เตรียมพร้อมวันเปลี่ยนโลก!

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย mead, 17 กรกฎาคม 2010.

  1. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    จบแล้วเหรอครับน้อง Dalink
    ถ้ายังไม่จบขอต่อด้วยนะครับ

    ขอบคุณครับ

    ..........................
     
  2. dalink

    dalink เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    402
    ค่าพลัง:
    +2,436
    ตอนถัดไปยาวมากๆ เหมาะกับวันหยุดแบบผ่อนคลาย สบายๆ ค่ะ



     
  3. dalink

    dalink เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    402
    ค่าพลัง:
    +2,436
    วิธีไปถึงดินแดนแห่งพุทธะ (ตอน 6)

    รูปลักษณะที่ไม่สามารถจะมองเห็นได้
    [​IMG]

    <TABLE height=1 width="80%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=justify width="65%" colSpan=3 height=15></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=justify width="65%" colSpan=3 height=10></TD></TR><TR><TD align=justify colSpan=3 height=16>ถ : ร่างกายของคนปกติสามารถกลายเป็นพุทธะได้หรือไม่? </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=justify width="65%" colSpan=3 height=10></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=justify width="65%" colSpan=3 height=15>อ : ทำไมจะไม่ได้ล่ะ ฉันบอกเธอแล้วเมื่อวานนี้ว่า ไม่มีใครเป็นคนธรรมดาๆเลย พุทธะอยู่ภายในหัวใจของเธอ ธรรมชาติแห่งพุทธะอยู่ภายในตัวเธอ ผู้ที่อาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้ คือพุทธะ เข้าใจไหม? จริงๆแล้ว เธอก็คือพุทธะ ไม่มีใครเป็นคนธรรมดาเลย เพียงแต่ว่าเธอไม่ต้องการจะรู้จักตัวเธอเอง และเธอลืมไปว่า เธอเป็นพุทธะ คนธรรมดาอยู่ที่ไหนบ้าง? ฉันไม่เห็นมีคนธรรมดาอยู่เลย พุทธะอยู่ภายในหัวใจของเธอ หมายความว่า ผู้ที่อยู่ภายในตัวเธอก็คือพุทธะ สิ่งที่อยู่ข้างนอกเป็นเพียงแค่บ้าน แต่เสื้อผ้าเท่านั้น เราคือพุทธะ เธอไม่รู้หรอกหรือ? </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=justify width="65%" colSpan=3 height=10></TD></TR><TR><TD align=justify colSpan=3 height=16>ถ : ในการนั่งสมาธิบางครั้งสิ่งที่ฉันเห็นอาจเป็นความจริงขึ้นมาได้ ฉันได้เป็นดินแดนแห่งพุทธะมีต้นไม้ที่งามสง่าอยู่ 7 ต้น ทุกๆ คนบอกว่าต้นเหล่านี้เป็นต้นไม้ที่มีค่า ใต้ต้นไม้ฉันเป็นสิ่งมีชีวิตอยู่ 7 ตน ทั้ง 7 ตนนี้มีความหมายว่าอย่างไร? ฉันจะขึ้นไประดับชั้นที่สูงลึกซึ้งกว่านี้ได้อย่างไร? </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=justify width="65%" colSpan=3 height=10></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=justify width="65%" colSpan=3 height=15>อ : ใครถามคำถามนี้ เธอได้รับการประทับจิตแล้วหรือยัง? </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=justify width="65%" colSpan=3 height=10></TD></TR><TR><TD align=justify colSpan=3 height=16>ถ : ยัง! </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=justify width="65%" colSpan=3 height=10></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=justify width="65%" colSpan=3 height=15>อ : ยังไม่ได้รับการประทับจิตหรือ โอเค! เอาละฉันพยายามอธิบายตามแนวทางของเธอๆ อาจจะไม่เข้าใจคำศัพท์ของฉันๆ จึงต้องถามก่อนว่าเธอได้รับการประทับจิตแล้วหรือยัง เธอนั่งสมาธินานเท่าไรแล้ว? เธอควรจะพยายามปฏิบัติต่อไปแล้วเธอก็จะรู้ว่าผู้ยิ่งใหญ่ทั้ง 7 นั้นคือใคร เธอต้องบอกให้ฉันรู้ว่าพวกเขามีลักษณะอย่างไร ฉันจึงจะบอกเธอได้ว่าพวกเขาเป็นใคร พวกเขามีแสงหรือเปล่า? มีแสงอยู่รอบๆ ตัวเขาหรือเปล่า? ลองบอกฉันมาซิ </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=justify width="65%" colSpan=3 height=10></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=justify width="65%" colSpan=3 height=15>ถ : ฉันไม่มีอาจารย์ ฉันเป็นโรคเบาหวาน ดังนั้นฉันก็เลยไม่สามารถนอนหลับได้ในตอนกลางคืน ฉันได้เรียนรู้มาจากหนังสือเล่มหนึ่งว่าฉันจะนอนหลับได้ดีขึ้น ถ้าฉันนั่งสมาธิก่อนเข้านอน นับแต่นั้นมา ฉันก็เริ่มหัดนั่งสมาธิเป็นพักๆ มาเป็นเวลา 4 -5 ปีแล้ว มีอยู่ครั้งหนึ่ง ฉันเห็นสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งฉันคิดว่าคงเป็นสวรรค์แดนปัจฉิม ฉันจะเรียกที่นี่ว่าโลกวิญญาณก็แล้วกันเป็นโลกแห่งวิญญาณ ฉันรู้ว่ามันเป็นโลกวิญาณโลกหนึ่ง ในโลกวิญญาณแห่งนี้ การติดต่อสื่อสารไม่ได้ใช้คำพูด แต่ใช้คลื่นสมอง ตอบสนองโดยการส่งผ่านอีเล็คตรอน

    ครั้งหนึ่ง ฉันได้เห็นดินแดนที่ห่างไกลออกไปมากพื้นดินเป็นสีทอง มีคนจำนวนมากกำลังฟังคำสอนแห่งสัจธรรม และพวกเขาแต่งตัวด้วยชุดของราชวงศ์ต่างๆ กัน ตอนนั้นฉันอยู่ห่างออกมามาก แต่ฉันก็สามารถรู้สึกได้ว่านี่คือสวรรค์แดนปัจฉิม ฉันเป็นต้นไม้ 7 ต้นอยู่ใกล้ๆ ตัวฉัน มีใบคล้ายๆ กับต้นชะเอมแต่ใบใสหมด ฉันยังหยิบเอามาไว้ในมือเพื่อสำรวจดูเลยเพราะฉันอยากรู้อยากเห็นมาก จากนั้นฉันก็เห็นบุคคล 7 คน ซึ่งมีทั้งพระภิกษุ, พระของทางเต๋า และยังมีคนอื่นๆ อีกซึ่งฉันเรียกชื่อไม่ถูก คนเหล่านั้นคล้ายกับเป็นอมตะกำลังนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่ง ฉันไม่เคยมีประสบการณ์แบบนี้มาก่อนในชีวิตจริงๆ เลย

    เดิมฉันเป็นชาวคริสต์เพราะฉะนั้นฉันจึงรู้สึกแปลกๆ นอกจากนี้ ทุกครั้งที่ฉันนั่งสมาธิฉันก็จะบีบนวดตามร่างกายโดยอัตโนมัติ และคอยมองหาจักร มือทั้งสองของฉันจะทำท่าทางขึ้นมาโดยอัตโนมัติ มือของฉันจะเคลื่อนไหวเองและแสดงท่าทำมือซึ่งฉันก็ไม่เข้าใจ

    </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=justify width="65%" colSpan=3 height=10></TD></TR><TR><TD align=justify colSpan=3 height=16>อ : เธอไม่สามารถบังคับมันได้หรือ? </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=justify width="65%" colSpan=3 height=10></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=justify width="65%" colSpan=3 height=15>ถ : ถ้าฉันบังคับให้มันหยุด มันก็หยุด อย่างไรก็ดี เนื่องจากฉันเป็นชาวคริสต์ปรากฏการณ์นี้จึงเป็นสิ่งที่แปลก และไม่สามารถอธิบายได้ด้วยคัมภีร์ของทางคริสต์ ดังนั้น ฉันก็เลยค้นหาเอกสารอ้างอิงจากคัมภีร์ของโรงเรียนเวทมนตร์ลี้ลับหลายแห่ง ซึ่งมีเรื่องเกี่ยวกับการแสดงท่าทำมือต่างๆ ในคัมภีร์ เหล่านั้นฉันก็พบว่าท่าทำมือหลายอันที่คล้ายคลึงกันฉันยังคงเสาะแสวงหามาจนกระทั่งทุกวันนี้ แต่อย่างไรก็ตาม ฉันหวังว่าจะได้พบอาจารย์ที่ดีๆ สักคนในไม่ช้าที่สามารถอธิบายได้ว่า มันเกิดอะไรขึ้นกับฉัน</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=justify width="65%" colSpan=3 height=10></TD></TR><TR><TD align=justify colSpan=3 height=16>อ : โอเค! เธอเคยอ่านคัมภีร์ของนิกายเทียนไท หรือเปล่า?</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=justify width="65%" colSpan=3 height=10></TD></TR><TR><TD align=justify colSpan=3 height=16>ถ : ไม่เคย!</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=justify width="65%" colSpan=3 height=10></TD></TR><TR><TD align=justify colSpan=3 height=16>อ : เธอจะสามารถหาคำอธิบายได้ในคัมภีร์ของนิกายเทียนไท เวลาเราฝึกปฏิบัติไปจนถึงระดับหนึ่งไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นระดับที่สูงมาก จักระของระบบพลังงานภายในของเราจะถูกเปิดออก บางครั้งจะมีกระแสพลังอย่างหนึ่งไหลเวียนอยู่ภายในทำให้ร่างกายของเราเคลื่อนไหวได้ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องพิเศษอะไร! อย่าคิดว่าเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่มาก! นี่เป็นคำตอบของคำถามแรกของเธอ คำถามที่สองเกี่ยวกับการเห็นภาพของเธอนั้นนั่นเป็นระดับที่สูงขึ้นกว่านั้นพอควร ที่เรียกกันว่าแดนบริสุทธิ์ แต่มันเป็นแค่ครั้งเดียวหรือ? เธอเคยเห็นระดับนี้อีกบ้างหรือเปล่า?</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=justify width="65%" colSpan=3 height=10></TD></TR><TR><TD align=justify colSpan=3 height=16>ถ : ฉันเห็นระดับอื่นๆ บางทีฉันยังเห็นพวกผีด้วย มีผีตนหนึ่งของร้องให้ฉันสวดท่องคัมภีร์ให้เขาฟัง แต่ฉันบอกไปว่าฉันสวดไม่ได้ </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=justify width="65%" colSpan=3 height=10></TD></TR><TR><TD align=justify colSpan=3 height=16>อ : ช่างเป็นผีที่ดีจริงๆ! หาได้ยากมาก! โอเค เรื่องมันเป็นเพราะว่าเธอยังไม่ได้รับการประทับจิตจากอาจารย์ เธอจึงไปรู้วิธีที่จะแยกระหว่างของจริงและของปลอม อย่างไรก็ตามอาจารย์จะบอกเคล็ดลับที่จะใช้แยกนะ โอเค? นี่ค่อนข้างจะเป็นเคล็ดลับที่เบื้องต้นมันมีวิธีที่ดีกว่านี้อีกหลายวิธี แต่ฉันบอกเธอไม่ได้ เพราะว่าเธอยังไม่ได้ประทับจิต และเธอก็ไม่สามารถจะเข้าใจอยู่ดีเพราะว่าระบบมันต่างกัน ฉันสามารถบอกเคล็ดลับนี้ได้ภายใน 5 นาที มันเป็นอย่างนี้คือ ถ้าเวลาที่เธอกลัวมาหลังจากได้ไปเห็นระดับต่างๆ เห็นพุทธะหรือเห็นแดนพุทธะแล้ว

    ร่างกายของเธอรู้สึกผ่อนคลายมาก จิตใจของเธอสูงขึ้นมีความปลื้มปีติ ก็หมายความว่าสิ่งที่เธอเห็นหรือสถานที่ที่เธอไปนั้นเป็นจริง ถ้าเวลาที่เธอกลับมาหลังจากได้ไปเห็นอะไรแล้วเธอรู้สึกง่วงซึม อ่อนเพลีย ไม่มีเรี่ยวแรงก็หมายความว่าเธอถูกนำไปผิดทางไปสู่โลกของอสูร....สิ่งลวงตา... มันจะดูดพลังของเธอไป เข้าใจไหม? นอกจากนี้ เวลาเธอเห็นตัวตนบางอย่าง ถ้าดวงตาของเขาใหญ่และสดใส และมีความเมตตามากก็หมายความว่าผู้ที่เธอเห็นนั้นเป็นสิ่งที่แท้จริง ถ้าดวงตาของเขาไม่มีแสง ไม่มีความเมตตานั่นก็คือผีปีศาจที่แปลงตัวมา โอเค? มันมีทั้งปรากฏการณ์หรือโลกที่แท้จริงและก็ของปลอม เวลาที่พระศากยมุนีพุทธเจ้ากล่าวว่า “ปรากฏการณ์ทั้งหมดทุกอย่างไม่ใช่ของจริง! ท่านหมายความถึงปรากฏการณ์ในโลกของเราที่นี่ เข้าใจไหม? ไม่ใช่ว่าไม่มีปรากฏการณ์ที่เป็นจริงข้างบนนั้น มันจะไม่มีโลกที่แท้จริงได้อย่างไร? ถ้าอย่างนั้นเราควรจะไปไหนกันล่ะ? ถ้าทุกอย่างมันว่างเปล่าไปหมด เราก็จะถูกแช่แข็งตายน่ะซี! เข้าใจไหม? อ : (อาจารรย์อธิบายเป็นภาษาอังกฤษ) ชายคนนั้นบำเพ็ญสมาธิมา 5 ปีแล้วโดยที่ไม่มีอาจารย์ เขาบอกว่าเขาตั้งใจจะแสวงหาอาจารย์สักคน ถ้าเขาพบอาจารย์ที่ดีๆ เอาละแม้ว่าจะไม่มีอาจารย์เขาก็พยามยามทำสมาธิเอง และบางครั้งเขาก็ประสบกับสิ่งแปลกๆ หลายอย่าง บางครั้งเขาเห็นพระพุทธเจ้า บางครั้งเขาก็เห็นภูตผีปีศาจ ฯลฯ และครั้งหนึ่งเขาเห็นสิ่งที่เรียกว่าดินแดนพุทธะ และเห็นบางคนที่นั่นเห็นพระสงฆ์ทางพุทธ 7 องค์นั่งสมาธิอยู่ใต้ต้นไม้ เขาสงสัยว่า เนื่องจากเขาเป็นคนคาทอลิก เป็นชาวคริสต์ แล้วทำไมเขาจึงเห็นดินแดนของพุทธะ? ฉันก็บอกเธอแล้วว่าดินแดนของพุทธะ หรืออาณาจักรของพระเจ้านั้นก็มีคุณลักษณะคล้ายๆกันนั่นแหละต่างคนก็เรียกชื่อมันต่างกัน เช่นคุ้กกี้, พายน้ำผึ้ง ฯลฯ ฉันอธิบายไปแล้ว ฉะนั้นถึงแม้ว่าเธอจะเป็นชาวพุทธ เป็นชาวคาทอลิค เป็นชาวคริสต์ หรือเป็นมุสลิม ถ้าเธอถือปฏิบัติตามระเบียบวินัยที่เรากล่าวไว้ และทำสมาธิด้วยวิธีเฉพาะอย่างหนึ่ง เธอก็จะไม่ผลแบบเดียวกัน แล้วเธอก็จะรู้ว่าพระเจ้า หรือธรรมชาติพุทธะนั้นเป็นสิ่งเดียวกัน เต๋าก็คล้ายคลึงกัน มันเป็นสิ่งเดียวเท่านั้น เธอจะรู้ว่าสวรรค์และแดนพุทธะมีลักษณะอย่างเดียวกันเลย เธอสามารถจะไปถึงแดนพุทธะตะวันออก หรือแดนพุทธะตะวันตกก็ได้ มันก็เป็นแดนของพุทธะทั้งนั้น
    ก็เหมือนกับเธอเข้าไปในห้องต่างๆ ในบ้านของเธอมันก็เป็นบ้านของเธอทั้งนั้นเพียงแต่ความต้องการใช้งานต่างกันไป บางครั้งเธออยากจะไปห้องนอน บางครั้งเธออยากจะไปห้องนั่งเล่น นอกจากนี้เขายังอยากรู้ว่าพระพุทธเจ้ากล่าวว่าปรากฏการณ์ทุกย่างเป็นสิ่งที่ไม่แท้จริง หรือไม่ หรือปรากฎการณ์ที่แสดงให้เห็นนั้น และโลกต่างๆ นั้น เป็นสิ่งที่ไม่จริงใช่หรือไม่? ฉันก็บอกเขาไปว่ามันมีทั้งสิ่งที่จริงและสิ่งที่ไม่จริง ถ้าเธอตื่นขึ้นจากการทำสมาธิแล้วร่างกายของเธอผ่อนคลายดี และสุขใจ ก็หมายความว่าสิ่งที่เธอเห็นและสถานที่ที่เธอได้ไปมาเป็นความจริง แต่ถ้าเธอรู้สึกง่วงซึมเซา อ่อนเพลีย หมดแรง ก็หมายความว่าเธอถูกนำไปผิดทางไปสู่โลกอสูร...สิ่งลวงตา... มันดูดพลังของเธอไป แต่ไม่ว่าในกรณีใดๆ ถ้าเธอฝึกปฏิบัติโดยไม่ได้รับการชี้แนะแนวทางบางครั้งมันก็อันตราย แต่ถ้าหัวใจของเธอบริสุทธิ์มาก ความคิดความตั้งใจของเธอถูกต้องมากเธอก็จะได้รับการปกป้องค้มครองจากเทวดา จากโพธิสัตว์ทั้งหลาย จงพยายามรักษาความคิดความตั้งใจของเธอให้บริสุทธิ์และจริงใจ และก็ใช้ชีวิตอย่างมีคุณธรรม
    แม้ว่าจะไม่มีอาจารย์ เธอก็จะได้รับการคุ้มครอง เมื่อไรที่เธอพบกับใครบางคนที่น่าหวาดกลัว จงสวดอธิษฐานถึง พุทธะที่สูงสุด หรือถึงพระเจ้าผู้ทรงสรรพานุภาพ แล้วสิ่งที่น่ากลัวนั้นก็จะหายไป ตกลงไหม? แต่ถ้าเธอได้รับการประทับจิตจากอาจารย์ท่านหนึ่ง อาจารย์ท่านนั้นก็จะมีหน้าที่จะบอกให้เธอรู้รายละเอียดทุกอย่างเกี่ยวกับหนทางที่จะเดินไปนั้น และวิธีที่จะจัดการกับสิ่งเหล่านี้ วิธีที่จะแยกของจริงออกจากของปลอม วิธีที่จะป้องกันตัวเธอเอง วิธีที่จะจัดการกับสิ่งเหล่านี้ วิธีที่จะแยกของจริงออกจากของปลอม วิธีที่จะป้องกันตัวเธอเอง วิธีที่จะเรียกหาความช่วยเหลือ และใครที่เธอควรจะเรียก มันจะจำเพาะเจาะจงและปลอดภัยกว่า

    </TD></TR></TBODY></TABLE>


     
  4. dalink

    dalink เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    402
    ค่าพลัง:
    +2,436
    ต่อค่ะ

    <TABLE height=1 width="80%" border=0><TBODY><TR><TD align=justify colSpan=3 height=16>ถ : ฉันขอขอบคุณพระเจ้า ที่ฉันได้พบอาจารย์ท่านหนึ่งเข้าแล้วในชีวิตฉันนี้ ฉันรู้ว่าท่านเป็นอาจารย์ท่านหนึ่งแน่ๆ </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=justify width="65%" colSpan=3 height=10></TD></TR><TR><TD align=justify colSpan=3 height=16>อ : โอ้! ฉันคิดว่าเธอได้พบกับอาจารย์ที่ยิ่งใหญ่แล้วเสียอีก </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=justify width="65%" colSpan=3 height=10></TD></TR><TR><TD align=justify colSpan=3 height=16>ถ : ท่านหมายความว่า จิตวิญญาณ หรือพระเจ้านั้น เป็นธาตุแท้ของร่างกายเราหรือ? </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=justify width="65%" colSpan=3 height=10></TD></TR><TR><TD align=justify colSpan=3 height=16>อ : ใช่, ใช่แล้ว พระจิตศักดิ์สิทธิ์ก็คือแก่นสารของร่างกายเรา เรามาจากสิ่งนั้น และเวลาเธอมีปัญญาสูงขึ้น เธอก็จะรู้ว่าร่างกายนี้เป็นจิตวิญญาณด้วย มาจากแรงสั่นสะเทือนที่สูงกว่านี้ มันถูกอัดแน่นกลายมาเป็นรูปร่างนี้เท่านั้นเอง ดังนั้นถ้าเธอบำเพ็ญไปสูงๆมาก หรือมีอาจารย์ที่บำเพ็ญระดับสูง ซึ่งเวลาเธอนั่งสมาธิอยู่ที่นั่นเธอจะมองไม่เห็นอาจารย์ท่านนั้น แต่เธอก็ต้องบำเพ็ญให้สูงขึ้นด้วย หรือว่าอาศัยพระพรของอาจารย์ท่านนั้น เธอจะไม่เห็นอาจารย์ท่านนั้นเลย เห็นแต่มีแสงอยู่เท่านั้น และแสงนี้ก็มีมากมายจนห่อหุ้มผู้ฟังทั้งหมดนี้ ทั้งห้องประชุม เธอจะไม่เห็นใคร เธอจะเห็นว่าไม่มีอะไรอยู่เลยที่จริงแล้วมันว่างเปล่าจริงๆ นั่นก็คือที่เราเรียกว่าความว่างเปล่า แต่ในความว่างเปล่านั้นเธอก็รู้สึกอิ่มเอมใจ รู้สึกพึงพอใจ ไม่ใช่ว่าความว่างเปล่านั้นทิ้งให้เธอว่างเปล่าและโดดเดี่ยวเหมือนกับความว่างเปล่าธรรมดาของโลกนี้ ยิ่งเธอว่างเปล่าในแง่ทางด้านจิตใจเธอก็ยิ่งอิ่มเอมใจและมีปัญญามากขึ้น มันแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ภาษาทางโลกนี้มันแย่จริงๆ ทุกคนถึงได้เข้าใจผิดว่าศาสนาพุทธเป็นลัทธิของการเป็นศูนย์ เป็นความไม่มีอะไรเลย เป็นความว่างเปล่า มันไม่ใช่อย่างนั้น ถ้าทุกสิ่งทุกอย่างกลับไปสู่ความเป็นศูนย์ กลับไปเป็นไม่มีอะไร ถ้าเป็นอย่างนั้นพระพุทธเจ้าก็จะไม่เน้นหรอกให้เธอรักษาศีล เป็นคนดี มีคุณธรรม มันจะมีประโยชน์อะไรล่ะ? เพราะว่าเธอก็จะกลายเป็นไม่มีอะไรอยู่ดี กลายเป็นความว่างเปล่าไป เข้าใจไหม? เปล่าเลย มันไม่ใช่อย่างนั้น
    </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=justify width="65%" colSpan=3 height=10></TD></TR><TR><TD align=justify colSpan=3 height=16>ถ : ท่านหมายความว่า ความจริงที่อาจารย์ทั้งหลาย ที่พระพุทธเจ้า ที่พระเยซูบอก นั้นเป็นสิ่งเดียวที่ว่าพระเจ้าคือหนึ่งเดียว? </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=justify width="65%" colSpan=3 height=10></TD></TR><TR><TD align=justify colSpan=3 height=16>อ : ใช่, ฉันหมายความว่าอย่างนั้น และเธอก็รู้อยู่แล้ว </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=justify width="65%" colSpan=3 height=10></TD></TR><TR><TD align=justify colSpan=3 height=16>ถ : จริงหรือไม่ที่ มันไม่จำเป็นจะต้องเป็นชาวพุทธเพื่อที่จะได้รับประโยชน์จากคำสอนของพระโคตมะ และพระพุทธเจ้า? </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=justify width="65%" colSpan=3 height=10></TD></TR><TR><TD align=justify colSpan=3 height=16>อ : จริง ไม่จำเป็นต้องเป็นชาวพุทธอย่างเป็นทางการหรอก ชาวพุทธก็คือผู้ที่ถือปฏิบัติตามคุณงามความดี คือผู้ที่ปฏิบัติตามสิ่งที่พระพุทธเจ้าสั่งสอนอย่างถูกต้องแน่นอน ไม่จำเป็นจะต้องไปวัดหรือว่ายึดถือพระสงฆ์เป็นที่พึ่ง ถ้าเธอทำดีและใช้ชีวิตเป็นไปตามคำสอนของพระพุทธเจ้า แบบนั้นเธอก็เป็นชาวพุทธแล้ว ไม่จำเป็นต้องมาตั้งชื่ออะไรหรอก </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=justify width="65%" colSpan=3 height=10></TD></TR><TR><TD align=justify colSpan=3 height=16>ถ : ท่านจะสามารถพิสูจน์ได้อย่างไรว่าชีวิตที่มีร่างกายนี้ หลังจากสิ้นสุดไปแล้วจะยังมีชีวิตอยู่อีก? </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=justify width="65%" colSpan=3 height=10></TD></TR><TR><TD align=justify colSpan=3 height=16>อ : เออ ถ้าเธอยังไม่ได้รู้แจ้งเกี่ยวกับเรื่องนี้ ก็ควรจะรู้แจ้งเสียก่อนแล้วเธอก็จะเห็นได้เอง บางคนสามารถจะมองเห็นสิ่งเหล่านี้ โดยที่ไม่ได้มีการรู้แจ้งอย่างเป็นทางการด้วย เป็นเพราะจากความรู้สึกของพวกเขารับรู้ได้มีความสามารถในการมองเห็นที่วิเศษแบบมีตาทิพย์ และบางคนก็ต้องมีอาจารย์เพื่อที่จะมีตาทิพย์ หลังจากรู้แจ้งไปถึงระดับหนึ่งแล้ว เธอก็จะได้รู้สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดเองมันง่ายมากที่จะพิสูจน์แต่ว่าเราต้องฝึกบำเพ็ญ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่สัมผัสไม่ได้... เป็นของความรอบรู้ภายในที่ไม่สามารถจะมองเห็นได้ มันเป็นความรู้เกี่ยวกับธรรมชาติทางวัตถุ เป็นความรู้เกี่ยวกับธรรมชาติที่มองไม่เห็น ถ้าเธออยากจะพิสูจน์ความรู้ที่มองไม่เห็นนี้ เธอก็ต้องไปศึกษาทฤษฎีไปเรียนโรงเรียนที่มองไม่เห็นและฝึกวิธีที่มองไม่เห็น เราไม่สามารถจะใชัวัตถุมาพิสูจน์สิ่งที่ไม่เป็นวัตถุได้ แต่เราสามารถจะพิสูจน์มันได้ด้วยวิธีอื่นที่ต่างออกไป </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=justify width="65%" colSpan=3 height=10></TD></TR><TR><TD align=justify colSpan=3 height=16>ถ : อะไรคือวิธีของท่านในการได้รับการรู้แจ้ง และจะมีช่วงเวลาเฉพาะอะไรไหมที่เราจะรู้สึกว่ามันเกิดขึ้น? </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=justify width="65%" colSpan=3 height=10></TD></TR><TR><TD align=justify colSpan=3 height=16>อ : ไม่ใช่ วิธีของฉันไม่มีวิธีอะไร ในเวลาที่มีการถ่ายทอดนั้นเธอเพียงแต่นั่งอยู่ตรงนั้นและฉันก็จะนั่งอยู่ตรงนั้นด้วย เราจะไม่ทำอะไรเลย ไม่พูดคำใดๆ ไม่ขยับตัวแม้แต่นิ้วเดียวแต่เราจะได้รับแสง และเราจะได้รับการรู้แจ้ง เราสามารถออกจากร่างกายนี้ไป เราสามารถไปเที่ยวในสวรรค์ หรืออย่างน้อยเราจะสามารถเห็นแสงแห่งสวรรค์หรือได้ยินวาจาแห่งสวรรค์ ได้ฟังคำแนะนำสั่งสอนของพระเจ้าและก็มีปัญญามากขึ้นทุกวัน ธรรมวิถีที่ฉันถ่ายทอดให้ไม่ได้เป็นวิธีอะไร เพราะฉะนั้น ฉันจึงไม่สามารถจะเขียนให้เธอได้ ฉันได้แต่เปิดมันให้แก่เธอแต่ละคนแบบที่มองไม่เห็น และไม่มีการทำอะไร ฉันทำโดยที่ไม่ได้ทำ ถ้ามีอะไรที่เกี่ยวข้องกับการกระทำเกี่ยวกับความตื่นเต้น เกี่ยวกับการเคลื่อนไหว มันก็ยังเป็นของโลกแห่งวัตถุและรูปร่าง เพราะฉะนั้นวิธีของเราจึงเป็นวิธีที่ไม่เป็นวัตถุเป็นวิธีที่ไม่มีรูปร่าง แต่มันสามารถถูกถ่ายทอดได้สามารถรับมันได้ สามารถมีมันเป็นเจ้าของมันได้
    ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น? ก็เพราะว่าการรู้แจ้งนั้นอยู่ภายในตัวเธอเอง แสงอยู่ภายในตัวเธอ ธรรมชาติพุทธะอยู่ในตัวเธอ อาณาจักรของพระเจ้าอยู่ในตัวเธอ ฉันเพียงแต่ชี้มันให้เธอว่า อยู่นี่ มองทางนี้แล้วเธอจะเห็น เข้าใจไหม? บางครั้งเธอมีแว่นตาอยู่ในมือของเธอ แล้วเธอก็มองหาไปทั่ว ฉันจึงบอกว่ามันอยู่นี่ อยู่ทางนี้ ฉะนั้นมันจึงไม่ใช่วิธีอะไร เธอมีมันอยู่แล้ว เชื่อฉันสิไม่มีวิธีใดที่จะสามารถนำเธอไปสู่การรู้แจ้งได้ เว้นแต่ว่าเธอจะต้องรู้จักธรรมชาติของเธอเอง และได้ติดต่อกับมันเองนั่นเป็นวิธีเดียวเท่านั้น วิธีใดๆ ที่ทำให้เธอได้เห็นธรรมชาติพุทธะในทันที เห็นอาณาจักรแห่งสวรรค์ทันที นั่นก็คือธรรมวิถีกวนอิม นั่นคือวิธีที่ถูกต้อง เธอจะเรียกชื่อมันว่าอะไรก็ได้แล้วแต่เธอจะต้องการมัน แต่มันไม่มีวิธีอะไร
    มันเป็นเพียงพลังของพระเจ้าเท่านั้นที่ลงมาสู่ร่างกายที่บริสุทธิ์และได้รับการคัดเลือกแล้ว และก็เปิดพลังพระเจ้าของตัวเธอเอง พระเจ้านั่นเองที่เป็นผู้ช่วยเหลือพระเจ้า พุทธะนั่นเองที่ช่วยเหลือพุทธะ พุทธะนั่นเองที่ทำให้พุทธะรู้แจ้ง มันเป็นพุทธะที่อยู่ในตัวเธอที่เลือกที่จะถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมา พุทธะในตัวฉันและพุทธะในตัวเธอเป็นหนึ่งเดียวกัน
    เพราะว่าเธอยังไม่รู้จักมัน พุทธะในตัวเธอจึงต้องปรากฏร่างมาในร่างภายนอกร่างหนึ่งและปลุกให้มันตื่นขึ้นมา แต่เป็นตัวเธอเองนั่นแหละที่ปลุกตัวเองขึ้นมา เป็นธรรมชาติพุทธะในตัวเธอที่เลือกเวลา นาฬิกาปลุกมันส่งเสียงแล้ว เพราะฉะนั้นจงตืนขึ้น เข้าใจไหม? มันยากนะ ฉันจะไม่สอนอะไรเธอเลย เป็นตัวเธอเองนั้นแหละที่สอนตัวเอง เป็นพุทธะภายในตัวเธอที่ตื่นขึ้นมาและได้ตระหนักว่าเธอเป็นใคร แล้วก็เริ่มทำงานด้วยความสามารถของตัวเธอเอง ด้วยปัญญาของตัวเธอเอง ดังนั้นหลังจากนั้นต่อไป เธอก็ตระหนักว่าไม่มีใครเป็นอาจารย์ทุกคนเท่าเทียมกันหมด ทุกคนมีศักยภาพอย่างเดียวกันเพียงแต่เธอลืมวิธีที่จะใช้มัน คนที่จำได้ คนที่รู้ก็จะเตือนให้รู้ก็เท่านั้นเอง ถ้าเธอมีเงินอยู่ในกระเป๋าของเธออยู่แล้วฉันก็บอกเธอว่าเงินอยู่ตรงนี้ไง ฉันไม่ได้ให้อะไรเธอเลย ฉันเพียงแต่เตือนให้เธอระลึกถึงสิ่งที่เธอลืมไปแล้ว ดังนั้น จึงไม่จำเป็นที่จะต้องใช้วิธีใดๆ เงินนั้นมันเป็นของเธออยู่แล้ว
    </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=justify width="65%" colSpan=3 height=10></TD></TR><TR><TD align=justify colSpan=3 height=16>พิธีกร : แต่ผู้เป็นอาจารย์เป็นผู้เปิดประตู เปิดจิตปัญญาให้เราจริงๆใช่ไหม? </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=justify width="65%" colSpan=3 height=10></TD></TR><TR><TD align=justify colSpan=3 height=16>อ : เอ้อ, เธอจะพูดอย่างนั้นก็ได้ แต่แน่นอนละมันเป็นงานของฉัน ฉันจะอ้างความดีความชอบจากเรื่องนั้นไม่ได้ แต่ทรัพย์สมบัตินั้นมีอยู่แล้วภายในตัวเธอ ถ้าเธอไม่มีทรัพย์สมบัติ มันก็ไม่สำคัญว่าฉันจะเปิดประตูกว้างแค่ไหน มีกุญแจมากมายสักกี่ดอก มันก็จะไม่มีอะไรอยู่ภายใน เข้าใจไหม? เธอเป็นบุคคลที่สูงมากอยู่แล้ว เป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่และมีศักยภาพสูงมากอยู่แล้ว ฉันเพียงอยากจะให้เธอได้รู้จักตัวเองว่าเธอยิ่งใหญ่เพียงใด และก็ทิ้งความทุกข์ยาก ทิ้งความโง่เขลาไม่รับรู้ไป </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=justify width="65%" colSpan=3 height=10></TD></TR><TR><TD align=justify colSpan=3 height=16>ถ : สวรรค์ แดนพุทธะ และพุทธะนั้นเป็นเพียงสิ่งที่คิดขึ้นมาในใจเราหรือ? ทุกคนเห็นแดนพุทธะในรูปแบบที่แตกต่างกันไป ไม่มีการดำรงอยู่ที่จับต้องได้แบบนี้ในความเป็นจริงหรือ? </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=justify width="65%" colSpan=3 height=10></TD></TR><TR><TD align=justify colSpan=3 height=16>อ : โอ มันไม่ได้เป็นผลิตผลของการคิดวาดภาพเองเองหรอก ดินแดนบางแห่งเป็นสิ่งลวงตา เนื่องจากเกิดประสาทหลอน เวลาเธอขาดอ็อกซิเจน เวลาที่เธอเหน็ดเหนื่อยอ่อยเพลีย เวลาที่เธอติดยาเสพติดหรือแอลกอฮอล หรือกำลังมีความทุกข์ทรมาน เธอก็มีอาการประสาทหลอนได้จริงๆ ดินแดนเหล่านี้ไม่จริง และเธอไม่สามารถจะกลับไปสู่ดินแดนนั้นได้อีก แต่สิ่งที่เรียกว่าแดนของพุทธะและสวรรค์ที่แท้จริงนั้น มีตัวตนที่ไม่สามารถจะมองเห็นได้จริงๆ และเธอสามารถจะกลับไปอีกเมื่อใดก็ได้หลังจากนั้น ถ้าดินแดนนั้นเป็นจริง เธอจะสามารถไปที่นั่นได้หลายครั้ง ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเห็นดินแดนที่ต่างกัน ลูกศิษย์ของฉันหลายคนเห็นดินแดนเดียวกัน เพราะว่ามันมีดินแดนเยอะแยะมากมาย ฉะนั้นก็แน่นอนที่บางคนอาจจะไปที่นั่น บางคนไปที่นี่ ก็เหมือนกับเรามีประเทศต่างๆอยู่มากมายในโลกนี้ บางคนไปอเมริกา บางคนไปอังกฤษ แบบนั้นมันก็แค่แน่นอนอยู่แล้ว ไม่ต้องสงสัย แต่ประเทศอังกฤษก็มีอยู่จริงๆ และคนสองคนก็สามารถไปที่นั่นได้ภายในเวลาเดียวกัน
    </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=justify width="65%" colSpan=3 height=10></TD></TR><TR><TD align=justify colSpan=3 height=16>ถ : ในโลกนี้มีจิตวิญญาณต่างๆอยู่ หรือว่าเป็นแต่เพียงปรากฏการณ์ทางจิต ที่ไม่เกี่ยวข้องกับระดับของจิตวิญญาณที่สร้างขึ้นในใจของเรา? </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=justify width="65%" colSpan=3 height=10></TD></TR><TR><TD align=justify colSpan=3 height=16>อ : มีจิตวิญญาณอยู่ จิตวิญญาณคืออะไร? พวกเหล่านี้คือวิญญาณที่ถูกขังอยู่ไม่ได้รับการหลุดพ้นไม่เป็นอิสระ เราคือวิญญาณที่ถูกจับขังอยู่ในร่างกายเปล่านี้อยู่ในขณะนี้ หลังจากที่เราจากโลกนี้ไป เราก็จากร่างนี้ไป แต่ไม่ได้หมายความว่าเราเป็นอิสระหลุดพ้นแล้วอย่างสมบูรณ์ มันยังมีร่างกายอื่นที่กักขังวิญญาณของเราอยู่อีก เหมือนกับบ้านหลังหนึ่งมีหลายประตู ตอนที่ฉันไปเยี่ยมเรือนจำแห่งหนึ่งมันมีประตูอยู่ประมาณ 30 บาน เป็นประตูเล็กๆ ประตูเหล็ก มันจะถูกเปิดแล้วก็ล็อคทันทีหลังจากที่ฉันผ่านประตูนั้นไป ฉันเดินผ่านประตูทั้ง 13 บานนั้นเข้าไปเยี่ยมนักโทษ แล้วฉันก็ต้องเดินผ่านประตูทั้ง 13 บานนั้นเพื่อจะกลับออกไปอีก ถ้าเจ้าหน้าที่เรือนจำเปิดประตูสุดท้ายแล้วก็เปิดประตูบานใหญ่ด้านนอกอีกก่อนที่ฉันจะกลับมาสู่โลกที่เป็นอิสระอีกครั้ง

    ก็คล้ายๆ กันกับเวลาเราจากร่างกายเนื้อนี้ไป ก็ไม่ได้หมายความว่าเราเป็นอิสระจากร่างอื่นอย่างสมบูรณ์แล้ว เรายังมีร่างอื่นอยู่อีก ดังนั้นวิญญาณที่เราเห็นในบางครั้งด้วยตาอย่างอื่น หรือคนอื่นเห็นด้วยตาทางจิต พวกเหล่านี้ก็คือวิญญาณที่ถูกขังอยู่ในกายทิพย์ บางทีพวกเขาก็ล่องลอยไปมาบางทีก็ทำเรื่องวุ่นวาย บางทีก็ไม่ทำ
    </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=justify width="65%" colSpan=3 height=10></TD></TR><TR><TD align=justify colSpan=3 height=16>ถ : พระสงฆ์ที่ระดับสูงบางองค์สามารถเห็นอดีตและอนาคตได้ หมายถึงชีวิตของคนเราถูกกำหนดไว้แล้ว และมันยากที่เราจะเปลี่ยนชะตาชีวิตของเราหรือ? </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=justify width="65%" colSpan=3 height=10></TD></TR><TR><TD align=justify colSpan=3 height=16>อ : การเห็นอดีตและอนาคตไม่ได้เป็นเรื่องที่ยากมาก มันง่ายมาก พวกนี้เป็นเพียงระดับที่ต่ำมากของการพัฒนาไม่มีอะไรที่จะเอามาโอ้อวดและภาคภูมิใจไปหรอก ลูกศิษย์ของฉันทุกคนได้รับการเตือนไม่ให้บอกอดีตและอนาคตของคน ทำให้คนอื่นหัวเราะเยาะตัวเธอว่าระดับของเธอยังต่ำมาก สิ่งที่เรียกว่าโชคชะตาของเรานั้นสามารถเปลี่ยนแปลงได้จากการมานะพยายาม จากคุณความคิด และจากพลังของการทำสมาธิของเรา แต่เปลี่ยนไปได้ถึงบางระดับเท่านั้น ถ้าเปลี่ยนหมด เธอก็ต้องตาย เธอจะไม่มีข้ออ้างที่จะอยู่ในโลกนี้ต่อไปถ้าเธอไม่มีกรรมแล้ว เธอก็ต้องจากไป เพราะฉะนั้นบางครั้งจึงมีการติดต่ออะไรนิดหน่อยโดยอาศัยกรรม เพื่อที่เธออาจจะยังคงอยู่และทำอะไรต่อไปเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ของเธอ </TD></TR></TBODY></TABLE>



    *จบตอน 6 พรุ่งนี้จะมาต่อเป็นตอนสุดท้าย ตอนที่ 7 ค่ะ*
     
  5. dalink

    dalink เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    402
    ค่าพลัง:
    +2,436
    วิธีไปถึงดินแดนแห่งพุทธะ(ตอน 7)

    <TABLE height=1 width="80%" border=0><TBODY><TR><TD align=justify colSpan=3 height=16>
    การล้างบาปที่แท้จริง


    </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=justify width="65%" colSpan=3 height=10></TD></TR><TR><TD align=justify colSpan=3 height=16>ถ : การประทับจิตซึ่งยกเลิกกรรมในอดีตของคน ต่างจากการล้างบาปของทางคริสต์ซึ่งขจัดความผิดของบาปที่มีมาแต่เดิมอย่างไร? </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=justify width="65%" colSpan=3 height=10></TD></TR><TR><TD align=justify colSpan=3 height=16>อ : ใช่อย่างนั้นหรือ? มันขจัดจริงหรือ? แล้วทำไมเธอยังต้องไปสารภาพบาปทุกวันทิตย์ด้วยล่ะ? เธอไม่ได้รู้สึกว่าบาปถูกขจัดไปด้วยการล้างบาป การล้างบาปที่แท้จริงมาจากบุคคลที่เป็นเหมือนพระคริสต์ อย่างเช่นนักบุญจอห์น แบ็บติสต์ อย่างพระเยซูคริสต์ มาจากหลังของการกำจัดบาปไม่ใช่จากการทำอาการ ก็เหมือนกับฉันเซ็นเช็คแต่ว่าไม่มีเงินในธนาคาร มันแตกต่างจากการเซ็นเช็คของฉันโดยที่มีเงินในบัญชีธนาคาร

    การล้างบาปเป็นประเพณีที่สวยงามในศาสนาคริสต์ เช่นเดียวกับในพุทธศาสนาเราก็มีการล้างบาป เราเรียกว่าการถือพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง และเวลาที่เธอทำอย่างนั้นพวกเขาจะอ่านออกเสียงดังๆ หลังจากที่เธอถือพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งแล้วกรรมของเธอจะถูกชำระล้างออกไปหมด เธอจะไม่ไปเกิดในนรกและไปเกิดเป็นสัตว์หรือเป็นอะไรอีกแต่ฉันก็ยังเห็นมีหลายคนยังไปนรกอยู่ เธอจะทำอย่างนั้นโดยใช้แต่เพียงคำพูดหรือโดยมีพิธีการอะไรไม่ได้หรอก จะต้องมีพลังพระเจ้าที่ไม่สามารถมองเห็นได้อยู่เบื้องหลังด้วยเพื่อชำระล้างเธอ เพราะว่าบาปเป็นสิ่งที่มองไม่เห็น

    เธอไม่สามารถจะถูกล้างโดยพิธีการ โดยรูปแบบต่างๆ และเสียงมันต้องเป็นพลังที่สามารถจะมองเห็นอย่างหนึ่งในการที่จะล้างสิ่งที่มองไม่เห็น ฟังแล้วมีเหตุผลสำหรับเธอไหม? ใช่แล้ว มันต้องสมเหตุสมผลในทางปฏิบัติ เราจะตาบอดแล้วก็เชื่อถือตามทุกอย่างที่คนพูดไปอย่างเดียวไม่ได้ เราจะถูกหลอกถูกล้อว่าเป็นตัวตลก เป็นคนโง่

    แต่ไม่มีข้อสงสัยที่หลังจากเธอสารภาพบาปของเธอกับใครสักคนแล้ว บางทีเธอก็อาจจะรู้สึกสบายใจขึ้นนิดหน่อย แต่แล้วเธอก็ทำบาปอีกและเธอก็ยังไม่รู้สึกว่าความเบิกบานยินดีอะไร

    เวลาที่พระเยซูล้างบาปให้ผู้คน ท่านชำระล้างบาปของคนจริงๆ และเวลาที่นักบุญจอห์นล้างบาปให้คน เขาก็ชำระล้างให้คนจริงๆเช่นกัน ฉะนั้นพวกเขาจึงสามารถเห็นแสงจากสวรรค์ ตอนที่พระเยซูได้รับการล้างบาปจากนักบุญจอห์น ท่านเห็นแสงลงมาจากสวรรค์เหมือนกับนกพิราบ ในเวลาที่ทำการประทับจิตเธอก็จะเห็นแสงทำนองนี้เหมือนกันอย่างน้อยที่สุดก็ทำนองนี้

    เพราะฉะนั้นเธอก็จะรู้ว่าเธอได้รับการชำระล้างแล้วและก็รู้ว่าเธอกำลังติดต่อกับสวรรค์อยู่ ไม่อย่างนั้น แล้วเธอจะรู้ได้อย่างไร? และเธอก็จะรู้สึกบรรเทาเบาบางลงไปทันที เหมือนกับภูเขาหล่นลงไปจากบ่าของเธอแล้ว เหมือนกับก้อนหินถูกยกออกไปจากใจเธอแล้ว

    นั่นคือสัญญาณที่แท้จริงของการชำระล้างและการทำให้บริสุทธิ์ ส่วนอีกอย่างเป็นแค่การพูดและพิธีกรแบบหนึ่งเท่านั้น มันไม่ได้ยกบาปดั้งเดิมทั้งหลายออกไปโดยแค่การทำพิธีล้างบาปเท่านั้น ถ้าพระหรือบาทหลวงนั้นรู้แจ้งในระดับที่สูงมากและมีพลังอำนาจมากจริงๆ ก็ใช่ แต่ถ้าไม่เป็นแบบนั้นก็ไม่ใช่การล้างบาปจริงๆ




    </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=justify width="65%" colSpan=3 height=10></TD></TR><TR><TD align=justify colSpan=3 height=16>ถ : ทำไมการฝึกปฏิบัติการหายใจจึงขัดกับธรรมวิถีของท่าน? </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=justify width="65%" colSpan=3 height=10></TD></TR><TR><TD align=justify colSpan=3 height=16>อ : ก็เพราะว่าในร่างกายของเรามีกระแสอยู่ 2 ชนิด ชนิดหนึ่งเรียกว่ากระแสขับเคลื่อนซึ่งสร้างความร้อนในร่างกาย ดูแลการไหลเวียนของโลหิตและระบบการย่อยอาหาร ซึ่งพวกนี้ได้รับการช่วยเหลือสนับสนุนจากการหายใจ ทีนี้ถ้าเราไปบังคับควบคุมลมหายใจเราก็จะทำให้ระบบที่เป็นระเบียบอยู่แล้วของเราวุ่นวายไป พระเจ้าสร้างร่างกายของเราให้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์เรียบร้อยอยู่แล้ว อะไรที่ต้องทำก็ได้รับการดูแลเรียบร้อยแล้วไม่จำเป็นต้องไปยุ่งให้มันวุ่นวายไปหมด

    ทั้งหมดที่เราอยากจะทำก็คือการปลดปล่อยวิญญาณของเราให้เราเป็นอิสระ ไม่ใช่ไปยุ่งกับระบบของร่างกายของเราบางครั้งมันก็ทำให้เกิดอันตรายขึ้นมา นอกจากนี้ลมหายใจก็เป็นสิ่งที่ไม่จีรังยั่งยืนด้วย เวลาเธอนอนหลับเธอก็ไม่รู้ไม่ได้ระวังเรื่องการหายใจ เวลาเธอเป็นลมหรือ เวลาที่เธอมีอุบัติเหตุ เธอหมดสติไป เธอก็ไม่รู้เรื่องการหายใจ แล้วตอนนั้นเธอจะฝึกบำเพ็ญได้อย่างไร? เธอจะยกระดับวิญญาณของเธอได้อย่างไร ในตอนนั้น? วิธีของเราเป็นวิธีที่ทำให้วิญญาณของเธอมีสติรู้ตัวอยู่ตลอด แม้ยามหลับ มีอุบัติเหตุ เวลาที่หมดสติ ในระหว่างที่มีภัยพิบัติ ก็จะมีสติรู้ตัวอยู่เสมอ เพื่อจัดการกับปัญหาของเธอ จัดการกับธุรกิจของเธอ ดูแลเรื่องการตัดสินใจของเธอ เธอปลุกวิญญาณของเธอเองให้ตื่นขึ้น เราปลุกเจ้านายของบ้านให้ตื่นขึ้นมาและให้เขาทำงานไป แล้วเขาก็จะทำงานไปตลอด 24 ชั่วโมงโดยที่เราไม่ต้องคิดและแม้แต่จะสวดขอก็ตาม

    เพราะว่าผู้เป็นอาจารย์ตื่นมาแล้ว พุทธะ พระจิตศักดิ์สิทธิ์ภายในตัวเราได้ตื่นขึ้นมาแล้ว ตัวตนที่แท้จริงของเราน่ะ เข้าใจไหม? โดยที่ไม่ต้องไปฟังสมอง....คอมพิวเตอร์โง่ๆนั้น ดังนั้นเราจะทำทุกอย่างอย่างถูกต้อง จะโดยที่รู้หรือไม่รู้เรื่องนี้ก็ตาม เราจะถูกต้องเสมอเพราะว่าเจ้านายมาควบคุมเองแล้วไม่ใช่คนรับใช้
    ถ้าเราไปวุ่นวายอยู่กับการหายใจของเราหรือสิ่งที่เรียกกันว่าจักรของร่างกายใดๆ ก็ตาม เราก็จะไปแทรกแซงกับระบบร่างกายเท่านั้น และมันอาจจะทำให้เกิดภาพลวงหรือภาพหลอน แต่ไม่มีอะไรที่เป็นจริงและเราจะไม่ได้พัฒนาปัญญาอะไรเลยด้วยสิ่งเหล่านี้ เราจะไม่มีวันมีปัญญามากขึ้นฉันเคยลองพยายามแล้ว และฉันก็เคยเห็นคนหลายคนที่เป็นสุดยอดขอสิ่งที่เรียกว่าการควบคุมลมหายใจแล้ว ก็ยังต้องมาหาฉันเพื่อจะได้รับปัญญา

    ฉันสามารถแจ้งชื่อคนเหล่านั้นให้เธอทราบได้ บางคนที่ฝึกปฏิบัติการควบคุมลมหายใจกับอาจารย์ชาวจีนที่มีชื่อเสียงมากที่ฉันบอกชื่อไป สามารถไปถึงระดับที่ไม่มีการหายใจแล้ว เขาสามารถอยู่ได้โดยไม่มีการหายใจ แล้วบุคคลนั้นก็ไม่ได้มีปัญญามากขึ้นแต่อย่างใด เพราะฉะนั้นเขาจึงต้องมารับการประทับจิต ตอนนี้เขาเปลี่ยนไปแล้ว เหมือนอย่างเช่น หัฐทะโยคะ พวกเขาเก็บลมหายใจทั้งหมดไว้ในกระเพาะ ทำให้ท้องพองโตมากแล้วก็เก็บมันไว้สักระยะเวลาหนึ่ง อาจจะ 2 -3 นาทีแล้วค่อยใจออกอีก

    หรือพวกเขาอาจจะกำหนดลมปราน แต่มันไม่อันตรายหรอกถ้าเธอแค่หายใจลึกๆ สักสองสามครั้งและฝึกออกกำลังไป ตกลงไหม? มันต่างจากเรื่องนั้น




    </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=justify width="65%" colSpan=3 height=10></TD></TR><TR><TD align=justify colSpan=3 height=16>ถ : ท่านไปศึกษากับใครที่ไหน ในเทือกเขาหิมาลัย? </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=justify width="65%" colSpan=3 height=10></TD></TR><TR><TD align=justify colSpan=3 height=16>อ : กับอาจารย์ท่านหนึ่งเป็นอาจารย์ที่ยิ่งใหญ่มาก แต่ท่านจากร่างกายไปแล้วท่านรับลูกศิษย์แค่คนเดียวคือตัวฉัน และฉันก็ต้องทำงานของท่านต่อ ท่านมีชีวิตอยู่หลายร้อยปีแต่ว่มีลูกศิษย์เพียงคนเดียว ท่านไม่เคยลงมาจากเขาเลย มันเป็นเรื่องบังเอิญหรือเป็นโชคชะตาที่ทำให้ฉันได้พบกับท่าน ฉันเคยอยู่กับอาจารย์อื่นๆ มาหลายคนแล้ว และมันก็ไม่ใช่ครั้งแรกด้วยที่ฉันได้เรียนธรรมวิถีกวนอิมหรือมีประสบการณ์การรู้แจ้ง ฉันได้รู้แจ้งมาก่อนหน้านั้นแล้ว ก่อนที่ฉันจะได้พบอาจารย์ท่านนี้ แต่การถ่ายทอดพลังนั้นมาจากอาจารย์ท่านสุดท้ายนี้ และหลังจากที่ท่านถ่ายทอดแล้วท่านก็จากไปบางทีอาจจะเพราะว่าไม่มีอะไรจะทำอีกแล้ว เบื่อแล้วก็เลยกลับบ้าน

    เพราะฉะนั้นตอนนี้ท่านก็เลยทิ้งงานนี้ไว้กับฉัน ฉันเป็นผู้ที่สมัครเล่นเป็นผู้หญิงที่อ่อนแอและยังเยาว์ ต้องเดินไปรอบโลกพร้อมกับไม้เท้าเพื่อไปพูดกับคนที่พูดคุยด้วยยาก เพื่อช่วยคนที่ยากที่จะช่วย และเพื่อเป็นอาจารย์ของผู้ที่อยากจะเป็นอาจารย์ฉัน



    </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=justify width="65%" colSpan=3 height=10></TD></TR><TR><TD align=justify colSpan=3 height=16></TD></TR><TR><TD align=justify colSpan=3 height=16>ความแตกต่างระหว่างดินแดนบริสุทธิ์กับโลกของเรา</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=justify width="65%" colSpan=3 height=10></TD></TR><TR><TD align=justify colSpan=3 height=16>ถ : อาจารย์ ท่านเริ่มการบรรยายของท่านวันนี้ด้วยการพูดถึงดินแดนของพุทธะและห้องหับทั้งหลายในคฤหาสน์ของพระบิดา กรุณาอธิบายเรื่องนี้โดยละเอียดด้วย ทำไมจึงจำเป็นต้องมีการดำรงอยู่ของดินแดนแห่งพุทธะนี้? ที่เราอยู่ในโลกนี้ไม่ได้เป็นแดนบริสุทธิ์หรอกหรือ ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้ปรากฏตัวมันเองให้บริสุทธิ์อย่างนั้นต่อสายตาของเรา? </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=justify width="65%" colSpan=3 height=10></TD></TR><TR><TD align=justify colSpan=3 height=16>อ : ใช่, ดินแดนของเรามันบริสุทธิ์มากจริงๆ สำหรับฉันนะแต่ไม่ใช่สำหรับเธอ เพราะฉะนั้นเธอจึงต้องค้นหาแดนบริสุทธิ์ของเธอเองให้พบ สิ่งที่หมายความอยู่ใน (?) เกี่ยวกับว่าดินแดนแห่งนี้เป็นแดนบริสุทธิ์ก็คือ เธอสามารถจะนั่งอยู่ตรงนี้และเห็นว่าดินแดนนี้บริสุทธิ์ เธอสามารถจะนั่งอยู่ที่นี่และเห็นดินแดนของพุทธะอยู่ที่นี่ตรงนี้ อยู่ต่อหน้าต่อตาของเธอเลย มันหมายความว่าอย่างนั้นที่กล่าวว่า “ดินแดนแห่งนี้คือ แดนบริสุทธิ์” นั่นเป็นความจริง แต่ไม่ได้จริงสำหรับคนทุกคน มันเป็นความจริงสำหรับฉันเป็นเรื่องจริงสำหรับลูกศิษย์ของฉัน จริงสำหรับผู้ที่รู้แจ้งในระดับที่สูงกว่านี้บางคน แต่ไม่ใช่สำหรับทุกคน ทุกคนคงมองเห็นขยะทั้งหลายและเห็นภูเขา เห็นแม่น้ำ ฉะนั้นสิ่งที่ฉันพูดเกี่ยวกับแดนบริสุทธิ์ก็คือแบบนี้ มันดำรงอยู่จริงๆ ที่นี่และในขณะนี้

    แต่ฉันต้องมีการแบ่งแยกให้แตกต่างกันด้วย ฉันจะไปบอกผู้คนทั่วไปทั้งหลายเสมอไม่ได้ว่า “เธอดูสิ เธออาศัยอยู่ในแดนบริสุทธิ์นะตอนนี้น่ะ เธอไม่จำเป็นต้องขยับตัวทำอะไร ไม่จำเป็นต้องออกกำลัง ไม่จำเป็นต้องทำคุณงามความดีอะไร ไม่จำเป็นต้องทำสมาธิหรอก ดินแดนของเธอเป็นแดนบริสุทธิ์อยู่แล้ว” ฉันพูดอย่างนั้นไม่ได้และมันก็ไม่ถูกต้องด้วย ไม่ใช่อย่างนั้นหรือ?

    นอกจากนี้ แดนบนริสุทธิ์ทั้งหลายของอมิตาภะ และอวโลกิเตศวร ฯลฯ ต่างจากโลกนี้ โลกของเรานี้อย่างไร? มันแตกต่างมาก มีความแตกต่างมากทีเดียว ดินแดนทั้งหลายเหล่านั้นเราไม่รู้จักความโศกเศร้า เราไม่รู้จักความเกลียดชัง เราไม่รู้จักสงคราม เรารู้จักแต่ความรักและความเคารพซึ่งกันและกันส่วนดินแดนแห่งนี้ เต็มไปด้วยความลำบาก เต็มไปด้วยความโศกเศร้า และความทุกข์ยาก เธอมีความสุขแค่หนึ่งนาที แล้วต่อมาเธอก็ทุกข์ไปสิบนาที มันแตกต่างกันมาก


    ที่นี่เธอต้องลงแรงทำงานใช้เวลานานมากที่จะสร้างบ้านขึ้นมาหลังหนึ่ง แล้วมันก็อาจจะพังลงมาเพราะแผ่นดินไหวก็ได้ ทำให้เธอไม่มีบ้านอยู่ ไม่มีไฟฟ้าไม่มีน้ำใช้ไปหลายวัน มีความไม่สะดวกมากมาย เราสร้างสะพานในซานฟรานซิสโกใช้เวลาตั้งหลายปีและใช้เงินทองมากมาย หลายพันล้านดอลล่าร์ ใช้แรงงานมหาศาลแล้วในเพียงแค่ห้าสิบวินาทีมันก็หายไป

    ในดินแดนเหล่านั้นไม่เคยมีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น เราจะปลอดภัยมั่นคงอยู่เสมอ อยู่ในความรัก ในแสงและพระพร มีความแตกต่างกันเยอะมาก เธอไม่จำเป็นต้องหาเงิน ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราต้องการจะมาอยู่ต่อหน้าเราทันที โดยที่ไม่ต้องเคลื่อนไหวหรือไปซูปเปอร์มาร์เก็ตหรือไปแลกเงิน เราจะดินทางจากแดนพุทธะแห่งหนึ่งไปยังอีกแห่งหนึ่งได้โดยไม่ต้องมีความยุ่งยากเรื่องพาสปอร์ต ไม่มีปัญหาพวกระเบียบทางการหยุมหยิม ตอนนี้ถ้าเธออยากจะไปอเมริกา มันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เธออยากจะออกมาก็ไม่ง่ายอีกเหมือนกัน

    เพราะว่าเธอจำเป็นต้องมีเงิน มีพาสปอร์ต มีความสัมพันธ์อะไรบางอย่างในประเทศอื่นเพื่อจะย้ายไปได้ ในดินแดนของพุทธะไม่เป็นอย่างนั้น เธอจะไปไหนก็ได้ที่เธอต้องการ เธอเป็นอิสระ




    </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=justify width="65%" colSpan=3 height=10></TD></TR><TR><TD align=justify colSpan=3 height=16>ถ : “ชี่” คืออะไร? </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=justify width="65%" colSpan=3 height=10></TD></TR><TR><TD align=justify colSpan=3 height=16>อ : คือกระแสความรู้สึกอย่างหนึ่งในร่างกายที่ทำให้เธอรู้สึกร้อนหรือเย็น และย่อยอาหารของเธอ นั่นก็คือ “ชี่” </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=justify width="65%" colSpan=3 height=10></TD></TR><TR><TD align=justify colSpan=3 height=16>ถ : สวรรค์เป็นอย่างไร? </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=justify width="65%" colSpan=3 height=10></TD></TR><TR><TD align=justify colSpan=3 height=16>อ : เธอกลับไปบ้านแล้วก็ไปอ่าน อมิตาภสูตร ไภษัชคุรุสูตร หรือบุณฑริกสูตรก็ได้ ทั้งหมดนี้บรรยายสภาพของสวรรค์ไว้แล้ว </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=justify width="65%" colSpan=3 height=10></TD></TR><TR><TD align=justify colSpan=3 height=16>ถ : ขณะที่ฉันทำสมาธิวันหนึ่งฉันได้เห็นแสง แต่ว่ามันเกือบจะฆ่าฉันแบบเดียวกับถูกไฟฟ้าช็อตเลย และฉันก็คิดว่าฉันคงจะต้องตายแล้ว ฉันไม่เข้าใจเรื่องนี้เลย เราอยากจะเข้าใจให้มากขึ้น หรือว่าหลังจากนั้นแล้วเราจะเข้าใจมากขึ้นเอง? </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=justify width="65%" colSpan=3 height=10></TD></TR><TR><TD align=justify colSpan=3 height=16>อ : เธอเห็นแสงซึ่งมีธรรมชาติของไฟฟ้าที่สูงมาก เราอาจจะใช้คำทางโลกก็ได้ ดังนั้นเวลาที่มันมาสัมผัสตัวเรามันจึงมีพลังอำนาจมาก เป็นเหตุผลที่ทำไมเราจึงต้องเป็นมังสวิรัติและใช้ชีวิตที่มีคุณธรรมเพื่อที่เราจะได้ไม่สะทกสะเทือนแบบนี้ ถ้าความถี่ที่สูงมากๆ สัมผัสกับวัตถุที่หยาบมาก ก็แน่นอนที่มันจะต้องเกิดการปะทะต่อสู้กัน แต่ถ้าวัตถุนั้นไม่หยาบมากขนาดนั้น ทั้ง 2 สิ่งก็จะผสมผสานกันและเธอจะไม่รู้สึกสะดุ้งตกใจแบบนี้ เพราะฉะนั้นมันจึงอันตรายที่จะฝึกปฏิบัติไปโดยไม่มีการชี้แนะนำทางของอาจารย์ที่แท้จริง และไม่มีวินัยทางศีลธรรมจรรยา พวกเนื้อสัตว์และสารพิษทั้งหลายที่เรากินเราเสพเข้าไปจะไปเพิ่มความหยาบของร่างกายเรา ความหยาบของกายเนื้อของเราและยิ่งเราอัดแน่นมากเท่าไร เราก็ยิ่งผสมกลมกลืนกับความถี่ที่สูงกว่าได้น้อยลงทำให้เกิดการช็อคสะดุ้งขึ้น

    ดังนั้นเราต้องพัฒนาทั้งร่างกาย จิตใจ และวาจาของเราเพื่อที่จะได้ให้เข้ากันกับความถี่นั้นได้
    เธอเห็นเวลาที่นักบินอวกาศไปอยู่ในอวกาศไหม พวกเขาต้องกินอาหารที่แตกต่างไป และสวมเสื้อผ้าที่แตกต่างออกไป เพื่อที่จะได้เหมาะสมกับความดันอากาศในอวกาศที่สูงขึ้นนั้น พวกเขาจะสวมเสื้อผ้าแบบที่เราสวมอยู่ที่นี่ไม่ได้ หรือเวลาเราลงไปในทะเล เราต้องสวมหน้ากากอ็อกซิเจน เราจะทำตามสบายแบบตอนอยู่บนแผ่นดินไม่ได้บรรยากาศมันแตกต่างกัน เราก็ต้องติดเครื่องมือที่ต่างกันไป มันดีแล้วที่เธอได้อดทนกับประสบการณ์นี้ได้และก็ได้รู้แจ้งมากขึ้น ขอแสดงความยินดีด้วย!




    </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=justify width="65%" colSpan=3 height=10></TD></TR><TR><TD align=justify colSpan=3 height=16>ถ: มันเป็นเรื่องจริงที่การรู้แจ้งในทันทีนั้นสามารถจะบรรลุกันได้ ไม่ใช่เพียงแต่อาศัยพุทธะทั้งหลายหรือการรู้แจ้งเท่านั้น แต่โดยอาศัยนายตำรวจในเมืองคนหนึ่งได้เช่นกัน ซึ่งบังเอิญมาเคาะประตูบ้านเธอย่างไม่ได้คาดฝัน</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=justify width="65%" colSpan=3 height=10></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=justify width="65%" colSpan=3 height=10></TD></TR><TR><TD align=justify colSpan=3 height=16>อ: เป็นความจริง ถ้าหากว่านายตำรวจคนนั้นเป็นพุทธะท่านหนึ่งเขาก็จะสามารถเปิดแสงให้เธอได้ ถ้าอย่างนั้น เขาก็เป็นพุทธะที่รู้แจ้งแล้วท่านหนึ่งเช่นกันในรูปร่างของนายตำรวจ พุทธะต่างๆ มีหลายรูปแบบ ถ้าเธอเป็นนายตำรวจแล้วเธอได้รู้แจ้งอย่างสมบูรณ์อย่างนั้นเธอก็เป็นพุทธะคนหนึ่ง ไม่จำเป็นจะต้องเปลี่ยนแปลงรูปลักษณะภายนอกเลย

    แต่ว่าปุถุชนธรรมดาทั่วไปอยู่ดีๆ จะมาให้การรู้แจ้งในทันทีแก่เธอไม่ได้หรอก ไม่ว่าจะเป็นประธานาธิบดีหรือเป็นนายตำรวจก็ตาม มันไม่ใช่รูปลักษณะหรือตำแหน่งหรือชนิดของงานที่เป็นสิ่งสำคัญ แต่มันเป็นพลังที่อยู่ภายในตัวบุคคลนั้น



    </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=justify width="65%" colSpan=3 height=10></TD></TR><TR><TD align=justify colSpan=3 height=16>ถ : อะไรคือวัตถุประสงค์ของศาสนาพุทธ? </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=justify width="65%" colSpan=3 height=10></TD></TR><TR><TD align=justify colSpan=3 height=16>อ : บอกให้คนเป็นคนดี รักษาระเบียบในสังคม รักษามาตรฐานศีลธรรมของคน, เพื่อที่จะสามารถอยู่ร่วมกันอย่างสอดคล้องกลมกลืน, เพื่อจะได้รู้แจ้ง....ถ้าเธอมีอาจารย์ทางพุทธที่รู้แจ้งแล้ว ไม่ใช่ว่าเพียงแต่อ่านคำสอนทางพุทธแล้วเธอจะได้รู้แจ้ง, เพื่อจะได้เป็นพุทธะ ใช่แล้ว ถ้าเธอพบกับพุทธะที่มีชีวิตอยู่ท่านหนึ่ง เธอก็สามารถจะได้เป็นพุทธะ ไม่ใช่โดยการอ่านพระสูตรทางพุทธ เพื่อจะกำจัดการกลับมาเกิดใหม่....ก็ใช่เช่นกัน ก็อีกเหมือนกันที่ถ้าเธอพบกับอาจารย์ที่ดี, เพื่อจะได้มีความสุขและมีจิตใจยุติธรรมไม่มีอคติ ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปได้ถ้ามีอาจารย์ผู้รู้แจ้งท่านหนึ่ง ไม่ใช่โดยการอ่านพระสูตรทางพุทธไม่ใช่โดยการอ่านเมนูที่เธอจะทำให้เธอหายหิว เธอต้องกินด้วย </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=justify width="65%" colSpan=3 height=10></TD></TR><TR><TD align=justify colSpan=3 height=16>ถ : ในระหว่างการประทับจิต การตอบสนองของทุกคนจะแตกต่างกันหรือไม่? มันมีอะไรเกี่ยวข้องกับธรรมชาติพุทธะภายในตัวเราหรือเปล่า? </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=justify width="65%" colSpan=3 height=10></TD></TR><TR><TD align=justify colSpan=3 height=16>อ : เปล่า ธรรมชาติพุทธะในตัวทุกๆ คนเป็นสิ่งเดียวกันหมด ในเวลาที่รู้แจ้งบางที่ทุกคนอาจจะมีประสบการณ์ที่แตกต่างกัน แต่บางทีอาจจะมีหลายคนที่มีประสบการณ์เดียวกัน เพราะว่า ประสบการณ์เหล่านี้เป็นความจริง และสามารถจะถูกประสบพบได้จากทุกๆคน แม้ว่าจะไม่ใช่ในการประทับจิตครั้งนี้ ก็เป็นในครั้งหน้า ดังนั้นหนทางของการรู้แจ้งเป็นเรื่องที่เป็นวิทยาศาสตร์มาก เธอไปถึงที่นั่นเธอก็เห็นอย่างนั้น เธอจะเห็นอย่างชัดเจนมาก เธอสามารถจะวัดระดับของการรู้แจ้งของตัวเธอเองได้ ทีนี้ระดับต่างๆของการไปถึงในระหว่างการประทับจิตนั้น ก็เนื่องมาจากการปฏิบัติของเธอในอดีต จากชีวิตในปัจจุบันจากคุณงามความดี และจากความศรัทธาและความจริงใจของเธอ ต่ออาจารย์ผู้นั้น </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=justify width="65%" colSpan=3 height=10></TD></TR><TR><TD align=justify colSpan=3 height=16>ถ : วัชรสูตรกล่าวว่าทุกสิ่งที่มีรูปร่างและเสียงเป็นสิ่งลวงตา ในระหว่างการประทับจิตนั้น สิ่งที่เราเห็นจะเป็นสิ่งลวงตาลวงใจเช่นกันหรือไม่? </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=justify width="65%" colSpan=3 height=10></TD></TR><TR><TD align=justify colSpan=3 height=16>อ : สิ่งที่พระพุทธเจ้าหมายความก็คือว่ารูปและเสียงทุกอย่างนั้นเป็นสิ่งลวง เธอไม่ต้องไปยึดติดอยู่กับรูปลักษณะของพระรูปที่เป็นไม้ หรือรูปลักษณะของผู้เป็นอาจารย์ ในกรณีที่จะได้รู้แจ้งมันเป็นสิ่งที่ลวงตาลวงใจทั้งสิ้น แต่สิ่งที่เธอได้เห็นโดยไม่ได้ใช้ตานั้นมันไม่มีรูป เธอไม่สามารถจะเรียกมันว่ารูปซึ่งไม่มีรูป เธอไม่สามารถจะเรียกมันว่าเสียงซึ่งไม่มีเสียง ถ้ามันเป็นเสียงล่ะก็คนอื่นที่นั่งอยู่ติดกับเธอก็จะได้ยินมันด้วย ไม่ใช่ว่าเพียงเพราะเธอสามารถได้ยิน เพียงเพราะเธอสามารถเห็นแล้วสิ่งนั้นจะเป็นความจริง สิ่งใดก็ตามที่เป็นสิ่งภายนอกเราสามารถจะเปลี่ยนแปลงมันได้ ดอกไม้สามารถจะถูกเปลี่ยนไปเป็นดอกไม้แห้งได้ในเวลาต่อไป

    หรือเปลี่ยนเป็นสิ่งต่างๆ และก็ผุพังถูกทำลายไป แต่ประสบการณ์ภายในเหล่านั้นไม่สามารถจะถูกทำลายไปได้ ไม่มีทางถูกขโมย ไม่มีทางถูกเปลี่ยนแปลง เข้าใจไหม? มันเป็นเรื่องที่แตกต่างกันหมด ถ้าทุกอย่างเป็นสิ่งลวง เป็นภาพลวงตา แล้วดินแดนอมิตาภะ แล้วดินแดน (?) ล่ะ? พระพุทธเจ้าโกหกหรือ? ไม่หรอก! มันมีแดนแห่งพุทธะ มีแดนที่แท้จริง และโลกของเรานี้เป็นดินแดนที่เป็นของปลอม มันหมายความว่าอย่างนั้น

    ถ้าทุกแห่งเป็นสิ่งที่ไม่จริงหมดแล้วเราจะไปไหนกัน? เธอจะอยากไปไหน? ก็ทุกอย่างมันเป็นสิ่งลวงหมด เราก็ไม่มีบ้านนั่นก็ไม่ถูกเหมือนกัน ถ้าทุกอย่างปลอมหมด แบบนั้นเธอก็สามารถฆ่าฟัน ลักขโมยต่อไปได้ ไม่จำเป็นต้องมีคุณธรรมอะไรน่ะซี เพราะว่าเธอก็จะไม่ไปที่ไหนนี่ ทุกอย่างปลอมหมด ทุกอย่างเป็นสิ่งลวงหมด เธอไม่มีแดนพุทธะ ไม่มีสวรรค์ ไม่มีอะไรเลย ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกหรือ? เราต้องใช้ปัญญา ใช้บริการแยกแยะของเรา ไม่ใช่ได้แต่ฟังคนพูดแล้วก็เอาพระสูตรมาพูดซ้ำๆ อยู่เสมอมันน่าเบื่อมาก ฉันได้ยินมาทุกประเทศ ทุกรูปทุกนามเป็นสิ่งลวง ทุกนามที่มีรูปเป็นสิ่งลวงตลอดเวลาเสมอเลย เอาแต่ยึดติดอยู่กับประโยคนี้

    ฉันไม่รู้จักชาวจีนคนไหนที่ไม่รู้จักประโยคนี้เลย และก็ไม่รู้ว่าพวกเขาใช้ชีวิตอยู่กับประโยคนี้อย่างไร ถ้านั่นเป็นปัญญาอย่างเดียวที่พวกเขามีอยู่ แบบนั้นฉันก็รู้สึกเสียใจจริงๆ
    บางครั้งคนถามมาในแบบฉันท์มิตร แต่บางครั้งพวกเขาก็ใช้ประโยคนี้เพื่อโจมตีฉัน เข้าใจไหม? พวกเขาอยากจะยิงฉันให้ตก อยากจะสอนว่ามันเป็นของปลอม สิ่งลวง แย่จริงๆ! คนช่างโง่เขลาไม่ยอมรับรู้อะไรจริงๆ! ฉันถึงได้บอกพวกเธอว่าธุรกิจนี้ไม่ดีเลย ฉันต้องพูดกับคนที่ยากจะพูดคุยด้วย ต้องสอนคนที่อยากจะเป็นอาจารย์ของฉัน อาจารย์ของฉันทำให้ฉันต้องมาทำงานที่ยากมากนี้ ทิ้งธุรกิจทิ้งกิจการที่ยุ่งยากนี้ไว้กับฉัน




    </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=justify width="65%" colSpan=3 height=10></TD></TR><TR><TD align=justify colSpan=3 height=16>ถ : เราจะสามารถหลุดพ้นและเป็นอิสระจากการกลับมาเกิดใหม่, ไม่กลับมามีชีวิตนี้อีกได้อย่างไร? </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=justify width="65%" colSpan=3 height=10></TD></TR><TR><TD align=justify colSpan=3 height=16>อ : รับการประทับจิตเสียสิ </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=justify width="65%" colSpan=3 height=10></TD></TR><TR><TD align=justify colSpan=3 height=16>ถ : ธรรมวิถีที่อาจารย์สอนนั้นเป็นของเซ็นหรือของศาสนาใด? </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=justify width="65%" colSpan=3 height=10></TD></TR><TR><TD align=justify colSpan=3 height=16>อ : เปล่า, เป็นของฉัน เป็นของเธอ </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=justify width="65%" colSpan=3 height=10></TD></TR><TR><TD align=justify colSpan=3 height=16>พิธีกร : หลังจากประทับจิตแล้ว คุณยังสามารถนับถือศาสนาอะไรก็ตามที่คุณเชื่ออยู่ได้? </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=justify width="65%" colSpan=3 height=10></TD></TR><TR><TD align=justify colSpan=3 height=16>อ : มันเขียนไว้แล้วในใบสมัครรับการประทับจิต </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=justify width="65%" colSpan=3 height=10></TD></TR><TR><TD align=justify colSpan=3 height=16>ถ : จะอธิบายคาถา (บทกวี) นี้ว่าอย่างไร “ แต่เดิมไม่มีสิ่งใด แล้วฝุ่นหาที่เกาะได้อย่างไร?” </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=justify width="65%" colSpan=3 height=10></TD></TR><TR><TD align=justify colSpan=3 height=16>อ : ในประเทศจีนพระสังฆปรินายกผู้ยิ่งใหญ่ท่านหนึ่งชื่อ ฮุ่นเหนิง สังฆปรินายกองค์นั้นหรืออาจารย์เซ็นผู้ยิ่งใหญ่ท่านนั้นก่อนที่ท่านจะมีชื่อเสียง ก็ได้เขียนคาถา....หมายถึงบทกวี ในการแข่งขันเพื่อรับชุดจีวรของอาจารย์ของท่าน เพื่อรับตำแหน่งอาจารย์ ตอนนั้นอาจารย์ผู้นั้น ซึ่งเป็นอาจารย์ของพระสงฆ์และฆราวาสหลายพันคน ต้องการจะคัดเลือกผู้สืบต่อผู้รับมรดกตกทอดชุดจีวรของท่าน รับความเป็นอาจารย์ต่อไปนั่นแหละ เข้าใจไหม จึงบอกให้คนเขียนอะไรมาให้ดูเพื่อแสดงว่าใครบรรลุถึงระดับไหน มีพระสงฆ์องค์หนึ่งในหลายท่านที่มีชื่อเสียง เป็นพระที่เก่งเป็นที่หนึ่งที่นั่นจึงเขียนมา 4 บรรทัด เป็นทำนองนี้ว่า : กายและใจ แบบนี้ แบบนั้น เป็นเหมือนกระจกเงา เราต้องขัดถูดทุกวันเพื่อให้มันสะอาด แล้วสังฆปรินายกชาวจีนเวียตนามท่านนี้ก็เขียนอีกบทที่แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิงเลยว่า : แต่เดิมไม่มีสิ่งใด แล้วฝุ่นหาที่เกาะได้อย่างไร? เข้าใจไหม? เพราะฉะนั้นก็ไม่จำเป็นจะต้องเช็ดฝุ่น หมายความว่าระดับของท่านสูงกว่าอีกคนหนึ่ง ท่านมองทะลุความไม่เป็นจริงของสิ่งที่มีอยู่ทุกสิ่ง ท่านมองทะลุสิ่งลวงตาทั้งหมดนี้

    แต่อีกคนหนึ่งยังติดอยู่กับความคิด ความเข้าใจว่า มีกาย, มีใจ, มีตา, มีฝุ่น, มีกระจกที่เช็ดถู และสิ่งที่สลับซับซ้อนทุกอย่าง เพราะฉะนั้นสังฆปรินายกท่านที่ 2 นี้จึงรับชุดจีวรไปสืบทอดความเป็นอาจารย์ต่อไป แล้วก็หนีไปซ่อนตัวอยู่ 16 ปีเพราะเกรงการอิจฉาและการกลั่นแล้งรบกวน แน่นอนเมื่ออาจารย์ผู้หนึ่งได้รู้แจ้งและประกาศตัวเองออกมาหรือโดยทางลูกศิษย์ หรือถูกประกาศว่าได้รู้แจ้งแล้วนั้นเป็นเรื่องที่อันตรายต่อชีวิตของพวกเขามาก เข้าใจไหม? ดูชีวิตของพระเยซูและพระพุทธเจ้าสิว่ามีคนอยากจะฆ่าท่านกี่คน และก็บรรดาอาจารย์ทุกคนในอินเดียด้วย ใช่ไหม? ปัจจุบันนี้เราปลอดภัยมากขึ้นเพราะว่าเรามีกฎหมาย เรามีการปกป้องคุ้มครอง แต่ในสมัยก่อนมันอันตรายมากที่กลายเป็นอาจารย์และก็ถูกประกาศอย่างเปิดเผยด้วย ใช่ไหม?

    เพราะฉะนั้นท่านหมายความว่า ดั้งเดิม ไม่มีการดำรงอยู่ที่แท้จริง เพราะฉะนั้นเราก็ไม่สามารถจะทำบาปอะไรได้ เข้าใจไหม? ไม่มีบาป แต่เดิมแล้วมันไม่มีบาป
    ก็เหมือนกับที่ฉันพูดตอนแรกๆ ตอนเริ่มต้นการบรรยายนั้น ฉันพูดว่าเราบริสุทธิ์อยู่เสมอ เป็นเพียงสิ่งลวงตาลวงใจเท่านั้นที่เราคิดว่าเราบาป มันล้วนแต่เป็นบทเรียนให้เรียนรู้ และแม้แต่เวลาที่เธอรู้แจ้งแล้ว มันก็ไม่มีบทเรียนอะไรเลยด้วยซ้ำ ไม่มีครู ไม่มีบทเรียน แต่มันยากที่จะพูดอธิบายออกมาเป็นภาษาธรรมดาๆ ฉันได้แต่ชวนเธอด้วยความคิดที่น่าอัศจรรย์มากบางอย่าง ให้เธอมีความอยากจะได้รับการรู้แจ้งมากขึ้น แต่ฉันทำหน้าที่ ทำงานได้ไม่ดีแลยในการอธิบายมัน ฉันต้องขอโทษด้วย แต่เพราะว่าเธออยากจะรู้ ฉันจึงต้องพูดอะไรบ้าง แต่ว่าอย่ามายึดติดกับคำพูดของฉันว่าเป็นความจริงแต่เพียงอย่างเดียว และเป็นความจริงที่แท้จริง เป็นความจริงที่สุดจริงๆ สิ่งที่ฉันพูดก็เป็นสิ่งลวงเช่นกัน เข้าใจไหม? มันก็เป็นมายาเช่นกัน... สิ่งที่ฉันพูดไปก็เป็นของปลอมแต่ว่ามันก็ปลอมสำหรับผู้ฟังที่เป็นของปลอม




    </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=justify width="65%" colSpan=3 height=10></TD></TR><TR><TD align=justify colSpan=3 height=16>ถ : ฉันรู้สึกศรัทธาเลื่อมใสและสนใจมากที่สุดในการพัฒนาไปสู่สภาวะที่สว่างกระจ่างชัดขึ้นเอง การรู้แจ้ง ท่านมีสัมมนาอะไรบางอย่างเป็นระยะๆ ไหมที่ฉันสามารถได้เรียนรู้จากท่าน เพื่อทำให้ชีวิตทางจิตวิญญาณของฉันก้าวหน้ามากขึ้น? สุดท้ายนี้ ฉันอยากจะแบ่งปันความรักของฉันกับโลกนี้ และช่วยให้พวกเขาได้รับจิตใจของตนเองนั่นเป็นความตั้งใจที่ดีมาก อย่างน้อยที่สุดฉันต้องเป็นผู้ที่ได้เรียนรู้มาอย่างดีแล้ว เพื่อที่พวกเขาจะดำเนินภารกิจนี้ต่อไปได้ ฉันเข้าใจ ก่อนอื่นต้องเรียนรู้ก่อนแล้วค่อยทำอะไรทีหลัง ถ้าเป็นไปได้ฉันอยากจะพูดคุยความคิดอะไรที่พิเศษกับตัวท่านเอง </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=justify width="65%" colSpan=3 height=10></TD></TR><TR><TD align=justify colSpan=3 height=16>อ : ได้ เธอจะมาก็ได้ เธอเข้าใจไหมว่าหลังจากที่ตัวตนที่แท้จริงของเราถูกปลุกให้ตื่นขึ้นแล้ว อาจารย์ที่แท้จริงภายในตัวเธอเอง พุทธะตื่นขึ้นมาแล้ว เธอก็สอนตัวเอง แต่ถ้าจำเป็น อาจารย์ภายนอกก็จะปรากฏตัวมาสอนเธอในความฝัน ในเวลาที่ทำสมาธิของเรา ในเวลาที่เธอทำสมาธิ หรือในงานประจำวันของเธอ ไม่จำเป็นที่จะต้องมาอยู่ใกล้ชิดกับตัวฉันไปตลอด ฉันเดินทางไปทั่วโลกถ้าฉันไม่เดินทางรอบโลกฉันก็จะอยู่ในไต้หวัน ยินดีต้อนรับถ้าเธอจะมา และถ้าฉันอยู่ในไต้หวันทุกสุดสัปดาห์ เธอก็สามารถเอาเต็นท์มาแล้วก็พักอยู่ที่นั่นได้ วันอาทิตย์ วันเสาร์ เรามีการบรรยาย เรามีช่วงถามและตอบปัญหา และเธอสามารถจะศึกษา สามารถจะอยู่ที่นั่นนานเท่าที่เธออยากอยู่ เธอจะมาเป็นพระก็ได้ถ้าเธอต้องการ เธอจะเป็นฆราวาสก็ได้ถ้าเธอต้องการ เธอสามารถจะทำอะไรก็ได้ที่อยากจะทำ เราให้ทุกอย่างฟรี </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=justify width="65%" colSpan=3 height=10></TD></TR><TR><TD align=justify colSpan=3 height=16>พิธีกร : (เป็นภาษาจีน) บทกวีจากท่านฮุ่ยเหนิง : “แต่เดิมไม่มีสิ่งใด, เราจะไปรวบรวมฝุ่นอย่างไร” มีอีกสองตอนข้างหน้าตอนนี้ แต่ว่าฉันไม่รู้จักมัน </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=justify width="65%" colSpan=3 height=10></TD></TR><TR><TD align=justify colSpan=3 height=16>อ : โอ้! เธออยากจะรู้หรือ? มันเป็นระดับที่สูงมาก เวลาเธอบรรลุถึงระดับที่สูงขึ้นมาก ธอจะมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างบริสุทธิ์และเรียบง่ายไปหมด แต่ว่านี่คือพุทธะ... นี่เป็นการเข้าใจอย่างถ่องแท้ของท่านเอง แม้ว่าท่านจะพูดไว้อย่างนั้นแต่เธอก็ยังไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่จะพูดว่าเธอเป็นอิสระจากฝุ่นแล้ว มันเป็นเพราะว่าเธอยังคงแบกความรู้สึกผิดไว้อย่างหนัก พลังของสิ่งที่เรียกว่ากรรมนี้มันจะกดดันเราทำให้เรารู้สึกไม่สบายใจ และต้องพบกับความเจ็บปวดมากมาย เข้าใจไหม? เราจะมีอารมณ์ไม่ดี รู้สึกไม่มีความสุข เพราะฉะนั้น ทั้งๆ ที่ท่านพูดไว้อย่างนั้นแต่เรายังจำเป็นต้องมีประสบการณ์ของเราเองอยู่ดี โอเค? อ : (อาจารย์อธิบายเป็นภาษาอังกฤษ) ผู้หญิงคนนั้นถามฉันว่าบทกวีท้ายสุดของท่านฮุ่ยเหนิง อาจารย์เซ็นนั้น ท่านกระตุ้นให้เราใช้ชีวิตที่เป็นปกติธรรมดา ไม่ให้กังวลเรื่องใดๆ หรือ? ฉันจึงตอบเธอว่า : ใช่, ท่านพูดไว้อย่างนั้น แต่ว่าพูดจากการมองเห็นหรือความเข้าใจอันลึกซึ้งของท่าน

    ส่วนเรายังคงมีภาระแบกความรู้สึกผิดและบาปอยู่ เพราะว่าเราไม่สามารถจะเชื่อได้ง่ายๆ ว่าเราไม่มีบาป เพราะฉะนั้นการที่จะรู้สึกว่าไม่มีบาปเราก็ยังจะต้องรู้แจ้งก่อน ไม่ใช่เพียงแต่ฟังคำเหล่านั้นแล้วเราจะกลายมาบริสุทธิ์มันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก โอเค? ก็เหมือนกับทุกคนพูดว่า ฉันมีพุทธะอยู่ภายใน ดั้งเดิมฉันเป็นพุทธะ แต่ว่าเธอจะเป็นพุทธะจริงหรือ? เธอรู้จักมันด้วยหรือ? เธอรู้สึกถึงมันหรอกหรือ? เธอแน่ใจหรือ? เปล่า ไม่แน่ใจหรอก เพราะฉะนั้นเราจึงต้องรู้แจ้งและก็มีประสบการณ์ของเราเอง เพื่อที่จะรู้ว่าเราเป็นพุทธะจริงๆ ตกลงนะ จบแล้วหรือ? ขอบคุณมาก ถ้าอย่างนั้นค่อยพบกับเธอพรุ่งนี้ถ้าเธอมานะ ถ้าเธอไม่มาก็ขอให้พระพรของพระเจ้าและพระพรของพุทธะจงมีแก่เธอด้วยความปรารถนาดีที่สุดของฉัน




    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 สิงหาคม 2010
  6. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    ยาวเป็นไมล์เลยนะครับ Dalink เหมาะสำหรับอ่านในวันหยุดจริงๆด้วย
    เนื้อหากลมกลืนกับสิ่งที่เรากำลังสนใจกันอยู่พอดีเลย
    ระหว่างนี้เชิญพักสายตา ฟังเพลงเบาๆ สบายๆ ไปก่อนแล้วกันนะครับ

    [​IMG]

    [MUSIC]http://palungjit.org/attachments/a.1070525/[/MUSIC]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 สิงหาคม 2010
  7. แม่นายมล

    แม่นายมล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    1,069
    ค่าพลัง:
    +6,258
    วิธีไปถึงดินแดนแห่งพุทธะ

    ปราศรัยโดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่
    มหาวิทยาลัย โคลัมเบีย นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา
    วันที่ 4 พฤศจิกายน 1989 (เดิมเป็นภาษาอังกฤษ


    รวมทั้งหมด เป็น file PDF ให้แล้วจ้า
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  8. threeam

    threeam เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    447
    ค่าพลัง:
    +1,364
    แวะมาขอบพระคุณ คุณแม่นายมล อย่างแรงๆ :cool:
    ที่ช่วยกรุณารวบรวมเป็น pdf สวยงาม น่าอ่านมากๆ
    ขอบพระคุณ ขอบพระคุณ ขอบพระคุณ คุณdalink คุณMead ด้วยจ้า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 สิงหาคม 2010
  9. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    ขอบคุณแม่นายมลด้วยครับ เรียบเรียงแบบมือโปรเลย อิอิ

    วันนี้พอดีเหลือบไปเห็นเครื่องหมายหยิน-หยางบนโต๊ะเข้า
    มีมืด-มีสว่าง มีขาว-มีดำ ในดำก็มีขาว-ในขาวก็มีดำ ฯลฯ
    ซึ่งเคลื่อนไหวหมุนวนไปรอบๆอย่างกลมกลืน และเป็นหนึ่งเดียวกัน
    แสดงถึงความเป็น "ทวิภาวะ" อย่างชัดเจนมาก
    เหมือนจะบอกใบ้ถึงการใช้ชิวิตอยู่ร่วมกันในมิติที่ 3 โดยตรงเลยนะครับ
    ยังมีปริศนาที่สื่อผ่านสัญลักษณ์ต่างๆอีกมากมากทีเดียว Clop Circle ด้วย

    ใครมีสัญลักษณ์อะไรที่น่าสนใจสกหรับตัวเอง ก็ขนมาดูและไขปริศนากันที่นี่ได้นะครับ
    มันไม่มีผิดมีแต่ถูก เพราะมันสะท้อนความเชื่อของเราได้หลายๆแง่มุมครับ สนุกดี


    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 สิงหาคม 2010
  10. threeam

    threeam เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    447
    ค่าพลัง:
    +1,364
    <table><tbody><tr><tr><td width="10">
    </td> <!--Electric_galaxy_ying_yang _big2 --> <td valign="middle" width="240"> [​IMG]
    Incredibly, when plasma physics reveals the interaction of energy pairs, the familiar Ying Yang symbol from Chinese philosophy, appears. This symbology is used to describe how seemingly disjunct or opposing forces are interconnected and interdependent in the natural world, giving rise to each other in turn. —Credit: A. Peratt, Plasma Cosmology, 1992. source

    </td></tr></tr></tbody></table>
     
  11. dalink

    dalink เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    402
    ค่าพลัง:
    +2,436
    ความรักเป็นประสบการณ์ที่เหนือกว่าสมาธิ

    ปราศรัยโดย ท่าน Suma Ching Hai
    ณ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด, บอสตัน, สหรัฐอเมริกา
    27 ตุลาคม 1989 (เดิมเป็นภาษาอังกฤษ)





    [​IMG]


    มีลูกศิษย์ที่เด่นๆ อยู่คนหนึ่งชื่อ สวามี วิเวกอานันดา ซึ่งมีชื่อเสียงมากในประเทศของพวกคุณ เขาถามอาจารย์ของเขาว่า “ฉันจะสามารถบรรลุถึงระดับเดียวกับท่านได้ไหม?” เขาถามแบบนี้อยู่หลายครั้งมาก เพราะว่าเขายังไม่เคยไปถึงระดับนั้นเลย อาจารย์ก็เลยด่าเขาไปว่า “เธอนี่โง่จริง มันยังมีระดับอื่นๆ ที่สูงกว่าสมาธิอีก” แล้วอะไรล่ะที่เป็นระดับที่สูงกว่าสมาธิ? ก็คือระดับของความรัก ของความเสียสละอุทิศตนนั่นเอง รักสรรพสิ่งทั้งหมดเท่าๆ กับรักตัวเอง รักศัตรูเหมือนกับรักเพื่อน รักเพื่อนบ้าน และเหนือสิ่งอื่นใดหมดก็คือรักพระเจ้า และยอมทุกอย่างต่อพระเจ้า นั่นก็คือระดับที่สูงกว่าสมาธิ

    แต่ว่ามันก็มีกับดักอยู่ตรงนี้ด้วย พวกเราชาวพุทธก็สามารถพูดได้เช่นกันว่า เรารักพระพุทธเจ้า บูชาพระพุทธเจ้า และเราก็รักเพื่อนบ้านของเรา รักเพื่อนของเรา รักศัตรูของเรา ก็แค่นั้นเอง แต่ว่ามันมีความแตกต่างกันนะระหว่างการพูดและการกระทำจริงๆ มนุษย์เราส่วนมากไม่สามารถจะมีความรักที่ยิ่งใหญ่ขนาดนั้นได้ เพราะว่าเราไม่ได้ถูกฝึกมาแบบนี้

    มีเพียงผู้ที่รู้แจ้งเท่านั้นที่สามารถจะมีความรักความเมตตา ความอดทนที่ยิ่งใหญ่ขนาดนั้น เพราะฉะนั้นเราจึงเห็นหลายๆ ประเทศในระยะเวลาต่างๆ มากมาย ที่คนยังสู้รบกันในเรื่องเกี่ยวกับความคิดเห็น เรื่องอาณาเขต เรื่องผลประโยชน์ทางการเงิน แต่ว่าพวกเขาพูดกันเสมอในบางครั้งว่า ก็เพราะความรักชาติของเขา รักศาสนาของเขา รักพวกพ้องหรือญาติพี่น้องของเขา บางทีมันก็อาจจะจริงที่พวกเขารักประเทศของเขา

    ดังนั้นพวกเขาจึงออกไปรบพุ่งและรุกรานประเทศอื่นๆ เพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง แต่ว่าแบบนั้นเป็นความรักที่เล็กน้อยเกินไป จำกัดเกินไป

    ความรักของพระพุทธเจ้าและพระคริสต์จะรวมทั้งจักรวาลหมด ไม่มีการแบ่งเชื้อชาติ สีผิว ไม่มีเรื่องเงินทอง ไม่มีเรื่องฐานะ ดังนั้นเราจึงเห็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้าจึงมีตำแหน่งทางสังคมมากมายหลายอย่าง มีตำแหน่งทางสังคมแตกต่างกัน ต่างเผ่า ต่างผิวพรรณ ต่างฐานะทางสังคม ต่างเชื้อชาติกัน และลูกศิษย์ของพระคริสต์ก็เช่นเดียวกัน มีลูกศิษย์ทุกชนิด เชื้อชาติต่างๆ บุคลิกต่างๆ ความเชื่อต่างๆ ซึ่งจะเข้ามาร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันอยู่ใต้ปีกของอาจารย์ผู้รู้แจ้ง

    เพราะว่าความรักของอาจารย์ผู้รู้แจ้งนั้นยิ่งใหญ่มาก มันโอบล้อมรวมทุกสิ่งเข้าไว้ด้วยกัน และไม่มีใครที่จะรู้สึกว่าถูกกีดกันออกไป และจิตวิญญาณที่รู้แจ้งเช่นนั้นจะไม่มีวันไปสู้รบปรบมือ หรือว่าไปเข้าข้างคนใด หรือชาติใด หรือนิกายใด หรือศาสนาใด อย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ว่าจะสั่งสอนถึงความรักที่เป็นจักรวาล ความจริงของจักรวาล และจะเสมอภาคเท่าเทียมกันหมดทุกอย่าง ดังนั้น พระเยซูจึงกล่าวไว้ว่า “ทุกคนเป็นลูกของพระเจ้า อะไรก็ตามที่ฉันทำได้ในวันนี้ เธอก็จะทำได้ดียิ่งกว่านี้อีกในวันพรุ่งนี้” ท่านไม่ได้พูดว่า “ฉันเป็นบุตรของพระเจ้าเพียงคนเดียว” ท่านพูดว่า “พวกเราทุกคนล้วนเป็นลูกของพระเจ้า ในบ้านของพระบิดาของฉัน มีห้องมากมาย และทุกคนก็จะได้รับการต้อนรับทั้งสิ้น” พระพุทธเจ้าก็พูดอย่างเดียวกันด้วยว่า “พวกเราทุกคนสามารถจะเป็นพุทธะได้ ฉันกลายเป็นพุทธะแล้ว เธอก็จะกลายเป็นพุทธะ

    สรรพสิ่งทั้งหมดล้วนมีธรรมชาติพุทธะ” คำกล่าวเหล่านี้ แสดงให้เห็นถึงความคิดที่คล้ายคลึงกัน เข้าใจไหม? คือความเท่าเทียมกันของมนุษย์ในสายตาของพระเจ้า หรือในปัญญาของพุทธะ

    เราสามารถเข้าไปยังอาณาจักรของพระเจ้าได้ ในขณะที่ยังอยู่บนโลกใบนี้

    ฉันยังไม่ได้เริ่มทำงานภารกิจนี้อย่างจริงจังอะไรนักในช่วงก่อนเว ลาสองปีมานี้ เริ่มมีการประทับจิตครั้งแรกเมื่อไหร่นะ? ตอนนั้นเริ่มต้นในประเทศอินเดีย คงต้องเป็นปี 1983 แน่ ตอนที่ฉันเริ่มต้น ถูกบังคับให้เริ่มต้นนะ ขณะนี้คือปี 1989 หกปีมาแล้ว เพียงแค่หกปีเท่านั้นตั้งแต่ฉันเริ่มต้นภารกิจของฉันเช่นนี้ แต่ว่าฉันก็พบว่าทุกคนรับมรดกสืบช่วงอาณาจักรของพระเจ้ามากันทั้งนั้น ทุกคนมีธรรมชาติพุทธะ และสามารถจะเห็นธรรมชาติพุทธะได้ทันที

    ถ้าหากว่าเขาหรือหล่อนตั้งใจที่จะเห็น และเชื่อว่าตัวเองสามารถเห็นได้ และเต็มใจที่จะให้ครูช่วยเปิดประตูให้ ทุกคนสามารถเห็น ทุกคนสามารถเข้าไปในอาณาจักรของพระเจ้าได้ ไม่มีใครเลย ไม่ว่าจะเป็นคนที่ร่ำรวยหรือยากจน สำคัญหรือไม่สำคัญ อ่อนแอหรือแข็งแรง เฉลียวฉลาดหรือโง่ ที่จะถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าไปในอาณาจักรของพระเจ้า ไม่มีเลย เท่าที่ฉันรู้นะ ดังนั้นฉันจึงเชื่อว่าสิงที่พระคริสต์พูดนั้นเป็นความจริง เราเพียงแต่ต้องกลายเป็นเด็กอีกเท่านั้น

    แล้วเราจึงจะสามาระเข้าไปในอาณาจักรของพระเจ้าได้ และก็เข้าไปได้ทันทีในขณะที่ยังอยู่บนโลกนี้เลย ทำไมหรือ? ก็เพราะว่าคัมภีร์ไบเบิลกล่าวไว้ว่า “จงดูสิ แล้วก็จะเห็นว่า อาณาจักรของพระเจ้าอยู่ภายในตัวของเธอ!” ในคัมภีร์ไบเบิลไม่ได้บอกว่าอาณาจักรของพระเจ้าอยู่ไกลมาก ห่างไปไกล 20,000 ปีแสงเลย (อาจารย์และทุกคนหัวเราะ) เปล่า! เปล่า! เปล่าเลย! แต่บอกว่า “อาณาจักรของพระเจ้าอยู่ภายในตัวของเธอ” และพระพุทธเจ้าก็บอกว่า “พุทธะอยู่ในตัวเธอ” เพราะฉะนั้นทั้งสองท่านก็พูดอย่างเดียวกัน ถ้าเราอยากจะพบพุทธะ ถ้าเราอยากจะพบพระเจ้า เราก็ต้องเข้าไปข้างใน


    แต่ว่าจะกลายเป็นเด็กใหม่ได้อย่างไรล่ะ? มันไม่ง่ายเลยนะ เราคิดว่าอย่างนั้น ก็จริงหรอกที่ว่ามันไม่ง่าย ถ้าหากว่าต้องทำมันหมดทุกอย่างเอง แต่ว่า ถ้าเรามีพระพรของพระเจ้าและพระพรของพุทธะที่ยังมีชีวิตอยู่ พุทธะที่ยังมีชีวิตไม่ได้เป็นร่างกาย แต่เป็นพลังของความรักที่ไหลเข้าไปในร่างหนึ่ง เพื่ออวยพรทั้งโลก เข้าใจไหม? ฉะนั้นตอนที่พระพุทธเจ้ายังมีชีวิตอยู่ ท่านจึงบอกว่าท่านคือพุทธะ แบบนี้ไม่ได้หมายความว่าท่านภาคภูมิใจในฐานะที่เป็นพุทธะเลย เปล่า! เปล่า! มันหมายความว่าท่านได้ทำลายตัวตนของท่านเองไปหมดแล้ว ท่านไม่มีสิ่งที่เป็น “ฉัน” แบบธรรมดาทั่วๆ ไปอีกแล้ว

    แต่ท่านเป็นหนึ่งเดียวกับพระบิดา เป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาล กับแรงสรรค์สร้าง เพราะฉะนั้น เวลาพระเยซูพูดว่า “ฉันเป็นบุตรของพระเจ้า, ฉันกับพระบิดาเป็นหนึ่งเดียวกัน” มันไม่ได้หมายความว่าท่านเย่อหยิ่งอวดดีและภาคภูมิใจในตัวเองในฐานะที่เป็นตัวตนผู้หนึ่งโดยเฉพาะ แต่ท่านรู้ว่าท่านไม่มีตัวท่านเองแล้ว และท่านได้ร่วมผสมกลมกลืนเข้าไปในมหาสมุทรแห่งจิตสำนึกของมหาปัญญาแล้ว

    เพราะฉะนั้น จะกลายเป็นเด็กใหม่ได้อย่างไรล่ะ? ง่ายมาก เราจำเป็นต้องมีกระบวนการที่เรียกว่าการชำระล้างทำความสะอาด เริ่มแรกก็คือ เราต้องปฏิญาณสาบานตนว่าจะปฏิบัติตามพระบัญญัติต่างๆ ของคัมภีร์ไบเบิล หรือคัมภีร์ของพระพุทธศาสนาอีกครั้ง ทั้งสองคัมภีร์กล่าวไว้คล้ายๆ กัน ข้อแรกในคัมภีร์ไบเบิลคือ “เจ้าต้องไม่ฆ่า” ในศาสนาพุทธก็มีห้ามฆ่าสัตว์ตัดชีวิต และในศาสนาฮินดูก็มีเหมือนกันคืออหิงสา หมายถึงห้ามทำร้ายต่อสิ่งมีชีวิตอื่นใด จากอหิงสานั้นก็แตกกิ่งก้านออกมาเป็นบัญญัติสิบประการของคัมภีร์ไบเบิล เป็นพระสูตรของศาสนาพุทธ

    พระคริสต์ก็เคยอยู่ในประเทศอินเดียมานานถึงสิบเก้าปี พระพุทธเจ้าก็ต้องเริ่มต้นเรียนรู้จากคัมภีร์เวท แล้วก็กลายเป็นพุทธะด้วยตัวของท่านเอง ดังนั้นถ้าเราปฏิบัติตามพระบัญญัติของคัมภีร์ไบเบิล หรือคัมภีร์ของศาสนาพุทธ และเริ่มเปลี่ยนวิธีดำรงชีวิตของเราแล้วล่ะก็ ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นไป เราจะได้รับการชำระล้างให้บริสุทธิ์เหมือนเด็ก โดยอาศัยพระพรจากพระเจ้าด้วย แล้วตอนนั้นเมื่อเราบริสุทธิ์ เราก็จะเห็นแสงของพระเจ้า เราจะเห็นอาณาจักรของพระเจ้าหรือที่เรียกกันว่าธรรมชาติพุทธะ


    ดังนั้นตอนที่พระเยซูยังมีชีวิตอยู่ ท่านทำการล้างบาปให้ผู้คน แต่ว่าตัวของท่านเองก็ต้องผ่านกระบวนการล้างบาปเช่นกัน ท่านกล่าวว่า “ให้เป็นไปตามกฎ” ทำไมท่านจึงต้องทำอย่างนั้นด้วยล่ะ? ถึงแม้ว่าท่านจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ แต่เพราะว่าท่านรู้ว่าท่านต้องทำตัวอย่างของการถ่อมตน ของการเชื่อมั่นในพระพรของพระเข้าให้มนุษยชาติได้เห็น ตลอดทั้งชีวิตของท่านคือตัวอย่างของการถ่อมตน พระศากยมุนีพุทธเจ้าก็เช่นเดียวกัน ท่านเป็นเจ้าชาย ร่ำรวยสมบูรณ์พูนสุขในทุกๆ ด้าน มีปัญญาความสามารถมาก

    ท่านสามารถจะเป็นเจ้าของประเทศทั้งประเทศมีความหรูหราสุขสบาย แต่ว่าท่านก็ออกเดินทางไปทั่วเป็นเวลาสี่สิบเก้าปี แม้แต่หลังจากที่ท่านได้รู้แจ้งแล้ว เพื่อบิณฑบาตขออาหาร การบิณฑบาตของท่านไม่ได้หมายความว่าท่านไม่สามารถจะทำงานหรือทำงานไม่ได้ แต่ว่าเพื่อแสดงอะไรให้เห็นหลายอย่าง แสดงตัวอย่างมากมายแก่มนุษยชาติ ข้อแรกก็คือ เพื่อแสดงให้เราเห็นถึงความไม่ปรารถนาต้องการสำหรับทรัพย์สมบัติทางโลกทั้งหลาย

    ข้อที่สองก็คือ เพื่อแสดงให้เห็นว่าเราทุกคนล้วนต้องพึ่งพาซึ่งกันและกันเพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ ไม่มีใครสูงกว่าใคร ไม่มีใครต่ำกว่าใคร ท่านเป็นคนแรกที่สอนเรื่องความเสมอภาคเท่าเทียมกันเพื่อทำลายระบบชั้นวรรณะ ซึ่งเป็นแนวความคิดที่ไม่มีผู้ใดจะแตะต้องได้ในประเทศอินเดีย ท่านสอนโดยวิธีใช้ตัวของท่านเป็นตัวอย่างใช้ความถ่อมตนของท่านเอง ท่านไม่ได้สอนแต่เพียงด้วยปาก ด้วยคำพูด แต่ท่านสอนโดยใช้วิธีของท่านเป็นตัวอย่าง

    ส่วนหนึ่งจาก เวปลิ้งค์

    http://noconditionlove.blogspot.com/2008/07/blog- post.html
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 สิงหาคม 2010
  12. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    Believe In The Inner Master (Supreme Master Ching Hai lecture)

    ลองไปฟังการบรรยายธรรมโดยท่านอนุตรจารย์ชิงไห่กันบ้างครับ
    มี subtitle แปลไว้ถึง 20 ภาษาเลยทีเดียว

    <EMBED src=http://www.youtube.com/v/LMQf0oTQkyE&hl=en_US&fs=1 width=480 height=385 type=application/x-shockwave-flash allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true">

    ส่วน link ข้างล่างนี้น่าจะเป็นเวปหลักที่เป็นภาษาไทย
    http://www.godsdirectcontact-thai.org/biography.htm
     
  13. สงบระงับ

    สงบระงับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    660
    ค่าพลัง:
    +2,919
    ขอบคุณ คุณ mead สำหรับข้อมูลดีๆที่นำมาแบ่งปัน ยังไม่มีความคิดเห็นใดๆ ในขณะนี้เพราะความรู้สึกที่อยู่ในใจนั้นไม่สามารถถ่ายทอดเป็นตัวอักษรได้ รู้แต่ว่า สิ่งที่กล่าวได้ ในขณะนี้คือคำว่า ขอบคุณจริงๆ
     
  14. สาน์สทิพย์

    สาน์สทิพย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +113
    ข้อมูลดีมากค่ะ และเยอะมาก ฟังและอ่านยังไม่หมด
    แต่ให้แง่คิด และการปฏิบัติด้วย เยี่ยมจริงๆ
    ตอนนี้ มิติต่างๆคงเริ่มเปิดข้อมูลใทห้พวกเราได้รับรู้และเข้าใจมากยิ่งขึ้น
    อยากทราบว่า ท่านผูรู้จากฮาวาย จะมาในเดือนสิงหานี้ เมื่อไหร่ ที่ไหนคะ ยังไงคะ
     
  15. dalink

    dalink เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    402
    ค่าพลัง:
    +2,436


    คำถามนี้ก็คงยังเป็นปริศนาอยู่ค่ะ ตอนนี้

    ยังไงๆ ก้อรอข่าวจากยูทูป หรือในกระทู้แห่งนี้แล้วกันนะคะ

    ถ้ามีข่าวอะไร ทางเจ้าของกระทู้ก็คงแจ้งให้ทราบ

    มีข้อให้พิจารณานิดนึงคือ ถ้าฟังจากตอน

    mission for angelic human race .กลุ่มมนุษย์ เทพ code111#1


    แล้วจะรู้ว่า คนที่มีหน้าที่เกี่ยวข้อง จะมีเหตุผลักดันให้อยากเข้า

    มาร่วมกลุ่ม เพื่อทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายค่ะ และที่สำคัญจะได้หมายเลข

    ด้วย โดยที่เราเองก็ไม่รู้ตัว
     
  16. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    ล่าสุด พี่ไร้เงา (พี่ไก่) ผู้รับคลื่นสื่อสารต่างมิติที่เป็นคนไทย
    ได้กลับมาเมืองไทยแล้วจริงๆครับ
    และเดินทางไปพบพี่สุดใจเขากะลาที่นครสวรรค์ เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมานี้
    เร็วๆนี้อาจมีการพบปะกัน สำหรับผู้ที่สนใจ ก็จะแจ้งข่าวผ่านกระทู้นี้ครับ
    รายละเอียด ตามไปอ่านกันได้ที่กระทู้เขากะลาเลยครับ

    รวมรวมข่าวสารโดยทีมงานเขากะลาเเละพูดคุยเรื่องทั่วไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 สิงหาคม 2010
  17. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    สรุป ว่า First Meeting กับ พี่ไก่ (ผู้รับคลื่นสื่อสารต่างมิติที่เป็นคนไทย)
    พี่เค้ายินดีที่จะลงมาพูดคุยสนทนากับผู้ที่สนใจในวันเสาร์ที่ 21 สค. นี้ครับ เวลาบ่ายสามโมง

    ครั้งนี้จะชวนเฉพาะผู้ที่สนใจกลุ่มเล็กๆก่อนน่ะครับ
    และถ้าพี่เค้าสะดวกจัดการพบปะสนทนากับผู้สนใจในวงกว้างอีกเมื่อไหร่
    ก็จะแจ้งให้ทราบกันอีกครั้ง
    ถ้ามีอะไรที่พอจะบอกเล่าได้ก็จะมาส่งข่าวเพิ่มเติมภายหลังครับ



    หากมีท่านใดที่สนใจจริงๆ
    สามารถโทรมาสอบถามได้ที่เบอร์นี้ครับ 089 6679661
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 สิงหาคม 2010
  18. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    ขอเลื่อนเวลาเป็น บ่ายสามใมง นะครับ เผื่อใครติดงานจะได้มาทัน
    ทีมแปลคุณชยุตก็มากันหลายคน ตอนนี้ประมาณ 10-15 คนแล้ว
    ส่วนรายละเอียดสำคัญๆจะนำมาเล่าให้ฟังนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 สิงหาคม 2010
  19. talkjoss

    talkjoss เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2010
    โพสต์:
    696
    ค่าพลัง:
    +2,252
    ขอรอรับข่าวสารผ่านกระทู้นี้ด้วยคนนะครับ... (^_^)
     
  20. แม่นายมล

    แม่นายมล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    1,069
    ค่าพลัง:
    +6,258
    คุณ mead เผื่อที่นั่งให้ด้วย ถ้าติดขัดยังไงบอกล่วงหน้านะคะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...