เทคนิคการรวม ธรรม เทพ จักรวาล ครั้งที่ 1

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย เดมีดี, 9 กันยายน 2011.

  1. J_Shaman

    J_Shaman สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +15
    รูปขันธ์ (กองรูป)

    หมายถึง สิ่งที่จะต้องสลายไป เพราะเหตุปัจจัยต่าง ๆ รูปประกอบจากธาตุ ๔ คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ และ ธาตุลม อันได้แก่ ร่างกาย โต๊ะ เก้าอี้ เป็นต้น ลองมาจำแนกดูแต่ละตัวอย่าง ร่างกายเราประกอบไปด้วยธาตุ 4 คือ

    1. ธาตุดิน ได้แก่ กระดูก เนื้อ หนัง เส้นผม เป็นต้น
    2. ธาตุน้ำ ได้แก่ น้ำเลือด น้ำหนอง น้ำเหลือง น้ำย่อย น้ำดี หรือ ของเสียที่เป็นของเหลวในร่างกาย เป็นต้น
    3. ธาตุลม ได้แก่ ลมหายใจเข้าและออก เป็นต้น
    4. ธาตุไฟ ก็คือ อุณหภูมิความร้อนในร่างกาย เป็นต้น

    แต่ความจริงแล้วการรับรู้ธาตุทั้ง 4 นั้น ต้องอาศัยจิต หรือตัวรู้ หรือสภาพธรรมที่มีลักษณะรู้ รู้สภาพของธาตุนั้น ๆ ซึ่งธาตุนั้นถือว่าเป็นสภาพธรรมเหมือนกัน แต่เป็นสภาพธรรมที่มีลักษณะไม่รู้ อ่าน ๆ ไป ก็อาจมีคนสงสัยได้ว่า จิตคืออะไร และสภาพธรรมคืออะไรล่ะ ก็จะขออธิบายย่อ ๆ เพียงว่า จิตคือตัวรู้ หรืออย่างที่กล่าวไปว่า สภาพธรรมที่มีลักษณะรู้ หรือคือการที่เรารู้ตัว นั่นเอง ส่วนสภาพธรรมที่มีลักษณะไม่รู้ ก็คือสิ่งที่มีอยู่จริงในโลกนี้ ยิ่งอธิบายอาจจะยิ่งงงกันไปใหญ่ ลองมาดูตัวอย่างให้เข้าใจยิ่งขึ้น ที่ว่าตัวรู้

    ยกตัวอย่างง่าย ๆ เช่น รู้ตัวว่าเห็นตัวหนังสือ รู้ตัวว่ากำลังอ่าน รู้ตัวว่ากำลังหายใจเข้า รู้ตัวว่ากำลังหายใจออก รู้ตัวว่าเบื่อ รู้ตัวว่าอ่านแล้วไม่ชอบ หรือ รู้ตัวว่าอยากจะเลิกอ่าน เป็นต้น

    ทีนี้มาดูถึงสภาพธรรมที่มีลักษณะไม่รู้ ตัวอย่างของสภาพธรรมที่มีลักษณะไม่รู้ เช่น สภาวะที่แข็ง สภาวะที่อ่อน (นิ่ม) สภาวะที่ร้อน สภาวะที่เย็น สภาวะตึง (เช่น การตึงกล้ามเนื้อ เป็นต้น) หรือ สภาวะที่ไหวหรือหย่อน เป็นต้น

    ก่อนที่จะไปไกลกว่านี้ เรากลับมายังเรื่องของรูป รูป คือสภาพธรรมที่มีลักษณะไม่รู้ เพราะรูปไม่สามารถรับรู้สภาพนั้น ๆ ได้ เช่น ธาตุดิน จะมีลักษณะแข็ง แต่ธาตุดินจะไม่สามารถรับรู้ตัวเอง ได้ว่ามีลักษณะแข็ง เป็นต้น หรือ ธาตุน้ำ ก็จะมีลักษณะอ่อนหรือนิ่ม ธาตุลมจะมีลักษณะตึงหรือหย่อน ส่วนธาตุไฟก็จะมีลักษณะร้อนหรือเย็น นี่จะเห็นได้ว่า รูปนั้น เป็นไปตามสภาพต่าง ๆ แต่ไม่สามารถรู้ลักษณะต่าง ๆ ได้

    ในตอนท้ายของบทความนี้ เราจะมาสรุปในเรื่องรูปกันอีกที สำหรับรูปนั้นจะเห็นได้ว่า รูปก็คือตัวเรานั่นเอง
     
  2. เดมีดี

    เดมีดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    383
    ค่าพลัง:
    +1,271
    การแปล การตีความ การสร้างประเด็น มันก็เป็นเพียง ส่วนหนึ่งของอุบาย ที่ให้มองเห็น ทะลุทะลวง ล้วงตับ ล้างใส้ ของ จิตวิญญาณ ที่มี และไม่มีอะไร ให้ ต้องยึดต้องค้น ต้องหา
    แต่ที่เราต้อง ค้นหาอยู่ ล้วนเป็น การส่งจิตออกนอก ทั้งสิ้น และ มันคือเรื่องสนุก ๆ ไปวัน ๆ ที่มันสวนทางกับการปฎิบัติแบบเอาเป็นเอาตาย แต่ก็ยังค้นไม่เจอ สิ่งที่ชอบ สิ่งที่ใช่ มันถึงเกิดการหา คนเก่ง ๆ มาเป็นครู มาสอน มาสั่ง คนนี้เสร็จก็เปลี่ยนเจ้า ไปมันทุกที่ ที่คิดว่าเก่ง สุดท้ายก็ยังไม่ได้อะไร นอกจาก นิมิตร ความฝัน จินตนาการ

    ของจริง คือการใช้กับชีวิตประจำวัน ดูข่าว ดูละคร ทุกสิ่งรอบตัว ล้วนนำมาฝึกฝนได้ เพราะ มันฝึกที่จิต ของเจ้าตัวเอง ไม่ใช่จิตของใคร
    ฝึกจิตให้เลิกคิด เลิกรัก เลิกหวัง เลิกฝัน ให้มันอยู่กับสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ในทุกขณะปัจจุบัน และ ลด ละ เลิก อันเป็นเหตุ ให้เกิดทุกข์ ทางจิต ชนิด แบบลืมตาใส ใส
    มองเห็นความทุกข์และ อย่าเข้าไปยึด (ที่เขียนมานี่ กำลังฝึกอยู่เหมือนกัน)

    ดังนั้น เทคนิค ของแต่ละท่านที่ผ่าน ประสบการณ์มา ก็ล้วนมีคุณค่าทั้งสิ้น โดยที่เจ้าตัวก็ยังไม่เห็นถึงคุณค่า แห่งการเปลี่ยนแปลงตนเองเลยก็ว่าได้
     
  3. เดมีดี

    เดมีดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    383
    ค่าพลัง:
    +1,271
    ดังนั้น การรวม ขององค์ประกอบทั้งสาม มันไม่ต้องไปหาจากไหนไกลเลย
    มันล้วนอยู่ในตัวตนของ มนุษย์นี่เอง ภายใต้กฎของ การเกิดและดับ มันมีปัจจัยและ เหตุ อันเป็นผล ที่ให้มาเกิดเป็นมนุษย์ ในปัจจุบัน นี้แล้วนั่นเอง

    ดังนั้น การรวมและการเห็น คือ การมองเห็น ตัวตนของตนเองขึ้นมา คือ เกิดขึ้น

    และ การลด ละ เลิก การเป็นตัวตนนั่นเอง

    ถ้าท่านเป็นคนหนึ่งที่ฝึก จิต ฝึกสมาธิ ท่านย่อมเข้าใจได้ว่า การมองเห็นตนเองได้เข้าใจทะลุ ปรุโปร่ง นั่น มันยากกว่าการมองออกไปสู่บุคคลอื่น ๆ ใช่หรือไม่ เพราะเรายังคงมองผ่าน ลูกตา ธรรมดาอยู่นั่นเอง เราถึงมองออกไปสู่ภายนอกตลอดเวลา แต่เมื่อฝึกจิต และต้องการมองข้างใน ถึงนิยมให้หลับตา เพราะลืมตา มันแสบลม 555

    แต่พอมองข้างใน สิ่งที่เห็น กลับกลายเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดการยึดติด นั่นเอง ถึงได้เกิด การเห็นธรรมแบบตนเอง เห็นตนเองเป็นเทพ และเห็นจักรวาลของฉัน

    เราไม่ได้บอกว่า สามสิ่งนี้ไม่มี แต่เราจะบอกว่า มันคือ เรื่องธรรมดา สามัญ ที่มันมีอยู่ ในตัวตนเอง อยู่แล้ว

    สิ่งที่เราเพิ่งรู้ มันก็เลยเกิดอาการตื่นเต้นเท่านั้น แค่นั้นเอง
     
  4. J_Shaman

    J_Shaman สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +15
     
  5. J_Shaman

    J_Shaman สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +15
     
  6. J_Shaman

    J_Shaman สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +15
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 กันยายน 2011
  7. J_Shaman

    J_Shaman สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +15
    ในทรรศนะของพระพุทธศาสนา ถ้าพูดอย่างตรงไปตรงมา

    ความรักยังเป็นเรื่องของอารมณ์ เป็นเรื่องในระดับโลกียวิสัย และ

    ความเมตตาก็เช่นกัน แต่ความรักมีขอบเขตที่แคบกว่าความเมตตา

    เพราะความรักนั้นมักเกิดขึ้นจำเพาะเจาะจงกับคนที่เรามีความเสน่หา เท่านั้น ส่วนความมีเมตตานั้นสามารถขยายขอบเขตไปจากคนที่เรารัก

    ไปจนถึงคนที่เราเกี่ยวข้อง ไปจนถึงคนที่เราร่วมชาติ ร่วมศาสนา

    ร่วมโลก ร่วมจักรวาลก็ว่าได้ ฉะนั้นความรัก และความเมตตาจึงต่างกัน

    ในแง่คุณภาพ และต่างกันในแง่ของขอบเขตอย่างที่กล่าวมานี้

    ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ ความเมตตานั้นสามารถพัฒนาได้อย่างไม่มี

    ขีดจำกัด แต่ความรักนั้นหากเรารักใครสักคนหนึ่ง เรามักจะหยุดอยู่แค่

    คนๆ นั้น จนกระทั่งว่า บางครั้งเราคิดว่าถ้าขาดคนที่เรารักเราพร้อมที่จะ

    จบชีวิตลงไป ความรักในชิงชู้สาวไป ๆ มาๆ กลับมาพร้อมกับความคับ

    แคบ รักปุ๊บ หวงปั๊บ ใครมายุ่งพร้อมที่จะฆ่าพ้อมที่จะจะปกป้อง

    ส่วนเมตตานั้นพอได้เมตตาแล้วและฝึกเมตตาให้มากขึ้น ๆๆๆ ยิ่งฝึก

    เมตตา ยิ่งขยายขอบเขตกว้างขวางออกไป จนขนาดว่าเมตตากระทั่ง

    ตนเอง ฉะนั้นในพระพุทธศาสนาจึงมีลักษณะจิตของพระอรหันอย่างหนึ่ง

    ว่า พระอรหันต์นั้นเป็นผู้ที่มี วิมริยาทิกตจิต แปลว่า "มีจิตใจไร้พรมแดน"

    เพราะท่านได้พัฒนาได้พัฒนาเมตตาให้สมบูรณ์ถึงที่สุดแล้ว จึงเป็นผู้มี

    จิตใจไร้พรมแดน
    เมตตาจึงกว้างขวางกว่าความรักอย่างไม่มีทางจะเทียบ

    กันได้



     
  8. เดมีดี

    เดมีดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    383
    ค่าพลัง:
    +1,271
    จริงด้วย
    บอกแล้ว เราไม่มีความรัก แต่เรามีเมตตา

    เมตตาธรรม ค้ำจุนโลก และ ก็ค้ำจุน เรา
     
  9. เดมีดี

    เดมีดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    383
    ค่าพลัง:
    +1,271
    ความรัก มันเป็นความหมาย ที่มีค่ายิ่ง คงไม่มีใคร ที่จะให้คนอื่นแบบส่งเดช ว่าฉันรักคุณ ฉันรักคุณ จึงต้องการบอกว่า ก่อนที่จะพูดอะไรออกไป ต้องกลั่นกรองออกมาด้วยว่า ความรักที่จะส่งให้นั้น มันมีค่าแค่ไหนสำหรับคนฟัง และในเวลาอะไร ที่ควรพูด คำ ๆ นั้น

    ดังนั้น ภาษา หรือ วลี ที่จะถ่ายถอดออกมา จึงมีความสำคัญ ว่าน่าเชื่อถือหรือไม่
    และแฝงไว้ด้วย อารมณ์ความรู้สึก

    ถ้าเราใช้ถูกที่ ถูกการณ์เวลา ถูกบุคคล มันก็จะมีค่า คุณอนันต์

    ไม่ผิด ถ้าหาก มนุษย์ยุคนี้ ฝึกฝนการมอบความรักให้แก่กัน แต่ คุณกำลังลืมไป

    ว่าการพูดพล่อย ๆ ออกไป แล้ว ไม่ได้มีความรู้สึก ดังนั้นอยู่จริง นั่นคือการ สร้างกรรมใหม่นั่นเอง

    ดังนั้น ควรสร้าง สัจจะ ของอารมณ์ ความรู้สึก และความเมตตา ความปรารถนาดี ออกมา ด้วยใจ จริง ๆ ไม่ใช่ เวอร์ชั่นของสังคม ยุคโลกแห่งความรักแบบจอมปลอม

    และ การจินตนาการ ว่า รัก ควรเรียนรู้ ก่อน ถึง คำว่า รัก และ คุณค่าความหมาย
    ที่เหมาะสม ว่าจะใช้ในโอกาส อันใด

    เป็นคนไทย ควรใช้สำนวนไทย ภาษาไทย ให้ถูกต้อง
     
  10. J_Shaman

    J_Shaman สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +15
    อานุภาพของจิตระยะสั้นและอานุภาพของจิตจิตใต้สำนึกจะอธิบายไว้ในวิธีการต่างๆ ในอำนาจจิตใจความรู้สึก Psychosomatic มีข้อความระบุว่าเป็นความสามารถที่จะมีอารมณ์จินตนาการหน่วยความจำและจะ; และพลังจิตใต้สำนึกมีข้อความระบุว่าเป็นส่วนหนึ่งของบุคลิกภาพของแต่ละบุคคลปกติในที่ทำงานกระบวนการทางจิตโดยไม่ต้องมีสติตื่นอยู่ภายใต้เงื่อนไขปกติ

    สารบัญ

    1
    วิธีอานุภาพของจิตและใจการทำงานของจิตใต้สำนึกไฟฟ้า
    2
    วิธีการใช้จิตใต้สำนึกเพื่อความสำเร็จ

    พลังใจคือจิตสำนึกของเราวิธีที่เราคิดว่า ใจเป็นคล้ายกับฤดูใบไม้ผลิที่ไหลอย่างต่อเนื่องอย่างไรก็ตามน้ำพุธรรมชาติไม่สามารถส่งน้ำจืดและขมมาจากการเปิดเดียวกันหรือผลผลิตทั้งเกลือน้ำและความสดใหม่ ดังนั้นจึงเป็นที่มีจิตใจและความคิดของตนก็ไม่สามารถที่เท่าเทียมกันคิดความคิดเชิงลบและบวกในเวลาเดียวกัน
    หนึ่งจะกฎอื่น ๆ

    ตั้งแต่ความคิดที่สะท้อนให้เห็นถึงความคิดนิสัยมันเป็นความรับผิดชอบของเราจึงจะมีอิทธิพลต่อจิตใจและสมองของเราบวกกับอารมณ์ความคิดและพลังงานเป็นปัจจัยครอบงำในใจของเรา พลังใจอยู่นอกเหนือความคิดเชิงบวกหรือพลังสมองมันเป็นความคิดที่เชื่อว่าสิ่งที่ดีกว่าคุณคิดว่าจะประจักษ์เป็นจริงของคุณ
    เนื่องจากอานุภาพของจิตนี้เป็นอำนาจของความคิดและความเชื่อและความคิดเหล่านี้และความเชื่อจะสร้างผลที่ได้จากของคุณตอนนี้คุณจะต้องการที่จะอยู่ตระหนักถึงการสะท้อนที่คุณกำลังคิด

    ตอนนี้กำลังคิดเป็นระบบดูอัลที่มีพลังของความคิด (สมอง) ของคุณและจิตใต้สำนึกของคุณ
    เราทุกคนมีอำนาจจิตใต้สำนึก; จะสามารถมีขนาดเล็กเป็นยิ้มที่เจ้านายของคุณในหวังของการปรับปรุงอัตราต่อรองการซื้อเพิ่ม

    มันสามารถเป็นวิธีการที่คุณไม่รู้ตัวจัดการสถานการณ์ว่าเหมาะสมหรือไม่ พลังของจิตใต้สำนึกที่มาจากความคิดและความเชื่อของพลังของความคิดของคุณของคุณ แต่คุณคิดและเชื่อว่าอำนาจเป็นสิ่งที่จิตใจของคุณจิตใต้สำนึกจะผลิต นี้จะกระทำอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหนึ่งนาทีในเวลา คิดว่าการหล่อเลี้ยงอย่างสม่ำเสมอด้วยพลังใจของคุณทุกคนจะเปิดใช้งานจิตใต้สำนึกของคุณในการสร้างความคิดเหล่านั้นและพลังงานไม่ว่าจะดีหรือไม่ดีเข้ามาในชีวิตของคุณ
    นี้เป็นวิธีการที่คุณกำลังในปัจจุบันและอนาคตจะถูกสร้างขึ้น

    พลังใจและจิตใต้สำนึกของคุณของคุณทำงานร่วมกันและแฟชั่นพวกเขาเป็นจริงของคุณ ลองใช้คู่ขนานจะช่วยให้คุณเห็นภาพนี้ทำงานอย่างไร พลังใจของคุณจิตใต้สำนึกจะคล้ายกับดินอุดมสมบูรณ์ที่ยินยอมให้ปลูกเมล็ดพันธุ์ใด ๆ ที่อยู่ภายในนั้น ความคิดนิสัยและความเชื่อของคุณมีเมล็ดที่ถูกหว่านอย่างต่อเนื่องและในที่สุดพวกเขาจะผลิตพืช ดังนั้นหากคุณพืชวัชพืชคุณจะได้รับวัชพืชถ้าผลไม้พืชคุณคุณจะได้รับผลไม้ ในคำอื่น ๆ ที่คุณเก็บเกี่ยวสิ่งที่คุณหว่าน
    ตอนนี้จิตสำนึกเป็นชาวสวนและมันเป็นพลังใจที่จะเลือกสิ่งที่มาถึงสวนด้านในของเราจิตใต้สำนึก

    แต่น่าเสียดายที่ส่วนใหญ่ของเราไม่ได้มีหัวแม่มือสีเขียวเพราะจากการขาดความรู้ของกฎหมายนี้จิตวิทยาอยู่เบื้องหลังความสำเร็จนี้และเนื่องจากความไม่รู้นี้เราได้รับอนุญาตทุกชนิดของเมล็ดทั้งดีและไม่ดีเพื่อป้อน ดังนั้นอำนาจใจของเราจิตใต้สำนึกความล้มเหลวอย่างชัดแจ้ง, สุขภาพไม่ดีและทุกชนิดของเคราะห์จะเป็นเพียงได้อย่างง่ายดายเช่นนั้นจะประสบความสำเร็จอย่างชัดแจ้งและความอุดมสมบูรณ์ แต่ก็ไม่สามารถที่ประจักษ์ทั้งในเวลาเดียวกันซึ่งเป็นเหตุผลที่จำเป็นที่จะต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่องในเชิงบวกจนกว่าจะมีดินอุดมสมบูรณ์ของการใช้พลังงานในใจของคุณจิตใต้สำนึก reaps ความอุดมสมบูรณ์เท่านั้น
    ที่ประสบความสำเร็จเป็นเพียงทางเลือกที่ห่างออกไป
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  11. J_Shaman

    J_Shaman สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +15
    ใจคือมีประสิทธิภาพมาก เพื่อเสริมสร้างพลังใจของคุณเราจำเป็นต้องเข้าใจความคิดและการใช้โปรแกรมจิตที่มีประสิทธิภาพจะช่วยให้คุณประสบความสำเร็จมากขึ้น

    สมองสามารถแบ่งออกเป็นสามระดับของการมีสติ; การจิตสำนึกที่ใจย่อยจิตสำนึกและจิตไร้สำนึก เมื่อเขียนโปรแกรมในระดับจิตทั้ง 3 ระดับจะต้องมีการจัดชิดสำหรับการเขียนโปรแกรมจิตที่ประสบความสำเร็จ ฉันแน่ใจว่าคุณมีประสบการณ์ความตั้งใจหรือเป้าหมายที่ใส่ใจและมันก็ไม่ได้ประจักษ์หรือมาบรรลุผล มันอาจจะมีรูปแบบที่จิตใต้สำนึกและ / หรือหมดสติปิดกั้นความสำเร็จของความตั้งใจใส่ใจของคุณ
    กุญแจสู่ความสำเร็จหรือความล้มเหลวมักจะเป็นที่รู้จักในระดับสติ

    ให้เราสำรวจต่อไปนี้เพื่อเสริมสร้างพลังใจและความสำเร็จในการเขียนโปรแกรมจิตของคุณ

    จิตสำนึก

    จิตสำนึกคือทุกอย่างที่เรามีความตระหนักใน; คิดวิเคราะห์การรับรู้การเรียนรู้และการสังเกตการจัดเก็บประสบการณ์การใช้ห้าความรู้สึกของเรา; มองเห็น, กลิ่นได้ยินสัมผัสและลิ้มรส จิตสำนึกเป็นตรรกะและเชิงเส้นและชอบที่จะเข้าใจว่าทำไมที่ไหนเมื่อใดอย่างไรและสิ่งที่ จิตสำนึกคือทุกอย่างที่อยู่ในสถานะที่ความคิดของเราตื่นว่าเราจะรู้ตัวหรือทราบได้อย่างง่ายดายสามารถนำเข้าการรับรู้หรือความคิดของเรา
    มนุษย์ได้ดำเนินงานจากจิตสำนึกประมาณ 5% ของเวลาที่



    ซึ่งเป็นที่ที่เราจะเริ่มต้นสำหรับการเขียนโปรแกรมจิต
    1.Create วิสัยทัศน์ของผลที่ต้องการเป็นบวก
    2.Intensify สีเสียงและความรู้สึกของผลลัพธ์ที่ต้องการนี​​้
    สีเพิ่มเติมพลังงานและความตื่นเต้นพลังงานมากขึ้นสำหรับการประสบความสำเร็จ
    3.Visualise ผลนี้เป็นถ้าเป็นตอนนี้เห็นมันรู้สึกว่ามันเชื่อ
    4.Strengthen ภาพนี้จนกว่าคุณจะมีความรู้สึกใช่ที่แข็งแกร่งที่เป็นเช่นนั้น ใช้เวลานานเท่าที่คุณต้องการดูรู้สึกได้ยินเชื่อมั่นในผลนี้ คุณรู้สึกว่าความเชื่อมั่นของเป้าหมายนี้
    ที่มีสีสันสวยงาม, เป้าหมายที่น่าตื่นเต้น
    5.Now ว่าคุณมีความแข็งแกร่งชัดเจนวิสัยทัศน์หนึ่งของเป้าหมายของคุณใส่นี้สดใสภาพที่มีสีสันในฟองอากาศและปล่อยให้ลอยไปในอนาคต
    6.Now ปล่อยให้ไปของวิสัยทัศน์ที่และปล่อยให้มันเป็น
    มันจะทำ



    จิตใต้สำนึก

    จิตใต้สำนึกเก็บความทรงจำของเราและเป็นอุปกรณ์ในการประมวลผลและเรียกคืนข้อมูลที่เก็บไว้ จิตใต้สำนึกที่มีการใช้งานระหว่างการนอนหลับและพยานความฝันของเรา จิตใต้สำนึกที่เป็นจริงห้องสมุดของภาพที่คุณได้เคยเห็นและจะดูดซับและจำทุกอย่างมีการสัมผัสกับทุกไม่ว่าคุณจะรู้ตัวหรือไม่ลงทะเบียน จิตใต้สำนึกที่ไม่สามารถบอกความแตกต่างระหว่างสิ่งที่เป็นจริงและสิ่งที่เป็นจินตนาการ
    ดังนั้นจะสนใจในสิ่งที่คุณอนุญาตให้เข้าไปในจิตสำนึกของคุณ

    จิตใต้สำนึกเป็นที่ที่เราถือความเชื่อของเรา อำนาจจิตใต้สำนึกอยู่ห่างไกลที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นและตอบสนองได้เร็วกว่าจิตสำนึก
    มนุษย์ได้ดำเนินงานจากจิตใต้สำนึกประมาณ 95% ของเวลาที่

    ตรวจสอบให้แน่ใจปรารถนาของคุณมีสติและความเชื่อจิตใต้สำนึกเป็น'ใน - ซิงค์'เมื่อการเขียนโปรแกรมทางจิตใจ

    จิตไร้สำนึกจิตไร้สำนึกคือไม่ จำกัด เวลาและพื้นที่ จิตไร้สำนึกโดยไม่ได้ตั้งใจจะย้ายส่วนต่างๆของร่างกายของเราและดำเนินการทางสรีรวิทยาทั้งหมดของเรา เป็นมนุษย์เราจะไม่ทราบของจิตไร้สำนึกของเราก็ดูเหมือนจะเป็นที่ส่วนที่เหลือ จิตไร้สำนึกเก็บความรู้ทั้งหมด (อดีตปัจจุบันและอนาคต) และบางครั้งเรียกว่า"สติส่วนรวม."เป็นไม่ จำกัด ประสบการณ์ของบุคคลหนึ่งจะเก็บข้อมูลสำหรับทุกสถานที่เวลาและประสบการณ์ของทุกคน
    มนุษยชาติคือ

    จิตไร้สำนึกเป็นสิ่งที่รู้ (สัพพัญญู) ทั้งหมดที่มีประสิทธิภาพ (การมีอำนาจทุกอย่าง) ทุกความคิดสร้างสรรค์ (omnificence) และการแสดงตลอดเวลาทุกที่ในเวลาเดียวกัน ก็ยังได้รับที่เรียกว่าหัวใจสากลหรือจิตใจของพระเจ้าซึ่ง pervades นี้จักรวาลทั้งหมด เรามีทั้งหมดที่เชื่อมต่อไปทุกอย่างและทุกคน ในการทำสมาธิลึกที่คุณอาจเข้าถึงหมดสติร่วมกันและการวาดจากภูมิปัญญาสากลและความรู้ของวัย
    ปรีชานอกจากนี้ยังเกิดจากใจสากล

    ขั้นตอนแรกเพื่อสร้างความเข้มแข็งให้อำนาจของจิตใจและการเขียนโปรแกรมที่ประสบความสำเร็จทางด้านจิตใจของคุณคือการตรวจสอบว่าเป้าหมายของคุณคือสอดคล้องกับความเชื่อและความคิดของคุณในระดับสติ
     
  12. J_Shaman

    J_Shaman สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +15
    สูงกว่า 70% ของความคิดของคนส่วนใหญ่เป็นเชิงลบหรือซ้ำซ้อน ความคิดเชิงบวกนำมาตอบสนองเชิงบวก; ผลยาหลอก หนึ่งในสามของการบำบัดทางการแพทย์เนื่องจากมีผลต่อการได้รับยาหลอก ไม่มีความคิดหรือความคิดเชิงลบมาไม่มีผล นี่คือผล nocebo

    เมื่อคุณไม่ได้บรรลุผลหรือเป้าหมายของคุณที่เป็นตัวบ่งชี้ที่ดีจิตสำนึกและจิตใต้สำนึกของคุณจะไม่ได้ชิด ความคิดและความเชื่อของคุณจะไม่ได้ชิด

    ขณะนี้คุณมี 2 ทางเลือก :
    1.Change เป้าหมายสติของคุณเพื่อให้สอดคล้องกับจิตวิญญาณของคุณนั่งสมาธิหรือคิดที่จะได้รับชัดเจน
    2.Access และแก้ไขจิตใต้สำนึกและรูปแบบการหมดสติของคุณและที่อาจจะถือคุณกลับจากการบรรลุความฝันของคุณ

    อะไรความเชื่อลึกของคุณคืออะไร ระบบความเชื่อของคุณไม่สนับสนุนเป้าหมายของคุณหรือไม่ คุณอาจจะไม่พร้อมที่จะตระหนักถึงความเชื่อของคุณ เพื่อสำรวจความเชื่อจิตใต้สำนึกของคุณคุณสามารถใช้การทำสมาธิหรือสะกดจิตตัวเองตราบเท่าที่คุณสามารถถือตัวเองในพื้นที่ของการรับรู้สำหรับการดำเนินการ คุณสามารถขอความช่วยเหลือจากผู้ประกอบการที่อาจใช้บางส่วนของเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพมากเหล่านี้ที่ค้นพบความเชื่อจิตใต้สำนึกและสติรู้
    1.Hypnosis
    2.NLP -- การเขียนโปรแกรม neurolinguistic (วิธีการที่รหัสสมองประสบการณ์ในการสร้างโปรแกรมที่กำหนดวิธีการที่เรามีพฤติกรรมและตอบสนองในโลก.)
    การบำบัดด้วยสาย 3.Time
    4.Meditation/Contemplation ของคำถาม
    5.EFT -- เทคนิคเสรีภาพทางอารมณ์
    Healing 6.Theta
    7.Rebirthing

    ... และอื่น ๆ อีกมากมาย

    แต่ละชั้นเป็นจิตบริสุทธิ์, สติจะได้รับและคุณจะกลายเป็นมีประสิทธิภาพมากขึ้น

    อำนาจของจิตใจของคุณจะมีความเข้มแข็งและการเขียนโปรแกรมจิตจะประสบความสำเร็จและทันที จะไม่มีการ จำกัด (จิตใต้สำนึก) ความเชื่อและจะมีไกล้กับใจสากล, สติสากลจิตสำนึกส่วนรวม

    วิวัฒนาการเป็นจิตสำนึกการขยายตัวของมนุษย์เพื่อให้เรามีอำนาจอาจมีการแสดงที่จะศักดิ์สิทธิ์ภายใน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กันยายน 2011
  13. เดมีดี

    เดมีดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    383
    ค่าพลัง:
    +1,271
    ชอบจัง วาทะของลายเซ็น...............
    ฝึกปรือ วิทยายุทธถึงไหนแล้วละ...............55555++++
    คิดถึง คิดถึง
     
  14. J_Shaman

    J_Shaman สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +15
    ทักษะทางจิตที่เกิดขึ้นกับผู้ปฏิบัติสมถะ-วิปัสสนากรรมฐานนั้น
    ถ้าเราสังเกตดูจะพบว่าเกิดขึ้นแทบทุกขั้นตอนของการฝึก
    เพราะทุกขั้นตอนของการฝึกก็จะฝึกทักษะเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทักษะดังกล่าวก็คือ
    รวมไปถึงทักษะในการแยกจิตออกจากพลังงานต่างๆเหล่านั้น
    ซึ่งทักษะเช่นนี้เกิดขึ้นตั้งแต่การฝึกในขั้นสมถะที่ผู้ปฏิบัติต้องฝึกแยกให้เห็นถึงระดับความสงบในภาวะของรูปฌานและอรูปฌานในระดับต่างๆ
    ซึ่งภาวะของฌานแต่ละระดับก็จะมีระดับพลังงานไม่เท่ากันและมีลักษณะไม่เหมือนกันด้วย
    ต่อมาเมื่อฝึกในขั้นวิปัสสนาก็เป็นการฝึกแยกจิตออกจากรูปและนาม
    จนจิตสามารถหลุดพ้นออกไปจากรูปและนามได้ กล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือเป็น จนในที่สุดไม่เหลืออะไรให้แยกอีก ไม่มีสิ่งที่จิตไปยึดเกาะอีก จนจิตพ้นไปจากความทุกข์ทั้งมวล ยิ่งแยกได้มาก ทักษะความชำนาญก็ยิ่งมาก ผลพลอยได้ก็คือ เมื่อแยกจิตออกจากสิ่งใดได้ก็ทำให้รู้ถึงธรรมชาติของสิ่งนั้น ตลอดทั้งองค์ประกอบและความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นในลักษณะต่างๆ ของแต่ละสิ่งที่แยกออกมา เมื่อรู้ถึงวิธีการแยก และรู้องค์ประกอบของรูปและนาม หรือสสารและพลังงานในแต่ละชนิดแล้ว ในทางพุทธเรียกว่า การสร้าง
    ยิ่งเป็นทักษะระดับสูงจะถึงขั้นใช้พลังจิตเปลี่ยนสสารเป็นพลังงาน
    เปลี่ยนพลังงานเป็นสสารได้

    การแยกและการประกอบนี้
    ถ้าจะกล่าวให้เข้าใจมากขึ้นก็สามารถกล่าวเปรียบกับการที่ถ้าเราเป็นนักเคมี หรือ
    เภสัชกร ทักษะสำคัญที่ต้องเป็นก็คือทักษะในการสกัดหรือแยกสาร
    เมื่อได้พืชสมุนไพรมาศึกษาก็ทำการสกัดแยกสารเคมีที่อยู่ในพืชออกมา
    แล้วทำให้สารนั้นบริสุทธิ์ ต่อมาก็ศึกษาถึงคุณสมบัติของสารเคมีที่สกัดได้
    ก็จะรู้ถึงคุณประโยชน์และโทษของสารเคมีนั้น
    เมื่อจะประกอบสารเป็นยาขึ้นมาใช้แก้ปัญหาสุขภาพก็นำสารเคมีหลายๆชนิดที่รู้คุณสมบัติแล้วมาประกอบกันในอัตราส่วนต่างๆกัน
    ก็สามารถทำได้ หรือถ้าเราเป็นวิศวกรด้านเครื่องจักรกล
    ก็ต้องรู้จักชิ้นส่วนของเครื่องยนต์ต่างๆ
    โดยต้องมาฝึกแยกชิ้นส่วนเครื่องจักรเครื่องยนต์จนรู้จักทุกชิ้น
    เมื่อจะประกอบชิ้นส่วนต่างๆเข้าด้วยกันก็สามารถทำได้
    และก็สามารถปรับปรุงสร้างเป็นเครื่องจักรแบบใหม่ๆ รุ่นใหม่ๆ ขึ้นมาได้ด้วย
    ถ้าเราเป็นนักเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ หรือโปรแกรมเมอร์
    ก็ต้องเรียนเรื่องภาษาคอมพิวเตอร์ ซึ่งก็จะรู้วิธีสร้างโปรแกรมใหม่ๆ
    รวมทั้งถอดรหัสโปรแกรมคอมพิวเตอร์ได้
    ทักษะที่เกิดจากการฝึกจิตในพุทธศาสนาเมื่อเทียบกับการเป็นนักวิทยาศาสตร์แล้ว
    ก็มีลักษณะที่คล้ายกัน ที่ต่างออกไปก็เป็นเพียงสิ่งที่ต้องการจะเรียนรู้
    สิ่งที่นำมาแยก นำมาสกัด นำมาประกอบเท่านั้น ในขณะที่นักเคมีสกัดสาร แยกสารเคมี
    ประกอบสารเคมี วิศวกรแยกชิ้นส่วนเครื่องจักร ออกแบบเครื่องจักรรุ่นใหม่
    โปรแกรมเมอร์ เขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ใหม่ๆออกมา
    ผู้ปฏิบัติสมาธิก็ฝึกแยกสภาวะอารมณ์ต่างๆ ที่เป็นพลังงานในตัวเองออกมาให้เห็นชัด
    จนกระทั่งแยกจิตออกไปจากสภาวะอารมณ์เหล่านั้นได้
    และเมื่อมีเหตุที่ต้องใช้พลังจิตประกอบพลังงานกับสสาร
    หรือพลังงานที่ต่างชนิดกันเข้าด้วยกัน
    ก็สามารถทำได้ตามความกำลังความสามารถในแต่ละเรื่องที่ตนถนัด

    ตัวอย่างในเรื่องการประกอบพลังทางจิตเข้ากับสสารวัตถุที่คนไทยเรารู้จักกันดีก็คือ
    การประจุพลังจิตลงในวัตถุมงคลต่างๆ
    ซึ่งวัตถุมงคลก็มีหลายประเภทตามลักษณะของพลังที่ประจุไว้
    เพราะคุณลักษณะของพลังที่ประจุไว้ไม่เหมือนกัน
    ซึ่งเปรียบได้กับโปรแกรมคอมพิวเตอร์คนละโปรแกรม แล้วก็ยังมีระดับของวัตถุมงคลด้วย
    เพราะถ้าได้ผู้ที่มีคุณธรรมสูงและมีพลังจิตเป็นผู้ประจุพลังลงไป
    คุณภาพและความบริสุทธิ์ของพลังก็จะยิ่งมีมาก
    ทักษะในการเชื่อมพลังทางจิตลงในวัตถุนี้
    ปกติแล้วเพียงฝึกในขั้นสมถะก็สามารถกระทำได้
    แต่อาจจะประกอบพลังได้ไม่ซับซ้อนเท่ากับผู้ที่บรรลุสภาวะจิตขั้นสูงกว่า
    เพราะถ้ายิ่งจิตไปถึงขั้นญาณทัสสนะแล้ว
    ความสามารถในการประกอบพลังทางจิตก็จะยิ่งมีมาก
    เพราะสามารถล่วงรู้วิธีการใช้พลังจิตเชื่อมพลังงานชนิดต่างๆได้อย่างละเอียดและลึกล้ำกว่าผูู้ที่ฝึกเพียงขั้นสมถะเท่านั้น
    เปรียบเทียบกันแล้วก็เหมือนกับถ้ารู้เพียงขั้นสมถะก็เป็นงานวิจัยในระดับปริญญาตรี
    แต่ถ้าถึงขั้นญาณทัสสนะก็เป็นงานวิจัยในระดับปริญญาเอก หรือสูงกว่านั้นเป็นต้น
    แต่ทว่าในเรื่องการประกอบหรือการสร้างฤทธิ์นี้
    ก็ไม่ใช่สิ่งจำเป็นสำหรับผู้ปฏิบัติที่จะต้องไปสร้างไปประกอบเสมอไป
    เพราะไม่ใช่จุดมุ่งหมายสูงสุดของพระศาสนา
     
  15. J_Shaman

    J_Shaman สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +15
    ล่วงรู้ความลับแห่งอดีต- ปัจจุบัน-อนาคต-รู้กรรม- รู้ธรรมะ” คือผู้ไม่ประมาทในชีวิต
    ผู้ไม่รู้คือผู้ประมาท เปรียบเหมือนบุคคลผู้ไม่รู้ว่าห<WBR>ลุมบ่อยู่ด้านหน้า จึงเดินไปด้วยความประมาท ส่วนผู้รู้เหตุต้นผลกรรม คือผู้รู้อุปสรรคและปัญหาที่จะเ<WBR>กิดขึ้นก่อนแล้วจึงหลบเลี่ยงและ<WBR>แก้ไขเอาชนะได้อย่างรู้เท่าทันทกั<WBR>น ซึ้งเป็นการปฏิบัติตามพุทธพจน์วว่<WBR>า “จงยังความไม่ประมาท ให้ถึงพร้อมเถิด” ร่วมปลดล๊อคชีวิต พิชิตดวงชะตา ด้วยตัวเองยึดสติเป็นพื้นฐานของความเป็นจริงเพื่อความรู้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 กันยายน 2011
  16. J_Shaman

    J_Shaman สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +15
    หายใจเข้าลึกๆ หายใจออกยาวๆ สบายๆ

    รู้ลมหายใจออก ลมหายใจเข้า

    พร้อมกับรู้อยู่ว่าใจไม่สงบ

    แต่พยายามรู้เฉยๆ รู้อยู่เฉยๆ

    ไม่สงบ ไม่เป็นไร อย่ายินดี อย่ายินร้าย อย่ายึดมั่นถือมั่น

    สิ่งที่เราพยายามคือ ระลึกรู้ลมหายใจ รู้เฉยๆ ด้วยใจดี ใจเมตตา

    เอาระบบดูเล่น ดูลิงป่า หายใจเข้าลึกๆ หายใจออกยาวๆ

    หน้าที่คือการเจริญสติ ไม่ต้องทำอะไรกับจิตไม่สงบ

    วางเฉยกับความไม่สงบ

    สติเกิดเมื่อไร ความสงบก็หายไปเอง
     
  17. เดมีดี

    เดมีดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    383
    ค่าพลัง:
    +1,271
    วันนี้ ก็มาถึงฝังฝัน ภาษาจิต ที่ออกมาจากจิต ง่าย ๆ เรียบ ๆ ปฎิบัติได้ แบบสบาย ๆ จิต

    ในการปฎิบัติจริง ๆ แล้ว มันไม่มีอะไรเลย เรียบง่าย เบาสบาย กายเห็นในกาย จิตเห็นในจิต
    กระเทาะเปลือกของจิตวิญญาณเข้าไปที่ละหลืบ ที่ละหลืบ รื้อค้น กิเลส ที่แอบซ่อนไว้
    ออกมาทิ้งให้หมดจด จนตัวเราเบา

    วัดได้อย่างไร เจออะไร รีบมาดูจิต ไปจับมาเป็นอารมณ์ ไหม ลดทอนระยะเวลาของการเกิดขึ้นของอารมณ์...........

    ตามดู และรีบตัด ฉับ ฉับ ................

    (วันนี้เริ่มค่อยผ่อนคลายหน่อย งานเริ่มใกล้เสร็จ แก้ปัญหาเบื้องต้นได้ ก็พอเริ่มเห็นเวลานิดหนึ่ง........)
     
  18. J_Shaman

    J_Shaman สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +15
    จิตกับสมาธิต่างกันไหมหนอ
     
  19. J_Shaman

    J_Shaman สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +15
    นิยามความหมายของคำว่า Shamanicในศาสนาพุทธนิกาย ซกเช็น (Dzogchen)
    ซก "อุดม" เช็น "ใหญ่" คำสอนว่าด้วยการเข้าถึงสภาวะจิต<WBR>เดิมแท้ที่บริสุทธิ์กระจ่างที่เ<WBR>รียกว่า ริกปะ จิตเดิมแท้นี้ไม่มีความเป็นทวิลั<WBR>กษณ์ ไม่มีการประเมินค่าหรือปรุงแต่ง<WBR> บริสุทธิ์กระจ่างดุจท้องฟ้าที่ไ<WBR>ร้เมฆหมอก

    จิตเป็นต้นเหตุของสุขและทุกข์ ถ้าได้รับการฝึก จิตจะบริสุทธิ์เยี่ยงทองคำและสา<WBR>มารถช่วยเยียวยาจิตใจของผู้อื่น<WBR> ถ้าไม่ได้รับการฝึก จิตก็คือต้นตอของความทุกข์ทั้งม<WBR>วล
     
  20. J_Shaman

    J_Shaman สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +15
    นิยามความหมายของคำว่า Shamanicในศาสนาพุทธนิกาย ซกเช็น (Dzogchen)
    ซก "อุดม" เช็น "ใหญ่" คำสอนว่าด้วยการเข้าถึงสภาวะจิต<WBR>เดิมแท้ที่บริสุทธิ์กระจ่างที่เ<WBR>รียกว่า ริกปะ จิตเดิมแท้นี้ไม่มีความเป็นทวิลั<WBR>กษณ์ ไม่มีการประเมินค่าหรือปรุงแต่ง<WBR> บริสุทธิ์กระจ่างดุจท้องฟ้าที่ไ<WBR>ร้เมฆหมอก

    จิตเป็นต้นเหตุของสุขและทุกข์ ถ้าได้รับการฝึก จิตจะบริสุทธิ์เยี่ยงทองคำและสา<WBR>มารถช่วยเยียวยาจิตใจของผู้อื่น<WBR> ถ้าไม่ได้รับการฝึก จิตก็คือต้นตอของความทุกข์ทั้งม<WBR>วล
    ในบทสาธนะบทหนึ่งมีข้อความว่<WBR>า "ซังเจเซ็มแจนยินตังมิน" พระพุทธเจ้ากับสัตว์โลกไม่แ<WBR>ตกต่างกัน ข้อความนี้หมายความว่า โดยเนื้อแท้แล้ว พระพุทธเจ้ากับสัตว์โลกเป็น<WBR>อย่างเดียวกัน สัตว์โลกมีพุทธภาวะภายในไม่<WBR>ว่าจะเป็นสัตว์ประเภทใด ใหญ่หรือเล็ก แต่ด้วยความไม่รู้ เราจึงเป็นเพียงสัตว์โลกที่<WBR>ยังเห็นแก่ตัว ที่ปราศจากความรักความกรุณา<WBR>แก่ผู้อื่นอย่างจริงใจ ที่ไม่มีญาณหยั่งรู้เช่นพระ<WBR>พุทธเจ้า เพราะญาณทัศนะของเรามัวหมอง<WBR>ด้วยการคิดถึงแต่ตัวเองเป็น<WBR>สำคัญ
     

แชร์หน้านี้

Loading...