เกร็ดความรู้คู่ครัว

ในห้อง 'เมนูอาหารและวิธีการทำอาหาร' ตั้งกระทู้โดย paang, 31 ธันวาคม 2005.

  1. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,328
    ทอดอาหารไม่ให้อมน้ำมัน

    [​IMG]

    เคยหรือเปล่า?... ที่ทานของอาหารทอดที่เลี่ยนสุดๆ จนแทบจะเลิกทานอาหารทอดไปเลย ด้วยความเข็ด ก็จะเพราะอะไร ถ้าไม่เป็นเพราะอาหารอมน้ำมัน... โดยเฉพาะขนมปังหน้าหมู ปาท๋องโก๋ กรอบเค็ม เต้าหู้ โดนัท พวกนี้ตัวดีนัก จอมอม (น้ำมัน) เลย แต่ต่อไปนี้ ไม่ต้องกลัวปัญหานี้อีกแล้ว เพราะเรามีเคล็ดลับง่ายๆ มาฝากค่ะ

    เพียงแค่ใส่น้ำส้มสายชูเล็กน้อย ลงในน้ำมันที่ใช้ทอด แล้วก็ลงมือทอดๆๆๆ เหล่าจอมอมทั้งหลายก็จะสิ้นฤทธิ์ในบัดดล ทำให้อาหารอร่อยขึ้นอีกเพียบ ไม่เลี่ยน แถมไม่เปลืองน้ำมัน และอ้วนน้อยหน่อยด้วยค่ะ ลองเทคนิคนี้ดูนะคะ แล้วจะติดใจ

    [​IMG][​IMG][​IMG]
     
  2. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,328
    แป้งเทมปุระกรอบฟู

    [​IMG]

    เคยไหมคะ? ที่ทานอาหารจำพวกทอดๆ แล้ว พบว่า แป้งนั้นฟูกรอบ เป็นเม็ดเล็กๆ ดูน่ากินจังเลย อยากทำได้อย่างนั้นบ้าง เรื่องนี้หวานหมูค่ะ
    ก่อนอื่นเลย ต้องหาเครื่องปรุงเหล่านี้ให้ได้เสียก่อน แล้วก็เริ่มลงมือได้เลยค่ะ
    • ไข่แดง 3 ฟอง
    • น้ำเย็นจัดๆ 2 ถ้วยตวง (ใช้น้ำใส่น้ำแข็ง พอเย็นจัดแล้ว ก็ตวงเฉพาะน้ำให้ได้ 2 ถ้วย)
    • แป้งสาลี 2 1/2 ถ้วย
    ทีนี้ก็ผสมไข่แดงกับน้ำให้เข้ากัน โดยตะเกียบ หรือส้อม แล้วจึงค่อยๆ เทแป้งลงไป คนแป้งจากก้นชามขึ้นมาเบาๆ พอเข้ากัน อย่าคนให้มากเกินไป ให้มีผงแป้งลอยอยู่บนส่วนผสมบางๆ เมื่อผสมเสร็จแล้ว ทีนี้ล่ะ ก็ลงมือชุบทอด.. ชุบทอด.. ทอดเสร็จอย่าลืมซับน้ำมันด้วยนะคะ แล้วรีบหม่ำเสียขณะยังร้อนๆ ก็จะได้ลิ้มรสชาติความอร่อย แบบไม่ต้องพึ่งผงฟูทีเดียวล่ะ



    [​IMG][​IMG][​IMG]
     
  3. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,328
    ต้มตุ๋นให้อร่อย

    [​IMG]

    อาหารตุ๋นจะอร่อยนั้น ซุปต้องหอม เนื้อต้องนุ่ม และที่สำคัญต้องไม่มัน จนเลี่ยน เพราะนอกจากไม่อร่อยแล้ว ยังไม่ดีกับสุขภาพด้วยค่ะ ในที่นี้ขอยกไก่ตุ๋นเป็นแนวทางก็แล้วกันนะคะ

    วิธีตุ๋นไก่ให้อร่อย ต้องเริ่มจากสับไก่เป็นชิ้นใหญ่ หมักด้วยเกลือ ซอสปรุงรส พริกไทย และรากผักชีโขลกละเอียด ประมาณ 1-2 ช.ม. แล้วนำใส่กระทะ ยกขึ้นตั้งไฟ โดยไม่ต้องใส่น้ำมัน หรือน้ำ ผัดให้ไก่เหลือง และน้ำมันไก่ออก จากนั้นจึงตักไก่ที่เหลืองใส่หม้อ ใส่น้ำ และเครื่องปรุงต่างๆ ยกขึ้นตั้งไฟอ่อนๆ ค่อยๆ ตุ๋น จนได้ไก่ที่มีกลิ่นหอม เนื้อนุ่ม และยังได้น้ำซุปที่มีน้ำมันไม่มากด้วยค่ะ

    สำหรับเนื้อสัตว์อื่นๆ อาทิ เป็ด หรือหมู ก็ทำได้ในลักษณะเดียวกันค่ะ

    [​IMG][​IMG][​IMG]
     
  4. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,328
    ลวกสปาเกตตีให้เหนียวนุ่ม

    [​IMG]

    ทั้งสปาเกตตี มักกะโรนี ก่อนจะนำไปผัดต้องลวกให้เส้นสุกก่อน การลวกเส้นนี้ ดูเหมือนจะง่าย แต่ก็ไม่ง่ายนัก เพราะหากลวกไม่ดี เส้นจะเละ พอเอาไปผัด อาหารที่ได้จะดูแฉะๆ ไม่น่ากิน เรื่องนี้มีเคล็ดลับนิดหน่อยค่ะ
    ด้วย 4 ขั้นตอนง่ายๆ ต่อไปนี้ คุณก็ได้เส้นสปาเกตตี้ที่เหนียวนุ่ม น่ารับประทานค่ะ
    • ต้มน้ำในหม้อใบพอประมาณ ใส่เกลือลงไปนิดหน่อย
    • พอน้ำเดือด ใส่เส้นสปาเกตตีลงไป ต้มจนเส้นอ่อนตัว และไม่ติดกัน ลองชิมดูเส้นยังกรุบๆ ตรงกลางนิดหน่อย
    • ปิดไฟ ตักเส้นขึ้น สะเด็ดน้ำ แล้วนำเส้นลงไปแช่ในน้ำเย็นทันที (น้ำใส่น้ำแข็ง) เพื่อให้เส้นหยุดสุก
    • พอเส้นเย็นแล้ว ตักขึ้นสะเด็ดน้ำ แล้วเคล้าด้วยน้ำมันเล็กน้อย หากใช้เส้นไม่หมด สามารถเก็บใส่กล่องไว้ในตู้เย็นได้นาน 4-5 วัน
    แค่นี้ ก็มีเส้นสปาเกตตีไว้ปรุงอาหารอร่อยๆ ทานกันแล้วล่ะค่ะ

    [​IMG][​IMG][​IMG]
     
  5. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,328
    โขลกเครื่องแกงให้ละเอียด

    [​IMG]

    หากจะทำแกงสักถ้วย แม่บ้านหลายคนก็ยังนิยมโขลกเครื่องแกงเอง เพราะแน่ใจว่า ได้เครื่องแกงที่สด สะอาด ปราศจากสิ่งแปลกปลอม สำหรับแม่ครัวมือใหม่ ที่พึ่งลองหัดทำอาหาร อาจพบปัญหาว่า โขลกเครื่องแกงได้ไม่ละเอียดพอ เราก็เลยมีวิธีโขลกเครื่องแกงที่ถูกวิธีมาฝากค่ะ

    เริ่มจากเอาพริกแห้งแช่น้ำให้นุ่ม แล้วหั่นเป็นท่อนเล็กๆ ใส่ครก โขลกกับเกลือให้ละเอียด แล้วจึงใส่ลูกผักชี ข่า ตะไคร้

    [​IMG]

    ผิวมะกรูด โขลกจนละเอียดดี แล้วค่อยใส่หอมแดง กับกระเทียม พอโขลกละเอียดเข้ากันดีแล้ว สุดท้ายใส่กะปิ โขลกให้เป็นเนื้อเดียวกันอีกครั้ง เป็นอันเสร็จ และลงมือแกงได้เลยค่ะ

    ที่ต้องใส่หอมแดง กับกระเทียมทีหลังนั้น เป็นเพราะทั้ง 2 อย่างนี้มีน้ำเยอะ หากใส่ก่อนแล้ว เครื่องแกงจะเฉอะแฉะ โขลกยาก กระเด็น เลอะเทอะ เข้าตา ยุ่งยากค่ะ หลักการก็มีง่ายๆ แค่นี้แหล่ะค่ะ

    [​IMG][​IMG][​IMG]
     
  6. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,328
    กลอกไข่ให้สวยเนี้ยบ

    [​IMG]

    บางครั้งอาหารหลายชนิดจำเป็นกลอกไข่เป็นแผ่นๆ เช่น ไข่ยัดไส้ ปอเปี๊ยะไข่ ก๋วยเตี๋ยวผัดไข่ห่อไข่ ฯลฯ การกลอกไข่นี่ ฟังดูเหมือนยากนะคะ โดยเฉพาะสำหรับแม่บ้านมือใหม่แล้วละก็... อาจเจอปัญหาไข่ติดกระทะนุงนัง เละเทะ แทนที่เป็นแผ่นสวยๆ กลับขยุกขยุย ดูไม่น่าทาน คราวนี้ก็เลยนำเคล็ด (ไม่) ลับ ของการกลอกไข่มาฝากค่ะ

    เริ่มจากการใช้ไข่ไก่ หรือไข่เป็ดก็ได้ (หากอยากได้สีสวยควรใช้ไข่เป็ด) ตีพอเข้ากัน ใส่น้ำมันพืชเล็กน้อย แล้วตีให้เข้ากันอีกครั้ง (ย้ำ ตีพอเข้ากัน ห้ามตีให้ฟู) นำกระทะเหล็กใส่น้ำมันเล็กน้อย กรอกน้ำมันให้ฉาบทั่วกระทะ พอกระทะร้อน ก็เทไข่ แล้วกรอกไข่ให้เป็นแผ่นบาง พอไข่สุก ก็ค่อยแซะ ตักขึ้นใส่จานที่เตรียมไว้ แค่นี้ก็เรียบร้อย ได้อร่อยกับไข่แล้วค่ะ

    หมายเหตุ: ไม่ต้องกลับด้าน เพราะถ้ากรอกได้บางพอ ไข่จะสุกทั้งสองด้าน
    เองค่ะ

    [​IMG][​IMG]
     
  7. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,328
    ปลาแสนอร่อย

    [​IMG]

    ปลาเป็นอาหารที่มีคุณค่า แต่บางท่านก็ไม่นิยมที่จะซื้อปลามาปรุงอาหาร เพราะยุ่งยากสารพัด และหากปรุงไม่ดี ยังไม่อร่อย สู้ไปทานที่ร้านไม่ได้... ครั้งนี้เล็กๆ น้อยๆ จึงนำเทคนิคการปรุงปลามาฝากแม่ครัวมือใหม่ จะได้มั่นใจมากขึ้นค่ะ

    เก็บปลาไม่ให้เหม็นคาว ถ้าซื้อปลามาแล้ว ยังไม่ได้ปรุงทันที จำเป็นต้องแช่เย็นไว้ก่อน ตามปกติแล้วกลิ่นปลาจะคลุ้งเต็มตู้เย็นไปหมด ทำเอากลิ่นติดอาหารอื่นๆ ไปด้วย ถ้าไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์อย่างนี้ มีวิธีง่ายๆ ค่ะ ให้โรยผงกาแฟ (ถูกๆ) ให้ทั่วตัวปลา จะไม่มีกลิ่นคาวปลาเลย
    ต้มปลา ควรบีบน้ำมะนาวลงไปในน้ำต้มปลาเล็กน้อย จะทำให้เนื้อปลาขาวน่ากิน มีรสชาติดีขึ้น และหนังปลาไม่แตกเละด้วย


    [​IMG]
    ทอดปลา ให้อร่อยยิ่งขึ้น โดยนำปลาไปแช่ในนมข้นจืดสัก 15 นาที (พอให้เข้าเนื้อนิดหน่อย) แล้วยกออกให้สะเด็ดน้ำ แล้วจึงนำมาทอด ปลาจะอร่อยขึ้น (อย่างบอกไม่ถูก)

    หากคิดจะ ปิ้งปลา เพื่อไม่ให้ปลาติดตะแกรง ควรรองปลาด้วยผักกาดหอม หรือใบตอง เพราะนอกจากจะไม่ติดตะแกรงแล้ว ยังทำให้ปลาชุ่มชื้นไม่แห้งจนเกินไป และมีกลิ่นหอมด้วยค่ะ

    อบปลา หรือนึ่งปลา ควรใช้ผ้าขาวบางรองก้นถาด หรือก้นรังถึง เมื่อปลาสุกก็ยกออกทั้งผ้า แล้วใส่จานเสิร์ฟ โดยเนื้อปลาจะไม่ปริแตกให้หายสวยเลยค่ะ
     
  8. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,328
    เตาไมโครเวฟ

    [​IMG]
    ปัจจุบันแม่บ้านสมัยใหม่นิยมใช้เตาไมโครเวฟมากขึ้น เพราะสะดวก รวดเร็ว ทันอกทันใจชีวิตสมัยใหม่ ที่ทุกอย่างดูจะเร่งรีบไปเสียหมด แต่ก่อนจะใช้ไมโครเวฟ เรามาทำความเข้าใจถึงการทำงานของ ไมโครเวฟกันก่อนดีกว่า เพราะจะทำให้คุณใช้เตาไมโครเวฟได้ อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

    หลักการทำงาน ไมโครเวฟเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความเร็วเท่าแสง มีการแผ่รังสีเหมือนกัน แต่มีพลังงานน้อยกว่า โดยที่คลื่นไมโครเวฟถูกดูดกลืนได้ด้วยน้ำ และสามารถส่งผ่านวัสดุบางอย่าง เช่น กระเบื้อง แก้ว พลาสติค หรือกระดาษได้ ในขณะที่ไม่สามารถทะลุวัสดุที่เป็นโลหะ และนี่เป็นเหตุผลว่า ทำไมจึงใช้ภาชนะที่เป็นโลหะกับเตาไมโครเวฟไม่ได้

    เมื่อเราเปิดเตาไมโครเวฟ เตาจะปล่อยคลื่นไมโครเวฟออกมา ทะลุผ่านภาชนะใส่อาหาร ไปยังโปเลกุลของอาหาร และจะถูกดูดกลืนโดยน้ำในอาหาร เมื่อถูกสนามแม่เหล็กไฟฟ้าของไมโครเวฟ โมเลกุลของอาหารจะเกิดการสั่นเป็นล้านๆ ครั้งใน 1 วินาที เกิดการเสียดสีระหว่างโมเลกุล และทำให้เกิดความร้อนขึ้นอย่างรวดเร็ว อาหารจึงร้อนขึ้น จนกระทั่งสุก

    เป็นที่น่าสังเกตว่า ลักษณะการให้ความร้อนของเตาไมโครเวฟ แตกต่างจากเตาธรรมดาทั่วไป คือ ความร้อนจะเกิดขึ้นที่อาหารก่อน แล้วค่อยแผ่กระจายมายังภาชนะบรรจุอาหาร ดังนั้น ในการปรุงอาหารด้วยไมโครเวฟ ภาชนะที่บรรจุอาหารจึงแทบจะไม่ร้อนเลย ยกเว้นการปรุงอาหาร ที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบมากๆ หรืออาหารที่มีไขมัน และน้ำตาลสูง ซึ่งจะทำให้อุณหภูมิของอาหารสูงมาก และถ่ายเทมายังภาชนะ แต่การปรุงอาหารเตาทั่วไป ความร้อนจะถูกส่งผ่านจากภาชนะมายังอาหาร ทำให้ภาชนะร้อนมาก ก่อนที่อาหารจะเริ่มสุก


    ข้อดีของเตาไมโครเวฟ

    • ผู้ประกอบอาหารสามารถทำอาหารที่จุดใดของบ้านก็ได้ เพราะเตาชนิดนี้ไม่มีความร้อนแผ่ออกมา
    • แม่ครัวไม่ร้อน
    • การปรุงอาหารด้วยไมโครเวฟจะใช้เวลาประมาณ 1 ใน 3 หรือน้อยกว่านั้น เมื่อเทียบกับเตาธรรมดาทั่วไป
    • การปรุงอาหารโดยใช้เวลาน้อย ทำให้คุณค่าของอาหารสูญเสียไปน้อย
    • ประกอบอาหารเสร็จ สามารถรับประทานในภาชนะนั้นได้เลย ไม่ต้องล้างกระทะ หม้อ ไห ให้เสียเวลา




    ข้อควรระวังในการใช้เตาไมโครเวฟ

    • การรั่วของไมโครเวฟ อาจเป็นอันตรายต่อผู้ใช้ เพราะร่างกายของเรามีน้ำเป็นองค์ประกอบเช่นเดียวกับอาหาร ก่อนซื้อควรแน่ใจว่า ไมโครเวฟรุ่นนั้นมีการตัดไมโครเวฟโดยอัตโนมัติ เมื่อเปิดประตูเตาอบ
    • ในการปรุงอาหารหากต้องใช้ภาชนะที่มีฝาปิด ควรเป็นฝาปิดแบบหลวมๆ หรือมีรูระบายความร้อน มิเช่นนั้นจะทำให้เกิดแรงดันภายในภาชนะ ถ้าหากสะสมมากๆ อาจทำให้ภาชนะระเบิดได้



    ภาชนะที่ใช้กับไมโครเวฟ เราสามารถนำภาชนะที่มีอยู่แล้วในครัวมาใช้กับไมโครเวฟได้ แต่สิ่งที่ต้องระวัง คือ ภาชนะนั้น ต้องไม่มีส่วนผสมของโลหะแม้แต่เล็กน้อย (เช่น ภาชนะขลิบเงิน ขลิบทอง เป็นต้น) เพราะคลื่นไมโครเวฟไม่สามารถทะลุผ่านวัตถุที่เป็นโลหะได้

    [​IMG]

    ทำให้เกิดการสะท้อนกลับ เป็นเหตุให้อาหารไม่สุก และอาจทำให้เตาเสียหายได้ โดยภาชนะที่ใช้กับเตาไมโครเวฟได้ดี คือ กระเบื้อง เซรามิก แก้วทนไฟ พลาสติคบางชนิด นอกจากนี้ ยังมีอุปกรณ์ที่ผลิตขึ้น สำหรับใช้กับเตา

    ไมโครเวฟโดยเฉพาะ เช่น ถาดทำเกรียม หลุมสำหรับทอดไข่ดาว ตะแกรงย่าง พิมพ์เค้ก เป็นต้น ทั้งนี้มีข้อควรระวังในการใช้ภาชนะต่างๆ ดังนี้
    • เครื่องเคลือบ เซรามิก เครื่องปั้นดินเผา ใช้ได้ แต่ต้องไม่มีขลิบเงิน ขลิบทอง ดังกล่าว
    • พลาสติค ใช้ได้เฉพาะการอุ่นอาหาร หรือใช้ในระยะเวลาสั้นๆ ไม่ควรใช้กับอาหารที่มีส่วนประกอบของไขมัน และน้ำตาลมาก เพราะอุณหภูมิของอาหารจะสูง จนอาจทำให้ส่วนผสมสีในพลาสติคละลายออกมาได้ สำหรับถุงพลาสติค หากจะนำเข้าไมโครเวฟ ควรเจาะรูให้น้ำระเหยออกได้ด้วย
    • เครื่องแก้ว เป็นภาชนะที่เหมาะสมที่จะใช้กับไมโครเวฟ แต่ต้องเป็นภาชนะทนไฟ
    • ภาชนะไม้ ใช้ได้ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ และไม่ควรใช้กับอาหารที่มีส่วนประกอบของไขมัน และน้ำตาลมาก เพราะจะทำให้ภาชนะไหม้ได้
    • ภาชนะกระดาษ ใช้ได้กับการอุ่นอาหาร ที่ใช้เวลาสั้นๆ ถุงกระดาษที่นำเข้าไมโครเวฟ ควรเป็นถุงสีขาวเท่านั้น ถ้าเป็นกระดาษที่ไม่บริสุทธิ์ สีน้ำตาลอาจทำให้เกิดประกายไฟได้

    ปัจจัยที่อาจมีผลกระทบต่อการปรุงอาหาร

    [​IMG]

    • ขนาด และความหนาบางของอาหาร อาหารชิ้นเล็ก จะสุกเร็วกว่าอาหารชิ้นใหญ่ การนำอาหารเข้าไมโครเวฟ จึงควรเรียงอาหารชิ้นใหญ่ไว้ขอบภาชนะ และชิ้นเล็กไว้กลางภาชนะ จะทำให้อาหารสุกอย่างทั่วถึง เพราะคลื่นไมโครเวฟจะเข้าจากข้างนอกมายังส่วนกลางของภาชนะ
    • ปริมาณน้ำ อาหารที่มีไขมัน น้ำ และน้ำตาลอยู่มาก จะดูดซับคลื่นไมโครเวฟได้ดี อาหารจึงสุกเร็ว อาหารประเภทผัก หากอยากให้สุกเร็ว ควรนำผักจุ่มน้ำก่อน นำเข้าไมโครเวฟ
    • การปิดฝาภาชนะ จะช่วยป้องกันการระเหยออกของน้ำ ทำให้อาหารไม่แห้งจนเกินไป แต่ในกรณีนี้ที่ต้องการให้อาหารแห้ง เช่น ในการย่างเนื้อ หรืออบเค้ก ก็ไม่จำเป็นต้องใช้ภาชนะปิด
    • การเรียงอาหาร ควรเรียงให้มีความห่างกันพอประมาณ เพื่อให้ได้รับคลื่นอย่างทั่วถึง เช่น การตุ๋นไข่ควรเรียงแต่ละถ้วยให้ห่างกันเล็กน้อย
    • การพลิกกลับอาหาร หากอาหารมีความหนามาก ควรพลิกกลับอาหาร เพื่อให้อาหารสุกเร็วขึ้น เช่น การอบสเต๊กหมู เป็นต้น


    กำจัดกลิ่นในเตาไมโครเวฟ

    เตาไมโครเวฟใช้ไปนานๆ มักจะมีกลิ่นอาหารสะสมอยู่ พอหลายๆ กลิ่นปะปนกัน ทั้งกลิ่นเก่า กลิ่นใหม่ กลายเป็นกลิ่นแปลกๆ ไม่ต้องประสงค์ผู้ใช้สักเท่าไหร่ ดังนั้น จึงถึงเวลาต้องกำจัดกลิ่นกันซักที ไม่งั้นเดี๋ยวอบอาหารแล้ว กลิ่นไม่โสภาจะไม่รู้ด้วยนะ

    วิธีการก็ง่ายๆ คือ ให้นำใบชาใส่น้ำพอท่วม เข้าตู้ไมโครเวฟ เปิดไฟให้น้ำร้อน แล้วปิดไฟ และปล่อยใบชาทิ้งไว้ในตู้ไมโครเวฟ ข้ามคืน รุ่งเช้าพอเปิดตู้ กลิ่นจะดีขึ้นเยอะเลยค่ะ แต่ถ้ากลิ่นยังไม่ถูกใจ ให้ทำซ้ำอีก จนกว่าจะพอใจ เพราะหากกลิ่นสะสมนานๆ จะทำให้กำจัดยากขึ้นค่ะ ดังนั้น ทางที่ดีต้องหมั่นทำความสะอาด และดูดกลิ่นเป็นประจำ
     
  9. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,328
    ตะกอนหินปูนในกาต้มน้ำ

    [​IMG]

    หลังจากพูดถึงเรื่องอาหารการกินมานาน คราวนี้เปลี่ยนบรรยากาศ เป็นเรื่องของข้าวของเครื่องใช้บ้างดีกว่า บ้านเรานี่ ยังนิยมต้มน้ำดื่มกันอยู่ ใช่ไหมคะ? และเชื่อว่า ปัญหาที่ทุกๆ บ้านเจอคือ ตะกอนหินปูนมักจับอยู่ที่ก้นกาต้มน้ำ นอกจากจะทำให้ไม่น่าดูแล้ว ยังทำให้กาน้ำเดือดช้ากว่าที่ควรจะเป็น เป็นผลให้เสียเวลา และสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงโดยใช่เหตุ

    จะขัดหรือก็ยาก แถมถ้าขัดไม่หมด น้ำที่ต้มออกมาอาจมีตะกอนลอยไปมา ยิ่งแย่ไปกว่าเดิมอีก ใครที่กำลังคิดหาวิธีกำจัดอยู่ละก้อ.... ทางนี้เลย...

    ใช้น้ำส้มสายชู 1/2 ถ้วย ผสมกับน้ำ 1/2 ถ้วย ใส่ลงในกาต้มน้ำ ต้มจนเดือด แล้วยกลง ปล่อยทิ้งไว้ค้างคืน 1 คืน แล้วจึงนำมาล้าง ตะกอนก็จะหลุดไป ก็จะได้กาสดใสปิ๊งเหมือนใหม่ทีเดียวเชียวค่ะ
     
  10. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,328
    รู้จักน้ำส้มสายชู

    [​IMG]

    น้ำส้มสายชูเป็นเครื่องปรุงชนิดหนึ่งที่เราใช้กันบ่อยๆ โดยเฉพาะอาหารประเภทก๋วยเตี๋ยวนี่ ถ้าขาดแล้วเป็นไม่อร่อยทีเดียว บ่อยครั้งที่เราต้องบริโภคน้ำส้มสายชูภายนอกบ้าน แต่ข่าวน้ำส้มสายชูปลอม ที่ว่าทานแล้วอาจกัดกระเพาะสารพัด ทำเอาแหยงๆ ไม่กล้าทานน้ำส้มสายชูสักเท่าไหร่ ทั้งๆ ที่ใจก็อยากน่าดู ก็เลยถือโอกาสนี้ แนะนำให้คุณๆ รู้จักน้ำส้มสายชูกันค่ะ
    น้ำส้มสายชูมีอยู่ 3 ประเภท ดังนี้ค่ะ
    • น้ำส้มสายชูกลั่น เป็นน้ำส้มสายชูที่นิยมใช้มากที่สุด เพราะรสชาติใช้ได้ และราคาไม่แพง ได้จากการนำเอาแอลกอฮอล์กลั่นเจือจางมาหมักกับเชื้อน้ำส้ม แล้วนำไปกลั่นอีกครั้ง
    • น้ำส้มสายชูหมัก เป็นน้ำส้มสายชูที่กลิ่น และรสชาติดี แต่ราคาค่อนข้างแพง จึงไม่ค่อยนิยมใช้กันมากนัก ได้จากการนำธัญพืช ผลไม้ หรือน้ำตาลมาหมักกับส่าเหล้า แล้วหมักกับเชื้อน้ำส้มสายชูตามธรรมชาติ ทำให้อุดุมไปด้วยแร่ธาตุ และวิตามินต่างๆ ตามวัตถุดิบที่นำมาใช้ เช่น น้ำส้มสายชูแอปเปิล น้ำส้มสายชูสับปะรด หรือน้ำมะพร้าว เป็นต้น
    • น้ำส้มสายชูเทียม น้ำส้มประเภทนี้ราคาค่อนข้างถูก จึงนิยมใช้กันมากตามร้านก๋วยเตี๋ยวข้างทาง ได้จากการนำกรดน้ำส้มมาเจือจางให้มีปริมาณกรดน้ำส้ม 4-7% และห้ามเจือสีใดๆ (น้ำส้มสายชูเทียม ไม่ใช่น้ำส้มสายชูปลอมนะ อันนี้อย่าสับสน)
    การเลือกซื้อน้ำส้มสายชู อย่างแรกควรสังเกตที่บรรจุภัณฑ์ก่อน กล่าวคือ น้ำส้มสายชูที่ดี ควรบรรจุในขวดแก้ว และฝาจุกไม่ใช่โลหะ ทั้งนี้เพราะน้ำส้มสายชูมีฤทธิ์เป็นกรด ซึ่งมีฤทธิ์กัดกร่อนพลาสติค หรือโลหะได้ สำหรับตัวน้ำส้มเองควรมีสีค่อนข้างใส หรือมีสีตามวัตถุดิบที่ใช้ผลิต มีตะกอนได้บ้างเล็กน้อย และเป็นตะกอนที่เขย่าแล้วกระจายตัว

    ทีนี้ก็มาถึงเรื่องที่ขาก๋วยเตี๋ยวกังขา ก็คือ แล้ว น้ำส้มสายชูปลอมล่ะ คืออะไรกันแน่?... เรื่องนี้ฟังแล้วจะหนาว เพราะน้ำส้มสายชูปลอมนั้น ทำจากการนำกรดซัลฟูริค ที่มีฤทธิ์กัดกร่อนสูงมาก โลหะยังผุกร่อนได้สบายๆ แล้วอย่างนี้กระเพาะอาหาร และลำไส้จะเหลืออะไร ทานเข้าไปแล้วมีสิทธิ์ปวดท้องอย่างรุนแรง จนถึงขึ้นต้องส่งโรงหมอเชียวล่ะ

    สำหรับวิธีการดูว่า น้ำส้มสายชูนั้น ปลอมหรือไม่ปลอม มีวิธีดูง่ายๆ อ่านแล้วจำไว้สังเกตให้ดีเชียวนะคะ วิธีแรก... ลองเอาผักชีจุ่มลงไปในน้ำส้ม หากภายใน 15 วินาที ผักชีตายนึ่ง (หากนึกไม่ออกว่า ตายนึ่งเป็นอย่างไร ให้นึกถึงเวลาเอาต้นไม้ไปใส่ไว้รถที่จอดตากแดดจัดๆ ซักครึ่งวัน เป็นอย่างนั้นล่ะ) อันนี้ชัดเจนว่า น้ำส้มสายชูปลอมแหง๋ๆ แต่บางคนอาจค้านว่า ก็ไปทานก๋วยเตี๋ยวน่ะ จะให้พกผักชีไปด้วยเหรอ... อันนี้ก็มีอีก 2 วิธี ค่ะ คือ ให้สังเกตน้ำส้มที่อยู่เหนือพริกดองว่า ควรจะใส ไม่ขุ่นคลั่ก และดมดูจะมีกลิ่นฉุนกึก! ก็มั่นใจได้ว่า มีเป็นน้ำส้มสายชูของแท้ ว่าแล้วก็ลงมือหม่ำก๋วยเตี๋ยวให้เอร็ดอร่อยได้เลยค่ะ
     
  11. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,328
    น้ำซุปแสนอร่อย

    [​IMG]

    การต้มน้ำซุป หรือบางทีก็เรียกน้ำสต็อค ดูเหมือนจะง่าย แต่การต้มให้น้ำซุปดูใส น่ารับประทาน รวมทั้งรสอร่อย ต้องมีเทคนิคเล็กๆ น้อยๆ ประกอบค่ะ ลองอ่านดูนะคะ ทีนี้ล่ะ แกงจืดของคุณก็จะอร่อย จนใครชิมแล้วต้องชมทีเดียวเลยล่ะ

    น้ำซุปไก่

    เริ่มจากล้างซี่โครงไก่ ลอกเอาหนังและไขมันออก สับเป็นชิ้นใหญ่ๆ ต้มน้ำให้เดือดจัด นำโครงไก่ลวกประมาณ 5-6 วินาที แล้วจึงนำมาใส่หม้อ ใส่น้ำพอให้ท่วมโครงไก่ไก่เล็กน้อย ใส่หัวไชเท้าประมาณครึ่งหัว ยกขึ้นตั้งไฟ โดยใช้ไฟปานกลางค่อนข้างอ่อน เมื่อน้ำเดือด จึงเปลี่ยนเป็นไฟอ่อน ใส่คึ่นฉ่าย 2 ต้น หมั่นคอยช้อนฟองทิ้ง เคี่ยวจนน้ำงวดลงเหลือประมาณ 2 ใน 3 ปิดไฟ ยกลงกรอง

    น้ำซุปหมู

    ทำเช่นเดียวกับน้ำซุปไก่ คือ ล้างกระดูกหมู และสับกระดูกหมูตรงข้อต่อให้แตก นำไปลวกในน้ำร้อนจัด แล้วต้มในหม้อที่ใส่น้ำพอท่วมกระดูกหมู ยกขึ้นตั้งไฟปานกลางค่อนข้างอ่อน ใส่หัวไชเท้า พอน้ำเดือด เปลี่ยนเป็นไฟอ่อน ใส่คึ่นฉ่าย เคี่ยวจนน้ำเหลือ 2 ใน 3 ปิดไฟ ยกลง กรอง

    น้ำซุปผัก

    โดยใช้ฟักเขียว 1 ลูก หัวไชเท้า 2 หัว เห็ดหอม 5 ดอก เริ่มจากปอกฟักเขียว หั่นเป็นชิ้นพอประมาณ หัวไชเท้าปอกเปลือก และหั่นเป็นแว่นหนาประมาณ 1 ซ.ม. ใส่ผักทั้งหมดลงในหม้อ ใส่น้ำพอประมาณ ต้มด้วยไฟปานกลาง จนความหวานจากฟัก และหัวไชเท้าออก ใส่เกลือ พริกไทยเม็ดบุบ เคี่ยวจนน้ำงวดเหลือประมาณ 2 ใน 3 ปิดไฟ ยกลงกรอง (เห็ดหอมที่เหลือนำไปปรุงอาหารต่อได้)

    เคล็ดลับความอร่อย

    การจะเลือกน้ำซุปชนิดไหน ควรพิจารณาจากเนื้อสัตว์ที่จะใส่ในอาหารชนิดนั้นๆ เช่น ถ้าแกงจืดหมูสับ ก็ควรใช้น้ำซุปหมู แต่ถ้าแกงจืดไก่สับ ก็ควรใช้น้ำซุปไก่ เป็นต้น

    การเก็บซุป

    ถ้าทำอาหารทุกวัน อาจทำน้ำซุปครั้งละมากๆ แล้วเก็บใส่ขวดที่มีฝาปิด เพื่อไม่ให้สัมผัสอากาศ เพราะจะทำให้เสียเร็ว แต่หากต้องการเก็บไว้นานๆ อาจตักใส่ถุงพลาสติค ขนาดพอใช้ 1 ครั้ง แล้วแช่ช่องแช่แข็ง เมื่อจะใช้ก็นำออกมาใช้ครั้งละ 1 ถุง
     
  12. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,328
    วิธีเก็บกุ้งแห้ง

    [​IMG]

    เมื่อไปเที่ยวทะเล สิ่งหนึ่งที่บรรดาแม่บ้านนิยมซื้อกัน ก็คือกุ้งแห้ง แต่แหม! นานๆ จะไปซักที จะซื้อแค่นิดๆ หน่อยๆ ก็ดูกระไร แต่พอซื้อมาเยอะ เก็บไว้นานๆ กลิ่นชักไม่ค่อยดี จะเก็บกุ้งแห้งอย่างไรให้เก็บได้นาน มาดูกันดีกว่าค่ะ
    เมื่อซื้อกุ้งมาแล้ว ให้นำกุ้งออกผึ่งซัก 1 แดด ให้คลายกลิ่นอับ ขณะเดียวกัน ก็ทำให้กุ้งแห้งขึ้นอีกนิด หลังจากนั้น ให้เก็บลงในขวด หรือถุงพลาสติค ปิดฝาให้สนิท เอาเข้าแช่ในตู้เย็นช่องธรรมดา แล้วค่อยๆ ทยอยนำมาใช้ แค่นี้ก็จะเก็บกุ้งแห้งได้นาน และไม่มีกลิ่นแปลกๆ ด้วยล่ะค่ะ
     
  13. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,328
    เก็บไข่ให้อยู่นาน

    [​IMG]

    เมื่อซื้อไข่ ใครก็อยากได้ไข่สด เพราะหมายถึงการหม่ำได้อย่างอร่อย และเก็บได้นาน วิธีง่ายๆ ในการสังเกตไข่สด คือ ผิวจะมีนวลเคลือบอยู่ เมื่อจับ ผิวจะสากๆ และถ้าลองตอกออกดู ไข่แดงจะนูน ขณะที่ไข่ขาวจะเป็นลิ่มๆ ในทางตรงข้าม หากไข่ไม่สดผิวจะค่อนข้างมัน ลื่น เมื่อตอกออกดู ไข่แดงจะแบนราบ ถ้าใกล้เสีย ไข่แดงจะเละ ทำท่าจะมามารวมกับไข่ขาวท่าเดียว อย่างนั้นละก็ ทิ้งไปได้เลย

    เมื่อซื้อไข่มาแล้ว ห้ามล้างค่ะ เพราะจะทำให้นวลที่เคลือบอยู่ ถูกล้างออกหมด คงไว้ซึ่งเปลือกไข่ที่มีรูพรุน ทำให้เชื้อโรคสามารถซึมผ่านทางรูพรุนนี้ เข้าไปภายในไข่ ทำให้ไข่เสียเร็วขึ้น

    การเก็บไข่ควรเก็บในช่องเก็บไข่ในตู้เย็น โดยให้ด้านป้านอยู่ด้านบน เพราะด้านป้านจะมีฟองอากาศอยู่ภายใน พอพลิกขึ้นด้านบน จะทำให้ไข่แดงไม่แตกเร็ว จึงเก็บไข่ได้นานขึ้น
     
  14. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,328
    กำจัดกลิ่นเปรี้ยวของหน่อไม้

    [​IMG]

    หมดหน้าฝนแล้ว หน่อไม้สดๆ เริ่มหายากขึ้นทุกที เมื่อหน่อไม้สดหมด ก็ต้องพึ่งหน่อไม้ปี๊บ ไม่ก็หน่อไม้อดอง หน่อไม้ปี๊บก็คือ หน่อไม้ที่เคยสด เอามาบรรจุกระป๋องให้เก็บได้นานขึ้น ทีนี้ทั้งหน่อไม้ปี๊บ และหน่อไม้ดองนี่จะมีปัญหาคือ มีกลิ่นเปรี้ยว เมื่อนำมาปรุงอาหารทำให้มีกลิ่นที่ไม่สุนทรีย์เท่าที่ควร จึงต้องกำจัดกลิ่นที่ว่าให้หมดไป ก่อนนำมาปรุงอาหาร ไม่งั้นอาหารก็เสียรสชาติแย่ซิจ๊ะ

    วิธีการคือ สำหรับหน่อไม้ดองให้นำไปล้างด้วยน้ำซาวข้าวก่อนนำมาปรุงอาหาร สำหรับหน่อไม้ปี๊บนั้น ให้นำไปต้ม แล้วใส่น้ำตาลปีบ 1-1 1/2 ช้อนโต๊ะ เกลือป่น 1 ช้อนชา ลงในน้ำ ต้มให้เดือด แล้วเทน้ำทิ้ง แค่นี้ล่ะค่ะ กลิ่นเปรี้ยวก็จะหายไป นำไปหั่น ผัด ทอด ต้ม ได้ตามใจชอบเลย
     
  15. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,328
    เรื่องของเห็ด

    [​IMG]

    เห็ดเป็นอาหารที่มีแคลอรี่ต่ำ มีโปรตีนเล็กน้อย เห็ดจึงเหมาะกับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก แต่เห็ดก็เหมือนกับพืชอื่นๆ ที่เมื่อซื้อมาแล้ว เก็บไว้ในตู้เย็น เห็ดจะเจริญเติบโตต่อ จะมีการทิ้งสปอร์และย่อยสลายตัวเอง ทำให้รสชาติเปลี่ยน และเก็บไม่ได้นาน
    การเก็บรักษาเห็ดทำได้ง่ายๆ ดังนี้
    • จะต้องไม่ให้เห็ดถูกน้ำ เพราะน้ำจะทำให้เน่าเสียเร็ว
    • ตัดรากและดินออกให้หมด
    • เก็บใส่ถุงกระดาษ หรือถุงพลาสติค เจาะรูเพื่อให้ไอน้ำระเหยออกได้บ้าง รัดปากถุง เก็บในตู้เย็นช่องธรรมดา
    วิธีนี้จะทำให้เก็บเห็ดได้นาน 1-2 วัน ยกเว้นเห็ดฟางที่เก็บข้ามคืนไม่ได้เลย ส่วนการปรุงอาหารเห็ดนั้น ระวังนิดเดียวว่า อย่าแช่เห็ดทิ้งไว้ในน้ำ เพราะจะทำให้เห็ดอมน้ำ ดูไม่น่ากินค่ะ ขอให้ปรุงเห็ดให้อร่อยนะคะ
     
  16. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,328
    ลวกผักให้เขียวสวย

    [​IMG]

    เคยเจอไหมคะ? ที่ลวกผักทีไรก็เป็นสีน้ำตาล ดูไม่น่ากินเลย เห็นเขาลวกผักได้สวยๆ ก็สงสัยว่าทำยังไงน้า นี่มาทางนี้เลย เคล็ดลับนี้ไม่ยาก

    ขั้นแรกเลย ต้องต้มน้ำให้เดือดพล่านก่อน แล้วใส่เกลือ 1 ช้อนชา น้ำมันพืช 1 ช้อนชา แล้วใส่ผักที่ล้าง และหั่นเรียบร้อยแล้ว หากเป็นผักที่มีก้านแข็ง เช่น คะน้า กวางตุ้ง ให้ใส่ก้านลงไปก่อน แล้วค่อยใส่ใบ กะเวลาพอสุก หรือดูจากสีของใบเริ่มเข้มขึ้น ก็ตักขึ้นแช่ในน้ำเย็นทันที เพื่อมิให้ผักสุกต่อ และหากลวกผักปริมาณมากๆ ต้องหมั่นเปลี่ยนน้ำ ให้เย็นอยู่เสมอด้วยนะคะ แค่นี้ ผักก็จะสวยสมใจค่ะ
     
  17. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,328
    วิธีเลือกซื้อแอปเปิ้ล

    [​IMG]


    มีคำแนะนำให้กินแอปเปิ้ลวันละ 1 ผล สุขภาพจะแข็งแรง เพราะในแอปเปิลอุดมไปด้วยวิตามินซี ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันมะเร็ง และทำให้ภูมิคุ้มกันร่างกายสูงขึ้น เปลือกของแอปเปิลมีสารฟลาโวนอยด์ และกรดฟีโนลิค ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระเช่นกัน นอกจากนี้ แอปเปิลยังมีไฟเบอร์ครบทั้ง 2 ชนิด คือ ชนิดละลายน้ำ และไม่ละลายน้ำ ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย รวมถึงการต้านมะเร็ง การทานแอปเปิลจึงให้สารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายหลายอย่าง และเป็นเหตุผลว่า ทำไมนักโภชนาการจึงแนะนำให้ทานแอปเปิ้ล อีกทั้งเดี๋ยวนี้ราคาแอปเปิ้ลก็ไม่ได้แพงมากมายเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ดังนั้น มาทานแอปเปิ้ลกันเยอะๆ ดีกว่า

    การเลือกซื้อ

    สำหรับการเลือกซื้อแอปเปิ้ล ควรเลือกซื้อลูกที่มีผิวเรียบ ไม่มีร่องรอยขูดขีดหรือถลอก เพราะอาจเป็นสาเหตุให้เนื้อข้างในเน่าเสีย

    การเก็บรักษา

    เมื่อซื้อมาแล้ว หากอยากเก็บให้ได้นานๆ ควรเก็บทั้งลูกใส่ถุงกระดาษ แล้วนำเข้าตู้เย็น วิธีนี้จะเก็บได้ประมาณ 1-2 สัปดาห์ เมื่อจะรับประทานค่อยนำออกมาล้าง หั่น แล้วรับประทานทันที เพราะหากทิ้งไว้ เนื้อจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล ทำให้ดูไม่น่ากิน แต่ถ้าจำเป็นต้องหั่นทิ้งไว้ ให้นำแอปเปิ้ลที่หั่นแล้ว แช่ในน้ำเกลือประมาณ 5 นาที แล้วจึงเก็บใส่กล่องที่มีฝาปิด

    วิธีการเก็บแอปเปิ้ลอีกวิธีหนึ่ง คือ เตรียมน้ำเปล่า 3 ถ้วย ผสมกับน้ำมะนาว 1 ลูก จากนั้นนำแอปเปิ้ลที่ล้าง คว้านไส้ และฝานเป็นชิ้นบางๆ จุ่มลงไปในน้ำนั้น แล้วนำไปซับน้ำให้แห้งด้วยผ้าขาวบาง เรียบร้อยแล้ว ก็ใส่กล่อง ใส่ไว้ในช่องแช่แข็ง วิธีนี้เก็บไว้ได้นานถึง 6 เดือนทีเดียว
     
  18. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,328
    วิธีเลือกซื้อปลาหมึก

    [​IMG]

    ปลาหมึกที่เรานิยมรับประทานมีอยู่ 2 ชนิด คือ ปลาหมึกกล้วย และปลาหมึกกระดอง ปลาหมึกแต่ละชนิดมีหน้าตาอย่างไร ก็ให้นึกถึงหน้าตาของชื่อมันนั่นแหละ
    • ปลาหมึกกล้วย ตัวจะออกรีๆ ยาวๆ คล้ายกล้วย มีเยื่อหุ้มตัวสีออกน้ำตาล ส่วนด้านข้างจะมีปีกเล็กๆ 2 ปีก มีสีเข้มเป็นพิเศษ นิยมนำมาทำปลาหมึกยัดไส้
    • ปลาหมึกกระดอง ลักษณะตัวแบนใหญ่สีขาว นิยมนำมาทำปลาหมึกปิ้ง และอาหารอื่นๆ เช่น ผัด หรือยำลักษณะตัวแบนใหญ่สีขาว นึกไม่ออก ก็นึกถึงปลาหมึกปิ้งไว้แหละ
    การเลือกซื้อ ควรเลือกซื้อปลาหมึกที่เนื้อแน่น ไม่เละ และลองดมดู ไม่มีกลิ่นฉุนๆ ของฟอร์มาลีน ส่วนจะเลือกปลาหมึกชนิดใด ก็ขึ้นอยู่กับลักษณะอาหารที่ต้องการปรุง

    การประกอบอาหาร ก่อนปรุงอาหาร ต้องล้างปลาหมึกให้สะอาด ลอกเยื่อบางๆ ออกให้หมด พร้อมกับกระดองด้านในออก ควักถุงหมึก และลูกตาออก นอกจากนี้ ควรบั้งปลาหมึกก่อน เพราะเนื้อปลาหมึกค่อนข้างแน่น หากไม่บั้ง เครื่องปรุงจะไม่ซึมเข้าเนื้อ ก็ไม่อร่อยนะซิจ๊ะ
     
  19. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,328
    การเลือกซื้อปู (ทะเล)

    [​IMG]

    ปูทะเลมีหลายชนิด ทั้งปูม้า ปูแสม ปูเนื้อ ฯลฯ การเลือกซื้อปู ควรเลือกซื้อปูตัวผู้ เพราะมีเนื้อเยอะกว่า โดยสังเกตจาก
    • ปูตัวผู้ จะมีก้ามใหญ่ ฝาปิดหน้าอกเรียวเล็ก และมีรูปคล้ายใบพาย
    • ปูตัวเมีย ฝาปิดหน้าอกใหญ่ มีรูปคล้ายกลีบดอกไม้
    การเลือกซื้อปู ในปูมีน้ำเป็นส่วนประกอบอยู่มาก เมื่อถูกจับขึ้นมา น้ำจะระเหยออกไปเรื่อยๆ น้ำหนักจึงลดลงเรื่อยๆ การเลือกซื้อปู จึงควรดูจากน้ำหนัก และความแน่นของเนื้อ กล่าวคือ ให้เลือกปูที่น้ำหนักมาก และเมื่อกดหน้าอกดู พบว่า เนื้อแน่น กดแล้วไม่บุ๋ม แสดงว่า สด
     
  20. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,328
    วิธีเลือกซื้อปลา

    ปลามีหลายชนิด ทั้งปลาน้ำจืด ปลาทะเล นอกจากนี้ ยังอาจแยกปลาตามปริมาณไขมัน ที่ปลาแต่ละชนิด มีแตกต่างกันไป ทำให้รสชาติแตกต่างกันด้วย โดยเราอาจจำแนกปลาได้เป็น 3 ประเภทด้วยกัน คือ
    • ปลาที่ไม่มีไขมัน หรือมีไขมันน้อย คือ มีไขมันต่ำกว่า 2% เนื้อปลาพวกนี้จะมีสีขาว เช่น ปลาเนื้ออ่อน ปลากราย ปลาสำลี ปลาจาละเม็ด ปลากะพง ฯลฯ
    • ปลาไขมันปานกลาง มีไขมันตั้งแต่ 2-5% เช่นปลาตะเพียน ปลาดุก ปลาอินทรี ฯลฯ
    • ปลาไขมันสูง มีไขมันมากกว่า 5% ส่วนมากจะมีเนื้อสีเหลือง ชมพู หรือเทาอ่อน เช่น ปลาสวาย ปลาเทโพ ปลาไหลทะเล เป็นต้น
    [​IMG]

    ปลาจัดเป็นอาหารโปรตีนที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมาก เพราะโปรตีนในปลาเป็นโปรตีนที่ย่อยง่าย และมีไขมันต่ำ นอกจากนี้ ปลายังอุดมไปด้วยวิตามินบี1 บี2 บี6 และวิตามินดี ปลาจึงเป็นอาหารที่เหมาะกับผู้สูงอายุ เด็ก ผู้มีความดันโลหิตสูง และผู้ป่วยโรคหัวใจ

    ปลาจัดเป็นอาหารโปรตีนที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมาก เพราะโปรตีนในปลาเป็นโปรตีนที่ย่อยง่าย และมีไขมันต่ำ นอกจากนี้ ปลายังอุดมไปด้วยวิตามินบี1 บี2 บี6 และวิตามินดี ปลาจึงเป็นอาหารที่เหมาะกับผู้สูงอายุ เด็ก ผู้มีความดันโลหิตสูง และผู้ป่วยโรคหัวใจ

    สำหรับการเลือกซื้อปลา มีเคล็ดลับดังนี้ ตาปลาต้องใส เนื้อแน่น เมื่อกดดูไม่บุ๋มตามรอยนิ้วมือ เหงือกมีสีสด

    เมื่อเลือกซื้อปลาได้แล้ว ควรทำความสะอาดปลาก่อน กล่าวคือ ต้องขอดเกล็ดออกให้หมด ถ้าไม่มีเกล็ดต้องขูดเมือกออก ดึงเหงือกและควักไส้ออก ล้างให้สะอาด หั่นเป็นชิ้น ใส่กล่องพลาสติก ปิดฝา นำเข้าช่องแช่แข็ง แต่ถ้าจะให้สะดวก ให้แม่ค้าปลา ช่วยจัดการชำระล้างปลาให้ พอกลับถึงบ้าน ก็ล้างอีกนิดหน่อย แล้วเก็บเข้าตู้เย็น ชีวิตก็จะง่ายขึ้นเยอะเลยค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...