สำนักวัดนาป่าพงคึกฤทธิ์และสาวกพลาด! สร้าง" พุทธวจน " ปลอม

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย เสขะปฎิสัมภิทา, 7 กรกฎาคม 2015.

  1. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    ขออนุญาตเรียนถามจ่าว่า คัมภีร์พุทธวจน ปลอมของวัดนานี่
    ถ้านำเข้ามาไว้ในบ้านเรือนของเราจะมีคุณ มีโทษอย่าง
    ไรบ้างครับ
    เพราะเห็นกำลังระบาดอยู่ขณะนี้คล้ายระบบขายตรง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 สิงหาคม 2016
  2. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201

    ถ้ายังไม่กลับตัวกลับใจ ทั้งๆที่ยังมีโอกาส follower เหล่านี้ย่อมไม่เชื่อในพระพุทธศาสนาอีก๑ จนไปเข้ารีต

    สุดจะพรรณนา มาร ๕ ขนคนขึ้นเรือผุท่องมหาสมุทร ต้องจมดิ่งในวัฎสงสารไปอีกนานแสนนาน กว่าจะได้พระอริยะบุคคลมาโปรด ได้เกิดมาเป็นมนุษย์อีกที

    ยังจะมีคุณอีกรึท่าน เตรียมตัวเตรียมใจกันดีกว่า ว่าจะพบกับอะไร?

    สัญญานล่วงมา ๕ ปีแล้ว

    ตั้งใจบำเพ็ญเพียรใฝ่ศึกษา รอพระอริยะมาโปรด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 สิงหาคม 2016
  3. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201


    เฉพาะเรื่องนี้
    ไปพิจารณาให้ดีๆ ใครพาดพิงใครก่อน ใครจะตีฆ้องร้องป่าวตั้งโทษโจษทัณฑ์แทนองค์พระสัทธรรม ถ้าไม่ใช่เรา


    สงสัยจะไม่รู้จัก มหาสุบิน ๑๖ อันเป็นพุทธทำนาย ห้วงกึ่งพุทธกาล ที่เกี่ยวพันกับอภยปริตร / รู้แล้วก็อย่าแกล้งทำเป็นไม่รู้ ถามมาอีก


    หน้าที่ทำให้คนแปลก ถ้าเขาไม่ทำลาย อภยปริตร เราคงไม่ได้ปรากฎขึ้น

    เป็นไปตามพุทธประสงค์ของพระสัทธรรมและพระธรรมราชา


    พระสัทธรรม[o]พระไตรปิฏกพระธรรมคัมภีร์ธรรมแม่บทดั้งเดิม[o] หรือ {O} ทิพยวิเศษบริสุทธิธรรม {O} อันจุติธรรมด้วย [ปฏิสัมภิทาญาน]

    ได้ถูกถอดโดยสำนักวัดนาป่าพง และถูกบัญญัติใหม่ให้เป็นเดรัจฉานวิชา

    บทสวดยอดนิยม อภยปริตรเป็นคำแต่งใหม่ เป็นเดรัจฉานวิชา

    https://youtu.be/jBIMisvVwJY
    ------------------------------------------------------------

    แต่เรา คือผู้รักษาพระปริตรนี้
    https://youtu.be/5NNBqCPYkyA


    นี่ฉายซ้ำหลายรอบ จะหลับหูหลับตาอ่านโดยไม่พิจารณาเลยรึ

    ท่านจะเดินทางประสงค์จะไปก็ไปเถอะ นี่หน้าที่เรา งานของเรา งานไม่เสร็จไม่ไป



    เรื่องสาปแช่งเรา ไปศึกษา ไพรีพินาศที่เราแสดงดูให้ดีๆ บอกคำเดียวว่า ร่วง ไม่รอดสักราย ยิ่งกินบุญเก่าอยู่นานอวดว่าสบายอยู่นานแสนนาน โนพลอมแพลม ตายไปแล้วยิ่งน่าสงสาร ขอให้บุคคลที่สาปแช่งและคิดร้ายกับเราทั้งหลายฯ เจริญๆเถิด สาธุ สาธุ สาธุ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • hqdefault.jpg
      hqdefault.jpg
      ขนาดไฟล์:
      12.3 KB
      เปิดดู:
      102
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 สิงหาคม 2016
  4. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    เดือดร้อน


    มาร ๕ น่ะเดือดร้อน ปัญญาของปุถุชน แยกแยะจริงเท็จอะไรไม่ได้

    หึหึ พวกมาร๕ครอบ จนเกิดอิจฉาตาร้อน นี่น่าสังเวชจริงๆ ปฎิสัมภิทาญานก็ไม่รู้จัก ไอ้พวกนี่ล่ะที่อวดเก่งทำสังฆเภททำให้สงฆ์แตกแยก

    สมควรแล้วที่ในอดีตท่านให้แต่พระอรหันต์ผู้มีปฎิสัมภิทาญานเท่านั้นสังคายนาพระไตรปิฏก




    ขนาดพระภิกษุที่มีฐานะอันควรให้ความเคารพกราบไหว้ ยังต้องถึงความเดือดร้อน จะประสาอะไรกับ ปุถุชน ฆราวาส คฤหัสถ์เล่า!

    ผู้โจทก์โดยไม่เป็นธรรมต้องเดือดร้อน
       
    [๕๐๖] พระอุบาลีทูลถามว่า ภิกษุผู้โจทก์โดยไม่เป็นธรรม พึงถึงความเดือดร้อนด้วยอาการเท่าไร พระพุทธเจ้าข้า.
    พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนอุบาลี ภิกษุผู้โจทก์โดยไม่เป็นธรรมพึงถึงความเดือดร้อนด้วยอาการ ๕ คือ:-
    ๑. ท่านโจทโดยกาลไม่ควร ไม่โจทโดยกาลอันควร ท่านต้องเดือดร้อน
    ๒. ท่านโจทด้วยเรื่องไม่จริง ไม่โจทด้วยเรื่องจริง ท่านต้องเดือดร้อน
    ๓. ท่านโจทด้วยคำหยาบ ไม่โจทด้วยคำสุภาพ ท่านต้องเดือดร้อน
    ๔. ท่านโจทด้วยเรื่องไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ไม่โจทด้วยเรื่องประกอบด้วยประโยชน์ ท่านต้องเดือดร้อน
    ๕. ท่านมุ่งร้ายโจท มิใช่มีเมตตาจิตโจท ท่านต้องเดือดร้อน
    ดูก่อนอุบาลี ภิกษุผู้โจทก์โดยไม่เป็นธรรม พึงถึงความเดือดร้อน ด้วยอาการ ๕ นี้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะภิกษุแม้อื่น ไม่พึงสำคัญเรื่องที่โจทด้วยคำเท็จ.

     
    ผู้ถูกโจทโดยไม่เป็นธรรมไม่ต้องเดือดร้อน
     
    [๕๐๗] พระอุบาลีทูลถามว่า ก็ภิกษุผู้ถูกโจทก์โดยไม่เป็นธรรม ไม่ต้องเดือดร้อนด้วยอาการเท่าไร พระพุทธเจ้าข้า.
    พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนอุบาลี ภิกษุผู้ถูกโจทก์โดยไม่เป็นธรรม ไม่ต้องเดือดร้อน ด้วยอาการ ๕ คือ:-
    ๑. ท่านถูกโจทโดยกาลไม่ควร ไม่ถูกโจทโดยกาลอันควร ท่านไม่ต้องเดือดร้อน
    ๒. ท่านถูกโจทด้วยเรื่องไม่จริง ไม่ได้ถูกโจทด้วยเรื่องจริง ท่านไม่ต้องเดือดร้อน
    ๓. ท่านถูกโจทด้วยคำหยาบ ไม่ถูกโจทด้วยคำสุภาพ ท่านไม่ต้องเดือดร้อน
    ๔. ท่านถูกโจทด้วยเรื่องไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ไม่ได้ถูกโจทด้วยเรื่องประกอบด้วยประโยชน์ ท่านไม่ต้องเดือดร้อน
    ๕. ท่านถูกโจทด้วยมุ่งร้าย ไม่ถูกโจทด้วยเมตตาจิต ท่านไม่ต้องเดือดร้อน.
    ดูก่อนอุบาลี ภิกษุผู้ถูกโจทโดยไม่เป็นธรรม ไม่ต้องเดือนร้อนด้วยอาการทั้ง ๕ นี้.

     
    ผู้โจทย์โดยเป็นธรรมไม่ต้องเดือนร้อน
     
    [๕๐๘] พระอุบาลีทูลถามว่า ภิกษุผู้โจทก์โดยเป็นธรรม พึงถึงความไม่เดือดร้อน ด้วยอาการเท่าไร พระพุทธเจ้าข้า.
    พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนอุบาลี. ภิกษุผู้โจทก์โดยเป็นธรรมพึงถึงความไม่เดือดร้อน ด้วยอาการ ๕ คือ :-
    ๑. ท่านโจทโดยกาลอันควร ไม่ใช่โจทโดยกาลอันไม่ควร ท่านไม่ต้องเดือดร้อน
    ๒. ท่านโจทด้วยเรื่องจริง ไม่ใช่โจทด้วยเรื่องไม่จริง ท่านไม่ต้องเดือดร้อน
    ๓. ท่านโจทด้วยคำสุภาพ ไม่ใช่โจทด้วยคำหยาบ ท่านไม่ต้องเดือดร้อน
    ๔. ท่านโจทด้วยเรื่องประกอบด้วยประโยชน์ ไม่ใช่โจทด้วยเรื่องไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ท่านไม่ต้องเดือดร้อน
    ๕. ท่านมีเมตตาจิตโจท ไม่ใช่มุ่งร้ายโจท ท่านไม่ต้องเดือดร้อน.
    ดูก่อนอุบาลี ภิกษุผู้โจทก์โดยเป็นธรรม พึงถึงความไม่เดือดร้อนด้วยอาการ ๕ นี้ ข้อนั้นเป็นเพราะเหตุไร เพราะ
    ภิกษุแม้อื่นก็พึงสำคัญว่าควรโจทด้วยเรื่องจริง.
     
    ผู้ถูกโจทโดยธรรมต้องเดือนร้อน
     
    [๕๐๙] พระอุบาลีทูลถามว่า ก็ภิกษุผู้ถูกโจทโดยธรรม พึงถึงความเดือดร้อนด้วยอาการเท่าไร พระพุทธเจ้าข้า.
    พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนอุบาลี ภิกษุผู้ถูกโจทโดยธรรมพึงถึงความเดือดร้อนด้วยอาการ ๕ คือ:-
    ๑. ท่านถูกโจทโดยกาลอันควร ไม่ใช่ถูกโจทโดยกาลอันไม่ควร ท่านต้องเดือดร้อน
    ๒. ท่านถูกโจทด้วยเรื่องจริง ไม่ใช่ถูกโจทด้วยเรื่องไม่เป็นจริง ท่านต้องเดือดร้อน
    ๓. ท่านถูกโจทด้วยคำสุภาพ ไม่ใช่ถูกโจทด้วยคำหยาบ ท่านต้องเดือดร้อน
    ๔. ท่านถูกโจทด้วยเรื่องประกอบด้วยประโยชน์ ไม่ใช่ถูกโจทด้วยเรื่องไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ท่านต้องเดือดร้อน
    ๕. ท่านถูกโจทด้วยเมตตาจิต ไม่ใช่ถูกโจทด้วยมุ่งร้าย ท่านต้องเดือดร้อน.
    ดูก่อนอุบาลี ภิกษุผู้ถูกโจทโดยธรรม พึงถึงความเดือดร้อนด้วยอาการ ๕ นี้แล.
     
    ผู้โจทก์พึงมนสิกาธรรม ๕ ประการ
     
    [๕๑๐] พระอุบาลีทูลถามว่า ภิกษุผู้โจทก์ปรารถนาจะโจทผู้อื่น พึงมนสิการธรรมเท่าไรไว้ในตน แล้วโจทผู้อื่น
    พระพุทธเจ้าข้า. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนอุบาลี ภิกษุผู้โจทก์ปรารถนาจะโจทผู้อื่น พึงมนสิการธรรม ๕ อย่างไว้ในตน
    แล้วโจทผู้อื่น คือ :-
    ๑. ความการุญ
    ๒. ความหวังประโยชน์
    ๓. ความเอ็นดู
    ๔. ความออกจากอาบัติ
    ๕. ความทำวินัยเป็นเบื้องหน้า.
    ดูก่อนอุบาลี ภิกษุผู้โจทย์ปรารถนาจะโจทผู้อื่น พึงมนสิการธรรม ๕ อย่างนี้ไว้ในตน แล้วโจทผู้อื่น.


    ว่าแต่ว่าชอบกระทู้นี้จัง จบแบบหงายเงิบไปตามๆกัน สำหรับพวกอวดรู้อวดเก่งอวดภูมิปัญญาพิจารณาความตัดสินให้เป็นกลางยังไม่เป็น

    http://palungjit.org/threads/พร่องใ...ด้สำเร็จผลใดๆ-แม้แต่ฌานโลกีย์ก็ไม่ได้.548335/


    สติปัญญา เป็นผู้ถือทิฏฐิยังมิได้เลย ถ้าจะให้คิดแค่นั้นอย่างนั้น คนที่ไหนก็หลับหูหลับตาพิจารณาได้ แสดงวาทะให้ม้วนใส้หมุนวนซ้ายเวียนขวากลับหน้ากลับหลังหลอกให้หลงไปตามอย่างนั้นล่ะ ผู้มีปัญญาเขาเห็นเขาไม่เรียกสัจจะเขาเรียกความตรึก วิปัสสนึกเอาคิดเอาของแท้แน่นอน เพราะมันจะต่อยอดไม่ได้ มันเข้าถึงทางตัน


    เฮ้อ กรรมใครกรรมมัน

    ร้อนจนทนไม่ได้ออกมาดิ้นเชียว มาร ๕ เอย


    จำใส่สมองไว้ เมื่อท่านไม่รู้ไม่เห็นเราจะทำอะไรกับท่านได้ เราจน ปัญญา


    ข้อท้า
    สำหรับพวกปริยัติงูพิษที่ชอบอเสวนาจะพาลานังชื่นชมติรัจฉานกถา มีอคติ ๔ อิจฉาริษยาอันไม่เป็นธรรม ถ้าเก่งจริงแน่จริงก็ไปวิสัชนาหาคุณความหมาย ของ ปฎิสัมภิทาญาน เอามาลบมาล้างในสิ่งที่แสดงไป ถ้าทำไม่ได้ก็ตักน้ำใส่กระโหลกชะโงกดูเงาหัวตนเองก่อน

    ก่อนที่น้ำลายที่ถ่มรดฟ้าไปจะรดลงสู่หน้าของตนเอง


    เชิญเริ่มได้เลย

    แพ้แต่ยังไม่ได้เริ่มซะละม้าง

    ถ้าทำได้จะทำคลิปวิดีโอขอก้มกราบเท้านมัสการอย่างงาม ฝากตัวเป็นลูกศิษย์ลูกหาไปตลอดชาติ

    รีบเลย ไหนๆก็อวดเก่งมาแล้ว แสดงว่ารู้ดีว่า ปฎิสัมภิทาญาน นั้นคืออะไร? เชิญครับ


    อวดเก่งนักมิใช่หรือ เห็นเป็นของง่ายๆ ที่จะมโนให้เป็นอย่างไรตามที่จิตน้อมไป หรือไม่ได้น้อมไปแต่ปรากฎขึ้นเองตามสภาวะจิตก็ได้ สบายๆ งั้นลองเข้าสู่สภาวะนั้นให้ได้แล้ว นำมาผนวกแสดงให้เข้ากันเป็นไปในทางเดียวกันกับ ปฎิสัมภิทามรรค และให้รู้ให้เห็นมากกว่าที่เราได้แสดงมาในปริยัติใน ปฎิสัมภิทามรรค ดูทีว่า เป็นอย่างไร? แล้วนำมาประกาศว่า สภาวะจริงๆนั้นเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ อย่างที่เราแสดงนั้นผิด

    ขอปรามาสไว้เลยว่า
    ดูหมิ่นพระสัทธรรม ประพฤติเลวอย่างนี้ ต่อให้เรียนปฎิสัมภิทามรรค มโนทั้งชาติก็อย่าหวังได้เห็น อรรถอันลึก เป็นโลกุตตระ ประกอบ ด้วยสุญญตธรรม

    ถ้าไม่รู้แล้วยัง คุยโม้คุยโต้โออวดว่านี่ใช่นั่นไม่ใช่ สุดท้ายก็เป็นไอ้พวก Adrenaline หลั่ง เป็นผู้ไม่รู้ไม่เห็น เป็นความแส่หา เป็นความดิ้นรนของคนมีตัณหาเหมือนกัน ตกทิฏฐิ 62

    ปล.ออ.. อันนี้ให้ทางถอย ทางใครทางมันไม่ถือสาหาความหรอก เข้าใจและรู้ดีว่าเด็กอ่อนที่เกเรไม่บริสุทธิคุณมันเป็นยังไง

    คงจะรู้นะว่าหมายถึงใคร? ที่มันมีจิตใจอกุศลต่ำๆอย่างนั้น
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 30.jpg
      30.jpg
      ขนาดไฟล์:
      213.4 KB
      เปิดดู:
      99
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 สิงหาคม 2016
  5. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    ด้วยตรวจดูอุปนิสัย พิจารณาตามกาล เราได้ยอมรับและประกาศแต่แรกว่าเราไม่มีสติปัญญาชาญฉลาดเท่าผู้มีบุญบารมีมาจุติกำเนิด เป็นผู้ประเสริฐดีงามเพียบพร้อมอันยังประโยชน์แก่มหาชน และเราก็พร้อมสนับสนุนบุคคลเหล่านั้น

    แต่สำหรับบุคคลที่โง่เขลา คนมืดคนบอดกว่าเราและมาราวีเรา ได้วิสัยคนพาล เป็นบุคคล มิใช่บัณฑิต ไม่มีปัญญา เป็นคนทึบ คนหนา ขอให้เจริญๆนะ เกิดใหม่ชาติหนึ่งชาติใดชาติหน้าขอให้พระอริยะไปโปรดจะได้ฉลาดๆเจริญในธรรมกับเขาบ้าง


    เราสนทนากับสหายเพื่อยกเขาออกจาก อสัทธรรม แต่เจ้าอยากให้เราแสดง วาทะเอง ผลก็เลยต้องแสดง
    เพื่ออรรถรส คุณลักษณะในการรับชม ย่อมต้องใช้การแสดงศาสตร์และวาทะศิลป์ ในการอุปมาอุปไมย ที่ปัญญาชน สามารถไตร่ตรองตาม เห็นจริงได้ เปรียบประดุจ หากปราถนาจะทำการบรรเลงทาสี ดูดกลืนกินทับถมพื้นที่เก่า ที่มีสีดำอ่อนๆจางๆ ย่อมต้องใช้สีดำสนิท ที่มีความเข้มข้นลึกล้ำยิ่งกว่า มาระบายวาดสี ในอรรถเหล่านี้ ผู้ใดมีดวงตาและจิตใจ ที่ไม่มืดบอด ย่อมเล็งเห็นประโยชน์ เห็นดีเห็น ไม่ดีและสามารถ รู้จักแยกแยะ พิจารณาดีหรือชั่วได้อย่างละเอียด ตามความเพียรปัญญาของตน เสมือนคนร่อนกรวดหา แร่ทองและเพชรพลอย ที่อยู่ในโคลนตม ย่อมได้ซึ่งแร่ธาตุและอัญมนีนั้นฯ เราเองก็มิได้โกรธเกลียด อะไรเขาดอก ทำไปพรรณนั้นๆแหละ! อุปมา:ดุจเพชฌฆาต ผู้ทำหน้าที่ประหารชีวิตนักโทษ แม้มิได้มีเรื่อง โกรธเคืองใจกันมาก่อน ก็ต้องจำใจประหารชีวิตนั้น ผู้มีสะติระลึกได้ ก็ต้องอาศัยตนเป็นหลัก หากไม่รู้จักเตือนตนแล้วไซร้ จักไปตักเตือนอะไรใครที่ไหนได้ ดังพุทธสุภาษิต

    ทน.โต เสฏ.โฐ มนุส.เสสุ
    ในหมู่มนุษย์ คนที่ฝึกตนดีแล้ว ประเสริฐที่สุด
    แม้เราผู้มีภูมิรู้ปานนี้คือ ออกไปอยู่นอกเหตุ เหนือผลทั้งหลายแล้วฯ แม้ฉะนี้ก็ยังคิด และพิจารณาเสมอๆว่า อันเด็กอ่อนผู้บริสุทธิคุณด้วยบุญญาธิการมาจุติ และกำลังเจริญเติบโต อยู่ถ้วนทั่วทั้งสหโลกธาตุ จักมีความประเสริฐดีงาม เพียบพร้อม ทั้งจริยธรรมคุณธรรม อันยังประโยชน์สุข ให้แก่มหาชนนั้น ยังมีสติปัญญาและความชาญฉลาด กว่าตัวเราอีกมากมายนัก ท่านจะเห็นผิดเป็นไฉน ในการกล่าว ยกย่องเชิดชูตนเอง ว่าดีเลิศประเสริฐศรี กว่าผู้อื่นอยู่อย่างนั้น จักแตกต่างอะไรกับ ผู้มีปัญญาทรามต่ำช้าเล่า ท่านเอย

    สหกัลยาณมิตรทั้งหลายแม้กระทู้นี้ จะต้องถูกอัปเปหิออกจากเว็บพลังจิตไป เพราะภัยของบุคคลผู้เป็นพาล แต่เราก็ขึ้นชื่อว่าได้เตรียมการให้เป็นที่เรียบร้อย และไม่เป็นการเสียเปล่าที่เราประกาศการมีอยู่ขององค์พระสัทธรรม อันชื่อได้ว่า ได้กระทำแล้ว และได้บัณฑิตผู้มีบุญได้รู้พิจารณาทราบตามพอควรแล้ว ถึงเวลานั้นก็ไม่อยู่ในฐานะที่จะต้องเสียใจ แม้ดูหมิ่นเรา เรานี้ก็ขอให้เขาเจริญยิ่งขึ้นไป แต่สำหรับการดูหมิ่นองค์พระสัทธรรม ที่เราได้น้อมนำมาแสดง แม้เราไม่ยินดียินยอม แต่ก็ห้ามปรามตามสามารถแล้ว ซึ่งการกระทำแบบนั้นของบุคคลพาล เมื่อปรากฎก็ให้สามารถรู้ได้ทันทีว่า บุคคลนั้นต้องมิตฉัตตะ ๑๐ ประการและมาร ๕ ครอบทันที ด้วยวิบากอกุศลกรรมที่เขาได้เพียรสร้างไว้ เพราะว่าเขาจะไม่สามารถเข้าสู่ทิพยภูมิของพระอริยะ ไม่สามารถเจริญในรสพระธรรมต่อไปได้เลย หากดูหมิ่นพระสัทธรรมที่เราน้อมนำมาแสดงอย่างนี้ก็คงต้องขอน้อมนำพระดำรัสตรัสมาว่า" เพราะทำกรรมนั้น จึงควรส่งเธอไปว่า เจ้าจงไป จงเป็นคนกินเดนเลี้ยงชีพเถิด ดังนี้"

    ถึงเวลา บุคคลผู้ที่จะต้อง หวาดกลัว พรั่นพรึง โกรธเกรี้ยว เสียใจมิใช่เรา ไม่ใช่ฐานะ

    ขอท่านสหกัลยาณมิตรจงมีความเจริญเถิด
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  6. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    ปฏิจฉันนสูตร
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิ่ง ๓ อย่างนี้ ปิดบังไว้จึงเจริญ เปิดเผยไม่เจริญ ๓ อย่างเป็นไฉน คือ
    มาตุคาม ปิดบังเอาไว้จึงจะงดงาม เปิดเผยไม่งดงาม ๑
    มนต์ของพราหมณ์ ปิดบังเข้าไว้จึงรุ่งเรือง เปิดเผยไม่รุ่งเรือง ๑
    มิจฉาทิฐิ ปิดบังไว้จึงเจริญ เปิดเผยไม่เจริญ ๑
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิ่ง ๓ อย่างนี้แล ปิดบังไว้จึงเจริญ เปิดเผยไม่เจริญ

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิ่ง ๓ อย่างนี้
    เปิดเผยจึงรุ่งเรือง ปิดบังไม่รุ่งเรือง ๓ อย่างเป็นไฉน คือ
    ดวงจันทร์ เปิดเผยจึงรุ่งเรือง ปิดบังไม่รุ่งเรือง ๑
    ดวงอาทิตย์ เปิดเผยจึงรุ่งเรือง ปิดบังไม่รุ่งเรือง ๑
    ธรรมวินัยที่พระตถาคตประกาศไว้แล้ว เปิดเผยจึงรุ่งเรือง ปิดบังไม่รุ่งเรือง ๑
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิ่ง ๓ อย่างนี้แล เปิดเผยจึงรุ่งเรือง ปิดบังไม่รุ่งเรือง ฯ



    เชิญมาเปิดเผย และเราก็พร้อมที่จะรุ่งริ่งรกรุงรัง


    ระฆังยิ่งตียิ่งดังยิ่งก้องกังวาล ตีจนเหนื่อยเปลืองแรง ใช้มอเตอร์ก็เปลืองไฟฟ้าเครื่องยนต์ กลก็สึก
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 สิงหาคม 2016
  7. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    แม้วันนี้ก็ยังเป็นข่าวที่น่าสนใจอยู่ดี

    แล้วอะไรที่เปลี่ยนไป อะไรจะเกิดขึ้น

    เรามาไกลเกินกว่า “พุทธทำนาย

    http://manager.co.th/South/ViewNews.aspx?NewsID=9590000084692
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • city2.jpg
      city2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      113.1 KB
      เปิดดู:
      85
  8. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    ตามข่าว
    คอลัมนิสต์สรุปเกี่ยวพุทธทำนายไว้ในตอนท้ายดังนี้....
    .........
    " จะเห็นว่า บรรดาพุทธทำนายทั้งหลายเหล่านี้ล้วนเป็นจริงแล้วในปัจจุบัน กล่าวสำหรับสังคมไทยไปไกลกว่าพุทธทำนายมากแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการสมสู่สำส่อนกันในวัยเด็ก การให้คนโง่เป็นใหญ่เป็นโตในบ้านเมือง คนแก่มีเมียเด็ก และตกอยู่ใต้อำนาจของเมียเด็ก ผู้มีอำนาจที่ขาดคุณธรรม สร้างความเดือดร้อนทุกข์ยากให้ผู้ใต้บังคับบัญชา ฯลฯ "
    ลองพิจารณากันครับ

    เราจะมีทางออกจาก “พุทธทำนาย” ได้อย่างไร หรือต้องรอให้เป็นไปตามนี้จนถึงที่สุด…?!
     
  9. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    ว่าด้วยเรื่อง คิ้ว 

    บุคคลไม่ควรให้บวช   ๓๒   จำพวก                              ทรงห้ามบวชคนมีอวัยวะพิการ           [๑๓๕]        ก็โดยสมัยนั้นแล        ภิกษุทั้งหลายบรรพชาคนมือด้วน. . .บรรพชาคนเท้าด้วน. . . บรรพชาคนทั้งมือและเท้าด้วน. . .บรรพชาคนหูขาด . . .บรรพชาคนจมูกแหว่ง  . . .   บรรพชาคนทั้งหูขาดและจมูกแหว่ง . . .บรรพชาคน นิ้วมือนิ้วเท้าขาด . . . บรรพชาคนมีง่ามมือง่ามเท้าขาด . . . บรรพชาคนเอ็นขาด  . . . บรรพชาคนมือเป็นแผ่น. . .   บรรพชาคนค่อม . . .      บรรพชาคนเตี้ย . . .บรรพชาคนคอพอก. . .  บรรพชาคนถูกสักหมายโทษ. . .  บรรพชาคนมีรอยเฆี่ยนด้วยหวาย . . .     บรรพชาคนถูกออกหมายสั่งจับ. . .        บรรพชาคนเท้าปุก. . .บรรพชาคนมีโรคเรื้อรัง . . .บรรพชาคนมีรูปร่างไม่สมประกอบ. . .  บรรพชาคนตาบอดข้างเดียว. . .  บรรพชาคนง่อย. . .  บรรพชาคนกระจอก . . .บรรพชาคนเป็นโรคอัมพาต. . .  บรรพชาคนมีอิริยาบถขาด . . . บรรพชาคนชราทุพพลภาพ . . .บรรพชาคนตาบอดสองข้าง . . .   บรรพชาคนใบ้ . . .    บรรพชาคนหูหนวก . . .บรรพชาคนทั้งบอดและใบ้. . .  บรรพชาคนทั้งบอดและหนวก . . .   บรรพชาคนทั้งใบ้และหนวก . . . บรรพชาคนทั้งบอดใบ้และหนวก.           ผู้ใดย่อมประทุษร้ายบริษัท        เพราะความที่คนมีรูปแปลก   ผู้นั้น    ชื่อปริสทูสกะ     คือเป็นคนสูงเกินไป   มีนาภีประเทศแค่ศีรษะของชนเหล่าอื่นบ้าง.เตี้ยเกินไปดังรูปแห่งภูตเตี้ยทั้ง  ๒ ท่อนบ้าง.    ดำเกินไป   คล้ายตอไม้ที่นาถูกไฟไหม้บ้าง. ขาวเกินไป  มีสีคล้ายบาตรทองแดงที่ขัดด้วยนมส้มและเปรียงเป็นต้นบ้าง.    ผอมเกินไป  มีเนื้อและเลือดน้อย ประหนึ่งร่างกายซึ่งมีแต่กระดูก เอ็นและหนังบ้าง.         อ้วนเกินไป      มีเนื้อตั้งหาบ   มีพุงพลุ้ยเช่นกับมหาภูตบ้าง.

    มีขนคิ้วเนื่องเป็นอันเดียวกับผมบนศีรษะ     คือมาตามพร้อมด้วยหน้าผากดังหุ้มด้วยร่างแหบ้าง,    มีคิ้วติดกันบ้าง,  ไม่มีขนคิ้วบ้าง,    มีคิ้วคล้ายลิงบ้าง.

                                                           ฯลฯ

    โดยใจความแล้ว ไม่มีคิ้วห้ามบวช คิ้วผิดปกติประเภทคิ้วสักแบบแปลกๆขัดพระวินัยก็เช่นเดียวกัน สมัยพุทธกาลท่านไม่โกนคิ้ว มีกี่ประเทศกันนะที่โกนคิ้ว

    หึหึ! สายเลือดใหม่ ถ้าไปเดินในแถวพระสงฆ์สาวกสมัยพุทธกาล จะได้เดินไหม?หนอ จะเหมือนอะไร?

    โอ้พระพุทธองค์พระสาวกของท่านด้านหลังสุดเป็นพระภิกษุเหล่าใดพระพุทธเจ้าขา ช่างแปลกตาเหลือเกิน ไม่มีคิ้วหนอ นั่นคงเป็นเทรนใหม่ในอนาคตใช้ไหมพระพุทธเจ้าข้า?

    "ยกเว้นไว้เพราะการเบียดเบียนทางโลก อันน่าเห็นใจ"

    อานิสงส์มีแน่ ที่วิสัชนาตอบแก้เขินเอาใจโยมหรือว่าหลงไม่รู้จริงน่ะ สอนคนผิดๆ เพราะไม่รู้จักอานิสงส์ ของการมีการได้ ปุริลักษณะ อนุพยัญชนะน่ะ


    พระพุทธเจ้าและพระสงฆ์สาวกไว้คิ้วไหม? ทรงไว้ พระภิกษุอรหันตสาวก ย่อมไว้ตาม ดังพระสูตรอื่นๆที่มีเสมอกัน

    พระโขนง เป็นคำจากภาษาเขมรแปลว่า คิ้ว

    พระโขนงมีสัณฐานอันงามดุจคันธนูอันก่งไว้ ๕๗. พระโลมาที่พระโขนงมีเส้นอันละเอียด ๕๘. เส้นพระโลมาที่พระโขนงงอกขึ้นแล้วล้มราบไปโดยลำดับ ๕๙. พระโขนงนั้นใหญ่ ๖๐. พระโขนงนั้นยาวสุดหางพระเนตร



    อนาคตเมื่อเกิดพระอริยะบุคคลดั้งเดิมมาอุบัติ พระภิกษุผู้ถือนิสสัยตาม ย่อมไว้คิ้ว



    ไว้คิ้วแล้วไป ทำแบบ คุณเกษมสามแยก แบบนั้นไม่เอานะ

    "พระสงฆ์ไทย"ทำไมต้องโกน"คิ้ว"ฯ

    https://youtu.be/sVoABY-BIVw

    https://www.youtube.com/watch?v=6dRWa_As24o


    พระวิปัสสีไม่โกนคิ้ว
    พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๐ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒ ทีฆนิกาย มหาวรรค ข้อ ๓๘

    พระวิปัสสีราชกุมารได้ทรงปลงพระเกศาและพระมัสสุ ทรงครองผ้ากาสาวพัสตร์
    http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v ... A=0&Z=1454



    พระพุทธเจ้าก็ไม่โกนคิ้ว
    พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๙ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๑
    ขุททกนิกาย มหานิทเทส ข้อ ๘๙๑

    ทรงปลงพระเกศาและพระมัสสุ ทรงครองผ้ากาสายะเสด็จออกผนวช
    http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v ... 29&A=10137



    พระสาวกก็ไม่โกนคิ้ว
    พระไตรปิฎก เล่มที่ ๙ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑ ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค ข้อ ๑๐๑

    ถ้ากระไรเราพึงปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ออกบวชเป็นบรรพชิต
    http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v ... 072&Z=1919




    ผู้ไม่มีขนคิ้วห้ามบวช
    พระไตรปิฎก เล่มที่ ๔ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๔ มหาวรรค ภาค ๑
    http://www.84000.org/tipitaka/pitaka1/v ... agebreak=0

    อรรถกถาหัตถัจฉินนาทิวัตถุกถาหน้า 346 บันทัดที่ 8


    เรื่องบางเรื่องก็ได้รับโทษไปแล้วซึ่งเป็นโทษเบื้องต้น

    เช่น

    ในอดีตมีเรื่องที่ทำให้ไม่พอใจจนต้องไปตำหนิ ก็มีพระนักเทศน์ชื่อดังในจังหวัด สกลนครนี่ล่ะ ที่ตำหนิว่าพระไว้คิ้วเป็นผู้อุบาทว์. อัปรีย์ จัญไร ไม่เป็นมงคล. (ป. อุปทฺทว ส. อุปทฺรว).

    เอาคำเทศน์อัดลงยูทูปน่าตาเฉย

    เผาตำรา ฆ่าอาจาร์ย และกินเนื้อ พระพุทธเจ้าและพระสงฆ์สาวกปฎิบัติเช่นไร ควรทำเช่นนั้นด้วย อย่ากลาย พระผู้ทรงทศพลณญานปานนั้น มีรึ จะมองไม่เห็นซึ่งเหตุนี้ กำเนิด บุคคลผู้นั้นเมื่อไหร่ ถึงเวลาจะเข้าใจเอง



    ๐ เรารู้ดีโดยธรรมด้วยตนเอง ว่าผู้ที่ทราบว่าอะไรผิดอะไรถูกก็คือ ผู้ที่อยู่มานานแล้ว ในพรหมโลกก็ดี ในสวรรค์โลกก็ดี ในมารโลกก็ดี แม้แต่ในนรกภูมิ พวกเขาเหล่านั้น บ้างก็เคยเข้าเฝ้าพระพุทธองค์มาแล้ว บ้างก็ได้รับพรมาแล้ว ได้รับฟังคำสั่งสอนมาบ้างแล้ว อย่างมากมายท่วมท้น ชนเหล่านั้น สามารถที่จะชี้แจง บอกข้อมูลในเมื่อครั้งอดีตกาล สมัยพุทธกาลแก่เราได้อย่างชัดเจน และไม่ผิดเพี้ยน หากเขาเหล่านั้นประสงค์จะให้ทราบ ด้วยบุญเก่าก็ดี เราท่านก็ย่อมจักสำเร็จการนั้นเป็นแน่แท้ ๐


    ๐ มนุษย์เรานั้นมักมีความคิด เห็นผิดทำนองคลองธรรมเสมอๆ ทั้งๆที่สิ่งที่ดีที่สุด เหมาะสมที่สุด ควรค่าที่สุดอยู่ตรงหน้าแล้ว อุปมาเหมือนไก่ได้พลอยที่ไม่เห็นคุณค่าของเพชรพลอยนั้น แต่มีความปราถนา ในเมล็ดข้าวเปลือก โดยเห็นว่าควรทีจะมีประโยชน์กับตนเองมากกว่า เพราะทำให้ถูกใจ อิ่มท้อง ขอให้มีผลประโยชน์แก่เราเท่านั้น ไม่ว่าอะไรก็เอาหมด ไม่สนว่าผิดหรือถูก แต่เอาความถูกใจของตนเองเป็นหลัก ความถูกใจของระบบสภาพสังคมเป็นหลัก หากอยู่ในสังคมโจร ก็มีความยินดีและปราถนาที่จะเป็นโจร ปราถนาในทุกสิ่งที่เฉพาะหน้า ไม่ได้หวังถึงอนาคต เพราะเศษวิบากกรรมเก่า ดวงตาจึงมืดบอดไป มองอะไรไม่เห็น น่าเวทนาหนอ นี่เป็นสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงท้อพระทัย ในกิเลสของสัตว์โลก ยากจะเยียวยา ๐


    "ข้อความเก่า มาเล่าต่อเมื่อ 4ปีที่แล้ว"

    "ท่านทั้งหลาย ในอรรถาธิบาย ในปัจจุบันมีการดัดแปลงแก้ไขเป็นอันมาก จนทำให้เราสามารถเข้าใจผิดและหลงทางได้ แม้แต่ในความเข้าใจ ในเนื้อความจะมีมากก็ตาม รู้มากในอรรถในประโยคมากก็ตาม แต่จะยังไม่สามารถเข้าถึงเส้นทางที่แท้จริงได้ หากไปนำมาปฎิบัติ เสมือนมีแผนที่ทางเดินที่สร้างมาผิดแบบ ย่อมเข้าใจผิดเป็นอันมาก ขอให้ท่านเฝ้าพิจารณาให้ดีๆ และปฎิบัติให้ถึง ความวิเวก หวังว่ากุศลผลบุญของท่านจะชี้นำทางที่ถูกต้อง"


    หากมีบุญเก่ามากพอ จงศึกษาพระไตรปิฎกเถิด เราแนะนำให้ท่านถือศีล รักษาธรรม ด้วยกาย วาจา ใจ ท่านจะพบทางสว่าง พร้อมกับได้รับการอนุเคราะห์จากชาวทิพย์ และมาปรากฎให้ท่านพบเจอ ช่วยกิจการทั้งหลายของท่าน ตามแรงบุญแรงกรรม



    ( ฉวาลาตสูตร ) ว่าด้วยบุคคล ๔ จำพวก
    ๑. ไม่ปฏิบัติ เพื่อตนเองและผู้อื่น ๒. ปฏิบัติเพื่อผู้อื่น แต่ไม่ปฎิบัติเพื่อตนเอง ๓. ปฎิบัติเพื่อตนเอง แต่ไม่ปฎิบัติเพื่อผู้อื่น ๔. ปฎิบัติเพื่อตนเองและผู้อื่น ในบุคคลทั้ง ๔ บุคคล จำพวกที่ ๔ คือ ผู้ที่ปฏิบัติทั้งเพื่อประโยชน์ตน ทั้งเพื่อประโยชน์ผู้อื่นเป็นเลิศ เป็นผู้ประเสริฐสุด เป็นประธาน เป็นผู้อุดม เป็นผู้สูงสุด
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • download.jpg
      download.jpg
      ขนาดไฟล์:
      10 KB
      เปิดดู:
      84
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 สิงหาคม 2016
  10. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    17-08-2016, 08:27 PM
    มหาโจร๕ จำพวก

    “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มหาโจร๕จำพวกนี้มีปรากฏอยู่ในโลก มหาโจร๕ จำพวกเป็นไฉน

    ๑.ดูก่อนภิกษุทั้งหลายมหาโจรบางคนในโลกนี้ย่อมปรารถนาอย่างนี้ว่าเมื่อไรหนอเราจักเป็นผู้อันบุรุษร้อยหนึ่งหรือพันหนึ่งแวดล้อมแล้วท่องเที่ยวไปในคามนิคมและราชธานีเบียดเบียนเองให้ผู้อื่นเบียดเบียนตัดเองให้ผู้อื่นตัดเผาผลาญเองให้ผู้อื่นเผาผลาญสมัยต่อมาเขาเป็นผู้อันบุรุษร้อยหนึ่งหรือพันหนึ่งแวดล้อมแล้วเที่ยวไปในคามนิคมและราชธานีเบียดเบียนเองให้ผู้อื่นเบียดเบียนตัดเองให้ผู้อื่นตัดเผาผลาญเองให้ผู้อื่นเผาผลาญฉันใดดูก่อนภิกษุทั้งหลายภิกษุผู้เลวทรามบางรูปในธรรมวินัยนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกันแลย่อมปรารถนาอย่างนี้ว่าเมื่อไรหนอเราจึงจักเป็นผู้อันภิกษุร้อยหนึ่งหรือพันหนึ่งแวดล้อมแล้วเที่ยวจาริกไปในคามนิคมและราชธานีอันคฤหัสถ์และบรรพชิตสักการะเคารพนับถือบูชายำเกรงได้จีวรบิณฑบาตเสนาสนะและคิลานปัจจัยเภสัชบริขารสมัยต่อมาเธอเป็นผู้อันภิกษุร้อยหนึ่งหรือพันหนึ่งแวดล้อมแล้วเที่ยวจาริกไปในคามนิคมและราชธานีอันคฤหัสถ์และบรรพชิตสักการะเคารพนับถือบูชายำเกรงแล้วได้จีวรบิณฑบาตเสนาสนะและคิลานปัจจัยเภสัชบริขารทั้งหลายดูก่อนภิกษุทั้งหลายนี้เป็นมหาโจรจำพวกที่๑มีปรากฏอยู่ในโลก

    ๒.ดูก่อนภิกษุทั้งหลายอีกข้อหนึ่งภิกษุผู้เลวทรามบางรูปในธรรมวินัยนี้เล่าเรียนธรรมวินัยอันตถาคตประกาศแล้วอวดอ้างว่าเป็นของตนดูก่อนภิกษุทั้งหลายนี้เป็นมหาโจรจำพวกที่๒มีปรากฏอยู่ในโลก

    ๓.ดูก่อนภิกษุทั้งหลายอีกข้อหนึ่งภิกษุผู้เลวทรามบางรูปในธรรมวินัยนี้ย่อมตามกำจัดเพื่อนพรหมจารีผู้หมดจดผู้ประพฤติพรหมจรรย์อันบริสุทธ์อยู่ด้วยธรรมอันเป็นข้าศึกแก่พรหมจรรย์อันหามูลมิได้ดูก่อนภิกษุทั้งหลายนี้เป็นมหาโจรจำพวกที่๓มีปรากฏอยู่ในโลก

    ๔.ดูก่อนภิกษุทั้งหลายอีกข้อหนึ่งภิกษุผู้เลวทรามบางรูปในธรรมวินัยนี้ย่อมสงเคราะห์เกลี้ยกล่อมคฤหัสถ์ทั้งหลายด้วยครุภัณฑ์ครุบริขารของสงฆ์คืออารามพื้นที่อารามวิหารพื้นที่วิหารเตียงตั่งฟูกหมอนหม้อโลหะอ่างโลหะกระถางโลหะกระทะโลหะมีดขวานผึ่งจอบสว่านเถาวัลย์ไม้ไผ่หญ้ามุงกระต่ายหญ้าปล้องหญ้าสามัญดินเหนียวเครื่องไม้เครื่องดินดูก่อนภิกษุทั้งหลายนี้เป็นมหาโจรจำพวกที่๔มีปรากฏอยู่ในโลก

    ๕.ดูก่อนภิกษุทั้งหลายภิกษุผู้กล่าวอวดอุตตริมนุสสธรรมอันไม่มีอยู่อันไม่เป็นจริงนี้จัดเป็นยอดมหาโจรในโลกพร้อมทั้งเทวโลกมารโลกพรหมโลกในหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณะพราหมณ์เทวดาและมนุษย์ข้อนั้นเพราะเหตุไรเพราะภิกษุนั้นฉันก้อนข้าวของชาวแว่นแคว้นด้วยอาการแห่งคนขโมย”
    ครั้นแล้วทรงติเตียนภิกษุชาวริมฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทาด้วยประการต่างๆพร้อมทั้งทรงบัญญัติสิกขาบทห้ามอวดคุณพิเศษที่ไม่มีในตนเมื่ออวดไปแล้วแม้จะออกตัวสารภาพผิดทีหลังก็ต้องอาบัติปาราชิกขาดจากความเป็นภิกษุ



    อัคคิขันธูปมสูตร

    สาเหตุที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงร่วมทำปาฎิโมกขร่วมอีก

    ***พระผู้มีพระภาคได้ตรัสไวยากรณภาษิตนี้จบลงแล้ว และเมื่อกำลังตรัส
    ไวยากรณภาษิตนี้อยู่ โลหิตร้อนพุ่งออกจากปากของภิกษุ ๖๐ รูป (พวกต้น)
    ภิกษุ ๖๐ รูป (พวกกลาง) ลาสิกขา สึกมาเป็นคฤหัสถ์ ด้วยกราบทูลพระผู้มี
    พระภาคว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ทำได้ยาก ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ทำได้
    แสนยาก อีก ๖๐ รูป จิตหลุดพ้นจากอาสวะเพราะไม่ถือมั่น ฯ
    ***

    สงฆ์ไม่บริสุทธิ์ ย่อมล้มตายเป็นอันมาก

    อามิสทายาท โมฆะบุรุษ มหาโจร การที่บุคคลผู้ทุศีล มีธรรมลามก มีความประพฤติสกปรกน่ารังเกียจ ปกปิดกรรมชั่ว มิใช่สมณะ แต่ปฏิญาณว่าเป็นสมณะ มิใช่ผู้ประพฤติพรหมจรรย์แต่ปฏิญาณว่าประพฤติพรหมจรรย์ เน่าใน มีความกำหนัดกล้า เป็นดังหยากเยื่อ เข้าไปนั่งกอดหรือนอนกอดพระราชธิดา บุตรสาวพราหมณ์หรือบุตรสาวคฤหบดี ผู้มีฝ่ามือฝ่าเท้าอ่อนนุ่มนั้น ย่อมเป็นไปเพื่อ ความฉิบหายมิใช่ประโยชน์ เพื่อความทุกข์ตลอดกาลนานแก่เขา และผู้นั้นเมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติวินิบาต นรก

    บุคคลผู้ทุศีล มีธรรมลามก มีความประพฤติสกปรกน่ารังเกียจ ปกปิดกรรมชั่ว มิใช่สมณะ แต่ปฏิญาณว่าเป็นสมณะ มิใช่ผู้ประพฤติพรหมจรรย์แต่ปฏิญาณว่าประพฤติพรหมจรรย์ เน่าใน มีความกำหนัดกล้า เป็นดังหยากเยื่อ บริโภคบิณฑบาตที่เขาถวายด้วยศรัทธาของกษัตริย์มหาศาล พราหมณ์มหาศาล หรือคฤหบดีมหาศาลนั้น ย่อมเป็นไปเพื่อความฉิบหายมิใช่ประโยชน์ เพื่อทุกข์สิ้นกาลนาน แก่บุคคลผู้ทุศีลนั้น และบุคคลผู้ทุศีลนั้น เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติวินิบาต นรก

    บุคคลผู้ทุศีล มีธรรมลามก มีความประพฤติสกปรกน่ารังเกียจ ปกปิดกรรมชั่ว มิใช่สมณะ แต่ปฏิญาณว่าเป็นสมณะ มิใช่ผู้ประพฤติพรหมจรรย์แต่ปฏิญาณว่าประพฤติพรหมจรรย์ เน่าใน มีความกำหนัดกล้า เป็นดังหยากเยื่อ บริโภคจีวรที่เขาถวายด้วยศรัทธา ของกษัตริย์มหาศาล พราหมณ์มหาศาล หรือคฤหบดีมหาศาล นั้น ย่อมเป็นไปเพื่อความฉิบหายมิใช่ประโยชน์ เพื่อทุกข์สิ้นกาลนานแก่บุคคลผู้ทุศีลนั้น และบุคคลผู้ทุศีลนั้น เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติวินิบาต นรก

    บุคคลผู้ทุศีล มีธรรมลามก มีความประพฤติสกปรกน่ารังเกียจ ปกปิดกรรมชั่ว มิใช่สมณะ แต่ปฏิญาณว่าเป็นสมณะ มิใช่ผู้ประพฤติพรหมจรรย์แต่ปฏิญาณว่าประพฤติพรหมจรรย์ เน่าใน มีความกำหนัดกล้า เป็นดังหยากเยื่อ ยินดีอัญชลีกรรมของกษัตริย์มหาศาล พราหมณ์มหาศาล หรือคฤหบดีมหาศาลนั้น ย่อมเป็นไปเพื่อความฉิบหายมิใช่ประโยชน์ เพื่อทุกข์สิ้นกาลนาน แก่บุคคลผู้ทุศีลนั้น และบุคคลผู้ทุศีลนั้น เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติวินิบาต นรก


    บุคคลผู้ทุศีล มีธรรมลามก มีความประพฤติสกปรกน่ารังเกียจ ปกปิดกรรมชั่ว มิใช่สมณะ แต่ปฏิญาณว่าเป็นสมณะ มิใช่ผู้ประพฤติพรหมจรรย์แต่ปฏิญาณว่าประพฤติพรหมจรรย์ เน่าใน มีความกำหนัดกล้า เป็นดังหยากเยื่อ บริโภคเตียงตั่งที่เขาถวายด้วยศรัทธา ของกษัตริย์มหาศาล พราหมณ์มหาศาล หรือคฤหบดีมหาศาล ย่อมเป็นไปเพื่อความฉิบหายมิใช่ประโยชน์ เพื่อทุกข์ตลอดกาลนาน แก่บุคคลผู้ทุศีลนั้น และบุคคลผู้ทุศีลนั้น เมื่อตายไปแล้ว ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติวินิบาต นรก

    บุคคลผู้ทุศีล มีธรรมลามก มีความประพฤติสกปรกน่ารังเกียจ ปกปิดกรรมชั่ว มิใช่สมณะ แต่ปฏิญาณว่าเป็นสมณะ มิใช่ผู้ประพฤติพรหมจรรย์แต่ปฏิญาณว่าประพฤติพรหมจรรย์ เน่าใน มีความกำหนัดกล้า เป็นดังหยากเยื่อ บริโภควิหารที่เขาถวายด้วยศรัทธา ของกษัตริย์มหาศาล พราหมณ์มหาศาล หรือคฤหบดีมหาศาลนั้น ย่อมเป็นไปเพื่อความฉิบหายมิใช่ประโยชน์ เพื่อทุกข์ตลอดกาลนาน แก่
    บุคคลผู้ทุศีลนั้น และบุคคลผู้ทุศีลนั้น เมื่อตายไปแล้ว ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติวินิบาต นรก



    บุคคลผู้เป็นบัณฑิตอาศัยธรรมเข้าสู่ทิพยภูมิของพระอริยะ
    บุคคลผู้เป็นพาลอาศัยธรรมเข้าสู่อบาย ทุคติวินิบาต นรก


    คัทรภสูตร
                  ดูกรภิกษุทั้งหลาย ลาติดตามไปเบื้องหลังฝูงโค มันร้อง
    ว่า แม้เราก็เป็นโค แต่สี เสียงและรอยเท้าของมันหาเหมือนของโคไม่ มัน
    เป็นแต่เดินตามหลังฝูงโคร้องว่า แม้เราก็เป็นโคๆ ดังนี้เท่านั้น แม้ฉันใด ดูกร
    ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุบางรูปในธรรมวินัยนี้ ฉันนั้นเหมือนกันแล ติดตามไปเบื้อง
    หลังภิกษุสงฆ์ร้องประกาศว่า แม้เราก็เป็นภิกษุๆ แต่ความพอใจในการสมาทาน
    อธิศีลสิกขา อธิจิตตสิกขา และอธิปัญญาสิกขาของเรา หาเหมือนของภิกษุ
    ทั้งหลายไม่ เขาเป็นแต่ติดตามไปเบื้องหลังภิกษุสงฆ์ร้องประกาศว่า แม้เราก็เป็น
    ภิกษุๆ ดังนี้เท่านั้น เพราะฉะนั้นแหละ ภิกษุทั้งหลาย ท่านทั้งหลายพึงศึกษา
    ว่า เราจักมีความพอใจอย่างแรงกล้าในการสมาทานอธิศีลสิกขา เราจักมีความ
    พอใจอย่างแรงกล้าในการสมาทานอธิจิตตสิกขา เราจักมีความพอใจอย่างแรงกล้า
    ในการสมาทานอธิปัญญาสิกขา ดูกรภิกษุทั้งหลาย ท่านทั้งหลายพึงศึกษาเช่นนี้แล ฯ


    บ้างก็ว่า"
    “กู  เป็นโค !”๑

          ภิกษุ ท. !   ลาที่เดินตามฝูงโคไปข้างหลัง ๆ  แม้จะร้องอยู่ว่า  “กู ก็เป็น

    โค,   กู ก็เป็นโค”  ดังนี้ก็ตามที,   แต่สีของมันก็หาเป็นโคไปได้ไม่,   เสียงของ

    มันก็หาเป็นโคไปได้ไม่,     เท้าของมันก็หาเป็นโคไปได้ไม่,     มันก็ได้แต่เดิน

    ตามฝูงโคไปข้างหลัง ๆ  ร้องเอาเองว่า  “ กู ก็เป็นโค,    กู ก็เป็นโค”  ดังนี้  เท่านั้น.  

                            ข้อนี้ฉันใด ;

                                       

          ภิกษุ ท. !   ภิกษุบางรูปในกรณีเช่นนี้  ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ;  คือแม้จะ

    เดินตามหมู่ภิกษุไปข้างหลัง ๆ ร้องประกาศอยู่ว่า  “ข้า ก็เป็นภิกษุ, ข้า ก็เป็น             

    ภิกษุ”  ดังนี้ก็ตามที,    แต่   ความใคร่ในการประพฤติสีลสิกขาของเธอ

    ไม่เหมือนของภิกษุทั้งหลาย,       ความใคร่ในการประพฤติจิตตสิกขาของเธอ  

    ไม่เหมือนของภิกษุทั้งหลาย,    ความใคร่ในการประพฤติปัญญาสิกขาของเธอ  

    ไม่เหมือนของภิกษุทั้งหลาย,     ภิกษุรูปนั้น    ได้แต่เดินตามหมู่ภิกษุไปข้างหลัง ๆ     

    ร้องประกาศเอาเองว่า     “ข้า   ก็เป็นภิกษุ,      ข้า   ก็เป็นภิกษุ”    ดังนี้เท่านั้น.


         ๑.   บาลี   พระพุทธภาษิต   ติก.   อํ.   ๒๐/๒๙๔/๕๒๒.

     

       ภิกษุ ท. !      เพราะฉะนั้น     ในเรื่องนี้    พวกเธอทั้งหลายพึงสำเหนียกใจ

    ไว้ว่า     “ความใคร่ในการประพฤติสีลสิกขาของเรา     ต้องเข้มงวดเสมอ,     ความ

    ใคร่ในการประพฤติจิตตสิกขาของเรา     ต้องเข้มงวดเสมอ,          ความใคร่ในการ

    ประพฤติปัญญาสิกขาของเรา ต้องเข้มงวดเสมอ” ดังนี้. ภิกษุท.! พวกเธอ

               ทั้งหลาย     พึงสำเหนียกใจไว้อย่างนี้แล.


    7 วันต่อมา


    24 สิงหาคม 2559 15:12


    จับพระปลอมออกเดินเรี่ยไรเงิน สารภาพหมดเปลือกทำเป็นขบวนการใหญ่

    เมื่อเวลาประมาณ 11.30 นาที เจ้าหน้าที่สายตรวจ สภ.เมืองพิษณุโลก ออกปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ และไปพบพระพร้อมกับลูกศิษย์กำลังเดินรับบริจาคเงินจากประชาชนจึงเข้าไปสอบถามที่มาที่ไป และชี้แจ้งว่าเป็นการกระทำผิดที่ไม่ ถูกต้อง จึงได้พาตัวมาที่วัดเขื่อนขันธ์ ตำบลอรัญญิก อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก เพื่อปรับทัศนะคติ และอบรม แต่ผลปรากฏว่าเมื่อมาถึงที่วัดลูกศิษย์ที่ติดตามพระดังกล่าวมาได้หลบหนีไป จึงได้สอบถามจนยอมรับสารภาพว่าเป็นพระปลอม และแอบอ้างศาสนามาหากิน

    จากการสอบถามเบื้องต้นทราบชื่อพระปลอม คือ นายวัลลพ สุวรรณปาน อายุ 37 ปี ชาวตำบลทุ่งหลวง อำเภอคีรีมาส จังหวัดสุโขทัย และให้การรับสาภาพว่าตนเองเป็นพระปลอม แอบอ้างชื่อวัดต่างๆ ซึ่งวันนี้มีในใบรับบริจาคเป็นชื่อ วัดใหม่ละมัยทอง ตั้งอยู่ที่ตำบลไทรย้อย อำเภอเนินมะปราง จังหวัดพิษณุโลก เพื่อออกรับบริจาคเงิน  โดยให้การว่าทำมาแล้วนานกว่า 3 ปี ร่วมกับเพื่อนในขบวนการอีกจำนวนมาก นอกจากนี้ ด้วยความโมโหเพื่อนที่ทิ้งตัวเองหลังจากถูกตำรวจจับจึงได้ให้การซักทอดว่าทำงานกันเป็นขบวนการใหญ่ ที่รู้จักมีทั้งหมด 6 กลุ่ม มีหัวหน้าใหญ่ของแต่ละกลุ่ม พร้อมจะพาไปชี้จุดที่ตั้งของแต่ละกลุ่ม ในพื้นที่อำเภอคีรีมาส และอำเภอเมืองสุโขทัย โดยวิธีการทำงานจะออกเรี่ยไรเงินบริจาคไปตามจังหวัดต่างๆ เช่น พิษณุโลก กำแพงเพชร นครสวรรค์ เพชรบูรณ์ อุตรดิตถ์ และพิจิตร โดยตอนทำงานก็จะใส่จีวรพระและมีคนเดินตามด้วย 1 คน ตอนเช้าจะมีรถเอาไปปล่อยตามจุดต่างๆ และมารับกลับ พอกลับบ้านก็จะถอดจีวรออก และใช้ชีวิต กิน เที่ยวปกติ โดยยังได้กล่าวอีกว่า ตนเองเคยถูกจับมาแล้วถึง 3 ครั้ง คดีกัญชา และยาบ้า

    โดยในวันนี้ทางพระอธิการรังสัน ธัมมทีโป เจ้าคณะตำบลไทรย้อย อำเภอเนินมะปราง พระคณะกรรมการวัดได้เดินทางมาธุระในจังหวัดพิษณุโลกพอดี เมื่อทราบข่าวจึงได้เดินทางมาชี้ตัวพระปลอม โดยกล่าวว่าวัดใหม่ละมัยทองที่ถูกแอบอ้างนั้นได้เปลี่ยนชื่อวัด เป็นวัดวังแก่ง มานานกว่า 2 เดือนแล้ว และในวันนี้ก็ถือว่าโชคดีที่สามารถจับกุมตัวมารศาสนาได้และก็จะเดินทางไปแจ้งความดำเนินคดีเอาเรื่องให้ถึงที่สุด เพื่อไม่ให้ไปสร้างความเดือนร้อนให้กับพุทธศาสนิกชนชาวพุทธอีกต่อไป

    โดยทางเจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจ สภ.เมืองพิษณุโลก ได้นำตัวนายวัลลพ สุวรรณปาน ถอดจีวรออกและเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนำตัวไปดำเนินคดี โดยจะประสานกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจังหวัดสุโขทัย เพื่อขยายผลกวาดล้างขบวนการพระปลอมต่อไป

    จับพระปลอมออกเดินเรี่ยไรเงิน สารภาพหมดเปลือกทำเป็นขบวนการใหญ่: NEWSPLUS ONLINE
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 สิงหาคม 2016
  11. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    พุทธทำนายที่มีผู้ถอดความจากศิลาจารึก เชตมหาวิหาร สวนมฤคทายวัน ประเทศอินเดีย ความว่า พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสกับพระอานนท์ว่า “ ....เมื่อศาสนาตถาคตล่วงเลยไปถึงกึ่งพุทธกาล สัตว์โลกทั้งหลายที่เกิดในยุคนั้นจะพบกับความลำบากทุกชาติทุกศาสนา ตามธรรมชาติอันหมุนเวียนของโลก ที่หมุนเวียนไปใกล้ความแตกทำลาย แผ่นดินแผ่นน้ำจะลุกเป็นไฟ มนุษย์และสัตว์จะได้รับภัยพิบัติสารพัดทั่วทิศ คนในสมัยนั้นจะมีวิสัยโหดดุจกำเนิดจากสัตว์ป่าอำมหิต จะรบราฆ่าฟันกันถึงเลือดนองแผ่นดินแผ่นน้ำ ส่วนเวไนยสัตว์ผู้ขวนขวายในกุศลตามวัจนะของตถาคต ก็จะระงับร้อนไม่รุนแรง บ้านเมืองใดมีความเคารพยำเกรงในพระรัตนตรัยและคุณบิดามารดา เหตุร้ายภัยพิบัติจักเบาบาง แต่ก็จะหนีกฎธรรมชาติไม่พ้น …… ในระยะนั้นศาสนาของตถาคตเสื่อมลงมาก เพราะพุทธบริษัทไม่ตั้งอยู่ในศีลธรรม เชื่อคำของคนโกง กล่าวคำเท็จ ไม่เคารพหลักธรรมนิยม คนประจบสอพลอได้รับการเชื่อถือในสังคม ผู้มีศีลธรรมประพฤติชอบกลับไม่มีคนเคารพยำเกรง พระธรรมจะเริ่มเปล่งแสงรัศมีฉายส่องโลกอีกวาระหนึ่ง เมื่อมีธรรมิกราชโพธิญาณบังเกิดขึ้น อยู่ในความอุปถัมภ์ของพระเถระผู้ทรงธรรมฤทธิ์ จะเสด็จมาเสริมสร้างพระศาสนาของตถาคตให้รุ่งเรืองสืบไปอีก ๕,๐๐๐ พระวรรษา …. คำทำนายของตถาคตนี้ ย่อมยังเวไนยสัตว์ให้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ผู้ใดรู้แล้วไม่เชื่อ นับเป็นกรรมของสัตว์โลกที่ต้องสิ้นสุดไปตามกรรมชั่วของตน ผู้ใดปรารถนารอดพ้นจากภัยพิบัติ ให้รักษาศีลห้าประการ เจริญเมตตากรุณา ประกอบสัมมาอาชีพ มีใจสันโดษ รู้จักพอ ไม่หลงมัวเมาในอำนาจและลาภยศ ตั้งใจประพฤติตนตามคำสอนของตถาคตให้มั่นคง จึงจะพ้นอันตรายในยุคกึ่งพุทธกาล


    ดูกรจุนทะ แม้หากว่าสิ่งที่เป็นอดีต ไม่เป็นจริง ไม่แท้ ไม่ประกอบ
    ด้วยประโยชน์ ตถาคตก็ไม่พยากรณ์สิ่งนั้น ดูกรจุนทะ แม้หากว่าสิ่งที่เป็นอดีตเป็นของจริง เป็นของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ตถาคตก็ไม่พยากรณ์แม้สิ่งนั้น

    ดูกรจุนทะ แม้หากว่าสิ่งที่เป็นอดีต เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์ ตถาคตย่อมเป็นผู้รู้กาลในสิ่งนั้น เพื่อพยากรณ์ปัญหานั้น

    ดูกรจุนทะ แม้หากว่าสิ่งที่เป็นอนาคตไม่เป็นจริง ไม่แท้ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ตถาคตก็ไม่พยากรณ์สิ่งนั้น

    ดูกรจุนทะ แม้หากว่าสิ่งที่เป็นอนาคต เป็นของจริงเป็นของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ตถาคตก็ไม่พยากรณ์แม้สิ่งนั้น


    ดูกรจุนทะแม้หากว่าสิ่งที่เป็นอนาคต เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์ตถาคตย่อมเป็นผู้รู้กาลในสิ่งนั้น เพื่อพยากรณ์ปัญหานั้น

    ดูกรจุนทะ แม้หากว่าสิ่งที่เป็นปัจจุบัน ไม่เป็นจริง ไม่แท้ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ตถาคตย่อมไม่พยากรณ์สิ่งนั้น

    ดูกรจุนทะ แม้หากว่าสิ่งที่เป็นปัจจุบัน เป็นของจริง เป็นของแท้แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ตถาคตก็ไม่พยากรณ์แม้สิ่งนั้น

    ดูกรจุนทะ แม้หากว่าสิ่งที่เป็นปัจจุบัน เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์ ตถาคตย่อมเป็นผู้รู้กาลในสิ่งนั้น เพื่อพยากรณ์ปัญหานั้น

    ด้วยเหตุดังนี้แล จุนทะ ตถาคตเป็นกาลวาที เป็นสัจจวาที เป็นภูตวาที เป็นอัตถวาที เป็นธรรมวาที เป็นวินัยวาทีในธรรมทั้งหลายทั้งที่เป็นอดีต อนาคตและปัจจุบัน เพราะฉะนั้น ชาวโลกจึงเรียกว่าตถาคโต ด้วยประการดังนี้แล ฯ



    """เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์ตถาคตย่อมเป็นผู้รู้กาลในสิ่งนั้น เพื่อพยากรณ์ปัญหานั้น?"""

    ***อะไรล่ะที่เป็นของจริงของแท้ ? ที่ประกอบด้วยประโยชน์ ก็สิ่งนั้นแล ทางออกมีเพียงทางเดียว ต้องกำเนิดพระอริยะบุคคล ตามที่ต้องพยากรณ์และทรงชี้พยากรณ์ให้โดยเฉพาะอุบัติขึ้น และได้ปาฎิหาริย์ ๓ เท่านั้น ไม่มีทางอื่น ***

    "มั่นใจ"

    ข้อถกเถียงที่เกิดในโลกมนุษย์ที่ส่งผลหลัก คือเรื่องธรรมทั้งมวล เหตุการ์ณในโลกมนุษย์ย่อมสงผลถึงโลกธาตุอื่นด้วย ทั้งในสวรรค์และนรก เมื่อถกเถียงจึงวุ่นวายหาข้อยุติมิได้ โดยเฉพาะในเรื่องพระสัทธรรมและอสัทธรรม เมื่อพระสัทธรรมเริ่มเลือนลางไปจากใจของหมู่สัตว์ในโลกธาตุ

    หากเมื่อใดโลกบังเกิดอลัชชีสรรเสริญแต่งเติมซึ่งสัทธรรมปฎิรูปย่ำยีเสียแล้วซึ่งพระสัทธรรมก้าวล่วงเป็นใหญ่ในสังฆปริมณฑล ทุกภพภูมินรกสวรรค์จึงเกิดวิปริตแปรปรวนมากขึ้น จากที่เป็นอยู่ธรรมดาที่ไม่เที่ยงอย่างนั้นและอย่างนั้นอยู่แล้ว เมื่อเป็นเช่นนั้นก็ย่อมเกิดภัยพิบัติแก่โลกมนุษย์นั้นด้วย เมื่อไร้ซึ่งพระสัทธรรม อสัทธรรมจึงโชติช่วง โลกาย่อมวินาศ ณ ครานั้น

    เมื่ออสัทธรรมกล้าแข็งถึงที่สุด เมื่อโลกธาตุทั้งหลายสั่นไหว บุคคลทั้งหลายปราถนาพระสัทธรรม จึงจะมีการถือกำเนิดจุติธรรมเป็นอิทัปปัจยตา แม้ผู้รู้แล้วยังทำได้แค่อยากและปราถนาก็ได้พึ่งธรรมพึ่งตนเฝ้าคอย เพียงเท่านั้น

    ผู้ใดเล่าหนอจะมาไถพรวนผืนดินถิ่นธรรมนี้ให้ราบลุ่มเขียวขจี



    หมาจิ้งจอกแก่หลายตัว ตัวหนึ่งเด่นๆในยุคนี้ก็จะเป็นใครไปได้ ถ้าไม่ใช่คึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล แห่งวัดนาป่าพง



    คัดลอกมาให้อ่านเบื้องต้น
    สุบินข้อที่ ๖ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันเห็นมหาชนขัดถูถาดทองราคาตั้งแสนกระษาปณ์แล้วพากันน าไปให้หมาจิ้งจอกแก่ตัวหนึ่ง ด้วยค าว่า เชิญท่านเยี่ยวใส่ในถาดทองนี้เถิด หมาจิ้งจอกแก่นั้น ก็ถ่ายปัสสาวะใส่ในถาดทองนั้น.

    ตามความเข้าใจโดยส่วนตัวของข้าพเจ้า"Bawwarwnrak Kringwasutponziry" ในสุบินหัวข้อที่ ๖ นี้ได้มีการตีความผิดอย่างสิ้นเชิงเพราะประโยคที่ว่า “ ถาดทองคำที่มีราคาตั้งแสนกระสาปณ์” นั้น ตามความที่แท้จริง หมายถึง

    “ พระธรรม คำสอนขององค์พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า”

    พระเดชพระคุณพระอรหันตเจ้าทั้งหลายและพระมหากระษัตรย์ผู้ทรงเกียรติคุณทั้งหลาย ที่มีส่วนร่วมสำคัญโดยตรงในการทำการยกเครื่องปฐมสังคายนาคือ การประชุมตรวจชำระสอบทานและจัดหมวดหมู่พระธรรมคำสั่งสอนของ “ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือ พระพุทธองค์” ขึ้นกันอย่างพร้อมเพียงกันเพื่อบรรจุไว้เป็นลายลักษณ์อักษรและจัดวางลงไว้ให้เป็นหมวดหมู่อย่างมีระบบแบบแผนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันและสอดคล้องกันอย่างเป็นระบบ (การรวบรวมจัดทำประไตรตรปิฎก)

    ขึ้นทั้งในช่วงยุคแรกๆหลังจากพระปรินิพพาน หรือ และเหตุการณ์ที่สำคัญอีกช่วงหนึ่ง คือในยุคสมัยของ “ พระเจ้าอโศกมหาราช”
    และต่อมาภายหลังได้มีการแปลพระไตรปิฎก จาก ภาษาสิงหลเป็นภาษาบาลีแทน จึงมีส่วนอย่างมากกับสำนวนต่อไปนี้“ หมาจิ้งจอกแก่” นั้น หมายถึง ผู้ที่มีอายุและมีความรู้ความเชี่ยวชาญในลัทธิคำสอนของตนนั้นๆ และคำสอนในลัทธินั้นไม่ได้นำไปสู่การบรรลุความเป็นพระอริยบุคคลแต่อย่างใด และท่านผู้นั้นจะต้องมีความรู้ความเชี่ยวชาญทั้งแบบพุทธในระดับที่ได้รับ
    ความหน้าเชื้อถือจากบุคคลผู้ที่นับถือศาสนาพุทธในยุคสมัยนั้นเป็นอย่างดีมากพอควรเพราะฉะนั้น คำว่า “ มหาชนได้นำถาดทองคำที่ถูขัดแล้วเป็นอย่างดีที่มีราคาตั้งแสนกษาปณ์ไป เชื้อเชิญให้หมาจิ้งจอกแก่ถ่ายปัสวะลงในถาดทองคำนั้น”จึงหมายถึง บุคคลหรือมหาชนผู้ที่รู้เท่าไม่การณ์ในเวลานั้นมากกว่าอย่างอื่น ที่ได้ให้การยอมรับ และอนุญาติให้ผู้มีอายุผู้ท่านนั้นสามารถถ่ายทอดลัทธิคำสอนตามความเชื้อดั้งเดิมของตนลงใน พระไตรปิฎกได้ตามแต่เห็นสมควรและตามความพอใจของท่านผู้นั้น ซึ่งช่วงเวลาหนึ่งนั้น ยุคพระเวทที่สี่ หรือ อรรถวนเวท นั้นมาแรง และในขณะเดียวกันศาสนาพุทธเถรวาทได้เริ่มเสื่อมคลายถดทอยลงในอินเดียในเวลานั้นด้วย


    ซึ่งจะเห็นได้ว่าในพระไตรปิฎกต้นฉบับพระบาลีได้มีสูตรลัทธิคำสอนของพราหมณ์ถูกบรรจุสอดแทรกเข้าไปด้วย เช่น “ เรื่องพระราหูจับพระอาทิตย์พระจันทร์ในสังยุตตนิกาย” เป็นต้น สรุปแล้ว ถาดทองคำบริสุทธิ์ถึงแม้จะบรรจุปัสวะของสุนัขจิ้งจอกแก่ แต่ถ้าได้มีการชำละล้างปัสวะของสุนัขแก่จิ้งจอกนั้นออกไป ก็จะยังคงความเป็นทองคำบริสุทธิ์ฉันใดก็ฉันนั้นไม่
    แปรเปลี่ยนยังบริสุทธิ์เช่นเดิม ส่วนปัสวะของสุนักจิ้งจอกแก่สกปรกฉันใดก็ฉันนั้นเหมือนกัน!

    ซึ่งถ้าศึกษากันให้ดีก็พอจะมองออกว่า ในบางลัทธินั้นได้มีความพยามที่จะประกาศว่าศาสนาพุทธคือเป็นส่วนหนึ่งในลัทธิคำสอนของเขา! อีกอย่างคนหรือสัตว์โลกจะไม่มีความประเสร็ฐและอยู่คงที่เสมอไปเมื่อนำมาเปรียบเทียบกับถาดทองคำที่มีค่าตั้งแสนกษาปณ์ใบนั้นๆ ที่ค่าส่วนผสของมันไม่มีวันเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา และตราบใดถ้าหากบุคคลนั้นๆ ยังไม่บรรลุพระอริยบุคคลและพระอรหันต์เพียงไร ย่อมมีการเปลี่ยนแปลงแปรปรวนตามกรรมดีกรรมชั่วเป็นธรรมดา!
    อ้างอิง: ฤทธิ์-ปาฎิหาริย์

    ถ้าลอกมาจากตรงนี้ ก็แสดงว่า มีสติปัญญาไม่เท่าไหร่ บางอย่างวิสัชนาตื้นเขินไป จนต้องมาแก้ให้หลายอย่าง เขาโจกท์เขาก่นด่า ก็ต้องคอยแก้ให้หลายต่อหลายครั้งในสื่อต่างๆ คิดว่าวางหมากไว้ให้แก้ เราจึงต้องตำหนิไปตามธรรมที่มีโทษ ไม่ถือว่าตำหนิบุคคล เพ่งธรรม ไม่เพ่งบุคคล




    https://th.wikipedia.org/wiki/พุทธทำนาย





    " มหาบพิตร ผลแห่งสุบินแม้นี้ ก็จักมีในรัชกาลแห่งพระราชาผู้ไม่ตั้งอยู่ในธรรม ในอนาคตเหมือนกัน

    ครั้นทรงทำนายผลแห่งสุบินใหญ่ๆ ๑๖ ข้อ อย่างนี้แล้ว ตรัสว่า ดูก่อนมหาบพิตร มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ที่มหาบพิตรได้เห็นสุบินเหล่านี้ แม้พระราชาทั้งหลายแต่ก่อนๆ ก็ได้ทรงเห็นแล้วเหมือนกัน แม้พวกพราหมณ์ก็ถือเอาสุบินเหล่านี้ นับเข้าในยอดยัญพิธีอย่างนี้เหมือนกัน ภายหลังอาศัยคำแนะนำที่พวกเป็นบัณฑิตพากันกราบทูล จึงถามพระโพธิสัตว์ แม้ท่านโบราณกบัณฑิตทั้งหลาย เมื่อทำนายสุบินเหล่านี้แก่พระราชาเหล่านั้น ก็พากันทำนายทำนองนี้แหละ"


    อภยปริตร

          ครั้งหนึ่ง พระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงพระสุบินนิมิต ถึงอาเพศ ๑๖ อย่าง แล้วให้เกิดความหวาดหวั่น ต่อมรณภัยที่มองไม่เห็น จึงทรงเล่าพระสุบินนั้น ให้พราหมณ์ปุโรหิตรับฟัง พราหมณ์ปุโรหิตพยากรณ์ว่าจะบังเกิดเหตุการณ์ให้พระองค์มีอันตรายอย่างหนึ่งอย่างใด รวมทั้งราชสมบัติด้วย
         
          ปุโรหิตนั้น ได้ทูลแนะวิธีป้องกันอันตราย ด้วยบัญญัติวิธี คือ เอาสัตว์อย่างละ ๔ ๆ มาฆ่าบูชายัญ
         
          พระเจ้าปเสนทิโกศล จึงทรงมีรับสั่งให้จัดเตรียม ประจำพิธีและสิ่งของ ตามถ้อยคำของปุโรหิตบอก
         
          ครานั้น พระนางมัลลิกาเทวี พระมเหสีของพระเจ้าปเสนทิโกศล จึงทูลขึ้นว่า เสด็จพี่อย่าพึ่งทำยัญพิธีกรรมใด ๆ เลย ขอได้โปรดเสด็จไปทูลถาม ถึงพระสุบินนิมิตนั้น แด่พระผู้มีพระภาคเจ้าก่อน พระองค์ทรงเป็นสัพพัญญู มิมีสิ่งใดที่พระพุทธองค์ไม่รู้
         
          ราชาโกศล จึงเสด็จพร้อมมเหสีและบริวาร ไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ณ เชตวันมหาวิหาร แจ้งทูลถามถึงสุบินนิมิตทั้ง ๑๖ ข้อนั้น
         
          พระผู้มีพระภาคทรงตรัสว่า ดูก่อนมหาบพิตร ภัยอันตรายใด ๆจะพึงบัง เกิดมีแก่พระองค์ จากเหตุแห่งพระสุบินนิมิตนั้น หามีไม่ สุบินนิมิตของพระองค์ เป็นสิ่งบอกเหตุที่จะเกิดขึ้นในอนาคต หวังจากเราตถาคตนิพพานไปแล้ว และในที่สุดพระผู้มีพระภาค จึงทรงขอให้พระเจ้าปเสนทิโกศล ล้มเลิกยัญพิธีทั้งปวงเสีย
         
          บัดนี้ถึงกาลอันควรแล้ว ขอเชิญพระสาวกแก้ว ได้โปรดสาธยาย อะภะยะปริตร เพื่อพิชิตอวมงคลทั้งหลายที่บังเกิดขึ้น ให้พินาศไป ด้วยเทอญ

    กระทู้แสดงสติปัญญาศิษย์คึกแห่งสำนักวัดนาป่าพง

    http://palungjit.org/threads/ศิลาจารึกพุทธทำนาย-มีจริงหรือ.513456/

    ทำไมจะมีไม่ได้
    ศิลาพุทธทำนายอยากรู้ว่ามีหรือไม่มี ก็หาคนไปถอดความแปลเอาทีอีก ถ้ายังไม่หนำใจ ขนาดคึกฤทธิ์แห่งวัดนาป่าพง อ้างจารึกเสาอโศกมีคำสอนเป็นพระไตรปิฏก

    หนอนพระไตรปิฎกแฉวัดนาป่าพง: จารึกอโศก กับพุทธวจน การโกหกคำโตของพระคึกฤทธิ์

    "เสาอโศกไม่มีการบันทึกคำสอนใดๆ ไม่มีพุทธวจนะใดๆ มีแต่ "อโศกวจนะ"  

    ไปสิอินเดีย ไปหาศิลาจารึก ที่พระเชตมหาวิหาร สวนมฤคทายวัน เอาล่ามที่นั่นไปแปลด้วย


    ไม่มีพระสูตรเหล่านี้ หรือ คึกฤทธิ์แห่งวัดนาป่าพง มันโง่จนวิสัชนาไม่ออกกันแน่ อยากดังล้มพระไตรปิฏกชูหางตนเอง จิ้งจอกเฒ่าเอ๊ย ฝากไปถึง คึกด้วย

    พระเจ้าประเสนธิโกศลไม่มีจริง มหาสุบินไม่มีจริง ว่างั้นเถอะ อภยปริตรก็ไม่มีจริง ต่ำช้ามาก หัดสูงเร็วบ้าง



    ออ ฝากสำหรับไอ้พวกหมิ่นไม่เชื่อพุทธทำนาย และโดยเฉพาะลิ่วล้อโง่ๆของวัดนาป่าพง พวกนี้ก็หมิ่นหลวงพ่อฤษีและครูบาอาจาย์อีกหลายฯท่านด้วย สรุปที่พวกนั้นแสดงมาว่าเคารพหลวงพ่อฤษี หรือครูบาอาจาย์อีกหลายท่านที่ท่านกล่าวถึงพุทธทำนาย ให้ไปสังเกตุดูได้เลย นั่นแสดงว่า สภาวะธรรมมันรวนจนจะเป็นบ้าเสียสติไปแล้ว กระแสธรรมตีกันเองมั่วไปหมด สม๋งสมอง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • -6-728.jpg
      -6-728.jpg
      ขนาดไฟล์:
      138.8 KB
      เปิดดู:
      125
    • end_time_prop.jpg
      end_time_prop.jpg
      ขนาดไฟล์:
      129.1 KB
      เปิดดู:
      101
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 สิงหาคม 2016
  12. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    อย่างที่เว็บสโนว์นำมาแสดง ปี2560 คือกึ่งพุทธกาล สำหรับที่เราพิจารณา คือ 2580 ขาดกันประมาณนี้ ยังนึกเลยว่า เมื่อแก่ตัวลงขนาดนั้นพระโพธิสัตว์ต่างๆจะได้รับ อาหารอันเป็นทิพย์หรือจึงกลับมาหนุ่ม หรือทรงฌานแปลงอสุภะ รูปสัญญาคืนสู่เยาว์เอา หรือว่า ท่านจะถืออิทธิบาท 4
     
  13. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,512
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    ดึกแล้วนะท่าน
     
  14. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    กาลนี้ต่อให้ถึงพ้นก็ทิ้งผู้อื่นยังไม่ได้

    จริงอยู่นั้นคือ ประโยชน์สำคัญที่สุด แต่ภัย ๕ ที่ทรงตรัส เราจะเอาตัวรอดคนเดียวทั้งๆที่ยังมีหนทางช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ ทำเช่นนั้นไม่ควรเลย



    อรณสูตร

    เทวดาทูลถามว่า คนพวกไหนหนอไม่เป็นข้าศึกในโลกนี้ พรหมจรรย์ที่อยู่ จบแล้วของชนพวกไหน ย่อมไม่เสื่อม คนพวกไหนกำหนด รู้ความอยากได้ในโลกนี้ ความเป็นไทยมีแก่คนพวกไหนทุก เมื่อ มารดาบิดาหรือพี่น้องย่อมไหว้บุคคลนั้น ผู้ตั้งมั่นในศีล คือ ใครหนอ พวกกษัตริย์ย่อมอภิวาทใครหนอ ในธรรม วินัยนี้ ผู้มีชาติต่ำ ฯ


    พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า สมณะทั้งหลายในธรรมวินัยนี้ ไม่เป็นข้าศึกในโลก พรหมจรรย์ที่อยู่จบแล้วของสมณะทั้งหลายย่อมไม่เสื่อม สมณะ ทั้งหลายย่อมกำหนดรู้ความอยากได้ ความเป็นไทยย่อมมีแก่ สมณะทั้งหลายทุกเมื่อ มารดาบิดาหรือพี่น้องย่อมไหว้บุคคล นั้น ผู้ตั้งมั่น (ในศีล) คือสมณะ ถึงพวกกษัตริย์ก็อภิวาท สมณะในธรรมวินัยนี้ ผู้มีชาติต่ำ ฯ


    แต่เหล่าอสัทธรรมไม่ได้คิดอย่างนั้นกับพระพุทธศาสนา สงครามใหญ่จึงมีอยู่ ในอดีตก็ผ่านมาหลายต่อหลายครั้ง
     
  15. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    ถ้าท่านเข้าถึงปฎิสัมภิทามรรค องค์กำเนิดพระไตรปิฏกและได้เห็น ภัยร้ายจากคัมภีร์อักขระพยัญชนะมารดั้งเดิม อหังการวิเศษมาร แล้วล่ะก้อ ถึงคราวนั้นท่านจะไม่กล่าวกับเราเช่นนี้ มีแต่ท่านจะแสวงหาสหชาติกัลยาณมิตรที่ต้องบุพกรรมหรือทรงชี้พยากรณ์ให้แล้วเพื่อทำกิจสำคัญ

    ทุกข์ที่ควรกำหนดรู้ของพระอริยะ


    คนที่จะห้ามปรามท่านคงเป็นเราแทน ถ้าเราไม่ได้เข้าถึงอย่างนั้นด้วย
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 0000.jpg
      0000.jpg
      ขนาดไฟล์:
      75.5 KB
      เปิดดู:
      129
  16. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    เชิญท่านค้นหากัลยาณมิตรเพื่อร่วมกันทำกิจของ
    ท่านไปตามหน้าที่
    เราไม่ใช่
     
  17. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    จากอัคคัญญสูตรกับทฤษฎีวิวัฒนาการ วิวัฒนาการของโลก ตามนัยอัคคัญญสูตร โลกดับเกิดอาภัสสรพรหม ล่องลอยในจักรวาล โลกเย็น หลังจากนั้นเกิดดวงอาทิตย์ขึ้นมากี่ดวง และถ้ามีดวงอาทิตย์ถึง ๗ ดวงครานั้นก็ถึงกาลอวสาน นั่นหมายถึง ต้องเกิดการแปรปรวนผกผันของสนามแม่เหล็กต่างๆ ซึ่งมีผลต่อสหโลกธาตุอื่นๆด้วย ไม่ใช่มีแค่โลกมนุษย์ที่นี่เพียงโลกธาตุเดียว


    ทีนี้มาดูกันว่า ดาวฤกษ์ที่มีระบบการเผาไหม้ แบบดวงอาทิตย์ในระบบสุริยะและนอกระบบที่นักดาราศาสตร์ค้นพบ มีกี่ดวงตามลิงค์วิดีโอนี้ นั่งนับได้เลยครับ
    https://youtu.be/lRU43nbVaz8

    ดวงอาทิตย์บนโลก หรือ THE SUN เด็กๆไปเลย

    บุคคลผู้มีทิฏฐิปัญญาคงสรุปได้ว่านั่นคือดวงอาทิตย์ ที่มีอายุและก็แปรสภาพไปเรื่อยๆเสมือนๆกับดวงอาทิตย์บ้านเรา บางท่านในขณะนั่งนับอาจจะลุ้นจนขนลุกเลยก็ได้ ผมก็เหมือนกัน


    เอาใจสำหรับสาวกสำนักวัดนาป่าพง ที่เราท่านเห็นกันในวีดีโอ นั่นไม่ใช่ดวงอาทิตย์คับ เพราะดวงอาทิตย์มีดวงเดียว ไม่มีสหโลกธาตุอื่นๆ มีแค่โลกธาตุนี้โลกธาตุเดียว มีระบบสุริยะเดียว บัวมีสามเหล่า เสาอโศกมีพุทธวจนะ ฯลฯ

    เอาแค่ดาวศุกร์ที่เผาไหม้ใกล้ๆโลกนี่ อุณหภูมิของดาวศุกร์ ด้วยชั้นเมฆหนาของดาวศุกร์ทำให้เกิดสภาวะเรือนกระจก อุณหภูมิบนดาวศุกร์สูงมาก ประมาณ 500 องศาเซลเซียส เทียบกับ ดวงอาทิตย์มีอุณหภูมิประมาณ 5,515 องศาเซลเซียส ก็น้องๆดวงอาทิตย์แล้ว ในกระบวนการเผาไหม้ ตามผังอายุดวงอาทิตย์ ถ้าจะเปลี่ยนเป็นดวงอาทิตย์ในระบบสุริยะดวงที่สอง ก็มีความเป็นไปได้ และบางศาสนาเฝ้ารอวันสิ้นโลก เครื่องหมายก็คือ ฟ้าผ่าเปรี้ยงดังๆสักครั้ง กับ มีดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก ก็สามารถเป็นได้ ถ้าไม่ใช่ดวงอาทิตย์เสกเอาแบบคึกฤทธิ์และสาวกแห่งสำนักวัดนาป่าพง

    จากพุทธพยากรณ์คำว่าเกิดขึ้นตามมา นี่หมายถึงอะไร?

    ต้องเกิดแบบวิเศษ ปิ๊ง!!!เลยงั้นรึ!

    ขอนักมายากลเสกดวงอาทิตย์ให้สำนักวัดนาป่าพงหน่อย เสกเอาทีละลูกที่ละลูกจะได้สมใจ

    ไปสอนคนสุ่มสี่สุ่มห้า วิสัชนาอุปมาตื้นเขิน

    ถ้าบอกว่าความร้อนมันเพิ่มขึ้นสูงจนดูเหมือนมีพระอาทิตย์อยู่ ๗ ดวง ยังน่าฟังหน่อย ใครจะอยู่ถึง สงสัยต้องพึ่งเครื่องทำความเย็น และไปอยู่ใต้ดินใต้มหาสมุทธรเอาหนีออกนอกโลกก็ยังน่าฟังน่าคิดตามได้

    ใครจะอุปมาได้อย่างไร ตามกำลังของสติปัญญาในเรื่องที่สามารถเป็นไปได้?

    ดวงอาทิตย์มีกี่ดวงที่มนุษย์ที่เป็นนักวิทยาศาสตร์ นักดาราศาสตร์ หรือเป็นผู้มีวิทยาการในปัจจุบันรู้ แต่ที่นำมามีแสดงไว้คร่าวๆ ตามที่พิจารณาได้ เท่านี้ก็คงจะมากเพียงพอ

    หรือ จะมีผู้ใดคิดว่า ดวงอาทิตย์ ที่เป็นดาวฤกษ์ ที่นักวิทยาศาสตร์ด้านอวกาศนักดาราศาสตร์ รู้เห็นและนำมาศึกษาเผยแผ่เหล่านี้เป็นต้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรงพระสัพพัญญุตญานจะไม่ทรงล่วงรู้ว่า มันคือ ดาวฤกษ์ซึ่งเป็นประเภทเดียวกับดวงอาทิตย์



    ถ้าคิดว่าไม่ใช่ก็เป็นพวก โลกแคบ ไม่ยอมรับดวงอาทิตย์ดวงอื่นๆ จะเอาดวงอาทิตย์ของที่มองเห็นอยู่ในโลก ได้ใกล้ชิดเหมือนกับเปรียบตนเองเป็นต้นทานตะวันอยู่ในทุกๆวัน แต่ถ้าวันไหนเกิดความผันผวนในอากาศโลก ดวงอาทิตย์ดวงอื่นๆเคลื่อนที่เข้ามาหา มันก็อาจไม่ยอมรับอีก เพราะมันจะเอาแบบ ดวงอาทิตย์เสก แบบนักมายากล พริบตาเดียว ดวงอาทิตย์ปรากฎขึ้นมาเลย ๗ ดวงทันที ไปขอพระพรหมจะดีกว่ามั้งถ้าจะเอาแบบนั้น


    ไม่มีปเทสญาน อนาคตังสญาน อย่ามาประมาณเรื่องกาลเวลา ไม่อย่างนั้น คำว่า อกาลิโกคงไม่มีปรากฏ ฝากไปถึง สำนักวัดนาป่าพงที่วิสัชนาธรรมหลอกเด็กอ่อนแถวนั้นด้วย กินยาบำรุงสมอง พักผ่อนให้เยอะๆ โตไวๆ


    อย่าคิดว่าทุกๆอย่างจะเป็นไปตามกฎธรรมชาติทั้งหมดฯ แม้พระสัทธรรมจะยังมีอยู่และยังไม่สูญสิ้นจากมนุษย์โลก หากจะถามว่าอันเหตุการณ์เหล่านี้เช่นดวงอาทิตย์ ผู้มีฤทธิ์สามารถบันดาลได้ไหม? โดยเฉพาะพระพรหมฝ่ายมิจฉาทิฏฐิต่างๆ หรือเทพเทวดาฝ่ายใดที่จักแสดงฤทธิ์กลั่นแกล้งได้เช่นนั้น



    "ดาวบีเทลจุส Betelgeuse เป็นดาวยักษ์ใหญ่แดง (Red supergiant star) มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1000 เท่า ของดวงอาทิตย์ อยู่ไกลออกไป 640 ปีแสง จึงเป็นดาวฤกษ์ดวงแรกนอกระบบสุริยะ ที่เราสามารถวัดขนาดของมันได้สำเร็จ ในปี 1920 และยังเป็นดาวฤกษ์ดวงแรก ที่เราสามารถถ่ายภาพชั้นบรรยากาศได้อีกด้วย

    ไหนล่ะ พระอาทิตย์เพิ่งมาแค่ดวงแรก เขารู้กันทั้งโลกว่ามันเป็นดวงอาทิตย์ นอกระบบสุริยะ อย่างสำนักวัดนาป่าพงที่ไปหลอกลวงชาวบ้าน อะไรที่มองไม่เห็นไม่รู้ด้วยตาเปล่าอย่าพึ่งคำนวนต่อให้อยู่ห่างไกลขนาดไหน ถึงเวลามันผันผวนแปรปรวนขึ้นมา สนามแม่เหล็กแรงดึงดูด ฯลฯ


    แต่พอนำดวงอาทิตย์ไปเทียบกับดาวอื่นๆ เราจะพบว่าดาวพฤหัสเหลือแค่ Pixel เดียว ส่วนโลกหายไปเลย ดวงอาทิตย์มีขนาดเล็กไปถนัดเมื่อเทียบกับเพื่อนๆอย่าง

    ซีรีอุส พอลลักซ์ หรืออาร์คทูรัส

    อาร์คทูรัสที่ว่าใหญ่แล้วในภาพก่อน พอมาเทียบกับไรเจล Rigel
    อัลเดอบาราน Alderbaran
    แอนทาเรส Antares
    หรือบีทัลจูส Betelgeuse นั่นดูเป็นเม็ดกรวดเม็ดทรายไปเลย
    ส่วนดวงอาทิตย์พอเทียบกับ Betelgeuse ก็กลายเป็นเชื้อโรคไปทันที

    นี่ยังไม่ได้ค้นคว้าหามาทั้งหมดนะ อย่าโลกสวย พวกอยากได้ดวงอาทิตย์เสกแบบนักมายากลเสกให้

    ตรรกะวิบัติจริงๆ สงสัยต้องให้มีการรวมมวลสารและมีการเกิดฟิวชั่นจนเกิดเป็นดวงอาทิตย์ขึ้นเป็นดวงที่สอง ที่สาม ที่สี่ฯ ถึงจะพอใจ




                พระพุทธศาสนามองว่า โลกมีการแตกดับและพินาศไปนั้นเป็นกฎของธรรมชาติ ตามหลักของสามัญญลักษณะ คือ ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ล้วนอนิจจัง คือ ความไม่เที่ยง ทุกข์ขัง คือ ความทุกข์ และอนัตตา คือ ความไม่มีตัวตน ไม่เว้นแม้กระทั่งโลกที่เราอาศัยอยู่ มนุษย์ และสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ที่อาศัยอยู่บนโลก การแตกดับของโลกนั้น พระพุทธศาสนาได้กล่าวไว้ว่า

                “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จะมีสมัยหนึ่งถัดจากนี้ไปหลายแสนปีที่ฝนจะหยุดตก และต่อจากนั้นต้นไม้ใหญ่น้อยทั้งปวงก็จะเหี่ยวแห้งและถูกทำลายไปตามกัน ดวงอาทิตย์ดวงที่สองจะเกิดขึ้น มาแผดเผาลำธารใหญ่น้อยให้เหือดแห้งไป เมื่อดวงอาทิตย์ที่สามเกิดขึ้น แม่น้ำ เช่น แม่น้ำคงคา ยมนา ก็จะเหือดแห้งในทำนองเดียวกัน ทะเลสาบและมหาสมุทรก็จะเหือดแห้งไปตามกัน เมื่อดวงอาทิตย์ดวงที่ ๔, ๕, ๖ เกิดขึ้นตามมา ครั้นแล้วดวงอาทิตย์ดวงที่ ๗ เกิดขึ้น โลกและภูเขาพระสุเมรุก็จะลุกโพลงเป็นไฟไปทั่ว เปลวไฟเหล่านี้ต่อมาก็จะลุกลามเข้าหากันและติดเป็นผืนเดียวกัน กลายเป็นลูกไฟดวงใหญ่มาลุกโพลงและแตกทำลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย หาเถ้าและถ่านเหลือมิได้ในที่สุด ”

                เมื่อโลกพินาศ แตกดับไปแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกมืดมน จะเต็มไปด้วยน้ำ ไม่มีพื้นดิน และสิ่งมีชีวิตอื่น โลกก็จะเริ่มแข็งตัวขึ้น เจริญขึ้นไปตามกาลเวลา “จักรวาลทั้งสิ้นนี้เต็มไปด้วยน้ำทั้งนั้น มืดมนและไม่เห็นอะไร ดวงจันทร์ และดวงอาทิตย์ก็ไม่ปรากฏ ดวงดาวนักษัตร กลางวัน กลางคืน เดือนหนึ่ง กึ่งเดือน ฤดู และปีก็ไม่ปรากฏ” (ที. ปา.  ๑๑/๕๖/๖๕)

    “สมัยนั้น จักรวาลทั้งสิ้นนี้แลเป็นน้ำทั้งนั้น มืดมนและไม่เห็นอะไร ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ก็ยังไม่ปรากฎ เดือนหนึ่งและกึ่งเดือนก็ยังไม่ปรากฎ     เพศชาย และเพศหญิงก็ยังไม่ปรากฎ สัตว์ทั้งหลายถึงซึ่งอันนับเพียงว่า “สัตว์” เท่านั้น…” (ที. ปา.  ๑๑/๕๖/๗๖)



    คำว่าสัตว์ในที่นี้ ไม่ใช่มนุษย์ผู้เจริญ หากพิจารณาตามสติปัญญา ก็จะสามารถเข้าใจแล้วอุปมาได้ว่า เรื่องสัตว์โลกล้านปีต่างๆ ก็เป็นสัตว์ในที่ทรงกล่าวพวกนี้ และสามารถวิสัชนาเชื่อมต่อ กันถึงการเกิดดวงอาทิตย์และวิวัฒนาการต่างๆ ในโลกนี้ด้วยและในโลกธาตุอื่นด้วย พระญานของพระพุทธเจ้ากว้างขวางอย่างนี้ ไม่ใช่คับแคบอย่างที่คึกฤทธิ์วิสัชนาว่าเหตุนั้นเกิดเพียงโลกนี้โลกเดียว และสิ่งที่พระองค์ทรงยกนำขึ้นมาตรัส พระองค์ทรงบอกทรงจำกัดไว้โดยเฉพาะหรือว่า นี่เป็นคำทำนายเป็นพยากรณ์ที่เราระบุเวลาไว้ตามนี้นะ ใช้กับโลกธาตุที่เรามาอุบัตินี้เพียงโลกธาตุเดียว

    คิดดูให้ดี นี่คือพุทธทำนาย ของแท้ดั้งเดิมด้วย จะอ้างว่าไม่ใช่ก็ไม่ได้ เพราะแม้แต่คึกฤทธิ์แห่งสำนักวัดนาป่าพง ปทุมธานีและสาวกเชิดชูให้เป็นพระอรหันต์ผู้ประเสริฐที่สุดในรอบ ๒,๕๐๐ปี ยังบอกยังวิสัชนานำมาแสดงว่านี่คือ พุทธทำนาย หรือ พุทธพยากรณ์ ของจริง

    ถ้ายังสงสัยเชิญไปฝากตัวเป็นลูกศิษย์และถามพระอรหันต์คึกฤทธิ์แห่งสำนักวัดนาป่าพง

    องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า :ธรรมใดที่เราได้ตรัสรู้แล้ว เราก็สักการะเคารพพึ่งพิงธรรมนั้นอยู่มาก็แต่ว่าเมื่อใด แม้สงฆ์ถึงพร้อมด้วยความใหญ่แล้ว เมื่อนั้นเราจะเคารพในสงฆ์ด้วย
     อุรุเวลสูตรที่ ๑

    สำนักไม่เคารพสงฆ์ จะเชื่อถืออะไรได้ แต่มันเชื่อตัวมันเอง ว่ามันเป็นสงฆ์

    เชิญดูคลิปปัญญาอ่อนที่ไม่เอาใคร? สุดท้ายก็ไม่เอาพระเจ้าประเสนทิโกศล ไม่เอาพระนาคเสน ไม่เอาสงฆ์ฯลฯ
    https://youtu.be/QLq1NMkNQHU

    จบสิ้นดวงพระอาทิตย์วัดนาป่าพง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • earth1.jpg
      earth1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      97 KB
      เปิดดู:
      116
    • earth2.jpg
      earth2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      95.1 KB
      เปิดดู:
      84
    • stars.jpg
      stars.jpg
      ขนาดไฟล์:
      78.7 KB
      เปิดดู:
      101
    • sun1.jpg
      sun1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      92.8 KB
      เปิดดู:
      96
    • sun2.jpg
      sun2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      100.5 KB
      เปิดดู:
      106
    • Sun_Life.png
      Sun_Life.png
      ขนาดไฟล์:
      48.8 KB
      เปิดดู:
      91
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 สิงหาคม 2016
  18. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    กำลังขายความคิดเรื่องการควบรวมธรรมปรมัตถ์กับโลก
    เป็นหนึ่งเดียวกัน
    ไม่ขายความโง่ความฉลาดให้ใครๆ ทั้งนั้น
    เป้าหมายคือชวนผู้มีสติปัญญามาชี้แนวทางควบรวม
    โลกกับปรมัตถ์ธรรมเพื่อความสุขของพลเมืองไทย
    ทั้งแผ่นดิน
     
  19. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    ไม่ควรใช้ยูสเซอร์แยกร่าง แบ่งแยกทิฏฐิที่มีในตน จะเป็นการเสียเวลา มาหลอกเจตสิกเรา เมื่อการเสวนามีประโยชน์สมควรพูดและบอก มีประโยชน์กับผู้อื่นเราก็ตอบไปตามเนื้อผ้าเท่านั้น ถือว่าเป็นบอทโต้ตอบอัตโนมัติ เตือนไว้สำหรับคนชอบเล่นเกมส์ ท่านสนุก ส่วนเราก็สนอง มีเท่านั้น
     
  20. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสแก่ภิกษุ
    ภิกษุ ! ในกรณีนี้ ผู้เป็นบัณฑิตมีปัญญามาก ย่อมไม่คิดไป
    ในทางทำตนเองให้ลำบากเลย ไม่คิดไปในทางทำผู้อื่นให้ลำบาก ไม่คิดไป
    ในทางทำทั้งสองฝ่ายให้ลำบาก เมื่อจะคิด ย่อมคิดอย่างเป็นประโยชน์
    เกื้อกูล แก่ตนเองเป็นประโยชน์ เกื้อกูลแก่ผู้อื่น เป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่ทั้งสองฝ่าย คือเป็นประโยชน์เกื้อกูล แก่โลกทั้งปวงนั่นเอง. ภิกษุ ! อย่างนี้
    แล ชื่อว่า ผู้เป็นบัณฑิตมีปัญญามาก.



    ตราบใดที่เรามีไพรีพินาศและเรามิได้เป็นบุคคลพาล และเรามิได้ทำลายสงฆ์แต่เราทำลาย จิตที่คิดชั่ว ไม่ให้กำเริบไปยังบุคคลอื่นอีก ของมหาโจร ๕ ผู้เป็นโมฆะบุรุษ และ อามิสทายาท ผู้ทำลายสงฆ์ อย่างคึกฤทธิ์และสาวก





    พหุธาตุกสูตร
    ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้-
    สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่พระวิหารเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี สมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระดำรัสแล้ว ฯ

    พระผู้มีพระภาคได้ตรัสดังนี้ว่า "ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภัยไม่ว่า
    ชนิดใดๆ ที่เกิดขึ้นทั้งหมดนั้น ย่อมเกิดขึ้นแต่คนพาล ไม่ใช่เกิดขึ้นแต่บัณฑิต
    อุปัทวะไม่ว่าชนิดใดๆ ที่เกิดขึ้นทั้งหมดนั้น ย่อมเกิดขึ้นแต่คนพาล ไม่ใช่เกิดขึ้น
    แต่บัณฑิต อุปสรรคไม่ว่าชนิดใดๆ ที่เกิดขึ้นทั้งหมดนั้น ย่อมเกิดขึ้นแต่คนพาล
    ไม่ใช่เกิดขึ้นแต่บัณฑิต ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนไฟลุกลามแล้วแต่เรือน
    ไม้อ้อ หรือเรือนหญ้า ย่อมไหม้ได้กระทั่งเรือนยอดที่โบกปูน มีบานประตูสนิท
    ปิดหน้าต่างไว้ ฉันใด


    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกันแล ภัยไม่ว่าชนิดใดๆ
    ที่เกิดขึ้นทั้งหมดนั้น ย่อมเกิดขึ้นแต่คนพาล ไม่ใช่เกิดขึ้นแต่บัณฑิต อุปัทวะไม่
    ว่าชนิดใดๆ ที่เกิดขึ้นทั้งหมดนั้น ย่อมเกิดขึ้นแต่คนพาล ไม่ใช่เกิดขึ้นแต่บัณฑิต
    อุปสรรคไม่ว่าชนิดใดๆ ที่เกิดขึ้น ทั้งหมดนั้นย่อมเกิดขึ้นแต่คนพาล ไม่ใช่
    เกิดขึ้นแต่บัณฑิต


    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดังนี้แล คนพาลจึงมีภัยเฉพาะหน้า บัณฑิต
    ไม่มีภัยเฉพาะหน้า คนพาลจึงมีอุปัทวะ บัณฑิตไม่มีอุปัทวะ คนพาลจึงมีอุปสรรค
    บัณฑิตไม่มีอุปสรรค ภัย อุปัทวะ อุปสรรค ไม่มีแต่บัณฑิต ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    เพราะฉะนั้นแล พวกเธอพึงศึกษาไว้อย่างนี้เถิดว่า จักเป็นบัณฑิต ฯ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • ATT00001..jpg
      ATT00001..jpg
      ขนาดไฟล์:
      81.8 KB
      เปิดดู:
      122
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 สิงหาคม 2016

แชร์หน้านี้

Loading...