หลวงปู่สี ฉันทสิริ วัดเขาถ้ำบุญนาค

ทุกอย่างเป็นไปตามกฏของกรรม ทำผิดกฏ ชดใช้ไปตามกฏ ทำผิดกรรม ชดใช้ไปตามกรรม ผิดกฏชดใช้กันหมดในชาตินี้ ผิดกรรมชดใช้กันข้ามภพข้ามชาติ
กราบหลวงปู่สี ฉันทสิริ กราบหนึ่ง กราบสอง กราบสาม

 

หลวงปู่สี ฉันทสิริ วัดเขาถ้ำบุญนาค พระอริยเจ้า ๗ แผ่นดิน

หลวงปู่สี ฉันทสิริ ท่านเป็นอาจารย์ของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ หลวงพ่อฤาษีลิงดำ เป็นครูบา อาจารย์ของพวกข้าพเจ้า อาจารย์โกศล กิจเจริญ และวงศ์ตระกูล ท่านเป็นคริสเตียน ส่วนภรรยาท่านอาจารย์เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ เมื่อหลวงพ่อฤาษีลิงดำ มาสอนกรรมฐานที่ซอยสายลม ท่านอาจารย์โกศล ก็ทำหน้าที่ขับรถมาส่งและนั่งคอยรอรับกลับ อยู่ห่าง ๆ ดังนั้นการสอนกรรมฐาน และการสอนมโนมยิทธิ ของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ จึงได้ซึมเข้าไปในโสตประสาท ของอาจารย์โกศล โดยไม่รู้ตัว เมื่อหลวงพ่อฤาษีลิงดำ พาไปศิษย์ไปเที่ยวสวรรค์ ท่านอาจารย์โกศล ก็ได้พบ ได้เห็นเหมือนกันกับคนอื่น หลวงพ่อฤาษีลิงดำ พาไปเที่ยวนรก ท่านก็ถอดจิตไปเที่ยวกับเขาได้โดยไม่รู้ตัว เมื่อท่านเห็นว่า กรรมฐานในพระพุทธศาสนา และวิชามโนยิทธิของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ เป็นของจริง พิสูจน์ได้ ท่านอาจารย์โกศล กิจเจริญ จึงได้เข้าฝากตัวเป็นศิษย์ของหลวงพ่อฤาษีลิงดำมาแต่ปี ๒๕๑๖ และบุตรสาวอีก ๒ คน ก็ได้สำเร็จวิชามโนยิทธิ และฝากตัวเป็น ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ เช่นกัน

สำหรับภรรยาของท่านอาจารย์โกศล กิจเจริญ ได้ปฏิบัติกรรมฐาน ทั้งที่ซอยสายลม และที่วัดท่าซุง โดยเคร่งครัด เอาจริง เอาจัง จนในที่สุดท่านได้สำเร็จธรรม สูงสุดในพระพุทธศาสนา นั่นก็คือ สำเร็จเป็นพระอรหันต์ ฆราวาสที่สำเร็จ เป็นพระอรหันต์ ตามโบราณก็มีท่าน กามนิต เมื่อฟังธรรมของพระพุทธเจ้า เป็นพระหรหันต์ จะต้องตายใน ๗ วัน ท่านกามนิต จึงได้ถูกวัวขวิดจนตาย เพราะฆราวาสผู้สำเร็จอรหันต์ ผู้อื่นที่ไม่รู้และไปล่วงเกินเช้าจะเป็นบาป เป็นโทษอย่างหนัก จึงต้องตาย เช่นเดียวกันกับภรรยาของท่านอาจารย์โกศล กิจเจริญ ก็เช่นกัน แม้ภรรยาของท่านจะจากไป ท่านก็ยังครองตนเป็นโสด และปฏิบัติตามพระธรรมอย่างเคร่งครัดมาโดยตลอด ข้าพเจ้าได้รู้จักอาจารย์โกศล กิจเจริญ ที่วัดท่าซุง และได้ติดต่อกันมาจนถึงปัจจุบันนี้

 

หลวงปู่สี ฉันทสิริ วัดเขาถ้ำบุญนาค พระอริยเจ้า ๗ แผ่นดิน

ในช่วงปี ๒๕๓๐ พวกข้าพเจ้า อาจารย์โกศล กิจเจริญ และคณะจะนัดหมายไปทำบุญที่วิหาร ๑๐๐ เมตร ทุกวันเสาร์ อาทิตย์ ยกเว้นเสาร์ อาทิตย์ที่ท่านมารับสังฆทานที่ซอยสายลม พบปะพูดคุยกันที่ซอยสายลม ทำสังฆทาน กับหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ผู้คนที่เป็นศิษย์ของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ จะทะยอยกันมาทำสังฆทานกันมีรอบเช้า และรอบบ่าย ๒ โมง วันละหลายพันคน การจราจรติดขัด หาที่จอดแทบไม่ได้ มีอาหารการกิน ทั้งของคาว ของหวาน มาเปิดขาย เกือบจะเป็นงานวัด ข้าพเจ้าในเรื่องของมโนมยิทธิ นั้นเรียนไม่จบ ไม่ชัดเจนแจ่มใสเหมือนกับท่านอาจารย์โกศล กิจเจริญ จึงอาศัยท่านอาจารย์โกศล เป็นหูทิพย์ เป็นตาทิพย์ มาตลอด ท่านสามารถมองเห็นผี เห็นเทวดา ได้อย่าง ทะลุ ปรุ โปร่ง

ถ้าหากหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ไม่ได้มารับสังฆทานที่ซอยสายลม พวกเราก็นัดหมายกันไปที่วิหาร ๑๐๐ เมตร วัดท่าซุง รถใคร รถมัน คันละ ๔-๕ คน หลังจากทำสังฆทานกันเสร็จก็พบปะพูดคุยกันที่วัดท่าซุง ถวายสังฆทาน และฟังหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ท่านเล่านิทานให้ฟัง เป็นประจำ ออกจากวัดท่าซุง พวกเราก็จะแวะไปกราบพระอริยเจ้า โดยเฉพาะหลวงตาเล็ก หรือหลวงปู่บุญศรี อินทวัณโณ วัดใหม่ศรีสุทธาวาส ต.พยุหะคีรี จ.นครสวรรค์ อีกเหตุผลหนึ่ง พวกข้าพเจ้าชอบในเรื่องฤทธิ์ เรื่องเดช เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว และก็เคยเห็นหลวงปู่สี แสดงปาฏิหาริย์ให้ดูมาแล้ว ๑ ครั้งในปี พ.ศ.๒๕๓๙ ในครั้งที่ ข้าพเจ้า อาจารย์โกศล กิจเจริญ กับพวกไปกราบหลวงปู่บุญศรี อินทวัณโณ หรือหลวงตาเล็ก ที่ พยุหะคะรี และได้พบกับคณะของชาวสุรรณบุรี เหมารถสองแถวกันมากราบหลวงปู่บุญศรี อินทวัณโณ เช่นกัน มากันประมาณ ๒๐ กว่าคน เมื่อคณะจากสุพรรณบุรี ทราบว่าพวกข้าพเจ้าและคณะจะไปกราบสังขารหลวงปู่สี ฉันทสิริ คณะของชาวสุพรรณบุรี ก็ขอติดตามไปด้วย รวมกัน ๒ คณะก็ประมาณ ๓๐ คนได้ เมื่อไปถึงวัดเขาถ้ำบุญนาค กราบหลวงปู่สี เสร็จเรียบร้อย ก็ปรากฏคุณป้าชาวสุพรรณบุรีท่านหนึ่งอายุประมาณ ๖๐ ปี เกิดอาการเข้าทรง ขึ้นมาและเสียงที่พูดออกมา เป็นหลวงปูสี ฉันทสิริ ท่านพูดว่า

“ดีใจ ที่ลูกหลานมาเยี่ยมเยียนกัน” ตอนแรกข้าพเจ้ายังไม่เชื่อสนิทใจ เท่าใดนัก แต่พอหลวงปู่บอกพระที่วัดว่าให้ไปหยิบพระในกุฏิ พระบรรจุอยู่ในบาตร พระลูกวัดก็พยายาม อธิบายว่า ไม่มีหรอก พระ เพราะอยู่จำพรรษาที่วัดนี้ ก็ไม่เคยได้ยินว่ามีพระหลวงปู่หลงเหลืออยู่ในกุฏิ และอยู่ในบาตรที่ใช้บิณฑบาต อีกด้วย แต่ก็ทนญาติโยมเซ้าซี้ ไม่ได้ พระรูปนั้นก็ไปหยิบบาตรในกูฏิออกมา แล้วเอามาเปิดต่อหน้า หลวงปู่ในร่างทรง และญาติโยมอีกประมาณ ๓๐ คน พอเปิดออกมาปรากฏมีพระเนื้อผง เรียกว่าพระกลีบบัว องค์เล็กขนาดนิ้วก้อย เต็มบาตร ปลิ่มๆ ขอบบาตร หลวงปู่ในร่างหญิงชราก็หยิบแจกคนละองค์ พอมาถึงคิวของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้บอกกับหลวงปู่ว่า “ กระผมไม่โลภนะครับหลวงปู่ แต่กระผมขอแค่ ๓ ขยุ้ม นะครับ “ หลวงปู่ก็ไม่ได้พูดว่าอะไร ข้าพระเจ้าก็เลยขยุ้มเต็มที่ ๓ ขยุ้ม ตกขยุ้มละประมาณเกือบ ๒๐ องค์ ก็เอามาเก็บเอาไว้ที่บ้านที่หิ้งพระ

 

ลูกขอกราบหลวงปู่สี ฉันทสิริ วัดเขาถ้ำบุญนาค พระอริยเจ้า ๗ แผ่นดิน

 

หลวงปู่สี ฉันทสิริ วัดเขาถ้ำบุญนาค พระอริยเจ้า ๗ แผ่นดิน

ต่อมาจากการได้มีโอกาสมากราบหลวงปู่บุญศรี อินทวัณโณ พวกคณะศิษย์ เห็นหลวงปู่บุญศรี หรือหลวงตาเล็ก ที่พวกข้าพเจ้าเรียกว่า อยู่กุฏิหลังเล็ก ๆ ผุ ๆ พัง ๆ ก็เลยขออนุญาตหลวงตาเล็ก สร้างกูฏิหลังใหม่ให้ งบประมาณในการก่อสร้าง ๑,๕๐๐,๐๐๐ บาท เมื่อปี ๒๕๓๖ สร้างเขื่อนหน้าวัด อีกประมาณ ๕๐๐,๐๐๐ บาท และสร้างแพโบสถ์น้ำอีกประมาณ ไม่น้อยกว่า ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท จึงได้นำพระกลีบบัว ของหลวงปู่สี ฉันทสิริ ออกมาแจกจ่ายให้กับผู้ร่วมบริจาค ทำบุญในครั้งนั้นจนหมด เหลือเป็นอนุสรณ์ในวันนี้ เพียง ๑ องค์ แต่ก็สามารถสร้างกุฏิหลังใหม่ให้หลวงตาเล็ก ได้จนเสร็จบริบูรณ์

แต่ทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับกฎของ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ความไม่เที่ยง มีลาภ เสื่อมลาภ มียศ เสื่อมยศ มีสรรเสริญ ย่อมมีนินทา การเข้ามาเขียนประสบการณ์ บางท่านก็สรรเสริญ บางท่านก็นินทา และคำนินทานั้น กล่าวว่า การเขียนเชิดชู เกียรติยศของ หลวงปู่สี ฉันทสิริ ไปจำขี้ปากคนอื่นมาพูด ก็ข้าพเจ้าได้บอกแล้วว่าข้าพเจ้านั้นเกิดทันยุคของท่าน แต่ไม่ทันได้พบกับท่าน ไม่ได้ไปกราบไหว้ หลวงปู่สี ฉันทสิริ ความรู้ต่าง ๆ ที่ก็ได้หาอ่านจากผู้รู้ทั้งหลาย แต่เราศรัทธา ประวัติและความเป็นมาของท่าน เราจึงได้นำบทความของผู้รู้ มาเผยแพร่ และคำนินทานั้นยังกล่าวอีกว่า ก็แค่คนขายพระ ช่างดูถูกเหยียดหยาม เราไม่ใช่คนขายพระ แต่เราศรัทธาในพระอริยเจ้าทั้งหลาย โดยเฉพาะหลวงปู่สี ฉันทสิริ แต่ด้วยจิตที่ตั้งมั่น ต่อหลวงปู่สี ฉันทสิริ ทำให้ข้าพเจ้าได้ดังจิตปรารถนา ปรารถนาที่จะเขียน ปรารถนาที่จะเผยแพร่ ก็ได้เขียนตามความปรารถนา ทุกอย่างดูเหมือนหลวงปู่สี ฉันทสิริ ได้เมตตา จัดสรรมาให้ เรื่องราวและความมหัศจรรย์ เป็นดังนี้

 

ติดตามอ่านอยู่ครับป้าอี๊ด

 

หลวงปู่สี ฉันทสิริ วัดเขาถ้ำบุญนาค พระอริยเจ้า ๗ แผ่นดิน

วันจันทร์ที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ เวลาประมาณ ๑๗.๐๐ น. ออกไปเดินเล่นที่ตลาดนัด แถวหมู่บ้านนนท์นคร อยู่ห่างจากบ้านประมาณ ๑,๕๐๐ เมตร ตลาดนัดแห่งนี้ ชาวบ้านนิยมเอาสินค้ามาวางขาย แบกะดิน เสียค่าวางให้เจ้าของที่ ๔๐ บาท มีทั้งอาหาร เสื้อผ้า เครื่องประดับ ของใช้แล้ว เป็นตลาดของคนชั้นล่าง หรือรากหญ้า ของกินง่าย ๆ ราคาถูก รวมทั้งพระเครื่องเก่า ๆ ข้าพเจ้าชอบมาเดินเที่ยวชมของทุกเสาร์และจันทร์ เดินชมมานานประมาณ ๑๐ ปี และที่ซื้อเป็นประจำก็”ซูชิ “ อาหารญี่ปุ่น จากฝีมือพ่อครัวจากภัตตราคารหรู มาเปิดขายตามตลาดนัด เด็ก ๆ นักเรียนชอบ ราคาถูกอร่อย ชิ้นละ ๕ บาท ซื้อ ๑๐ ชิ้นแถม ๑ ชิ้น มีทุกหน้า สำหรับพระเครื่องก็มีมาวางอยู่ ๕-๖ เจ้า ส่วนใหญ่เป็นเจ้าประจำ จำหน้ากันได้เกือบหมดทุกหน้า เป็นพระที่ชาวบ้านเก็บสะสมเอาไว้ แล้วนำมาวางขาย ราคาพระเครื่องก็อยู่ที่ ราคา ๑๐-๑๐๐ บาท ของจริงบ้าง ของปลอมบ้าง ตาดีได้ ตาร้ายก็เสีย รู้จริงก็ได้ของจริง รู้ไม่จริงก็ได้ของไม่จริง อะไรทำนองนั้น

แต่วันนั้น ขณะเดินชมตลาดยามเย็น ก็พบกับแม่ค้าพระเครื่องรายใหม่ หน้าใหม่ ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน อายุก็น่าจะประมาณ ๕๕-๖๐ ปี ผิวดำร่างเล็ก นั่งพับเพียบที่พื้นซีเมนต์ เอาหนังสือเก่า ๆ มาวางขาย ๓ เล่ม และพระอีกไม่น่าจะเกิน ๒๐ องค์ สภาพของหนังสือ หนังสือเก่า ๆ สภาพแทบเปื่อย เหมือนมีสิ่งดลใจ ให้เข้าไปดู ในตอนแรกก็ไม่ได้สนใจอะไร แต่ พินิจดูอย่างตั้งใจ เพราะถ้าไม่ตั้งใจแล้วจะดูไม่รู้เรื่อง เพราะมองผ่าน ๆ เมื่อค่อย ๆ ตั้งสติค่อย ๆ พินิจ พิจารณา ภาพข้างหน้าก็ค่อย ๆ ปรากฏชัดเจนขึ้นมา ก็พบหนังสือพ้นโลกสภาพเก่า มีกลิ่นอับชื้นแตะจมูก มีภาพหลวงปู่สี ฉันทะสิริ กำลังพรมน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ เขียนด้วยหนังสือสีเขียว ใจความว่า “หลวงปู่สี ฉันทสิริ เทพเจ้าผู้เรืองฤทธิ์ ในวิชา แก่กล้าด้วยญาณหยั่งรู้” ปิดราคาไว้ “๒๐” แต่ยังไม่ทันได้ถามราคา แม่ค้ารีบบอกว่าราคา ๑๐ บาท โดยไม่ต้องต่อลอง ยังไม่ทันได้เอยปาก มองไปทางอื่นบ้างพบ มรรคนารีผล ตรวจสอบดูสภาพยังสด คล้ายกับว่าเพิ่งตัดมาใหม่ ของแบบนี้ไม่ได้มีแถวนี้ จึงได้มองสบตาป้าผู้ขาย ก็ไม่ยอมสบตา ก้มหน้ามองต่ำ บอกเพียงแต่ว่านำมาจากป่าประเทศลาว จึงได้เก็บความสงสัยอันนั้นเอาไว้ นอกจากน้นก็มีพระหลวงปู่สี รุ่นอายุยืน หลวงพ่อทบ วัดชนแดน หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า มีสิงห์ มีคชสีห์ วางอยู่ด้วย ถามราคาคุณป้าบอกว่า ๑๐๐ เดียว ทุกองค์ ใจก็นึกอยู่ว่าพระหลวงปู่สี ฉันทสิริ ของแท้ ราคาไม่ใช่ ๑๐๐ เดียว แต่ก็จะเอาไว้ดูเล่น เอาไว้บูชาด้วยความเคารพ และศรัทธา

 

หลวงปู่สี ฉันทสิริ เมตตามอบให้ ป้าอ๊ดซื้อทองคำเปลวมาติด ซื้อน้ำมันจันทร์มาหยดใส่ และตั้งชื่อให้ว่า แม่ถุงเงิน แม่ถุงทอง

 

มองดูด้านหลัง ผมยาวสลวย สวยงาม ไม่แพ้หญิง จริง ๆ

 

แววตา ของหลวงปู่สี ฉันทสิริ แม้จะเป็นของปลอมแต่แววตาของหลวงปู่ ก็เต็มไปด้วยความเมตตา ปราณี ดูแล้วรู้สึกอบอุ่น และมีกำลังใจ

 

แม้เป็นเหรียญปลอม แต่ก็เต็มเปลี่ยมไปด้วย พลังและฤาธานุภาพของหลวงปู่สี ฉันทสิริ

 

สวยมากๆเลยครับ

 

องค์นี้เคยเป็นของผม ลงให้ชมของแท้บ้างครับ

 

หลวงปู่สี ฉันทสิริ วัดเขาถ้ำบุญนาค พระอริยเจ้า ๗ แผ่นดิน

กลับมาที่มรรคกะนารีผล ๓๐๐ บาท ข้าพเจ้าเห็นมีอยู่ ๒ ตน จึงบอกไปว่า ๒ ตน ๕๐๐ ได้หรือไม่ แม่ค้าบอกว่า ไม่ได้ เพราะคู่นี้ ๓๐๐ บาท ชายแก่อีกท่านหนึ่งนั่งอยู่ใกล้ ๆ พูดขึ้นมาว่า เมื่อกี้นี้ เขาบอกว่า ๒ ตน ๕๐๐ บาท ทำไม ไม่รีบขาย แม่ค้าบอกว่า ไม่ได้เสียสัจจะ คู่ละ ๓๐๐ บาท เท่านั้น อันนี้ เป็นตัวอย่างของการขาดสติ ตัวเราเองไม่ได้ตั้งจิต ฟังให้ดีว่า แม่ค้าบอกราคาขายเท่าใด เมื่อขาดสติ ปัญญาก็ไม่ได้ถูกนำมาใช้พิจารณา จิตจึงได้เลือกผิด เลือกถูก แต่ขอชมเชยแม่ค้าอายุมากท่านนี้ ว่ามีความซื่อสัตย์ สุจริต แม้จะเป็นคนยากจน ไม่ยอม ฉกฉวย โอกาส เอาเปรียบ ซึ่งหาได้ยากมากในยุคปัจจุบันนี้

แต่ด้วยจิตที่ตั้งมั่น ต่อหลวงปู่สี ฉันทสิริ ได้ดังจิตปรารถนา สิ่งต่าง ๆ ที่ได้เกิดขึ้น เสมือนหนึ่งเป็นการสงเคราะห์จากหลวงปู่ สี ฉันทสิริ เป็นขวัญ เป็นกำลังใจ จากหลวงปู่ เพียงแค่มรรคกะนารีผล ที่ได้รับมอบมาก็เกินกว่าคำบรรยาย เป็นเครื่องยืนยัน โดยปราศจากการลังเลสงสัย

เมื่อนำ เหตุการณ์ ต่าง ๆ มาใช้ปัญญา พิจารณา แล้ว จิตบอกว่า นี่คงมิได้เป็นแค่เหตุบังเอิญ อยู่ดี ๆ ก็ได้พบหนังสือประวัติของหลวงปู่สี ฉันทสิริ อายุ ๒๐ ปีเศษ ราคา ๑๐ บาท ได้พบเหรียญอายุยืน ซึ่งบอกตรง ๆ ว่า ในบรรดาพระเครื่องของหลวงปู่สี ฉันทสิริ ข้าพเจ้าติดตาติดใจ กับเหรียญรุ่นนี้ และใฝ่ฝันอยากได้มานาน แต่ก็ได้มาครอบครอง จะเป็นเหรียญจริง หรือเหรียญปลอม ไม่ได้เป็นสิ่งสำคัญ แต่ที่สำคัญนำออกมามองที่ไร เห็นแต่ความเมตตา ของหลวงปู่สี รู้สึกอบอุ่นใจ จิตที่เคยเศร้าหมอง กับมีกำลังใจขึ้นมา เกิดปิติ เกิดความไม่ย่อท้อ และหมดอาลัย ตายอยาก ราคา ๑๐๐ บาท และประการสำคัญ อยู่ ๆ ก็ได้มรรคกะนารีผล มา ๒ ตน ราคา ๓๐๐ บาท ยังรู้สึก มึน งง กับเหตุกาณ์ ที่ผ่านมา หรือเป็นความปรารถนาของหลวงปู่สี ฉันทสิริ ที่ท่านเมตตา ให้ข้าพเจ้านำประวัติของหลวงปู่สี ฉันทสิริ ออกมาเขียนเผยแพร่ จากสภาพหนังสือเพียงแค่เปิดไปหน้า สองหน้า ก็รู้สึกแสบจมูก อาจจะป็นเพาะเชื้อรา ผสมกับกลิ่นอับ แต่ได้ตั้งจิตอธิษฐานแล้ว ว่าจะพยายามพิมพ์วันละหน้า สองหน้า จนกว่าจะคัดลอกข้อความออกมาให้หมด จะนำประวัติของหลวงปู่สี ฉันทสิริ มาเผยแพร่ ให้สาธุชนคน รุ่นหลัง ได้รู้ ได้ศึกษา

 

หลายอย่าง ได้มาพร้อมหนังสือประวัติ หลวงปูสี ฉันทสิริ

 

หลวงปู่สี ฉันทสิริ วัดเขาถ้ำบุญนาค พระอริยเจ้า ๗ แผ่นดิน

ประกอบกับหลังจากนั่งพิมพ์ไปวันละหน้า สองหน้า ก็เริ่มเข้าใจว่าสิ่งของที่ได้มา ไม่ว่าจะเป็นเหรียญอายุยืน พระหลวงปู่ศุข และมรรคกะนารีผล เกี่ยวข้องกับประวัติของหลวงปู่สี ฉันทะสิริ ทั้งหมด สามารถถ่ายภาพ นำมาแสดงให้ชม ประกอบการบรรยายได้ เข้ากับบรรยากาศ และเหตุการณ์ ได้ เป็นอย่างดี ขอท่านผู้อ่านใช้วิจารณญาณเอาเอง สำหรับข้าพเจ้าแล้ว ได้เคยปรนนิบัติรับใช้ หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง หลวงตาเล็ก วัดใหม่ หรือหลวงปู่ศรี อินทวัณโณ ท่านแม่ชีประทุม โชติอนันต์ สำนักส่งเสริมปฏิบัติธรรม ปากช่อง- หนองสาหร่าย หลวงพ่อเสงี่ยม โอภาสี วัดใหม่สันติธรรม ลพบุรี และหลวงพ่อกอไผ่ วัดสระมณฑล ได้พบ ได้เห็นสิ่งมหัศจรรย์มากมาย จนกล่าวได้ว่าปราศจากการลังเลสงสัย ในเรื่องของอภินิหาร หรือสิ่งเหนือธรรมชาติ

กลับมาที่หนังสือพ้นโลก หยิบมาดูเนื้อในหน้า ๒ ระบุ“พ้นโลก ปีที่ ๔ ฉบับที่ ๔๑ เดือนสิงหาคม ๒๕๓๗ วางตลาดทุกวันที่ ๒๐ ราคา ๓๐ บาท “ ผู้เขียนประวัติของหลวงปู่สี ชื่อ “ จักรภพ เจริญรัตน์ “ ถ้านับปัจจุบันหนังสือเล่มนี้มีอายุเกือบ ๒๐ ปี ผู้เขียน คุณจักรภพ เจริญรัตน์ จะยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ไม่แน่ใจ ข้าพเจ้าเห็นว่าเป็นหนังสือที่ดีมีประโยชน์ จึงขออนุญาต ท่านผู้เขียน นำประวัติของครูบา อาจารย์ที่ข้าพเจ้าเคารพนับถือมาเผยแพร่ แก่สายตาสาธุชน คนรุ่นหลัง ก่อนที่ประวัติของหลวงปู่สี ฉันทสิริ พระอริยเจ้า ๗ แผ่นดิน จะเน่าเปื่อย ผุพัง ไปตามกาลเวลา ไปพร้อมกับหนังสือเล่มนี้

ขออานิสงส์ผลบุญในครั้งนี้ และบุญกุศลที่ข้าพเจ้าได้สร้างสมมาดีแล้วแต่อดีต จนถึงปัจจุบันในวันนี้และที่จะได้กระทำต่อไปในอนาคต อาทิเช่น สร้างสมเด็จองค์ปฐมที่วัดท่าซุง และวัดธรรมยาน และทำบุญปิดทองพระสมเด็จองค์ปฐม เป็นต้น ข้าพเจ้า ขอถวายเป็นพุทธบูชา เป็นธรรมะบูชา และสังฆบูชา อุทิศเจาะจงให้กับท่านจักรภพ เจริญรัตน์ ผู้เขียน และผู้ที่ได้เสียสละเวลาเข้ามาอ่านประวัติหลวงปู่สี ฉันทสิริ ทุก ๆ ท่าน เทอญ อิทธิ ฤทธิ พุทธะ นิมิตตัง ขอเดชะ เดชัง ขอเดช เดชะ จงมาเป็นที่พึ่งแก่ มะ อะ อุ นี้ด้วยเถิด

 

คชสีห์ เป็นสิงห์ผสมที่มีกายเป็นสิงห์ และมีช่วงหัวเป็นช้าง ตามตำรากล่าวว่าคชสีห์มีพลังเทียบเท่าช้างและสิงห์รวมกัน ซึ่งนับได้ว่าเป็นสัตว์ที่น่าเกรงขาม คชสีห์มีลักษณะคล้ายสัตว์หิมพานต ์อีกชนิดหนึ่งชื่อทักทอ

 

มักกะรีผล นารีผล หรือ มัคคะรีผล



มักกะรีผล นารีผล หรือ มัคคะรีผล เป็นพืชวิเศษชนิดหนึ่ง เกิดอยู่ในป่าหิมพานต์ ว่ากันว่า นารีผล ขั้วลูกอยู่ด้านบนศีรษะ มีรูปร่างเป็นหญิง ผลสด รูปร่างสะโอดสะอง สมส่วน ผิวพรรณงดงาม ปานเทพธิดา ว่ากันว่า บางครั้ง ฤๅษีที่บำเพ็ญเพียรจนตบะกล้า กิเลสสงบรำงับ เพื่อจะทดสอบจิตตน ก็จะเหาะไปที่ต้นนารีผล มองดูนารีผล ว่าตนจะตบะแตกหรือไม่…
หรือบางครั้งฤๅษีผู้เป็น อาจารย์ อาจจะพาลูกศิษย์ไปทดสอบระดับจิต ไปฝึกควบคุมจิต ที่นั่น ก็มี และว่ากันว่า พวกนักสิทธิ์วิทยาธร มักจะเหาะไปเก็บนารีผล อุ้มมาเชยชมแล้ว ฝึกจิตใหม่ ค่อยเหาะกลับออกมา นารีผล เป็นที่ต้องการของสัตว์วิเศษ (คนธรรพ์เป็นต้น) รวมถึงวิทยาธรทั้งหลายผู้ยังไม่หมดกามราคะ ดังนั้น การที่นารีผลจะเหี่ยวแห้งคาต้นแล้วร่วงหล่นนั้น เป็นไปได้ยาก
ก่อน จะโรยรา จะมีเทวดา สัตว์วิเศษ และวิทยาธร เป็นต้น มาเก็บเอาไป สัตว์ส่วนใหญ่ที่ถูกกล่าวถึงในศิลปะและวรรณกรรมของ ประเทศอินเดียและประเทศไทยอาศัยอยู่ในป่า หิมพานต์ ป่านี้ มีที่ตั้งอยู่ระหว่างเขตประเทศอินเดีย และเนปาล เหนือป่าหิมพานต์ขึ้นไป เป็นสวรรค์ ในตำนานของชาวพุทธ ว่ากันว่าคนสามัญธรรมดา ไม่สามารถมองเห็นและ ย่างกรายเข้ามายังป่าแห่งนี้ได้ สัตว์หิมพานต์เหล่านี้นี่เอง ที่ได้ถูกนำมาประยุกต์เป็น ลวดลายงดงามไม่ว่า จะเป็นรูปปั้น รูปวาด รูปแกะสลัก หรือ เครื่องประดับต่างๆ