เพื่อการกุศล หลวงปู่ครูบาชัยยะวงศาพัฒนา วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม บูชา วัตถุมงคล ถึงวัดฯ โดยตรง

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย มหาหินทร์, 8 ธันวาคม 2008.

  1. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    มีนิสัยกล้าหาญ

    เมื่อท่านอายุได้ประมาณ ๑๐ ขวบ ท่านต้องออกไปเฝ้านาข้าว เพื่อคอยไล่นกที่จะมากินข้าวในนา ท่านต้องออกจากบ้านตั้งแต่ตี ๔ ยังไม่สว่างนกยังไม่ตื่นออกหากิน การที่ท่านต้องออกไปไร่นาแต่เพียงลำพังคนเดียวเป็นประจำ ทำให้ลุงตาลซึ่งเป็นเพื่อนบ้านของท่านอกสงสัยไม่ได้จนต้องเข้ามาถามท่าน

    ลุงตาล : มึงนี้เป็นผีเสือหรือไร แจ้งมากูก็เห็นมึงที่นี่ มึงไม่ได้นอนบ้านหรือ

    ด.ช.วงศ์ : เมื่อนกหนูนอนแล้ว ข้าจึงกลับไปบ้าน เช้ามืดไก่ขันหัวที ยังบ่แจ้ง นกยังบ่ลง บ่ตื่น ข้าก็มาคนเดียว

    ลุงตาล : ไม่กลัวเสือ ไม่กลัวผีป่าหรือ?

    ด.ช.วงศ์ : ผีเสือ มันก็รู้จักเรา มันไม่ทำอะไรเรา เราเทียวไปเทียวมา มันคงรู้ และเอ็นดูเรา บางวัน ตอนเช้าเราเห็นคนเดินไปข้างหน้าเรา ก็เดินตามก็ไม่ทัน จนถึงไร่มันก็หายไป เราก็เข้าใจว่ามันไปส่งเรา เราก็ไม่กลัว บางเช้า ก็ได้ยินเสียงเสือร้อง ไปก่อนหน้า

    ลุงตาล : ไม่กลัวเสือหรือ ?

    ด.ช.วงศ์ : เราไม่กลัว มันเป็นสัตว์ เราเป็นคน มันไม่รังแกเรา มันคงสงสารเรา ที่เป็นทุกข์ยาก มันคงจะมาอยู่เป็นเพื่อน เราจะไปจะมาก็ขอเทวดา ที่รักษาป่า ช่วยรักษาเรา เราจึงไม่กลัว

    ลุงตาล : มึงเก่งมาก กูจักทำตามมึง

    ด.ช.วงศ์ : เราไม่ได้ทำอะไรมัน มันก็ไม่ทำอะไรเรา มันไม่รังแกเรา เราคิดว่าคนที่ใจบาปไปเสาะหาเนื้อในป่า กินกวาง กินเก้ง กินปลา เสือก็ยังไม่กัดใครตายในป่าสักคน เวลาเราจะลงเรือน เราก็ขอให้บุญช่วยเรา

    ลุงตาล : มึงยังเด็ก อายุไม่ถึง ๑๐ ขวบ มืด ๆ ดึก ๆ ก็ไม่กลัวป่า ไม่กลัวเถื่อน ไม่กลัวผีป่า ผีพง ไม่กลัวช้าง กูยอมมึงแล้ว

    ..............................................................................................
     
  2. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    มีปัญญา พิจารณา เห็นทุกข์

    ขณะที่ท่านนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ในป่าคนเดียวตามลำพัง
    ท่านได้เปรียบเทียบชีวิตท่าน กับสัตว์ป่า ทั้งหลายว่า

    "นกทั้งหลาย ต่างก็หากินไปไม่มีที่หยุด ต่างก็เลี้ยงตัวเองไปตามประสา มันก็ยังทนทานไปได้ ตัวเรา ค่อย อด ค่อนทน ไปก็ดีเหมือนกัน สัตว์ทั้งหลาย ก็ทุกข์ยากอย่างเรา เราก็ทุกข์ยากอย่างเรา สัตว์ในโลกก็ทุกข์เหมือนกันทุกอย่าง เราไม่ควรจะเหนื่อยคร้าน ค่อย อด ค่อยทน ตามพ่อแม่นำพาไป"

    ...............................................................................................
     
  3. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    เป็นผู้มีพรหมวิหารสี่

    หลวงพ่อ มีความเมตตากรุณา และพรหมวิหารสี่ มาแต่เยาว์วัย อย่างหาที่เปรียบมิได้
    เพื่อนของหลวงพ่อตั้งแต่สมัยนั้น เล่าว่า เมื่อสมัยที่ท่านเป็นเด็ก ระหว่างทางไปหาของ
    หรืออาหารป่า ทุกครั้งที่เห็นสัตว์ถูกกำดักของนายพราน ท่านจะปล่อยสัตว์เหล่านั้น
    ให้มีอิสระภาพเสมอ แล้วจะหาสิ่งของมาทดแทนให้กับนายพราน
    เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนกับชีวิตของมัน

    ครั้งหนึ่ง ท่านเห็น ตัวตุ่น ถูกกำดักนายพรานติดอยู่ในโพรงไม้ไผ่
    ด้วยความสงสารท่านจึงปล่อยตัวตุ่นนั้นไป แล้วหยิบหัวมันที่หามาได้จากในป่า
    ซึ่งตั้งใจไว้ว่าจะนำไปให้พ่อแม่และน้อง ๆ กิน ใส่เข้าไปในโพรงไม้นั้นแทน
    เพื่อเป็นการชดใช้แลกเปลี่ยนกับชีวิตของตัวตุ่นนั้น

    ต่อมา มีอยู่วันหนึ่งท่านไปพบปลาดุกติดเบ็กของชาวบ้านที่นำมาปักไว้ที่ห้วย
    ท่านเห็นมันดิ้นทุรนทุราย แล้วเกิดความสงสารเวทนาปลาดุกตัวนั้นมาก จึ
    งปลดมันออกจากเบ็ด แล้วเอาหัวผักกาดที่ท่านทำงานแลกมา
    ซึ่งตั้งใจไว้ว่าจะนำไปให้พ่อแม่และน้อง ๆ กิน
    มาเกี่ยวไว้แทนเป็นการแลกเปลี่ยนชีวิตปลาดุกนั้น

    หลวงพ่อ ได้เมตตาบอกถึงเหตุผลที่กระทำเช่นนั้น ว่า
    ในเวลานั้นท่านมีความเวทนาสงสาร สัตว์เหล่านั้น จึงได้ช่วยชีวิตของมันไว้
    ท่านมักจะสั่งสอนลูกศิษย์อยู่เสมอ ว่า

    "ชีวิตของใคร ๆ ก็รักทั้งนั้น เราทุกคนควรจะเมตตาตนเอง และเมตตาผู้อื่นอยู่เสมอโลกนี้จะได้มีความสุข"

    ด้วยความที่ท่านเป็นผู้ที่ไม่ชอบการผิดศีลมาตั้งแต่สมัยเด็ก
    เมื่อท่านเห็นว่าคนอื่นจะผิดศีล ข้อปาณาติบาต (การฆ่าสัตว์ตัดชีวิต)
    ก็รู้สึกสงสารทั้งผู้ทำปาณาตีบาตและผู้ถูกปาณาติบาต
    ซึ่งท่านไม่อยากเห็นพวกเขามีเวรมีกรรมกันต่อไป

    แต่ในขณะเดียวกัน ท่านก็ไม่ต้องการให้ตัวเองต้องผิดศีล โดยไปลักขโมยของผู้อื่น
    ซึ่งในเวลานั้นท่านไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี ท่านจึงต้องหาสิ่งของมาตอบแทนให้กับเขา

    แต่ในบางครั้งก็ไม่มีสิ่งของมาแลกกับชีวิตของสัตว์เหล่านั้นเหมือนกัน
    แต่ท่านก็สามารถจะช่วยมันได้โดยปล่อยมันให้เป็นอิสระ แล้วท่านะนั่งรอนายพราน
    จนกว่าเขาจะมา และก็ขอเอาตัวเอง ชดใช้แทน
    ซึ่งท่านได้เล่าว่า บางคนก็ไม่ถือสาเอาความ
    แต่บางคนก็ให้ไปทำงานหรือทำความสะอาด ทดแทนกับที่ท่านไปปล่อยสัตว์ที่เขาดักไว้
    แต่ไม่เคยมีใครทำร้ายทุบตีท่าน อาจจะมีบ้างก็เพียงแต่ว่ากล่าวตักเตือน

    ท่านเคยพูดว่า

    "แม้ว่าบางครั้งจะต้องทำงานหนักเพื่อใช้ชีวิตของสัตว์ที่ท่านได้ปล่อยไป
    แต่ท่านก็รู้สึกยินดี และปิติใจเป็นอันมาก ที่ได้ทำในสิ่งที่ดีงามเหล่านี้"

    ...............................................................................................
     
  4. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    กินอาหารมังสวิรัติ

    เมื่อท่านอายุได้ ๑๒ ปี ท่านได้พบเหตุการณ์สำคัญ ที่ทำไม่อยากจะกินเนื้อสัตว์นั้น เลย
    นับแต่นั้นมา กล่าวคือ มีครั้งหนึ่งท่านได้เห็นพญากวางใหญ่ถูกนายพรานยิง แทนที่พญากวางตัวนั้นจะร้องเป็นเสียงสัตว์ มันกลับร้อง โอย โอย ๆ ๆ ๆ เหมือนเสียงคนร้อง
    แล้วสิ้นใจตายในที่สุด

    และเมื่อท่านไปอยู่กับ ครูบาชัยลังก๋า ซึ่งไม่ฉันเนื้อสัตว์
    หลวงพ่อ จึงงดเว้นอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ ตั้งแต่นั้นมา

    อีกประการหนึ่ง อาจเป็นด้วยบุญบารมีที่ท่านได้สร้างสมมาแต่อดีตชาติ
    ประกอบกับได้เห็นความทุกข์ยากของสัตว์ต่าง ๆ ที่ถูกทำร้าย
    จึงทำให้ท่านเกิดความสลดใจอยู่เสมอ

    ท่านจึงตั้งจิตอธิษฐานถึงคุณพระศรีรัตนตรัยตั้งแต่นั้นมา ว่า จะไม่ขอเบียดเบียนชีวิตผู้อื่น
    ไม่ว่าจะเป็นคน หรือสัตว์ และจะไม่ขอกินเนื้อสัตว์อีกต่อไป ท่านได้เมตตาสอนว่า

    "สรรพสัตว์ทั้งหลายย่อมรักและหวงแหนชีวิตของมันเอง
    เราทุกคนไม่ควรจะเบียดเบียนมัน มันจะได้อยู่อย่างเป็นสุข"

    และท่านยังพูดเสมอ ว่า

    "ท่านต้องการให้ ศีล ของท่าน บริสุทธิ์ขึ้นไปเรื่อย ๆ"

    สัตว์ทุกตัว มันก็รักชีวิตของมันเหมือนกัน เมื่อเราฆ่ามันตายเพื่อกินเนื้อมัน
    จิตของมันไปที่สำนักพญายม ก็จะฟ้องร้องว่าคนนั้นฆ่ามันตาย คนนี้กินเนื้อของมัน
    ถึงแม้จะไม่ได้ฆ่า คนกิน ก็เป็นจำเลยด้วย ก็ย่อมต้องได้รับโทษ
    แต่จะออกมาในรูปของการเจ็บไข้ได้ป่วย และความไม่สบายต่าง ๆ
    ซึ่งเจ้าตัวไม่รู้สึก เห็นว่า เป็นเรื่องธรรมดา

    ...............................................................................................
     
  5. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    บรรพชาเป็นสามเณร

    เมื่อท่านอายุย่าง ๑๓ ปี (พ.ศ. ๒๔๖๘) ด้วยผลบุญที่ท่านได้บำเพ็ญมาตั้งแต่ปางก่อน
    ในอดีตชาติ และได้รับการอบรมสั่งสอน จากพระสงฆ์ครูบาอาจารย์ในชาตินี้

    จึงดลบันดาลให้ท่านมีความ เบื่อหน่ายต่อชีวิตทางโลก
    อันเป็นทุกขัง อนิจจัง อนัตตา แห่งนี้

    ท่านจึงได้รบเร้าขอให้พ่อแม่ท่านไปบวช
    เพื่อท่านจะได้บำเพ็ญธรรมะขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    เมือบิดามารดาได้ฟังก็เกิดความ ปิติยินดีเป็นยิ่งนัก

    ไม่นานหลังจากนั้น พ่อแม่ก็ได้นำท่านไปฝากกับหลวงอา
    ท่านได้อยู่เป็นเด็กวัดกับหลวงอาได้ไม่นาน
    หลวงอา จึงนำท่านไปฝากตัวเป็นศิษย์ และบวชเณรกับครูบาชัยลังก๋า
    (ซึ่งเป็นธุดงค์กรรมฐาน รุ่นพี่ ของครูบาศรีชัย)

    ครูบาชัยลังก๋าได้ตั้งชื่อให้ท่านใหม่หลังจากเป็นสามเณรแล้วว่า "สามเณร ชัยลังก๋า"
    เช่นเดียวกับ ชื่อของ ครูบาชัยลังก๋า

    ...............................................................................................
     
  6. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    มีความเคารพเชื่อฟัง

    ท่านเป็นผู้ที่มีความขยันหมั่นเพียร และเคารพเชื่อฟังครูบาอาจารย์ ตลอดจนผู้สูงอายุ
    จึงทำให้ครูบาอาจารย์ และผู้เฒ่า ผู้แก่ รักใคร่เอ็นดูมาก

    จนเป็นเหตุทำให้เพื่อนเณรบางคนพากันอิจฉาริษยา หาว่าท่านประจบครูบาอาจารย์
    เมื่อใดที่ท่านอยู่ห่างจากครูบาอาจารย์เป็นต้องถูกรังแกเสมอ
    ทำให้การอยู่ปรนนิบัติติดตามครูบาอาจารย์เป็นไปอย่างไม่มีความสุข
    แต่ด้วยความเคารพกตัญญูต่อครูบาอาจารย์ และต้องการที่จะปฏิบัติธรรมกรรมฐาน
    เพื่อมรรคผลพระนิพพาน ท่านจึงได้ใช้ขันติ

    และให้อภัยแก่พระเณรเหล่านั้น ที่ไม่รู้สัจจธรรมในเรื่องกฎแห่งกรรม
    ที่องค์สมเด็จพระชินสีห์ ได้กล่าวไว้ ว่า

    "ทำความดี ได้ดี ทำความชั่ว ผลแห่งความชั่ว ย่อมตอบสนองผู้นั้น"

    ...............................................................................................
     
  7. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    พบชายชราลึกลับ

    เพื่อนพระสงฆ์ ที่เคยอยู่ร่วมกันกับท่านในสมัยเป็นเณรได้เล่าว่า
    "หลวงพ่อวงศ์ เป็นผู้มีขันติ และอภัยทานสูงส่งจริง ๆ"

    ครั้งหนึ่ง ท่านเคยถูกเณร องค์อื่น (ซึ่งไม่ควรจะถือว่า เป็นพระ หรือเณร) เอาน้ำรัก ทาไว้บนที่นอนของท่าน ในสมัยนั้น ยังไม่มีไฟฟ้า และเทียนก็หาได้ยาก ท่านจึงมองไม่เห็น เมื่อท่านนอนลงไป น้ำรักก็ได้กัดผิวหนังของท่านจนแสบจนคัน

    ท่านจึงได้เกาจนเป็นแผลไปทั้งตัว ไม่นานแผลเหล่านั้น ก็ได้เน่าเปื่อยขึ้นมา
    จนทำให้ท่านได้รับทุกขเวทนามาก

    แต่ด้วยความที่ท่านเป็นคนดีมีธรรมะเมตตา ให้อโหสิกรรมกับผู้อื่น
    ท่านจึงใช้ ขันติ ข่มความเจ็บปวดเหล่านั้น โดยไม่ปริปากหรือกล่าวโทษผู้ใด
    ทุกครั้งที่ครูบาอาจารย์ถาม ท่านก็ไม่ยอมที่จะกล่าวโทษใครเลย
    เพียงเรียนไป ว่า ขออภัยให้กับพวกคนเหล่านั้นเท่านั้น
    และขอยึดเอาคำของครูบาอาจารย์มาปฏิบัติ
    เพื่อจะได้ไม่มีเวรกรรมกันต่อไปในอนาคต
    และเพื่อความหลุดพ้นจากวัฎสงสารแห่งนี้เข้าสู่นิพพาน
    ดังที่ ครูบาอาจารย์ได้อบรมสั่งสอนมาด้วยความยากลำบาก
    ในการที่จะให้ลูกศิษย์ลูกหาเป็นคนดี และเป็นพระสงฆ์เนื้อนาบุญของ พุทธบริษัทต่อไป

    ด้วยผลบุญที่ท่านได้สั่งสมมาแต่อดีตถึงปัจจุบัน

    จึงดลบันดาลให้มีชายชราชาวขมุ นำยา มาให้ท่านกิน ให้ท่านทา เป็นเวลา ๓ คืน
    เมื่อท่านหายดีแล้ว ชายชราผู้นั้น ก็ได้กลับมาหาท่าน และได้พูดกับท่าน ว่า

    "เป็นผลบุญของเณรน้อยที่ได้สร้างสมมาแต่อดีตถึงปัจจุบันไว้ดีมาก และมีความกตัญญูเคารพเชื่อฟังพ่อแม่ครูบาอาจารย์ดีมาก จึงทำให้แผลหายเร็ว

    ขอให้เณรน้อยจงหมั่นทำความดี ปฏิบัติธรรม และเคารพเชื่อฟังครูบาอาจารย์ต่อไป อย่าได้ท้อถอย ไม่ว่าจะมีมารมาขัดขวางอย่างไรก็ดี ขอเณรน้อยใช้ความดี ชนะความไม่ดีทั้งหลาย ต่อไป

    ในภายภาคหน้า สามเณรน้อย จะได้เป็นพระสงฆ์เนื้อนาบุญของพุทธบริษัทต่อไป"

    เมื่อชายชราผู้นั้นกล่าวจบแล้ว จึงได้เดินลงจากกุฏิที่ท่านพักอยู่
    สามเณรชัยลังก๋า นึกได้ ยังไม่ได้ถามชื่อแซ่ของชายชราผู้มีพระคุณ จึงวิ่งตามลงมา

    แต่เดินหาเท่าไรก็ไม่พบชายชราผู้นั้น ท่านจึงได้สอบถามผู้คนที่อยู่ในบริเวณนั้น
    ทุกคนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่พบเห็นชายชราเช่นนี้ มาก่อนเลย นอกจากเห็นท่านนอนอยู่คนเดียวในกุฏิ

    จากคำพูดของคนเหล่านี้ทำให้ท่านประหลาดใจมาก
    เพราะท่าน ได้พูดคุยกับชายชราผู้นั้น ถึง ๓ คืน ทุกครั้งที่ชายชราผู้นี้มาทายา และทำยาให้ท่านกิน เหตุการณ์นี้ ทำให้ท่านคิดว่า ชายชราผู้นั้น ถ้าไม่เป็นเทพแปลงกายมา ก็อาจจะเป็นผู้ทรงศีลที่บำเพ็ญอยู่ในป่าจนได้อภิญญา การกลั่นแกล้ง จากพระเณรที่อิจฉาริษยา ยังไม่สิ้นสุดแค่นั้น บางครั้ง เวลานอนก็ถูกเอาทราบกรอกปาก ถึงเวลานั้น ก็ฉันไม่ได้มาก เพราะ ถูกพระเณรที่ไม่เชื่อ ในเรื่องบาปบุญคุณโทษ รังแก หรือหยิบอาหารของท่านไปกิน

    แต่ด้วยความที่ท่านเป็นผู้มีความอดทน และยึดมั่นในคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านจึง อโหสิกรรมพวกเขา และใช้ขันติในการปฏิบัติธรรมรับใช้ปรนนิบัติครูบาอาจารย์ด้วยดีต่อไป

    ครูบาชัยลังก๋า มักลูบหัวของท่านด้วยความรักเอ็นดู
    และสั่งสอนให้ด้วยความเมตตาอยู่เสมอ ว่า

    "มันเป็นกรรมเก่าของเณรน้อย ตุ๊ลุงขอให้เณรน้อยใช้ขันติ และความเพียร ต่อไป เพื่อโลกุตตรธรรมอันยิ่งใหญ่ในภายหน้า เมื่อถึงเวลานั้นแล้ว ทุกคนที่เคยล่วงเกินเณรน้อย เขาจะรู้กรรม ที่ได้ล่วงเกินเณรน้อยมา"

    ...............................................................................................
     
  8. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    ไปวัดพระพุทธบาทห้วยต้ม

    ในระยะที่อยู่กับครูบาชัยลังก๋า ๆ ได้เมตตาอบรมสั่งสอนวิชาการต่าง ๆ ให้แก่ท่าน เช่น
    ภาษาลานนา ธรรมะ การปฏิบัติกรรมฐาน รวมทั้งธุดงควัตร ตลอดถึงการดำรงชีวิตในป่า

    ขณะธุดงค์ ครูบาชัยลังก๋า มักพาท่านไปแสวงบุญ และธุดงค์ไปในที่ต่างๆ เสมอ
    เพื่อให้ท่านมีประสบการณ์ ทั้งยังเคยพาท่านไปนมัสการรอบพระพุทธบาทห้วยต้มหลายครั้ง (วัดพระพุทธบาทห้วยต้น ในสมัยก่อนนั้นชื่อว่า วัดพระพุทธบาทห้วยข้าวต้ม)

    สมัยนั้น วัดนี้ เป็นวัดร้าง ยังเป็นดอยภูเขาอยู่

    ครั้งหนึ่ง สามเณรชัยลังก๋าเห็นวิหารทรุดโทรมมาก
    จึงกราบเรียนถาม ครูบาชัยลังก๋า

    "ทำไมตุ๊ลุง ถึงไม่มาสร้างวัดนี้ มันทรุดโทรมมาก"

    ครูบาชัยลังก๋า ตอบด้วยความเมตตา ว่า

    "มันไม่ใช่หน้าที่ของตุ๊ลุง แต่จะมีพระน้อยเมืองตื๋นมาสร้าง"

    ขณะที่ครูบาชัยลังก๋ากล่าวอยู่นั้น
    ท่านก็ได้ชี้มือมาที่สามเณรน้อยชัยลังก๋า พร้อมกับกล่าว ว่า

    "อาจจะเป็นเณรน้อยนี้ กะบ่ฮู้ ที่จะมาบูรณะวัดนี้"

    ท่านจึงได้เรียนไปว่า

    "เฮายังเป็นเณร จะสร้างได้อย่างใด"

    ครูบาชัยลังก๋า จึงกล่าวตอบไปด้วยความเมตตา ว่า

    "ถึงเวลาจะมาสร้าง ก็จะมาสร้างเอง"

    คำพูดของครูบาชัยลังก๋า นี้
    ไปพ้องกับคำพูดของ ครูบาศรีวิชัย ที่เคยกล่าวกับ หม่องย่นชาวพม่า
    เมื่อตอนที่หลวงพ่อ อายุได้ ๕ ขวบ ในครั้งนั้น ครูบาศรีวิชัย ได้รับนิมนต์จากหม่องย่น
    ให้มารับถวายศาลาที่วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม หม่องย่นให้ขอนิมนต์ครูบาศรีวิชัยมาบูรณะวัดพระพุทธบาทห้วยต้มให้เจริญรุ่งเรือง

    แต่ครูบาศรีวิชัยได้ตอบปฏิเสธไป ว่า

    "ไม่ใช่หน้าที่กู จะมีพระน้อยเมืองตื๋นมาสร้างในภายภาคหน้า"

    ท่านอยู่กับครูบาชัยลังก๋าที่วัดพระธาตุแก่งสร้อย เป็นเวลา ๑ ปี

    หลังจากนั้น ครูบาชัยลังก๋าได้ออกจาริกธุดงค์ไปโปรดชาวบ้านที่จังหวัดเชียงราย
    ครูบาชัยลังก๋าได้ให้ท่านอยู่เฝ้าวัดกับพระเณรองค์อื่นในช่วงที่ท่านอยู่วัดนี้
    ท่านก็ได้พบกันครูบาศรีวิชัยเป็นครั้งแรกซึ่งท่านเคารพนับถือครูบาศรีวิชัยมาก่อนหน้านี้แล้ว

    ในครั้งนั้นครูบาศรีวิชัย ได้มาเป็นประธาน ในการฉลองพระธาตุที่วัดพระธาตุแก่งสร้อย
    ในโอกาสนี้ท่านจึงได้อยู่ใกล้ชิดปรนนิบัติรับใช้ครูบาศรีวิชัยเป็นเวลา ๗ วัน

    การพบกันครั้งแรกนี้ ครูบาศรีวิชัยก็ได้รับท่านไว้เป็นศิษย์ตั้งแต่นั้นมา

    หลังจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ผ่านพ้นไปแล้ว ท่านก็ยังประจำอยู่ที่วัดพระธาตุแก่งสร้อยได้ไม่นาน เพราะทนต่อการกลั่นแกล้งจากพระเณรอื่นไม่ไหว จึงได้เดินทางกลับมาอยู่กับหลวงน้าของท่าน เพื่อช่วยสร้างพระวิหารที่วัดก้อท่า ซึ่งเป็นวัดร้างประจำหมู่บ้านก้อท่า ตำบลก้อทุ่ง อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน

    ในระหว่างอายุ ๑๕-๒๐ ปีนั้น ท่านได้ติดตามครูบาอาจารย์หลายองค์ และได้จาริกออกธุดงค์ ปฏิบัติธรรมตามที่ต่าง ๆ ตลอดจนได้ไปอบรมสั่งสอนชาวบ้านชาวเขาในที่ต่าง ๆ ด้วยเช่นกันในบางครั้งก็ไปกับครูบาอาจารย์ ในบางครั้งก็ไปองค์เดียวเพียงลำพัง
    เมื่อมีโอกาสท่านก็จะกลับมารับการ ฝึกอบรมจากครูบาอาจารย์ทุกองค์ของท่านเสมอ ๆ

    ...............................................................................................
     
  9. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    อุปสมบทเป็นพระภิกษุ

    เมื่ออายุ ๒๐ ปี ท่านได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ
    โดยมีครูบาพรหมจักร วัดพระบาทตากผ้าเป็นอุปัชฌาย์ ได้รับฉายาว่า "ชัยยะวงศา"

    ในระหว่างนั้น ท่านได้อยู่ปฏิบัติและศึกษาธรรมะกับครูบาพรหมจักร
    ในบางโอกาสท่านก็จะเดินธุดงค์ปฏิบัติธรรมไปในที่ต่าง ๆ ทั้งลาว และพม่า
    ท่านได้อยู่กับครูบาพรหมจักรระยะหนึ่งแล้ว

    จึงได้กราบลา ครูบาพรหมจักร ออกจาริกธุดงค์ไปแสวงหาสัจจธรรม ความหลุดพ้นจากวัฏสงสารแห่งนี้เพียงลำพังองค์เดียวต่อ เพื่อเผยแพร่สั่งสอนธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้กับพวกชาวเขาในที่ต่าง ๆ เช่นเคย

    ...............................................................................................
     
  10. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    สอนธรรมะแก่ชาวเขา

    ขณะที่ท่านธุดงค์ไปในที่ต่าง ๆ ท่านได้พบ และอบรมสั่งสอนธรรมะของพระพุทธองค์
    ให้กับชาวบ้านและชาวเขาในที่ต่าง ๆ

    ท่านเล่าว่า ตอนที่ท่านพบชาวเขาใหม่ ๆ นั้น
    ในสมัยนั้น ชาวเขาส่วนใหญ่ ยังไม่ได้นับถือพุทธศาสนา
    ในขณะที่ท่านจาริกธุดงค์ไปตามหมู่บ้านของพวกชาวเขา
    พวกชาวเขาเหล่านี้ก็จะรีบอุ้มลูกจูงหลานหลบเข้าบ้านเงียบหายกันหมด
    พร้อมกับตะโกนบอกต่อๆ กันว่า "ผีตาวอดมาแล้ว ๆ ๆ"

    ในบางแห่ง พวกผู้ชายบางคนที่ใจกล้าหน่อย ก็เข้ามาสอบถาม และพูดคุยกับท่าน
    บางคนเห็นหัวของท่าน แล้วอดรนทนไม่ไหว ที่เห็นหัวของท่านเหน่งใส จึงเอามือลูบหัวของท่าน และทักทายท่าน ว่า "เสี่ยว" (แปลว่าเพื่อน)

    หลวงพ่อ ว่า ในตอนนั้นท่านไม่รู้สึกเคือง หรือตำหนิ เขาเหล่านั้นเลย
    นอกจากขบขัน ในความซื่อ ของพวกเขา เพราะพวกเขายังไม่รู้จักพุทธศาสนา
    ในสมัยนั้น พวกชาวเขายังนับถือลัทธิบูชาผี บูชาเจ้า

    ด้วยเหตุนี้ ท่านจึงได้ถือธุดงค์ปฏิบัติกรรมฐาน ในสถานที่แห่งนั้น เพื่อจะหาโอกาสสอนธรรมะของพระพุทธองค์ให้กับพวกชาวเขา การสอนของท่านนั้น ท่านได้เมตตาบอก ว่า ท่านต้องทำ และสอนให้พวกเขารู้อย่างช้า ๆ ค่อยเป็น ค่อยไป โดยไม่ทำให้พวกเขามีความรู้สึกแปลกประหลาด และขัดต่อจิตใจ ความเป็นอยู่ ที่เขามีอยู่ ท่านได้ใช้ตัวของท่านเองเป็นตัวอย่างให้เขาดู ในการที่จะทำให้พวกเขาหันมาปฏิบัติธรรมะของพระพุทธองค์

    เมื่อพวกเขาถามท่านว่า "ทำไมท่าน จึงโกนผม จนหัวเหน่ง และนุ่งห่มสีเหลืองทั้งชุด ดูแล้วแปลกดี" ท่านก็จะถือเอาเรื่อง ที่เขาถามมาเป็นเหตุในการเทศน์ เพื่อเผยแพร่ธรรมะให้พวกเขาได้ปฏิบัติ และรับรู้กัน

    หลวงพ่อได้เล่า ว่า

    "การสอนให้เขารู้ธรรมะนั้น ท่านต้องสอนไปทีละขั้น
    เพื่อให้เขารู้จักพระพุทธเจ้าและพระสงฆ์เสียก่อน

    จากนั้น ท่านจึงสอนพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้กับพวกเขา โดยเฉพาะการทำงาน การถือศีล และการนั่งภาวนา ให้พวกเขาได้ปฏิบัติยึดถือกัน

    โดยเฉพาะเรื่องของศีล ๕ ท่านจะสอนเน้น ให้พวกเขาไม่เบียดเบียนผู้อื่น และไม่ทำร้ายผู้อื่น เพื่อจะได้ไม่เป็นเวรกรรมกันต่อไปในภายภาคหน้า ซึ่งการสอนของท่าน ทำให้พวกชาวเขาได้รับความสงบสุข ภายในหมู่บ้านของเขาอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน พวกเขา จึงยิ่งเคารพนับถือ และเชื่อฟังในคำสั่งสอนของท่านมากยิ่งขึ้น"

    ...............................................................................................
     
  11. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    สอนกินมังสวิรัติ

    หลวงพ่อ ได้เมตตาเล่าให้ฟัง ว่า
    ในสมัยนั้น พวกชาวเขาได้นำอาหารที่มีเนื้อสัตว์มาถวาย แต่ท่านหยิบฉันเฉพาะที่เป็นผักเป็นพืช เท่านั้น ทำให้เขาเกิดความสงสัย ท่านจึงได้ยกเอาเรื่องในพุทธชาดกมาเทศน์ให้พวกเขาฟัง เพื่อเป็นการเน้นให้เห็นถึงกฎแห่งกรรม และผลดีของการรักษาศีล

    ท่านได้อยู่ อบรม สั่งสอน ให้พวกเขารับรู้ถึงธรรมะ และการรักษาศีล อยู่เสมอ ๆ
    ทำให้พวกเขาเลื่อมใส และหันกลับมานับถือ พระพุทธศาสนา โดยละทิ้งประเพณีเก่า ๆ
    ที่เคยปฏิบัติกันมา

    ต่อมา พวกชาวเขาเหล่านี้ ก็ได้เจริญรอยตามท่าน โดยเลิกกินเนื้อสัตว์ หันมากินมังสาวิรัติแทน
    (ดังที่เราจะเห็นได้จากกะเหรี่ยงที่อพยพมาอยู่ที่หมู่บ้านห้วยต้มในปัจจุบันนี้)

    เมื่อท่านได้สอนพวกเขา ให้นับถือศาสนาพุทธแล้ว ท่านก็จะจาริกธุดงค์ แสวงหาสัจธรรมต่อไป และถ้ามีโอกาส ท่านก็จะกลับไปโปรดพวกเขาเหล่านั้นอยู่เสมอ

    ด้วยเหตุนี้ ชาวเขา และชาวบ้านในที่ต่าง ๆ ที่ท่านเคยไปสั่งสอนมา
    จึงเคารพ นับถือท่าน มาก

    ...............................................................................................
     
  12. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    ช่วยสร้างทางขึ้น ดอยสุเทพ

    เมื่ออายุได้ ๒๒ ปี
    ท่านจึงเดินทางกลับมาหา ครูบาศรีวิชัย พร้อมกับชาวกะเหรี่ยงที่เป็นศิษย์ของท่าน
    เพื่อช่วยครูบาศรีวิชัยสร้างทางขึ้นดอยสุเทพในครั้งนี้ ครูบาศรีวิชัย ได้เมตตาให้ท่านเป็นกำลังสำคัญ ทำงานร่วมกับ ครูบาขาวปี ในการควบคุมชาวเขา ช่วยสร้างทางอยู่เสมอ

    โดยเฉพาะในช่วงที่ยากลำบาก เช่น การสร้างถนนในช่วงหักศอกก่อนที่จะถึงดอยสุเทพ (ช่วงที่คนวิพากษ์วิจารณ์ครูบาศรีวิชัยกันมากที่สร้างถนนหักศอกมากเกินไป) ในระหว่างกำลังสร้างทางช่วงนี้ ได้มีหินก้อนใหญ่มากติดอยู่ใกล้หน้าผา จะใช้กำลังคน หรือช้างลากเช่นไร ก็ไม่ทำให้หินนั้นเคลื่อนไหวได้ ชาวกะเหรี่ยงที่ทำงานอยู่นั้น จึงไปกราบเรียนให้ ครูบาศรีวิชัย ทราบ ท่านจึงให้คนไปตามหลวงพ่อ ซึ่งกำลังสร้างทางช่วงอื่นอยู่

    เมื่อหลวงพ่อวงศ์ มาถึงท่านได้ยืนพิจารณา อยู่ครู่หนึ่ง
    จึงได้เดินทางไปผลักหินก้อนนั้น ลงสู่หน้าผานั้นไป เหตุการณ์นี้ทำให้ ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์แปลกใจไปตาม ๆ กันที่เห็นท่านใช้มือผลักหินนั้น โดยไม่อาศัยเครื่องมือใด ๆ

    ครูบาศรีวิชัย ได้ยืนยิ้มอยู่ข้าง ๆ ท่าน ด้วยความพอใจ

    ...............................................................................................
     
  13. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    ประทับรอยเท้า เป็นอนุสรณ์

    ขณะที่ท่านช่วยครูบาศรีวิชัยสร้างทางขึ้นดอยสุเทพ
    ท่านได้ประทับรอยเท้า ลึกลง ไปในหินประมาณ ๑ ช.ม. ข้างน้ำตกห้วยแก้ว (ช่วงตอนกลาง ๆ ของทางขึ้นดอยสุเทพ เพื่อเป็นอนุสรณ์ที่ท่านได้มาช่วย ครูบาศรีวิชัยสร้างทาง

    เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๓
    หลวงพ่อขึ้นไปนมัสการพระธาตุดอยสุเทพ ขากลับท่านได้พาไปนมัสการวัดอนาคามี (ซึ่งเป็นวัดที่ครูบาศรีวิชัยได้มอบให้ท่านเป็นผู้ควบคุมการสร้าง ปัจจุบันทรุดโทรมหมดแล้ว)

    ระหว่างทาง ท่านได้พาพวกเราไปดูรอยเท้าที่ท่านประทับไว้
    รอยเท้านั้นลึกลงไปในหินประมาณ ครึ่งเซนติเมตร มีรอยถูกน้ำกัดเซาะ

    พวกเราแปลกใจมากที่เห็นรอยเท้านั้น พอดีกับเท้าของท่านเมื่อท่านเหยียบลงไป
    (การประทับรอยเท้า เช่นนี้ ท่านเคยไปประทับรอยเท้าและรอยมือ ไว้บนแผ่นหิน ณ ประเทศศรีลังกา เพื่อเป็นอนุสรณ์ เช่นกัน เป็นที่ประจักษ์สายตาของคณะศิษย์ที่ร่วมเดินทางไปทุกครั้ง)

    ...............................................................................................
     
  14. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    อุปสรรค

    ท่าน เป็นผู้ที่ครูบาศรีวิชัยไว้ใจมาก องค์หนึ่ง
    เพราะ เมื่อครูบาศรีวิชัยมีปัญหา เรื่องขาดกำลังคน ครูบาศรีวิชัยก็จะมอบหน้าที่ให้ท่านไปนำกะเหรี่ยงอยู่บนดอยต่างๆ มาช่วยสร้างทาง

    หลวงพ่อ เล่าว่า การสร้างทางขึ้นดอยสุเทพ และการสร้างบารมีของครูบาศรีวิชัย นั้น
    ทุกข์ยากลำบากมาก เพราะถูกกลั่นแกล้งจากบุคคลอื่น ที่ไม่เข้าใจ และอิจฉาริษยาอยู่เสมอ

    ทุกครั้งที่ครูบาศรีวิชัยให้ท่านไปนำกะเหรี่ยงมาช่วยสร้างทาง
    ระหว่างการเดินทาง ต้องคอยหลบเลี่ยง จากการตรวจจับของพวกตำรวจหลวง และคณะสงฆ์ที่ไม่เข้าใจ

    ครูบาศรีวิชัยท่านได้เล่าว่า ในเวลากลางวัน ต้องหลบซ่อนกันในป่า หรือเดินทางให้ห่างไกล จากเส้นทางสัญจร เพื่อหลบให้ห่างจากผู้ขัดขวาง ส่วนในเวลากลางคืนต้องรีบเดินทางกันอย่างฉุกละหุก เพราะเส้นทางต่าง ๆ มืดมาก ต้องอาศัยโคมไฟตามบ้านเป็นการดูทิศทาง เพื่อให้ถึงจุดหมายปลายทางเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

    ด้วยบารมี และความตั้งมั่นในการทำความดีของครูบาศรีวิชัยที่มีต่อพระพุทธศาสนา
    ทำให้พุทธบริษัท ทั้งชาวบ้าน และชาวเขา จากในที่ต่าง ๆ จำนวนมาก มาช่วยสร้างทางขึ้นดอยสุเทพได้สำเร็จ ดังความตั้งใจของครูบาศรีวิชัย โดยใช้เวลาสร้างเพียง ๗ เดือน เท่านั้น

    เมื่อครูบาศรีวิชัยสร้างทางขึ้นดอยสุเทพสำเร็จแล้ว หลวงพ่อจึงได้ไปกราบลาครูบาศรีวิชัย
    กลับไปอยู่ที่เมืองตื๋น วัดจอมหมอก ตำบลแม่ตื๋น กิ่งอำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่

    ถูกจับห่มขาว
    เมื่ออายุได้ ๒๓ ปี ขณะที่ท่านอยู่ที่วัดจอมหมอก เจ้าคณะตำบลได้มาจับท่านสึก ในข้อหาที่ท่านเป็นศิษย์ และเป็นกำลังสำคัญ ที่ปฏิบัติ เชื่อฟัง ครูบาศรีวิชัยอย่างเคร่งครัด (ซึ่งในขณะนั้นครูบาศรีวิชัยได้ถูกจับมาสอบสวนอธิกรณ์ที่กรุงเทพฯ )

    แต่ตัวท่านเอง ไม่ปรารถนาที่จะสึก จะหนีไม่ได้ เมื่อทางคณะสงฆ์จะจับท่านสึก และให้นุ่งห่มดำ หรือแต่งแบบฆราวาส ท่านไม่ยอม เพราะท่านไม่ได้ผิดข้อปฏิบัติของสงฆ์

    แต่เมื่อคณะสงฆ์ที่ไปจับท่านสึกไม่ให้ห่อเหลือง
    ท่านจึงหาผ้าขาว มาห่มแบบสงฆ์ เลียนเยี่ยงอย่าง ครูบาขาวปี วัดผาหนาม
    (ซึ่งเคยถูกจับสึกไม่ให้ห่อเหลืองในข้อหาเดียวกัน)

    ในคราวที่ ครูบาศรีวิชัยถูกอธิกรณ์ ก่อนที่จะมีการสร้างทางขึ้นดอยสุเทพ และยึดถือข้อวัตรปฏิบัติ เหมือนที่เป็นสงฆ์อย่างเดิม ซึ่ง หลวงพ่อครูบาพรหมจักร วัดพระบาทตากผ้า, ครูบาบุญทืม และ เจ้าคุณราชฯ เจ้าคณะจังหวัดลำพูนองค์ก่อนวัดจามเทวีเคยพูด ว่า

    "ในหมู่พระสงฆ์ และฆราวาส ที่เป็นศิษย์ของครูบาศรีวิชัย ก็ยังนับถือหลวงพ่อ เป็นพระสงฆ์เช่นเดิม เพราะการสึก ในครั้งนั้น ไม่สมบูรณ์ ครูบาวงศ์ไม่ได้ทำผิดพระวินัยของสงฆ์ และในขณะที่สึกนั้นจิตใจของท่านก็ไม่ยอมรับที่จะสึก ยังยึดมั่นว่าตัวเองเป็นพระสงฆ์เหมือนเดิม ดังจะเห็นได้จากการที่ท่านยังปฏิบัติข้อวัตร พระธรรมวินัยของสงฆ์ทุกประการ"

    หลวงพ่อได้เล่าว่ า ในคราวนั้นลูกศิษย์ลูกหาของครูบาศรีวิชัย ระส่ำระสาย กันมาก
    บางองค์ก็ถูกจับสึกเป็นฆราวาส บางองค์ก็หนีไปอยู่ที่อื่นบ้าง ในป่าในเขาบ้าง
    เพื่อไม่ให้ถูก จับสึก

    รวมตัวที่บ้านปาง
    หลังจากที่ครูบาศรีวิชัย พ้นจากอธิกรณ์ ครูบาศรีวิชัย ได้เดินทางกลับไปจังหวัดลำพูน
    เพื่อไปบูรณะและสร้างวัดบ้างปาง อันเป็นวัดบ้านเกิดของท่าน หลวงพ่อ และครูบาขาวปี (ซึ่งขณะนั้นนุ่งขาวห่มขาวทั้งคู่) ตลอดจนลูกศิษย์ ทั้งที่ถูกจับสึกเป็นฆราวาส และที่หนีไปในที่ต่าง ๆ ต่างก็ได้เดินทางกลับมาช่วยกันสร้าง และบูรณะวัดบ้านปาง เพื่อให้เป็นที่อยู่ที่ถาวรของ ครูบาศรีวิชัย

    พระสงฆ์ที่เคยช่วยครูบาศรีวิชัยสร้างวัดบ้านปาง ปัจจุบันที่ยังมีชีวิตอยู่ที่หลวงพ่อพอจำได้ คือ ครูบาศรีนวล วัดเจริญเมือง จังหวัดเชียงราย, ครูบาก้อน ปัจจุบันย้ายจากวัดสวนดอก ไปอยู่ที่จังหวัดลำปาง (ครูบาก้อน นี้ เป็นผู้นำเถ้าอังคาร ของครูบาศรีวิชัย มาทำพระเครื่องรูปเหมือนครูบาศรีวิชัย ซึ่งปัจจุบันพระเครื่องชุดนี้ ได้รับความนิยม จากคนทั่วไป)

    หลวงพ่อ ได้ช่วยครูบาศรีวิชัยสร้างวิหาร ที่วัดบ้านปางได้ระยะหนึ่ง
    ท่านจึงลาไปบำเพ็ญภาวนาธุดงค์ แสวงหาสัจธรรมต่อไปในป่าในเขา
    และเผยแพร่ธรรมะ ให้กับชาวบ้าน และชาวเขาในที่ต่าง ๆ ต่อไป

    ..............................................................................................
     
  15. hero_ultra

    hero_ultra เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    64
    ค่าพลัง:
    +1,089

    รอยเท้าที่น้ำตก ห้วยแก้ว ดอยสุเทพ อยู่ข้างๆ รอยเท้า ของครูบาศรึวิชัย เหยียบไว้กลาง ลำห้วย จะเห็นชัด เวลาหน้าแล้ง (เคยมีลูกศิษย์ได้ทำ ที่ครอบไว้ แต่คนใจบาป ได้ทุบ ทำลาย ไป ) น้ำที่ผ่าน ลำห้วย นี้ ก็ เป็น เสมือนน้ำมนต์ ที่ผ่านรอยเท้า ของ พระ อาจารย์ทั้ง 2 องค์ ได้อธิษฐานไว้

    ส่วนรอย อื่นๆของครูบา ผมรวบรวม จาก ลูกศิษย์ ที่ใกล้ชิด และที่ผมทราบ ได้ประมาณ 9 แห่ง


    ก่อนหน้านี้ ไม่ค่อย ชอบ เล่า หรือเขียนเรื่องทำนองนี้ ไว้ในที่สาธารณะ แต่เห็นว่า ไหนๆ ก็มีคนกล่าวกันมามากแล้ว ก็ เขียนไว้กับเค้าด้วย

    หมายเหตุ. รอยเท้า ของ ครูบา ที่ท่าน เหยียบไว้ บางแห่ง ก็ อยู่ในที่ ไปมา ลำบาก ผมเข้าใจว่า เทวดาคง ขอท่านไว้ ตอนท่านยัง ดำรงขันธ์ อยู่ ผมแทบจะไม่เล่าเรื่องนี้ ให้ใครฟัง เลย เชื่อก็ดีไป ไม่เชื่อ ก็ ลำบาก ครูบาท่าน ก็ ไม่เคย อวดตัว แต่ละวัน ท่านก็สอน ลูกศิษย์ ทำบุญ ทำทาน นั่งกรรมฐาน และสวดมนต์ เท่านั้นเอง
     
  16. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    ชีวิตเดินธุดงค์

    ในสมัยนั้น ท่านได้ธุดงค์บำเพ็ญเพียรไปในที่ต่างๆ องค์เดียวเสมอ ท่านชอบธุดงค์ไปอยู่ในป่า ในถ้ำที่ห่างไกลผู้คน หลวงพ่อเล่าว่า ในสมัยนั้นการเดินธุดงค์ไม่สะดวกสบายเช่นสมัยนี้ เพราะเครื่องอัฏฐบริขารและกลดก็หาได้ยากมาก ตามป่าตามเขาก็มีสัตว์ป่าที่ดุร้ายอาศัยกันอย่างมากมาย ในขณะถือธุดงค์ในป่าในเขาก็ต้องอาศัยถ้ำหรือใต้ต้นไม้เป็นที่พักที่ภาวนา เมื่อเจอพายุฝนก็ต้องนั่งแช่อยู่ใน น้ำที่ไหลท่วมมาอย่างรวดเร็วเช่นนั้นจนกว่าฝนจะหยุดตก การภาวนาในถ้ำในสมัยก่อนนั้นก็มีสัตว์ป่าอาศัยอยู่มากมาย เช่น เสือ, ช้าง, งู, เม่น ฯลฯ เป็นต้น แต่มันไม่เคยมารบกวน หรือสร้างความกังวลใจให้ท่านเลย ต่างคนต่างพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน

    ท่านเล่าว่า ครั้งหนึ่งท่านได้ไปบำเพ็ญภาวนาในถ้ำแห่งหนึ่งที่ตำบลบ้านก้อ สมัยนั้นยังเป็นป่าทึบ ต้นสักแต่ละต้นขนาด ๓ คนโอบไม่รอบ ในถ้ำนั้นมีเม่นและช้างอาศัยอยู่ บางครั้งก็มีเสือเข้ามาหลบฝนบ่อยครั้งที่ท่านกำลังภาวนาทำสมาธิอยู่นั้น พวกมันจะมาจ้องมองท่านด้วยความแปลกใจ ทำให้ท่านรู้สึกถึงความบริสุทธิ์ และความไร้เดียงสาของสัตว์ที่มองดูท่านด้วยท่าทางฉงนสนเท่ห์ ทำให้ท่านนึกถึงคำสั่งสอนของ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า

    "ความไม่เบียดเบียนกันเป็นความสงบสุขอย่างยิ่ง"

    หลวงพ่อ บอกว่าพระธุดงค์ในสมัยก่อน ต้องผจญอุปสรรค และปัญหาต่าง ๆ มากมาย
    จึงต้องเคี่ยวจิตใจ และกำลังใจให้เข้มแข็ง และแกร่งอยู่เสมอ
    ดังนั้น พระธุดงค์รุ่นเก่า จึงเก่งและได้เปรียบ กว่าพระสงฆ์ในปัจจุบัน
    ทั้งในด้านจิตใจ และการปฏิบัติบำเพ็ญภาวนา

    แต่เสียเปรียบกว่า พระสงฆ์ในยุคนี้ ในด้านการใฝ่หาความรู้ทางด้านปริยัติ เพราะในสมัยนี้ความเจริญ ทำให้ไปไหนมาไหนได้สะดวก และเร็วขึ้น พระสงฆ์ในรุ่นเก่าที่อยู่ห่างไกลตัวเมือง จึงต้องบังคับจิตใจ บำเพ็ญเพียร ปฏิบัติภาวนาให้เกิดปัญญา และธรรมะขึ้นในจิตในใจ เพื่อนำมาพิจารณา และ ปฏิบัติให้ถึงพระนิพพาน

    ธุดงค์น้ำแข็ง
    บ่อยครั้ง ท่านได้ธุดงค์จาริกผ่านไปที่กิ่งอำเภออมก๋อย ในฤดูหนาวบริเวณภูเขาของกิ่งอำเภออมก๋อย จะมีเหมยค้างปกคลุมไปทั่ว (เหมยค้าง นี้ ภาษาภาคเหนือ หมายถึง น้ำค้างที่กลายเป็น น้ำแข็ง) ในบริเวณนี้มีต้นสนขนาดต่างๆ ขึ้นเต็มไปหมด ไม่มีผู้คนอาศัยอยู่เลย เวลาย่ำเดินไปบนพื้น น้ำแข็ง ขาจะจมลึกลงไปในน้ำแข็งนั้น ทำให้เกิดความหนาวเย็นเป็นอันมาก เพราะท่านมีแต่ผ้าที่ครองอยู่เพียงชั้นเดียวเท่านั้น โดยเฉพาะเมื่อมีลมพัดผ่านมา ท่านต้องสั่นสะท้านทุกครั้ง

    ท่านได้เล่าว่า ความแห้งแล้งของอากาศและความหนาวเย็นของน้ำแข็ง
    ทำให้ผิวหนังของท่านแตกปริเป็นแผลไปทั้งตัว ต้องได้รับทุกขเวทนามาก

    สมัยนั้น ในภาคเหนือ จะหากลดมาสักอันหนึ่งก็ยากมาก การธุดงค์ของท่านก็มีแต่อัฏฐบริขารเท่านั้น ที่ติดตัวไปทุกหนทุกแห่ง ช้อนก็ทำจากกะลามะพร้าว ถ้วยน้ำก็ทำจากกระบอกไม้ไผ่ ผ้าจีวรที่ครองอยู่ก็ต้องปะแล้วปะอีก

    การปฏิบัติภาวนา บนภูเขาที่มีน้ำแข็งปกคลุมมากเช่นนี้ ทำให้การปฏิบัติ สมถะ และวิปัสนากรรมฐานนั้น กลับแจ่มชัด และรวดเร็ว ดียิ่งกว่าในเวลาปกติธรรมดา เพราะทำให้ได้เห็นเรื่องของไตรลักษณ์ ได้ชัดเจนดี และการพิจารณาขันธ์ ๕ อันเป็นทุกขัง อนิจจัง อนัตตา ก็สามารถเห็นอย่างแจ่มชัด ทำให้ในขณะภาวนาทำสมาธิอยู่นั้น จิตสงบดีมาก ไม่พะวงกับ สิ่งภายนอกเลย

    ในบางครั้ง ขณะที่นั่งสมาธิอยู่นั้น ไฟที่ก่อไว้ ได้ลุกไหม้จีวรของท่านไป ตั้งครึ่ง ค่อนตัวท่านยังไม่รู้สึกตัวเลย เมื่อจิตออกจากสมาธิแล้ว ท่านต้องรีบดับไฟที่ลุกไหม้อยู่นั้น อย่างรีบด่วน ทำให้ต้องครองผ้าจีวรขาดนั้นไป จนกว่าจะเดินทางไปพบหมู่บ้าน ท่านก็จะนำผ้าที่ชาวบ้านถวายให้มา ต่อกับจีวรผืนเก่าที่เหลืออยู่นั้น ในบางครั้งท่านจะนำผ้าบังสุกุล ที่พบในระหว่างทางมาเย็บต่อจีวร ที่ขาดอยู่นั้น ตามแบบอย่างที่ครูบาอาจารย์ในยุคก่อน ๆ ปฏิบัติสืบต่อกันมา ตั้งแต่ครั้งสมัยพุทธกาล

    หลวงพ่อ เป็นพระสงฆ์ผู้ถ่อมตน และไม่เคยโอ้อวดเป็นนิสัย
    เมื่อมีผู้สงสัย ว่า ท่านคงเข้าสมาธิจนสูงถึงขึ้นจิต ไม่จับกับ กาย เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แล้ว จึงไม่รู้ว่าไฟไหม้

    ตัวท่านมักตอบเลี่ยงไป ด้วยใบหน้าเมตตา ว่า

    "คงจะอากาศหนาวมาก หลวงพ่อ จึงไม่รู้ว่าไฟไหม้จีวร"

    ...............................................................................................
     
  17. hero_ultra

    hero_ultra เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    64
    ค่าพลัง:
    +1,089
    ครูบาก้อน ปัจจุบันย้ายจากวัดสวนดอก ไปอยู่ที่จังหวัดลำปาง (ครูบาก้อน นี้ เป็นผู้นำเถ้าอังคาร ของครูบาศรีวิชัย มาทำพระเครื่องรูปเหมือนครูบาศรีวิชัย ซึ่งปัจจุบันพระเครื่องชุดนี้ ได้รับความนิยม จากคนทั่วไป)

    ------------------------

    ยังมี หมู่คณะ ลูกศิษย์ ครูบา ศรีวิชัย อีกหลายตน ที่โดน ภัยจากผู้มีอำนาจ หลวงพ่อหลวงปู่ เหล่านี้ ผมมีข้อสังเกตุ ส่วนตัว ว่า เป็นพระอภิญญา ที่ ซ่อนกาย ตามที่ต่างๆ มีโอกาส จะ เอาประวัติท่าน ที่ ได้รวบรวมมา เขียนเล่าให้ฟัง แปลก และน่าสนใจดี
     
  18. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    ครูบาศรีวิชัย มรณภาพ

    เมื่อท่านได้ ๒๘ ปี
    ขณะนั้นท่านได้จาริกธุดงค์ สั่งสอน ชาวป่าชาวเขาดอยต่าง ๆ ท่านได้ทราบข่าวการมรณภาพของครูบาศรีวิชัย จึงได้เดินทางลงจากเขาเพื่อไปนมัสการพระศพ และช่วยจัดทำพิธีศพของครูบาศรีวิชัย ร่วมกับครูบาขาวปี และคณะศิษย์ของครูบาศรี ที่วัดบ้านปาง

    เมื่อเสร็จจากพิธีบรรจุศพครูบาศรีวิชัยแล้ว

    กรมทาง ได้นิมนต์ให้ท่านไปช่วยสร้างเส้นทางบ้านห้วยกาน - บ้านห้วยหละ
    ซึ่งในตอนนั้นท่านก็ยังห่มผ้าสีขาวอยู่ เมื่อการสร้างทางได้สำเร็จลงแล้ว ชาวบ้านห้วยหละ จึงได้มานิมนต์ท่านไปจำพรรษา และอบรมสั่งสอนพุทธบริษัทที่สำนักสงฆ์ห้วยหละ อำเภอบ้านโฮ่ง จังหวัดลำพูน

    ...............................................................................................
     
  19. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    ห่มเหลือง อีกครั้งหนึ่ง

    ขณะนั้น หลวงพ่ออายุได้ ๒๘ ปี ครูบายศ
    (ซึ่งเป็นศิษย์คนหนึ่งของครูบาศรีวิชัย และเป็นเพื่อนสงฆ์กลุ่มเดียวกับหลวงพ่อ, ครูบาขาวปี วัดผาหนาม จังหวัดลำพูน, ครูบาบุญทืม วัดจามเทวี จังหวัดลำพูน, ครูบาศรีนวล วัดเจริญเมือง จังหวัดเชียงราย, ครูบาก้อน จังหวัดลำปาง ฯลฯ เป็นต้น)

    และชาวบ้านป่าพลู ได้มานิมนต์ให้ท่านไปอยู่ช่วยบูรณะ วัดป่าพลู

    และในปีนี้ท่านได้มีโอกาสห่มเหลืองเช่นพระสงฆ์ทั่วไปอีกครั้งหนึ่ง
    โดยมีครูบาบุญมา วัดบ้านโฮ่ง เป็นพระอุปัชฌาย์
    และได้รับฉายาใหม่ว่า "จันทวังโส"
    (ในคราวนี้ หลวงปู่แก้วอุบาลี วัดห้วยแทง จังหวัดลำพูน เป็นพระสงฆ์ ที่อยู่ในพิธีด้วยองค์หนึ่ง)

    ในการห่มเหลืองในครั้งนี้ คณะสงฆ์ได้ออกญัตติ ให้ท่านต้องจำพรรษาที่วัดป่าพลู เป็นเวลา ๕ พรรษา เมื่อออกพรรษาในแต่ละปี ท่านจะเดินทางไปธุดงค์ และจาริกสั่งสอนธรรมะให้กับชาวป่าชาวเขาในที่ต่าง ๆ เสมอ เหมือนที่ท่านเคยปฏิบัติมาในอดีต

    และบ่อยครั้งท่านจะไปช่วยครูบาขาวปี บูรณะวัดพระพุทธบาทตะเมาะ อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่

    ...............................................................................................
     
  20. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    ตรงตาม คำทำนาย

    เมื่อท่านอยู่วัดป่าพลูครบ ๕ พรรษา ตามบัญญัติของสงฆ์แล้ว
    ในขณะนั้นท่านมีอายุได้ ๓๔ ปี นายอำเภอลี้ และคณะสงฆ์ในอำเภอลี้
    ได้ให้ศรัทธาญาติโยมวัดนาเลี่ยงมานิมนต์ ครูบาขาวปี หรือท่านองค์ใด องค์หนึ่ง
    เพื่อไปอยู่เมตตาบูรณะ วัดพระพุทธบาทห้วยข้าวต้ม

    แต่ครูบาขาวปี ไม่ยอมไป และบอกว่า

    "ไม่ใช่หนึ่งที่ ของกู"

    ครูบาศรีวิชัย เคยพูดไว้ ว่า

    "วัดพระพุทธบาทห้วยข้าวต้มนั้น มันเป็นหน้าที่ของครูบาวงศ์องค์เดียว"

    ด้วยเหตุนี้ ครูบาขาวปี จึงขอให้ท่านไปอยู่โปรดเมตตาสร้างวัด พระพุทธบาทห้วยข้าวต้ม ซึ่งต่อมาในภายหลังจากที่ท่านได้ไปอยู่ที่วัดพระพุทธบาทห้วยข้าวต้มแล้ว ท่านได้เปลี่ยนชื่อให้สั้นลง เป็น "วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม"

    ในขณะที่ท่านอยู่ที่เมืองตื๋น นั้น ชาวบ้านและชาวเขาต่างเรียกท่านว่า "น้อย" เมื่อท่านมาอยู่ที่วัดพระบาทห้วย (ข้าว) ต้ม ชาวบ้านทั้งหลายจึงเชื่อกันว่า ท่านคงเป็น "พระน้อยเมืองตื๋น" ตาม คำโบราณที่ได้จารึกไว้ ณ วัดพระพุทธบาทห้วย (ข้าว) ต้ม

    และ เหตุการณ์นี้ ก็ตรงตามคำพูดของ ครูบาชัยลังก๋า และครูบาศรีวิชัย

    ดังที่กล่าวมาข้างต้น เมื่อท่านย้ายมาประจำที่วัดพระพุทธบาทห้วย (ข้าว) ต้ม
    และท่านก็ยังออกจาริกไปสั่งสอนธรรมะแก่ชาวบ้านและชาวเขาในที่ต่างๆ อยู่เสมอ ๆ เหมือนที่ท่านเคยปฏิบัติมา

    ผู้เฒ่าผู้รู้เหตุการณ์
    ในระยะแรกที่หลวงพ่อมาที่วัดพระพุทธบาทห้วย (ข้าว) ต้ม ผู้เฒ่าคนหนึ่งในหมู่บ้านนาเลี่ยงได้พูดกับชาวบ้านในละแวกนั้นว่า

    "ต่อไปบริเวณเด่นยางมูล (คือหมู่บ้านห้วยต้มในปัจจุบัน) จะมีชาวกะเหรี่ยงอพยพติดตามครูบาวงศ์มาอยู่ที่นี่จนเป็นหมู่บ้านใหญ่ในอนาคต ในครั้งนี้จะใหญ่กว่าหมู่บ้านกะเหรี่ยง ๔ ยุคที่เคยอพยพมาอยู่ที่นี่ในสมัยก่อนหน้านี้"

    คำพูดอันนี้ ในสมัยนั้นชาวบ้านนาเลี่ยงฟังแล้ว ไม่ค่อยเชื่อถือกันนัก
    แต่ในเวลาต่อมาไม่นาน คำพูดอันนี้ ก็เป็นความจริงทุกประการ หลวงพ่อได้เล่าให้คณะศิษย์ฟังเพิ่มเติม ว่า คนเฒ่าผู้นี้เ ป็นผู้รู้เหตุการณ์ในอนาคต และมักจะพูดได้ถูกต้องเสมอ

    มีอยู่ครั้งหนึ่ง หลังจากที่ท่านได้สร้างวิหารที่วัดพระพุทธบาทห้วย (ข้าว) ต้ม เป็น รูปร่างขึ้นแล้ว

    ผู้เฒ่า คนนี้ในสมัยก่อนเคยเห็นคำทำนายโบราณของวัดพระพุทธบาทห้วย (ข้าว) ต้ม มาก่อน ได้มาพูดกับท่าน ว่า

    "ท่านครูบา จะสร้างให้ใหญ่เท่าไหร่ ก็สร้างได้
    แต่จะสร้างใหญ่จริงอย่างไร ก็ไม่สำเร็จ ต่อไปจะมีคน ๆ หนึ่งมาช่วย

    ถ้า คนนี้ มาแล้ว จะสำเร็จได้"

    ...............................................................................................
     

แชร์หน้านี้

Loading...