เจ้าอาวาสวัดสามแยกพร้อมยืนยันจะอยู่วัดต่อไป

พวกที่เอาเท้าเหยียบพระพุทธรูปนี่เรียกว่าเลว

 

ไม่รู้สินะ แต่เมื่อไรก็ตามที่เรารับรู้ได้ในพลังแห่งพระพุทธคุณ หรือที่คุณว่างมงายกับอิทธิฤทธิ์ในพระพุทธรูป จนไม่สนใจข้อธรรมของพระพุทธองค์ นั่นไม่ใช่ว่า ทุกคนจะงมงาย แต่...เรารู้สึกว่า...เรารับรู้ได้ในพลังแห่งพระเมตตาที่ถ่ายทอดออกมา เป็นขวัญกำลังใจอย่างมากที่จะให้เราฝ่าฟันอุปสรรคต่อไป บางคน บางพวก เมื่อเห็นในพลังแห่งพุทธคุณ ก็ปรับเปลี่ยนจากมิจฉาทิฐิ ให้เป็น สัมมาทิฐิได้ อาจจะเกิดอิทธิฤทธิ์กับตน ในสักครั้งหนึ่ง เขาก็จะเริ่มสนใจ ด้วยความศรัทธา มิใช่ งมงาย เพราะรับรู้ได้ว่าที่พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมไว้นั้น เป็นเรื่องจริง มิใช่ นิยาย

บางคนบางท่าน นิยมสะสมพระเครื่อง แต่เมื่อถึงวาระ เขาประสบกับเหตุการณ์บางอย่างจนอาจจะถึงชีวิต แต่มีพลังพระพุทธคุณช่วยให้รอดพ้นมาได้ คุณคิดว่า เขาจะงมงาย เพียงเพราะเชื่อว่า เขาห้อยพระเครื่องแค่นั้นหรือ หรือเขาจะยิ่งศึกษาในพระธรรมคำสั่งสอน และรีบปฏิบัติด้วยความศรัทธากันแน่

อย่างน้อย ๆ คนที่มีอัตตา มานะ ทิฐิถือตัวถือตนมากอย่างเราเอง ก็ได้รับแสงแห่งปัญญา ที่พระพุทธองค์ทรงหยิบยื่นมาให้ ด้วยพระเมตตา ให้ได้มาเจอกัลยาณมิตรที่ดี ๆ ให้มาเจอครูบาอาจารย์ที่ดี ให้ได้เรียนรู้ธรรมชาติของตัวเอง ทำให้เราสามารถกลับใจได้ก่อนที่จะสายเกินไป ทำให้เรามองอะไรในแง่มุมใหม่ๆ

เคยไหม....รู้สึกโกรธใครมาก ๆ แต่พอนั่งรถเมล์ผ่าน ตรงที่มีพระพุทธรูปเป็นพระประธาน ตั้งอยู่หน้าตึก เรากลับมองเห็นแสงแห่งพระเมตตา ยิ้มน้อย ๆ ของท่านแสดงถึงความเมตตา จนเราหยุดความโกรธนั้นลงได้ เพราะนึกถึงพระธรรมที่ทรงแสดงไว้ว่า ความโกรธเป็นไฟเผาใจตนเอง แม้เราจะทำได้ไม่ตลอด ยังโกรธ ยังอาฆาตพยาบาทแรงๆ แต่เราก็สามารถดับมันลงได้ ด้วยรอยยิ้มแห่งพระเมตตาในพระพุทธรูปที่ทรงแผ่ออกมาให้เราได้ฉุกคิด และมีปัญญาขึ้นด้วยซ้ำไป

ถ้าคุณว่าพระพุทธรูปเป็นเพียงสิ่งสมมติ ไม่ควรยึดถือ คุณลองทำใจให้สบาย นั่งมองพระพักตร์พระองค์ท่าน แล้วขอพระเมตตาให้ช่วยชี้แนะให้ค้นพบข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ดูสิ แล้วคุณจะได้รับคำตอบ