หลงทาง

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย raming2555, 3 พฤษภาคม 2013.

  1. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,731
    สาธุ กราบพ่อแม่ครูบาอาจารย์ค่ะ
    เคยไปกราบและฟังธรรมจากพระเดชพระคุณหลวงปู่
    มหัศจรรย์จริง เราถามอะไรไว้ในใจ ท่านตอบคำถามเหล่านั้นจนหมด
     
  2. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,998
    มีอยู่เรื่องหนึ่ง ที่ผมเห็นว่าจะมี และจะเกิดขึ้น เสมอๆนั้น สำหรับทั้งผู้ศึกษาและผู้แนะนำการเจริญภาวนานั้น คือ

    การที่ผู้ฝึก ผู้ปฏิบัติ เมื่อมีความก้าวหน้าในการเจริญกรรมฐานแล้ว ในระดับหนึ่ง จะเกิดอาการหลงว่า ตนเองนี้รู้แล้ว พอเข้าใจแล้ว และต่อมาก็เริ่มเห็นว่า ครูผู้สอนและแนะนำในการเจริญภาวนานี้ ไม่มีอะไรแล้ว ไม่เห็นจะรู้อะไรสักเท่าไรเลย เราก็รู้เหมือนกัน จนกระทั่งมีจริยากระด้าง กระเดื่อง ไม่เคารพเชื่อฟังบ้าง ไม่เห็นคุณค่าของผู้แนะนำสั่งสอนมาบ้าง บางครั้งก็รู้สึกไม่พอใจกับคำแนะนำของผู้สอนบ้าง

    อาการเหล่านี้ จะมีเกิดขึ้นกับนักปฏิบัติทั้งหลาย เป็นเรื่องปกติครับ แม้แต่ครูผู้สอนทั้งหลายต่างก็เคยผ่าน อารมณ์เช่นนี้มาก่อนแล้วทั้งสิ้น ดังนั้นแล้ว ท่านผู้ที่มีหน้าที่แนะนำสั่งสอนการเจริญภาวนาทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นพระภิกษุสงฆ์ก็ดี ฆารวาสก็ตาม ท่านทั้งหลายเหล่านี้ ท่านไม่ถือสา...
    ส่วนนักปฏิบัติทั้งหลาย ก็พึงหมั่นตามดูจิตดูใจของตนเอง สอดส่องหาสิ่งชั่วในดวงใจ เพราะจริยาที่แท้จริงของนักปฏิบัติทั้งหลาย จะเป็นไปด้วยความอ่อนน้อม แต่ไม่อ่อนแอ ถ่อมตน แต่ไม่ดูถูกดูแคลนตน มีพื้นฐานของจิตใจที่เข้มแข็ง แต่ไม่แข็งกระด้าง

    เมื่อเห็นกริยาของจิตเกิดขึ้นเช่นนั้นแล้ว พึงสวดมนต์ ไหว้พระ กราบพระ บ่อยๆ เพื่อระงับอารมณ์ยโส หยิ่งผยอง หลงทางนี้ ให้สงบระงับลง และค่อยบรรเทาเบาบางลง มีจิตคิดไว้เสมอว่า เรายังเป็นนักปฏิบัติผู้ใหม่อยู่ แม้เวลาล่วงเลยไป 30-50 ปี ก็ยังรู้สึกเหมือนเรายังเป็นผู้ฝึกใหม่ดั่งวันแรก เมื่อนั้นแล้วก็จะมุ่งมั่น ทำความเพียรไป ไม่ลดละลงได้เลย จำจะต้องเร่งรัดความเพียร ตลอดวัน ตลอดเวลา จนกว่าจะถึงลมหายใจสุดท้าย ระลึกไว้ได้เช่นนี้แล้ว การหลงทาง แม้ยังคงมีอยู่ ก็ไม่มากนัก และพอจะมีหนทางปรับปรุงแก้ไขจิตของตนเองได้ง่าย....เพราะในท้ายที่สุดแล้ว ผู้ที่แก้ไขอารมณ์ให้เราได้ดีที่สุด ยังคงเป็นตัวของเราเอง...สวัสดี...
     
  3. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,998
    เรื่อง เตือนใจนักภาวนา อย่าได้หลงใน ญาณ นิมิต และ ฤทธิ์เดชทิพยอำนาจ
    "สมาธิไม่ใช่ความบริสุทธิ์" สมาธิมันก็สามารถเสื่อมได้ แต่สิ่งเหล่านี้เป็นทางเดินไปเพื่อความหลุดพ้น ใครจะเดินไปก็ต้องผ่านทางนี้ แต่จะติดจะหลงหรือไม่เท่านั้น ถ้าผู้มีวินิจฉัยธรรมใคร่ครวญพินิจพิจารณามี "สติรอบด้าน" มี "ปัญญารอบด้าน" ก็จะไม่ติดสิ่งเหล่านี้
    ผู้มาก่อนหลงทาง ขณะผู้มาหลังผ่านพ้นไปได้
    (เรื่องเล่า ประวัติหลวงพ่อพุธ ฐานิโย)
    (โดย ภัทระ คำพิทักษ์)
    ปี 2487 เกิดสงครามเอเชียมหาบูรพา พระพุธจึงกลับอีสาน 2 ปีจากนั้นก็อาพาธรักษาตัวไม่หาย จนปี 2490 จึงได้กลับไปอยู่กับเจ้าคุณเส็งที่เขาสวนกวาง จ.ขอนแก่น ณ ที่นี่เองที่เจ้าคุณเส็งได้เล็งเห็นด้วยญาณแล้วบอกกับศิษย์รูปนี้ว่า "คุณอย่าประมาท รีบเร่งปฏิบัติเข้าให้มันได้ภูมิจิตภูมิใจ อนาคตคุณจะไปนั่งเทศน์ในพระบรมมหาราชวัง”
    เจ้าคุณเส็งสอนอะไรหลายอย่าง แก่ท่าน เช่น สอนมโนมยิทธิ ให้ไปนั่งดูนรก สวรรค์ ฯลฯ แต่หลวงพ่อพุธท่านว่า การปฏิบัติสมาธิ ปฏิบัติธรรมที่เป็นไปเพื่อพอกพูนกิเลส เป็นไปเพื่ออิทธิฤทธิ์นั้นเป็นมิจฉาสมาธิ ไม่ใช่สัมมาสมาธิตามหลักของพุทธศาสนา สัมมาสมาธินั้นจิตประชุมพร้อมลงสู่อริยมรรคแล้ว จิตจะดำเนินไปเพื่อความหมดกิเลสเท่านั้นไม่ได้พอกพูนกิเลส
    ทางแยกเช่นว่านี้ทำให้วิถีแห่งจิตและวิถีแห่งชีวิตของเจ้าคุณเส็งและหลวงพ่อพุธหรือเจ้าคุณชินวงศาจารย์ในกาลต่อมาแยกออกจากกัน
    ร่องรอยเช่นนั้นปรากฏมาตั้งแต่ปี 2490 แล้ว
    หลวง พ่อพุธ เล่าว่า วันหนึ่งในปีนั้น เจ้าคุณเส็งสั่งให้ท่านเอาของไปเซ่นศาลเจ้าปู่ผึ้ง เจ้าปู่ที่ว่านี้คือ ผีที่มาสิงคนที่นั่งสมาธิไปดูนรกสวรรค์แล้วบอกว่าอยากมาอยู่ใกล้ๆ เจ้าคุณเส็งเลยไปสร้างลูกศาลให้ ผีเจ้าปู่ก็สั่งว่าให้หลานผู้นี้คือ หลวงพ่อพุธเอาโอวัลติน ขนมปัง หมาก บุหรี่ไปส่งทุกวัน เจ้าคุณเส็งก็บัญชาให้ท่านทำตามนั้น เมื่อทำหลายวันเข้า หลวงพ่อพุธก็ว่า เอาไปวางไว้มดมันขึ้นเสียเปล่าๆ วันสุดท้ายท่านก็ว่า เห็นแต่มดมันกิน สู้เรากินมิได้กว่ารึ ว่าแล้วท่านจัดการเสียเรียบวุธ จากนั้นเก็บใบไม้ หญ้าแห้งเอาน้ำมันเบนซินมาราด แล้วจุดบุหรี่ไปวางไว้เหนือลม พอลมกระพือมา ไฟติดพรึ่บ ศาลวอดไม่เหลือ
    พอเจ้าคุณเส็งสั่งให้เอาเครื่องไว้ไปไหว้ศาล อีกในวันต่อมา หลวงพ่อพุธก็เรียนท่านว่า “หลวงปู่ท่านนิพพานไปแล้ว ผมฌาปนกิจ ถวายพระเพลิงท่านตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้ว”
    ข้างพระอาจารย์ฟังแล้วได้แต่อึ้ง พอฉันจังหันเสร็จก็เดินไป พอได้เห็นกับตาถึงกับอุทานว่า “เฮ้ย มึงไปเผาบ้านเจ้าปู่วอดวายหม๊ด” จุด เริ่มที่ทำให้ท่านทั้งสองมาพบกันคือ เส้นทางธรรม ผู้มาก่อนพร่ำสอนให้ผู้ตามหลังได้รู้จักธรรมะ ผู้อยู่หลังสำนึกในบุญคุณนี้ไม่รู้วาย
    หลวงพ่อพุธเองพูดอยู่บ่อยครั้งว่า “พระคุณของท่านเจ้าคุณพระอริยคุณาธารนี้ เลิศล้ำภายในจิตใจของอาตมาเสมอ เพราะท่านเป็นพระองค์แรกที่พาให้รู้จักทางธรรม ซึ่งเป็นทางที่สงบระงับ และเป็นทางเดินของจิตจริงๆ”
    แต่ก็น่าเศร้าที่เมื่อมาถึงทางแยกต่างก็ต้องจากกัน เพราะพลัดพรากกันในทางธรรม
    ผู้เป็นอาจารย์เจริญในธรรมมามากก็จริง เจริญในลาภได้เป็นถึงเจ้าคุณ มีสมณศักดิ์เป็นพระอริยคุณาธารก็จริง แต่สุดท้ายท่านก็ต้องสึกออกไป การสึกหาลาเพศของเจ้าคุณเส็งเป็นเรื่องใหญ่ราวแผ่นดินไหวในวงกัมมัฏฐาน เพราะเป็นพระผู้ใหญ่ของฝ่ายกัมมัฏฐาน เป็นศิษย์หลวงปู่มั่นซึ่งลือลั่นว่า สำเร็จมรรคผลนิพพาน
    สาเหตุที่ทำให้ท่านมาถึงทางแยกนี้อาจจะพิจารณาได้จาก คำบอกเล่าของหลวงพ่อพุธ ถึงแนวทางการปฏิบัติของเจ้าคุณพระอาจารย์ว่า “จริตนิสัยท่านไปในทางทิพย์อำนาจ ท่านติดฤทธิ์เดช ติดนิมิต เอานิมิตมาเป็นเรื่องจริง จิตท่านแปลกมาก สามารถรับรู้อะไรๆ ที่คนอื่นไม่รู้ และท่านก็ชอบเล่าเรื่องอดีตชาติ เรื่องเทวบุตร เทวดา...”
    ผู้เป็นพระอาจารย์หลงขนาดไหน หลวงพ่อพุธได้เล่าไว้เป็นอุทาหรณ์ว่า “ท่านไปติดในเรื่องการระลึกชาติ ท่านไปติดว่าท่านเป็นเจ้า ทีนี้ความรู้อดีตกับปัจจุบันมันตัดกันไม่ขาด มันก็เลยสัมพันธ์เป็นอันเดียวกัน ท่านบอกว่าแม่ของท่านทุกวันนี้ไม่ใช่แม่ เขามาฝากเลี้ยงไว้เฉยๆ เราก็สงสัย พอแม่ท่านมาก็ถาม “ท่านเจ้าคุณฯ ท่านว่าไม่ใช่แม่ใช่มั้ย เขาเอามาฝากเลี้ยงไว้” แม่ท่านก็บอกว่า “ออกมาจากท้องแม่นี่แหละ” หลวงพ่อไม่ไปอยู่ใกล้ๆ ท่าน เวลาท่านพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องอดีตที่เราไม่รู้ไม่เห็นด้วย ตอนนั้นอยู่วัดเขาสวนกวางพรรษาเดียว ที่ไม่อยากอยู่นั่นก็เพราะท่านชอบพูดเรื่องลึกลับที่ชาวบ้านไม่เห็น แล้วเราก็ไม่อยากให้ท่านพูด ทิฏฐิมันขัดกัน”
    ถึงกระนั้นหลวงพ่อพุธก็ยืนยันว่า “ท่านก็ให้วิชาความรู้เกี่ยวกับการปฏิบัติเยอะแยะ ถ้าพูดถึงว่าธัมมะธัมโมของท่านนี่ละเอียดสุขุมมาก”
    ความรู้ที่เจ้าคุณเส็งรู้ก็ใช่ว่า ไม่ใช่เพ้อหรือเรื่องประสาทๆ หากแต่เป็นทางผ่านซึ่งต้องพ้นด้วยกำลังสติปัญญาอันบริสุทธิ์
    “เรื่อง รู้วาระจิต ท่านรู้จริงๆ อันนี้มันไม่ใช่ความบริสุทธิ์ มันเสื่อมได้ เพราะมันเป็นส่วนเกินอันหนึ่งในการภาวนาเท่านั้น พอท่านไปสนใจกับมันมากๆ ก็ทำให้หลงได้เหมือนกัน เหมือนกันกับสมาธิ สมาธิไม่ใช่ความบริสุทธิ์ สมาธิมันก็สามารถเสื่อมได้ แต่สิ่งเหล่านี้เป็นทางเดินไปเพื่อความหลุดพ้น ใครจะเดินไปก็ต้องผ่านทางนี้ แต่จะติดจะหลงหรือไม่เท่านั้น ถ้าผู้มีวินิจฉัยธรรมใคร่ครวญพินิจพิจารณามีสติรอบด้าน มีปัญญารอบด้านก็จะไม่ติดสิ่งเหล่านี้...”
    ผู้มาก่อนหลงทาง ขณะผู้มาหลังผ่านพ้นไปได้
    เมื่อ ท่านเจ้าเส็งสึกแล้วก็พำนักที่เขาสวนกลาง และยังถือศีลภาวนาต่อไป เมื่อเจ็บไข้ได้ป่วย หลวงพ่อพุธก็จะคอยเฝ้าดูแลไม่ทอดทิ้ง แต่การดูแลรักษาก็เป็นไปในลักษณะเดียวนั่นคือ พอเอาตัวมารักษาดีขึ้นแล้ว หลานของท่านก็จะมารับไปรักษากับหมอจีนแล้วอาการก็ทรุดลงอีก หลวงพ่อพุธก็รับมารักษาอีก แล้วหลานก็มารับไปรักษาอีก แล้วก็ทรุดลงอีก ครั้งสุดท้ายที่เข้าโรงพยาบาล แพทย์ก็สั่งไม่ให้ออกโรงพยาบาลอีกแล้ว
    “ครั้ง สุดท้ายก็เลยตายในโรงพยาบาล ท่านป่วยเชิงๆ จะเป็นอัมพาต ไปเยี่ยมทีไรร้องไห้ทุกที ถามว่า ‘ร้องไห้ทำไม’ ท่านบอกว่า ‘อายท่านเจ้าคุณฯ’ เราก็นึกถึงคำพูดของท่านสมัยที่ท่านเอาเรามาทิ้งไว้ที่วัดบูรพาฯ ก่อนที่ท่านจะจากไป ท่านบอกว่า ‘ถ้าตัวเป็นคนดีเขาจะทิ้งหรือ’ ไหนว่าจะฝากไว้เรียนหนังสือหนังหา ที่แท้ก็ทิ้งกัน ทิ้งก็ทิ้ง เราก็ตั้งใจอยากอยู่อยู่แล้ว เราก็เลยมาคิดว่าท่านคงคิดถึงคำพูดของท่านเองสมัยที่ท่านทิ้งเราไว้ที่วัด บูรพาราม...”
    เมื่อเจ้าคุณเส็งซึ่งสึกไปเป็นฤาษีถือศีลสิ้นชีวิต ศิษย์กตัญญูผู้นี้ได้ฌาปนกิจศพ และก่อเจดีย์บรรจุอัฐิธาตุไว้ที่เขาสวนกวาง ชีวิตของพระพระอริยคุณาธาร (ปุสโส เส็ง) เป็นชีวิตพิสดาร แต่ก็เป็นคติธรรมให้กับเราๆ ท่านๆ ได้เป็นอย่างดี ชาตินี้ศิษย์กับอาจารย์ต้องจากกันที่ทางแยก แต่สักวันหนึ่งด้วยบุญกุศลที่สั่งสมมาในอดีตชาติ ก็คงมีสักวันที่ท่านจะบรรลุซึ่งฝั่งฝัน
     
  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,346
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
     
  5. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,346
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    กําลังหา"ปฏิจจสมุปบาท"ค่ะ เลยนึกถึงท่านอ ระมิงค์ ได้โปรดอธิบายด้วยค่ะcatt1 ขอบพระคุณค่ะ
     
  6. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,346
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    ไม่เป็นไรค่ะท่าน อ เดี๋ยวจะเป็นลมไปอีก
    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 ตุลาคม 2016
  7. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,998
    http://dangatorn.com/dbkm/80.pdf

    เอาลิงค์มาแปะให้แม่ต้อยอ่านอีกทีครับ อ่านจบแล้วจะได้งง...
    อ่านเอาพอรู้ได้ครับ แต่อย่างที่แม่ต้อยเอารูปไดอะแกรมมาแปะนั้น จะชวนให้คนดูพากันงง หลงกันไปคนละทิศละทาง...

    เวลาฝึกกันจริงๆ ตอนนั้นไม่มีคำเหล่านี้ปรากฎในจิตหรอกครับ ถ้ายังมีคำเหล่านี้ปรากฎในจิต เวลานั้น สภาวะธรรมที่แท้จริงจะไม่เกิด เพราะติดตัวยึดนี่เอง ตัวสมมติที่เรายึดเอาไว้ จะโดยรู้ตัวว่ายึด หรือไม่รู้ตัวว่ายึดอยู่ก็ตาม...สภาวะธรรมจะไม่เกิดขึ้นได้ครับ...

    สภาวะธรรมที่เกิดนี้ ไม่มีภาษาสมมติ คอยกำกับ แต่เราจะรู้ได้ด้วยธาตุรู้คือมหาสติ คอยคุมอยู่ และหนุนด้วยสมาธิเป็นฐาน และการเห็นโดยละเอียดได้นั้น ต้องเป็นผู้รู้แจ้ง เห็นจริง โดยเฉพาะในเรื่องนั้นๆ ก็ไม่ใช่ว่าพระอรหันต์สาวกทุกรูปจะเห็นสิ่งเหล่านี้เหมือนกันหมด ตามลำดับทั้งหมด ด้วยเพราะวาสนาที่ทำมาของแต่ละท่านนั้นแตกต่างกัน...

    ประเด็นหลักที่จะต้องเห็นเหมือนกันหมด เป็นสภาวะธรรมอันเดียวกันหมด คือความรู้สึกที่ชัดแจ้งในจิตว่า ร่างกายนี้ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา การเกิดจะไม่มีต่อผู้ไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใดๆอีกต่อไป ภพชาติใดๆไม่ใช่ที่ให้เรายินดีอีกต่อไป จิตที่รวมวูบลงไปแล้วกระจ่างแจ้งจะเป็นเรื่องนี้เหมือนกันหมด จากนั้นแล้ว ผู้ใดจะอนุโลม ปฏิโลม คือพิจารณาย้อนไปย้อนกลับ หรือ โยนิสโสฯ คือพิจารณาโดยแยบคาย ด้วยปัญญาของแต่ละท่านก็จะเห็นสภาวะความเกี่ยวเนื่องของ อวิชชา ตัณหา สัญญา สังขาร อุปทาน เวทนา รูปนาม เกิดดับ ภพ ชาติ บุญ บาป นรก สวรรค์ ...ต่างๆเหล่านี้ ก็เป็นเพียงเพื่อประดับความรู้ในภายหลังจากที่แจ้งแล้วในเหตุของการดับ...

    นี่สาธยายมาแบบนี้อย่าเหมาว่าผมบรรลุแล้วนะครับ...ผมไม่ได้บรรลุอะไรนะครับ ผมเพียงเป็นนักปฏิบัติที่ทำตามครูบาอาจารย์สอน ทำผิดๆถูกๆ แต่ก็ตั้งใจจะทำไปจนวันตาย ยังไม่มีอะไรดีนะครับ จะยึดถือเอาที่ผมอธิบายไว้ยังไม่ได้ ทุกท่านต้องฝึกเอาเอง ทำเอาเอง เย็นร้อนอ่อนแข็ง ท่านสัมผัสกันเองจะรู้แจ้งด้วยตัวเอง อย่ามาเชื่อผมนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 มีนาคม 2015
  8. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,346
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    *************************************
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 ตุลาคม 2016
  9. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,346
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    *********************************
    :cool:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 มิถุนายน 2016
  10. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,346
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    เมื่อวานฟังพระเทศน์ท่านบอกว่า โมหะนี่ร้ายกว่าราคะและโทสะ เลยงงๆ อีกแล้ว ท่าน อ ระมิงค์กรุณายกตัวอย่างให้จะจะได้ไหมคะ ขอบพระคุณค่ะ
     
  11. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,998

    พี่ต้อยต้องฝึก เจริญสติ ให้ต่อเนื่องครับ ความสงสัยจะสิ้นไปได้จริงๆ...
    ว่ากันตามที่ผมฝึกมา อันนี้ไม่ได้อิงตำรา อ่านแล้วก็ขออย่าได้ถือสากันนะครับ

    ก่อนโมหะจะเกิด จะเกิดอุปทานก่อน อุปทานจะเข้าไปยึดมั่นถือมั่นว่านี่เรา นี่ของๆเรา นี่ตัวนี่ตนของเรา ที่ว่าอุปทานเกิดก่อนนี่เวลาเกิดอุปทานขึ้นมาโมหะคือความหลงเกิดขึ้นมาเกือบจะพร้อมๆกัน เมื่อโมหะคือความหลงผิด ว่านี่กายของเรา นี่ทรัพย์ก็ทรัพย์ของเรา ชื่อก็ชื่อของเรา ทั้งรูป ทั้งนาม มันคือตัวคือตนของเรา...

    พอใครมาด่า นี่ด่าเรา เราจึงโกรธ ใครมาใส่ร้าย นี่ใส่ร้ายเรา เราจึงโกรธ แม่ต้อยจะเห็นว่า โทสะนี่ออกไปจากตัวโมหะอีกทีหนึ่ง เพราะโมหะไปหลงว่านี่เป็นตัวเป็นตนของเรา ถ้าไม่หลงว่านี่คือตัวเรา จะว่านี่คือธาตุ4ขันธุ์5มาประชุมเข้าด้วยกัน ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตนของเรา เมื่อเป็นแบบนี้แล้ว ก็ไม่โกรธ คือถ้าไม่หลงว่านี่เป็นตัวเป็นตนของเรา ความโกรธหรือโทสะ จะไม่เกิด

    เช่นเวลาคนอื่นเขาโดนด่า เขาโดนใส่ร้าย มันไม่ใช่ตัวเรา เราก็ไม่โกรธ จะว่าโมหะร้ายกว่าได้ไหม ผมว่ามันก็ไม่เชิงนะครับ เพราะจะว่าไป โมหะเป็นต้นกำเนิดให้เกิดโทสะ โลภะ ราคะ นี่เพราะความหลงผิดว่านี่ร่างกายนี้เป็นของเรา คือสักกายะฑิฐิ นี่มาจากตัวโมหะ เพียงแต่ใครจะแสดงอาการของโทสะ หรือโลภะ หรือราคะ ส่วนไหนมากกว่ากัน คือทุกคนมีครบทุกอย่าง แต่ว่าส่วนไหนมากกว่ากัน พระท่านก็ให้กำจัดที่ส่วนนั้นก่อน คือมันเห็นชัด มันตัวใหญ่หาเจอง่ายกว่า มันบีบคั้นเราบ่อยกว่าหนักกว่า ท่านจึงให้ทำลายตัวที่ปรากฎชัดลงก่อน...

    โทสะ โลภะ ราคะ มีออกไปจากโมหะ เพราะยึดว่านี่คือเรา เป็นเรา เป็นของเรา พอเกิดขึ้นกับตัวเราแล้ว จึงมีอาการโทสะบ้าง โลภะบ้าง หรือราคะบ้าง อันนี้แก้ไขได้ยากก็จริงอยู่ แต่ก็มีอีกส่วนหนึ่งที่เกิดจากโมหะเช่นกัน มองเห็นได้ยาก และแก้ก็ยากด้วยเช่นกัน

    เช่นนาย เอ โดนใส่ร้าย แล้วแกล้งด่าว่า ให้ร้าย แม่ต้อยเห็นอยู่ ก็ไม่ได้โกรธอะไร เพราะไม่ได้รู้จักสนิทสนมกับนาย เอ โทสะแม่ต้อยจึงไม่เกิด แต่ว่าโมหะเกิดอยู่ครับ โมหะคือความหลงตัวนี้ นอกจากหลงว่านี่คือเรา ของๆเรา ว่าตัวว่าตนของเราแล้ว มันยังหลงในอีกด้านหนึ่งว่า นั่นตัวเขา นั่นของๆเขา นั่นตัวนั่นตนของเขา ดังนั้นจากที่ถือโกรธ ก็เปลี่ยนไปเป็นไม่ถือโกรธ ตัวนี้ก็ผิดนะครับ มันเหมือนคนที่ยึดปลายไม้คนละด้าน แต่มันก็ยึดไม้คือโมหะนี้ไว้อยู่ดีนี่เอง

    สู้กับกิเลสมันยากแบบนี้ครับ ไว้ใจอะไรไม่ได้เลย มันไม่มีอะไรแน่สักอย่างเดียว นึกๆครึ้มๆว่าจะชนะอยู่ลอมมะล่อแล้ว โดนเตะปลายคางน็อคซะงั้นก็บ่อยๆไป จนทุกวันนี้ ผมยังไม่เคยไว้ใจ ใจตัวเองเลยครับ ผมไม่เคยเชื่อใจตัวเอง ผมคิดเสมอว่าถ้ากิเลสมันรบชนะกันได้ง่ายๆ คงไม่มีคนและสัตว์ทั้งหลายมาเกิดในสามโลกนี้อย่างมากมายมหาศาลหรอกครับ...

    ผมไม่รู้ว่าภาษาบาลีเรียกว่าอะไร แต่ที่ผมเห็น มันเหมือนกิเลสมันซ้อนกิเลสอยู่ จะเรียกว่าอนุสัย หรือเปล่า อันนี้ไม่ทราบเหมือนกันครับ ผมก็เพียรดูแต่ในกายในจิตนี้เอง ยังไม่ได้ไปอ่านพระไตรปิฎกสักทีเหมือนกันครับ...
     
  12. dogbert

    dogbert เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +125
    ขอบคุณครับ กำลังข้องใจ เรื่องโมหะ กับโทสะพอดี
     
  13. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,346
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    [​IMG]. .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 เมษายน 2015
  14. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,346
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    ตถาคตเป็นเพียงผู้บอก จะถึงที่หมายต้องเดินเอาเอง

    “ก็สาวกของพระโคดมผู้เจริญ เมื่อพระโคดมกล่าวสอน พร่ำสอนอยู่อย่างนี้ ทุก ๆ รูปได้บรรลุนิพพานอันเป็นผลสำเร็จถึงที่สุดอย่างยิ่งหรือ ? หรือว่าไม่ได้บรรลุ ?” พราหมณ์ผู้หนึ่งทูลถาม
    พระผู้มีพระภาค.
    พราหมณ์ ! สาวกของเรา แม้เรากล่าวสอน
    พร่ำสอนอยู่อย่างนี้ น้อยพวกที่ได้บรรลุนิพพาน อันเป็น
    ผลสำเร็จถึงที่สุดอย่างยิ่ง, บางพวกไม่ได้บรรลุ.

    “พระโคดมผู้เจริญ ! อะไรเล่าเป็นเหตุ อะไรเล่าเป็นปัจจัย, ที่พระนิพพานก็ยังตั้งอยู่, หนทางที่ยังสัตว์ให้ถึงนิพพาน ก็ยังตั้งอยู่. พระโคดมผู้ชักชวน (เพื่อดำเนินไป) ก็ยังตั้งอยู่, ทำไมน้อยพวกที่บรรลุ และบางพวกไม่บรรลุ ?”

    พราหมณ์ ! เราจักย้อนถามท่านในเรื่องนี้,ท่านจงตอบตามควร. ท่านเป็นผู้ช่ำชองในหนทางไปสู่เมืองราชคฤห์มิใช่หรือ ? มีบุรษผู้จะไปเมืองราชคฤห์ เข้ามาหาและกล่าวกับท่านว่า “ท่านผู้เจริญ ! ข้าพเจ้าปรารถนาจะไปเมืองราชคฤห์ ขอท่านจงชี้บอกทางไปเมืองราชคฤห์แก่ข้าพเจ้าเถิด” ดังนี้; ท่านก็จะกล่าวกะบุรุษผู้นั้นว่า
    “มาซิท่าน ทางนี้ไปเมืองราชคฤห์ ไปได้ครู่หนึ่งจักพบบ้านชื่อโน้น แล้วจักเห็นนิคมชื่อโน้น จักเห็นสวนและป่าอันน่ารื่นรมย์ จักเห็นภูมิภาคอันน่ารื่นรมย์ สระโบกขรณีอันน่ารื่นรมย์ของเมืองราชคฤห์”
    ดังนี้. บุรุษนั้นอันท่านพร่ำบอก พร่ำชี้ให้อย่างนี้ ก็ยังถือเอาทางผิด กลับหลังตรงกันข้ามไป, ส่วนบุรุษอีกคนหนึ่ง ไปถึงเมืองราชคฤห์ได้โดยสวัสดี.
    พราหมณ์เอย ! อะไรเล่าเป็นเหตุ อะไรเล่าเป็นปัจจัย ที่เมืองราชคฤห์ก็ยังตั้งอยู่ ท่านผู้ชี้บอกก็ยังตั้งอยู่ แต่ทำไมบุรุษผู้หนึ่งกลับหลงผิดทาง ส่วนบุรุษ
    อีกผู้หนึ่งไปถึงเมืองราชคฤห์ได้โดยสวัสดี ?

    “พระโคดมผู้เจริญ ! ในเรื่องนี้ ข้าพเจ้าจักทำอย่างไรได้เล่า,
    เพราะข้าพเจ้าเป็นแต่เพียงผู้บอกทางเท่านั้น”

    พราหมณ์ ! ฉันใดก็ฉันนั้นแล, ที่พระนิพพาน
    ก็ยังตั้งอยู่ ทางเป็นเครื่องถึงพระนิพพาน ก็ยังตั้งอยู่ เราผู้ชักชวนก็ยังตั้งอยู่;
    แต่สาวกแม้เรากล่าวสอนพร่ำสอน
    อยู่อย่างนี้ น้อยพวกที่ได้บรรลุนิพพานอันเป็นผลสำเร็จ
    ถึงที่สุดอย่างยิ่ง, บางพวกไม่ได้บรรลุ.
    พราหมณ์ ! ในเรื่องนี้ เราจักทำอย่างไรได้เล่า,

    เพราะเราเป็นแต่เพียงผู้บอกทางเท่านั้น.

    อุปริ. ม. ๑๔/๘๕-๘๗/๑๐๑-๑๐๓.
     
  15. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,346
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    อานิสงส์ของการสวดมนต์ มีอะไรบ้าง

    อานิสงส์ของการสวดมนต์ ถ้าพูดกันจริงๆแล้ว ประโยชน์อานิสงส์ของการสวดมนต์ มีมากมายซึ่งที่เห็นชัดสุดคือ ทางด้านร่างกาย จิตใจ และวาจาคำพูดต่างๆ เพราะว่าในระหว่างที่เราสวดมนต์นั้น จิตจะเกิดสมาธิ เพราะจดจ่อกับคำสวดเกิดความสำรวมขึ้น เป็นการฝืนความเกียจคร้าน เบื่อหน่าย และถ้าเป็นการสวดมนต์โดยรู้คำแปล ซึ่งบทสวดมนต์ส่วนใหญ่แล้ว จะเป็นกล่าวถึงคุณงามความดีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพระพุทธเจ้า ว่าพระองค์ทรงมีคุณวิเศษอย่างไร พระธรรมคำสอนของพระองค์มีคุณอย่างไร และพระสงฆ์พระอริยะเจ้านั้นมีคุณเช่นไร เป็นการระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย

    ประโยชน์ของการสวดมนต์ เทวดา พรหม มาอนุโมทนา ล้อมรอบผู้สวดมนต์เป็นประจำ ผู้สวดมนต์ จะมีระเบียบวินัยมากขึ้น อาการโกรธง่าย อารมณ์ร้อนจะหมดไป เพราะระหว่างที่สวดมนต์ ความโลภ โกรธ หลง ไม่ได้เกิดขึ้นในจิตตนในขณะนั้น :

    อานิสงส์ของการสวดมนต์
    - บำบัดทุกข์โศกโรคภัย รวมทั้งความรุ่มร้อนใจ
    - ขจัดภัยอันตราย สิ่งชั่วร้ายที่จะพึงมี
    - ปัดเป่าอุบาทว์ เสนียดจัญไร สิ่งอวมงคล
    - ป้องกันภัยต่างๆ มีโจรภัย อัคคีภัย อสรพิษสัตว์ร้ายทั้งปวง
    - ส่งเสริมให้เจริญด้วย อายุ วรรณะ สุขะ พละ
    - ให้แคล้วคลาดภัย ประสบความสวัสดี มีชัยเจริญงอกงามในชีวิต

    http://www.tumsrivichai.com
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 ตุลาคม 2015
  16. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,998
    จะว่าไปแล้ว การสวดมนต์นี้ แม้จะเป็นสิ่งที่ดี...หลายคนก็รู้ว่าดี...แต่ก็ไม่นิยมสวดมนต์กันสักเท่าไร ก็คงด้วยหาเหตุผลที่ตัวเองยอมรับ เพื่อที่จะสวดมนต์นั้น ยังไม่ได้...
    ...............
    บางคนหนักไปทางวิทยาศาสตร์
    ผมก็จะอธิบายถึง เสียงสวดมนต์ที่เป็นคลื่นความถี่ต่ำ จะไปกระตุ้นต่อมใต้สมอง ให้หลั่งฮอร์โมน ทำให้ร่างกายผ่อนคลาย ลดอาการเจ็บปวด และความกังวล ฯลฯ...
    ไปแบบนั้น...

    บางคนหนักไปทางสมาธิ และศรัทธา ก็ต้องอธิบายไปอย่างที่พี่ต้อย โพสต์เอาไว้ข้างต้น...

    บางคนหนักไปทางสติ ก็ต้องอธิบายถึง การเกิดสติ และ สัมปชัญญะ ในระหว่างการสวดมนต์ อย่างนี้เป็นต้น...

    เพื่อให้สอดคล้องกับ ฑิฐิ ความเชื่อ ความยึดถือ ของชนเหล่านั้นๆ เมื่อเหตุผลเข้ากันได้กับฑิฐิท่านทั้งหลายเหล่านี้แล้ว การสวดมนต์ของท่านเหล่านั้น ก็จะทำได้ง่ายขึ้น ส่วนผลนั้น ย่อมมีเสมอกัน...เพียงแต่กุศโลบายในการชักจูงโน้มน้าวนั้น แตกต่างกันไปเท่านั้นเอง....

    ......................................
    กระทู้หลงทาง จบลงไปแล้ว เป็นภาคแรก ที่ทำมาแบบผิดๆถูกๆ เหมือนคนหลงทาง เปรียบไปแล้ว ก็คล้ายกับคนตัดต้นไม้ ที่ฟันไปสะเปสะปะ ไม่รู้ว่าไหนคือ เนื้อ ไหนคือกระพี้ ไหนคือแก่น ต่อเมื่อถึงแก่นแล้วนั้น จึงได้ระลึกออกว่านี่แก่นนี้เป็นเช่นนี้นี่เอง...

    ธรรมดาของนักปฏิบัติทั้งหลาย เมื่อฟาดฟันไปจนถึงแก่นแล้ว ก็หาได้หยุดอยู่แต่เพียงนั้นไม่ แต่ยังคงฟาดฟันต่อไป ผ่านแก่น เพื่อไปเจอกระพี้ แต่ว่าการเจอกระพี้ครั้งนี้ต่างจากครั้งแรก เพราะรู้แล้ว ว่านี่คือกระพี้...
    ฟันต่อไปยังเนื้อไม้ ก็รู้แล้วว่านี่คือเนื้อไม้ เพราะแต่ครั้งแรกฟันสะเปะสะปะไปนั้น ย่อมไม่รู้ หรือรู้ไม่ชัดเป็นธรรมดา แต่เมื่อผ่านแก่น ผ่านกระพี้ต่อมาที่เนื้อไม้ครั้งนี้ ก็ได้รู้ได้เข้าใจมากขึ้น
    ฟันต่อไปตลอดจนเปลือก ขาดลง ต้นจึงล้มได้ ...

    การผ่านแก่น ผ่านกระพี้ ผ่านเนื้อ ผ่านเปลือก ในครึ่งหลังนี้ ก็เพื่อให้นำเอา วิมุตติ มาแปลงเป็นสมมติ ให้อธิบายความ เป็นที่เข้าใจแก่ชนทั่วไปได้ หาไม่แล้ว ก็คงได้แต่นิ่งๆเงียบๆ เอาไว้...บอกได้คำเดียวว่า "ฝึกไปคุณ ฝึกไปแล้วก็จะรู้เองเห็นเอง ไม่ต้องถาม"
    ซึ่งก็ถูกต้อง และเป็นจริงตามนั้น แต่คงต้องหลงทางกันต่อไปก่อน...

    ในเมื่อจบเรื่องหลงทาง สำหรับครึ่งแรกแล้ว ก็ตั้งใจว่าจะเขียนบันทึกไว้ สำหรับครึ่งที่สอง จะใช้ชื่อว่า "นี่หรือทาง" ส่วนภาคที่สาม เป็นการถางป่า ฟาดฟันต้นไม้ต้นอื่นๆ ค่อยๆฟาดไป ภาคนี้จะใช้ชื่อว่า "ไม่มีทาง" ...

    การบันทึกเล่าเรื่องนั้น ก็คงจะบันทึกเอาไว้เงียบๆ ไม่ได้เผยแพร่ออกไปในเวลานี้ ต่อเมื่อถึงเวลาอันสมควรแล้ว ก็คงจะได้โพสต์เอาไว้สักที่แห่งใดแห่งหนึ่งบนโลกใบนี้...
     
  17. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,346
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    **************
    ความตายอยู่แค่ลมหายใจเข้าออก ใครจะรู้ได้ว่าจะหมดสิ้นลงเมื่อใด :z11เนี่ยยย มันเต้นช้าลงไปทุกทีแล้ววว
    ธรรมะสวัสดีค่ะ (ไม่ได้เร่งนะคะ แต่ตัวเองคงอยู่ไม่ถึงเวลานั้นค่ะ)

    บทสวดมนต์เพราะ ๆ

    https://www.youtube.com/watch?v=z0vMAOcvDxQ

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 ตุลาคม 2015
  18. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,346
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
  19. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,346
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    ยานไปพระนิพพาน

    อัจฉราสูตร (ว่าด้วยยานไปพระนิพพาน ) ( สํ. สคา. )



    ป่าชัฏชื่อโมหนะ อันหมู่นางอัปสรประโคมแล้ว อันหมู่ปีศาจ สิงอยู่แล้ว ทำไฉนจึงจะหนีไปได้ ?

    ทางนั้นชื่อว่าทางตรง ทิศนั้นชื่อว่าไม่มีภัย รถชื่อว่าไม่มีเสียงดัง ประกอบด้วยล้อคือธรรม หิริเป็นฝาของรถนั้น สติเป็นเกราะกั้นของรถนั้น เรากล่าวธรรมมีสัมมาทิฏฐินำหน้าว่าเป็นสารถี.
    ยานชนิดนี้มีอยู่แก่ผู้ใด จะเป็นชายหรือหญิงก็ตาม เขาย่อมไป ในสำนักนิพพานด้วยยานนี้แหละ.
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  20. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,346
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    [​IMG]
    . ขอให้เจริญในธรรมทุกๆท่านค่ะ .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

แชร์หน้านี้

Loading...