เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๖๗

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 23 พฤษภาคม 2024.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    17,400
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,330
    ค่าพลัง:
    +26,082
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๖๗


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    17,400
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,330
    ค่าพลัง:
    +26,082
    วันนี้ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๒๓ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ เมื่อคืนชาววัดท่าขนุนของเรา ต้องทำการเวียนเทียนในศาลา ๑๐๐ ปีหลวงปู่สาย เหตุก็เพราะว่าหลังจากที่ตามประทีปไปได้ประมาณชั่วโมงเศษ ฝนก็กระหน่ำลงมาอย่างหนัก และตกต่อเนื่องไปทั้งคืน แต่ด้วยเหตุที่ว่าทางวัดท่าขนุนของเรามีศาลาใหญ่พอ ที่จะรองรับการเวียนเทียนของพระภิกษุสามเณร และญาติโยมทั้งหมดที่มาร่วมงานได้

    การสร้างศาลา ๑๐๐ ปีหลวงปู่สายขึ้นมานั้น กระผม/อาตมภาพได้ทำการรื้อศาลาการเปรียญหลังเก่า หอฉันหลังเก่า ตลอดจนกระทั่งหอระฆัง ยุบรวมลงมาสร้างเป็นศาลา ๑๐๐ ปีหลวงปู่สายเพียงหลังเดียว ตั้งแต่ปี ๒๕๕๖ มาจนถึงปีนี้ ก็นับได้ ๑๑ ปีแล้ว ครั้งนี้เป็นการเวียนเทียนในศาลาเป็นครั้งที่ ๒ เนื่องจากว่าฝนตกหนัก ไม่อำนวยให้เวียนเทียนรอบโบสถ์ได้ ถือว่าเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปงานหนึ่ง

    ครั้นพักผ่อนเล็กน้อยแล้ว กระผม/อาตมภาพกับน้องเล็ก (นางสาวจิราพร ซื่อตรงต่อการ) ก็วิ่งออกจากวัดท่าขนุนตั้งแต่ตี ๓ ตรงไปยังโรงพยาบาลเมตตาประชารักษ์ (วัดไร่ขิง) อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม เนื่องเพราะว่าน้องเล็กต้องไปทำการตรวจตาตามที่หมอนัด แม้ว่าจะไปทำการวางบัตรตั้งแต่ประมาณ ๖ โมงครึ่ง แต่ว่าคิวตรวจประมาณเกือบเที่ยง..! กระผม/อาตมภาพเอง ต้องเดินทางไปยังวัดอุทยานด้วยรถแท็กซี่

    หลังจากที่ฉันเพลแล้ว
    กระผม/อาตมภาพก็นั่งรถแท็กซี่ต่อไป เพื่อเข้าประชุมที่วัดประยุรวงศาวาส วรวิหาร ถนนประชาธิปก เขตธนบุรี กรุงเทพมหานคร ซึ่งมีการประชุมคณะกรรมการจัดงานแสดงพระธรรมเทศนา ๔ ภาคเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสพิธีมหามงคลเจริญพระชนมพรรษา ๖ รอบ ของพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งได้ทำการแสดงพระธรรมเทศนามาแล้ว ๒ ภาค ก็คือภาคอีสานและภาคเหนือ

    แต่ถ้าหากว่านับกันตามภาคของทางคณะสงฆ์ ภาคอีสานก็คืออยู่ในคณะสงฆ์หนตะวันออก ภาคเหนืออยู่ในคณะสงฆ์หนเหนือ ส่วนภาคกลางของเรา ซึ่งเป็นการจัดงานครั้งนี้นั้น อยู่ในสังกัดของคณะสงฆ์หนกลาง
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    17,400
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,330
    ค่าพลัง:
    +26,082
    กระผม/อาตมภาพที่ "จับพลัดจับผลู" ไปเป็นคณะกรรมการด้วย ก็เนื่องจากว่าเป็นคณะกรรมการกองทุนเผยแผ่พระพุทธศาสนาแห่งชาติ จากที่ได้ตั้งกองทุนเริ่มต้นด้วยเงินจำนวน ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท และเพิ่มทุนมา ๒ ครั้ง ๆ ละ ๑๐๐,๐๐๐ บาท

    เมื่อมาถึงแล้ว รู้สึกว่าต้องทำตัวลีบมาก ๆ เนื่องเพราะว่าบรรดาพระเถระที่มานั้น ส่วนใหญ่ก็คือกรรมการมหาเถรสมาคม และบรรดาเจ้าคณะภาค ส่วนใหญ่ก็เป็นพระราชาคณะชั้นรองสมเด็จบ้าง ชั้นธรรมบ้าง ชั้นเทพบ้าง แล้วอยู่ ๆ ก็มีพระครูวิลาศกาญจนธรรม โผล่มานั่งเจี๋ยมเจี้ยมอยู่ ๑ รูป..!

    การประชุมครั้งนี้นั้น ประธานฝ่ายสงฆ์ก็คือท่านเจ้าคุณอาจารย์พระพรหมบัณฑิต, ศ.ดร. (ประยูร ธมฺมจิตฺโต ป.ธ.๙, Ph.D.) ราชบัณฑิต กรรมการมหาเถรสมาคม ประธานคณะกรรมการเผยแผ่พระพุทธศาสนาแห่งชาติ ฝ่ายฆราวาส ได้แก่ นายจิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา องคมนตรี

    บรรดาพระเถรานุเถระที่เข้าประชุมนั้น ส่วนใหญ่ก็รู้จักมักคุ้นกันดี แต่ว่าหลายท่านก็ไม่คิดว่ากระผม/อาตมภาพจะโผล่มาเป็นกรรมการกับเขาด้วย แม้แต่พระเดชพระคุณหลวงพ่อเจ้าคุณแย้ม - พระธรรมวชิรานุวัตร, ดร. (แย้ม กิตฺตินฺธโร) เจ้าคณะภาค ๑๔ ผู้เป็นเจ้านายโดยตรง ซึ่งมากับเลขานุการ ก็คือท่านเจ้าคุณอ๋อ (พระวชิรปัญญาภรณ์, ดร.) เลขานุการเจ้าคณะภาค ๑๔ หลวงพ่อเจ้าคุณแย้มเห็นหน้า ยังมองหน้าประมาณว่า "เอ็งมาทำอะไรวะ ?"

    แต่ท่านเองก็คงจะเลิกสงสัยแล้ว เพราะว่ากระผม/อาตมภาพ ถ้าหากว่าเปรียบอย่างที่โบราณว่าก็คือ "แทรกเป็นยาดำ" คำว่า "แทรกเป็นยาดำ" นั้น ตามตำรับการรักษาโรคของเวชศาสตร์วรรณาโบราณนั้น ยาดำเป็นยาที่แปลกมาก เนื่องเพราะว่าถ้าหากว่าร่างกายร้อน ยาดำจะไปลดความร้อน ทำให้ร่างกายเย็นลง แต่ถ้าหากว่าร่างกายเย็น ยาดำจะไปเพิ่มความร้อนให้ ทำให้ร่างกายอบอุ่น ได้สมดุลขึ้นมา

    เนื่องจากว่ายาดำนั้นมีรสขม ซึ่งเป็นรสที่สามารถปรับตนเองให้เข้ากับสภาพร่างกายได้อย่างน่าอัศจรรย์มาก ดังนั้น..สุภาษิตโบราณที่ว่า "แทรกเป็นยาดำ" ก็คือ "ทุกงานจะต้องมี" ในเมื่อเป็นเช่นนั้น บรรดาพระเถระ แม้ว่าจะสงสัยว่ากระผม/อาตมภาพมาเป็นคณะกรรมการได้อย่างไร แต่ท้ายที่สุดก็ต้องทำใจยอมรับกันไปโดยปริยายนั่นเอง

    การประชุมครั้งนี้ สิ่งที่สำคัญก็คือการกำหนดสถานที่ในการจัดแสดงพระธรรมเทศนาหนกลาง เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า จากการจัดแสดงที่ภาคอีสาน ซึ่งมีพระเดชพระคุณหลวงปู่สมเกียรติ - พระพรหมวัชรเมธี (สมเกียรติ โกวิโท ป.ธ.๙) เจ้าคณะภาค ๙ วัดอรุณราชวราราม ราชวรมหาวิหาร ท่านเป็นองค์ดำเนินการนั้น

    ท่านบอกว่า กะประมาณว่าจะมีผู้มาร่วมงาน ๑,๐๐๐ คน เนื่องเพราะว่าเป็นงานต่อเนื่องทั้งวัน ก็คือช่วงเช้ามีการแสดงพระธรรมเทศนาเดี่ยว ๒ ครั้ง หรือว่า เทศน์ ๒ รูป ต่อเนื่องกันก็ประมาณ ๒ ชั่วโมง หลังจากที่พักฉันเพลแล้ว ตอนช่วงบ่ายก็มีการแสดงศิลปะวัฒนธรรมประจำภาค แล้วก็มีการเทศน์ ๒ ธรรมาสน์ ซึ่งเป็นการแสดงพระธรรมเทศนาในลักษณะถามตอบต่อไป
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    17,400
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,330
    ค่าพลัง:
    +26,082
    เรื่องแบบนี้ไม่น่าเชื่อว่า ผู้คนจะไปเกินกว่าที่หลวงปู่สมเกียรติท่านคาดการณ์เอาไว้มาก เนื่องเพราะว่าจากที่กะเอาไว้ ๑,๐๐๐ คน กลายเป็นว่าหอประชุมของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่นนั้นไม่เพียงพอ เนื่องเพราะว่าผู้คนไปถึง ๓,๐๐๐ กว่าคน ต้องนั่งอยู่ที่ชั้นล่าง แล้วดูจากทีวีวงจรปิดก็เอา

    ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เมื่อไปจัดงานที่หนเหนือ ซึ่งหลวงพ่อพิมพ์ - พระเดชพระคุณพระพรหมเสนาบดี (พิมพ์ ญาณวีโร) เจ้าคณะภาค ๗ วัดปทุมคงคา ราชวรวิหาร ท่านได้ตัวอย่างมาแล้ว จึงย้ายที่จากอุทยานราชพฤกษ์ ไปจัดที่ศูนย์แสดงสินค้านานาชาติเชียงใหม่ แต่ก็กะพลาดอีกตามเคย ก็คือจากที่คาดว่าจะมีผู้มาร่วมงานประมาณ ๓,๐๐๐ รูป/คน ปรากฏว่ามีเกินไปเป็นเท่าตัว ก็คือประมาณ ๖,๐๐๐ รูป/คน แล้วก็อยู่กันอย่างชนิดที่เรียกว่า "เกาะติดกับงาน" จนกระทั่งเลิก

    เมื่อเป็นเช่นนั้น ความเครียดจึงมาเกิดขึ้นกับภาคกลาง หรือว่าหนกลางนี่เอง โดยเฉพาะพระเดชพระคุณท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระมหารัชมงคลมุนี (ธงชัย ธมฺมธโช) กรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าคณะใหญ่หนกลาง ถวายภาระให้ท่านเจ้าคุณอาจารย์พระพรหมบัณฑิต, ศ.ดร. ประธานคณะกรรมการเผยแผ่พระพุทธศาสนาแห่งชาติ เป็นผู้รับหน้าเสื่อไป

    เมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเราจึงต้องมาประชุมเพื่อที่จะเลือกว่าใช้สถานที่ใด แล้วในที่สุดก็ได้รับการประสานจากทางสำนักงานองคมนตรี ตลอดจนกระทั่งคุณฐาปน สิริวัฒนภักดี ว่าใช้ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์จะเหมาะสมที่สุด

    หลังจากนั้นแล้ว ก็เป็นการตกลงกันในลักษณะที่ว่า เจ้าคณะภาคในเขตหนกลาง ซึ่งอยู่ใกล้เคียงพื้นที่ ก็คือพระเดชพระคุณพระธรรมวชิรเมธี , รศ. ดร. (มีชัย วีรปญฺโญ ป.ธ.๙) เจ้าคณะภาค ๑ เจ้าอาวาสวัดหงส์รัตนาราม พระเดชพระคุณพระธรรมโพธิมงคล (สมควร ปิยสีโล ป.ธ.๙) เจ้าคณะภาค ๒ วัดสระเกศราชวรวิหาร และพระเดชพระคุณพระธรรมวชิรานุวัตร, ดร. (แย้ม กิตฺตินฺธโร) เจ้าคณะภาค ๑๔ วัดไร่ขิง (พระอารามหลวง) ว่าแต่ละภาคจะกำหนดให้ทางคณะสงฆ์มีผู้ใดมาร่วมงานกันบ้าง ซึ่งทั้ง ๓ รูปต่างก็บอกว่า "แล้วแต่จะสั่งมาเลย" ไม่ว่าจะเป็นพระสงฆ์หรือว่าฆราวาส ต้องการเท่าไร ก็จะช่วยประสานงานให้

    ในเมื่อเป็นเช่นนั้น จึงไม่มีเรื่องที่น่าหนักใจ เพราะว่าบรรดาเจ้าหน้าที่ฝ่ายต่าง ๆ ที่มาร่วมงานนั้น ทางด้านศาสนพิธีกร สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติกับกระทรวงวัฒนธรรมก็รับผิดชอบไป ทางด้านคุณฐาปน สิริวัฒนภักดี จะรับประสานงานเกี่ยวกับเรื่องอาหารและเครื่องดื่ม โดยเฉพาะในส่วนที่ถวายพระเถรานุเถระที่ไปร่วมงาน ก็จะมีการเตรียมพื้นที่เอาไว้รองรับ ในส่วนที่ญาติโยมผู้มีจิตศรัทธามาเปิดโรงทาน หรือว่านำมาถวายเฉพาะพระเถรานุเถระด้วย ซึ่งถือว่าเป็นการกระทำที่รอบคอบเป็นอย่างยิ่ง
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    17,400
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,330
    ค่าพลัง:
    +26,082
    การประชุมปิดลงตอนเกือบจะ ๔ โมงเย็น กระผม/อาตมภาพเข้าถวายปัจจัยท่านเจ้าคุณอาจารย์พระพรหมบัณฑิต, ศ.ดร. จำนวน ๑๐๐,๐๐๐ บาท เพื่อร่วมเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมแสดงพระธรรมเทศนาเฉลิมพระเกียรติของหนใต้ หรือว่าภาคใต้ ซึ่งทางด้านโน้นบอกว่าทางคณะสงฆ์มีกำลังน้อย จึงต้องอาศัยพวกเรามาช่วยกัน ซึ่งกระผม/อาตมภาพก็เต็มใจที่จะช่วย โดยที่พระเดชพระคุณอาจารย์ท่านเจ้าคุณชัยวัฒน์ (พระเทพวชิรวาที - ชัยวัฒน์ ธมฺมวฑฺฒโน) ตลอดจนกระทั่งท่านเจ้าคุณอาจารย์วัลลภ (พระศรีธรรมภาณี, รศ.ดร. - วัลลภ โกวิโท ป.ธ. ๘) ต่างก็บอกว่า "นายทุนใหญ่อยู่ตรงนี้เอง" ทำเอาทุกคนเข้าใจชัดเจนว่า ทำไมพระครูวิลาศกาญจนธรรมถึงโผล่มานั่งอยู่ตรงนี้ได้ ?

    เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าปัจจัยทุกบาททุกสตางค์ที่รับมาจากญาติโยมนั้น กระผม/อาตมภาพได้ปฏิญาณตน ต่อหน้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอุโบสถวัดท่าซุง ตั้งแต่วันแรกที่บวช โดยที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง นำปฏิญาณว่า "ข้าพเจ้าจะรับเงินและทอง ที่ผู้มีจิตศรัทธาน้อมถวาย แต่จะไม่นำมาเป็นของส่วนตัว หากแต่จะผลักเข้าสู่กองบุญการกุศลต่าง ๆ เพื่อเพิ่มอานิสงส์ให้แก่ผู้ถวาย"

    ดังนั้น..กระผม/อาตมภาพจึงรับปัจจัยไทยธรรมจากญาติโยม ด้วยความสบายใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะว่ารับมาก็ไม่ใช่ของตนเอง หากแต่เป็นของกลาง และเป็นคนที่ใช้เงินแบบไม่คิด ได้มาเท่าไรก็จ่ายไปเท่านั้น จนกระทั่งคนทั่วไปเห็นว่า "หลวงพ่อเล็กรวยมาก" "พระอาจารย์เล็กรวยมาก" โดยที่ไม่ทราบเลยว่า บางวันกระผม/อาตมภาพแม้แต่ค่ารถยังหาได้ยากเลย..!

    แต่ด้วยความที่คิดอยู่เสมอว่า เราอาจจะมรณภาพลงไปในวันนี้ ดังนั้น..ปัจจัยทั้งหลายที่รับมา ควรที่จะเป็นประโยชน์แก่ทางคณะสงฆ์และพระพุทธศาสนาให้มากที่สุด จึงใช้เงินแบบคนที่ไม่คิดว่าจะมีวันพรุ่งนี้ ทำให้บุคคลที่ไม่เข้าใจ ก็ไปมองว่า "หลวงพ่อเล็กรวย" กระผม/อาตมภาพก็รับเอาไว้ด้วยความยินดี เพราะเขามองว่าเรารวย ดีกว่าเขามองว่าเราจน เป็นต้น

    หลังจากนั้น
    กระผม/อาตมภาพก็นั่งรถแท็กซี่ ฝ่าทั้งฝนและรถติดเพื่อกลับสู่ที่พักคืนนี้ ก่อนที่จะไปทำหน้าที่ของตนเองต่อไป

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุ สามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันพฤหัสบดีที่ ๒๓ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...