เชิญชมภาพวัดแคราชานุวาส

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย kea.99999, 12 ตุลาคม 2009.

  1. kea.99999

    kea.99999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2009
    โพสต์:
    675
    ค่าพลัง:
    +1,297
    รวมภาพการถวายกฐินสามัคคี 8/12/51
    [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]
    [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]
    [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]
    [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]
    [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]
    [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]
    [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]
    [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]
    [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]
    [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]
     
  2. kea.99999

    kea.99999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2009
    โพสต์:
    675
    ค่าพลัง:
    +1,297
  3. kea.99999

    kea.99999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2009
    โพสต์:
    675
    ค่าพลัง:
    +1,297
    [​IMG][​IMG][​IMG]


    ...พระคาถาหลวงปู่...



    "นะโม โพธิสัตโต อาคันติมายะ อิติ ภะคะวา"



    จัดดอกไม้ธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย และคุณบิดามารดา คุณครูบาอาจารย์ แล้วว่า..นะโมฯ ๓ จบ..แล้วนำพระเครื่องหลวงปู่ทวดที่มีอยู่เข้าพนมมือเหนือหน้าอก สงบจิตบริกรรมพระคาถา มากน้อยเท่าใดก็ได้ตามปรารถนา เลือกปลุกเสก วันเสาร์ วันอังคาร วันพฤหัสบดี
     
  4. kea.99999

    kea.99999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2009
    โพสต์:
    675
    ค่าพลัง:
    +1,297
    [​IMG][​IMG][​IMG]


    ..ชื่อของหลวงปู่ทวด ที่ประชาชนทั่วไปเรียกตามประวัติมีอยู่ ๖ ชื่อ..



    ๑. "ปู่" เป็นชื่อที่บิดามารดาตั้งเมื่อเกิดใหม่ๆ

    ๒. "สามีราม" เป็นชื่อตามฉายาทางศาสนาเมื่อท่านอุปสมบทเป็พระภิกษุ พระอุปัชฌาย์ให้ชื่อฉายาว่า สามีราโม

    ๓. "สมเด็จพระราชมุนีสามีรามคุณูปรมาจารย์" เป็นชื่อพระราชทานสมณศักดิ์ เมื่อครั้งท่านแก้ปริศนาธรรมชนะแก่พราหมณ์ ฑูตเมืองลังกา

    ๔. "สมเด็จเจ้าพะโค๊ะ" เมื่อท่านได้รับสมณศักดิ์ชั้นสมเด็จแล้วท่านมาบูรณะปฏิสังขรณ์และอยู่วัดพะโค๊ะ

    ๕. "ท่านลังกา" บ้านสวนนายปัจจุบันอยู่ติดต่อทางทิศใต้ของวัดพะโค๊ะ เดิมเป็นหัวเมืองเรียกว่าเมืองลังกาพะโค๊ะ เมื่อท่านจาริกธุดงค์ไปสถานที่ต่างๆ
    ๖. "หลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด" เรียกย่อว่า "หลวงปู่ทวด" เพราะท่านเป็นพระที่สำคัญมีพลังทางจิตสูงมีปาฏิหาริย์ศักดิ์สิทธิ์ สามารถทำน้ำเค็มให้เป็นน้ำจืด
     
  5. kea.99999

    kea.99999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2009
    โพสต์:
    675
    ค่าพลัง:
    +1,297
    [​IMG][​IMG][​IMG]
    ...ชาติกำเนิดและเหตุอัศจรรย์ในวัยเด็ก..
    มีสามีภรรยาคู่หนึ่ง ชื่อ นายหูและนางจัน เป็นคนยากจนแต่ตั้งมั่นอยู่ในศีลธรรมอันดีงาม เมื่อถึงวันพระก็ได้เข้าวัดทำบุญทำทานสมาทานศีลและฟังธรรมเป็นประจำ นายหูและนางจัน ปลูกบ้านเรือนอยู่ในที่ดินของเศรษฐีปานเจ้าของสวนจันทร์ ปัจจุบันชื่อว่า เลียบ หมู่ที่ ๑ ตำบลดีหลวง อำเภอสะทิ้งพระ จังหวัดสงขลา เศรษฐีปานผู้นี้มีข้าทาสและลูกหนี้มากมาย นายหูและนางจันก็เป็นลูกหนี้ของเศรษฐีปานด้วย ต่อมานางจันได้คลอดบุตรชาย เมื่อวันศุกร์ที่๔ ปีมะโรง พ.ศ.๒๑๒๕ ในวันที่ถึงกำหนดคลอดนั้นได้เกิดแผ่นดินไหวอันเป็นที่อัศจรรย์อย่างยิ่ง นายหูบิดาได้เอารกบุตรชายไปฝังไว้ที่ใต้ต้นเลียบ ซึ่งอยู่ใกล้สวนจันทร์ของเศรษฐีปาน ซึ่งต้นเลียบต้นนั้นได้เจริญงอกงาม จนปัจจุบันนี้มีลำต้นใหญ่มาก ประชาชนนับถือกันว่าเป็นส่งศักดิ์สิทธิ์ ครั้งนั้นเป็นเทศกาลเดือน๔ อันเป็นฤดูเกี่ยวข้าว เศรษฐีปานจึงเร่งรัดข้าทาสชายหญิงและลูกหนี้ให้ไปเกี่ยวข้าวในนา นางจันซึ่งเพิ่งคลอดขอผลัดเอาไว้ แต่เศรษฐีปานไม่ยอมยกเว้น ยังคงเร่งรัดให้นางจันไปเกี่ยวข้าวให้ได้ ดังนั้นเพื่อเป็นการชดเชยกับการชำระหนี้ ในวันรุ่งขึ้น นางจันจึงออกไปเกี่ยวข้าวในนา โดยให้บุตรอยู่ในเปล ซึ่งมีผ้าผูกขึงระหว่างต้นไม้ใหญ่ ครั้นได้เวลาสมควร นางจันขึ้นจากนามาดูบุตรเพื่อให้กินนม นางจันตกใจเป็นอันมาก เมื่อเห็นงูใหญ่ขนาดเท่าต้นหมาก นอนขดอยู่รอบๆเปลที่บุตรของนางนอนอยู่ จึงร้องตะโกนให้คนช่วยแต่ไม่มีผู้ใดช่วยได้ ในที่สุดนางจึงนั่งลง พนมมือไหว้ ระลึกถึงคุณบิดามารดา คุณพระศรีรัตนตรัย และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายให้ช่วยคุ้มครองบุตร ซึ่งการแผ่จิตของนางได้ผลอย่างยิ่ง เพราะในบัดดลนั้น งูใหญ่ได้เลื้อยไปและนางได้เห็นแก้วขนาดใหญ่เท่าไข่นกพิราบมีสีเป็นประกายแวววาว วางอยู่ในฝ่ามือของบุตร ทำให้เศรษฐีปานเกิดความโลภ อยากได้ดวงแก้วมาเป็นสมบัติของตน จึงขอดวงแก้วจากนางจันโดยยินยอมยกที่นาและข้าวในนาให้เป็นการแลกเปลี่ยน ตอนแรกนาง ไม่ยินยอมเพราะแก้วนั้นเป็นของบุตร แต่เศรษฐีปานก็ไม่ละความพยายามยังคงเพิ่มทรัพย์สินเงินทองให้นางจันอีกมากมาย จนในที่สุด นางรู้สึกเกรงใจในฐานะที่เคยเป็นลูกหนี้มาก่อน จึงมอบดวงแก้วให้ เมื่อนายหู ทราบเรื่อง จขึงรู้สึกเสียใจมาก จึงขอร้องให้นางจันไปขอดวงแก้วคืน ฝ่ายเศรษฐีปาน เมื่อได้ดวงแก้วไป ปรากฏว่าบุตรและภรรยาได้เกิดล้มป่วยลงอย่างกะทันหัน ส่วนเศรษฐีเมื่อนอนหลับ ฝันเห็นลางร้ายว่าจะต้องตายกันทั้งครอบครัว จึงนำดวงแก้วพร้อมด้วยทรัพย์สินมาทำขวัญและขอขมาต่อบุตรของนางจัน ส่วนที่ดิน นา และข้าวที่มอบให้แล้วไม่เอากลับคืน มอบให้บุตรของนางจันด้วย เพราะขณะนั้นเศรษฐีปานได้เกิดศรัทธาในตัวบุตรชายของนางจัน ดังนั้น ฐานะความเป็นอยู่ของนายหูและนางจันจึงได้พ้นจากความยากจนขึ้นมาทันที ทั้งนี้เพราะบารมีของบุตรชาย โดยนายหูและนางจัน ตั้งชื่อบุตรชายว่า " ปู "

    <!-- / message --><!-- attachments -->
     
  6. kea.99999

    kea.99999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2009
    โพสต์:
    675
    ค่าพลัง:
    +1,297
    [​IMG][​IMG][​IMG]
    ...การศึกษา...


    เมื่อเด็กชายปู่อายุได้ ๗ ปี นายหูได้นำเด็กชายปู่ ไปฝากไว้กับสมภารจวง เจ้าอาวาสวัดกุฎีหลวง (วัดดีหลวง)เพื่อให้เล่าเรียนหนังสือ เด็กชายปู่มีความเฉลียวฉลาดมากสามารถเรียนทั้งหนังสือขอมและไทยได้อย่างรวดเร็ว ครั้นอายุได้ ๑๕ ปี สมภารจวงก็บวชสมาเณรให้ พร้อมกันนั้น นายหูผู้บิดาได้มอบดวงแก้ววิเศษไว้เป็นของประจำตัวด้วย ต่อมาสามเณรปู่ได้ศึกษาต่อกับสมเด็จพระชินเสน ที่วัดสีหยั่ง (สีคูยัง)อำเภอระโนด จังหวัดสงขลา ซึ่งพระชินเสนองค์นี้เป็นอาจารย์ที่เชี่ยวชาญ มีชื่อเสียงมาจากกรุงศรีอยุธยา เมื่อเรียนธรรมบททศชาติมูลบทบรรพกิจจบ จึงเดินทางไปศึกาต่อที่เมืองนครศรีธรรมราช ครั้นอายุได้ ๒๐ ปีบริบูรณ์ ขุนลก ก็นำสามเณรปู่ไปสู่สำนัก พระมหาเถระปิยะทัสสี เพื่อขออุปสมบทบวชเป็นภิกษุ เนื่องจากเวลานั้นที่วัดท่าแพ ยังไม่มีพัทธสีมา ขุนลก จึงได้จัดเรือมาดตะเคียนลำหนึ่ง เรือมาดพยอมลำหนึ่ง และเรือมาดยางลำหนึ่ง เอามาผูกขนานกันที่คลองท่าเรือเพื่อใช้เป็นที่อุปสมบทแก่สามเณรปู่ โดยมีญาติพี่น้องทั้งหลายได้มาร่วมในพิธีอุปสมบทโดยพร้อมเพรียงกัน ในพิธีอุปสมบทมีพระมหาปิยะทัสสีเป็นพระอุปัชฌาย์ พระมหาพุทธสาครเป็นพระกรรมวาจา พระมหาเถระศรีรัตน์เป็นอนุกรรมวาจา สามเณรปู่เมื่ออุปสมบทแล้วมีฉายาว่า
    "สามีราโม"แต่คนทั่วไปเรียกว่า "เจ้าสามีราม" เจ้าสามีรามได้ศึกษาอยู่ที่วัดท่าแพ เมื่อเห็นว่าเพียงพอแก่การศึกษาที่เมืองนครศรีธรรมราชแล้ว จึงตั้งใจจะไปศึกษาต่อที่กรุงศรีอยุธยา เมื่อทราบข่าวว่ามีเรือสำเภาของนายอินชาวเมืองสทิ้งพระ จะไปค้าขายยังกรุงศรีอยุธยา และมาแวะที่เมืองนครศรีธรรมราช จึงขอโดยสารเรือสำเภอนั้นไปกรุงศรีอยุธยา ซึ่งนายสำเภาอินก็อนุโมทนารับนิมนต์ไปกับสำเภานั้น<!-- / message -->
    <!-- / message --><!-- attachments -->
     
  7. kea.99999

    kea.99999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2009
    โพสต์:
    675
    ค่าพลัง:
    +1,297
    [​IMG][​IMG][​IMG]

    ...อภินิหารของพระภิกษุสามีราม...



    เจ้าสามีรามโดยสารเรือสำเภาของนายอินเพื่อขึ้นไปศึกษาธรรมะเพิ่มเติมที่กรุงศรีอยุยา ครั้นเรือสำเภาแล่นเข้าเขตหน้าเมืองชุมพร ได้บังเกิดคลื่นลมแรงทะเลปั่นป่วน เรือไม่สามารถฝ่าคลื่นลมไปได้ ต้องทอดสมอ อยู่กลางทะเลประมาณ๗ วัน ๗ คืน เป็นเหตุให้เสบียงอาหารรวมทั้งน้ำจืดที่มีอยู่ในเรือสำเภาหมดลง บรรดาลูกเรือต่างตั้งข้อสงสัยกันว่า การเกิดอาเพธขึ้นคงเป็นเพราะเจ้าสามีรามโดยสารมาในเรือ ดังนั้น นายสำเภาอินและลูกเรือต่างตกลงใจให้ส่งเจ้าสามีรามขึ้นเกาะ จึงนิมนต์ให้เจ้าสามีรามลงเรอืมาด เพื่อปล่อยขึ้นฝั่งตามยถากรรม เจ้าสามีรามจึงได้แสดงอภินิหาร โดยหย่อนเท้าข้างซ้ายซึ่งมีลักษณะทู่ จากกาบเรือมาด ลงในน้ำทะเล ก็เกิดอัศจรรย์ น้ำทะเลบริเวณนั้นเป็นประกายแวววาวโชติช่วง แล้วบอกให้ลูกเรือตักชิม ปรากฏว่าน้ำทะเลในบริเวณนั้นจืดสนิท นายอินและลูกเรือเห็นประจักษ์ในอภินิหาร รู้สำนึกผิด จึงนิมนต์ท่านกลับขึ้นเรือใหญ่และกราบขอขมา นับถือเจ้าสามีรามเป็นอาจารย์แต่นั้นมา แล้วจึงเดินทางต่อไปยีงกรุงศรีอยุธยา เมื่อมาถึงกรุงศรีอยุธยา นายสำเภาอิน ก็ได้นิมนต์เจ้าสามีรามไปพำนักอยู่ที่วัดแค สมภารได้ให้ความอนุเคราะห์เป็นอย่างดี สำเภาอินได้ปฏิบัตติตนเป็นโยมอุปัฏฐาก อีกทั้งได้มอบหมายทาสคนหนึ่งชื่อ นายจันไว้คอยปฏิบัติด้วย ต่อมาสามีรามได้ไปศึกษาธรรมะที่วัดลุมพลีนาวาส เมื่อสำเภาอินกลับมาหนหลังได้นิมนต์เจ้ามามีรามไปพำนักอยู่ที่วัดของสมเด็จพระสังฆราช และได้ศึกษาธรรมะและภาษาบาลี ณ สำนักนั้น จนมีความรู้ความเชี่ยวชาญ จึงขอลาสมเด็จพระสังฆราชไปจำพรรษาที่วัดแคราชานุวาส ซึ่งอยู่นอกกำแพง เนื่องจากสงบเงียบ..
     
  8. kea.99999

    kea.99999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2009
    โพสต์:
    675
    ค่าพลัง:
    +1,297
    [​IMG][​IMG][​IMG]
    ...การช่วยชาติบ้านเมืองของเจ้าสามีราม...


    ในขณะที่พระภิกษุปู่พำนักอยู่ที่วัดแคราชานุวาส นอกกำแพงเมืองกรุงศรีอยุธยา ขณะเดียวกัน(ประมาณ พ.ศ.๒๑๔๙)พระเจ้าอัฐคามินี พระเจ้ากรุงลังกา มีพระประสงค์จะได้กรุงศรีอยุธยาไว้เป็นเมืองขึ้นโดยสันติวิธี โดยดำเนินสงครามแบบใหม่เรียกว่า"ธรรมยุทธ" เพราะเห็นว่า กรุงศรีอยุธยาเพิ่งเสร็จจากสงครามใหม่ๆเข้าใจว่าการพระพุทธศาสนา ต้องด้อยลงถ้าท้าพนันเมืองกันในการแปลธรรมะคงหาผู้เชี่ยวชาญมาแปลไม่ได้คงต้องพ่ายแพ้จึงให้ช่างตีแผ่นทองคำให้เป็นแผ่นเล็กๆจารึกอักขระจากพระคาถาของพระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ อักขระแต่ละคำแยกเป็นแผ่นๆ ๗ คัมภีร์ จึงแบ่งได้ ๗ แม่ขันทอง เมื่อจัดเรียบร้อยแล้ว ก็จัดเครื่องบรรณาการอีก ๗ สำเภาใหญ่ โดยมอบหมายให้พราหมณ์ ราชฑูต ๗ คน นำพระราชสานส์เข้าเฝ้าสมเด็จพระเอกาทศรถ ท้าพนันแปลพระธรรมให้แล้วเสร็จภายใน ๗ วัน หากไม่มีผู้ใดแปลได้ กรุงศรีอยุธยาจะต้องตกเป็นเมืองขึ้นของกรุงลังกา และจำต้องส่งเครื่องราชบรรณาการเป็นประจำทุกปี สมเด็จพระเจ้าเอกาทศรถจึงมีพระบรมราชโองการป่างร้องแก่ภอกษุทั้งหลาย มีหนังสือบอกไปยังวัดวาอารามต่างๆทั้งในพระนครหลวงและต่างเมืองให้จัดหาภิกษุที่เป็นนักปราชญ์มากอบกู้บ้านเมือง ครั้งนั้นมีพระภิกษุแสดงความจำนงเข้าแปลคัมภีร์เป็นจำนวนมาก แต่เมื่อถึงเวลาแปลจริงๆก็ยังไม่มีภิกษุองค์ใดทำการแปลได้สำเร็จ จนเวลาล่วงไปถึง ๖ วัน เหลือเวลาเพียง ๑ วันก็จะครบตามสัญญาซึ่งเป็นวันชี้ชะตากรรมของประเทศว่าจะต้องอยู่ในสภาพเช่นไร ในภาวะคับขันนี้มีผู้เฒ่าหลายท่านระลึกได้ว่าพระไตรปิฎกฉบับหนังสือขอมก็เคยเผยแพร่ไปจากเมืองลังกา(พะโค๊ะ)ลัทธิลังกาวงศ์ก็สืบเนื่องมาจากเมืองลังกา(พะโค๊ะ)เพราะเหตุนี้จึงทำให้ทุกคนระลึกได้ว่าผู้ชำนาญในการแปลคัมภีร์นี้คงเป็นผู้มาจากเมืองลังกาแน่นอน ในราตรีนั้นเอง สมเด็จพระเอกาทศรถพระพุทธเจ้าอยู่หัว ทรงสุบินนิมิตว่า มีพญาช้างเผือกเชือกหนึ่งวิ่งมาจากทางทิศใต้เข้าสู่พระบรมมหาราชวัง พระพุทธเจ้าอยู่หัวตกพระทัยเป็นอันมาก ทรงตื่นจากพระบรรทม และดำริว่า คราวนี้ประเทศอาจจะตกเป็นเมืองขึ้นของลังกาก็ได้ จึงให้โหราธิบดีเข้ามาทำนาย พระโหราธิบดีคำนวนกฤษ์ยามแล้ว กราบบังคมทูลให้ทรงทราบว่า ชะตาบ้านเมืองจะรุ่งเรืองกว่าเดิมเพราะมีนักปราชญ์มาจากทิศใต้เป็นผู้ช่วยเหลือในการแปลธรรมครั้งนี้ ขุนนางจึงได้นิมนต์เจ้าสามีรามที่วัดแคราชานุวาสเข้าสู่พระราชฐานท้องพระโรง ก่อนเข้าท้องพระโรงสัตบุรุษจันได้ตักน้ำมาล้างเท้าให้เจ้าสามีราม เจ้าสามีรามจึงย่างเท้าขึ้นไปเหยียบบนแผ่นศิลาทำให้แผ่นศิลานั้นแยกออกด้วยอำนาจอภินิหาร เป็นที่อัศจรรย์ยิ่งนัก เมื่อเข้าไปยังท้องพระโรง พราหมณ์ราชฑูตทั้ง ๗ ก็กล่าวขึ้นท่ามกลางที่ประชุมว่า กษัตริย์พาเด็กเข้ามาแก้ปริศนา ซึ่งเจ้าสามีรามได้ให้กรรมการจดบันทึกคำพูดนั้นไว้พร้อมกับถามพราหมณ์ราชฑูตว่า กุมารที่ออกจากครรภ์มารดากี่วันจึงจะนั่ง กี่วันจึงจะคลาน ท่านทราบหรือไม่ พราหมณ์ทั้ง ๗ กล่าวแก้ไม่ได้ หลังจากนั้น เจ้าสามีรามก็ตรงไปยังเตียงทองซึ่งจัดไว้เป็นที่รองรับอักขระธรรมะนั้น เจ้าสามีรามทำวัตรปฏิบัติธรรมแก่พระอภิธรรม แล้วเอาอักขระแต่ละขันออกมาเรียง จึงทราบว่ายังขาดอักขระอยู่ ขันละ ๑ ตัว คือ สํ วิ ธา ปุ กะ ยะ ปะ ท่านจึงทวงถามเอาจากพราหมณ์ทั้ง ๗ คน พราหมณ์ทั้ง ๗ คน จึงเอาอักขระที่ซ่อนไว้ในมวยผม ส่งมอบให้เจ้าสามีราม ด้วยบุญญาบารมีของท่านที่ได้จุติลงมาโปรดสัตว์ในพระพุทธศาสนาประกอบกับโชคชะตาของประเทศชาติบ้านเมืองจะไม่เสื่อมเสียอธิปไตย ท่านได้เรียบเรียงคัมภีร์ได้ถูกต้องทุกประการ โดยไม่ติดขัดประการใด พราหมณ์ทั้ง ๗ จึงยอมแพ้ ก้มลงกราบเจ้าสามีรามด้วยคงามเคารพเลื่อมใสยิ่งและถวายเงินทองของมีค่าในสำเภาทั้ง ๗ ลำ แล้วเดินทางกลับกรุงลังกา พระมหาธรรมราชาทรงโสมนัสยินดีเป็นอย่างยิ่ง จึงทรงแต่งตั้งให้ดำรงสมณศักดิ์พระราชทานนามว่า " พระราชมุนีสามีรามคุณูปมาจารย์ " แต่นั้นมา...

    <!-- / message --><!-- attachments -->
     
  9. kea.99999

    kea.99999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2009
    โพสต์:
    675
    ค่าพลัง:
    +1,297
    [​IMG] หมอฟอร์ด
    <HR style="COLOR: #cccccc" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->[​IMG] ฟื้นประวัติศาสตร์ของจริง วัดแค ราชานุวาส หนึ่งในวัดที่เกี่ยวของกับสมเด็จพระราชมุนี ที่มีหลักฐานปรากฏในประวัติศาสตร์กรุงศรีอยุธยา

    วัดแคราชานุวาส ตั้งอยู่ในตำบลหัวรอ อยู่กลางเกาะเล็กๆมีหลายวัดอยู่เคียงข้างเป็นวัดที่มีการค้นพบกุฏิอิฐดินเผาและหลังคาลายเทพพนมสมัยอยุธยาพร้อมด้วยพระพุทธรูปที่ขุดพบบริเวณวัดแคราชานุวาสเอง วัดนี้มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับสมเด็จพระราชมุณี จริงๆ ซึ่งวัดนี้เองเป็นวัดที่พำนักของหลวงพ่อทวดตอนเรียนพระธรรมศึกษาหาความรู้ไปกลับกับวัดลุมพลีนาวาสซึ่งปัจจุบันไม่เหลือหลักฐานอันใดไว้แต่เป็นบริเวณเดียวกันกับที่ตั้งของมัสยิดในปัจจุบันดังนั้นวัดแคราชานุวาสจึงเป็นที่พำนักหาความรู้ของหลวงพ่อทวดนั่นเองหรืออีกนัยเป็นวัดที่ทำให้หลวงพ่อทวดได้สมญานามว่าสมเด็จพระรามนัีกปราชน์เมื่อครั้งตอบปัญหาธรรมจากชาวลังกาได้ชัยชนะเมื่อครั้งนั้นนั่นเอง และหลวงพ่อทวดได้ดำรงตำเเหน่งสมเด็จพระราชมุณี ภายหลังท่านได้ตอบปัญหาธรรม ชนะเมื่อครั้งนั้น ได้ครองวัดภูเขาทองแห่งกรุงศรีอยุธยา ครองการปกครองพระฝ่ายหัวเมืองฝ่ายเหนือ (เหนืออยุธยา) เคียงคู่กับสมเด็จพระพันรัต ซึ่งเป็นตำแหน่งครองฝ่ายใต้ ซึ่งหมายความว่าสมเด็จพระราชมุณี เป็นตำแหน่ง ไม่ใช่ชื่อแต่อย่างใด และวัดแคนี้อาจเป็นเพียงวัดเดียวในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาที่ตระหนักถึงความสำคัญทางประวัติศาสตร์ ที่น่าภาคภูมิใจของสมเด็จพระราชมุณีหรือหลวงพ่อทวดที่ตอนนี้จะทำการสถาปนาเททองหล่อหลวงพ่อทวดปางธุดงค์ที่ใหญ่ที่สุดในวัดสายตรงหลวงพ่อทวดแห่งจังหวัดอยุธยา ซึ่งนับว่าเป็นครั้งประวัติศาสตร์และมีความสำคัญยิ่งควรแก่การร่วมบุญบารมีในครั้งนี้ที่นับว่าครั้งนี้จะเป็นประวัติศาสตร์สำคัญในการฟื้นฟูประวัติที่ถูต้องของหลวงพ่อทวดที่อิงประวัติศาสตร์์จริงไม่ใช่ตำนานหรือนวนิยายใดๆ[​IMG]
    <!-- / message --><!-- edit note -->
     
  10. kea.99999

    kea.99999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2009
    โพสต์:
    675
    ค่าพลัง:
    +1,297
    [​IMG] หมอฟอร์ด
    <HR style="COLOR: #cccccc" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->[​IMG] ที่มายอดมวลสารสายตรงหลวงพ่อทวด

    กล่าวอย่างไม่อายใครพระรุ่นต่างๆที่ข้าพเจ้าสร้างในงานสาธารณกุศลทุกงานได้รับหนึ่งยอดแห่งมวลสารคือ อิฐกุฏิหลวงพ่อทวด และ หลังคาเทพพนม ของ วัดแคราชานุวาสนั่นเอง
    และครั้งนี้วัดแคราชานุวาส มี พระอาจารย์ชัชวาล เจ้าอาวาสได้บอกบุญเรื่องมวลสารมายังข้าพเจ้า ข้าพเจ้าแสนจะยินดียิ่งที่จะมอบมวลสารสายตรงหลวงพ่อทวดล้วนๆชนิดหัวเชื้อเพียวๆ อันประกอบด้วย อิฐโบราณ ยอดเจดีย์ วัดพะโค๊ะ วัดดีหลวง ต้นเลียบ ดินก้นกรุเจดีย์ศรีวิชัยแห่งวัดสีหยัง วัดที่สำคัญแถวคาบสมุทรสทิงพระ รวมทั้งมวลสารแห่งเมืองนครอันได้แก่อิฐวัดเสมาเมือง อิฐวัดท่าเรือกรุท่าเรือนาฏศิลป์ รวมทั้งดินที่พักพระศพทุกที่ที่มาเลเซีย มอบให้กับ ทางวัดแคราชานุวาสด้วยความยินดีและภาคภูมิใจที่ได้มีส่วนร่วมบุญใหญ่ครั้งนี้

    จึงขอเชิญชวนทุกท่านร่วมหล่อหลวงพ่อทวดปางธุดงค์ที่วัดแคราชานุวาสในวันที่ ๘ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๕๑ โดยพร้อมเพียงกันนะครับ
     
  11. kea.99999

    kea.99999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2009
    โพสต์:
    675
    ค่าพลัง:
    +1,297
    [​IMG] ทองดี
    <HR style="COLOR: #cccccc" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->เรียนคุณหมอฟอร์ด และท่านสมาชิกทุกท่าน ท่านเจ้าอาวาส วัดแค(ราชานุวาส) อยุธยา ฝากข่าวและฝากรูปภาพการดำเนินงานและความคืบหน้าของการสร้าง หลวงปู่ทวด(แบบธุดงค์) มาถึงคุณหมอฟอร์ดและสมาชิกทุกท่าน ขอความอนุเคราะห์จาก คุณหมอฟอร์ดและท่านสมาชิกทุกท่าน ช่วยกันเผ่ยแพร่และกระจ่ายข่าวต่อๆกันด้วยครับ อนุโมทนาบุญกับทุกท่านครับ

    ทองดี

    มีรูปภาพ การตอกโค๊ดเหรียญ การปั๊มพระในพระอุโบสถ การเยี่ยมชมโรงหล่อของท่านเจ้าอาวาส ฯลฯ
    <!-- / message --><!-- attachments --><FIELDSET class=fieldset><LEGEND>รูปขนาดเล็ก</LEGEND>[​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    </FIELDSET>
     
  12. kea.99999

    kea.99999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2009
    โพสต์:
    675
    ค่าพลัง:
    +1,297
    [​IMG] ทองดี
    <HR style="COLOR: #cccccc" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->ภาพที่1 ท่านเจ้าอาวาสไปตรวจเยี่ยมที่โรงหล่อ ภาพที่ 2 ชิ่นส่วนหลวงปู่ทวดที่เตรียมเคลื่อนย้ายมาประกอบที่วัด ภาพที่3 พระคุณเจ้าช่วยกันตอกโค้ดป้องกันการปลอม ภาพที่5-7-8-9 มวลสารต่างๆที่คุณหมอฟอร์ดถวายวัดมา และของทางวัด เช่นข้าวสารดำ แร่เกาะล้าน ชิ้นส่วนพระพุทธรูป อิฐเก่าจากกุฏิหลวงปู่ทวด ภาพที่6 การปั๊มพระแบบลอยองค์
     
  13. kea.99999

    kea.99999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2009
    โพสต์:
    675
    ค่าพลัง:
    +1,297
    [​IMG] ทองดี
    <HR style="COLOR: #cccccc" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->1.ภาพพระประธานในพระอุโบสถ 2.ภาพมวลสารต่างๆ 3.ภาพปั๊มพระกันในพระ 4.อุโบสถต่อหน้าพระประธานครับ 5.ท่านเจ้าอาวาสวัดต่างๆที่มาช่วยงานครับ 6.พระคุณเจ้ามารับจองพระที่บริเวณ ตรงข้ามพระราชวังจันทร์เกษม ก่อนถึงตลาดหัวรอเพื่อความสะดวกของญาติโยม
    <!-- / message --><!-- attachments --><FIELDSET class=fieldset><LEGEND>รูปขนาดเล็ก</LEGEND>[​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG]
    </FIELDSET>
     
  14. kea.99999

    kea.99999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2009
    โพสต์:
    675
    ค่าพลัง:
    +1,297
    [​IMG] หมูตู้
    <HR style="COLOR: #cccccc" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->ขออนุโมทนาด้วยครับ.. ผมเองก็เคยคิดว่าจะทำอย่างไรให้วัดราชานุวาสเป็นที่รู้จักให้คนได้รู้ความสำคัญ หากจะว่าไปแล้วตามประวัติหลวงปู่ทวดท่านใช้ชีวิตกว่า 40 ปีเศษที่อยุธยา (คือท่านมาเมื่อราวๆ 26 ปี หลังจากศึกษาที่นครศรีธรรมราชและเดินธุดงค์กลับตามหลักฐานวัดพะโค๊ะว่าราวๆ 80 กว่าปี) แต่กลับไม่มีสิ่งใดเป็นสัญญลักษณ์บอกถึงความสำคัญขออนุญาตเสนอนะครับ

    1.) ผมเห็นป้ายประชาสัมพันธ์ของทางวัดว่า "พระอริยสงฆ์องค์ใดมีกลีบบัวรองรับ มีคำตอบที่วัดแค" อะไรทำนองนี้ แต่ผมว่าหากเปลี่ยนเป็น
    "ท่านทราบหรือไม่ว่าหลวงปู่ทวดอยู่อยุธยามากว่า 40 ปีที่วัดใด? มีคำตอบที่วัดราชานุวาส"
    จะดีกว่ามั๊ยครับ ดูเป็นการเฉพาะด้วย

    2.) ความน่าสนใจว่าทำไมจะต้องเป็นรูปหลวงปู่ทวดปางธุดงค์ด้วย ผมว่าหลายคนคงอยากจะรู้ว่าวัดราชานุวาสที่เลือกสร้างปางธุดงค์เพราะเหตุใด? อันนี้ก็เป็นจุดน่าสนใจในการโฆษณา

    3.) หากสามารถสนับสนุนพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว ผมว่ามีเสน่ห์มากโดยเฉพาะการเดินทางที่ต้องนั่งเรือไปไหว้หลวงปู่ทวดที่วัด

    ผมเคยคุยกับพี่ทองดีมาแล้วที่วัดสะแก ดีใจครับที่เห็นความคืบหน้าของการทำงานของวัด ขออนุโมทนาอีกครั้ง
     
  15. kea.99999

    kea.99999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2009
    โพสต์:
    675
    ค่าพลัง:
    +1,297
    [​IMG] (ก๊อบ)
    <HR style="COLOR: #cccccc" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->
    [​IMG]

    นัยยะแห่งภาพ : หลังจากที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชเป็นเจ้า
    ได้ประกาศอิสรภาพคืนความเป็นไทยแก่แผ่นดินแล้ว
    ในรัชสมัยต่อมาแห่งสมเด็จพระเอกาทศรถ
    หลวงปู่ทวด ได้เดินทางมาช่วยให้แผ่นดินสยาม
    รอดพ้นจากวิกฤตด้วยพระบารมีและปัญญาอันสูงล้ำ
    จึงทำให้สมเด็จพระเอกาทศรถเดินหน้านำพาแผ่นดินสยาม
    เป็นปึกแผ่น ปวงประชาเป็นสุขปราศซึ่งสงคราม
    ยาวนานมาอีกกว่าศตวรรษ...
    [​IMG]

    เมื่อหลวงปู่ทวดถึงกรุงศรีอยุธยา ก็ได้ไปพำนักอยู่ที่วัดแค
    ศึกษาธรรมะที่ วัดลุมพลีนาวาส
    ต่อมาได้ไปพำนักอยู่ที่วัดของสมเด็จพระสังฆราช
    ได้ศึกษาธรรมและภาษาบาลี ณ ที่นั้น
    จนเชี่ยวชาญจึงทูลลาสมเด็จพระสังฆราชไปจำพรรษาที่วัดราชานุวาส
    เมื่อประมาณ พ.ศ. 2149 ตรงกับรัชสมัยของสมเด็จพระเอกาทศรถ

    รบด้วยปัญญา

    กระทั่งวันหนึ่งถึงกาลเวลาที่ชื่อเสียงของหลวงพ่อทวด
    หรือเจ้าสามีรามจะระบือลือลั่นไปทั่วกรุงสยาม
    จึงได้มีเหตุพิสดารอุบัติขึ้นในรัชสมัยของพระเอกาทศรถ
    กล่าวคือ สมัยนั้นพระเจ้าวัฏฏะคามินี แห่งประเทศลังกา
    ซึ่งเคยเป็นเมืองขึ้นของอาณาจักรแหลมทองทางภาคใต้
    คิดแก้มือด้วยการท้าพนันแปลธรรมะ
    และต้องการจะแผ่พระบรมเดชานุภาพมาทางแหลมทอง
    ใคร่จะได้กรุงศรีอยุธยามาเป็นประเทศราช
    แต่พระองค์ไม่ปรารถนาให้เกิดศึกสงครามเสียชีวิตแก่ประชาชนทั้งสองฝ่าย
    จึงทรงวางแผนการเมืองด้วยสันติวิธี
    คิดหาทางรวบรัดเอากรุงศรีอยุธยาเป็นเมืองขึ้นด้วยสติปัญญาเป็นสำคัญ
    เมื่อคิดได้ดังนั้น พระเจ้ากรุงลังกาจึงมีพระบรมราชโองการ
    สั่งให้พนักงานท้องพระคลังเบิกจ่ายทองคำบริสุทธิ์
    แล้วให้ช่างทองประจำราชสำนักไปหล่อทองคำเหล่านั้น
    ให้เป็นตัวอักษรบาลีเล็กเท่าใบมะขาม ตามพระอภิธรรมทั้งเจ็ดคัมภีร์
    จำนวน 84,000 ตัว จากนั้นก็ทรงรับสั่งให้พราหมณ์ผู้เฒ่า
    อันมีฐานะเทียบเท่าปุโรหิตจำนวนเจ็ดท่านคุมเรือสำเภาเจ็ดลำ
    บรรทุกเสื้อผ้าแพรพรรณ และของมีค่าออกเดินทางมายังกรุงศรีอยุธยา
    พร้อมกับปริศนาธรรมของพระองค์

    เมื่อพราหมณ์ทั้งเจ็ดเดินทางลุล่วงมาถึงกรุงสยามแล้ว
    ก็เข้าเฝ้าถวายพระราชสาส์นของกษัตริย์ตนแก่พระเจ้าเอกาทศรถ
    มีใจความในพระราชสาส์นว่า

    พระเจ้ากรุงลังกาขอท้าให้พระเจ้ากรุงสยามทรงแปล
    และเรียบเรียงเมล็ดทองคำตามลำดับให้เสร็จภายในกำหนดเจ็ดวัน
    นับแต่วันที่ได้รับพระราชสาส์นนี้เป็นต้นไป
    ถ้าทรงกระทำไม่สำเร็จตามสัญญาก็จะยึดกรุงศรีอยุธยา
    ให้อยู่ใต้พระบรมเดชานุภาพของพระองค์
    และทางกรุงสยามจะต้องส่งดอกไม้เงินดอกไม้ทอง
    อีกทั้งเครื่องราชบรรณาการแก่กรุงลังกาตลอดไปทุกๆ ปี
    เยี่ยงประเทศราชทั้งหลาย

    พระสุบินนิมิต

    เมื่อพระเอกาทศรถทรงทราบความ
    ดังนั้น จึงมีพระบรมราชโองการให้สังฆการี
    เขียนประกาศนิมนต์พระราชาคณะและพระเถระทั่วพระมหานคร
    ให้กระทำหน้าที่เรียบเรียงและแปลตัวอักษรทองคำในครั้งนี้
    แต่ก็ไม่มีท่านผู้ใดสามารถเรียบเรียงและแปลอักษรทองคำในครั้งนี้ได้
    จนกาลเวลาลุล่วงผ่านไปได้หกวัน
    ยังความปริวิตกแก่พระองค์และไพร่ฟ้าประชาชน
    ต่างพากันโจษขานถึงเรื่องนี้ให้อื้ออึงไปหมด

    ครั้นราตรีกาลยามหนึ่งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเข้าพระบรรทม
    ทรงสุบินว่า ได้มีพระยาช้างเผือกลักษณะบริบูรณ์
    เฉกเช่นพระยาคชสารเชือกหนึ่ง ผายผันมาจากทางทิศตะวันตก
    เยื้องย่างเข้ามาในพระราชนิเวศน์
    แล้วก้าวเข้าไปยืนผงาดตระหง่านบนพระแท่น
    พลางเปล่งเสียงโกญจนาทกึกก้องไปทั่วทั้งสี่ทิศ
    เสียงที่โกญจนาทด้วยอำนาจของพระยาคชสารเชือกนั้น
    ยังให้พระองค์ทรงสะดุ้งตื่นจากพระบรรทม

    รุ่งเช้าเมื่อพระองค์เสด็จออกว่าราชการ
    ได้ทรงรับสั่งถึงพระสุบินนิมิตประหลาดให้โหรหลวงฟัง
    และได้รับการกราบถวายบังคมทูลว่า
    เรื่องนี้หมายถึงชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ของพระองค์
    และพระบรมเดชานุภาพจะแผ่ไพศาลไปทั่วสารทิศ
    เป็นที่เกรงขามแก่อริราชทั้งปวง
    ทั้งจะมีพระภิกษุหนุ่มรูปหนึ่งจากทางทิศตะวันตก
    มาช่วยขันอาสาแปลและเรียบเรียงตัวอักษรทองคำปริศนาได้สำเร็จ
    พระเจ้าอยู่หัวได้ฟังดังนั้นจึงค่อยเบาพระทัย
    และรับสั่งให้ข้าราชบริพารทั้งมวลออกตามหาพระภิกษุรูปนั้นทันที

    อักษรเจ็ดตัว

    ต่อมาสังฆการีได้พยายามเสาะแสวงหาจนไปพบ "เจ้าสามีราม"
    ที่วัดราชานุวาส
    และเมื่อได้ไต่ถามได้ความว่าท่านมาจากเมืองตะลุง (พัทลุงในปัจจุบัน)
    เพื่อศึกษาพระธรรมวินัย สังฆการี
    จึงเล่าความตามเป็นจริงให้เจ้าสามีรามฟังทั้งได้อ้างตอนท้ายว่า
    "เห็นจะมีท่านองค์เดียวที่ตรงกับพระสุบินของพระเจ้าอยู่หัว
    จึงใคร่ขอนิมนต์ให้ไปช่วยแก้ไขในเรื่องร้ายดังกล่าวให้กลายเป็นดี ณ โอกาสนี้"

    ครั้นแล้วเจ้าสามีรามก็ตามสังฆการีไปยังที่ประชุมสงฆ์ ณ ท้องพระโรง
    พระเจ้าอยู่หัวทรงมีรับสั่งให้พนักงานปูพรมให้ท่านนั่งในที่อันควร
    พราหมณ์ทั้งเจ็ดคนได้ประมาทเจ้าสามีรามโดยว่า
    เอาเด็กสอนคลานมาให้แก้ปริศนา
    เจ้าสามีรามก็แก้คำพราหมณ์ว่า กุมารเมื่ออกมาแต่ครรภ์พระมารดา
    กี่เดือนกี่วันจึงรู้คว่ำ กี่เดือนกี่วันจึงรู้นั่ง กี่เดือนกี่วันจึงรู้คลาน
    จะว่ารู้คว่ำแก่ หรือจะว่ารู้นั่งแก่ หรือจะว่ารู้คลานแก่
    ทำไมจึงว่าเราจะแก้ปริศนาธรรมมิได้
    พราหมณ์ก็นิ่งไปไม่สามารถตอบคำถามท่านได้
    จากนั้นจึงรีบนำบาตรใส่อักษรทองคำเข้าไปประเคนแก่เจ้าสามีราม

    ท่านรับประเคนมาจากมือพราหมณ์แล้วนั่งสงบจิตอธิษฐานว่า
    "ขออำนาจคุณบิดามารดาครูบาอาจารย์
    และอำนาจผลบุญกุศลที่ได้สร้างมาแต่ปางก่อน
    และอำนาจเทพยดาที่รักษาพระนครตลอดถึงเทวดาอารักษ์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย
    ครั้งนี้อาตมาจะแปลพระธรรมช่วยกู้บ้านกู้เมือง
    ขอให้ช่วยดลบันดาลจิตใจให้สว่างแจ้งขจัดอุปสรรคที่จะมาขัดขวาง
    ขอให้แปลพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าสำเร็จสมปรารถนาเถิด"

    ครั้นแล้วท่านก็คว่ำบาตรเทอักษรทองคำเริ่มแปลปริศนาธรรมทันที
    ด้วยอำนาจบุญญาบารมี กฤษดาภินิหารของท่าน
    ที่ได้จุติลงมาเป็นพระโพธิสัตว์โปรดสัตว์ในพระพุทธศาสนา
    กอปรกับโชคชะตาของประเทศชาติที่จะไม่เสื่อมเสียอธิปไตย
    เดชะบุญญาบารมีในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เทพยาดาทั้งหลาย
    จึงดลบันดาลให้ท่านเรียบเรียงและแปลอักษรจากเมล็ดทองคำ 84,000 ตัว
    เป็นลำดับโดยสะดวกไม่ติดขัดประการใดเลย

    ขณะที่ท่านเรียบเรียงและแปลอักษรไปได้มากแล้ว
    ปรากฏว่าเมล็ดทองคำตัวอักษรขาดหายไปเจ็ดตัวคือ ตัว สัง วิ ธา ปุ กะ ยะ ปะ
    ท่านจึงทวงถามเอาที่พราหมณ์ทั้งเจ็ด พราหมณ์ทั้งเจ็ดก็ยอมจำนน
    จึงประเคนเมล็ดทองคำที่ตนซ่อนไว้นั้นให้ท่านแต่โดยดี
    ปรากฏว่าท่านแปลพระไตรปิฎกจากเมล็ดทองคำสำเร็จบริบูรณ์
    เป็นการชนะพราหมณ์ในเวลาเย็นของวันนั้น

    พระราชมุนี

    สมเด็จพระเอกาทศรถทรงพระโสมนัสยินดีเป็นที่ยิ่ง
    ทรงมีรับสั่งถวายราชสมบัติให้แก่เจ้าสามีรามให้ครอง 7 วัน
    แต่ท่านก็มิได้รับโดยให้เหตุผลว่าท่านเป็นสมณะ
    พระองค์ก็จนพระทัยแต่พระประสงค์อันแรงกล้า
    ที่จะสนองคุณความดีความชอบอันใหญ่ยิ่งให้แก่ท่านในครั้งนี้
    จึงพระราชทานสมณศักดิ์ให้เจ้าสามีรามเป็น
    "พระราชมุนีสามีรามคุณูปมาจารย์"
    ในเวลานั้น พระราชมุนีสามีรามคุณูปมาจารย์หรือหลวงพ่อทวด
    ได้ไปจำพรรษาอยู่ ณ วัดราชานุวาส
    ศึกษาและปฏิบัติธรรมอยู่เป็นเวลาหลายปี
    ด้วยความสงบร่มเย็นเป็นสุขตลอดมา
     
  16. kea.99999

    kea.99999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2009
    โพสต์:
    675
    ค่าพลัง:
    +1,297
    [​IMG] (ก๊อบ)
    <HR style="COLOR: #cccccc" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->วัดแค (วัดราชานุวาส)ตั้งอยู่ที่ตำบลหัวรอ บริเวณเกาะลอยตรงข้ามวังจันทเกษม หรือตรงข้ามตลาดวังจันทน์สนามพระในปัจจุบัน มีชื่อเสียงว่าเป็นวัดที่หลวงพ่อทวด เคยมาจำพรรษาอยู่ เป็นวัดเก่าแก่สมัยอยุธยาแต่มีโบราณสถานร่วมสมัยหลงเหลืออยู่น้อยมาก อยู่ใกล้กับวัดศรีจำปา ซึ่งเป็นวัดร้าง

    พระกรุวัดแคมีศิลปใกล้เคียงกับพระกรุวัดศรีจำปา มักเข้าใจว่าเป็นพระกรุเดียวกันจนมีการเล่นหารวม ๆ กันไป เนื่องจากเป็นพระร่วมสมัยเดียวกัน และมีศิลปที่เกิดจากช่างคนเดียวกันนั่นเอง แต่ก็มีความแตกต่างที่เห็นได้ชัดเจน รวมไปถึงสถานที่พระแตกกรุออกมาก็เป็นคนละสถานที่กัน

    พระกรุวัดแค เป็นพระเนื้อดินเผา เนื้อชินจะพบเป็นส่วนน้อย พุทธลักษณะ เป็นพระปางสมาธิประทับนั่งบนฐานรูปสำเภา ภายในเส้นซุ้มคู่ขนาน ๒ เส้น มีรูปแบบทางศิลปที่ชัดเจนสวยงามมีองค์ประกอบทางศิลปที่ลงตัว พระบางองค์มีปิดทองมาแต่เดิม พระกรุวัดแคเป็นพระที่อยุ่ในความนิยมมาโดยตลอดจนมีการทำของเทียมเลียนแบบกันมากมาย ปัจจุบันเป็นพระที่หาชมของแท้ยากแล้ว
    <!-- / message --><!-- sig -->__________________
    <!-- / message -->
     
  17. kea.99999

    kea.99999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2009
    โพสต์:
    675
    ค่าพลัง:
    +1,297
    [​IMG] หมอฟอร์ด
    <HR style="COLOR: #cccccc" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->วัดแคราชานุวาส ตั้งอยู่ในตำบลหัวรอ อยู่กลางเกาะเล็กๆมีหลายวัดอยู่เคียงข้างเป็นวัดที่มีการค้นพบกุฏิอิฐดินเผาและหลังคาลายเทพพนมสมัยอยุธยาพร้อมด้วยพระพุทธรูปที่ขุดพบบริเวณวัดแคราชานุวาสเอง วัดนี้มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับสมเด็จพระราชมุณี จริงๆ ซึ่งวัดแคราชานุวาสนี้เองเป็นวัดที่พำนักของหลวงพ่อทวดตอนเรียนพระธรรมศึกษาหาความรู้ไปกลับกับวัดลุมพลีนาวาสซึ่งปัจจุบันไม่เหลือหลักฐานอันใดไว้แต่เป็นบริเวณเดียวกันกับที่ตั้งของมัสยิดในปัจจุบันดังนั้นวัดแคราชานุวาสจึงเป็นที่พำนักหาความรู้ของหลวงพ่อทวดนั่นเองหรืออีกนัยเป็นวัดที่ทำให้หลวงพ่อทวดได้สมญานามว่าสมเด็จพระรามนักปราชน์เมื่อครั้งตอบปัญหาธรรมจากชาวลังกาได้ชัยชนะเมื่อครั้งนั้นนั่นเอง และหลวงพ่อทวดได้ดำรงตำเเหน่งสมเด็จพระราชมุณี ภายหลังท่านได้ตอบปัญหาธรรม ชนะเมื่อครั้งนั้น ได้ครองวัดภูเขาทองแห่งกรุงศรีอยุธยา ครองการปกครองพระฝ่ายหัวเมืองฝ่ายเหนือ (เหนืออยุธยา) เคียงคู่กับสมเด็จพระพันรัต ซึ่งเป็นตำแหน่งครองฝ่ายใต้ ซึ่งหมายความว่าสมเด็จพระราชมุณี เป็นตำแหน่ง ไม่ใช่ชื่อแต่อย่างใด และวัดแคนี้อาจเป็นเพียงวัดเดียวในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาที่ตระหนักถึงความสำคัญทางประวัติศาสตร์ ที่น่าภาคภูมิใจของสมเด็จพระราชมุณีหรือหลวงพ่อทวดที่ตอนนี้จะทำการสถาปนาเททองหล่อหลวงพ่อทวดปางธุดงค์ที่ใหญ่ที่สุดในวัดสายตรงหลวงพ่อทวดแห่งจังหวัดอยุธยา ซึ่งนับว่าเป็นครั้งประวัติศาสตร์และมีความสำคัญยิ่งควรแก่การร่วมบุญบารมีในครั้งนี้ที่นับว่าครั้งนี้จะเป็นประวัติศาสตร์สำคัญในการฟื้นฟูประวัติที่ถูกต้องของหลวงพ่อทวดที่อิงประวัติศาสตร์์จริงไม่ใช่ตำนานหรือนวนิยายใดๆ[​IMG]<!-- / message -->
    <!-- / message -->
     
  18. kea.99999

    kea.99999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2009
    โพสต์:
    675
    ค่าพลัง:
    +1,297
    [​IMG] หมอฟอร์ด
    <HR style="COLOR: #cccccc" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->วัดสายตรงหลวงพ่อทวดที่ถูกลืม


    จะมีใครสักกี่คนจะรู้บ้างว่าหลวงพ่อทวดท่านมีตัวตนจริงท่านเป็นพระสมัยอยุธยาเเละส่วนใหญ่ทุกคนจะได้ยินนามท่านว่า
    หลวงพ่อทวด วัดช้างให้ หรือหลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืด
    เเละหลายคนทราบว่าวัดช้างให้อยู่จังหวัดปัตตานีทำให้หลายคนยิ่งคิดไปว่าหลวงพ่อทวดต้องเป็นคนปัตตานีเป็นเเน่เเท้
    จริงๆเเล้วจะมีใครทราบว่าหลวงพ่อทวดบ้านเดิมท่านอยู่
    อำเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลา ต่างหาก
    โดยวัดที่อยู่ในอำเภอสทิงพระที่มีประวัติความเป็นมาเเละหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่เชื่อได้ว่าเป็นวัดที่ปรากฏในพงศาวดารที่เกี่ยวเนื่องด้วยสมเด็จพระราชมุณีหรือหลวงพ่อทวดประกอบด้วยวัด
    1.วัดพะโค๊ะ หรือเรียกว่าพระโคตมะ ลังกาชาติ เป็นวัดที่มีมานานเเละมีหลักฐานเก่าเเก่คือพระสุวรรณมาลิกเจดีย์ เเละพระนอนโคตมะซึ่งมีอายุก่อนสมัยอยุธยา ประวัติวัดเเห่งนี้ในตำนานที่กล่าวไว้ปรากฏตำนานที่เลื่องลือเกี่ยวกับการค้นพบพระศรีอาริยเมตไตร โดยสามเณรเเก้วบุญรอดที่นำดอกมณฑาทิพย์มาตามหาเเล้วเจอ วัดนี้มีความสำคัญยิ่งคือสมเด็จเจ้าพะโค๊ะหรือหลวงพ่อทวดหลังจากได้ตอบปัญหาชนะพรหมณ์จากลังกาเนื่องจากท่านได้เรียนพระธรรมในลัทธิลังกาวงศ์ซึ่งท่านได้เรียนเเละรู้ทางมาโดยตรงทำให้ท่านมีความสามารถด้านนี้โดยเฉพาะ

    2.วัดดีหลวง เป็นวัดที่หลวงพ่อทวดท่านบวชเป็นสามเณรเเละเชื่อหรือไม่ว่าโบสถ์เเละพระประธาณองค์ที่หลวงพ่อทวดท่านบวชภายในโบสถ์ยังคงอยู่พร้อมกันนี้ยังปรากฏพระเจดีย์ทรงสูงที่หลวงลุงจวงเเละหลวงพ่อทวดสร้างร่วมกันสมัยอยุธยายังปรากฏอยู่
    3.วัดต้นเลียบ เป็นที่ฝังรกของหลวงพ่อทวดยังมีต้นเลียบขนาดเท่ากับ10กว่าคนโอบอายุกว่า400ปียังยืนตะหง่านเเละเเผ่กิ่งก้านสาขาอยู่ เเละต้นเลียบนี้จากการสังเกตุที่เเปลกคือมีลายเปลือกต้นเลียบกิ่งเเขนงจะมีลายคล้ายตัวหนอนขึ้นอยู่เต็มไปหมด คนเเถวนั้นหรือชาวบ้านเชื่อถือว่าทำให้ค้าขายดี
    4.วัดสีหยัง เป็นวัดที่หลวงพ่อทวดศึกษาพระธรรม ที่นั้นมีความสำคัญเพราะเป็นที่เรียนธรรมของหลวงพ่อทวดก่อนจาริกไปวัดเสมาเมือง นครศรีธรรมราช
    ไว้จะทะยอยลงประวัติที่ค้นคว้าเเละไปเเต่ละสถานที่ให้ฟังเเละเเย้มนิดๆว่า
    เเสดงความยินดีกับคนภาคกลางว่าวัดสายตรงหลวงพ่อทวดอยู่ใกล้จังหวัดกรุงเทพก็มี

    อาจเป็นมิติใหม่ของการเรียนรู้พระประวัติสมเด็จพระราชมุณีหรือหลวงพ่อทวด รวมทั้งหลักธรรมของท่านที่ท่านทิ้งไว้ให้คิดเเต่ละสถานที่นอกจากคำว่า ท่านเป็นพระนิรันตราย

    ปล.ประวัติทั้งหมดได้จากการค้นคว้าทางหลักฐานทางประวัติศาสตร์ทั้งเอกสารเเละวัตถุรวมทั้งไปสถานที่จริงประกอบกับการสัมภาษณ์ชาวบ้านคติความเชื่อเเละตำนานต่างๆเข้าด้วยกัน

    คนวังหน้า
     
  19. kea.99999

    kea.99999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2009
    โพสต์:
    675
    ค่าพลัง:
    +1,297
    [​IMG] หมอฟอร์ด
    <HR style="COLOR: #cccccc" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->วัดที่เกี่ยวเนื่องกับหลวงพ่อทวดที่ใกล้กรุงเทพก็คือ

    วัดเเค ราชานุวาส ตำบลหัวรอ อำเภอเมือง จังหวัดอยุธยา
    หลวงพ่อทวดได้มาพำนักเพื่อศึกษาพระธรรมก่อนไปตอบปัญหาธรรมที่โด่งดังสมัยนั้น
    ปัจจุบันมีหลักฐานทางประวัติศาสตร์อยู่คือกุฏิอิฐสมัยอยุธยาเเละที่วัดยังมีการขุดพบกระเบื้องลายเทพพนมเเละพระสมัยอยุธยาอีกด้วย

    วัดตอนนี้กำลังพัฒนาปรับปรุงสถานที่ให้สมพระเกียรติเเห่งองค์หลวงพ่อทวดอยู่ถ้าอย่างไรเสียไปกราบท่านกัน

    ทั้งใกล้กรุงเทพเเละสายตรงที่สุด เเน่นอน
    ไม่ต้องไปไกลถึงปัตตานี
    <!-- / message -->
    <!-- / message -->
     
  20. kea.99999

    kea.99999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2009
    โพสต์:
    675
    ค่าพลัง:
    +1,297
    [​IMG] หมอฟอร์ด
    <HR style="COLOR: #cccccc" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->จากวันสู่เดือนจากเดือนสู่ปี

    จากความสงสัยสู่ความศรัทธา..........คนวังหน้า

    สิ่งที่กล่าวคือการได้สัมผัสเเห่งความเมตตาของพระเมตตารูปหนึ่งผ่านจากปลายปากกาสู่อดีตอันยิ่งใหญ่เเห่งมหาบารมีของท่านหนึ่งที่เเม้เป็นสมณะเเต่
    กลับมีส่วนในการค้ำเเผ่นดิน ท่านผู้นี้มิใช่ใครอื่นไปได้นอกจาก

    สมเด็จพระราชมุณี หรือ นามเต็มคือ สมเด็จพระราชมุณีสามีรามคุณูปมาจารย์

    นามเดิมว่าเด็กชายปูเป็นเด็กชายที่ยังวิ่งเล่นสมัยเมื่อกว่าสี่ร้อยปีที่เเล้วได้บวชเณรกับหลวงลุงของตนเองคือหลวงลุงจวง วัดดีหลวงเป็นวัดที่หลวงลุงจวงเองท่านได้สร้างจากความศรัทธาของชาวบ้านซึ่งเดิมเเล้วหลวงลุงจวงท่านได้อยู่ที่วัดพะโค๊ะซึ่งเดิมชื่อวัดเต็มมีชื่อว่าวัดพะโค๊ะลังกาชาติอันได้รับอิทธิพลมาจากลัทธิลังกาวงศ์ หลวงปู่ทวดเองท่านก็มีครูบาอาจารย์เหมือนกัน เหมือนกับเราเกิดมาก็ต้องมีพ่อมีเเม่ มิใช่เกิดมาเเล้วเก่งเองหามิได้ ทุกคนก็มิพ้นกฏเดียวกันหลวงพ่อทวดหลังบวชเณรเเล้วก็ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนจนเป็นที่รักของอาจารย์ท่านจึงได้ไปเรียนพระธรรมหรือมูลกัจจายน์ต่อที่วัดสีคูหยังหรือวัดสีหยังในปัจจุบัน หลังจากที่วัดสีหยังเเล้ว เณรปูได้ไปบวชท่านกลางเเม่น้ำหรือคลองเเห่งหนึ่งที่เรียกว่า ท่าเเพ นครศรีธรรมราช เป็นการบวชท่ามกลวงโบสถ์น้ำ หรืออาจอนุมานได้ว่า การบวชของมหาโพธิสัตว์พระองค์นี้ยังควากระเทือนทั้งสามเเดนโลกธาตุเป็นอัศจรรย์เนื่องจากทั้งน่านฟ้าเเละมหานทีท่ามกลางป่าเเละสัตว์นานาเป็นพยานเเห่งการสร้างมหาบารมีในครั้งนั้นเป็นอย่างยิ่งหลังจากบวชเเล้วท่านได้พำนักที่วัดเสมาเมืองก่อนที่ท่านจะไปอยุธยาหลังจากนั้นเมื่ออายุได้22ปี2พรรษาท่านได้ไปลงเรือเพื่อไปเรียนพระธรรมตามคตินิยมสมัยนั้นขณะที่เเล่นเลือไปถึงน่านน้ำชุมพร บ้างก็ว่าอำเภอขนอม นครศรีธรรมราช ได้เกิดเหตุเเห่งการสร้างมหาปาฏิหาริย์อันเป็นที่มาของคำว่าเหยียบน้ำทะเลจืด ท่านได้เอาเท้าซ้ายจุ่มไปในน้ำทะเลเนื่องจากเรือติดพายุเเละน้ำกินน้ำใช้หมดท่านจึงต้องสงเคราะห์ (เท้าซ้ายของพระสามีราโมหรือหลวงพี่ปูที่ต่อมาคือหลวงพ่อทวดเท้าซ้ายของท่านมีลักษณะเท้าปุ้มเวลาเดินท่านอาจเดินไม่ตรงซักทีเดียว)ขณะที่ท่านนำเท้าซ้ายจุ่มน้ำท่านอธิษฐานถึงพ่อเเม่ครูอาจารย์รวมทั้งพระรัตนตรัยเเละบารมีเเละความปรารถนาดีของท่านขอให้น้ำนั้นจืดสนิทปรากฏว่าจืดสนิทจริงๆ คิดดูขนาดหลวงพ่อทวดเเล้วท่านยังต้องอธิษฐานถึงพ่อถึงเเม่เลยเเล้วเราซึ่งเป็นลูกศิษย์ใยกลับไม่สนจในบุพการีหรือพระในบ้านเสียบ้าง หลังจากที่เกิดมหาปาฏิหาริย์เเล้วเรือล่องมาถึงกรุงศรีอยุธยาเมืองีท่ไม่สิ้นคนดีท่านได้พำนักประจำที่อยุธยาอยู่หลายวัด อาทิ วัดเเคราชานุวาส
    วัดพุทไธสวรรค์ วัดราชบูรณะ วัดใหญ่ชัยมงคล วัดหน้าพระเมรุ เเต่วัดที่ปรากฏว่ามีในประวัติพงศาวดารคือวัดราชานุวาส หรือ วัดเเค ตำบลหัวรอ อำเภอเมือง อยุธยา อันเป็นวัดที่พระภิกษุปูได้เรียนพระธรรมไปๆมากับสำนักสมเด็จพระพันรัต สมัยนั้นอันว่าสมเด็จพระพันรัต อาจเป็นคนละองค์กับ พระอาจารย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช เนื่องจากพระพันรัตเป็นสมณศักดิ์ของพระอรัญวาสี ฉะนั้นจึงมีได้หลายองค์ เเละเมื่อประมาณไม่กี่ปีถัดมาไม่ปรากฏปีที่เเน่ชัดมีพระเจ้าเเผ่นดินของกรุงลังกาส่งฑูตมาท้าเรียงพระไตรปิฏกเพื่อพนันด้วยชื่อเสียงของเมืองหรืออาจเรียกว่าท้าพนันชิงเมืองกันเลยทีเดียวพระเจ้าเเผ่นดินได้เสาะหาพระที่เก่งที่สุดในสมัยนั้นที่มีปัญญาเเก้อันโดดเด่นที่สุดกลับเป็นภิกษุหนุ่มจากศรีวิชัย นั่นคือพระปู ขณะที่เรียงพระธรรมนั้นมหาปัญญาปรมัถบารมีที่ศรีอาริยเมตไตรโพธิสัตว์ที่อยู่ในตัวของท่านได้จรัสเเสงออกมาด้วยการเรียงพระธรรมจนครบขาดเเต่อักษรเจ็ดตัวคือ สัง วิ ธา ปุ กะ ยะ ปะ หรือหัวใจอภิธรรม เจ็ดคัมภีร์ที่พวกท้าพนันซ่อนไว้เเละท่านพระปูก็รู้ด้วยญาณทัศนะที่บำเพ็ญมาดีเเล้วทำให้พวกนั้นยอมเเพ้ นำความปลามปลื้มใจเเก่พระเจ้าเเผ่นดินเเละมหาชนสมัยนั้นอย่างมากท่านได้รับการถวายการครองเมือง7วันโดยเจ็ดวันนี้ท่านได้นั่งบรรลังค์พระเจ้าเเผ่นดินเสนาทั้งเมืองเมื่อครบราตรีเเล้วท่านเองได้กลับอารามสถานวัดเเคร่ำลาพระเถระใหญ่น้อยเพื่อกลับบ้านเกิดไปพัฒนาศาสนสถานที่ท่านตั้งใจไว้คือวัดพะโค๊ะ วัดอื่นๆที่เคยมีพระคุณกับท่าน จำเนียรกาลผ่านไปยาวนานถึงท่านอายุเกือบ90พรรษาท่านได้มีสามเณรคู่บารมีชื่อเณรบุญรอดอันมีนิวาสถานอยู่นครศรีธรรมราชมาตามหาท่านสมเด็จหลวงพ่อปู(หลวงปู่ทวด)เเละท่านเเละเณรได้โละจากไปจากวัดพะโค๊ะหรือนัยว่าธุดงค์จากไปปรากฏอีกครั้งที่รัฐทางมาเลเซียในปัจจุบันเเละถึงเเก่กาลมรณภาพที่มาเลเซีย ปัจจุบันได้มีที่พักพระศพที่มีพระบุพโพหรือที่ที่น้ำเหลืองท่านหยดอยู่นับ10จุดที่ตอนนี้กลายเป็นวัดหรือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์หลายเเห่งเลยทีเดียวปัจจุบันวัดสายตรงหลวงพ่อทวดกลับถูกลืมไปอย่างน่าเสียดาย
    <!-- / message --><!-- edit note -->
     

แชร์หน้านี้

Loading...