิตอยู่ไปมา หลวงพ่อมีจึงลืมตาก้มหน้าลงมามองดูด้วยตาเนื้อเพื่อให้รู้แน่ชัดว่ามันคืออะไร สิ่งที่ปรากฏแก่สายตาหลวงพ่อมีขณะนั้นตะปูจริงๆและกำลังหันปลายแหลมตั้งชี้พุ่งขึ้นมาหาหลวงพ่อมีทั้ง 2 ตัว พระเถระแห่งวัดมารวิชัย วางมือขวาลงไปใช้นิ้วชี้กดตะปู 2 ตัว พร้อมกับว่าพระพระคาถาเป่าพรวดลงไปเบาๆตาปูโลงผีก็หมดฤทธิ์ ท่านจึงเก็บไว้ใต้ผ้าอาสนะแล้วเริ่มเข้าสมาธิจิตปลุกเสกอิทธิมหามงคลต่อไป ทันใดนั้น ก็มีตะปูตกลงมาใกล้หน้าแข้งท่านอีกเป็นตัวที่ 3 ตัวที่4 และตัวที่ 5 ซึ่งหลวงพ่อมีก็เก็บแล้วเขี่ยเข้าไปในอาสนะที่ท่านนั่งจนครบ 5 ตัว อธิษฐานจิตเพื่อดูให้รู้แน่ว่าถูกพระอาจารย์ดีองค์ไหนในจำนวนทั้ง 3 รูป คือ หลวงพ่อขอม หลวงพ่อเชิญ หลวงพ่อเมี้ยน ภาพของพระอาจารย์ที่แกล้งทดสอบวิทยาคมก็ผุดขึ้นจักขุทวารและมโนทวาร....
    หลวงพ่อขอม วัดไผ่โรงวัว พระอาจารย์ผู้เลิศล้ำแห่งจังหวัดสุพรรณบุรีนั่นเอง หลวงพ่อมียังไม่แน่ใจว่าจะเป็นหลวงพ่อขอมหรือไม่ท่านจึงอธิษฐานนึกถึงภาพหลวงพ่อเชิญและหลวงพ่อเมี้ยนตามลำดับ แต่ภาพนิมิตที่เกิดขึ้นภายในความคิดทุกครั้งกลับกลายเป็นภาพของหลวงพ่อขอมเช่นเดิม องเป็นหลวงพ่อขอมแน่ๆหลวงพ่อมีนึกคิด พอเสร็จพิธีพุทธาภิเษกจบที่ 4 ผู้คนเข้าไปกราบสักการะหลวงพ่อขอมอย่างล้นหลาม เพราะท่านเป็นพระเกจิมีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดในขณะนั้น หลวงพ่อมีหยิบตะปูใส่พาน 4 ตัว แล้วเก็บไว้ 1 ตัว เพื่อเป็นที่ระลึก 1 ตัว และเอาดอกไม้ธูปเทียนวางทับปิดบังตะปูไว้ เดินตรงรี่เข้าไปถวายหลวงพ่อขอม เป็นการแสดงความคารวะ หลวงพ่อขอมทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ไม่ยอมรับเฉยๆเสียอย่างนั้น หลวงพ่อมีจึงพูดขึ้นว่า "หลวงพ่อผมเอาดอกไม้ธูปเทียนมาถวาย"
    หลวงพ่อขอมจึงรับประเคนจากหลวงพ่อมี อย่างขัดไม่ได้ ปกติท่านไม่ได้รับทั้งพานคงใช้มือรวบเอาเฉพาะธูปเทียนเท่านั้น ท่านจึงมองเห็นตะปูวางอยู่ในพาน หลวงพ่อขอมจึงเอ่ยถามหลวงพ่อมีขึ้นว่า "นั่นอะไร"
    หลวงพ่อมี ตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำ แบบคนจริงว่า "ตะปูของหลวงพ่อ ผมนำมาถวายคืน" หลวงพ่อจึงรับพานไป แล้วพูดติดขำขันอย่างสบายอารมย์ เป็นการยอมรับหลวงพ่อมี แถมรู้ทันถามตรงๆขึ้นว่า "แล้วตะปูอีกตัวหนึ่ง เก็บเข้าไว้ในย่ามทำไม" หลวงพ่อมีตอบอย่างนอบน้อมว่า "ขอเก็บไว้เป็นที่ระลึกครับ"
    นั่นแสดงถึงความลึกล้ำในเวทวิทยาคมขององค์พระเกจิอาจารย์สมัยนั้นว่าลึกล้ำเก่งกาจ มีอำนาจพลังทางจิตมากมายขนาดไหน
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    พระสมเด็จปรกโพธิ์สายรุ้งหลวงพ่อขอมวัดไผ่โรงวัวปี ๒๕๐๐
    ให้บูชา
    300 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20240122_221922.jpg IMG_20240122_222013.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 มกราคม 2024

แชร์หน้านี้

Loading...