เมื่อพระยามัจจุราชมาทวงชีวิตข้าพเจ้า

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย tjs, 14 มิถุนายน 2013.

  1. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ท่านใดที่ยังไม่ได้รับคำตอบ หรือมีคำถามใดที่ตกค้างอยู่

    รบกวนแจ้งให้ทราบหรือสอบถามเข้ามาใหม่ด้วยครับ

    ===========

    วันนี้วันพระ แรม 15 ค่ำ ตรงกับวันพุธ ที่ 6 เมษายน 2559 อันเป็นวันสุดท้ายของปีนักษัติย์ของปีมะแม

    นับตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไปเทพประจำปีนักษัติย์เปลี่ยนสู่องค์ใหม่และเริ่มเข้าสู่ปีวอก ครับ

    ปีใหม่ไทยนี้ขอให้ทุกท่านจงก้าวเดินต่อไปอย่างมีสติ ไม่ประมาท ตั้งมั่นในความดีงาม ทั้งปวง มีความสุขความเจริญก้าวหน้ายิ่งๆขึ้นไปทั้งทางโลกและทางธรรมครับ สาธุ
     
  2. มหาเมตตา

    มหาเมตตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    107
    ค่าพลัง:
    +283
    *** พญายมมาเยี่ยมเยือนในช่วงสงกรานต์ของไทย ปี 2559 ***

    ผมลบบทความทิ้งแล้วครับ ครูบาอาจารย์บอกว่า "จะโดนตำรวจจับและเอาไปคุมขัง และเดือดร้อนถึงครอบครัว" ผมเชื่อว่า มีหลายคนที่ได้อ่านบทความนี้แล้ว อย่างน้อย ผมก็ได้ทำหน้าที่ของเพื่อนมนุษย์ที่ดีคนหนึ่งด้วยเมตตาจิตที่มีแล้วครับ สุดท้าย จริงเท็จอย่างไร ก็ต้องปล่อยวางให้มันเป็นไปตามวิถีของมัน...
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • image.jpeg
      image.jpeg
      ขนาดไฟล์:
      37.6 KB
      เปิดดู:
      56
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 เมษายน 2016
  3. arrow3322

    arrow3322 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2012
    โพสต์:
    9
    ค่าพลัง:
    +9
    ผมสอบถามเพิ่มเติมในpm ขอความกรุณาช่วยแนะนำด้วยครับ
     
  4. srisansuk

    srisansuk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    59
    ค่าพลัง:
    +201
    รบกวนคุณก้องด้วยครับ
    คุณแม่ผมชื่อ สนิท. ศรีแสนสุข อายุ 84
    ตอนสุขภาพแข็งแรงจะมีวิญญาณญาติหรือสัมพเวสี
    มาแฝงอยู่เรื่อย จนมาถึงช่วงก่อนปีใหม่ไม่สบาย
    ได้ทำการสั่งเสียลูกทุกคนครับพวกผมได้แต่สวดมนต์กันครับ


    แต่จู่ๆท่านก็แข็งแรงกลับมาเหมือนมีคนมาแฝงครับ
    ท่านจะบ่นว่าอยากกลับบ้านอยู่เสมอ
    ท่านเคยพูดมาว่า. เรียกแม่กลับเองนะ
    แล้วท่านก็มีอาการทางสมองอยู่บ่อยๆครับ
    เรื่องยาวไปบ้าง รบกวนคุณก้องช่วยตรวจสอบด้วยครับ
    เจริญในธรรมครับ
     
  5. buytona

    buytona Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +97
    สาธุ และขอบคุณสำหรับคำแนะนำครับ
     
  6. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,426
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,035
    แวะมาทักทายค่ะ ตอนนี้คุณน้องยังสอนสมาธิอยู่หรือเปล่าคะ
     
  7. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    =================\

    สวัสดีครับ คุณพี่ ตอนนี้ผมไม่ค่อยได้สอนสมาธิไม่ค่อยมีเวลาครัะบ ส่วนมากจะช่วยแนะนำสมาธิ หรือช่วยบอกแนวทางแก้ไข หรือขจัดปัญหาที่ติดขัดให้สามารถเดินสมาธิก้าวหน้าต่อไปได้ครับ
     
  8. arrow3322

    arrow3322 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2012
    โพสต์:
    9
    ค่าพลัง:
    +9
    ผมสอบถามเพิ่มเติมในpm ขอความกรุณาช่วยแนะนำด้วยครับ
     
  9. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ================

    คุณแม่ท่านอายุ84ปี นี้ ย่าง85 ดวงชะตาท่านมีทั้งร้ายและดี หากแก้ไขกรรมด้วยการทำบุญสร้างกุศล อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรและเทวดาที่รักษาตน สม่ำเสมอ ชีวิตก็จะดีขึ้นครับ ส่วนอาการทางสมอง ในวัยชราภาพก็จะเกิดแบบนี้กับทุกคน ยกเว้นคนที่ฝึกสมาธิมาดีจะไม่เป็นคับ

    ในปีหน้าอายุ85เข้า86ชะตาขาด หมดอายุไข แต่ถ้าจะต่ออายุไขต้องรอดูเวลานั้นอีกทีครับ ว่าสภาพความพร้อมของกายเนื้อเป็นอย่างไรบ้างครับ ถึงเวลานั้นให้สอบถามมาอีกทีครับ
     
  10. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    พระธรรมทั้งปวง มีคุณประโยชน์อย่างยิ่งแก่สรรพสัตว์

    เพราะความเป็นธรรมดีของพระสัทธรรม นี่เอง จะเป็นสิ่งที่ช่วยให้เรามีดวงตาเห็นธรรม เมื่อเรามีความเคารพในธรรม เมื่อเราเห็นความสำคัญและพระคุณแห่งพระธรรม เมื่อนั้นการเจริญในธรรมย่อมมีความก้าวหน้ายิ่งๆขึ้นไป การน้อมนำธรรมสู่การปฏิบัติจึงสำฤทธิ์ผล ที่สุดจึงมีสติปัญญาสูงขึ้น จนบรรลุธรรม

    ฉนั้น เมื่อใดก็ตามที่ท่านปฏิบัติธรรม มีความก้าวหน้าในทางธรรม จิตท่านยกสูงขึ้น เมื่อนั้น จิตท่านย่อมมีความเคารพในธรรมมากขึ้นด้วยตามลำดับ

    พระพุทธเจ้าทั้งหลาย พระอรหันต์ทั้งปวง ต่างมีความเคารพในธรรม อย่างยิ่งเสมอกัน เพราะพระธรรมคือสรณะอันประเสริฐประการหนึ่งนั่นเองครับ สาธุ

    เราท่านทั้งหลายจึงไม่ควรประมาท อย่าลูบคลำพระธรรม เห็นว่าเป็นของเล่นของไม่สำคัญไม่ได้ พึงไม่ประมาท จงยกเอาพระธรรมขึ้นเหนือเกล้า น้อมนำมาสู่กายใจ เพื่อความปฏิบัติดีปฏิบัติธรรมสืบไปครับ สาธุ
     
  11. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    กิเลส มีทั้งฝ่ายดีและไม่ดี

    กิเลสฝ่ายไม่ดี ย่อมสร้างบาปกรรมแก่ตนและผู้อื่น

    กิเลสฝ่ายดี ย่อมไม่เบียดเบียนผู้อื่น แต่ก็เบียดเบียนปิดกั้นทางนิพพานของตน เพราะหลงดี เพราะยึดติดในความดีของตน

    ธรรมวิมุตติ ไม่สนใจใส่ใจยึดมั่น ในกิเลส จะฝ่ายดีฝ่ายไม่ดีก็ตาม ขึ้นชื่อว่ากิเลส อวิชา คือปฏิปักษ์ต่อการหลุดพ้นทุกข์ ต่อนิพพาน ทั้งสิ้่น

    พระอรหันต์มุ่งตรงตั้งมั่นอย่างเดียวคือนิพพาน ปล่อยวาง สรรพสิ่งลงอย่างสนิทใจรู้แจ้งแทงทะลุหมดสิ้นแล้ว

    อย่าปล่อยให้ความดีที่เรามีเราสร้างกลายเป็นกิเลสพอกหนากะเทาะไม่ออกปิดกั้นทางนิพพานโดยเด็ดขาด นั่นคือพึงไม่ประมาทในการทำดี และจงทำดีอย่างโดยไม่ยึดติดในดีที่ทำ ที่ทำดีมันก็แค่หน้าที่ที่ต้องสักแต่ว่าทำทำไป ตามเหตุปัจจัยที่เกิดที่มีที่สามารถสงเคราะห์ได้ก็เท่านั้น

    แม้ความดีจะให้ผล เกิดทิพยอภิญญา ได้ หูทิพย์ ตาทิพย์ มโนทิพย์ มโนมยิทธิ ก็ไม่ยึดติดในทิพย์ที่ได้ที่มี มันก็แค่ผลข้างเคียงไม่ใช่ผลที่แท้จริงที่ควรเข้าถึง คือ อรหันตมรรค อรหันตผล คือนิพพานว่างเปล่าปล่อยวาง ทรงไว้เช่นนี้ เพราะแก่นแท้แห่งธรรม คือความวิมุุติหลุดพ้นนั่นเอง หลุดพ้นด้วยปัญญา ด้วยจิตที่เกิดวิมุตติ ไม่ใช่หลุดพ้นเพราะถือดียึดมั่นในดีไม่ปล่อยวาง หรือเพราะไปยึดมั่นในทิพย์สมบัติที่ได้มันก็ไม่เที่ยงเป็นทุกข์ ในที่สุด


    ขอให้มีดวงตามีสติปัญญาขั้นสูงคือไม่เอากะพี้เปลือก เอาแต่ของแท่คือแก่นแท้แห่งธรรม เท่านั้น คือปล่อยวางไม่เอาอะไร สรรพสิ่งว่างเปล่าไม่มีอะไรให้ยึดมั่นถือมั่นสักสิ่งเดียว ครับ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 เมษายน 2016
  12. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    หน้าที่ของเจ้ากรรมนายเวรที่ต้องทำอย่างตรงไปตรงมาต่อเราผู้เป็นลูกหนี้

    ในช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ขอเล่าเหตุการหนึ่งให้ฟังว่า

    ผมมีอาการท้องเสียต่อเนื่องเกือบสัปดาห์ ถ่ายเหลว อ่อนเพลียแต่ก็ประคองร่างกายมาทำงานได้ทุกวัน พอวันศุกร์ ปวดไหล่ขวาและหนักบ่า แต่ก็คิดว่าเดี่ยวคงหายเองเป็นได้ก็หายได้ ส่วนตกเย็นมาก่อนนอนก็สวดมนต์ภาวนาปกติ เหมือนทุกวัน แต่ก็มีความรู้สึกว่าเราได้แผ่อุทิศบุญให้เจ้ากรรมนายเวรทุกครั้งทุกวัน จึงไม่มีนิมิตรหรือรับรู้อะไรมากมายจิตรวมลงสู่ความสงบความว่างเป็นปรกติ

    จนมาในเย็นคืนวันเสาร์ผมติดธุระกลับดึกจึงไม่ได้สวดมนต์ภาวนา แต่ก่อนนอนก็ไหว้พระแล้วก็นอน การนอนหลับไปในคืนวันเสาร์นี้ ก่อนรุ่งเช้าวันอาทิตย์ใกล้สว่าง ผมได้เห็นนิมิตรว่า

    ตนเองได้เดินเข้าไปที่วัดแห่งหนึ่ง ผมเดินขึ้นไปบนกุฏิพระแล้วเกิดลมพัดแรงมากจนน่ากลัว กลัวกุฏิที่ยืนอยู่จะพังเสียหายจึงได้เดินลงมาข้างล่าง เห็นเงาดำเป็นวงกลมใหญ่ในเงาสีดำเห็นคนตายหรือซากศพเป็นจำนวนมากหมุนลอยอยู่ในนั้น ตนมีความรู้สึกว่า เงาดำดังกล่าวได้เกิดลมดึงดูดตัวผมเข้าไปข้าในด้วย ผมก็พยายามเกาะตามฝนังกุฏิและหนีออกไปให้ไกลจากแรงลมที่พัดดูดตัวผม ผมหนีออกมาก็เห็นพระสงฆ์รูปหนึ่งท่านนอนอยู่จึงปลุกท่าน ท่านก็ไม่ยอมลุก ผมจึงทำอะไรไม่ได้ลมก็แรงมาก ผมจึงหนีไปอีกห้องหนึงไม่ทราบว่าเป็นห้องอะไร ในนั้นมีคนตายเป็นซากศพเดินเข้ามาจับมือรั้งผมให้เข้าไปในห้อง บอกว่าให้ผมเข้าไปดูกรรมที่ผมเคยทำไว้กับพวกเขา ด้วยแรงกระชากของซากศพเหล่านั้นสองคน ผมก็คิดว่านี่คงเป็นเจ้ากรรมนายเวรผม ผมจึงเดินตามเขาไปในน้อง ประตูห้องไม่ได้ปิด เปิดกว้าง ผมยืนตรงหน้าประตู ผมมองเห็นภายในห้อง เลือดแดงสาดเต็มห้อง ในห้องมีคนถูกฆ่าและทำร้ายอย่างน่าเวทนามาก เมื่อเห็นอย่างนั้น ซากศพทั้งสองก็นำผมไปในห้องให้ผมนั่งคุกเข่าลง ผมรู้สึกได้ทันที่ว่า เราได้เคยฆ่าคนทั้งสองคนนี้ไว้ทำให้เขาได้รับทุกขทรมานมาก ก็เลยพูดออกมาว่า เมื่อผมเคยทำร้ายท่าน ก็ให้ท่านทั้งสองฆ่าผม ผมยินดีชดใช้กรรม ตอนนั้น ซากศพทั้งสองเป็นผู้ชายก็จับตัวผมแล้วให้ผมหลับตาแล้วในพริบตาผมมีความรู้สึก ทันทีว่าถูกฟันที่คอขาดลงไปทันที ความรู้สึกเจ็บและเสียววาบจน ทำให้สดุ้งตื่นจากนิมิตรในทันที

    เมื่อผมตืนออกจากนิมิตร ทำให้ผม รู้ได้ทันทีว่า เกิดอะไรขึ้น สุขภาพกายของเราที่ไม่ปกติมานี้ กับนิมิตรที่เกิดขึ้นนี้ เป็นเพราะเจ้ากรรมนายเวรเขามาท้วงสิทธิ์ของเขานั่นเอง

    นี่จึงเป็นเหตุผลนั่นเอง

    อีกนิด เย็นวันพฤหัส ที่ 21 ที่ผ่านมาตรงกับวันพระ ผมเดินเข้าห้องพัก ผมเห็นชายสองคนเป็นจิตวิญญาณ ยืนรอที่ประตูหน้าห้อง ก็ไม่ได้คิดอะไรคิดแค่เพียงว่า เขาคงมารอรับบุญ พอตกค่ำผมก็สวดมนต์ภาวนาส่งบุญแล้วก็แผ่อุทิศให้ไปก็คิดว่าเขาคงรับแล้วก็กลับไปในภพของเขา แต่ความจริงไม่ใช่ เขาทั้งสองคือเจ้ากรรมนายเวรของผมเองครับ


    ในวันอาทิตย์ ตอนเช้าผมจึงไปทำทานก่อน ด้วยการไปซื้อปลานิลตัวใหญ่สองตัว นำไปปล่อย ให้ทานชีวิตสัตว์แล้วไปทำบุญที่วัด และปิดทองไหว้พระประธาน แล้วกรวดน้ำทำบุญแผ่อุทิศให้ไป ซึ่งในขณะที่แผ่อุทิศบุญก็เห็นเขาอนุโมทนาแล้วก็เปลี่ยนภพใหม่มีราศรีที่สวยงาม แต่กายแบบชาวพม่าผ้าลายขวาง ผิวดำคล้ำทั้งคู่ ผมก็ขออโหสิกรรม เขาทั้งสองก็อโหสิกรรมให้ครับ แล้วก็จากไปสู่ภพใหม่

    เช้าวันจันทร์มานี้ สุขภาพกายและจิตกลับคืนปกติ อาการท้องเสีย อาการปวดเมื่อยตามตัวและไหล่หายหมดสิ้นครับ

    ดังนั้น การที่เราได้นิมิตรเห็นเจ้ากรรมนายเวร นั้นจึงถือว่าเป็นสิ่งที่ดีที่เราจะได้รู้ชะตากรรม บาปกรรมที่ตนได้ก่อทำไว้ในอดีต เมื่อรู้แล้วก็ควรรีบแก้ไขไปทำบุญทานอุทิศให้เขา เจ้ากรรมนายเวร เขาไม่ได้ต้องการแค่บุญที่เกิดจากการภาวนาอย่างเดียวเสมอไป แต่เขาอาจอยากได้บุญจากปัจจัยอื่นๆประกอบด้วย ขอให้เราไม่ประมาทในการทำบุญเพื่ออุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร ผู้ที่เราเคยเบียดเบียนทำร้ายเขาไว้ครับ

    จึงนำมาเล่าสู่กันฟังเพื่อความไม่ประมาทในการทำบุญ และการดำรงชีวิตของเราครับ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 เมษายน 2016
  13. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ปิติ เกิดจาก สิ่งใด
    ปิติเกิดจาก อาการของจิต ที่รวมลงในสมาธิ เป็นเอกคตาจิต
    เอกคตาจิตที่รวมลงเป็นหนึ่งเดียว ย่อมเกิดกำลังทางจิต ดังนั้นปิติ จึงเป็นอาการอย่างหนึ่งที่จิตแสดงออกมา ให้ปรากฏรับรู้
    เอกคตาจิตที่รวมลงเป็นหนึ่งเดียวมีหลายสภาพ อันได้แก่ เอกคตาจิตในสมาธิฌาณ
    เอกคตาจิตในสมถะ เอกคตาจิตในบุญกริยา เอกคตาจิตในพรหมวิหาร เอกคตาจิตในวิปัสสนาญาณ หรือเอกคตาจิตโนโพชฌงค์เป็นต้น
    ปิติที่เกิดคือความอิ่มเอมของจิต ที่เกิดอำนาจขยายกำลังมีผลต่อกายใจในเบื้องต้น
    ปิติในขั้นสูงมีผลต่อกำลังจิตสู่อภิญญาอิทธิวิธี
    ดังนั้นปิติ เกิดได้จากหลายปัจจัยหลายสภาวะทำให้เกิด แต่อาการที่เกิดย่อมแตกต่างบ้างมากน้อยกันตามชนิดของสภาวะที่ทำให้เกิด ส่วนผลแห่งปิติที่เกิดก็มีความแตกต่างกันเช่นกัน
    ปิติในขั้นโลกุตระที่เกิดเพราะอาศัยตรัสรู้หรือบรรลุธรรม ของพระอนาคามีไปสู่พระอรหันต์ ปิติในลักษณะแบบนี้ จะแรงมากมีกำลังมากมายเป็นพิเศษ เกิดแล้วส่งผลต่อโลกธาตุใกล้เคียง ส่งผลเกิดอานุภาพหลายอย่างพร้อมกันในบัดดลก็มี
    หรือปิติในสมาธิฌาณหรือกสินก็เช่นกันที่มีกำลังมาก ปิติที่เกิดแรงมากด้วยกำลังสมาธิขั้นสูงในฌาณสี่ หรือ อรูปฌาณ เป็นต้น ให้ผลอานุภาพตามมาหลายอย่างเช่นกัน
    ปิติเป็นเครื่องแสดงให้รับรู้ถึงความสงบทางจิตที่ควมลงเป็นเอกคตาจิตในรูปแบบต่างๆ และเป็นจุดเริ่มต้นของอิทธิวิธี
    นอกจากนี้ ในทางกลับกัน พลังจิตที่ข้ามพ้นปิตินี้ไปได้ ด้วยความสงบนิ่งลงลึกในสมาธิ จิตรวมเป็นหนึ่งเหนี่ยวแน่น ก็จะเกิดอานุภาพของพลังจิต สามารถเกิดและใช้ประยชน์ตามที่ตนปราถนา กรณีนี้เป็นสภาวะของผู้ที่มีความชำนาญในเอกคตาจิต ในฌาณสี่หรืออรูปฌาณขึ้นไปครับ
    ดังนั้น ปิติ เกิดที่ไหนก็คือปิติ แต่กำลังของปิติที่เกิดอาจมีความแตกต่างกันบ้างและมีอานุภาพต่างกันบ้างตามปัจจัยหรือสภาพที่เกิดของปิติว่าเกิดจากปัจจัยใดครับ
    เมื่อปิติเป็นอาการทางจิต เป็นผลแห่งสมาธิที่จิตมีสภาพรวมลงเป็นเอกคตาจิตหนึ่งเดียว
    จึงเป็นสิ่งหนึ่งที่เราไม่ควรยึดติดยึดมั่น เพราะปิติเกิดได้ก็เสื่อมได้ ปิติเกิดหรือไม่เกิด ในวันนี้หรือวันหน้า ก็เรื่องของมัน ปัญญาคือสติที่รอบรู้ต้องฝึกให้เกิดเป็นปรกติ เอกคตาจิตคือสิ่งที่ต้องทำให้เกิดเป็นปรกติ ตรงนี้ต่างหากเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ครับ สาธุ
     
  14. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ครั้งหนึ่ง กระผมได้สนทนาธรรมกับพระครูโกวิโท ตอนที่ท่านยังไม่ละสังขาร

    ผมสนทนาเรื่องนิมิตร ที่เกิดขึ้นในขณะนั่งสมาธิภาวนา ว่าเกิดปรากฏนิมิตรมากมาย

    และนิมิตรที่เกิดปรากฏ นั้นด้วยความอยากรู้จริงได้พิสูจน์ความจริง และก็พบว่านิมิตรที่เกิดเหล่านั้นเป็นความจริงเกือบทั้งหมด

    หลวงพ่อได้กล่าวสอนแก่กระผมว่า
    นิมิตรเกิดขึ้นตามกำลังของสมาธิ อันเป็นเรื่องปกติธรรมดา มีทั้งจริงบ้างไม่จริงบ้าง คือที่นิมิตรเกิดนั้นเกิดขึ้นจริง แต่นิมิตรที่เกิดเรื่องราวเหล่านั้นจะเป็นจริงหรือไม่จริงก็ขึ้นอยู่กับอำนาจของจิต ที่มีความบริสุทธิ์ หากจิตทรงสภาวะที่ไม่ปรุงแต่งมีความสะอาดบริสุทธิ์ นิมิตรที่เกิดย่อมมีความบริสุทธิ์ คือมันเกิดโดยธรรมชาติที่เป็นจริงของมันเอง ไม่ใช่นิมิตรที่เกิดจากความปรุงแต่งที่เจือไปด้วยกิเลส นิมิตรเหล่านั้นจึงบริสุทธิ์ คือเป็นความจริงเกิดปรากฏให้เห็น ส่วนนิมิตรที่เกิดด้วยกำลังจิตที่มีความปรุงแต่งไม่สะอาดบริสุทธิ์ นิมิตรเหล่านั้นจึงเป็นนิมิตรที่ไม่จริงนั่นเอง

    เมื่อนิมิตรเกิดจากกำลังจิต กำลังจิตของเรามันไม่เที่ยง มันไม่เที่ยงเพราะมีสภาพการเกิดดับด้วยอวิชาและวิชาปรุงแต่ง ดังนั้น นิมิตรที่เกิดจึงมีทั้งจริงและไม่จริงนั่นเอง

    ผมกล่าวสาธุ รับ ทำให้เกิดความเข้าใจแจ่มแจ้งในคำสอนของหลวงพ่อได้ทันที

    ผมสอบถามว่า การเจริญภาวนาแท้จริงแล้วควรทำอย่างไรให้ถึงที่สุดแห่งการเจริญสมาธิ

    ท่านสอนสั้นๆแค่ประโยคเดียวว่า ให้เจริญสมาธิให้จิตเกิดความสงบ เท่านี้เป็นพอ

    นี่คือคำสอนสุดท้าย ในด้านสมาธิ ที่ท่านสอนแก่กระผม

    จากคำสอนดังกล่าว ด้วยความที่ผมยังด้อยสติปัญญาจึงไม่เข้าใจ เพราะการเจริญสมาธิให้เกิดความสงบ เราก็ทำได้อยู่แล้ว

    ผ่านมาหลายปีจวบจนปัจจุบันนี้ จากการสั่งสมปฏิบัติภาวนามาหลายปี ทำให้เกิดสติปัญญารู้แจ้งแล้วว่าแท้จริง แล้ว

    จุดเริ่มต้นของสมาธิภาวนาคือความสงบนิ่ง และจุดจบหรือจุดสูงสุดของการเจริญภาวนาก็คือความสงบนิ่งเช่นกัน

    เป็นความจริงที่ว่า สมาธิเราเกิดได้เพราะเอกคตาจิตเกิดขึ้น จิตมีสมาธิรวมลงในจุดเดียว เกิดความสงบนิ่ง แต่เมื่อเราภาวนาต่อเนื่องมา อุปกิเลส นิวรณ์สิ่งรบกวนจิตทั้งหลายต่างก็วิ่งเข้ามารบกวนจิตปรุงแต่งจิต ในระหว่างนั้น ท่ามกลางการปฏิบัติที่สืบเนื่องมานาน ทำให้เราเกิดการเรียนรู้ธรรมชาติ ของความปรุงแต่งจิต ของความสงบนิ่งที่ไม่ทรงตัวอยู่ได้ตลอดเวลา

    จุดจบของการเจริญภาวนา เมื่อจิตมีสติปัญญามีกำลังมาก ย่อมก้าวผ่านเครื่องปรุงแต่ง อุปกิเลส ทั้งหมดไปได้ นั้นคือ จิตรวมลงสู่ความสงบนิ่งของแท้ อันเป็นความสงบนิ่งในพระนิพพานนั่นเอง ที่ไม่มีสิ่งอื่นใดเจือปนปรุงแต่งอีกต่อไป

    ใหม่ๆเรามองของที่ว่างเปล่า แต่กลับไม่เห็นว่าว่างเปล่า
    บัดนี้เราเห็นความว่างเปล่าในความไม่ว่างเปล่า ว่าเป็นจริงเป็นธรรมดาเช่นนี้ ความสงบก็เกิดขึ้นเป็นปรกติ เป็นความสงบในนิพพาน เป็นภาษาง่ายๆที่เข้าใจง่ายๆหากเราไม่ไปคิดมากและวิตกกังวลจนเกินไปนั่นเองครับ สาธุ

    ขอกราบ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์สาวกผู้ปฏิบัติชอบ ด้วยความเคารพอย่างยิ่งอย่างหาที่สุดมิได้ครับ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 เมษายน 2016
  15. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    พระครูโกวิโท

    วัดถ้ำบ่อทอง

    รูปวิหาร ของท่าน และ รูปหลวงพ่อใหญ่ที่อยู่บนเขาครับ ศักดิ์สิทธิ์มาก มีเทพพรหม องค์อินทร์ เทพารักษ์ รักษาดูแลสถานที่แห่งนี้ครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  16. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    สติปัฏฐานสี่

    ตัวที่ 1
    กายาคตานุสปัสสติ=กาย+เอกคตา+วิปัสสนา+สติ

    หมายความว่า การปฏิบัติที่เกี่ยวข้องด้วยสี่ปัจจัยคือ กาย เอกคตาจิต วิปัสสนา สติ

    กายคือกายหยาบของเรา ร่างกายของเรา
    เอกคตาจิต คือสมาธิที่มีความแน่วแน่รวมลงจุดเดียวไม่แส่ส่ายไปที่อื่น
    วิปัสสนาคือการงานที่จำเพาะเพื่อตามรู้หรือการเข้าไปรู้ธรรมชาติของสิ่งต่างๆอันเป็นการเข้าไปเห็นความจริงทั้งปวง
    สติ หมายถึงการระลึกรู้ว่ากำลังทำกิจ หรือการงานอันใดอยู่โดยไม่หลงลืมหรือแส่ส่ายไปที่อื่น

    สรุปแบบรวมรัดตามแบบนักปฏิบัติ

    กายะคตานุปัสสติ หมายถึง ความที่จิตทรงสติ อันเกิดเป็นสมาธิแน่วแน่จำเพาะลงที่การพิจารณาตามรู้หรือเข้าไปรับรู้สภาพธรรมชาติของร่างกาย ของกายหยาบหรือกายเนื้อนั่นเอง หรือรูปกายนั้นเอง

    วิธีการ คือ การกำหนดสติเป็นบาทฐาน อาศัยสติกำหนดตั้งไว้คือระลึกรู้สึกตนทุกลมหายใจเข้าออก จากสติเมื่อตั้งมั่นรวมกันเข้าแล้วเกิดเป็นสมาธิ ซึ่งมีความแน่วแน่จำเพาะลงไป ลงไปที่กายเนื้อหรือร่างกายของท่านนั่นเอง แต่วิธีการคือการงานที่อาศัยการไม่ปรุงแต่ของจิต แต่อาศัยจิตที่ทรงสติสมาธิ ตามดูตามรู้ธรรมชาติของร่างกายที่เป็นไปเท่านั้นเอง กายเนื้อทุกส่วนของร่างกายตนมีความธรรมดาหรือธรรมชาติเป็นอย่างไร ให้ตามดูตามรู้ความเป็นไปในกายนี้ โดยห้ามมีการปรุงแต่งนึกคิดใดๆ ให้สักแต่ว่า รู้เฉยๆ คือให้สักแต่ว่า ออเป็นเช่นนี้ เรารู้แล้ว ออเป็นแบบนี้เรารู้แล้ว สักแต่ว่ารู้เพียงเท่านั้น การตามดูตามรู้กายเนื้อตนนี้ให้ทำให้มาก ทำให้เห็นให้มาก ทั้งนอกและใน ทั้งบน ตรงกลาง และล่าง ทั้งซ้ายและขวา ทั้งหน้าและหลัง ทั้งหยาบ ปานกลาง และละเอียด

    สักแต่ว่ารู้ อย่างไม่ปรุงแต่ง เห็นอย่างไรรู้อย่างนั้นรู้แล้ววาง ไม่ปรุงแต่ง ตามดูตามรู้เช่นนี้ไปให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผลย่อมปรากฏคือความรู้จริง เพราะเห็นและรู้ของจริงเพราะไม่มีการปรุงแต่ง ท้ายที่สุดปัญญาย่อมเกิดมากมายตามความเป็นจริงเพราะไม่มีการปรุงแต่ง

    อจีรังวะตะยังกาโย=อนิจจังวะตะยังกาโย= กายของเราทั้งหลายนี้ไม่เที่ยงไม่จีรัง
    ทุกขังวะตะยังกาโย= กายของเราทั้งหลายนี้เป็นทุกข์
    อนัตตังวะตะยังกาโย =กายของเราทั้งหลายไม่ควรยึดมั่น

    หากเราเจริญ กายาคตาสุปัสสติ ให้มากเราจะพบความจริงว่า กายทั้งหลายที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ควรยึดมั่น

    กายไม่ได้สวยงามหากแต่กายมีธรรมดาของกายที่อาศัยธาตุต่างๆที่รวมกันส่งเสริมกันอย่างสมดุลย์ทำให้กายนี้ทรงตัวอยู่ได้ แม้กายทรงตัวอยู่ได้ แต่กายก็ต้องมีการรักษาสภาพสมดุลย์อยู่เสมอ และเมื่อใดที่สภาพเกิดความไม่สมดุลย์ กายย่อมแปรปรวน ไม่เที่ยงเป็นทุกข์ ในขณะเดียวกัน กายของเรานี้ เมื่อได้รับปัจจัยต่างๆมากระทบรุมเร้าหรือเบียดเบียน ความสมดุลย์ในกายก็เปลี่ยนไป แม้กระนั้น ความชรา ก็เป็นปัจจัยหนึ่ง แห่งกายเนื้อที่เสื่อมลงไปตามอายุการใช้งานตามกาลเวลาอันเป็นธรรมดาของกายของสิ่งมีชีวิต

    ความไม่เที่ยงเสื่อมโทรมก็ดี ความไม่ปกติของกายก็ดี เกิดขึ้นทุกลมหายใจเข้าออก เกิดขึ้นทุกวี่ทุกวัน อย่าปล่อยให้ความธรรมดาที่เกิดขึ้นเหล่านี้ผ่านเลยไปอย่างไร้สติไร้ปัญญา จงมีสติปัญญารู้เท่าทันไม่ประมาท

    กายาคตานุปัสสติ ตัวแรกนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เป็นฝ่ายสติปัญญาเข้าไปดับรูป แท้จริงกายเนื้อ สรรพสัตว์ไม่ได้แตกต่างกันเลยเสมอกันในทางธรรม สักแต่ว่าธาตุที่ประชุมรวมกัน ไม่ได้มีสิ่งที่น่าพิศวาทยึดมั่นถือมั่นหรือน่าหลงไหลอะไรเลย มีความเสื่อมเป็นธรรมดา มีความสกปรกอุจาดเป็นธรรมดา มีความเกิดขึ้น ตั้งอยู่เสื่อมลงดับไปเป็นธรรมดา นั่นเองครับ

    หากท่านเจริญกายาคตานุปัสสติ ตามรู้ตามดู โดยไม่ปรุงแต่ง จนปรากฏเห็นกายเนื้อเป็นแก้วใส สว่าง ว่างเปล่า คือไม่ปรากฏกายส่วนใดให้ต้องดูอีกแล้ว มีเพียงความว่างเปล่าของกายนี้ ไม่มีสิ่งใด อีก นั่นย่อมแสดงว่า จิตของท่านถึงที่สุดแห่งสติปัญญาในกายที่กำลังจิตมันแสดงให้ปรากฏว่าถึงที่สุดแล้ว เช่นนั้น นั่นเองครับ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 เมษายน 2016
  17. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    พระพุทธเจ้าทั้งหลาย พระอรหันตทั้งปวง สอนเหมือนกัน

    ความหลุดพ้นทุกข์ หรือความดับทุกข์ จะเกิดขึ้นได้ พระท่านสอนเรื่อง อริยะสัจจสี่ คือ

    ความรู้จัก ทุกข์ ก่อน เมื่อใดที่ยังไม่รู้จักทุกข์ ไม่เห็นทุกข์ ก็ไม่มีทางจะเข้าไปเห็นเหตุหรือสมุทัย เมื่อไม่สามารถเห็นเหตุปัจจัย หรือสมุทัย การดับทุกข์ ก็ไม่สามารถทำได้

    เมื่อใดที่ เห็นทุกข์ รู้ทุกข์ เข้าใจทุกข์ เมื่อนั้น ย่อมเข้าไปรื้อค้นรากเหง้าเหตุแห่งทุกข์ได้ เมื่อนั้นย่อมดับทุกข์ได้ ตามวิธีการที่พระท่านสามารถแนะนำสั่งสอนเราท่านทั้งหลายให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้นได้

    ความเห็นทั้งหลายความเข้าไปรู้ทั้งหลาย อาศัยเครื่องมือที่เรียกว่า วิปัสสนา
    ดังนั้นวิปัสสนาจึงเป็นเครื่องมือสำคัญยิ่ง ที่นักปฏิบัติ พึงให้ความสำคัญและทำความเข้าใจเรียนรู้ฝึกฝนทำจริงให้เป็นให้ได้ เมื่อทำได้แล้ว ประโยชน์มากมายจะเกิดตามมา

    ผลแห่งวิปัสสนาคือปัญญาญาณ พระญาณหยั่งรู้ ทั้งหลายย่อมเกิดปรากฏได้แก่จิตท่าน

    ท่านที่ทำมากวิปัสสนามากๆ พระญาณทั้งหลายย่อมปรากฏรู้เกิดแก่ท่านตามสมควรแก่การปฏิบัติของท่านนั่นเองครับ มีเริ่มจากโคตรภูญาณ ทิพยญาณ อตีตังคสญาณ อนาคตังคสญาณ ปัจจุปันนังคสญาณ เจโตปริยญาณ ฉลอภิญญาญาณ ปฏิสัมภิธาญาณ พระทศพลญาณ พระสัพพัญญุตญาณ พระอาสวักขยญาณ เจโตวิมุตติญาณ เป็นต้นครับ สาธุ
     
  18. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    การมาเกิดของเราในชาติปัจจุบัน ก็แค่เป็นกฏธรรมดาที่เราต้องเวียนว่ายตายเกิด ตามกฏแห่งกรรม แต่ก่อนหน้านั้นอดีตชาติเก่าก่อน เรามีพ่อมีแม่มาแล้วหลายภพชาตินับไม่ถ้วน เรามีครูอาจารย์มาแล้วนับไม่ถ้วน เรามีลูกเมียสามีมาแล้วมากมายนับไม่ถ้วน เรามีผู้อุปภัมภ์ช่วยเหลือมาแล้วมากมายบนับไม่ถ้วน เรามีเจ้าหนี้และลูกหนี้ คือเจ้ากรรมนายเวรมาแล้วมากมายนับไม่ถ้วน

    วันนี้ชาตินี้ปัจจุบันนี้จงมีสติในความมีเราและความไม่มีเรา

    ผู้บรรลุแล้วในความดี ย่อมทำความดี เพราะเข้าใจถึงสิ่งที่ทำดี ผลแห่งความดีที่จะได้รับอย่างแจ่มชัดโดยไม่ยึดมั่นถือมั่น เพราะสักแต่ว่าทำเพราะผลที่ทำนั้นเกิดประโยชน์แก่ตนเองและผู้อื่น นั้นเองครับ

    จงอย่ายึดติดในความเป็นโน่นนี่นั่น แต่ให้สักแต่ว่าทำหน้าที่ของตนให้ดีงาม สักแต่ว่าสร้างกุศล สร้างความดีตามกำลัง

    ท่านอาจไม่รู้ว่าแท้จริง คนที่อยู่รอบๆตัวท่านเกี่ยวพันธ์กับท่านอย่างไร ทั้งอดีต ปัจจุบันและอนาคต ดังนั้นพึงไม่ประมาทและอย่ายึดมั่นในความเป็นโน่นนี่นั่น มันเป็นเพียงกรรม ที่อุปโหลก สรรพ์สร้างให้เป็นโน่นนี่นั่น ตามมายาของโลก ตามกฏแห่งกรรมก็เท่านั้นเอง

    และแท้จริง ไม่ว่าสิ่งภายนอกจะเป็นอะไรอย่างไร แก่นแท้คือจิตคือ ภูมิ ของท่าน ที่เป็นตัวตนที่แท้จริงของท่าน ท่านมีเวลาที่เหลือจะกี่ภพชาติไม่อาจทราบได้ คือการใช้กรรมเก่าสร้างกรรมใหม่ หมุนเวียนสืบไปไม่จบสิ้น และชำระจิตของท่านก็เท่านั้นเอง เมื่อใดที่ท่านชำระจิตท่านได้ขาวสะอาดบริสุทธิ์ หลุดพ้นทุกข์ ทุกอย่างก็จบลง วัฏฏะสงสารของท่านก็หยุดหมุนทันที อยู่ที่ท่านเลือกให้เป็นไปตามปราถนาของท่านนั่นเอง ครับ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 พฤษภาคม 2016
  19. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ขออนุญาติ ท่านครูอาจารย์ ขอนำเรื่องหนึ่งมาเล่าให้ฟัง

    เมตตาอภินิหาร ของพระครูโกวิโท

    ครั้งหนึ่ง ก่อนหลวงพ่อพระครูโกวิโท จะมาจำพรรษาอยู่และเป็นเจ้าอาวาสวัดถ้ำบ่อทอง

    ท่านได้ออกธุดงค์ไปมากมายหลายที่

    ครั้งหนึ่งท่านได้มาธุดงค์ประจำอยู่ใน ถ้ำใหญ่แห่งหนึ่ง ทุกวันนี้คือสำนักสงฆ์ ถ้ำเอราวัณ จังหวัดลพบุรี ซึ่ง ท่านพระอาจารย์สมบัติได้มาสร้างสำนักสงฆ์แห่งนี้จนเจริญเป็นที่รู้จักในปัจจุบัน

    ท่านหลวงพ่อพระครูโกวิโท ท่านได้เจริญสมาธิภาวนาในถ้ำเอราวัณแห่งนี้ และจำพรรษาที่นี้หลายวัน จนกระทั้งครั้งหนึ่ง มีสามเณรรูปหนึ่ง เป็นผู้ฝึกหัดสมาธิภาวนา ได้เข้ามาเจริญสมาธิในถ้ำแห้่งนี้ด้วย

    ปรากฏว่าวันหนึ่ง ในช่วงเวลาช่วงเย็น ก็เกิดปรากฏงูใหญ่ตัวหนึ่ง เลื่อยเข้ามาหากินในถ้ำแห่งนี้

    สามเณรน้อยเจริญภาวนาอยู่ก็ไม่ทันได้ระวังตัว งูใหญ่ดังกล่าวได้เลื่อยเข้ามาล้อมและโอบรัดสามเณรน้อยเอาไว้ ทำให้ญาติโยมที่อยู่าในถ้ำเกิดความหวาดกลัวและตกใจ

    ทันใดนั้นเองพระครูโกวิโท ซึ่งนั่งกรรมฐานเจริญภาวนาอยู่ไม่ไกลนักก็ทราบในวาระจิตท่าน ท่านจึงได้เดินมายังจุดที่สามเณรนั่งเจริญภาวนา ญาติโยมก็ปรึกษาหลวงพ่อท่านว่า จะทำอย่างไรดี สามเณรต้องถูกงูรัดหรือกิน ต้องตายแน่นอน งูก็ตัวใหญ่มาก

    ท่านพระครูได้บอกว่า ท่านจะลองช่วยเหลือดู หลังจากท่านกล่าวเสร็จ ท่านจึงเดินเข้าไปใกล้ งูตัวดังกล่าว แล้วท่านพระครูก็กำหนดสมาธิ และแผ่พลังบุญบารมี ด้วยเมตตาบารมีที่ท่านสั่งสมมา ด้วยพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพ ท่านได้กำหนดสมาธิเช่นนี้สักครูหนึ่ง พญางูตัวดังกล่าวก็คลายออกจากสามเณรน้อย แล้วเลื่อยออกไป เลื่อยหลบหายไปทะลุออกรูช่องโหว่ด้านหลังถ้ำ หลังจากนั้นญาติโยมก็เข้าไปช่วยเหลือสามเณรและประคองออกไปจากถ้ำเพื่อช่วยดูแลรักษาซึ่งสามาเณรมีอาการอ่อนเพลียและเจ็บปวดเมื่อยไม่มากนัก พักพื้นไม่นานก็หายเป็นปกติ

    จากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ พระครูโกวิโท เป็นที่รู้จักและเล่าขานในบารมีที่ท่านได้ช่วยเหลือสมาเณรให้รอดพ้นจากความตายจากพญางูที่อยู่ในถ้ำแห่งนี้ครับ

    ขอตำนานจบเรื่องเล่าเรื่องแรกไว้เพียงเท่านี้ครับ สาธุ

    ถ้ำเอราวัณแห่งนี้ กระผมได้เคยเข้าไปนั่งกรรมฐานเจริญสมาธิประมาณสามครั้ง เป็นถ้ำที่ปากทางเข้าเล็กเท่าคนเข้าได้ต้องมุดคลานเข้าไป แต่ภายในกว้างใหญ่ ลึกมาก ใช้เวลาเดินครึ่งวันก็ไม่หมดครับ มีห้องคูหาย่อยๆเป็นร้อยๆคูหาครับ และหากท่านใดมีวาสนาบารมีจะได้พระธาตุมาบูชาครับ ผมเคยได้มาส่วนหนึ่งแบ่งไปถวายวัดและเก็บไว้บูชาเองไม่มากครับ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 พฤษภาคม 2016
  20. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    เรื่องที่สอง กสินไฟ

    ปกติหลวงพ่อพระครูโกวิโท ท่านจะต้องทำวัตรเย็น ทุกเย็น ในกุฏิของท่าน คือท่านอายุมากพอสมควรจึงไม่ได้ลงโบสถ์ การลงพระอุโบสถ์จะลงทุกวันพระ แต่ถ้าวันธรรมดา ท่านจะทำวัตรเย็นในกุฏิของท่าน ซึ่งเป็นกุฏิเจ้าอาวาส เพราะท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดถ้ำบ่อทอง อันเป็นวัดสุดท้ายที่ท่านอยู่ที่นี่

    ก่อนหน้าที่ท่านเคยธุดงค์ตามป่าเขามาหลายที่ และเคยประจำพรรษาผ่านมาหลายวัด และท่านได้ทำนุบำรุงวัดเหล่านั้นตามแก่สมควร อันได้แก่วัดโคกสะอาด สำนักสงฆ์ถ้ำเอราวัณหรือถ้ำเทวาพิทักษ์ วัดน้ำซับสังฆาราม เป็นต้น ส่วนวัดสุดท้ายที่ท่านมาจำพรรษาและเป็นเจ้าอาวาสจนมรณะภาพไปนั้น คือวัดถ้ำบ่อทอง ซึ่งวัดแห่งนี้มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากมายเป็นวัดที่ท่านสร้างทั้งพระอุโบสถ ศาลา พระหลวงพ่อใหญ่บนเขา พระพุทธรูปในถ้ำ สร้างวิหารครอบรอยพระบาท และอื่นๆ
    ถ้ำบ่อทอง มีถ้ำอยู่ด้านบนมีบรรไดขึ้นไป ผมเคยไปนั่งสมาธิหลายรอบ เป็นถ้ำไม่ลึกแต่กว้างพอประมาณ หลวงพ่อได้สร้างความเจริญให้กับวัดแห่งนี้จนชาวบ้านใกล้ไกลต่างให้ความเคารพรักต่อท่านมาก

    ขอเข้าเรื่อง กสินไฟ ว่า ในเย็นวันหนึ่ง หลวงพ่อได้ทำวัตรเย็น ตามปกติ ซึ่งเป็นเรื่องปกติ

    ชาวบ้านที่เป็นลูกศิษย์ ก็ทำความสะอาดกวาดใบไม้อยู่ด้านนอกห่างจากกุฏิของหลวงพ่อประมาณ 50-80เมตร ซึ่งก็เป็นช่วงพลบค่ำย่ำเย็น อันเป็นปกติเช่นนี้ทุกวัน

    ในเย็นวันหนึ่งนั้น ชาวบ้านที่เป็นลูกศิษย์ขณะทำการกวาดใบไม้ทำความสะอาดรอบๆวัด ก็ได้เหลือบไปเห็นแสงไฟกองเพลิงกำลังลุกไหม้ในกุฏิของหลวงพ่อ กองไฟเหมือนไฟกำลังโหมไหม้กองใบไม้หรือท่อนไม่ซึ่งมีขนาดใหญ่พอสมควร แต่เป็นการมองเห็นจากหน้าต่างทะลุเข้าไปข้างใน จึงเห็นแค่ส่วนที่เป็นเปลวเพลิง จึงเกิดความตกใจ และเป็นห่วงหลวงพ่อ จึงได้วิ่งไปตามคนอื่นๆที่กุฏิพระลูกวัดใกล้ๆกันด้านข้างให้มาช่วยกันดับไฟ ซึ่งเมื่อทุกคนรับทราบ จึงเอาถังตักน้ำและต่างก็วิ่งกรูกันเข้ามาที่กุฏิหลวงพ่อ

    แต่สิ่งมหัศจรรย์คือเมื่อทุกคนเข้ามาถึง กำลังจะเข้าไปในกุฏิ ภายในกุฏิกลับไม่มีอะไร กลับมีเพียงหลวงพ่อ และเปลวเทียนและธูปที่จุดบูชาพระ หลวงพ่อได้ออกจากสมาธิและลุกขึ้นแล้วเดินเข้ามาสอบถามว่ามาทำไมกัน ทุกคนในที่นั้นก็ทำหน้างงๆและกล่าวกับหลวงพ่อว่า เมื่อสักครูเห็นว่ามีไฟกำลังลุกไหม้ในกุฏิหลวงพ่อ จึงตกใจพากันเอาถังตักน้ำใส่เอามาดับไฟ ในกุฏิหลวงพ่อ แต่พอมาถึงกลับไม่เห็นมีไฟไหม้ จึงตกใจและปลาดใจมาก

    หลวงพ่อกล่าวว่า ไม่มีอะไรหรอก พวกเธอกลับไปทำงานหรือไปทำธุระของเธอเถอะ หลวงพ่อจึงปิดประตูและกลับเข้ากุฏิไป ทุกคนจึงทะยอยกลับไปทำหน้าที่ของตน

    เรื่องราวดังกล่าวถูกกล่าวกล่าวถึงว่า หลวงพ่อเจริญกสินไฟ จนเกิดเป็นกสินปฏิภาคนิมิต ปรากฏ และเกิดอานุภาพแสดงออกมาให้ปรากฏนั่นเอง ซึ่งหลวงพ่อท่านสำเร็จกสินไฟ หรือเตโชกสินนั่นเองครับ

    ขอจบเรื่อง กสินไฟ ของหลวงพ่อไว้เท่านี้ครับ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 พฤษภาคม 2016

แชร์หน้านี้

Loading...