อยากทำสมาธิ อยากเห็นวิญญาณ

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย Superwoman1, 8 ธันวาคม 2014.

  1. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    ถ้าลึกหน่อยก็พระครูเกษมธรรมธัต อาจเขียนชื่อผิด คับ อยู่ ยุดยา คับ
    อีกท่าน ก็ ลพ.ปราโมทย์ ลูกศิษย์ท่านจิตนิ่งๆหลายคน เป็น ญ ด้วยคุณจะ
    สดวกกว่าหากพบเจอ. สายวิชาพิเศษก็ได้แต่ต้องพิจารณาบ่อยๆคับ
    แต่จำเอาไว้ว่า ถ้ายังแยกรูปแยกนามไม่ได้อย่าพึ่งไปวิปัสสนานะครับ
    เจริญสติจนกว่าจะแยกจิต แยกความคิดที่เกิดจากจิต(ปรุงได้ตามแต่ใจ)

    แยกความคิดที่เกิดจากขัน๕ส่วน
    นามธรรม(พวกความคิดในอดีตที่บังคับเรื่องไม่ได เปลี่ยนแปลงไม่ได้)ให้ได้ก่อน
    เห็นตรงนี้เป็น ๓ ส่วนชัดเจนให้ได้ก่อนไม่ต้องรีบร้อน
    ทำได้จะฝึกอะไรก็ได้หมดครับแล้วแต่ชอบและจะไม่หลงด้วยครับ
     
  2. Superwoman1

    Superwoman1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    58
    ค่าพลัง:
    +244
    อีกครั้งนะคะที่เราต้องกล่าวขอบคุณญาติธรรมของเราที่ช่วยแนะนำเราตั้งแต่หน้าแรกจนหน้าสาม ในชีวิตจริงของเรานั้น เรามีญาติที่ไม่รักกัน ไม่ปรองดองกัน ชีวิตขาดๆเกินๆ แต่เรากลับได้รับความช่วยเหลืออย่างจริงใจจากทุกท่าน ทั้งที่มาตอบในกระทู้รวมทั้งส่ง message มาต่างหาก

    มูลเหตุจูงใจที่เราเข้าสู่ความสนใจทางธรรมะนั้นไม่ได้มาจากคุณยาย หรืออยากเห็นเทวดานางฟ้าอย่างเดียว จะว่าไปแล้ว

    เราติดกับอยู่ในความสุขมานาน นั่นคือความสุขทางโลก อยู่มาวันนึงเมื่อเราโดนนายเวร นางเวรที่ยังมีชีวิตเล่นงานเอา ที่โดนหนักๆเลยคือเมื่อสามปีก่อน ตอนนั้นเราแทบอยากลาตาย

    อีตอนทุกข์เราไม่รู้จะทำไง อยากหมดทุกข์แต่ไม่อยากแก้แค้น เลยได้แต่โทรปรึกษาพระ กับอ่านหนังสือธรรมะ
    สวดมนต์ไปก็ร้องไห้ไป จิตใจไม่สงบจนปัจจุบัน. อีตอนใจสงบก่อนหน้านั้นก้อดันแต่ติดสุข นี่ล่ะคือความประมาทที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่าให้พึงระวัง

    ตอนอยู่ในห้วงแห่งความทุกข์ ชอบวิ่งหาหมอดู พอเริ่มชักไม่ได้คำตอบที่โดนใจ เลยมองหาคนมีญาณทิพย์สองสามคนช่วยสแกนโชคชะตาให้เพราะอยากจะกรวดน้ำส่งถึงนายเวรที่เล่นงานแรงๆแบบเจาะจงตัว แรกๆที่เขาบอกมาก็ไม่เชื่อ. พอได้ยินเรื่องราวซ้ำๆของเราในอดีตชาติจากหลายคนที่บอกมา ซึ่งพวกเขาไม่รู้จักกันมาก่อน ทั้งยังไม่รู้จักเราด้วย เราจึงรับฟัง จากนั้นก็เลยวิ่งเข้าวัดทำบุญทำทานมากกว่าเดิม

    คนมีญาณทั้งหมดบอกเราว่า คนเราเกิดมาหลายภพหลายชาติ. การรู้อดีตชาติจริงๆแล้วไม่ได้มีประโยชน์อะไรมาก แต่อาจจะช่วยคนที่นายเวรเล่นงานหนักๆได้บ้างเพราะพวกเขาจะแนะนำให้เข้าวัด ถือศีล ทำทานทำบุญกรวดน้ำให้ถูกคน ที่สำคัญที่สุดคือปฏิบัติเพื่อการหลุดพ้น

    เขาบอกเราว่าชาติที่แล้วล่าสุดเลย เราเกิดเป็นชายต่างชาติ แต่งตัวแขกๆคล้ายพวกเนปาล (ไม่ได้เป็นญาตินาธานนะ:)) ผิดศีลข้อสามสุดๆ เท่านั้นยังไม่พอ ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกล หลอกให้รัก หลอกให้รอ บังคับใจคนให้รัก ผิดกาเมกับผู้หญิงมากหน้าหลายตา อาชีพเราคือขายผ้า สงสัยจะ pashmina มั้ง เราเกิดในรัชสมัยรัชกาลที่ห้า. ในสมัยนั้นเรารวยมากๆได้รับพระบรมราชานุญาตให้เข้ามาค้าขายในแผ่นดินสยาม เราชอบคดโกงคนจำนวนมากมายทั้งลูกค้า คู่ค้าธุรกิจ ส่วนกับลูกน้องเราก็ใช้งานพวกเขาอย่างหนัก ดึกดื่น แบกของสารพัด เพราะถือว่าจ่ายค่าจ้างไปแล้ว ไม่เห็นอกเห็นใจใดๅ เราเสียชีวิตก่อนวัยอันควรจากอุบัติเหตุเรือใหญ่ล่มในแม่น้ำหรือทะเล ในชีวิตชาติที่แล้วเรามีดีอย่างเดียวคือชอบช่วยเหลือคนจนตกทุกข์ได้ยาก. แต่ต้องเป็นคนจนจริงๆนะถึงจะช่วย อีกอย่างคือเรารักรัชกาลที่ 5 มากๆ
    เราฟังจบก็พอจะเข้าใจได้ อาจจะพร้อมๆกับคนที่มีญานเค้ากำลังจะบอก...การผิดศีลข้อสามทำให้ชาตินี้ของเราตั้งแต่เป็นสาวมาเราอกหักบ่อย อกหักประจำ ชอบกันดีๆก้อหายไปจากชีวิตแบบเรางงๆและทำให้เราเสียอกเสียใจมากๆ ชาตินี้จริงๆก็มีปัญหาเรื่องนี้อยู่. เพียงแต่ในช่วงนี้เราไม่ค่อยสนใจเรื่องนี้เท่าไหร่แล้ว สำหรับเรื่องการโกง คนที่เคยเป็นคู่ค้าธุรกิจบัดนี้ส่วนใหญ่ก็คือบรรดาเจ้านายของเรา คนที่เป็นลูกค้าบัดนี้คือเพื่อนร่วมงานของเรา ซึ่งส่วนใหญ่จะไม่ชอบเราตั้งแต่ไม่เจอกันหรือเจอกันก็ไม่ชอบทั้งที่เรายังไม่ทำอะไร เจ้านายเราบางคนจะใช้งานเรา เราต้องรอประชุมยันตี 1 ตี 2

    ส่วนบรรดาลูกน้องที่เราเคยกลั่นแกล้ง ใช้งานเยี่ยงทาส บัดนี้ได้มาเป็นญาติพี่น้องของเราทั้งสิ้น. ทั้งพี่น้องแท้ๆ. น้าอา ให้สังเกตดูว่าเรามักถูกกล่าวหาว่าทำผิดโน่นนี่ทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรตั้งแต่เด็กๆแล้ว อธิบายเหตุผลก็ไม่มีใครเชื่อ เราถูกรุมทึ้ง ถูกเอาเปรียบ. ถูกแอนตี้. ถูกทำให้ไม่มีหน้าไปพบญาติคนอื่นๆในทุกวันนี้ แต่สิ่งที่คนมีญาณชมเชยมาคือยังดีที่เราก้มหน้ารับกรรม ไม่แก้แค้น ไม่เอาคืน และเรามักถามตัวเองเสมอว่าทำไมเราทำดีกับเค้าแล้วถึงไม่ได้ดี

    การที่เคยเสียชีวิตในน้ำ แม้ในชาตินี้เราว่ายน้ำเป็น แต่จริงๆเรากลัวการเดินทางทางน้ำมาก เรือสำราญก็ไม่ชอบ กลัวน้ำลึกแบบฝังใจเป็นที่สุด ไม่มีใครนอกจากตัวเราเองที่รู้ความจริงเรื่องนี้ แหม!! ก็คนเคยตายโหง เป็นผีทะเลอยู่ตั้ง 3 รัชกาลกว่าๆกว่าจะกลับมาเกิดใหม่ในชาตินี้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 13 มกราคม 2015
  3. Superwoman1

    Superwoman1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    58
    ค่าพลัง:
    +244
    จากความรักและเทิดทูนรัชกาลที่ 5 มาในชาติปางก่อน ในชาตินี้ เค้าบอกเราว่าที่ๆเราเรียนหนังสือตั้งแต่เล็กๆจนโตก็อยู่ในสถาบันที่เกี่ยวข้องกับท่าน เราชอบอ่านหนังสือหน้าพระรูปท่าน ขอพรท่าน เล่าปัญหาให้ท่านฟัง อ่านพระราชประวัติของท่านทีไร น้ำหูน้ำตาไหลทุกที จุกในใจทุกครั้งไม่รู้เป็นไง

    คนมีญาณทิพย์บอกต่อด้วยว่าในชีวิตนี้เวลาเราโดนทำร้าย ดวงกำลังจะตก เราก็มักมีคนขี่ม้าขาวมาช้อนร่างเอาไว้ทุกครั้งไม่เคยตกแอ้กติดพื้นดินสักครั้ง กินดีอยู่ดี. เดินทางไปในที่หรูหรา ท่องเที่ยวหลายที่. ชีวิตเรามักมีของกินชั้นเลิศระดับโรงแรม 5 ดาวให้ได้ลิ้มลองเป็นประจำ นั่นเป็นเพราะกรรมดีจากที่เราได้เคยช่วยเหลือพวกคนจนสุดๆที่เราเคยสงเคราะห์ในอดีตชาติ เค้าบอกว่าความที่เราเคยขายผ้า ในชาตินี้เรามีเสื้อผ้าเยอะมาก ผ้าแปลกๆเราก็ชอบเก็บสะสม มีอยู่หลายตู้ล้นตู้แล้วตอนนี้ ไอ้ที่เก็บใต้เตียงก็ยังมีเลย เค้าแนะให้เราบริจาคบ้างอย่าหวงของเลย

    เรื่องพฤติกรรมการโกง การผิดคำพูด นอกจากพ่อเราผู้ซึ่งมีแต่ความยุติธรรม แต่ท่านจากโลกนี้ไปแลัวนับสิบปี ทำให้เราต้องเจอกรรมอดีตเล่นงานเราเต็มๆ จากคนนอนสบายรอสมบัติ คนเลือกงานกลายเป็นคนที่โดนแม่ผิดคำพูด น้องๆ น้าๆ ลูกพี่ลูกน้องคอยยุแหย่แม่เรา หนักเข้าพี่น้องทั้งหมดก็ไม่รักกัน คอยทำร้ายเรา สมบัติที่คิดว่าเราจะได้ตามสิทธิก็ไม่ใช่แล้ว

    ตอนแรกๆที่เจอเหตุการณ์ทั้งหมด เราทุกข์ใจมากๆ เพราะต้องวิ่งซื้อบ้านเป็นหนี้หัวโตตอนอายุเยอะ. พอหนี้เยอะ แล้วอยากจะลาออกจากงานก็ยังทำไม่ได้ กล้ำกลืนฝืนใจไปทำงานทุกวัน ตำแหน่งโดนแช่อิ่มมาหนึ่งทศวรรษแล้ว ลูกน้องเพื่อนร่วมงานห่วยแตกทั้งๆที่เรามีน้ำใจให้เขามากมาย ชีวิตติดสุขจากที่เคยขับรถหรูมาทั้งชีวิต เหลือเพียง Eco car ตอนนี้ทำใจได้แถมรู้สึกดีเพราะประหยัดน้ำมันสุดๆ รู้งี้ขับมานานแล้ว ปลงไปเยอะตั้งแต่วันที่ขน 12 ลังยักษ์ออกจากบ้าน. เชื่อไหมยังไม่หมดแต่ยังมีเหลืออีกตั้งเยอะ ย้อนมองดูชีวิตคนที่เขาลำบากกว่าเรามีมากมายนัก กรรมอุตส่าห์จัดสรรให้ยังเหลือทรัพย์. เหลือเท่าที่มีเนี่ยถือว่าดีแค่ไหนแล้วแถมสุขภาพก็ยังโอเคอยู่ ใบหน้าก็ยังมีคนชมว่ายังเด็กกว่าอายุเกือบสิบปี ยังแจ่มใสอยู่โดยไม่พึ่งคุณหมอ :)

    อี 12 ลังยักษ์นั่น ทุกวันนี้ก็ไม่ได้ใช้ประโยชน์จากมันเท่าไหร่ รวมทั้งบรรดากระเป๋าแบรนด์เนม และรองเท้าอีกสามโหล เป็นต้น

    จึงฉุกคิดต่อไปว่าหากเราตายไปใครจะมานั่งเช็ค ช่วยเคลียร์ให้ ของแต่งตัวที่อยู่ในเซฟธนาคาร ทุกวันนี้ไม่ได้ใช้งาน เราก็ยังอยู่ได้ เรียนเมืองนอกหลายแห่งใช้เงินพ่อแม่มหาศาลมากกว่าพี่น้องคนอื่นๆถือเป็นกำไรแล้ว ความรู้มีติดตัวใครเอาไปไม่ได้ แม้ไม่ได้ทรัพย์อย่างที่ฝันคงไม่น่าเป็นไร ที่อยู่มาได้ตั้งนานแบบไม่ได้สมบัติที่รอคอยก็ยังอยู่ได้นี่ ว่าแล้วก็ลงทะเบียนบริจาคร่างเป็นอาจารย์ใหญ่ไปเป็นที่เรียบร้อย

    "เกิดขึ้น. ตั้งอยู่. และดับไป"

    เราขอบคุณวลีนี้ ที่ทำให้เราได้รู้ ได้เห็น เข้าใจตัวทุกข์ แม้ความเข้าใจจะยังไม่ทะลุ แต่เราก็ยังดีใจที่เราพยายามที่จะไม่อาฆาตใคร

    ความท้าทายลำดับถัดไปคือการปฏิบัติธรรม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 29 ธันวาคม 2014
  4. Kalina

    Kalina เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +4,042
    ... ชีวิตคุณยังดีกว่าหลาย ๆ คนนะคะ .. คุณยังมีงานแม้จะโดนดองไว้ คุณยังมีกำลังกายกำลังทรัพย์เพื่อมีบ้านใหม่ .. แต่ใครอีกหลายคนยังไม่มี .. สาธุกับความตั้งใจดีของคุณนะคะ .. เพราะ กาลีนะ เองก็ทำไม่ได้คะในเรื่องบางเรื่องแบบคุณ

    ... คงมีคำแนะนำให้คุณเผื่อจะได้มีกำลังใจนะคะ

    ... ตราบใดที่คุณยังมีลมหายใจ จงดีใจเถอะคะว่าคุณยังมีโอกาศ เพราะถ้าคุณหมดลมหายใจแล้วคุณก็มีแค่สิ่งทีคุณเคยทำไว้ กับ รอให้คนอื่นอุทิศให้เท่านั้น .. ซึ่งอย่างหลังคงหวังได้ยากแน่ ๆ
     
  5. Superwoman1

    Superwoman1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    58
    ค่าพลัง:
    +244
    วันนี้แม่โทรมาถามเราว่าพี่สาวเราเค้าอยากซื้อที่ข้างๆบ้านทรงไทยของเค้า ที่ต่างจังหวัด มันเป็นที่ดินข้างๆพร้อมบ้านอีกหลัง เคยเป็นของคุณยายต่อมาเป็นชื่อของแม่ แต่อยู่ในพินัยกรรมว่ามันจะเป็นของเราเมื่อแม่เสียชีวิต แม่แนะนำให้เราขายต่อให้พี่สาว เพราะเราจนกว่าเขา (ย้ำทำไมฟะ) ขายไปเราจะได้มีตังค์ เราตอบแม่ว่าถ้าตั้งใจจะให้เราจริงๆไม่เปลี่ยนพินัยกรรมอีก เราขอยกที่ดินพร้อมบ้านให้พี่สาวเราไปเลยโดยไม่ขายต่อ เพราะพี่สาวคนนี้มีพระคุณต่อเราตั้งแต่เด็กๆ ตอนอยู่ ร.ร.ประจำก็ซักผ้าให้ตอนเราป่วย นั่งรถไปหาพ่อแม่ที่ต่างจังหวัด เวลาง่วงๆเราชอบนอนหนุนตักพี่สาว. ทำน้ำลายหกใส่กระโปรงพี่เป็นประจำ พี่สาวคอยดุว่าเวลาเราทำท่าจะเกเร คอยดูแลความประพฤติยังกะเป็นแม่คนที่สองจะว่าไปแล้ว ตอนเรียนเมืองนอกเราสองคนอยู่กันคนละทวีป พอปิดเทอมบินไปหาพี่สาวที่เรียนแพทย์เฉพาะทาง ตอนนั้นยังไม่ซื้อรถ งานยุ่งเรียนหนัก ยังขอให้เพื่อนไปรับเราที่สนามบิน เราอายุตั้งมากแล้วตอนนั้นพี่สาวดันกลัวเราหลงทาง :) ตอนไปอยู่กับพี่สาว พายุหิมะลงอย่างหนักอดไปเที่ยวเอง ต้องนั่งแกร่วในอพาร์ตเม้นท์พี่ทุกวันพอตกเที่ยงวันพี่สาวก็ชอบซื้ออาหารกลางวันมาให้กินถึงห้อง ผัดซีอิ๊วแสนอร่อย พี่สาวรู้ว่าน้องอยากกิน แต่อีน้องสาวดันไม่รู้ว่าพี่สาวไปหาซื้อมาจากไหนเพราะอาหารไทย simple simple แบบนี้มันไม่ง่ายเลยที่จะหาซื้อในต่างแดนแถวละแวกที่พี่สาวอยู่ โดยเฉพาะคนซื้อคนนี้ที่ busy สุดๆ ต่อมาตอนทุกๆคนกลับบ้านที่เมืองไทยแล้ว พี่สาวทำพลาดบางอย่างในชีวิต แทนที่เราจะช่วยเหลือ เราถูกน้องสาวยุยงจนเราพลอยแอนตี้พี่สาวไปด้วย จนทำให้เขาไม่อยากเจอ ไม่อยากคุยกับน้องๆญาติๆคนใดต่อไปอีกแล้ว แม้ตอนหลังเราขอโทษเขา เขาก็ไม่ยุ่งกับเราอยู่ดี สมน้ำหน้าตัวเอง

    ..เขาดีกับเราขนาดนี้ จะให้เราคิดเงินพี่สาวค่าที่ดินข้างๆบ้านเหรอ เราทำไม่ลงหรอก ให้แค่นี้ยังน้อยไปด้วยซ้ำ แต่เราคนจน ไม่มีอะไรจะให้ในตอนนี้เพิ่มเติม....

    บ่ายนี้ เราจึงโทรหาพี่ แกถามว่าใครโทรมา เราเลยบอกพี่สาวไปว่าเราเอง เรื่องที่ดินน่ะเราไม่คิดเงิน พี่สาวเราบอกว่าค่อยบอกราคาวันหลังก็ได้ เราบอกว่าวันหลังก็ไม่คิด เราไม่กลับคำพูดแน่นอนเพราะพี่มีบุญคุณ แกถามว่าบุญคุณอะไร เราตอบว่าบุญคุณเยอะแยะ แล้วแกก้อวางสายทันที แย่จังแกไม่อยากคุยกับเราอีกแล้ว :( ไม่รู้จะยอมคุยด้วยวันไหน

    จากนั้นเราก็โทรหาน้าชายที่เป็นหมอ น้องของแม่ น้าคนนี้ไม่เคยได้สมบัติคุณยายเลยตอนท่านเสีย เราเคยวางแผนว่าจะยกที่ดินนี้ให้ชดเชย. แต่น้ากลับบอกว่าตอนเรียนหมอ น้าใช้เงินพ่อแม่เยอะแล้ว ตอนนี้แกขยันมีเงินทองมากมาย ไม่ต้องการอะไรแล้ว แล้วน้าก็คอยให้กำลังใจตอนเราทุกข์ใจให้เราสู้ๆเหมือนเขา เราบอกว่าที่ดินนี้ เคยกะว่าเราจะยกให้น้าเพราะน้าไม่เคยได้สมบัติยาย น้ายังยืนยันว่าน้าไม่เอาแล้ว ตอนนี้แกรวยแล้ว เราเลยบอกว่ารู้อยู่ว่าแกต้องตอบแบบนี้ เราเลยมีก๊อกสอง คือถ้าน้าไม่ต้องการ ขั้นแรกเราจะยกให้ครอบครัวของน้า แล้วเราทั้งหมดจะน้อมเกล้าฯถวายที่ดินแปลงงามๆใกล้สิ่งสำคัญทางประวัติศาสตร์อย่างนี้แม้จะไม่ใหญ่นักให้กับมูลนิธิของในหลวงเผื่อจะเป็นประโยชน์กว่าด้วยกัน แต่ตอนนี้คงจะอดแล้วเพราะเรากำลังจะยกให้พี่สาวแทนแล้วนะ น้าบอกว่า น้าเคยเข้าวังแล้ว ไม่ต้องเข้าอีกก็ไม่เป็นไร น้ากล่าวต่อไปว่า ที่เราทำน่ะถูกแล้ว มันแสดงให้เห็นว่าถึงเราจน (อีกแล้ว ^_^) แต่เรามีน้ำใจ ทำดีกับคนมีบุญคุณน่ะถูกแล้ว

    ขอบคุณนะคะ คุณกาลีนะสำหรับกำลังใจ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 29 ธันวาคม 2014
  6. Superwoman1

    Superwoman1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    58
    ค่าพลัง:
    +244
    -------------
    ขอบคุณนะคะ
    คำถามอีกข้ออ่ะค่ะ ขอเรียนสอบถามว่าขั้นตอนการนำเข้าสู่สมาธิที่ลึกกว่าเดิมต้องเริ่มจาก (1) ดูจิต (2) สภาวะที่จิตที่กำลังจดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง (3) การแยกรูปแยกนาม รึเปล่าคะ ที่พระบางรูปแนะให้ดูจิต ท่านหมายถึงให้สังเกตตัวเองว่ากำลังคิดอะไรในทุกลมหายใจ แล้วระหว่างดูจิตสามารถนึกถึงภาพพระที่เราเคยชินไปด้วยได้มั้ยคะ หรือต้องละภาพท่านไปก่อน ส่วนการแยกรูปแยกนามนั้น เป็นยังไงคะ. แล้วอะไรจะเป็นตัวชี้วัดว่าเราสามารถทำได้แล้ว :cool:

    คุณนพเป็นพระหรือฆราวาสคะ? จะได้เรียกให้เหมาะสมและถูกต้อง
    ท้ายนี้ ขอสวัสดีปีใหม่นะคะขออำนาจคุณพระไตรรัตน์ดลบันดาลให้คุณนพและคนในตระกูลประสบความเจริญทางโลกและทางธรรมตลอดไปค่ะ
     
  7. กิ่งสน

    กิ่งสน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2012
    โพสต์:
    1,068
    ค่าพลัง:
    +2,327
    ตอนแรกว่าจะตามกดไลค์ไปเรื่อยๆ ขอให้กำลังใจเจ้าของกระทู้บ้างดีกว่า เพราะคุณเล่ามาเยอะดี คุณมีภูมิหลังที่ดีอยู่แล้ว ได้ทำบุญกับพระอริยะ มีคุณยายที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเป็นแบบอย่าง มีการศึกษา มีปัญญา ฯลฯ แต่คนเราโดยทั่วไปถ้ามารไม่มีบารมีไม่เกิด เพราะว่าเรามัวประมาทไม่ถึงเวลาซะที หรือบางทีเราก็สนใจอยู่ล่ะน่ะศาสนา แต่ว่าไม่มีบททดสอบจะรู้ได้ไงว่าคนนั้น ตัดได้จริง อภัยได้จริง คุณว่าไหม คนที่ศึกษาธรรมะไม่ใช่โกรธง่ายขึ้น ฉันแน่ อย่างนี้ก็เรียกว่าหลงน่ะสิ ผู้มีปัญญาเมื่อมีปัญหาก็คิดแก้ไขแบบถูกทาง "ปลาเป็นว่ายทวนน้ำ" นับถือนะ ถ้าคุณตั้งใจจะยกที่ดินนั้นให้พี่สาวคุณจริงๆ แต่ในเมื่อเขาไม่ไว้ใจคุณกลัวคุณทำแบบเดิมๆ(อดีตที่ผ่านมา) คุณก็ชะลอไว้ก่อนอย่าเพิ่งคิดนู้นนี่เลย คุณอยากทำสมาธิ สำหรับคุณไม่ยากหรอก คนที่เคยมีสมาธิและปัญญาดี อาจเคยปฏิบัติ(สมาธิภาวนา)มาก่อน อย่าดูชาติเดียว ข้าพเจ้าเองก็ทดลองมาหลายๆวิธีแล้ว และก็ยังมีบางวิธีที่ยังไม่ได้ทดลอง ก็ฝึกสังเกตตัวเองเอาว่าแบบไหนทำแล้วเข้าใจง่าย วิธีที่ข้าพเจ้าอยากแนะนำก็ อาณาปานสติ ฝึกจับลมหายใจ :cool:
     
  8. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    ขอบคุณครับ..เป็นฆราวาสเท่ห์ๆ เอ้ย!!ตื่นๆ..เป็นคนธรรมดา
    ที่ต้มมาม่าใส่ไข่กินเป็นบางครั้งบางคราวปกติๆทั่วๆไปนี่หละครับ ๕๕๕๕
    คุณถามเหมือนๆธรรมดานะ.
    .แต่ใช้การอธิบายเพื่อให้ครอบคลุมคงยาวเล็กน้อยนะครับ.
    .ยังไงๆก็หลับไปอ่านไปก็แล้วกันนะครับ ๕๕๕ การจดจ่ออยู่กับสิ่ง
    ใดสิ่งหนึ่งที่คุณเข้าใจว่าเป็นสมาธินะถูกแล้วครับ..เพื่อแต่ว่าการเพิ่ม
    กำลังสมาธิในที่นี้..ก็คือการลดระดับคลื่นความถี่ของจิตนั้นเองครับ..
    ยิ่งระดับสมาธิสูงเท่าไร..คลื่นความถี่ของจิตก็จะลดน้อยเท่านั้น..
    การที่เราฝึกลดคลื่นความถี่ของจิตตรงนี้นี่หละครับ ถ้าหากว่า
    เราทำบ่อยๆก็จะกำลังสมาธิสะสมนั่นเอง..ถึงแม้ว่าในทางปฏิบัติจะมี
    มากมายหลายวิธีให้เราได้เลือกตามแต่ที่เราชอบหรือเราถนัด.
    แต่การที่เราพอสามารถที่จะรู้แนวทางเดินของจิตเราได้นั้น ก็เปรียบ
    เสมือนการย่นย่อระยะเวลาของเราให้มันสั้นลงนั้นเองครับ..ทั้งนี้ทั้งนั้น
    เราต้องไม่ลืมปลายทางว่า..เราปฏิบัติก็เพื่อให้จิตของเรานี้มันสำรอก
    มันคลายกิเลสออกเรื่อยๆ เริ่มจากกิเลสหยาบๆก่อน ลงไปเรื่อยๆตาม
    ลำดับจนถึงขั้นกิเลสละเอียดครับ..จนกระทั่งจิตเรามันว่าง.มันวาง
    จากการเกิดครับ..แม้ว่าอริยทรัยพ์ภายในนั่นคือความว่าง.
    แต่ในความว่างนั้นมันก็ก็ยังมีดวงจิตอยู่ จิตที่ว่างจากความคิด
    ว่างจากความยึดหมั่นถือมั่น ว่างจากกิเลส ว่างจากอารมย์.เค้าถึง
    จะสงบเค้าถึงจะนิ่งครับ...เมื่อจิตเค้านิ่งเค้าสงบได้ เขาก็จะรู้ว่าการ
    เกิดมันทุกข์ เค้าถึงจะไม่เกิดครับ...ตรงนี้ต่างหากเป็นประเด็นสำคัญครับ..
    ที่เราควรจะต้องเลือกแนวทางการปฏิบัติอะไรก็ได้ให้เหมาะสม
    กับตัวเอง..ไม่ว่ากรรมฐานกองไหนๆก็ตาม.สิ่งสำคัญที่เราจะได้ก็คือ
    เรื่องของกำลังสมาธิสะสมที่จะมาคอยหนุนให้ตัวจิตของเรามันเข้าสู่
    ความสงบความนิ่งอย่างที่เล่าให้ฟังได้..และที่ควรก็คือเราควรเข้าสู่
    ความสงบความนิ่งได้ในสภาวะลืมตาปกติทั่วๆไป ที่เราใช้ชีวิตอยู่
    ร่วมกับสังคมนี่หละครับ..ถึงจะถือว่าเป็นสมาธิที่ดีครับ..
    ผลต่างๆเกี่ยวกับกิริยาทางจิตที่ทำให้เกิดเครื่องรู้ต่างๆ ทำให้เราเกิด
    สัมผัสต่างๆนั้น.เป็นกิริยาระหว่างทางที่เกิดขึ้นได้เป็นปกติอยู่แล้วครับ
    ซึ่งถ้าหากว่าเราไปเน้นหรือไปให้ความสำคัญกับพวกนี้ก็เปรียบเสมือน
    ว่าเรากำลังเดินอยู่ในถนนที่กำลังจะไปถึงปลายทาง แต่เราแวะข้างทาง
    อยู่จนสามารถทำให้อาจเผลอลืมเดินหน้าต่อไปได้ครับ...
    นอกจากนี้เราก็ต้องมาดูในหลักการของแนวทางปฏิบัติอื่นๆเพื่อให้
    พอเข้าใจบ้าง..เราจะได้ไม่เผลอเอามารวมเป็นหนึ่งเดียวกันแม้ว่าใน
    ความเป็นจริงๆแล้วมันก็ยังต้องอาศัยซึ่งกันและกันไม่มากไม่น้อยก็ตาม..
    ภาพพระหรือบางคนเรียกกสิณพระ..หรือกสิณกองต่างๆแม้ว่าจะเป็น
    กรรมฐานอย่างหยาบ.
    .แต่หากว่าจะใช้ได้จริงก็ต้องเข้าสู่กำลังสมาธิระดับสูงให้ได้ก่อน.
    .แต่ตรงนี้ไม่ใช่ประเด็นหลักครับ..ประเด็นของมัน
    คือนำกำลังสมาธิที่เราได้ตรงนี้เพื่อมาเสริม มาหนุนการเดินปัญญา
    ทางธรรมของเรา ปัญญาในที่นี้ไม่ใช่ปัญญาทางโลก แม้ว่าปัญญา
    ทางโลกเราจะเข้าใจดีแค่ไหนก็ตาม แต่มันก็ยังไม่ใช่ปัญญาที่จะคลาย
    กิเลสต่างๆออกจากตัวจิตเราได้จริงๆ..เพราะฉนั้นเราจึงต้องมาสร้าง
    ''ผู้รู้'' ตัวใหม่นั่น ก็คือ ''สติทางธรรม''นั้นเองครับ..
    เพราะว่าเวลานี้จิตเราทุกวันนี้มันยังเกิดอยู่ วันหนึ่งห้านาทีสิบนาที
    ไม่รู้ว่าไปกี่เรื่องครับ ไหนจะเรื่องอดีต เรื่องอนาคต เรื่องคนนั้นเรื่อง
    คนนี้ ฯลฯ และเรามักจะมารู้ทันมันตอนที่ความคิด ตอนที่อารมย์
    ตอนที่กิเลสต่างๆ หรือความยึดหมั่นถือมั่นมันเข้าไปรวมกับตัวจิต
    ของเราแล้ว...โดยมากเราจึงเข้าใจไปเองว่าเรารู้ ว่าเราเห็น บางครั้ง
    เราก็ไปหมายมั่นปั่นมือว่า ความคิดที่เกิดจากจิตตรงนี้ ความคิดที่
    เกิดจากขันธ์ ๕ นามธรรมซึ่งเป็นฝ่ายอารมย์ มันเป็นตัวสติ มันเป็น
    ตัวปัญญาแล้วเราเผลอนำไปพิจารณา ผลที่ได้ก็คือ มันไม่ได้ช่วย
    ให้จิตเราคลายจากกิเลส คลายจากความคิด คลายจากอารมย์ได้
    คลายจากความยึดหมั่นถือมั่นได้..บางคนที่เคยมีสัมผัสพิเศษมาก่อน
    เคยมีการรับรู้พิเศษมาก่อน..จึงพบว่าไม่มีการพัฒนาทั้งทางด้าน
    สัมผัสทั้งการรับรู้..และบางคนที่ยังเป็นปัญญาทางโลกอยู่..พอเกิด
    เหตุการณ์อะไรขึ้นมากระทบกับจิตใจ ไม่ว่าจะจากภายในหรือภายนอก
    จึงสังเกตุไม่ทัน ความคิด ไม่ทันอารมย์ ไม่ทันความยึดมั่นถือตรงนี้..
    เพราะว่าเราขาดเครื่องมือในการที่จะเข้าไปสังเกตุตรงนี้ก็คือ สติทางธรรมนั่นเอง.
    ..สติทางธรรมตรงนี้เราต้องมาสร้างจากการเจริญสติ
    จะด้วยวิธีอะไรก็ได้ ของให้ฐานอยู่กายครับ..
    ข้อดีของมนุษย์ก็คือ
    สามารถสร้างสติทางธรรมตรงนี้ได้ เป็นข้อที่เราได้เปรียบทางภพภูมิครับ.
    ..สติทางธรรมตัวนี้ เพื่อที่จะคอยควบคุมความคิดไม่ให้เกิด
    ควบคุมอารมย์ เพื่อให้จิตเค้าค่อยๆคลายใจออกจากความคิด
    ออกจากอารมย์ที่เป็นฝ่ายนามธรรมนั้นเอง..
    วิธีการหนึ่งที่เราจะเข้าถึง
    ตรงนี้ได้ก็คือ การดูจิต อย่างที่คุณเข้าใจนั่นเองครับ...
    ที่นี้การดูจิตนั้นให้เปลี่ยนจากความตั้งใจในการดูตรงนี้ เพราะว่า
    ความตั้งใจไม่ใช่ว่าไม่ดี แต่จะเป็นการปิดกั้นตัวเราเองนั่นก็คือใจ..
    โดยมาเจริญสติเพื่อเข้าไปดูตรงนี้แทน...เราเจริญสติเข้าไปจน
    กว่าเราจะทันความคิด แรกๆมันอาจจะปรุงร่วมกับจิตไปแล้วหลายๆ
    นาที.แต่ไม่ใช่เรื่องสำคัญเราทันตอนไหน เราก็มารู้ตัวระลึกให้ได้
    ตอนนั้น ขอให้มีความต่อเนื่องครับ..จากหลักนาทีเราทำไปเรื่อยๆ
    ก็จะเหลือแค่หลักวินาที ในช่วงที่ใกล้จะเป็นผลแม้ภายในหนึ่งนาที
    มันอาจจะมีความคิดขึ้นมาเป็นสิบๆเรื่องก็ได้..พอสติเราเริ่มเร็วขึ้น
    เรื่อยๆแล้วจนกระทั่งจิตเห็นความคิดตรงนี้มันผุดขึ้นมาได้นั้น..
    ความคิดที่เกิดจากจิตตรงนี้ก็จะดีดตัวออกจากจิตครับ..เราก็จะเห็น
    การเกิดดับของจิตได้..และจะรู้ว่าอะไรเป็นจิต
    กิริยาของจิตเป็นอย่างไร จิตกระเพื่อมเป็นอย่างไร
    กิริยาของความคิดที่เกิดจากจิตเป็นอย่างไร.
    .แต่พวกนี้ก็เป็นเพียงบางส่วน.
    .เราต้องเจริญสติเข้าไปอีกจนกว่า
    จิตเราจะสังเกตุความคิดที่ผุดขึ้นมาอย่างไม่ได้ตั้งใจตรงนี้
    หรือขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรมให้ได้อีก
    ซึ่งเป็นฝ่ายอารมย์ ถ้าเราสังเกตุทันตรงนี้อีก ขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรม
    ตรงนี้ก็จะดีดออกจากกัน เสมือนเกลียวเชือกที่มันยังมัดกันอยู่ที่เมื่อ
    ก่อนเราเห็นว่ามันเป็นเส้นเดียวกันนั้น มันก็จะแยกออกเป็นเส้นของ
    ใครของมันหรือที่เราเรียกว่าขันธ์ของใครของมันนั่นเองครับ..
    ต่อจากตรงนี้จิตเราจะเห็นได้อย่างชัดเจนแยกเป็น ๓ ส่วนก็คือ
    ๑.จิต ๒.ความคิดที่เกิดจากจิต(หลักสังเกตุคือเราสามารถปรุงแต่ง
    ให้ดีหรือไม่ดีก็ได้ตามแต่ใจเรา)และ ๓.ขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรมซึ่ง
    เป็นฝ่ายอารมย์ เป็นความคิดที่ผุดขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจ
    ไม่เลือกสถานที่เลือกเวลา ........
    ปล.เหนื่อยแล้วครับ จบตรงนี้ขอมาม่าต้มยำรสกุ้ง ๒ ซองนะครับ
    เด่ว #Rep ต่อไปขอเป็นไข่ไก่อีก ๒ ฟองนะครับ ..
     
  9. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    ต่อๆๆ เพื่อไข่ไก่ ๕๕๕
    และที่สำคัญคือเราไม่สามารถที่จะไปเปลี่ยนแปลงในเรื่องที่ผุดขึ้นมานั้นได้ครับ
    ..เช่น ถ้าเป็นความคิดที่เกิดจากจิตขึ้นมาว่า ๑๒๓๔
    เราอาจจะคิดให้มันเป็น ๑๓๔๒ ๒๓๔๑ ๑๓๒๔ ก็ได้ครับ
    แต่ถ้าเป็นความคิดที่ผุดขึ้นมาอย่างไม่ได้ตั้งใจขึ้นมาว่า
    ๑๒๓๔ มันก็จะเป็น ๑๒๓๔ ๑๒๓๔ แม้ว่าเราจะคิดอย่างไรมัน
    ก็จะเป็น ๑๒๓๔ ครับ..การเจริญสติด้วยการดูจิตนั้นเราต้องเห็นได้ในลักษณะอย่างนี้
    เค้าถึงจะเรียกว่าเป็นการแยกรูปธรรมกับนามธรรมครับ..
    ถ้าเรามาถึงตรงนี้ได้
    ความเห็นชอบก็จะเปิดทางให้เราสามารถที่จะเดินปัญญาเพื่อ
    ลดละกิเลสได้.ด้วยการตามทำความเข้าใจไอ้พวก
    ความคิดที่ขึ้นมาเป็น ๑๒๓๔ พวกนี้นี่หละครับ
    เราทำความเข้าใจได้ตรงนี้ก็จะเป็นการรอบรู้ในกองสังขาร
    ถ้าเราวางมันได้แล้ว ไม่ว่าเรื่อง
    ใดๆก็ตาม แม้ว่าเราจะพยายามคิด
    จะพยายามนึกอย่างไร เรื่องๆนั้น
    มันก็จะไม่เกิด
    แม้ว่าจะมีเหตุการณ์อะไรก็ตามในอดีตที่เคยทำให้มันเกิด
    มันก็จะไม่ส่งผลต่อตัวจิตของเรา
    เพราะหากว่าจิตมันคลายเรื่องอะไรออกจากตัวจิตแล้วมันจะเลิกคบกับเรื่องนั่นๆไปเลยครับ..
    ที่นี้หน้าที่เราก็คอยมาชำระสะสางเรื่องอื่นๆต่อไป
    จนกว่าจิตเราจะไม่มีขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรมตรงนี้.
    .และสุดท้ายแม้แต่ตัวสติเองหรือตัวปัญญาเองก็ต้องวาง
    ตัวจิตเองก็จะต้องวางเพราะเค้าเห็นว่าการเกิด
    เป็นทุกข์เค้าก็จะไม่อยากเกิดอีกนั่นเองครับ
    ซึ่งก็ต้องใช้เวลาและความเพียรบวกกับเหตุและ
    ปัจจัยต่างๆในการที่จะเดินไปให้ถึงจุดหมายด้วยครับ...
    อาปาณาสติก็คือ การที่สติอยู่กับอากาศนั้น
    เราควรปรับระบบลม
    หายใจเข้าออกให้ลึกที่สุดด้วยครับ และควรทำให้เป็นปกติ
    เพราะการที่เราตามลมหายใจเข้าลึกถึงท้องที่หยุดตรงปลายจมูก
    และลมหายใจออกที่หยุดที่ปลายจมูกด้านในนั้นก็เป็นการสร้างสติ
    เหมือนกัน.เพราะว่าก็มีฐานอยู่ที่กายนั่นเองครับ..
    ซึ่งระบบการหายใจแบบนี้เป็นระบบหายใจพื้นฐาน
    สำหรับการฝึกที่จะทำให้เราเข้าสู่กรรมฐานกองอื่นๆได้ง่ายขึ้นครับ..

    จำเอาไว้นะครับว่า..
    ถ้าเรายังแยกไม่ได้ว่าอะไรเป็นจิต
    อะไรเป็นความคิดที่เกิดจากจิต
    อะไรเป็นความคิดที่เกิดจากขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรม
    อย่าพึ่งไปพิจารณาอะไรเด็ดขาดครับ..
    อย่าพึ่งไปเน้นหรือหมายมั่นเรื่องวิปัสสนานะครับ
    เพราะเราจะยังไม่ทันว่าตัวจิต
    นั้นมันยังปรุงร่วมกับความคิดที่เกิดจากจิตเราหรือเปล่า
    เราจะยังไม่ทันว่าจิตมันปรุงร่วมกับขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรมหรือเปล่า..
    ไม่งั้นปัญญาที่ได้มันจะเป็นเพียงปัญญาทางโลกซึ่งไม่ใช่ปัญญาที่
    ละคลายกิเลส คลายความยึดมั่นถือมั่นได้จริง
    เพียงแต่ว่ามันจะรู้แต่ในภาพกว้างๆหรือภาพรวมๆ
    เนื่องจากมันมีความรู้จากปัญญาทางโลกต่างๆที่ได้รับรู้มา
    ช่วยในการข่มไว้ แต่ตัวจิตยังไม่คลายออกจากจิตจริงๆครับ..
    ถ้าเราแยกรูปแยกนามได้นะครับ..หัวใจเราเวลาเราออกกำลังกาย
    ปกติ ถ้าเราเหนื่อยนะครับ หัวใจจะเต้นปกติหรือสูงขึ้นไม่มาก
    แต่ไอ้ที่มันจะเต้นๆแทนก็คือตัวจิต
    ซึ่งมันจะเต้นแรงจนเราหรือบุคคลอื่นๆสัมผัสได้
    และมันจะเต้นตุ๊บๆอยู่ตรงกลางลิ้นปี่เรานั่นหละครับ
    นี่คือหลักสังเกตุง่ายๆครับ
    อ่านเอาไว้เพื่อว่าจะไม่ได้เผลอหลงตัวเองครับ...

    การนึกถึงภาพพระที่กดตัวภาพให้มาอยุ่ตรงกลางลิ้นปี่นั้น
    เป็นหลักการสร้างสติอย่างหนึ่งควบกับ
    การสร้างให้จิตเกิดความเป็นทิพย์ครับ.
    เพราะถ้าทำได้เรื่อยๆ
    จิตก็จะสามารถสร้างภาพที่เราระลึกไว้นั้น

    .
    ให้ขึ้นมาให้เราเห็นได้
    กลางอากาศในขณะที่เราลืมตา
    ผ่านต่ำแหน่งเหนือระคิ้วนั้นเอง.
    .ซึ่งเป็นพื้นฐานตัวหนึ่งสำหรับเอาไว้ต่อยอดในการฝึกกสิณพระครับ..
    .เราต้องเลือกเอาทีละอย่างก่อนหรือ
    ว่าเราจะฝึกควบคู่กันไปกับกสิณพระก็ได้ครับ....
    .ถ้าเราจะฝึกเพื่อแยกรูปแยกนามร่วมกับนั่งสมาธิธรรมดา
    เราก็ตามลมหายใจของเราให้ดีอาจมีการนับร่างกายร่วมด้วย
    เพื่อนำกำลังสมาธิสะสมมาหนุนตอนที่นั่งสมาธิแบบพิธีการ
    แต่ถ้าเรากำลังจะฝึกสติควบคู่กับกสิณพระไปด้วย เราก็ใช้
    การตามลมหายใจโดยให้ระลึกภาพพระไว้ตรงกลางลิ้นปี่
    เพื่อตัดระบบความคิดเพื่อให้จิตเกิดความเป็นทิพย์ในการ
    สร้างภาพจากความเป็นทิพย์ตรงนี้ขึ้นมา...
    ส่วนความคิดต่างๆที่ไม่ใช่เรื่องงาน
    ให้เราเจริญสติและดับให้หมดครับพูดง่ายว่า
    ไม่ให้คิดหรือห้ามคิด.จนกว่าเราจิตเราจะเห็นว่ามัน
    แยกเป็น ๓ ส่วนอย่างที่เล่าให้ฟังมา.เห็นกิริยาความคิดต่างๆ
    เราค่อยมาว่าเรื่องการเดินปัญญาต่อครับ..ไม่งั้นก็จะเสียเวลา
    ในการฝึกเฉยๆ กิเลสเราก็ไม่ได้คลายจริงๆ ความสามารถทางจิต
    เราก็จะไม่พัฒนา.ตลอดจนจิตใจเราก็ไม่ได้ดีขึ้นครับ
    .บางคนแยกยังไม่ ไม่เข้าใจอาการตรงนี้.
    เลยปฏิบัติไม่ไปไหนแม้ว่าเวลาจะผ่านมาร่วมสิบปีนั่นหละครับ..
    เพราะฉนั้นตรงนี้เราอย่าใจร้อน ต้องค่อยๆเป็นค่อยไปครับ.
    จำไว้นะครับ ถ้ามันเริ่มต้นง่ายๆต่อไปมันจะยากครับ..
    ถ้าอะไรที่มันเริ่มต้นยากๆต่อไปมันจะง่ายครับ..
    เป็นที่มาว่า ถ้าแยกรูปแยกนามได้แล้ว
    เข้าใจกิริยาต่างๆของจิต
    ของความคิดแล้ว และพอมีปัญญาทางธรรมแล้วเวลาที่เรา
    ไปฝึกกรรมฐานกองอื่นๆมันถึงเข้าถึงได้ง่าย
    และใช้เวลาไม่นานนั้นหละครับ.
    ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับว่าตอนนั้นเราจะฝึกหรือไม่อยากฝึก
    ก็สุดแล้วแต่เหตุและปัจจัยครับ..

    ปล.ประมาณนี้ก่อนนะครับ...
    แค่นี้คงหลับไปหลายรอบนะครับ ๕๕๕
     
  10. wildtrak

    wildtrak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤษภาคม 2014
    โพสต์:
    32
    ค่าพลัง:
    +155
    ผมตามอ่านทุกบรรทัดเลยครับ พยายามทำความเข้าใจ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องเริ่มนั่งสมาธิ
    ให้ได้ซะก่อน สวดมนต์เสร็จง่วงหาวไม่รู้กี่ครั้งทุกที สงสัยช่วงนี้ตั้งใจสวดดี
    ได้ยินเสียงเรียกชื่อตัวเอง เป็นเสียงผู้หญิงวัยกลางคนเรียก ตอนตีสี่กว่าเล่นเอาตื่นเลย
    ตอนแรกนึกว่า น้าเรียกแต่นึกไปนึกมา ไม่ใช่นี่หว่าเสียงมันดังจากในหัว อีกทีก็ตอนวันศุกร์ กลับมาถึงบ้านง่วงมาก ปรกติจะไม่นอนกลางวัน แต่วันนั้นไม่ไหว อยู่หน้าจอคอม
    ก็จะหลับคาจอ เลยงีบบนเตียงแป๊ปนึง แล้วก็จะมาทำงานต่อ เสียงเดิมมาเรียก เราก็
    ขานรับ นึกว่าแม่เรียก ไปถามแม่ก็บอกว่าไม่ได้เรียก ดีนะเป็นกลางวันตอนเย็นๆ
    ถ้าเป็นกลางคืน ไปขานรับได้งานงอกกัน ไม่รู้มีอะไรหรือเปล่า ไม่เคยได้ยินเสียง
    ใครเรียกชื่อ แบบดังในหัวอย่างนี้มาก่อน ต้องหมั่นนั่งสมาธิซะแล้ว
     
  11. Superwoman1

    Superwoman1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    58
    ค่าพลัง:
    +244
    @ คุณนพ... ขออภัยด้วยที่ทำให้ต้องเสียเวลาตอบเสียดึกดื่น มาม่ารสไข่ไก่คงไม่ส่งให้แต่จะอยู่ในlist ของทำบุญสังฆทานของเราอุทิศให้ทุกวิญญาณที่ดูแลรักษาคุณนพแทนการส่งมอบให้คุณนพ By hand ละกันเน้อ.. เขียนอธิบายแบบตั้งใจจริงๆ เกรงใจ. เราจะค่อยๆย่อยข้อมูลอ่านให้เข้าใจค่ะ
    Thank you is the only word you need to know.....:)
     
  12. Tanya R

    Tanya R เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    389
    ค่าพลัง:
    +876
    ได้ความรู้จากกระทู้นี้ดีมากๆเลยค่ะ แหม...ได้ถามคุณ noppakhanไปทางข้อความเกี่ยวกับเรื่องการนั่งสมาธิของคุณพ่อบ้านดิฉัน เลยมาถามในกระทู้นี้เลยดีกว่า เนื่องจากว่าแกนับถือคริสต์แองกลิแคนแต่ตอนนี้กำลังอยากจะมาศึกษาทางพุทธบ้างแต่ยังติดภาระทางโลกหน้าที่การงานรับใช้ชาติ คือเวลานั่งสมาธิแกจะเห็นตาที่สามน่ะค่ะ และบางทีช่วงแกเหนื่อยมากๆๆๆๆตอนเวลาอาบน้ำแกเคยเห็นเป็นแสงสีขาวส่องสว่างวาบจนแกตกใจเลย และตาที่สามที่แกเห็นเนี่ยจะปรากฏในช่วงที่อาบน้ำเพราะแกรีแลกซ์ไม่เครียด อย่างนี้ถ้าจะให้เค้ามาปฏิบัติทางพุทธศาสนาจะ แนะนำอย่างไรดีคะ
     
  13. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    ขอเล่าให้ฟังเล่นๆครับ..ดวงจิตที่จะทำให้เกิดเสียงเรียกออกจาก
    กลางกระโหลกเราได้นั้นมีแต่ระดับภูมิที่สะสมบารมีมาขั้นภูมิ
    เทพแล้วครับและต้องมีฤิทธิ์พอตัวนะครับ
    ให้สังเกตุว่าเสียงดังฟังชัดด้วยหรือเปล่าร่วมด้วยครับ...
    ถ้าเป็นระดับพรหมเสียงก็จะเบาลงมาไม่นุ่มมาก
    ถ้าสูงกว่านี้จะทั้งนุ่มนวลและนิ่ม
    .และพูดเป็นประโยคแต่เราจะได้ยินเป็นเสียงพยางค์เดียว
    ครับ..ถ้าเสียงเรียกปลุกก็มักจะมาทางด้านขวาของใบหู
    ไม่ว่าแนวระดับเดียวกันหรือต้นเสียงๆขึ้นไปข้างบนก็ใช่ครับ..
    ถ้าเป็นเสียงที่มาจากทางด้ายซ้ายของหู ปกติมักจะไม่ค่อย
    ชัดขาดๆเกินๆให้เราอุทิศส่วนกุศลให้เจ้าของเสียงแบบบุญ
    ที่เราทำให้แปรสภาพเป็นอะไรก็ตามๆแต่ที่เจ้าของเสียงเรียก
    ต้องการครับ.ถึงจะปราศจากการรบกวนกายหรือจิตใจเรา
    ในเวลาต่อมาครับ..
    ปล.ได้ยินได้นะถือว่าดีแล้วนะครับ.
    ส่วนของคุณ Kwanruen จำเป็นต้องตอบเฉพาะทาง pm.
    นะครับเพราะว่าเป็นกรณีพิเศษหน่อย..เกรงว่าจะส่งผลเรื่อง
    การปรามาสได้โดยที่ผู้ที่เขียนข้อความบางท่านอาจเผลอ
    ไปวิจารณ์สุ่มสี่สุ่มห้าครับ..
     
  14. Tanya R

    Tanya R เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    389
    ค่าพลัง:
    +876
    อนุโมทนาสาธุขอบคุณที่คุณนพตอบคำถามให้ค่ะ และขอให้เจ้าของกระทู้เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปนะคะ (ดิฉันเองก็ยังฝึกอยู่ระดับเด็กอนุบาลเนื่องด้วยภาระหน้าที่ทางโลกยังเยอะ)☺อ่านกระทู้แต่ละท่านและที่คุณนพแนะนำก็ได้ความรู้และมีกำลังใจฝึกต่อค่ะ
     
  15. Superwoman1

    Superwoman1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    58
    ค่าพลัง:
    +244
    @ Khun kwanruen ขอขอบพระคุณมากค่ะที่อวยพรให้ ถ้าคุณอยู่ระดับอนุบาล อิชั้นคงยังไม่เข้า nursery เลย ช่วงนี้งานยุ่งสุดๆ ทำได้แค่สวดมนต์ตอนขับรถ กับอ่านกระทู้ธรรมะเท่านั้นเองค่ะ อย่างน้อยๆอารมณ์จะไม่ได้ไปฟุ้งเรื่องทางโลกมากเกินไป ใจจริงอยากหาความสงบ มีเวลาปฏิบัติธรรม อยากลาออกจากงาน ไปทำองค์กรการกุศล ไม่ก็ทำเอง ปีก่อนไปขอพรพระพุทธเจ้าหลวงตรงหน้าพระบรมรูปทรงม้าว่า ข้าน้อยขอ make money มีเงินเก็บได้ถึง 10 ล.บ.ภายในไม่กี่ปีนี้ เพื่อเอาไว้เก็บกินตอนแก่กับรักษาตัวเผื่อเจ็บป่วย จากนั้นเงิน 1 บาทที่เกินจากนั้นเป็นต้นไป จะนำไปสงเคราะห์คนจน "สอนให้คนจับปลา" ไม่ใช่จับปลาไปแจกคน ... เวลาที่เหลือ เราก็จะได้ปฏิบัติธรรม ไม่รู้จะได้สมความตั้งใจมั้ย ไม่อยากให้เป็นเพียงฝันกลางวัน (ดูสิ กิเลสอีกแล้ว) สู้ต่อไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 18 มกราคม 2015
  16. worldly

    worldly เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2014
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +164
  17. wildtrak

    wildtrak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤษภาคม 2014
    โพสต์:
    32
    ค่าพลัง:
    +155
    ขอบคุณมากครับครับ คุณ nopphakan ที่มาไขข้อข้องใจให้อีกครั้ง
    เสียงที่ผมได้ยินนั้น มันชัดเจนครับดังแต่นุ่มนวลไม่กระโชกแบบคนมีอารมย์โกรธเรียก
    ว่าแล้วก็ขอถามต่ออีกซักนิดนะครับ คือผมเลี้ยงหมามาจนมันอายุเกือบ สิบห้าปีถึงตาย
    เพิ่งตายไม่กี่วันนี้เอง แต่ก่อนตายมันเดินไม่ได้เนื่องจาก สะโพกหลังเสื่อมเพราะเป็นหมาพันธ์ใหญ่ มักเป็นโรคนี้ตอนแก่แทบทั้งนั้น นี่ผมก็ยังนึกเสียใจอยู่เลย ไม่มีเวลา
    ไปพลิกตัวให้มัน ทุก 2 ชั่วโมง เนื่องจากก่อนหน้านี้อยู่ในช่วงก่อสร้างบ้านใหม่ให้แม่
    มาอยู่ด้วยกัน เลยไม่ค่อยมีเวลาดูแลมันมากนัก ได้แต่ล้างแผลมันเช้าเย็นกับเช็ดขี้เยี่ยว
    มันในกรง เวลามันถ่ายออกนอกแผ่นซับ แล้วก็จับอาบนํ้าเวลาเยี่ยวรดตัวเองจนเหม็น
    ที่ผมสงสัยอยากถามก็คือ คืนแรกที่มันตาย ผมนั่งสวดมนต์ไหว้พระ ที่หน้าหิ้งพระอยู่
    ได้ยินเสียงมันเห่าเรียก น่าจะมาจากนอกบ้านทางซ้ายมือหรือในบ้านก็ไม่รุ้ไม่แน่ใจ
    เสียงเห่ามันเบามาก แต่จำได้ว่าเป็นเสียงมัน เห่าประมาณสามครั้งได้ แต่ละครั้งก็ทิ้ง
    ช่วงห่างกันพอสมควร ตอนแรกนึกว่าหมาแถวนั้น แต่ไม่ค่อยมีหมาแถวนั้นแล้วเสียงมัน
    ก็ต่างกัน ถ้าหมาแถวนั้นเห่าความเข้มเสียงมันจะมากกว่านี้และดังกว่านี้ พอดีผมชอบ
    ฟังเพลงและเล่นเครื่องเสียง เลยพอแยกแยะเสียงต่างๆได้พอสมควร
    เสียงที่ได้ยินมันจะเป็นเสียงเวลาหมาเห่าเรียกเราครับ คนเลี้ยงหมาจะแยกได้เวลาหมาเห่า มันจะมีหลายแบบ เห่าคนแปลกหน้า เห่า ดีใจ ตกใจ อยากเล่นด้วย
    หมามันมาติดต่อเราได้ด้วยหรือครับ เวลามันตายแล้ว จากที่อ่านๆมา ดวงจิตของหมา
    แมวมันไม่ค่อยมีกำลังเหมือนคน การจะรวบรวมกำลังจิต มาให้เกิดเป็นเสียง กลิ่น
    รูปร่างให้เราได้เห็นทำได้ยาก เลยไม่ค่อยมีใครเห็น ผีหมาผีแมว แล้วที่ผมได้ยินเสียง
    หมาที่เพิ่งตายไปมาเห่าเรียก มันคืออะไรครับ ผมได้ยินเสร็จ ก็บอกมันไปทางจิตว่า
    ไปสู่ภพภูมิที่ดีกว่านี้เถอะ โมโม่ไม่ต้องเจ็บปวดทรมาณจากการล้างแผลทุกวันอีกแล้ว
    จะอุทิศผลบุญกุศลไปให้ แล้วเสียงเห่าเรียกก็เงียบไป ไม่ได้ยินอีกเลยครับ
     
  18. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    ในภาพรวมที่เข้าใจเบื้องต้นก็ถูกครับ
    ที่นี้กำลังจิตที่เกิดขึ้นตรงนี้มันมาจาก
    ตัวสัญญาความจำได้ไงคับ.
    เป็นสัญญาความจำได้ชั่วคราวในจิต
    ที่สามารถปลดล็อคได้หากได้ทำตาม
    เครื่องที่ผูกสัญญาตัวนี้ไว้กับจิตออก เช่น
    บุคคลที่ห่วงลูกหลาน ก็จะมีกำลังจากตัวจิตจากที่เล่าให้ฟังมา
    ออกไปเชื่อมกับลูกหลานที่ตนเป็นห่วง
    ลูกหลานเลยสัมผัสได้ทางใดทางหนึ่งไงคับ
    ส่วนน้องหมาร่างกายมันเสื่อมตามปกติ ตามอายุไข
    ในขณะที่เราก็ดูแล เพราะฉนั้นสัญญาน้องหมากับ
    เราจึงเป็นสัญญาความจำได้ที่น้องหมา
    เห็นชัดสุดและกลายเป็นกำลังขึ้นมาผูกดวงจิตเค้าไว้
    พอดวงจิตออกจากร่าง. จิตก็จะไปตามสัญญาตรงนี้ก่อน
    เพราะว่ามันแรงสุดชัดสุด
    คล้ายๆกรณีที่เป็นคนคับ
    พอมีเหตุอะไรก็ตามที่ปลดล็อคสัญญาตรงนี้จากตัวจิตได้
    ดวงจิตก็จะไปตามวาระต่อไปคับ คล้ายกรณีที่เป็นคนเช่นกันครับ
    แต่ถ้าไม่ปลดล็อคตรงนี้ เช่น หวงสมบัติ ก็จะอยู่เฝ้าสมบัติอยู่อย่างนั้นเช่นกัน
    และแม้ว่าดูเป็นแค่สัญญาเล็กๆน้อยแต่ก็กินเวลาได้นานถ้าไม่ปลดล็อค
    พอมีเหตุให้คลายสัญญาได้ถึงค่อยไปตามวาระนั้นหละครับ
    เช่น เจอคนที่เหมาะสม ถึงวาระเปลี่ยนภพภูมิ ก็จะรวมกำลัง
    จากการที่อยู่มานาน ไปแสดงให้ทราบทางใดทางหนึ่ง
    และปกติการสื่อจะเป็นลักษณะที่ทำให้ผู้รับ
    ทราบได้ทันว่าเป็นใคร อะไร ส่วนน้องหมาคุ้นเคยกับการเห่า
    เสียงเห่าก็ทำให้เราทราบได้ทันที ถ้าเค้ามาแบบแนะนำตัว
    ว่าเคยเป็นน้องหมาคุณอาจไม่เชื่อ ๕๕๕
    ปล.น้องหมาที่จิตเกาะการทำบุญต่างๆ เค้าจะสื่อตรง
    มาทางจิตเราได้ โดยไม่ต้องแสดงสัญญานทางด้านเสียง
    และบริเวณรอบๆตัวเค้าจะมีกะแสตรงใสวิ่งขึ้นบน
    ได้ทันทีครับ ส่วนอดีตน้องหมาคุณอุทิศส่วนกุศล
    แบบบอกว่าบุญที่ทำแปรสภาพเป็นอะไรก็สุดแล้วแต่และให้เจาะจง
    กะแสจิตเค้าก็จะอยู่ขึ้นไปสูงกว่าภูมิที่มีถิ่นอาศัยระดับใกล้เคียง
    มนุษย์ได้แล้วคับ
     
  19. wildtrak

    wildtrak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤษภาคม 2014
    โพสต์:
    32
    ค่าพลัง:
    +155
    ขอบคุณมากครับ ที่สละเวลามาตอบให้ครับ ผมจะหมั่นอุทิศผลบุญกุศลให้น้องหมาผมบ่อยๆ สงสารเขา ตายก็ตาไม่หลับ ผมไม่อยู่บ้านพาแม่ไปธุระกลับมาจะมาล้างแผลให้
    เปิดกรงมาก็ตัวแข็งตาค้างแล้ว เป็นหมานิสัยดี ไม่เคยขู่แฮ่ หรือกัดใครเลยอารมย์ดีตลอด
    ไม่น่าตายแบบทรมานเลย หวังว่าถ้าอุทิศผลบุญให้บ่อยๆกับปรับภพภูมิให้จากการสวด
    มหาจักรพรรดิ์ จะทำให้เขาไม่ต้องเกิดเป็นหมาอีก ไปเกิดในภพภูมิที่สุงขึ้นต่อไป
     
  20. สีกาอร

    สีกาอร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    146
    ค่าพลัง:
    +599
    รู้ลมหายใจเข้า ออกตลอดเวลา เพราะเราหายใจ
     

แชร์หน้านี้

Loading...