เรื่องเล่าของข้าพเจ้าความศักดิ์สิทธิ์พระคาถาชินบัญชร

ในห้อง 'สมเด็จโต พรหมรังสี' ตั้งกระทู้โดย ชัชวาล เพ่งวรรธนะ, 1 ตุลาคม 2008.

  1. SONICx

    SONICx เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    113
    ค่าพลัง:
    +225
    สวัสดีครับ พี่อ้อง
    ผมมีคำถามค้างคาใจ ที่คิดยังไงก็คิดไม่ออก ตีโจทย์ไม่แตก ไม่เข้าใจครับ..
    ที่ว่า " การยกจิตให้เหนือธาตุ" มันมีเทคนิค วิธีการยังงัยครับ ... การเข้า ฌาน ถือว่าเป็นการยกจิตเหนือธาตมั้ย
     
  2. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    ฌานหลับ(คุยกับน้อง)

    ช่วงกลางวันน้องจะเป็นเหมือนพี่นะ...
    คือกายมันอยู่ในสภาพที่ปวงธาตุไม่แปรปรวนมาก
    พอนอนในขณะที่กายหยาบมันยังสงบ จิตมันไม่ตกภวังค์ได้ง่าย เหมือนเรามีสติรู้สึกภายใน เฝ้าดูอยู่
    กายมันกรนเบาๆ กร้ามเนื่อตรงช่องปากมันผ่อนเบาๆเพราะยังไม่ตึงจนเกินไป
    กรนเบาๆ มันมองเห็นกายหยาบกรนเป็นสิบทีก็รู้ มันมีตัวรู้สึกอยู่ภายใน

    กายมันหลับแต่สติมันตื่นอยู่...
    ท่าปราบเซียนส่วนมากจะขึ้นกับสภาวะกายหยาบระหว่างวันด้วย
    ถ้ากายหยาบเค้าต้องการพักผ่อนเพราะเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้ามา

    กายมันจะเกิดธาตุปรวนแปร คำว่าล้า อ่อนแรง นั่นคือกายกำลังปรับสภาวะธาตุให้สมดุลย์ การง่วงหงาวหาวนอนก็มาจากธาตุมันจะปรับตัวของมัน
    กายจะถูกภวงัค์ปรากฏเพื่อดึงเข้าไปให้จิตอยู่ภายใน

    เพราะถ้าจิตยังเที่ยววุ่นวายภายนอก
    กายมันจะแตกดับ เช่นคนที่เศร้า คนเครียด
    คนตรอมใจ นอนอย่างไรก็ไม่หลับเพราะเอาแต่ยกวิถีจิตอารมณ์ชนิดนั้นตลอดเวลา

    คนที่ตื่นเต้น สนุกสนาน เพลิดเพลิน ยินดีในราคะ โทสะ โมหะเนี่ย อันตรายถ้าตายในขณะที่จิตอ่อนล้าเช่นกัน

    ในทุกๆวัน ธาตุมันเบียดเบียนกันและกัน อาศัยรูปแห่งพลังงานและสสารแลกเปลี่ยนกันตลอดเวลา มันจึงต้องมีสิ่งมาเสริมเช่นอาหารและลม
    สิ่งที่ต้องหยุดพักคือนอนเพื่อปรับสมดุลย์ของกาย

    จิตจะทิ้งคิดในช่องวิญญาณแห่งอายตนะแบบไร้สติเพราะภวังค์จิตจะเกิดถี่ยิบ เป็นรูปลักษณะคือทื่อ แข็งๆ มึนๆ ชวนเคลิบเคลิ้มก็มี
    สุขก็มีอิงเป็นเหตุใกล้ให้กายสบายก็มี

    กายมันต้องเบาสบาย ถ้ากายมันทุกข์มากมันหลับไม่ได้ กายมันต้องสงบระงับ

    คงเห็นนะว่าเหมือนสมาธิเลยแต่การนอนกับการทำสมาธิต่างกันที่กำลังและสติ
    ที่ตามกันเข้าไปโดยรักษาจิตแจ่มใสคือกายหลับช่างมันแต่จิตตื่นรู้อยู่ภายใน

    ในขณะที่เราเฝ้าดูตามรู้ดำรงค์สติเฉพาะหน้าเอาไว้อยู่ ในท่านอนช่วงที่กายเราไม่แปรปรวนมากนัก ภวังค์จิตมีอำนาจน้อย กลายเป็นว่าเราทำสมาธิในท่านอน
    อิริยาบทนอน กายมันสบายเร็ว สุขเร็ว บางทีเราก็มองธรรมดาเหมือนเราทำสมาธิ

    แต่กายมันกรนออกมาแม้เบาขนาดไหนเราก็รู้แถมสามารถจะยกชูมือให้คนข้างๆรู้ว่า นี่กำลังนอนนับกรนให้ดูแล้วก็ให้จิตมันวูบเข้าไปต่อในเหตุใกล้ที่ตำแหน่ง เดิม
    ซักพักก็กรนต่อแต่เวลานั่งทำสมาธิกายมันไม่กรนนะ แต่ท่านอนมันไปแล้ว

    ท่านอนจึงเป็นท่าที่ทำสมาธิยากที่สุดและมีโอกาสตกภวังค์ถี่มากที่สุดแต่ข้อดีคือถ้าทำได้กำลังสมาธิจะนานกว่าท่านั่งเสียอีกแต่หาคนทำท่านอนยากนะ

    ครูอาจารย์มีไม่กี่องค์ที่เก่งๆ บางคนบอกพระรูปนี้เอาแต่นอนหาเฉลียวใจในศีล คุณธรรม ความร่มเย็น สติ และสมาธิ ปัญญาที่ท่านมี พอสิ้นไปอัฐฐิกลายเป็นพระธาตุไปเลย

    อิริยาบทจึงแล้วแต่จริตแต่ละบุคคลนะ ยืน เดิน นั่ง นอน ขอเพียงมีสติได้หมด
    บางคนท่านั่งคอตก คอพับ ขาเหยียดยาวเลยนะ คนที่ดูรูปลักษณ์ภายนอกก็ดูถูก
    ไม่เคารพ ไม่ศรัทธานี่หาเฉลียวใจเลยว่า

    คนบางคนที่มีอิริยาบทนี้แต่จิตเค้ารวมเข้าไปแล้ว คนทำสมาธิจึงไม่ได้สำคัญที่ความสวย ท่าสวย แต่สำคัญที่สติ สมาธิ ที่สงบระงับ กาย วาจา ใจ ที่สงบระงับ
    สำคัญกว่าท่วงท่าเสียอีก

    ดังนั้นเราอย่าไปดูรูปลักษณ์เช่นเดียวกับที่เรานอนนะ
    บางคนเห็นเรานอนว่า..
    โอน้องเรานอนกรนไม่มีสติเลย ที่ไหนได้ให้เค้าเรียกเราเบาๆที่เบาที่สุดซิ
    เป็นพี่จะยกมือให้ดู ท่าช่วงนั้นกายหลับแต่สติมันตื่นนะแหะๆ

    ดังนั้นการเข้าฌานหลับนี่สำคัญคือฝึกตายหล่ะ...
    เพราะเวลาตายจิตมันจะทิ้งกายเปี๊ยบเหมือนนอนเลยและมีอำนาจที่ทื่อๆ มึนๆ แข็งๆ ทำให้จิตมันอ่อนแรงลงไปเช่นกัน

    (ส่วนการนอนที่ตื่นมาได้อีกก็เพราะองค์รักษาภพในอารมณ์นั้นยังไม่หมดอำนาจ จึงตื่นมาอีกและระหว่างวันภวงัค์ที่เรียกว่าองค์รักษาภพมันก็ทำหน้าที่ตลอดแต่ไม่ถี่ยิบแต่เกิดตลอดเพียงแต่เราไม่เห็นเพราะสติไม่มีกำลัง สมาธิไม่มีกำลัง)

    เวลาเราหลับจะมีภาพนิมิตหรือความคิดปรุงแต่งปรากฏ
    บางทีเห็นตนเองเป็นสัตว์ ชนิดนั้นชนิดนี้
    บางทีก็คอแห้งผาก บางทีก็อ่อนร้าไร้เรี่ยวแรง
    บางทีก็เหมือนหนีอะไรไม่รู้ที่ไม่อยากเจอ
    บางทีก็ไปดินแดนที่สว่างอบอุ่น
    บางทีก็เหมือนไปเป็นอะไรที่คนเค้ากราบไหว้บูชา สารพัดจะมี จะเป็น

    พอเราไปจับยึดเอาเป็นอารมณ์ชนิดไหนแล้วปรากฏว่า เราตาย...

    (คำว่าตายเนี่ยมันเป็นสมมุติมรณะของโลกแต่จริงๆมันตายทุกขณะจิต มีภพใหม่ๆปรากฏในจิตแต่ละดวงตลอดเวลาต่่างหาก การส่งต่อสืบเนื่องมีตลอด แม้ขณะตื่นและหลับ)

    ภวังค์จิตจึงเป็นตัวแสดงไปกำเนิดชาติภพเพราะเป็นที่สะสมภพเป็นองค์รักษาภพ
    เป็นตัวแสดงปฏิสนธิจิตเป็นตัวส่งต่ออารมณ์ชนิดหนึ่งไปอีกชนิดหนึ่ง

    การนอนกับความตายจึงคล้ายกันมากคือจิตทิ้งกายเข้าไปคลุกกับอารมณ์ภายใน ภวังค์ มีคตินิมิตเป็นอารมณ์เป็นมั่นหมาย

    การที่เราฝึกพัฒนากายและจิตเพื่อความไม่ประมาทเวลานอน
    นอนเหมือนที่พระพุทธองค์สอน คือนอนหลับไปพร้อมสติ

    ก็เหมือนเราทำสมาธิ เราพิจารณาอารมณ์ชนิดไหน เราก็เฝ้าดูอารมณ์ชนิดนั้นแล้วหลับไป วูบเข้าไป

    บางครั้งการวูบเข้าไปวูบชนิดดิ่งลึก เข้าไปแต่งมันไม่ได้เลย มันเข้าไปตามภพภูมิของเค้า ตามกำลัง ตามขอบเขต ตามวงของจิต ตามภพที่วูบเข้าไป เงียบหายไปแบบนิ่งลึก

    แต่พอเวลาที่กายมันจะตื่น ในช่วงเวลาที่ตั้งเอาไว้
    มันจะเหมือนมีสติตื่นเอง พอดีกับช่วงเวลาที่เราตั้งใจ

    การนอนถ้ากายมันกรนดังก็แสดงว่า กายมันปรับสภาวะธาตุที่อ่อนล้ามามาก บริเวณช่องปาก เพดานตรงผนังกล้ามเนื้อมันอ่อนล้ามันจะมาดันๆกันจนลมมันตีทวนขึ้นกับช่องกล้ามเนื้อเหมือนตดเลยแฮะฮิๆ ปู๊ดๆ แต่นี่เป็นคร๊อกๆ

    จุดปฎิสนธิวิญญาณในครรภ์มารดาเป็นจุดที่ถ้าเราย้อนสติเนปักะเราจะทวนภพและ ย้อนดูอดีตชาติได้

    แต่จุดภวังค์จิตเป็นจุดกำเนิดชาติตัวส่งต่อสันตติพอจับยึดอารมณ์มันส่งเข้าปฏิสนธิวิญญาน รูปที่ปรากฏหรือสร้างรูปในคตินิมิตก่อนและจิตจะถูกส่งไปทันทีเมื่อรูปใหม่ ภพใหม่ปรากฏ

    เหมือนถอดจิตเลยไม๊เนี่ย...
    คือเราสร้างรูปละเอียด ขันธ์ละเอียดภายนอกได้ จิตมันทิ้งกายหยายเข้าหารูปใหม่ได้เช่นกัน

    วันนี้ก็สนุกๆเอามาเล่าพอสังเขปแต่พี่อ้องขอเอาไปแทรกในกระทู้ให้เพื่อนๆ น้องๆเค้าได้อ่านด้วยนะจ๊ะ
     
  3. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    ตอบหนุ่ย

    จตุธาตุววัตถาน๔...
    ธาตุกินธาตุ ธาตุแลกเปลี่ยนธาตุ ธาตุเบียดเบียนธาตุ ธาตุปกป้องธาตุ
    ธาตุกลมกลืนธาตุ ธาตุปัดธาตุ

    ถ้าเราเคยทดลองในวิชาทางเคมี เราจะเห็นว่าธาตุทางเคมีบางชนิดจะเหมือนกันดังที่กล่าวมา บางชนิดก็ผลักออกจากกัน บางชนิดก็เหมือนชอบพอกันหลอมกลมกลืนกันและกัน บางชนิดก็ดูดกลืนเข้ามาเป็นของๆมัน บางชนิดก็สร้างสิ่งผลักดันไม่ให้เข้าใกล้

    การพิจารณาธาตุเราพิจารณาเพื่อย้อนทวนภายในและออกไปภายนอก
    หาเหตุหาผลย้อนไปย้อนมา พิจารณากรรมฐานจตุววัตถานเป็นอารมณ์

    เมื่อรู้แจ้งแห่งปวงธาตุว่า ธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม ที่ปรากฏในกายมีสิ่งใดบ้างและไปสัมผัสกับภายนอกที่อิงอาศัยแลกเปลี่ยนกันและกันอยู่ก็เท่ากับว่าหยั่งรู้ในปวงธาตุ แต่ปัญญาต้องพิจารณาสูงพอควรอยู่

    จึงจะหยั่งถึงทั้งภายใน ภายนอกมาประสานเห็นตามจริงจนหยั่งถึงในปวงธาตุ
    คำว่าจิตเหนือธาตุคือมันคลายจากการยึดในกายเพราะเห็นว่ากายนี้มันเป็นเพียงแค่ธาตุที่มาประชุมรวมกัน มันคลายยึดในรูปลักษณะ จนธาตุไม่มีอำนาจเหนือใจอีกเรียกว่า

    จิตเหนือธาตุ ไม่อิงธาตุเพราะเห็นว่ามันกินกัน เบียดเบียนกัน มีแต่ทุกข์
    การรู้แจ้งแห่งปวงธาตุ รู้แจ้งแห่งวิญญาณอายตนะ จิตก็ไม่ออกจากใจ
    จิตก็ไม่ปรุงแต่งสังขารขันธ์ ภพก็ไม่ปรากฏดับวิญญาณที่อายตนะ

    เหลือเพียงใจเป็นหนึ่งก็เพราะศีล สมาธิ ปัญญาที่อบรมมาดีแล้ว

    โลกก็เป็นของมันเช่นนัน้ กิเลสก็มีอยู่เช่นนั้น ปรมัตถ์สภาวะก็มีเหมือนเดิมตามจริงของเค้าอย่างนั้น
    สมมุิตสัจจะที่วางเอาไว้ก็มีเช่นเดิมตามนั้น

    แต่ใจที่รู้แจ้ง เห็นจริง ทำลายฃึ้งสังโยชน์ ประหารกิเลส
    คำว่าประหารไม่ใช่กิเลสไม่มีเพียงแต่เห็นว่าเป็นทุกข์ เป็นโทษและใจไม่มีอุปทานเพราะรู้แจ้งตามอริยสัจ๔เสียแล้ว

    ก็เพราะศีล สมาธิ ปัญญาที่อบรมมาทั้งสิ้น รู้และก็วางเป็นกลางต่อสรรพสิ่งแล้วดีเลววางลง โลกธรรมทั้ง๘เป็นของโลก ใจไม่เอาโลก ไม่เอาขันธ์ กิเลสมาเช่นไรก็วางลง เพราะรู้แจ้งเห็นจริงว่าโลกที่แท้จริงคืออะไร กิเลสไม่มีอำนาจต่อใจที่ตรัสรู้แจ้งต่อสรรพสิ่งอีกต่อไป

    ความไม่รู้ ถูกความรู้แจ้งเห็นจริงพบเห็นมาแทรกหมดสิ้น
    จิตจึงอิสเป็นไท หลอมกลมกลืนเข้ากับสรรพสิ่ง พ้นทุกข์ เหนือธรรมชาติ เหนือปวงธาตุ เหนือสรรพสิ่ง ไร้เค้า ไร้เรา ไร้สิ่งจับต้อง

    บรมสุขแท้จริงเพราะไร้ขันธ์ ทุกข์ไม่ปรากฏอีกต่อไป ไร้จุด
    ไร้ตำแหน่ง ไร้ภพ ไร้กาลเวลา

    สิ้นทุกข์เหนือธรรม...
    อนุโมทนาหนุ่ย...
    พี่อ้อง
     
  4. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    หลวงปู่เทสก์บอกว่า
    ฌานกับสมาธิใกล้กันมากแต่มีเครื่องสังเกตุที่ภวังค์
    ถ้าวูบเข้าไปในภวังค์ทั้งสามก็เป็นฌาน
    แต่ถ้าจดจ่อพิจารณาในอารม์กรรมฐานจนจิตรวมก็เป็นสมาธิ

    ท่านสอนว่าสมาธิมีคุณอุปการะมาก
    เพราะอัปนาสมาธิพอถอนมาที่อุปจารสมาธิและพิจารณาธรรมปัญญาจะเข้าถึงสัจธรรมได้ง่าย
    เห็นสรรพสิ่งเป็นพระไตรลักษณ์วิปัสสนาปัญญาก็ย่อมเจริญงอกงามเป็นลำดับ

    การพิจารณาธาตุเป็นกรรมฐานในหมวดกรรมฐาน๔0กอง
    ถ้าเราเข้าสมาธิโดยยกเอาธาตุมาพิจารณาเป็นอารมณ์จนหยั่งถึงต้นตอของธรรมชาติ
    จิตจะมีนิมิตภาพปรากฏ(ฌาน)ย้อนเหตุไปมาเช่นฝนมาจากไหน น้ำมาจากไหน
    มันจะเห็นสิ่งที่เป็นเหตุของเค้าไหลย้อนไปมา
    ดิน ธาตุของกายในส่วนต่างๆ ลม ไฟ ตรงนีพี่ไม่เคยทำนะเพราะต้องแล้วแต่จริตนิสัยของแต่ละคน

    เพียงแต่พอศึกษามาบ้างก็อธิบายได้ไม่ละเอียดมากนัก รู้แต่ว่าพอเห็นแล้วหยั่งถึง
    จะเข้าใจคำว่าเบียดเบียนกันและกัน มีแต่ทุกข์ครับ
    อนุโมทนานะหนุ่ย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 ตุลาคม 2009
  5. SONICx

    SONICx เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    113
    ค่าพลัง:
    +225
    ขอบคุณมากครับพี่..
    ผมอยากให้พี่ฟังแนวนี้บ้างครับ .. .. พระนักปฏิบัติครับ...
     
  6. SONICx

    SONICx เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    113
    ค่าพลัง:
    +225
    หลวงตาท่านนี้ท่านเคยมาเตือนสติ ให้ผมเร่งความเพียรในนิมิตครับ..ประมาณช่วงต้นเดือนสิงหาคม กำลังสมาธฺผมเริ่มอ่อนพระผมใช้แต่อาณาปานสติแล้วมันไปต่อไม่ได้ ( มันเข้าฌานลำบากมาก) ผมเลยหยุดบ้าง ทำบ้าง มีคืนหนึ่ง หลังจากนอนจับลมหายใจ แล้วหลับไป เกิดนิมิต พบว่าตัวเองนอนอยู่บนเมรุเผาศพ.. เอ้า ในใจก็คิดว่าทำไมมานอนอยู่ที่นี่หว่า..หรือเราตายแล้ว ในใจไม้ได้ตกใจ ไม่ได้กลัวครับ. แล้วก็มีหลวงตาท่านหนึ่งเดินมา เหลืองอร่ามมาเลยครับ ในมือถือคบไฟมาด้วย ปากก็บ่นพึมพำว่า ขี้เกียจแบบนี้ใช้ได้ที่ไหน ทำเหลอะแหละๆ เมื่อไหร่มันจะพ้นอบายภูมิ บ่นไปต่างๆ.. ผมนึกอายในใจอย่างบอกไม่ถูก ท่านก็จะเอาคบเพลิงมาเผาฟืนใต้ที่ผมนอนอยู่ ผมทั้งอาย ทั้งขำ ได้แต่โดดหนี และก็ตื่นขึ้นมา วันหลังพอสวดมนต์เสร็จผมเลยกราบขอขมาท่าน.. พี่เชื่อมั้ยผมไม่เคยเห็นตัวจริงท่านซักครั้งครับ แผ่ผมฟังธรรมของท่านอยู่บ่อยครั้ง.. จริงๆผมก็ฟังธรรมะจากพระอาจารย์หลายท่าน สำหรับหลวงตาท่านนี้ท่านเทศน์ฟังง่าย เข้าใจง่าย ปฏิบัติได้จริงครับ อยากให้พี่ลองฟังแนวนี้ดูบ้างครับ( เลือกฟังเฉพาะที่ท่านเทศน์สอนพระนะครับ ) หนุ่ย
     
  7. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    เวลาเจอผีสวดมนต์ทำมายไม่ไป มาอ่านก่อนนะ

    สังเกตุนิดเวลาเจอนะครับ<!-- google_ad_section_end -->

    <hr style="color: rgb(255, 255, 255); background-color: rgb(255, 255, 255);" size="1"> <!-- / icon and title --> <!-- message --> <!-- google_ad_section_start -->[FONT=&quot]ข้อสังเกตุ[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT]
    [FONT=&quot]เวลาที่จิตวิญญาณชั้นต่ำมาเยือนจะมีลักษณะ[/FONT][FONT=&quot]เงาดำ กลุ่มควันดำ ลอดมาทางหน้าต่าง[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT]
    [FONT=&quot]มาทางผนังห้อง[/FONT][FONT=&quot]มาทางด้านบนและกดทับด้วยอาการที่รุนแรง หายใจไม่ออก[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT]
    [FONT=&quot]โดนนั่งที่ตัว[/FONT][FONT=&quot]เอาเท้ากดที่ตัวบ้าง ใช้จิตกดทับด้วยอำนาจทำให้หน้าอกแน่นบ้าง เห็นเป็นรูปร่างบ้าง[/FONT][FONT=&quot]เห็นเป็นเงาใหญ่บ้าง[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT]
    [FONT=&quot]นี่ก็เพราะอสูรกาย พวกนี้เสวยกรรมกับจิตหยาบ[/FONT][FONT=&quot]มีสภาวะจิตที่อึดอัด คับแคบ[/FONT][FONT=&quot]เห็นแก่ตัว[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT]
    [FONT=&quot]เราจึงเห็นเป็นลักษณะดังกล่าว อสูรกายดังกล่าวผุดด้วยบาปแห่งอกุศลจิตแต่ เพราะเคยอบรมสมาธิ[/FONT][FONT=&quot]แต่เป็นมิจฉาสมาธิจึงมีอำนาจอยู่ หรือบางตนมีอำนาจน้อยแต่เราเองนี่หล่ะที่ไร้อำนาจ
    จึงถ฿กครอบงำได้ง่าย

    [/FONT]
    [FONT=&quot]บางกรณีอาจจะเป็นโรคลมชนิดหนึ่งคือ[/FONT][FONT=&quot]ร่างกายอ่อนเพลีย นอนทับเส้น มีอาการมึนงง[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT]
    [FONT=&quot]เหมือนเรียก เหมือนร้อง[/FONT][FONT=&quot]เหมือนตื่นแล้วตื่นอีก แต่ก็ไม่พ้น ไม่มีเงาดำ[/FONT][FONT=&quot]มีแต่อึดอัด[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT]
    [FONT=&quot]นี่โรคลม[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT]
    [FONT=&quot]อีกกรณีคือ จิตพวกเทพใกล้ตัว เทพที่ใกล้โลก[/FONT][FONT=&quot]ภุมเทวดา เวลามาจะเป็นลักษณะ[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT]
    [FONT=&quot]กลุ่มควันสีขาว ลอดมาทางหน้าต่างบ้าง[/FONT][FONT=&quot]หรือปรากฏกายให้เห็นบ้าง[/FONT][FONT=&quot]หรือให้ลืมตาดูท่านบ้าง[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT]
    [FONT=&quot]แต่อาการอึดอัดหรือแน่นจะน้อย[/FONT][FONT=&quot]เพราะท่านใช้จิตที่อ่อนๆกดเราเพื่อไม่ให้ตกใจเสียก่อน[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT]
    [FONT=&quot]อีกกรณีคือเทพที่สูงขึ้นไปเวลาปรากฏ[/FONT][FONT=&quot]อาจจะได้ยินเสียงกังวานมาแต่ไกล เห็นรัศมีส่องมาหา[/FONT][FONT=&quot]เห็นความสว่างโพลงปรากฏตามบุญของท่านปรากฏมาก่อน[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT]
    [FONT=&quot]ที่สำคัญ[/FONT][FONT=&quot]ทุกภพภูมคือหนีทุกข์ ที่ใดมีสิ่งทั้ง[/FONT][FONT=&quot]5 [/FONT][FONT=&quot]รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส คือโลก คือ[/FONT][FONT=&quot]ภพ[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT]
    [FONT=&quot]หนีทุกข์ล้วนๆ มนุษย์ดีที่สุด สามารถสร้างความดีได้สูงสุด[/FONT][FONT=&quot]คือการสิ้นภพ[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT]
    [FONT=&quot]สรณะอื่นๆข้าพเจ้าไม่มี[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT]
    [FONT=&quot]พระพุทธ พระธรรม[/FONT][FONT=&quot]พระสงฆ์เป็นสรณะอันประเสริฐของข้าพเจ้า[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT]
    [FONT=&quot]เพราะทำให้พ้นทุกข์ได้อย่างแท้จริง[/FONT]


    อนึ่งพอสังเขป...
    เวลาคนเห็นผี มีน้อยที่จะเจอแบบสื่อสัมผัสทางตา โดยมากจะเป็นเสียงเรียก กลิ่น หรือพบเห็นในขณะจิตอยู่ในภวังค์และถูกอำนาจของจิตวิญญาณกดข่ม


    สวดมนต์แต่ไร้กำลัง สวดมนต์แต่ไม่มีศีลเป็นสิ่งที่รักษา สวดมนต์แบบไม่มีสติ ต่อให้ยกบทสวดมาเป็นพัน ผีมันก็กดทับเราด้วยอำนาจที่เหนือกว่าได้อยู่ดีครับ

    การสวดมนต์จึงควรสวดด้วยศรัทธา นำเอาพระรัตตรัยเป็นที่พึ่ง เป็นสรณะที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ ประกอบด้วยสติ ด้วยศีล จิตที่จดจ่อกับบทสวดจะได้กำลังของสมาธิแนบมาอีกด้วยและนอนแบบมีสติ

    ผีร้อยพันก็เข้าถึงไม่ได้หล่ะ ถ้าไม่เปิดช่องให้เค้า หรือเชิญเค้ามาด้วยเพราะจิตร่มเย็น ผีเข้าถึงไม่ได้เว้นแต่เทพอารักษ์


    ผู้รักษาศีลย่อมได้ความสะอาด ความบริสุทธิ์เป็นสิ่งรักษาเพราะกาย วาจา ใจ สงบเสมอ


    ผู้ประพฤติธรรมย่อมได้ธรรมคุ้มครองรักษาด้วยคุณธรรมที่เจริญและบ่มเพาะ


    ผู้มีสติ มีกำลังของสมาธิ ไม่หวั่นไหว ไม่ตื่นเต้น มีสติรักษา



    สิ่งเหล่านี้คุ้มครอง ป้องกันโดยบางครั้งคุณแทบไม่ต้องสวดมนต์
    แต่มนต์พระคาถาจะออกมาจากคุณธรรมที่คุณสร้างเอาไว้
    ด้วยศีล สมาธิและคุณธรรมที่มีอยู่ในตัวคุณเองครับ ไม่ได้เสกลงมาจากฝากฟ้าแต่ปรากฏขึ้นตั้งแต่คุณได้สวดมนต์ไว้แล้ว

    คุณทำด้วยตัวคุณเองแล้ว ความศักดิ์สิทธิ์ปรากฏขึ้นแล้วด้วยตัวคุณเอง สร้างเอง จากกำลังของศีล สติ สมาธิ คุณธรรมเพราะเชื่อมั่น เพราะศรัทธา เพราะนำมาเป็นที่พึ่ง ที่ยึดเหนี่ยว

    พระคาถาปกป้องคุณตามกำลังของศีล สมาธิ สติ คุณธรรมของคุณเอง ความศักดิ์สิทธิ์มาจากใจคุณเองล้วนๆ


    พระคาถาออกมาเอง ไม่ใช่ัจากตัวหนังสือ จากความคิด
    แต่เป็นรัศมี คุณธรรม
    ที่คุณได้สวดมนต์เป็นพุทธานุสติอยู่เสมอเพราะศรัทธา เชื่อมั่น


    ความศักดิื์สิทธิ์ปรากฏมาจากตัวคุณเองคือวิบากที่ดี
    คุณเป็นกระถางรองรับคุณธรรม ยิ่งคุณสร้าง คุณสะสมด้วยตัวคุณเอง
    ยามมีภัยอันตราย


    ศีล สมาธิ คุณธรรมที่คุณได้อบรมมาจะช่วยคุณเองโดยไม่ต้องนึกถึง
    พระคาถาจะปกป้องคุณเอง

    จิตที่สัมปยุตต์กับศีลคือความสะอาดมีรูปลักษณะที่ร่มเย็น ผ่องใส สีขาวนวล สว่างอย่างร่มเย็นเหมือนต้นไม้ใหญ่ให้ที่พึ่งแห่งความร่มรื่น

    จิตที่สัมปยุตต์กับสมาธิมีรูปลักษณะที่น่าเคารพ ศรัทธาสว่างเป็นประกายละเอียดของแสงแ่ห่งสมาธิจิต ทั้งสดใสและกว้างไกลตามกำลังของสมาธิมีลักษณะที่สัมผัสชุ่มชื่น เย็นใจ

    จิตที่สัมปยุตต์กับคุณธรรม มีศรัทธา มีศีลเป็นต้นนั้นจึงมีรูปลักษณะที่น่านิยม ยกย่อง ชมเชยสัมผัสด้วยความเย็นใจ

    ท่านสร้างจิตสัมปยุตต์ด้วยตัวท่านเองขณะที่สวดมนต์แล้ว
    ความศักดิ์สิทธิ์ปรากฏด้วยเพราะตนเป็นที่พึ่งแห่งตนแล้ว
    ไม่ต้องอ้อนวอน ไม่ต้องร้องขอแล้ว


    พระคาถาแห่งพระอริยเจ้า ไม่ได้ทำลายสรรพสัตว์ให้พินาศ
    ผู้สวดประกอบไปด้วยศีลรักษา ย่อมแสดงถึงจิตไม่เบียดเบียนใคร
    แต่ภัยอันตรายที่มาจากวิญญาณที่เป็นมิจฉาทิฎฐิ มีอำนาจฤทธิ์


    เมื่อมากดข่มต่อผู้มีศีล มีธรรม ย่อมได้รับความเย็น ความผ่องใส ความบริสุทธิ์ ความสะอาดของจิตอันเป็นสิ่งตรงข้ามกันจึงทำให้วิญญาณเหล่านั้นเกิดความหด กลัว รู้สึกอำนาจที่น่าเคารพ ศรัทธาแต่แตะต้องตัวท่านไม่ได้ เข้าใกล้ก็ไม่ได้ เพราะจิตอำนาจต่างกันในความเย็นคือศีล


    ความร้อนคือไร้ศีล บาป อกุศลมีอำนาจน้อยครับ


    ก็ขอฝากนิดหน่อยตรงเรื่องผีๆคือบางคนบอกสวดแทบตายมันยิ่งกดข่ม
    บางตัวมันหัวเราะ ขำกลิ้งเราอีก แถมคนสวดบอกเวลาสวด เหมือนไร้กำลังไงไม่รู้ นี่หล่ะ คือไร้ศีล ไร้สมาธิ ไร้สติ


    เจออะไรให้มีสติ และระลึกในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ที่เป็นที่พึ่ง ที่ร่มเย็น และระลึกไปถึงศีลที่รักษา อำนาจของสมาธิจะรวมกำลังในไม่กี่ขณะและปัดเอาสิ่งแฝงเล้นออกไปได้ด้วยกำลัง ด้วยคุณธรรมของคุณทั้งสิ้น


    พระคาถาจึงคือพุทธานุสติ ธรรมมานุสติ สังฆานุสติ คำว่าสติก็บ่งชัด
    ให้มีสติเป็นเครื่องอยู่ เมื่อไร้สติ ไร้ศีล ไร้สมาธิก็เสร็จผีทุกรายครับ


    อนุโมทนาสาธุ
    อ้องครับ
     
  8. kung_9894

    kung_9894 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    186
    ค่าพลัง:
    +1,584
    อนุโมทนาค่ะพี่อ้อง

    หนูกำลังฝึกอยู่ด้วยค่ะ สาธุ
    มีอยู่วันหนึ่งตอนกำลังสวดมนต์อยู่ รู้สึกง่วงมาก
    ก็เลยงีบพักสายตาในห้องพระ โดยจับลมหายใจไปด้วย แต่ไม่ทราบว่าหลับไปตอนไหนนะคะ
    สักพักหนูรู้สึกว่ากำลังยกแขนขึ้นมานะคะ แต่ไม่เห็นแขนตัวเอง

    แล้วก็เอี้ยวไปอีกด้านก็รู้สึกว่าแขนอีกด้านวางอยู่
    หนูก็ไม่ทราบว่าจิตออกไปจริงๆหรือเปล่านะคะ แต่หนูยกได้ทั้งแขนเลย
    ก็พยายามจะอธิษฐานให้จิตออกมาจริงๆ แต่ก็ไม่สามารถออกมาได้ทั้งตัว

    รบกวนพี่อ้องกรุณาให้คำตอบด้วยนะคะ
    ช่วงนี้เวลานั่งสมาธิ รู้สึกว่ากายมันเบา มันว่าง ไม่มีน้ำหนัก เหมือนกับจะลอยขึ้นไปค่ะ แล้วก็เวลานั่งจะใช้เวลาไม่นาน พอเริ่มนั่งก็จะมาที่จุดนี้เลย

    แต่ก็ยังได้ยินเสียงต่างๆอยู่ค่ะ คือสงสัยว่าทำไมถึงรู้สึกเบาหวิวขนาดนั้น
    นั้นคือจิตกำลังจะออกไปหรือว่าอย่างไรคะ

    เมื่อคืนหนูก็ลองจับลมหายใจนะคะ เหมือนกับจะเห็นภาพๆหนึ่งรางๆ เป็นที่ที่หนึ่ง เป็นป่าแห่งหนึ่งนะคะ เต็มไปด้วยต้นไม้ที่ร่มรื่นมากๆ หนูก็ไม่ทราบว่าเป็นที่ไหนนะคะ แล้วสักพักก็แว่บเข้ามาเห็นตัวเองแต่งตัวชุดไทยโบราณเหมือนกับพวกสุโขทัยค่ะ ประมาณนั้น

    ส่วนที่พี่อ้องบอกว่าวิญญาณต่างๆจะมาให้เราเห็นนั้นมีอยู่ครั้งหนึ่ง เห็นเงาดำๆแนบมากับหน้าเราเลย แต่ด้วยความตกใจเลยพยายามที่จะตื่นมาให้ได้ แต่ไม่ทราบว่าเป็นใคร แต่ในจิตเหมือนรับทราบว่าเค้าไม่ได้มีเจตนาร้าย เพียงแค่มาทักทายเองอ่ะค่ะ บางครั้งก่อนที่จะหลับได้ยินเสียงพระสวดก้องมาในหูเลยค่ะ บางครั้งก็ได้ยินเสียงเด็กหัวเราะกันคิกคักๆ จนต้องลุกมาสวดพระชินบัญชร
    จากนั้นก็หลับสบาย

    กราบขอบพระคุณและอนุโมทนาด้วยค่ะพี่อ้อง _/|\_

    ปล.พี่อ้องคะ แล้วถ้าหนูไม่กรนล่ะคะ ฮ่าๆๆๆ

    QUOTE=ชัชวาล เพ่งวรรธนะ;2520041]ช่วงกลางวันน้องจะเป็นเหมือนพี่นะ...
    คือกายมันอยู่ในสภาพที่ปวงธาตุไม่แปรปรวนมาก
    พอนอนในขณะที่กายหยาบมันยังสงบ จิตมันไม่ตกภวังค์ได้ง่าย เหมือนเรามีสติรู้สึกภายใน เฝ้าดูอยู่
    กายมันกรนเบาๆ กร้ามเนื่อตรงช่องปากมันผ่อนเบาๆเพราะยังไม่ตึงจนเกินไป
    กรนเบาๆ มันมองเห็นกายหยาบกรนเป็นสิบทีก็รู้ มันมีตัวรู้สึกอยู่ภายใน

    กายมันหลับแต่สติมันตื่นอยู่...
    ท่าปราบเซียนส่วนมากจะขึ้นกับสภาวะกายหยาบระหว่างวันด้วย
    ถ้ากายหยาบเค้าต้องการพักผ่อนเพราะเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้ามา

    กายมันจะเกิดธาตุปรวนแปร คำว่าล้า อ่อนแรง นั่นคือกายกำลังปรับสภาวะธาตุให้สมดุลย์ การง่วงหงาวหาวนอนก็มาจากธาตุมันจะปรับตัวของมัน
    กายจะถูกภวงัค์ปรากฏเพื่อดึงเข้าไปให้จิตอยู่ภายใน

    เพราะถ้าจิตยังเที่ยววุ่นวายภายนอก
    กายมันจะแตกดับ เช่นคนที่เศร้า คนเครียด
    คนตรอมใจ นอนอย่างไรก็ไม่หลับเพราะเอาแต่ยกวิถีจิตอารมณ์ชนิดนั้นตลอดเวลา

    คนที่ตื่นเต้น สนุกสนาน เพลิดเพลิน ยินดีในราคะ โทสะ โมหะเนี่ย อันตรายถ้าตายในขณะที่จิตอ่อนล้าเช่นกัน

    ในทุกๆวัน ธาตุมันเบียดเบียนกันและกัน อาศัยรูปแห่งพลังงานและสสารแลกเปลี่ยนกันตลอดเวลา มันจึงต้องมีสิ่งมาเสริมเช่นอาหารและลม
    สิ่งที่ต้องหยุดพักคือนอนเพื่อปรับสมดุลย์ของกาย

    จิตจะทิ้งคิดในช่องวิญญาณแห่งอายตนะแบบไร้สติเพราะภวังค์จิตจะเกิดถี่ยิบ เป็นรูปลักษณะคือทื่อ แข็งๆ มึนๆ ชวนเคลิบเคลิ้มก็มี
    สุขก็มีอิงเป็นเหตุใกล้ให้กายสบายก็มี

    กายมันต้องเบาสบาย ถ้ากายมันทุกข์มากมันหลับไม่ได้ กายมันต้องสงบระงับ

    คงเห็นนะว่าเหมือนสมาธิเลยแต่การนอนกับการทำสมาธิต่างกันที่กำลังและสติ
    ที่ตามกันเข้าไปโดยรักษาจิตแจ่มใสคือกายหลับช่างมันแต่จิตตื่นรู้อยู่ภายใน

    ในขณะที่เราเฝ้าดูตามรู้ดำรงค์สติเฉพาะหน้าเอาไว้อยู่ ในท่านอนช่วงที่กายเราไม่แปรปรวนมากนัก ภวังค์จิตมีอำนาจน้อย กลายเป็นว่าเราทำสมาธิในท่านอน
    อิริยาบทนอน กายมันสบายเร็ว สุขเร็ว บางทีเราก็มองธรรมดาเหมือนเราทำสมาธิ

    แต่กายมันกรนออกมาแม้เบาขนาดไหนเราก็รู้แถมสามารถจะยกชูมือให้คนข้างๆรู้ว่า นี่กำลังนอนนับกรนให้ดูแล้วก็ให้จิตมันวูบเข้าไปต่อในเหตุใกล้ที่ตำแหน่ง เดิม
    ซักพักก็กรนต่อแต่เวลานั่งทำสมาธิกายมันไม่กรนนะ แต่ท่านอนมันไปแล้ว

    ท่านอนจึงเป็นท่าที่ทำสมาธิยากที่สุดและมีโอกาสตกภวังค์ถี่มากที่สุดแต่ข้อดีคือถ้าทำได้กำลังสมาธิจะนานกว่าท่านั่งเสียอีกแต่หาคนทำท่านอนยากนะ

    ครูอาจารย์มีไม่กี่องค์ที่เก่งๆ บางคนบอกพระรูปนี้เอาแต่นอนหาเฉลียวใจในศีล คุณธรรม ความร่มเย็น สติ และสมาธิ ปัญญาที่ท่านมี พอสิ้นไปอัฐฐิกลายเป็นพระธาตุไปเลย

    อิริยาบทจึงแล้วแต่จริตแต่ละบุคคลนะ ยืน เดิน นั่ง นอน ขอเพียงมีสติได้หมด
    บางคนท่านั่งคอตก คอพับ ขาเหยียดยาวเลยนะ คนที่ดูรูปลักษณ์ภายนอกก็ดูถูก
    ไม่เคารพ ไม่ศรัทธานี่หาเฉลียวใจเลยว่า

    คนบางคนที่มีอิริยาบทนี้แต่จิตเค้ารวมเข้าไปแล้ว คนทำสมาธิจึงไม่ได้สำคัญที่ความสวย ท่าสวย แต่สำคัญที่สติ สมาธิ ที่สงบระงับ กาย วาจา ใจ ที่สงบระงับ
    สำคัญกว่าท่วงท่าเสียอีก

    ดังนั้นเราอย่าไปดูรูปลักษณ์เช่นเดียวกับที่เรานอนนะ
    บางคนเห็นเรานอนว่า..
    โอน้องเรานอนกรนไม่มีสติเลย ที่ไหนได้ให้เค้าเรียกเราเบาๆที่เบาที่สุดซิ
    เป็นพี่จะยกมือให้ดู ท่าช่วงนั้นกายหลับแต่สติมันตื่นนะแหะๆ

    ดังนั้นการเข้าฌานหลับนี่สำคัญคือฝึกตายหล่ะ...
    เพราะเวลาตายจิตมันจะทิ้งกายเปี๊ยบเหมือนนอนเลยและมีอำนาจที่ทื่อๆ มึนๆ แข็งๆ ทำให้จิตมันอ่อนแรงลงไปเช่นกัน

    (ส่วนการนอนที่ตื่นมาได้อีกก็เพราะองค์รักษาภพในอารมณ์นั้นยังไม่หมดอำนาจ จึงตื่นมาอีกและระหว่างวันภวงัค์ที่เรียกว่าองค์รักษาภพมันก็ทำหน้าที่ตลอดแต่ไม่ถี่ยิบแต่เกิดตลอดเพียงแต่เราไม่เห็นเพราะสติไม่มีกำลัง สมาธิไม่มีกำลัง)

    เวลาเราหลับจะมีภาพนิมิตหรือความคิดปรุงแต่งปรากฏ
    บางทีเห็นตนเองเป็นสัตว์ ชนิดนั้นชนิดนี้
    บางทีก็คอแห้งผาก บางทีก็อ่อนร้าไร้เรี่ยวแรง
    บางทีก็เหมือนหนีอะไรไม่รู้ที่ไม่อยากเจอ
    บางทีก็ไปดินแดนที่สว่างอบอุ่น
    บางทีก็เหมือนไปเป็นอะไรที่คนเค้ากราบไหว้บูชา สารพัดจะมี จะเป็น

    พอเราไปจับยึดเอาเป็นอารมณ์ชนิดไหนแล้วปรากฏว่า เราตาย...

    (คำว่าตายเนี่ยมันเป็นสมมุติมรณะของโลกแต่จริงๆมันตายทุกขณะจิต มีภพใหม่ๆปรากฏในจิตแต่ละดวงตลอดเวลาต่่างหาก การส่งต่อสืบเนื่องมีตลอด แม้ขณะตื่นและหลับ)

    ภวังค์จิตจึงเป็นตัวแสดงไปกำเนิดชาติภพเพราะเป็นที่สะสมภพเป็นองค์รักษาภพ
    เป็นตัวแสดงปฏิสนธิจิตเป็นตัวส่งต่ออารมณ์ชนิดหนึ่งไปอีกชนิดหนึ่ง

    การนอนกับความตายจึงคล้ายกันมากคือจิตทิ้งกายเข้าไปคลุกกับอารมณ์ภายใน ภวังค์ มีคตินิมิตเป็นอารมณ์เป็นมั่นหมาย

    การที่เราฝึกพัฒนากายและจิตเพื่อความไม่ประมาทเวลานอน
    นอนเหมือนที่พระพุทธองค์สอน คือนอนหลับไปพร้อมสติ

    ก็เหมือนเราทำสมาธิ เราพิจารณาอารมณ์ชนิดไหน เราก็เฝ้าดูอารมณ์ชนิดนั้นแล้วหลับไป วูบเข้าไป

    บางครั้งการวูบเข้าไปวูบชนิดดิ่งลึก เข้าไปแต่งมันไม่ได้เลย มันเข้าไปตามภพภูมิของเค้า ตามกำลัง ตามขอบเขต ตามวงของจิต ตามภพที่วูบเข้าไป เงียบหายไปแบบนิ่งลึก

    แต่พอเวลาที่กายมันจะตื่น ในช่วงเวลาที่ตั้งเอาไว้
    มันจะเหมือนมีสติตื่นเอง พอดีกับช่วงเวลาที่เราตั้งใจ

    การนอนถ้ากายมันกรนดังก็แสดงว่า กายมันปรับสภาวะธาตุที่อ่อนล้ามามาก บริเวณช่องปาก เพดานตรงผนังกล้ามเนื้อมันอ่อนล้ามันจะมาดันๆกันจนลมมันตีทวนขึ้นกับช่องกล้ามเนื้อเหมือนตดเลยแฮะฮิๆ ปู๊ดๆ แต่นี่เป็นคร๊อกๆ

    จุดปฎิสนธิวิญญาณในครรภ์มารดาเป็นจุดที่ถ้าเราย้อนสติเนปักะเราจะทวนภพและ ย้อนดูอดีตชาติได้

    แต่จุดภวังค์จิตเป็นจุดกำเนิดชาติตัวส่งต่อสันตติพอจับยึดอารมณ์มันส่งเข้าปฏิสนธิวิญญาน รูปที่ปรากฏหรือสร้างรูปในคตินิมิตก่อนและจิตจะถูกส่งไปทันทีเมื่อรูปใหม่ ภพใหม่ปรากฏ

    เหมือนถอดจิตเลยไม๊เนี่ย...
    คือเราสร้างรูปละเอียด ขันธ์ละเอียดภายนอกได้ จิตมันทิ้งกายหยายเข้าหารูปใหม่ได้เช่นกัน

    วันนี้ก็สนุกๆเอามาเล่าพอสังเขปแต่พี่อ้องขอเอาไปแทรกในกระทู้ให้เพื่อนๆ น้องๆเค้าได้อ่านด้วยนะจ๊ะ[/QUOTE]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 ตุลาคม 2009
  9. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    ตอบกุ้งว่าโดยอัปปนาฌาน

    ที่หลวงปู่เทสก์เคยสอนเอาไว้ก็มีอยู่ขอยกมาเอาไว้หน่อนนะครับ
    จิตที่เข้าภวังค์อย่างเต็มที่ในภวังค์คุปัจเฉทะบางทีอาจจะไม่รู้สึกตัวเลย
    ว่าอะไรเป็นอะไร
    บางทีก็รู้สึกตัวอันนี้ โลกนี้ แต่เป็นตัวนี้ โลกนี้อีกอันหนึ่งต่างหากแล้วก็เพลินยินดีในอารมณ์นั้นมีความสุขอยู่ในอารมณ์อันนั้น
    นี่เรียกว่าอัปปนาฌาน

    ตัวอย่าง...มีในหน้าแรก ช่วงแรกสมัยพี่เด็กๆที่เข้าไปในโลกส่วนตัว
    อ่านทวนๆดูได้นิดหน่อยนะ

    การนอนเจริญฌานนั้นมีอยู่2อย่าง
    จริงๆการนอนเรานอนเรานอนกันอยู่ทุกวัน พี่ไม่ได้สอนให้น้องๆขี้เกียจแล้วเอาแต่นอนนะ เพียงแต่ว่าช่วงที่เราหลับก็หลับไปแบบมีสติดีกว่า
    เพราะไม่รู้ว่าหลับแล้วจะตื่นอีกไม๊ก็มีนะ

    อย่างที่หนึ่ง...
    กำหนดหรือยึดเอา(นี่เป็นหลักสมาธิ)ถ้าเพ่งเข้าไป(ฌาน)
    เอากำหนดกรรมฐานที่เราฝึกดีว่านะเพราะสมาธิมีคุณอุปการะมากกว่าฌานนะคือมรรคก็สามัคคี ศีล สมาธิ ปัญญาก็สมดุลย์
    ก็ให้กำหนดกรรมฐานเอามาเป็นอารมณ์แล้วก็ตั้งสติควบคุมไม่ให้จิตซัดส่ายแกว่งออกไปจากฐานที่เรากำหนดเอาไว้

    อย่างกุ้งทำก็ถูกนะเอาลมมาเป็นตัวกำหนดมีสติตามรู้ลมไม่ให้จิตซัดส่ายแต่พอเผลอจิตมันจะวูบตกเข้าภวังค์นี่จากสมาธิกลายเป็นฌาน
    เวลาเราหลับและได้กำลังเข้าไปแม้จะน้อยนะ มันทำให้เรามีนิมิตหรือมีกำลังหรือเห็นการเหลื่อมของกาย หรือความเบาสบาย มีสุขปรากฏ

    ท่านอนอิริยาบทจึงทำให้มีกำลัง มีสติ ตามเข้าไปนิดหน่อยก็ยังดีกว่าไม่มีภูมิจิตที่ดีเป็นตัวอาศัยนะ เพียงแต่ว่ากำลังมันน้อย ทำอะไรไ้ด้ชั่วขณะ
    เหมือนเราชาร์ตแบตมาหน่อยเดียวพอพบเห็นอันใดที่ปรากฏมันก็พรึ๊บรู้สึกแต่กำลังของพลังจิตมันมีกระจึ๊งนึง ก็เลยทำอะไรได้ไม่มากนักนะครับเว้นแต่ว่าก่อนจะหลับและตกภวังค์

    เรารวมกำลังเอาไว้แบบนานพอชมแล้วค่อยปล่อยกายให้มันหลับมีสติควบคุมใจเอาไว้แล้วปล่อยให้มันหลับนี่ชาร์ตมาแรงเวลามีอะไรพลังจิตมันก็แรงตามที่สะสมเป็นเชื้อมาด้วย

    ท่านอนฌานอย่างที่สองนะ...
    ใครที่บอกว่าพระอรหันต์ท่านไม่นอนก็ผิดกันนะ นอนอยู่เพราะต้องปรับสภาวะกายเช่นกันไม่งั้นแตกดับเร็ว กายท่านหลับแต่จิตใจท่านนะตื่นด้วยสติควบคุมด้วยกำลังของศีล สมาธิ ปัญาที่ฝึกมาดีแล้ว หมดการปรุงแต่งขันธ์แล้ว นี่เป็นตัวอย่างทางธรรมที่ดีคือกายหลับแต่สติตื่น

    เราจึงมาฝึกสติพัฒนาที่กายและจิตให้เป็นมหาสติไงล่ะครับ
    การนอนชนิดนี้เรียกว่าอธิษฐานจิตคือนอนแบบตั้งจิตเอาไว้จะตื่นเวลานั้นเวลานี้ เมื่ออธิษฐานแล้วในเวลาที่จะตื่นก็ให้สติมาอยู่ภายในไม่ส่งจิตไปกับอารมณ์ภายนอก การหลับแบบนี้มีสิ่งที่แปลกๆอยู่คือตื่นชนิดว่า

    ตรงกับเข็มเวลาที่ตั้งจิตเปี๊ยบและถ้าทำบ่อยๆจะกลายเป็นความเคยชินในอธิษฐานบังคับกายอย่างไม่คลาดเคลื่อนนี่คือ อำนาจเหนือกายนะ

    ภายในทุกๆวันเราจึงมาอบรมที่อิริยาบท ยืน เดิน นั่ง นอน เหลียว เหยียด คู้ ตึง ไหว อ่อน แข็ง ร้อน เย็น

    ดูเหมือนยากนะในช่วงแรก
    แต่ขอบอกว่าสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ง่ายจนเหลือเชือ
    ที่บอกว่ายากเพราะฝืนใจไง ใครมาเดินเส้นทางนี้ ฝืนใจ ฝืนอารมณ์
    เพราะมันติดสุข หนีทุกข์ไง

    พระพุทธองค์ค้นพบเรื่องง่ายๆ ธรรมดา เหมือนไอน์สไตน์นี่ก็ค้นพบเรื่องง่ายๆธรรมดาที่คนมองข้าม
    พระพุทธองค์ค้นพบเรื่องความจริงของธรรมชาติ
    ไอน์สไตน์ค้นพบความจริงของพลังงาน

    คราวนี้ทำไมมันง่ายๆ
    ก็คือสิ่งที่ง่ายก็คือความจริง กายตอนนี้เป็นอย่างไร จิตตอนนี้เเป็นอย่างไร มันอยู่ในท่านั่งใช่ไม๊ ก็รู้ไปตามจริงแค่นี้ ซักพักจิตอาจะคิดนึกก็รู้ไปตามจริงว่ามันกำำลังคิด เดี๋ยวมันก็วิ่งไปทางวิญญาณอายตนะอื่นๆหรือมีผัสสะมากระทบกายก็ตามรู้ไปเรื่อยๆ นี่เรียกว่าการอบรมสติ

    จนต่อมาสติมีกำลังเพราะจดจำได้หมายรู้ในสภาวะมากเข้ามันจะเป็นอัตโนมัติไปหมดเลย ช่วงแรกจึงยากเพราะฝืนใจ ฝืนอารมณ์และต้องจดจำในรูปลักษณะของสภาวะ

    วันนี้พอแค่นี้ก่อนนะ อย่าไปติดข้องกับสมาธิหรือฌานนะ
    ไม่ว่ามีอะไรก็แค่ตามรู้ความจริง เราทำสมาธิเพียงเพื่อพบใจที่เที่ยงธรรมเอากำลังมาพิจารณาขันธ์แค่นั้น

    อื่นๆเป็นของสาธารณะมีมาแต่โบราณพระพุทธองค์ให้รู้และคลายออกในอุปทานทั้งปวง
    ถ้าเข้าใจการทำสมาธิเพื่อพบใจ ทุกสิ่งเราแค่รู้แล้ววาง จิตจะตั้งมั่นยิ่งขึ้นจนพบใจที่เที่ยงธรรมนะกุ้ง

    อนุโมทนาทำีแล้ว
    พี่อ้อง
     
  10. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    อ้องว่าต้องมีพื้นฐานของสัมมาทิฎฐิเสียก่อนด้วย
    ถ้าทำเพื่ออยากพบ
    ตัวอยากเป็นตัณหาจะทำให้เข้าถึงสมาธิและฌานยากมากยิ่งขึ้น
    ตนเป็นที่พึ่งนี่เป็นสัจจะ เป็นความจริงนะ

    การมีครูที่คอยชี้แนะเป็นมงคล
    การเข้าหาบัณฑิตก็เป็นมงคล

    อ่านไปก่อนนะ ถ้าเข้าใจพื้นฐานแล้วค่อยเริ่มจากหนึ่งคือ
    ทาน ศีล สมาธิ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งเกื้อกูลกันและกัน
    ทาน(สละอารมณ์) ศีล(ความสงบของกาย วาจา ใจ)
    สมาธิ(การทำจิตไม่ให้ซัดส่ายไปกับอารมณ์เพื่อพบใจที่เที่ยงธรรม)
    ฌาน(เป็นการเพ่งเข้าไปในอารมณ์เพื่อพบเอกัคคตารมณ์)
    ญาน(คือการรู้แจ้งด้วยปัญญาที่รู้ในความจริง)

    ขอให้ศึกษาธรรมมาก่อนนะครับเพื่อสัมมาทิฎฐิความรู้อย่างถูกต้อง
    อันเป็นสิ่งจำเป็นของพื้นฐานไม่งั้นจะหลงและผิดพลาดได้ครับ

    ส่วนสิ่งต่างๆอันเป็นนิมิตต่างๆนั้น เค้ามี เค้าปรากฏเอง อ้องไม่อยากให้ไปติดดี
    ติดสุข ติดนิมิต ในฌานนะครับ เพราะเสียเวลา เราควรมาเข้าถึงพระธรรมแห่งพุทธองค์จะเป็นสิ่งที่ถูกตามที่เราต่างก็เดินเข้าหาร่มโพธิ์ ร่มไทรเพื่อพ้นทุกข์นะ

    อนุโมทนาในความกตัญญูเป็นที่ตั้งครับ
    อ้องครับ
     
  11. kung_9894

    kung_9894 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    186
    ค่าพลัง:
    +1,584
    พี่อ้องคะ

    สำหรับวันนี้ที่หนูนั่งสมาธิค่ะ ก็ดิ่งไปสู่สภาวะเดิม คือสภาวะที่ลมหายใจมีบ้างไม่มีบ้าง

    ก็คือจิตเราอย่างเดียวที่เด่นอยู่ ความรู้สึกทางกายหายไปหมดเลย

    หนูรู้สึกว่างๆ รู้สึกแปลกประหลาดจริงๆ หนูรู้สึกเหมือนฟูลอยๆ ผ่านอากาศไปอ่ะค่ะ คือเหมือนกำลังเหาะนะ แต่ก็ไม่ได้เห็นอะไร

    แต่ก็รวบรวมสติ รู้สึกตัวอยู่นะคะ เหมือนว่างๆ ว่างมากจนบอกไม่ถูกอ่ะค่ะ จนกระทั่งสักพัก หนูต้องดูว่าร่างกายยังมีอยู่หรือเปล่า เพราะมันเบาหวิวเลย ออกจากสมาธิก็ยังอยู่ในภาวะนั้นสักครู่หนึ่ง

    หนูรู้สึกว่าพอเดินเหมือนอยู่ในสภาวะไร้น้ำหนักน่ะค่ะ

    หนูนั่งสมาธิไม่นานเองนะคะพี่อ้อง แค่ครึ่งชม.เอง

    แล้วถ้านั่งนานกว่านี้จะเป็นยังไงคะ หนูก็พยายามตั้งสติอยู่นะคะ คือไม่ทราบว่าถ้าอาการจากนี้ไปจะเป็นอย่างไร ถ้านั่งนานๆนะค่ะ

    รบกวนพี่อ้องกรุณาแนะนำด้วยค่ะ ขอบพระคุณอย่างสูงค่ะ _/|\_
    อนุโมทนาค่ะ
     
  12. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    ตอบกุ้ง

    อย่าลืมอารมณ์ที่ดูอยู่เป็นฐานเสมอ มีสติควบคุมใจ
    จิตเค้าเด่นดวงอยู่เพราะเงียบสงัดจากกามคุณ สบายๆ โล่งๆ โปร่ง
    เพราะปราศจากอกุศล นิวรณ์ระงับยับยั้งลง
    กายเบาลมหายใจแผ่วเบา กายหายลมหายใจสะดุด ไม่เป็นจังหวะเดิม
    ลมหายใจมาๆ หายๆ เร็วบ้างหยุดบ้าง

    จิตที่ยังสังโยคอารมณ์ภายนอกอยู่ยังมีวิตก วิจารณ์ปรากฏจนรู้สึกว่า
    องค์บริกรรม การคิด การอ่านหนักและละออกเสียเพราะทิ้งลง วางลง

    จะปรากฏคำว่าเด่นดวง ผ่องใสเหมือนคนนั่งอมยิ้ม สบายๆอย่างอิสร
    ไม่คิดอ่าน ไม่ส่งไปไปอื่น หน้าตาชื่นบาน อริยดุษฌี ปราศจากอารมณ์ภายนอก อยู่แต่อารมณ์ภายใน จิตเด่นดวง จิตแจ่มใส สบายๆ

    ภายต่อมาเมื่อพิจารณาไม่ใส่ใจอารมณ์ดังกล่าวอยู่กบสติควบคุมเอาไว้ปิติจะปรากฏมีอาการต่างๆที่กุ้งจะพบให้สำรอกเสียโดยไม่ใส่ใจเมินเฉย

    อย่าลืมว่าเราไม่เอาอะไร ทั้งปิติ สุขนะ เดี๋ยวจะไปติดเพราะมันละเอียด
    เป็นภูมิของพรหม สบายๆ ลอยละล่อง ปิติ สุข มาเป็นระรอกคลื่น
    มันจะกระเพื่อมทำให้ใจเราหวั่นไหว

    รักษาสติควบคุมใจ ไม่หวั่นไหว ไม่เกาะกุม นี่คือสำรอกปิติ เชิญแขกออกจากบ้านเสีย

    ทำต่อไปนะยังอีกนิดหน่อยรักษาตำแหน่ง รักษาจุดที่วางอารมณ์ที่เฝ้าดูเอาไว้ มันจะสงบเงียบแล้วก็หวั่นไหวเป็นระลอกสลับกันมาเรื่อยๆ

    จิตถ้าจะรวมแบบแนบแน่นจะเหมือนกุ้งยิงธนูเพราะเล็งเอาไว้แบบไม่คลาดสายตานะ

    ช่วงที่มีกำลัง กายเบา จิตเด่นดวงต้องเจริญอิทธิบาท๔แนบเอาไว้
    พอใจ เพียร จดจ่อ พิจารณาใส่ใจ ไม่งั้นจะเสร็จไปติดความละเอียดเอา

    ทำอีกหน่อย
    อนุโมทนานะ
     
  13. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    คำว่าว่างใครรู้ ก็จิตรู้
    คำว่าเบา รู้สึกเบาสบาย ก็จิตรู้
    ว่างบริสุทธิ์ต้องว่างจากขันธ์ ปราศจากกิเลสนี่ว่างแท้สิ้นภพเลยนะกุ้ง

    จิตจึงยังกระเพื่อมอยู่ภายใน จิตมันไปสัมปยุตต์กับอารมณ์เหมือนโล่ง โปร่ง เบา
    สบาย เป็นลักษณะของจิตที่เริ่มหดรวมกระชับเข้ามาเรื่อยๆ ขอบมิติ ขอบวงของจิต สังเกตุหน่อยนะ

    วงใหญ่ตอนเริ่มมันหยาบ พอหดเข้าไปเรื่อยๆ มันกระเพื่อมแล้วมีสติ สตินี่เป็นคุณอุปถัมภ์ และเราจะรู้สึกทิ้งภายนอก มาอยู่ภายใน ภายในก็คือขันธ์๕ ขันธ์ละเอียด
    หลวงปู่เทสก์ก็สอนเช่นนี้นะ

    พอเข้ามารวมอยู่ภายใน จิตมันก็หดรวมไม่ส่ายไปภายนอก ส่ายอยู่ภายในก็จะปรากฏอาการของจิตรวม ปิตินี่มีเยอะเลยต้องสำรอกเค้าทิ้งเสีย
    กุ้งจะผ่านเข้าไปได้อีกขอบมิติของจิต หดกระชับอีกหนึ่งทำไปก่อนนะ

    อนุโมทนา
     
  14. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    กิจแห่งสมณ ชี ผู้ทรงศีลคือชี้ทางสว่างด้วยปัญญา

    จริต๖

    กิเลส คุณธรรมที่ท่องเที่ยวภายในจิตใจ
    จริตคือนิสัยของเจ้าเรือน บัวแต่ละเหล่า หน้าที่พุทธบริษัทคือให้แสงสว่างแก่กันและกันในสิ่งถูก

    ราคะ โทสะ โมหะเป็นสิ่งหยาบ เป็นอกุศลเจตสิก เป็นความหมองภายในจิตของเจ้าเรือน ถ้าไม่ระงับ ยับยั้ง ละอกุศลเสียแล้วย่อมสร้างบาปกรรมเป็นอันมากในยามยกวิถีจิตอยู่ตลอดเวลา มักทำชั่วปรากฏ

    สัทธาจริต พุทธิจริต วิตักกจริตจัดเป็นอัญญสมนาเจตสิก อิงในฝ่ายกุศล
    มักทำดีให้ปรากฏ

    สัทธาจริต มากเกิน จนครองความเป็นใหญ่ เชื่อโดยไม่พิจารณาไตร่ตรองด้วยปัญญาก็จะกลายเป็นงมงายแบบไร้เหตุผล ทั้งๆที่ประกอบด้วยคุณธรรมภายในจิตที่ดีแล้ว เป็นผู้ที่อ่อนน้อม ใจบุญ รักดี

    บุคคลที่มีสัทธาจริตจึงควรอบรมตนด้วยอนุสสติ หาเหตุหาผล เพื่อใช้ปัญญานำหน้าจะมีผลแก่เจ้าเรือน

    อนึ่งการที่แสดงความเห็นไม่ได้ตำหนิ แต่ชี้ว่า เพื่อนๆ น้องๆควรใช้สติ
    ใช้ปัญญาพิจารณาไตร่ตรองด้วย ไม่ใช่ว่าฉันชอบแบบนี้เรื่องของฉัน

    หน้าที่ของกัลยณมิตรคือชี้ทาง ให้แสงสว่าง เกื้อกูลกันและกัน
    ถ้าผิดพลาดก็ขออภัยไม่ไ้ด้เจตนาที่จะลบหลู่ ดูหมิ่นท่านแต่ประการใด

    พุทธศาสนาสอนให้คลายออกจากกามคุณทั้ง๕ หนีห่างจากโลกที่เต็มไปด้วยกิเลส ตัณหาอันมีรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส
    เมื่อผมมาเห็นกระทู้นี้ ผมเห็นว่าอาจจะไม่ถูกต้องนัก

    ถ้าชี้ช่องทางรวยด้วยการร้องขอ อ้อนวอนอันเต็มไปด้วยกิเลส
    เพื่อนๆที่มีปัญญาก็ย่อมพิจารณาแยกแยะออกได้อยู่
    แต่น้องๆที่มาใหม่ หรือชาวบ้านโดยทั่วไปที่ยังมีความเข้าใจ
    ในสัมมาทิำฎฐิแต่น้อย

    ก็จะต้องขับรถ หาทางมากราบไหว้เพื่อความร่ำรวย เช่นนี้ไม่ถูกต้อง

    หน้าที่แห่งผู้เจริญ ผู้มีศีล สมณชีคือให้ธรรมเพื่อพ้นไปจากทุกข์
    ไม่ใช่เต็มไปด้วยทุกข์ เต็มไปด้วยกิเลส
    หน้าที่แห่งเพื่อนกัลยาณมิตรคือชี้ว่า สิ่งนี้ไม่น่าจะถูกต้องนัก

    จึงขอให้เพื่อนๆแยกแยะพิจารณาด้วยปัญญา
    ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน คำนี้เป็นสัจธรรม

    บางคนอ้อนวอน ร้องขอแล้วสบายใจ แต่บางคนที่ทุกข์มาชนิดว่า
    จน หรือเดือดร้อนมา นี่มาด้วยความเชื่อ ความศรัทธา การชี้นำว่า
    กราบแล้วจะรวย

    คนเหล่านี้มีจำนวนมากและเมื่อเค้ากราบไหว้แล้วเค้าก็จะตั้งตารอแบบทุกข์ใจ โดยไม่ไปกระทำอันใดเลยและเมื่อท้ายที่สุด

    ความว่างเปล่าปรากฏ เค้าก็จะหมดศรัทธาในพระพุทธศาสนา ว่ามีแต่หลอกลวง ทำให้หลงเชื่อ ซึ้งไม่ใช่วัตถุประสงค์แห่งพระศาสนาที่ให้แสวงหาปัญญาเพื่อพ้นทุกข์

    สิ่งใดที่ท่านดูเหมือนง่ายๆ ไม่เห็นจะเป็นอะไรสำหรับท่าน
    แต่ผมดูว่า การใช้สื่อโฆษณา ใช้ทีวีดาวเทียม หนังสือ
    ชาวบ้าน คนที่ศรัทธาใหม่ๆ ที่ความรู้ยังน้อย
    ย่อมทำให้เค้าหนีหายและเข้าใจผิดเป็นอันมาก

    ผมต้องขออภัยถ้าทำให้ท่านที่อ่าน มีความรู้สึกมาตำหนิในสิ่งที่ท่านชอบ ถ้าท่านมีปัญญาพิจารณาแยกแยะดีแล้วก็ขออนุโมทนาด้วย

    สำหรับเพื่อนๆ น้องๆที่มาใหม่ เข้ามาศึกษาในพระศาสนาใหม่ๆก็ขอ
    ให้ใช้ปัญญาพิจารณาหาเหตุหาผล

    พระพุทธสาสนาสอนให้คลายออกจากกิเลสไม่ใช่สอนให้มีกิเลส
    พระพุทธสาสนาสอนให้มีปัญญาไม่ได้สอนให้งมงาย
    พระพุทธศาสนาสอนให้ตนเป็นที่พึ่งไม่ใช่การขอเป็นที่พึ่ง

    สิ่งใดที่ผมล่วงเกินท่านในความรู้สึก ก็คงจะต้องพูดว่า สูมาเต๊อะ ณ ที่นี้ครับ ขออภัย

    (พอดีไปแสดงความเห็นแม่ชีท่านหนึ่งชี้ช่องรวย10ล้าน อ้องดูว่าไม่ใช่กิจแห่งผู้ทรงศีล แม้จะอ้างว่าคนจนกันมาก เดือดร้อนกันเยอะแล้วให้ไปกราบพระพุทธรูปจะรวย

    อ้องว่าชักไปกันใหญ่ ก็เลยต้องไปแสดงความเห็นเอาไว้และคิดว่าอาจจะเป็นประโยชน์สำหรับน้องๆที่มาใหม่ อย่าไปติดดี ติดสุข ติดนิมิต
    อ้องนะทำมาก่อนไม่พ้นทุกข์หรอกครับ มีแต่พระธรรมอันประเสริฐนี่หล่ะที่ควรเป็นที่พึ่งเพราะพ้นทุกข์แท้จริง)
     
  15. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    ขอเวลาไปหาคุณแม่ที่กรุงเทพซักอาทิตย์ครับ
    กลับมาค่อยคุยกันใหม่นะครับ
    อ้องครับ
     
  16. loveyoutoo2

    loveyoutoo2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    103
    ค่าพลัง:
    +207
    เรียนถามอาครับ

    อาครับ เมื่อปฏิบัติจน รู้จิตผู้รู้แล้ว แล้วเราจะฝึกสมาธิเพื่ออะไรเหรอครับ

    ผมไม่ได้อ้างจะเลิกปฏิบัติหรอกครับ เพราะมันไม่รู้จะไขว่คว้าอะไรอีกแล้ว

    เมื่อปรุงดีแล้วไม่ดีกับมันตาม เมื่อปรุงชั่วก็ไม่ชั่วกับมันตาม เมื่อสงสัยก้อรู้แล้ว

    จิตว่างก้อรู้แล้วครับ แต่ก่อนผมคิดว่าจิตว่าคือเราเพราะสำคัญมั่นหมายว่าเราไม่มีตัวตน แต่ผิดไปครับ จิตว่าง คือสิ่งที่ถูกรู้ เหมือนอารมณ์อื่น ๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 ตุลาคม 2009
  17. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    เราฝึกสมาธิเพื่อ ใจเที่ยงธรรม
    เพื่อให้จิตตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์หนึ่งที่มั่นคง เที่ยงธรรม
    เพราะจิตรู้อารมณ์ยกทีละอารมณ์แต่เกิดดับเร็วมากจนเรามักเห็นว่า
    อารมณ์ที่ปรากฏมันรวมๆมากลายเป็นกายเรา จิตเรา เพราะวิปราสสัญญา
    ความไม่เข้าใจ

    ดังนั้นเราจึงทำสมาธิเพื่อให้จิตตั้งมั่น เพื่อให้จิตเข้าไปรับรู้ความจริงอย่างถูกต้อง
    สมาธิคือการทำให้จิตไม่ซัดส่ายไปอารมณ์ทางวิญญาณอายตนะโดยให้จิต
    วางฐาน ยึด กำหนดในจุด ตำแหน่งที่เราชอบใจและยกเอามาเป็นอารมณ์เดียว

    อย่างต่อเนื่อง ไม่ซัดส่ายจะปรากฏ จิตรวมเข้าสู่ความตั้งมั่น เป็นกลาง เฉยๆ สบายๆ บริสุทธิ์ ไม่อิงสุข ทุกข์ ไม่อิงโลก เมื่อใจปรากฏ พบใจ ผู้ฝึกสมาธิจะเข้าใจความรู้สึกที่ไม่ใช่คิด

    และเมื่อพบใจเราจะพบจิต จิตเป็นอาการของใจ ออกมาจากใจ สมาธิจึงต้องตั้งมั่น พบใจที่เที่ยงธรรม จิตจึงจะพบจิตเห็นจิตที่ไหลไปหาเหตุที่เป็นธรรมชาติตามธรรมดาของเค้า เมื่อเราพบธรรมชาติตามจริงปัญญาก็จะปรากฏ

    สมาธิจึงทำเพื่อพบใจ เพื่อเอากำลัง มาพิจารณาขันธ์ อายตนะ สัจธรรม ธาตุ
    เมื่อเข้าใจธรรมชาติตามจริงที่ไม่วิปราส
    ก็จะคลายออกจากความไม่เข้าใจ ความไม่รู้

    จิตของเราที่เป็นปถุชนมันยังกระเพื่อมหวั่นไหวอยู่เสมอ
    ยามที่ไม่ปรุงแต่งก็เพราะมีสติ มีคุณธรรมระงับยับยั้งอกุศลด้วยสติแตาซักพักก็จะเพลอเข้าไปกระเพื่อมหวั่นไหวในอารมณ์อื่นๆอีกต่อไป

    จนกว่าจะละสังโยชน์ทีละขั้นตอนจนจิตมันเชื่อ จิตมันยอมรับ
    เวลานี้เป็นเพียงแค่ว่าเราเชื่อว่าใช่แต่จิตมันดื้อมันยังไม่ยอมรับ
    ให้เวลามันหน่อยนะ

    อนุโมทนาครับ...
    พี่อ้อง
     
  18. kung_9894

    kung_9894 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    186
    ค่าพลัง:
    +1,584
    อนุโมทนาค่ะพี่อ้อง

    ช่วงนี้ กุ้งพยายามที่จะทรงอารมณ์อยู่ในฌานให้ทั้งวันค่ะ ไม่ว่าจะทำงานอะไรก็จะพยายามทรงอยู่ในการระลึกรู้
    ส่วนช่วงที่ตั้งใจนั่งสมาธินั่นก็ยังคงอยู่ในสภาวะเดิม คือรู้สึกว่าตัวหายไป พอออกจากสมาธิมา ค่อยๆลืมตา ก็ยังรู้สึกว่าไม่มีร่างกาย เหมือนกับมันเบามากๆ
    ค่อยๆกระดิกปลายนิ้วทีละนิด ก่อนที่จะออกจากสมาธิค่ะ

    ช่วงนี้สังเกตุว่าตัวเองเหมือนกับคิดอะไรออกมาโดยบังเอิญแล้วเป็นจริง
    เช่นมีเสียงกริ่งที่หน้าประตูบ้าน ก็นึกเห็นว่าเป็นใคร พอออกไปดูก็เป็นคนนั้นจริงๆ
    หรือแว่บคิดมาว่าจะต้องมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นในบ้าน ก็เกิดขึ้นจริงๆ
    หรือบางทีพูดอะไรออกมาโดยไม่รู้ตัวค่ะ

    กุ้งถามหน่อยสิคะพี่อ้อง ถ้าหากว่าเรารู้สึกว่างๆ เหมือนตัวเราลอยๆอยู่แบบนั้น
    จิตเราจะออกไปจากร่างหรือเปล่าคะ แล้วเราต้องทำยังไงต่อไปคะ

    ส่วนที่ฝึกฌานหลับนั้น เรารู้สึกตัวอยู่ตลอดหรือเปล่าคะ แต่ร่างกายหลับ
    แล้วช่วงนั้นเรายังรู้สึกว่าเรานอนอยู่หรือคะ หรือไม่รู้สึกว่านอนอยู่แล้ว

    ขอบพระคุณและอนุโมทนาค่ะ ขอให้พี่อ้องเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไป


     
  19. loveyoutoo2

    loveyoutoo2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    103
    ค่าพลัง:
    +207
    ภาวนาแล้วรู้สึกว่า...ความเป็นตัวเราไม่มี



    ผมภาวนามาถึงจุดนี้แล้วครับอา รู้สึกว่า ความเป็นตัวเราไม่มี แต่ก่อนภาวนาคิดว่าจิตว่างคือเรา แต่รู้สึก ลึกๆ ลงไปอีก จะเห็นว่า จิตว่างก็ถูกรู้ แล้วมันจะเป็นตัวเราได้อย่างไร

    ผมไม่ได้มีเจตนาจะอวดเก่งเลยครับอา เพียงแค่รู้สึกตามความเป็นจริง

    เช่น มีความสุขขึ้นมา ก็จะรู้ว่าสุข แล้วความรู้สึกจะบอกว่า มันเป็นสุขแบบเฉยๆ หนะครับ

    แล้วผมก็เห็นว่า ที่พูดกับเราในใจนี้ทุกวันๆ เราบังคับหยุดเขาไม่ได้ ถ้าเราไปข่มเขาไว้ก็จะอึดอัด

    สิ่งที่พูดกับผมทุกวันนี้มันเกิดขึ้นแทบจะตลอด ถ้าผมไปยินดีตามความคิดเข้าก็จะ สุขบ้างถ้าเราปรุงความคิดเป็นสุขน่ะ ทุกข์บ้าง

    "แต่พอจิตเข้าไปรู้เข้า ก็จะรู้เฉย ๆ " ซึ่งเป็นอารมณ์ที่ทรงตัวอยู่กับผมมาได้ซัก 5 วันแล้วครับอา


    แต่จิตจะคิดไปอีกน่ะที่เราทำไปถูกมั้ย ... แล้วผมก็มีความรู้สึกว่า คิดก็ส่วนคิด อารมณ์เฉยๆ ก็ส่วนเฉยๆ(จิตว่าง ใช่มั้ยครับอา)

    จากนั้น มีความรู้สึกว่า สิ่งต่าง ๆ ที่กระทบส่วนต่างๆ ของ กายใจ หรือส่วนอื่นๆ
    เป็นสิ่งที่ถูกรู้ แล้วมองเห็นความไม่มีตัวเราเลยครับอา...


    ....มีความรู้สึกว่า รู้นี้บริสุทธิ์ แล้วผมก็ทรงอารมณ์นี้ตลอดเวลาครับ เพราะทำให้ผมมีสติสมบูรณ์ รู้กาย รู้ใจ



    ...ผมมีความรู้สึกว่า มันเหนือรู้น่ะครับอา ประมาณว่า บริสุทธิ์ก็ถูกรู้อีก ตัวนี้ใช่มั้ยครับว่าที่บอกว่าเป็น จิต .... ??????


    ......ผมหมดทุกสิ่งทุกอยากที่จะถามอาแล้วครับ เพราะความคิดที่อยากจะถามอาก็ถูกรู้ ถ้าถามอาก็รู้สึกว่าเราสนองความอยากของความคิด ถึงแม้จะเป็นสิ่งดีก็ตาม แล้วก็เป็นกิเลสแต่เอาความดีมาอ้าง แล้วก็ติชั่ว

    ...ผมรู้สึกอีกน่ะครับอา ว่าติดดี ติชั่ว มิสิ้นภพสิ้นชาติแน่นอน เพราะเรายึดดี เอาความดีอาอ้าง หวังจะทำสิ่งนั้น เพื่อนั่นบ้าง เพื่อนี้บ้าง


    ....เฮ้อ แค่ปล่อยวางก็หลุดพ้นจริง ๆ.....



    .............................................................

    ท้ายสุดแล้วสุดท้ายจริง ๆ อยากขอบพระคุณอาอ้อง ชัชวาล เพ่งวรรธนะ มากมายเหลือล้นแต่ไม่รู้ว่าจะตอบแทนอันใด

    ผมขอทำตามหลักทำของพระพุทธเจ้า มีสติรู้ตัวตลอดเวลา


    อยากฝากบอกชาวพลังจิตทุกคนด้วยครับ

    ความจะมีสติรู้ตัวให้สมบูรณ์ อย่าเอาความดี ติชั่ว มาอ้างนั่นอ้างนี่ เพื่อทำสิ่งนั่นเลย เพราะถ้าเราท่านสิ่งเกตุ จะเห็นว่า มีความอยากผุดขึ้นมา แต่เราเอาความดีมาอ้าง บอกว่าเราฉันทำนั้นมันเป็นดีน่ะ แต่ก็ทำเพราะอยากนั่นเอง

    รักดี ติชั่ว ยังมิพ้น ภพ ชาติน่ะ รู้ตัวมีสติ กันเถิดครับผม เพื่อพระนิพานกันเถิด

    การทำดีเพื่อให้จิตใกล้เคียงความบริสุทธิ์มากที่สุด มิใช่ทำเพ่อเอาดีใส่ตัวน่ะครับ เพื่อให้มีความเห็นถูกต่างหากเล่า แล้วปลายทางพระพุทธศาสนาคือความหลุดพ้น มิใช่ติดดีน่ะ

    สาธุ



    **********************************************
    ตั้มครับ

    ^^

    อย่างนี้อาอ้องก็เป็นอาวุโสท่านหนึ่ง ที่ชี้ทางผมให้พบคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เพื่อไปพระนิพาน (หลุดพ้น)

    ขอบพระคุณอามากครับ..... ^^


    ******************************
     
  20. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    ถ้ากุ้งดับสัญญาว่ากายนี้ไม่มี ลมนี้ไม่ปรากฏ แม้ฟองอากาศที่ห่อหุ้มกายก็ไม่ปรากฏเพ่งเข้าสู่ความว่างแห่งอากาศธาตุก็เข้าสู่อากาสานัญจา เริ่มขบวนการของจิตไม่เอารูป พรหมไม่มีรูป อรูปพรหม ท้ายสุดก็พรหมลูกฟัก นิ่งอยู่เช่นนั้นหลายอสงขัยแสนมหากัลป์ ติดอยู่ในความละเอียด พอหมดกำลังที่ยึดอารมณ์นั้นๆก็ต้องปฎิสนธิจิตวิญญาณต่อ
    กรรมไม่หมด ปัญญาไม่ปรากฏ เป็นการติดดี ติดสุข

    สิ่งสำคัญคือสติ
    สมาธิมีคุณแห่งสติเป็นเครื่องระลึกรู้ไปที่ความจริงของพระไตรลักษณ์รู้แต่เกิดดับแห่งวิญญาณอายตนะที่ไหลไปมา เราจะเข้าใจในเหตุ ในผลจนจิตมันยอมรับ เห็นสรรพสิ่ง สภาวะเป็นพระไตรลักษณ์จนจิตเค้าคลายออกเพราะจิตเห็นจิต

    สิ่งที่กุ้งรู้สึกเบาเป็นเพราะจิตส่งออกไปสร้างสภาวะรูปละเอียดภายนอก เหมือนกุ้งส่องกระจกเห้นตัวตนอีกคนหนึ่ง แต่กำลังของฌานไม่พอ รูปที่สร้างภายนอกวิญญาณแห่งอายตนะไม่สมบูรณ์

    สิ่งที่เป็นถ้ำ คูหาให้จิตอาศัยคือบ้าน สร้างไม่เสร็จ ก็จะรู้สึกเหมือนเหลื่อม ลอยขึ้น
    เบา บางครั้งก็เป็นอาการของจิต ของปีติ

    สมาธิและฌานพลิกไปพลิกมา บางครั้งทรงสมาธิอยู่พอเผลอสติก็อาจจะวูบดิ่งเข้าไปกลายเป็นฌานก็ได้ ฌานจึงมีเครื่องสังเกตุที่ภวังค์(หลวงปู่เทสก์)

    ฌานหลับนั้น บางครั้งเราจะเหมือนกายมันหลับแต่จิตมันตื่น การนอน การนั่งสมาธิก็เหมือนกันแล้วแต่จริตนิสัย กายหลับแต่สติ จิตแจ่มใสปรากฏอยู่

    ฌานนั้นคนนั่ง บางครั้งก็วูบดิ่งเข้าไปเหมือนหลับเงียบไปก็มี
    การนอนก็เช่นกันบางทีก็วูบเข้าไปลึกมากตามกำลังไปแต่งเค้าไม่ได้
    เงียบดิ่งลึกเข้าไปแบบขาดสติก็มีแต่ถ้ามีสติรู้สึกตัวก็จะพบเห็นการละองค์ฌาน

    เป็นไปตามลำดับจนพบเอกัคคตาจิตก็มี
    ดังนั้นสติที่เรารู้สึกระหว่างวัน อบรมให้มาก ขยันก็ทำ ขี้เกียจก็ทำ
    ง่ายๆแค่ว่าตอนนี้กายเราเป็นอย่างไร จิตเป็นอย่างไร

    สติจะมีคุณอุปถัมภ์สมาธิและฌาน

    สูงสุดของฌานคือพรหมลูกฟัก อายุขัยนับไม่ไหวแล้วแต่กำลังแต่หมดกำลังก็ต้องมาสู้กับกรรมดั่งอาจารย์พระพุทธองค์ทั้งสอง
    การหยั่งรู้ล่วงหน้าเป็นนิมิตปรากฏ รู้สึกจะมี จะมา จะเป็นเพราะกำลังที่ได้รักษาเอาไว้เป็นสิ่งที่เคยกระทำมาก่อนตามวาสนา ปรากฏเอง อยู่ๆก็ปรากฏนะ

    อบรมสติต่อนะกุ้ง ไม่ว่าอย่างไร เราฝึกเพื่อพบใจและเอาใจพิจารณาสรรพสิ่งตามจริงนั้นถูกแล้ว สิ่งที่กุ้งเคยทำ พี่ก็เคยทำ ทำให้เนิ่นช้าถ้าไปติดเข้า
    หันหน้ามาเข้าหาพระธรรมที่บริสุทธิ์นี่ละจะพ้นทุกข์แท้จริง

    อบรมสติต่อนะ ดูธรรมดาแบบง่ายๆ กายตอนนี้เป็นอย่างไร จิตตอนนี้เป็นอย่างไร
    การอบรมสติเป็นพื้นฐานเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพื่อความสุข ความเจริญ เพื่อปัญญา
    เพื่อการคลายออกจากอารมณ์

    อารมณ์เป็นสิ่งที่ติดข้องของจิต ถ้าแยกจิตแยกอารมณ์เราจะควบคุมมันได้
    ด้วยกำลังแห่งคุณธรรมที่เจริญงอกงามขึ้นเป็นลำดับ

    ความห้าวหน้าเราวัดกันที่คุณธรรมที่ตื่นรู้ ศีลที่ผ่องใสที่ปรากฏ สติที่รู้สึกในโทษแห่งอกุศล

    อนุโมทนาจ๊ะ
    พี่อ้อง
     

แชร์หน้านี้

Loading...