เรียนถามเรื่องของจิต

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย วิหคอิสระ, 23 สิงหาคม 2012.

  1. JitJailove

    JitJailove เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    736
    ค่าพลัง:
    +741
    เชื่อพระพุทธเจ้า สิ
    ไม่เห็นต้องถาม
     
  2. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    :cool:({) อีหมวยวิหคอิสระ นางเอกหนังจีน ไม่รู้ว่าเป็นหญิงหรือชาย อย่าไปรู้เลยน้อตอบดีกว่า พอรู้ บ้างงู ปลาไม่ว่ากันนะ
    ข้อที่ ( ๑) 1 อาการจิตดิ่งมันเป็นยังไร จิตมันจับแต่คำภาวนา ไม่ว๊อกแว๊กไปที่อื่น จนไม่สนใจเสียงนกกา หรือผู้ใด จนไตร่เต้าขึ้น สู่ ฌาณ ๑-๒-๓-๔ จนถึงแยกกาย แยกจิตได้
    ข้อที่ (๒) ที่บอกว่าเห็นแต่จิตมันเป็นยังไง มันอยู่ตรงไหน จิตมันหน้าตาเป็นยังไงแล้วมันมีกี่ดวง (จิตน่ะมีดวงเดียว) มันก็มีรูปร่างหน้าตาเราดีๆนี่แหละ ถ้าเรา เจริญสมาธิ กรรมฐาน ไปถึงขั้น ละเอียดแค่ไหน ร่างกายภายในของเรามันก็จะเปลี่ยน ไปตามกำลัง บุญ หรือฌาณ สมาธิ ที่เราได้ เขาเรียกกายใน (ผมเข้าใจนะว่า) มันก็คุมกายเรานั่นแหละ ถ้าตาย ตอนนั้น เมื่อจิต ไปจับอยู่สิ่งใด มันก็ไปเกิด เป็นสิ่งนั้นๆ เช่น หมูหมากา ไก่ วัวควายคน เทวดา พรหม ตัดกิเลสได้ก็ไปนิพพาน

    ข้อที่ (๓)
    3พวกฤาษีในสมัยก่อนเขาฝึกสมาธิถึงขั้นไหนจึงไม่สามารถึงนิพพาน แล้วขั้นไหนถึงจะนิพพาน แล้วพระโสดาบันต้องฝึกถึงขั้นไหน ฝึกสูงกว่าพวกฤาษีที่ได้เป็นพรหมไหม มันก็ไม่แน่หรอก ว่าถึงขั้นไหน ได้ฌาณ ที่ ๑ ก็ไปเกิดเป็น พรหม ที่ ๑-๒-๓ ได้ฌาณที่ ๒ ก็ไปเกิดเป็นพรหม ชั้นที่ ๔-๕-๖ ได้ ฌาณ ที่ ๓ ก็ไปเกิดเป็นพรหม ชั้นที่ ๗-๘-๙ ได้ฌาณที่ ๔ ก็ไปเกิดเป็นพรหม ชั้นที่ ๑๐-๑๑-๑๒ พรหม อีก ๔ ชั้น เป็นพรหมพระอนาคามี เป็นพระอริย ระดับ ๓ จึงมีสิทธิ์อยู่ ฤาษี บางองค์ ก็ได้อรูปฌาณ มี ๔ ชั้น ๆ ที่ ไปเกิด ชั้นที่ ๑๗ ที่๑๘ ชั้นที่ ๑๙ ชั้นที่ ๒๐ เจริญอรูปฌาณ เนวสัญญายะตะนะ นาวสัญญายะตะนะ อกิญจาญายะตะนะ และอากาสา กัญ ญายะตะนะ ถ้าผิดขออภัยครับ ว่าตามตำรา จำได้ไม่หมด ไม่สามารถได้มรรคผล เหลือนิดเดียวก็พ้น ไม่มีใครแนะ จึงจบเห่

    ถึงขั้น พระอรหันต์ จึงนิพพานได้ การทำให้เข้าถึง พระโสดาบัน มี ๑ ศิล เป็นเบื้องต้น ๒ มีพระรัตนะตรัย เป็นที่เคารพ ที่สุด นึกถึงความตายเป็นอารมย์ และมีหวังพระนิพพานเป็นที่ไป
    ข้อ ที่ ๔-๕
    4 อรูปฌาณเป็นไงอาการมันเป็นยังไงแล้วฝึกแบบไหนถึงจะได้

    5รูปฌาณเปนไงอาการมันเปนไงฝึกแบบไหนถึงจะได้ ย้อนไปดู ข้อที่ ว่าด้วยอรูปฌาณ ๔ ครับ ทำฌาณ ๑-๒-๓-๔- ให้บังเกิด จนได้สมาบัติ แล้ว อันนี้ผิดขออภัย ไม่มีความรู้ เท่าไหร่ ตรงนี้ไม่มีประสพการณ์ เลยครับ ถ้าผิดไม่ว่ากันนะ ครับ ไม่ติดยึด รูปฌาณ เจริญอรูปฌาณให้บังเกิด เพ่งอากาศ ให้เห็น แต่ความว่างเปล่า ไม่มีอะไร เหลือ เมื่อตาย ก็ไปเกิด เป็นอรูปพรหม ไม่มีรูป ไม่มีอายยะตะนะ เป็นดวง จิตลอยอยู่ เฉยๆ เป็นดวงระยิบระยับ เจริญสัญญา ให้เห็นแต่ความว่าเปล่า เหมือนข้อแรก อีกสองข้อไม่ขออธิบาย มันเรียกชื่อยาก เจริญคล้ายกันครับ ผิดก็ขออภัย ไว้นะที่นี้ด้วยครับผม:cool:
     
  3. วิหคอิสระ

    วิหคอิสระ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    758
    ค่าพลัง:
    +1,318
    ผู้ชายเจ้าคับเขารู้กันทัวบอร์ดแหละ 5555+

    //////////////////////////////////////////////

    :cool::cool:ทุกกรรมฐานนี้ไม่ว่าจะเปนกสิน มโนมยิธิ หรืออื่นๆ ผลลับที่ได้จากการฝึกคงต่างกันไม่มากซินะ:'(
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 สิงหาคม 2012
  4. TPC

    TPC เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    474
    ค่าพลัง:
    +2,435
    จากที่กระผมเคยอธิบายเรื่องฌาณทั้ง8 ไปแล้วนั้น ขออธิบายต่อว่าอรูปพรหมเกิดได้ด้วยกำลังฌาณที่5-8ครับ สืบเนื่องจากอาการทรงฌาณ5ขึ้นไปนั้น ด้วยอาศัยกำลังจิตที่เป็นอุเบกขาฌาณ ปล่อยวาง ว๋าง เป็นจิตว่าง ละแล้วในรูปกายทั้งปวง ตัดขาดแล้วในรูปกาย ไม่มีความเป็นหญิงหรือชาย คงเหลือแค่อากาศนัญญายะตะนะ เท่านั้น จึงเป็นอรูปพรหม นะครับ เป็นเช่นนี้ครับ
    ส่วนฌาณ1-4ยังเป็นพรหม ที่กำลังสมาธิตั้งอยู่ด้วยความสงบระงับแล้วดำรงอยู่ แต่จิตยังไม่ละจากกายหรือรูปกาย ครับ ตามการปฏิบัติผมเป็นเช่นนี้ครับ
     
  5. วิหคอิสระ

    วิหคอิสระ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    758
    ค่าพลัง:
    +1,318
    เห็นเซียนพระแบบนี้ ก็เก่งเหมื่อนกันนะเนี้ย catt3
     
  6. มะหน่อ

    มะหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,652
    ค่าพลัง:
    +1,210
    ผมว่าไปดึงเอามาอย่างเดียวนี้คือคำว่าจิต
    ไม่มีที่เกาะที่เกี่ยวที่ไหนเลย
    ไม่มีอะไรมาอ้างมาอิงเลย
    จ...สระอิ....ต อ่านว่าจิต
    ยากครับ

    อายาตนะไปผัสสะส่งวิณญานส่งต่อไปยังจิตหรือไม่อย่างไร

    อะไรบอกรส เผ็ดแซบร้อน ลิ้นโดยการไปจำมา
    เหมือนเรารู้ธรรมปัจจุบัน ไปจำมาจากตำรา

    ฝรั่งบอก โอ....ฮอด.....
    ผมนึกถึงเชียงใหม่....ไปอมก๋อย...ก็ต้องฮอด
    เราคงไม่บอกว่าร้อน ว่าเผ็ดหากเป็นฝรั่ง

    ดังนั้นเราคงกินพริกเองแล้วนึกถึงพี่บังเขาบ้างเขากำหนดตรงนี้ว่าอย่างไร
    ทางเขมรละครับเขาจะว่าอย่างไร

    แล้วพี่จิตละครับจำสิ่งนี้ไว้ว่ามันเป็นมันอยู่มันคืออย่างนั้นเอง
    ไม่ผัสสะเองไม่ลองเองไม่รู้อีก

    เขาอยู่ของเขาอย่างนั้น
    แต่พี่วินญานส่งต่อไปว่าเป็นอย่างนี้นะเป็นอย่างนี้อยู่อย่างนี้คืออย่างนี้
    หากพบเจออีกจะรับหรือละเท่านั้นเองหรือไม่
    บางท่านว่ารับมากๆดีบางท่านว่าละเสียทิ้งเสีย

    ลองกัดพริกแล้วอย่าพูดภาษาอะไรกินแล้วเงียบเสียอย่าสมมุติว่ารส
    อย่าสมมุติว่าเผ็ดนั้นแหละเจอเขาละครับพี่จิตน้องจิตหรือไม่อย่างไร

    วินญานไปแต่งให้เขา รู้ อย่างเดียวเท่านั้น
    พอล้างสิ่งสกปรกออกจากพี่วินนี้หมด
    เขาว่างเพราะเขาไม่ได้อยากทำอะไรเลย
    ว่างอยู่อย่างนั้น ไม่มีอะไรเลย ไม่เกิดรู้ไม่อยากรู้
    แล้วลองอยากดูไหม อะไรที่อยาก คือจิตหรือไม่

    กลับไปที่เดิมอีกคือเห......ตุ อิทธิปัจจะ อารัมณาปัจ..........และอีกหลายๆใจ

    ใครเห็นต่างบ้างขอรับ
    ขอทุกท่านเจริญในธรรมยิ่งแล้ว
     
  7. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    :cool:({) ไม่ใช่เซียนพระครับ แต่ก็มีพระให้บูชาก็เท่านั้นเองครับผม ไปดูกระทู้ผมบ้างก็ได้ครับ ตามชื่อในรูปนั้นเลย เป็นสื่อกลาง ให้บูชาพระ:cool: ตั้งกระทู้ดีมีประโยชน์ เพื่อแชร์ประสพการณ์ กัน ความรู้ ไม่มีใครรู้ทุกอย่างหรอกครับ คุณรู้ผมไม่รู้ แต่ที่ผมรู้ คุณก็ไม่รู้ ใช้ได้กับทุกคนเลยครับ:cool:
     
  8. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    :cool:({)ถูกแล้ว แต่ใครจะละเอียดกว่ากัน อีกเรื่องหนึ่งต่างหาก การพูดบางทีจะไม่เหมือนกัน ก็มี ตามแต่ใครจะรู้มากรู้น้อย ตั้งแต่ พรหม ชั้นที่ ๑ ขึ้นไป ไม่มีเพศแล้ว ไม่ว่าหญิงหรือชาย ปฏิบัติสมาธิกรรมฐาน ไปเกิดเป็นพรหม มีเพศเดียวเหมือนกัน หมด ไม่ใช่หญิงไม่ใช่ชาย มีกายเป็นแก้ว ใส เหมือนเพชร มีวิมาร เป็นที่อาศัย มีพรหม วิหาร ๔ อยู่ได้ด้วยธรรมปิติสุขกำลัง ขององค์ฌาณ :cool:

    ส่วนอรูปพรหมนั้น ตอนที่พระพุทธเจ้า ตรัสรู้ใหม่ๆ ท่านมองเล็ง ด้วยอำนาจ ของพระโพธิญาณ จะไปโปรด อารามดาบส และอุทกดาบส อาจารย์ของท่านทั้งสององค์ ที่ไปศึกษาก่อน จะตรัสรู้ ท่านอุทานออกมาว่า ฉิบหายแล้วหนอๆๆ เพราะว่า ท่านจะไปแสดงธรรม โปรด แต่ไม่สามารถ แสดงได้ เพราะท่าน ทั้งสองไม่มีอายตนะ ที่จะรับรู้ ฟังธรรมได้ครับ เป็นดวงจิต เหมือนดวงไฟ ลอยเกว้งกว้าง ไปด้วยกำลังของอรูปฌาณ ไม่มีรูปนั่นเอง ส่วนรูปพรหม มีรูป สามารถ รับ ฟังพระสัทจธรรม ได้บรรลุมรรคผลมากมาย :cool:
     
  9. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    ๑.จิต ที่เป็นสมาธิอยู่เช่นนั้นแม้จะไม่ได้นั่งกรรมฐาน ดิ่งลงไปนิ่งสงบอยู่อย่างนั้น

    ๒.จิต นั้นไม่มีหน้าตา ไม่มีรูปร่าง เป็นการรับรู้ของมนุษย์ อยู่ในตัวตนของตนเองนี่แล

    ๓.พวกฤาษี ที่ปฎิบัติไม่ถึงพระนิพพานเพราะหลงติดอยู่ในความสงบ โดยไม่สนใจการเคลื่อนไหวภายใน และ ยังยึดติดในอิทธิฤทธิ์ จึงเป็นเหตุให้ไปเกิดเป็นพรหมด้วยเหตุนี้

    ๔.อรูปพรหม จะเกิดขึ้นเมื่อมีอาการทรงฌาณทั้งวัน และ ฝึกด้วยการเพ่งสิ่งที่เป็นอากาศบ้าง วิญญาณบ้าง คือ เพ่งในสิ่งที่ไม่สามารถรับรู้ทางตาได้ แต่เพ่งด้วยจิตเท่านั้น

    ๕.รูปฌาณ จะเกิดขึ้นเมื่อมีอาการเพ่ง หรือ มุ่งมั่นกับการภาวนา ผู้ที่ทรงฌาณ ๔ ในขณะปฎิบัติธรรมนั่งกรรมฐานทุกครั้ง และ ฝึกด้วยการปฎิบัติสมาธิ

    ผมขอตอบตามความเข้าใจส่วนตัวครับ

    สาธุครับ
     
  10. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    อนุโมทนาครับ ในความคิดเห็นนี้ครับ

    สาธุครับ
     
  11. TPC

    TPC เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    474
    ค่าพลัง:
    +2,435
    เรื่องความเป็นพรหมและอรูปพรหมนั้น ผมมีประสพการณ์จากองค์บรมครู ท้าวมหาพรหมปรเมศวรผู้เป็นบรมครูสายเทพของกระผมนั้น

    เดิมครั้งแรกที่พบท่านในนิมิตเมื่อเจริญสมาธิ ท่านมาให้เห็นในญาณสมาธิเป็นแสงสว่างสีทองสว่างจ้ามากเห็นเป็นรูปพระพรหมสี่หน้า และจากที่อยู่กับท่านเมื่อท่านมาโปรดสอนผมนั้น ท่านกล่าวว่า

    ร่างกายท่านขณะนี้นั้นหรือรูปท่านนั้น จะเนรมิตให้เหมือนผมเพราะท่านเลือกผมเป็นร่างทรง เพื่อให้ผมหรือเราท่านทั้งหลายสามารถมองเห็นท่านได้ และจะได้จำได้ง่าย แต่เวลาทำสมาธิสื่อสารกัน และลักษณะบุคคลิก แววตา ท่าทางคำพูดจะเรียบร้อย แบบผู้ดีมีมารยาทสูงมาก น้ำเสียงทุ้มดังกังวาลไพเราะ แววตามีความเมตตามาก

    ท่านกล่าวว่า
    ปกติแล้วความเป็นมหาพรหมเป็นด้วยกำลังฌาณและบุญกุศลตลอดจนกำลังจิตที่ต้องตั้งอยู่ในความเป็นมหาพรมหวิหาร จะต้องเป็น อธิพรหมวิหาร4ด้วยคือ
    1มหาเมตตา
    2มหากรุณา
    3มหามุฑิตา
    4มหาอุเบกขา

    เมื่อจิตเราทรงกำลังได้ดังนี้เมื่อเข้าสมาธิฌาณสมาบัติย่อมเข้าถึงฌาณที่ลึกลงไปได้ง่าย ท่านกล่าวว่า ความเป็นพรหมและอรูปพรหม จริงๆแล้วก็ใกล้กันมากเนื่องด้วยกำลังจิตที่ทรงอารมณ์ที่ละเอียดลึกต่างกันเท่านั้นเอง
    ท่านแนะนำผมว่าหากผมสามารถปฏิบัติและทรงอารมณ์ที่เป็นมหาพรหมวิหารได้ครบทุกข้อ
    พร้อมทั้งเมื่อเจริญสมาธิฌาณแล้วจิตจะสามารถเข้าถึงความสงบอย่างละเอียดปราณีตได้ ความเป็นอรูปพรหมก็สามารถเข้าถึงได้ไม่ยาก ท่านบอกว่าควรปฏิบัติให้ได้ทั้งฌาณและการทรงอารมณ์มหาพรหมวิหารให้ได้
    จึงจะได้ความเป็นมหาพรหมโดยแทัจริง ไม่ใช่ได้เฉพาะฌาณเท่านั้นครับ
    ความเป็นพรหมก็เช่นเดียวกันครับ


     
  12. ไสยเวช

    ไสยเวช Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2009
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +35
    จิตดิ่ง นี่คือเมื่อจิตเป็นสมาธิครั้งแรกจะรู้สึกเหมือนตกจากที่สูงรึเปล่าครับ?
     
  13. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ขอถามท่าน TPC ครับ
    ถ้าในกรณีที่ในชีวิตประจำวัน เราเริ่มวางอุเบกขาได้เยอะขึ้น ใจเป็นสมาธิได้นานมากขึ้นในเวลาประจำวัน โดยเป็นสมาธิแบบที่ไม่ยึดคำบริกรรม จิตจับอยู่ที่ความว่าง แต่ไม่ได้จับแบบยึด เมื่อมีสภาวะใหม่ๆ เข้ามา จิตก็พร้อมจะละจากความว่างไปพิจารณาสภาวะ และก็ปล่อยสภาวะเหล่านั้นลงไป กลับมาอยู่กับความว่างอีก กรณีนี้เรียกว่าอย่างไรครับ เป็นการกำหนดสมาธิแบบอรูปฌานหรือเปล่าครับ และมันใกล้เคียงกับสภาวะที่เรียกว่าสุญญตาหรือไม่ และถ้ามันเป็นอรูปฌาน กรณีที่กิเลสของเรายังไม่หมดสักที เราจะป้องกันไม่ให้ไปกลายเป็นอรูปพรหมได้อย่างไร?
     
  14. TPC

    TPC เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    474
    ค่าพลัง:
    +2,435
    เรียนคุณอินทรบุตร

    คำถามนี้เป็นคำถามที่ดีมากเลยครับ เพราะเหตุที่ผู้ทรงฌาณสมาบัติไม่สามารถเข้าถึงความเป็นอรหันต์ก็ดี และเหตุแห่งการทำให้สมาธิฌาณของท่านผู้ทรงศีลทั้งหลายเสื่อมไปไม่เจริญก้าวหน้าไปก็ดี ตั้งแต่ครั้งพุทธกาล ก็ด้วยมีเหตุ ดังที่พระพุทธองค์เคยตรัสสอนไว้ก่อนแล้วดังนี้คือ

    ด้วยการทรงไว้ซึ่งความเป็นอรูปฌาณ หรืออรูปพรหมนั้น จำเป็นต้องอาศํยกำลังจากการเจริญสมาธิเข้าฌาณอยู่เป็นประจำเป็นปกติ และจะต้องอาศัยกำลังบุญจากการปฏิบัติด้วยการรักษาศีลให้บริสุทธิ์ และการเจริญตั้งอยู่ในพรหมหวิหารธรรม และศีลธรรมทั้งหลาย เพราะด้วยอำนาจแห่งการปฏิบัติธรรมดังกล่าวย่อมส่งผลต่อการเจริญก้าวหน้าทางสมาธิฌาณและญาณวิปัสนาให้ทรงตัวและก้าวหน้ายิ่งๆขึ้นไป

    อนึ่งด้วยสภาวะของความเป็นสุญญตาที่คุณได้จากการเจริญสมาธินั้น จัดได้ว่าอยู่ในฌาณ5 ซึ่งในฌาณ5นี้ เป็นสภาวะที่จิตว่างและสงบมากหรือบางครั้งก็สว่างมากแต่ว่างเปล่าไม่มีอะไร ความว่างนี้หมายถึง ว่างจากรูปทั้งหลาย คือรูปดับแล้ว แต่นามยังไม่ดับ นามจะดับได้ต้องอาศัยฌาณขั้นที่ลึกลงไปละเอียดลงไปอีกครับ การที่จะทำให้นามส่วนที่เป็นกิเลสอย่างละเอียดที่เกาะยึดอยู่กับจิตที่บริสุทธิ์แยกออกทิ้งไปนั้นจึงเป็นเรื่องยาก ถ้าหากจะเปรียบเทียบจะเป็นระดับพระอนาคามีนั้น พระท่านจึงจะต้องทำวิปัสนาญาณให้มาก

    สุดท้ายเราควรต้องตั้งมั่นในศีลธรรมทั้งหลายให้ทรงตัวคือบุญกริยา10นี่เราต้องพร้อมด้วย และที่เหลือคือการเจริญสมาธิเข้าถึงฌาณและญาณวิปัสนาต่างๆให้ถึงให้รู้แจ้ง เมื่อถึงฌาณ8ตอนนั้นกิเลสเบาบางแล้วการวิปัสนาเผาเรื่องของกิเลส อันเป็นนามธรรมอย่างละเอียด ตัดสังโยชน์ได้หมดแล้ว ตัดตันหาอุปทานขันธ์ได้หมดแล้ว ความเป็นจิตอันบริสุทธิ์ก็สำเร็จได้ความเป็นอรหันต์ผู้หลุดพ้นก็สำเร็จได้แก่ท่านครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 สิงหาคม 2012
  15. jate2029

    jate2029 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มกราคม 2008
    โพสต์:
    391
    ค่าพลัง:
    +729
    ผมขอมั่วนะ ฌาณ 5-8 นั้นเป็นเพียง ตัวฌาณที่จับ เพียงความ ปล่อยวางจาก
    อาการทั้งหลาย จาก ฌาณอากาสา ก็จับความว่าง ของทั้งจักรวาล จนจิตเรา
    สัมผัสได้ถึงความว่างเปล่า จนเหมือน ร่างกายเราก็ไม่มี จิตจะว่างและเบาสบายจน
    ไม่ใส่ใจในสิ่งต่างๆ จาก อากิญจัญยายตะนะ จะพิจารณา ถึงความเสื่อมสลายของ
    สิ่งต่างๆ ในโลกทั้งหลาย ว่าสิ่งทั้งหลาย ก็ล้วนแล้วแต่ มีความเสื่อมสลาย ผุพังไปตาม
    กาลเวลา ไม่มีสิ่งใด ยั่งยืนคงทน จนจิตจับความว่าง เบาสบายไม่ใส่ใจ เกาะติดในสิ่ง
    ต่าง ๆ เพราะถือว่า ทั้งทั้งหลาย ก็ต้องพังสลายไป ไม่มีสิ่งใดให้น่า อาลัยอาวร ห่วง
    หา และผูกพันธ์เอาไว้ให้เป็น ทุกข์เวลาต้องเสียหายไป ฌาณ วิญานัญจายตะนะ เป็น
    การพิจารณา จับที่ ความรู้สึกต่างๆ ที่เกิดจาก วิญญาณ หรือ ความรู้สึกของเราไป
    ปรุงแต่ง ให้เกิดอาการต่างๆ ทั้งหลาย จนเกิดเป็นความรู้สึกต่างๆ ขึ้นมา ทั้งความรู้
    สึก รัก โลก โกรธ หลง ดีใจ เสียใจ เจ็บปวด ดี ไม่ดี ทั้งหลายนั้นเกิดจากการ
    ปรุงแต่ง ของวิญญาณ เราทั้งสิ้นทำให้มีความรู้สึกเหล่านี้ขึ้นมา เมื่อพิจารณาแล้ว จิตจะ
    เป็นว่า สิ่งต่างๆ ไม่มีมีอยู่ในตัวตนจริงๆ ของเราเพียงแต่ เราไปปรุงแต่ง ขึ้นมาให้รู้สึก
    เท่านั้นเอง เมื่อเห็นแล้ว เราจะไม่ค่อยสนใจ ในอาการต่างๆ ไม่ใส่ใจมากนัก ใจจะรู้สึก
    สบายๆ เจ็บก็ไม่ได้สนใจติดใจอะไร ให้เป็นทุกข์ แต่จะปล่อยวาง ความรู้สึกเหล่านั้น
    ไปเอง ฌาณสุดท้าย เนวสัญญานาสัญญายตะนะ ฌาณนี้เป็นการ พิจารณา
    ถึง สัญญา หรือความจำทั้งหลาย ที่เราไป ผูกพันให้เกิดด้วย สัญญาต่างๆ จนเป็น
    การผูกมัด ว่าเราต้องอย่างนั้น อย่างนี้ รักคนนั้น เกลียดคนนี้ ไม่ชอบสถานที่นั้น
    รักสถานที่นี้ ทั้งหลาย ล้วนเป็น บอกเกิด แห่งความทุกข์ ทั้งสิ้นแก่เรา เมื่อพิจารณา
    จนเห็นทุกข์ เหล่านี้แล้ว จิตจะปล่อยวาง จากพันธสัญญาทั้งหลาย ไม่ยึดติด เกาะติด
    ต่อ สัญญาใดๆ ที่เรียกว่า มีความจำก็เหมือนไม่มีความจำ เป็นเพราะ เราจะไม่ได้สนใจ
    ใดๆ รู้ก็สักแต่ว่า รับรู้ แต่ไม่ได้ยึดติดใด ๆ บางทีเหมือน คุย เข้าหูซ้าย ทะลุหูขวา
    จำมั่ง ไม่จำมั่ง ซะงั้นไป
    รวมๆ อรูปฌาณเหล่านี้ เป็นสิ่งที่ทำให้ จิตเรา เบาและสบายอย่างที่สุด จนเหมือน
    กับว่า เป็นอรหันต์ ไปเลย เพราะความไม่ในใจ ไม่ยึดติด เกาะติดใดๆ ไปเลย
    ฉันไม่รู้ ไม่ชี้ ไม่สน ไม่แคร์ ใครจะทำไรก็ช่าง เป็นแบบนี้ไปซะงั้น ครูบาอาจารย์
    ท่านจึงย้ำเสมอว่า ผู้ที่ได้ ฌาณ8 แล้วมักจะหลงคิดว่า ตนเองสำเร็จเป็น อรหันต์ ไป
    ตรงนี้ต้องระวังให้มาก หลังจากได้ ฌาณ8 แล้วก็ควร หันมาทำ วิปัสนากรรมฐานต่อ
    คือ ใช้ อริยะสัจ4 เป็น ตัวพิจารณา สิ่งต่างๆ ตั้งแต่ อดีตของตัวเอง เป็นต้นมา
    จนถึงปัจจุบัน พิจารณา สิ่งต่างๆให้เห็น ตามความจริง ว่าที่ผ่านมา เราทำให้ตัวเอง
    เป็นทุกข์ ด้วยเรื่องอะไรบ้าง อย่างไรบ้าง เมื่อเห็นแล้ว จะแก้ใข ความไม่มีนั้นอย่างไร
    บ้าง แล้วทำอย่างให้ ให้ปัจจุบันนี้ ความไม่ดีทั้งหลายเหล่านั้น อย่างได้เกิดขึ้นมาอีก
    ต้องหยิบขึ้นมาพิจารณา จนจิตเห็นจริง เกิดความเบื่อหน่ายจริง แล้วจิตจะค่อยๆ ขยับ
    เข้าสู่ภาวะของ นิพพิทาญาณ จนเข้าสู่สภาวะของโคตระภูญาณ จนก้าวเข้าสู่
    อริยะ ไปเอง ครับ เหนื่อยและพอแค่นี้ นะครับ
     
  16. TPC

    TPC เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    474
    ค่าพลัง:
    +2,435
    ถูกต้องแล้วครับ คุณjate 2029เข้าใจได้ถูกต้องตรงกับที่ผมเข้าใจครับ ขอเจริญพรและเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปครับ
     
  17. เมฆมังกร

    เมฆมังกร สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +23
    จิต ก็คือ วิญญาณที่มาปฏิสนธิ หน้าตาแล้วแต่กิเลสอวิชชาที่ห่อหุ้ม
    วิญญาณ ที่ไม่ใช่ มโนวิญญาณ
     
  18. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ขอบคุณสำหรับคำตอบครับท่าน TPC
    ตัวผมเองนั้น ยังไม่ใช่พระอริยะ โลภ โกรธ หลง ราคะ ยังเหลืออีกเพียบ แต่เวลาที่จิตใจตั้งมั่นได้บ้าง ก็รู้สึกว่ามันเป็นสภาวะที่สงบเย็นดีเหลือเกิน...
    แต่เวลาเจอผัสสะต่างๆ มากระทบ เวลามันกระทบแรงๆ ก็ยังไหลไปตามกิเลสเหล่านั้นอยู่ครับ รู้สึกเหมือนว่าเวลาสติหลุดจากที่ตั้งมั่นไว้อยู่ ผมนี่ก็มนุษย์ปุถุชนแท้ๆ นี่เอง...
     
  19. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ..............ตอบข้อ3..........พระวจนะ เรื่องทรงแสวง พระวจนะ" ราชกุมาร เมื่อเรายังเป็นโพธิสัตว์ ยังไม่ได้ตรัสรู้ ก่อนแต่การตรัสรู้ ได้เกิดความรู้สึกขึ้นภายในใจว่า ชื่อว่าความสุขแล้วใครจะบรรลุได้โดยง่ายเป็นไม่มีดังนี้ ครั้นสมัยอื่นอีก เรานั้นทั้งที่ยังหนุ่ม เกศายังดำจัด บริบูรณ์ด้วยเยาว์อันเจริญ ในปฐมวัย เมื่อมารดาบิดาไม่ปรารถนาด้วย กำลังพากันร้องไห้ น้ำตานองหน้าอยู่ เราได้ปลงผมและหนวด ครองผ้าย้อมฝาด ออกจากเรือน บวช เป็นผู้ไม่เกี่ยวข้องด้วยเรือนแล้ว.....................เรานั้นครั้นบวชอย่างนี้แล้ว แสวงหาอยู่ว่า อะไรเป็นกุศล ค้นหาแต่สิ่งประเสริฐ ชนิดที่ไม่มีอะไรยิ่งกว่า ได้เข้าไปหาอาฬารดาบส ผู้กาลามโคตร ได้เข้าไปหา อุทกดาบสผู้รามบุตร เล่าเรียนธรรมนั้นนั้นได้ฉับไวไม่นานเลย ได้เกิดความรู้สึกนี้ ว่าธรรมนี้ จะได้เป็นไปพร้อมเพื่อความหน่ายทุกข์ ความคลายกำหนัด ความดับ ความรำงับ ความรู้ยิ่ง ความรู้พร้อมและนิพพานก็หาไม่ แต่เป็นไปพร้อมเพื่อบังเกิดใน เนวสัญญานาสัญญายตนภพ เท่านั้นเอง เราไม่ทำการหยุดเสียเฉพาะแค่ธรรมนั้นนั้น เหนื่อยหน่ายจากธรรมนั้นนั้นแล้วหลีกไปเสีย.......................เรานั้นเมื่อหลีกจากสำนักอุทกดาบสผู้รามบุตรแล้วแสวงหาอยู่ว่าอะไรเป็นกุศล ค้นหาแต่สิ่งที่ประเสริฐอันไม่มีอื่นยิ่งไปกว่า สืบไป เที่ยวจาริกไปตามลำดับหลายตำบลในมคธรัฐ จนลุถึงตำบลอุรุเวลาเสนานิคม พักแรมอยู่ณที่นั้น ไก้พบพื้นที่ รมณีสถาน ตกลงใจพักอยู่ ณ ที่นั้นเอง ด้วยคิดว่า ที่นี่ควรแล้วเพื่อการตั้งความเพียรดังนี้-----(อริยสัจจากพระโอษฐ์ ท่านพุทธทาส ภาคต้นหน้าที่53):cool:
     
  20. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    พระวจนะ เรื่องทรงพบ พระวจนะ" ภิกษุทั้งหลายเรานั้น ครั้นเมื่อ จิตตั้งมั่น บริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่มีกิเลสปราศจากอุปกิเลส เป็นธรรมชาติอ่อนโยน ควรแก่การงาน ตั้งอยู่ได้ ไม่หวั่นใหวเช่นนี้แล้ว ได้น้อมจิตไปต่อ ญานอันเป็นเครื่องสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย เรารู้แล้วเฉพาะตามความเป็นจริงว่า นี้เป็นทุกข์ นี้เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ นี้เป็นความดับไม่เหลือของทุกข์ และนี้เป็นทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือของทุกข์............เหล่านี้เป็นอาสวะทั้งหลาย นี้เป็นเหตุให้เกิดอาสวะ นี้เป้นความดับไม่เหลือของอาสวะ และนี้เป็นทางดำเนินถึงความดับไม่เหลือของอาสวะ ดังนี้ เมื่อเรารู้อยู่อย่างนี้ เห็นอยู่อย่างนี้ จิตก้พ้นแล้วจากอาสวะคือกาม อาสวะคือภพ อาสวะคืออวิชชา ครั้นจิตพ้นแล้ว ก็เกิดญานหยั่งรู้ ว่าพ้นแล้ว เรารู้เฉพาะว่า ชาติสิ้นแล้ว พรห์มจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำได้ทำสำเร็จแล้ว กิจอื่นที่ต้องทำเพื่อความหลุดพ้นอย่างนี้ มิได้มีอีก ดังนี้ ภิกษุทั้งหลาย นี้แล วิชชาที่สาม ที่เราได้บรรลุในปัจฉิมยามแห่งราตรี อวิชชาถูกกำจัดแล้ว วิชชาเกิดขึ้นแล้ว ความมืดถูกกำจัดแล้ว ความสว่างเกิดขึ้นแล้วโดยประการที่เกิดขึ้นแก่บุคคลผู้ไม่ประมาท มีความเพียรเผากิเลส มีตนส่งไปแล้วแลอยู่................(อริยสัจจากพระโอษฐ์ ท่านพุทธทาส):cool:
     

แชร์หน้านี้

Loading...