สติปัฏฐานสี่ตามแนววิชชาธรรมกาย

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย นโมพุทธายะ๕, 21 สิงหาคม 2014.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,247
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,109
    ค่าพลัง:
    +70,447
    [​IMG]



    คู่มือปฏิบัติสมถวิปัสสนากรรมฐาน 5 สาย
    1.พุทโธ
    2.อานาปานสติ
    3.ยุบหนอ พองหนอ
    4.รูปนาม
    5.สัมมาอรหัง


    “หนังสือคู่มือการปฏิบัติธรรม (สมถวิปัสสนากัมมัฏฐานตามแนวสติปัฏฐาน ๔)”
    ของสำนักปฏิบัติธรรมใหญ่ ๕ สำนัก
    คือ สำนักพุทโธ สำนักอานาปานสติ สำนักยุบพอง สำนักรูปนาม และสำนักสัมมาอรหัง โดยให้รวบรวมข้อมูลจากสำนักปฏิบัติธรรมทั้ง ๕ นั้น มาเรียบเรียงขึ้น เพื่อเป็นแนวทางการศึกษาสัมมาปฏิบัติพระสัทธรรมของพระพุทธเจ้าตามแบบที่สำนักใหญ่ ๕ สำนัก ต่างเลือกถือธรรมเป็นอารมณ์สมถวิปัสสนากัมมัฏฐานตามจริตอัธยาศัยของตน

    เราจะได้เรียนรู้การปฏิบัติในแต่ละแนวทางเพื่อสร้างสติและปัญญาให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคลลองอ่านได้จากเล่มนี้ครับ หนังสือดีมากๆ



    คลิกอ่านได้ที่..........

    http://palungjit.org/attachments/a.2362154/
     
  2. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,247
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,109
    ค่าพลัง:
    +70,447
    “อมตะวาทะ”
    หลวงพ่อวัดปากน้ำ
    ------------------------------
    ขันธ์ ๕

    ขันธ์ทั้ง ๕ เป็นภาระสำคัญและหนักด้วย ใครปล่อยวางขันธ์ ๕ ละไม่ได้ ผู้นั้นต้องเวียนว่ายตายเกิด ผู้ใดปล่อยได้ผู้นั้นนับวันจะหมดชาติหมดภพ จะมีนิพพานเป็นที่ไปในเบื้องหน้า ที่เทศนานี้ล้วนสอนให้ถอดขันธ์ ๕ ออกเป็นชั้นๆไป แต่ว่าจะถอดขันธ์ ๕ จะถอดอย่างไร มันเหมือนมะขามสด เนื้อกับเปลือกมันติดกันไม่หลุด ไม่กรอกจากกัน ไม่ล่อนจากกัน ถอดไม่ได้ เรายังไม่เห็นขันธ์ ๕
    ต่อเมื่อใดถอดขันธ์ ๕ เราจะเห็นขันธ์ ๕ เห็น รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นี่เรารู้เห็นด้วยตามนุษย์ รูปเราเห็นได้ เวทนาเราก็เห็นได้ หน้าตาแช่มชื่นดี เราก็รู้ว่าสุข เรื่องสัญญา สังขาร วิญญาณ เราก็ไม่เห็น เราจะต้องเห็นทั้ง ๕ อย่างจึงจะละได้วางได้ ถ้าไม่เห็นขันธ์ทั้ง ๕ อย่าง ละวางไม่ได้
    ถ้าอยากเห็นขันธ์ ๕ เราต้องถอดกายออกเป็นชั้นๆ ต้องถอดกายทิพย์ออกจากกายมนุษย์ วิธีจะถอดขันธ์ไม่ใช่เป็นของง่าย เป็นของยากหมื่นยากแสนยากทีเดียว แต่วิธีเขามีที่วัดปากน้ำ วิธีเข้ากายถอดขันธ์ คือ ทำจิตให้หยุดให้นิ่งที่กำเนิดเดิม ถอดขันธ์ออกไปแล้วจึงเห็นขันธ์
    [​IMG]


    จาก พระธรรมเทศนากัณฑ์ที่ ๖๑
    เรื่อง ภารสุตตกถา
     
  3. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,247
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,109
    ค่าพลัง:
    +70,447
    จะรู้ได้อย่างไรว่า สิ่งที่เห็นในขณะปฏิบัติภาวนาธรรมนั้น ไม่ใช่สิ่งที่นึกเอาเอง ?



    รู้ได้ด้วยการพิสูจน์ด้วยตนเอง เช่น

    การนึกให้เห็นดวงแก้วหรือพระแก้วขาวใสที่เรียกว่า กำหนดบริกรรมนิมิต ในเบื้องต้นของการฝึกเจริญภาวนาสมาธินั้น จะไม่มีทางนึกให้เห็นได้ชัดเจน ใสแจ๋ว และสว่างไสว เท่าเมื่อใจรวมหยุดเป็นสมาธิแนบแน่นมั่นคงดีแล้ว (ตรงศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ อันเป็นที่ตั้งของ กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต และธรรมในธรรม)


    การเห็นดวงธรรมที่ทำให้เป็นกาย และการเห็นกายในกายไปจนถึงธรรมกายนั้น สวยงาม ละเอียด ประณีต และมีรัศมีปรากฏ แตกต่างจากการนึกเห็นด้วยใจในเบื้องต้นนั้นมากมายนัก อย่างที่เรียกว่า “ไม่เคยได้พบเห็นมาก่อน” แล้วจะไปนึกเอาเองได้อย่างไร จึงไม่ใช่สิ่งที่นึกเอาเอง




    เมื่อปฏิบัติได้ถึงธรรมกายแล้ว ก็ทดลองฝึกน้อมเข้าสู่อนาคตังสญาณ ดูเหตุการณ์ในอนาคตอันใกล้ๆ ดูบ้าง หรือฝึกขยายทิพยจักขุและข่ายของญาณทัสสนะ ดูสิ่งต่างๆ ที่พอจะพิสูจน์ได้ว่าเห็นจริงหรือไม่จริงดูบ้าง ก็ค่อยๆ มีประสบการณ์เองว่า ที่เห็นนั้นถูกต้องตามที่เป็นจริงก็มีมาก ที่ผิดพลาดบ้างก็มี ก็ให้พิจารณาเหตุสังเกตผลดู ว่าเป็นเพราะเหตุใด




    และถ้าได้ทำนิโรธดับสมุทัยปหานอกุศลจิตให้หมดสิ้นไปได้ดีเพียงใด และใจเป็นอุเบกขาเพียงใดในขณะใด ในขณะนั้นการรู้เห็นจะเป็นตามจริง ทั้งจริงโดยสมมติและจริงโดยปรมัตถ์เพียงนั้น แต่ถ้าขณะใด จิตใจยังมัวหมองอยู่ด้วยกิเลส ตัณหา อุปาทาน มีอคติ การรู้เห็นในขณะนั้นก็มีโอกาสที่จะผิดพลาดได้ง่ายดาย



    ผู้ปฏิบัติธรรมที่เป็นพระอริยเจ้า หรือผู้ปฏิบัติธรรมที่หมั่นมีสติสัมปชัญญะรู้เท่าทันในกองกิเลส และหมั่นชำระจิตใจให้ผ่องใสไว้เสมอ ด้วยการเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ และทำนิโรธ ให้ใจสะอาดบริสุทธิ์อยู่เสมอเพียงใด ธรรมชาติเครื่องรู้เห็นมีทิพพจักขุและญาณทัสสนะเป็นต้นย่อมบริสุทธิ์ ให้สามารถรู้เห็นได้ถูกต้อง แม่นยำ กว่าผู้ที่ทรงคุณธรรมที่ต่ำกว่าเพียงนั้น เพราะฉะนั้น เมื่อปฏิบัติถึงธรรมกายแล้วก็อย่าได้เหิมเกริมว่าเลิศแล้ว ต้องปฏิบัติภาวนาธรรมเพื่อกำจัดขัดเกลากิเลสให้หมดสิ้นไป ด้วยสติสัมปชัญญะและปัญญาอันเห็นชอบอยู่เสมอ นั่นแหละจึงจะพอแน่ใจได้ว่าพอเอาตัวรอดได้ และเมื่อนั้นเครื่องรู้เห็น ได้แก่ ทิพพจักขุและญาณทัสสนะก็จะบริสุทธิ์ ให้สามารถรู้เห็นได้อย่างถูกต้องแม่นยำเอง




    จึงพึงเข้าใจว่า การสอนให้ตรึกนึกเห็นด้วยใจเป็นเครื่องหมายดวงแก้วกลมใส หรือ พระพุทธรูปขาวใส ขึ้น ณ ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ นั้น เป็นเพียงอุบายวิธีในการอบรมจิตใจ ให้มารวมหยุดเป็นจุดเดียว (เอกัคคตารมณ์) ตรงศูนย์กลางกายอันเป็นที่ตั้งกำเนิดธาตุธรรมเดิม และเป็นที่ตั้งกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิตและธรรมในธรรม เพื่อเจริญสติปัฏฐาน ๔ อันเป็นการเจริญภาวนานั้นเองทั้งสมาธิและปัญญา ด้วยการที่ให้ได้ทั้งรู้และทั้งเห็นสภาวธรรมและสัจจธรรมตามธรรมชาติที่เป็นจริง
     
  4. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,247
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,109
    ค่าพลัง:
    +70,447
    ความสำคัญของ... “ศูนย์กลางกาย ฐานที่ ๗”


    โดย
    * มงคลบุตร
    * ปัจจุบันคือ พระเทพญาณมงคล (เสริมชัย ชยมงฺคโล)




    พระเดชพระคุณ หลวงพ่อวัดปากน้ำ(สด จนฺทสโร) ได้ย้ำนักหนาว่า.....

    ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ นี้...สำคัญนัก
    ให้เอาใจไปจรดไว้ที่นั่นเสมอ...ทุกอิริยาบถเมื่อมีโอกาส
    ไม่ว่าจะในขณะ เดิน ยืน นั่ง นอน หรือ ในขณะไหว้พระสวดมนต์
    และ อธิษฐานปรารถนาในสิ่งที่ดีที่ชอบทั้งหลาย
    เพราะที่ศูนย์กลางกายนี้ มีอานุภาพยิ่งกว่าที่ใดๆทั้งสิ้น


    การรวมใจให้หยุดในหยุด ณ ศูนย์กลางกายนั้น...นับว่าเป็นผลดีอย่างมาก
    เพราะเป็นจุดแห่ง “ดุลย” ทั้งกายภาพและจิตใจ กล่าวคือ

    ในทางกายภาพ
    ศูนย์กลางของสรรพวัตถุทั้งหลาย ย่อมอยู่ในแนวเดียวกันกับแรงดึงดูดของโลก
    ที่เรียกว่า Center of Gravity


    ส่วนทางด้านจิตใจ
    สำหรับผู้ที่เจริญภาวนาธรรมจนถึง “ธรรมกาย” แล้ว
    ก็จะสามารถทราบได้ด้วยตนเองว่า.....
    ศูนย์กลางกายนั้นเอง คือ “ที่ตั้งถาวรของใจ”

    เวลาจะเกิด จะดับ จะหลับ จะตื่น
    ดวงธรรม...จะลอยมาสู่ศูนย์กลางนี้ก่อนอื่นที่เดียว
    และศูนย์กลางกายนี้ อยู่ในแนวเดียวกันกับ.....
    อายตนะภพสาม อายตนะนิพพาน และ อายตนะโลกันต์


    จึงนับเป็นศูนย์ที่สำคัญที่สุด มีพลัง และอำนาจมากที่สุด
    ช่วยให้รู้เห็นได้แม่นยำ และกว้างขวาง...ไม่มีประมาณ





    *** คัดลอกบางตอนจาก
    หนังสือ ธรรมสู่สันติ เล่มที่ ๑
    จัดพิมพ์โดย โครงการธรรมปฏิบัติเพื่อประชาชน วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ
    มิถุนายน ๒๕๒๐
     
  5. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,247
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,109
    ค่าพลัง:
    +70,447
    ...........สติปัฏฐาน 4 ตามแนววิชชาธรรมกาย.............<!-- google_ad_section_end -->
    <HR style="BACKGROUND-COLOR: #ffffff; COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- google_ad_section_start -->ให้เพ่งตรงกลางดวงปฐมมรรค เมื่อถูกส่วน
    ก็จะเห็นดวงศีล ในกลางดวงศีลเห็นดวงสมาธิ ในกลางดวง
    สมาธิเห็นดวงปัญญา ในกลางดวงปัญญาเห็นดวงวิมุตติ
    ในกลางดวงวิมุตติเห็นดวงวิมุตติญาณทัสสนะ เมื่อได้ครบทั้ง
    5 ดวง ในกลางวิมุตติญาณทัสสนะ จะเห็นรูปคล้ายตัวผู้ปฏิบัติ
    เองนั่งอยู่ ในดวงกายนี้เรียกว่ากายมนุษย์ละเอียด เป็นกายที่
    เห็นได้ในความฝัน ถ้าเพ่งที่กลางกายมนุษย์ ก็จะมีดวงอีก 5
    ดวง คือดวงศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะ
    แล้วก็มีกายทิพย์เกิดขึ้น ตั้งแต่กายทิพย์นี้เป็นต้นไป จะมีกาย
    ประเภทเดียวกันเกิดขึ้นสองครั้ง ครั้งแรกเป็นกายสบายหรือ
    กายอดีต กายปัจจุบันเป็นกายละเอียด เมื่อเพ่งที่รูปกายเหล่า
    นี้ จะมีดวงอีก 5 ดวง เช่นนี้ทุกกาย ที่กลางกายทิพย์จะมีกาย
    รูปพรหม กลางกายรูปพรหม มีกายอรูปพรหม กลางกายอรูป
    พรหม มีกายธรรม

    พอปฏิบัติมาได้ถึงตอนนี้ ผู้ปฏิบัติจะเห็นสติ
    ปัฏฐาน 4 อย่างครบถ้วน

    การเห็นกายในกาย ได้แก่ การเห็นกายต่างๆดังได้กล่าว
    มาแล้ว กายเหล่านี้เป็นกายหยาบ กายละเอียด เป็นการเห็น
    กายหยาบละเอียด

    การเห็นเวทนาในเวทนา ได้แก่ การเห็นดวงในดวงขุ่น และ
    ดวงไม่ใส ไม่ขุ่น ถ้าสุขก็ใส ถ้าทุกข์ก็ขุ่น ถ้าไม่สุขไม่ทุกข์
    ก็เป็นสีตะกั่วตัด จะว่าดำก็อมขาว จะว่าขาวก็อมดำ
    ปรากฏการณ์นี้ จะเห็นได้ด้วยตากายมนุษย์ละเอียด

    การเห็นจิตในจิต ได้กล่าวมาแล้วว่า จิตนั้นลอยอยู่ในเบาะ
    น้ำเลี้ยงหัวใจ การเห็นจิตในจิต ก็คือ การเห็นจิตของกาย
    มนุษย์ กายทิพย์ กายรูปพรหม กายอรูปพรหม ที่เปลี่ยน
    ไป ตามสีของน้ำเลี้ยงหัวใจ

    ในเวลาเรียนอภิธรรมตอนวิถีจิต อาจารย์มักเขียนทาง
    เดินของจิตเป็นวงกลม ตามหางกันเป็นแถว ๆ ด้วยท่าทางอัน
    ทะมัดทะแมง มอง ๆ ดูคล้ายกับว่าอาจารย์กำลังสอนวิธี
    เล่นงูกินหาง ทำให้สำคัญไปว่า จิตคงเดินเช่นนั้น แต่ความ
    จริงแล้ว จิตเกิดขึ้นในจิตเอง คล้ายน้ำพุ


    การเห็นธรรมในธรรม ก่อนจะได้กายมนุษย์ กายทิพย์ และ
    กายอื่นๆ แต่ละกายจะมีดวงธรรม ขนาดไข่แดงของไก่นำมา
    ก่อน แล้วกายจึงจะเกิด การเห็นดวงธรรมหรือดวงขันธ์ 5
    ที่ทำให้เป็นกายต่างๆนี้แหละ คือการเห็นธรรมในธรรม จะรู้ว่า
    ดวงนั้นเป็นกุศล อกุศล อพยากฤต ก็คือสีของดวงนั้น
    ทำนองเดียวกันกับ การเห็นเวทนาในเวทนา เมื่อปฏิบัติได้จน
    เห็นกายทิพย์ ผู้ปฏิบัติจะมีอภิญญาขั้นต่ำ สามารถเห็นโลก
    ทิพย์บนพื้นพิภพนี้ได้ คือ สามารถเห็นพวกอมนุษย์ แต่ไม่
    สามารถทำจิตให้ลอยเหนือพื้นดินได้ อย่างสูงได้เพียงทำจิต
    ให้กระโดดไปอยู่บนตึก 10 ชั้น 20 ชั้น อย่างในนิยายจีน
    เท่านั้น ทั้งนี้เพราะกิเลสยังหนา ดวงจิตจึงหนัก ถ้าปฏิบัติ
    ได้ถึงกายธรรม ก็สามารถจะไปเที่ยวนรก สวรรค์ หรือ ชั้น
    พรหม ได้

    มีผู้กล่าวว่า การเห็นเทวดา พรหม นรก สวรรค์ เป็น
    ภาพลวง หรือได้เห็นภาพในโลกมนุษย์ แล้วติดตาไปปรากฏ
    เป็นนิมิตขึ้น ถ้าเป็นนักปฏิบัติเพียงได้สมาธิชั้นจตุตถฌาน จะ
    ไม่กล้ากล่าวอย่างนี้เลย เพราะถึง แม้ปรากฏการณ์ในนรก
    สวรรค์ และความเป็นไปของเทวดา พรหม จะได้มีผู้นำมา
    ใช้ประโยชน์ในการสร้างวิจิตรศิลป์ หรือสถาปัตยกรรมบ้างแล้ว
    ก็ตาม ก็ยังไม่อาจนำมาได้หมด ทั้งในการเห็นนรกสวรรค์
    เทวดา พรหม นักปฏิบัติก็ไม่ได้กำหนดรายละเอียด และการ
    เคลื่อนไหวของสิ่งเหล่านั้น ทั้งบางทีสิ่งเหล่านั้น ก็เกิดขึ้น
    เอง โดยไม่ได้อธิษฐาน
    <!-- google_ad_section_end -->



    [​IMG]
     
  6. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,247
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,109
    ค่าพลัง:
    +70,447
    เสียงเทศน์ หลวงพ่อวัดปากน้ำ(สด จันทสโร) เรื่อง มหาสติปัฏฐานสี่



    [​IMG]


    http://palungjit.org/attachments/a.3256791/
     
  7. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,247
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,109
    ค่าพลัง:
    +70,447
    [​IMG]


    ความดีใจ เสียใจ นั่นแหละร้ายนัก ...เป็นมารร้ายทีเดียว .....



    นำอภิชฌา-โทมนัสในโลก ออกเสีย อย่าให้ความดีใจเสียใจแลบเข้าไปได้นะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 27 กุมภาพันธ์ 2015
  8. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,247
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,109
    ค่าพลัง:
    +70,447
    พระเทพญาณมงคล - อุปกิเลสของสมาธิ 1

    <object width="450" height="24" classid="clsid:D27CDB6E-AE6D-11cf-96B8-444553540000" codebase="http://download.macromedia.com/pub/shockwave/cabs/flash/swflash.cab#version=6,0,40,0"> <param name="scale" value="noscale" /> <param name="allowFullScreen" value="true" /> <param name="allowScriptAccess" value="always" /> <param name="allowNetworking" value="all" /> <param name="bgcolor" value="#777777" /> <param name="wmode" value="opaque" /> <param name="movie" value="http://www.mongkoldhamma.org/jwplayer.swf" /> <param name="flashVars" value="&file=http://www.mongkoldhamma.org/videos.php?vid=fdacd0a0a&type=sound&backcolor=777777&frontcolor=FFCC00&autostart=&screencolor=000000" /> <embed src="http://www.mongkoldhamma.org/jwplayer.swf" width="450" height="24" scale="noscale" bgcolor="#777777" type="application/x-shockwave-flash" allowFullScreen="true" allowScriptAccess="always" wmode="opaque" flashvars="&file=http://www.mongkoldhamma.org/videos.php?vid=fdacd0a0a&type=sound&backcolor=777777&frontcolor=FFCC00&autostart=&screencolor=000000"></embed> </object> <p><a href="http://www.mongkoldhamma.org/%e0%b8%9e%e0%b8%a3%e0%b8%b0%e0%b9%80%e0%b8%97%e0%b8%9e%e0%b8%8d%e0%b8%b2%e0%b8%93%e0%b8%a1%e0%b8%87%e0%b8%84%e0%b8%a5-%e0%b8%ad%e0%b8%b8%e0%b8%9b%e0%b8%81%e0%b8%b4%e0%b9%80%e0%b8%a5%e0%b8%aa-video_fdacd0a0a.html" target="_blank"></a></p>
     
  9. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,247
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,109
    ค่าพลัง:
    +70,447
    พระเทพญาณมงคล - อุปกิเลสของสมาธิ 2

    <object width="450" height="24" classid="clsid:D27CDB6E-AE6D-11cf-96B8-444553540000" codebase="http://download.macromedia.com/pub/shockwave/cabs/flash/swflash.cab#version=6,0,40,0"> <param name="scale" value="noscale" /> <param name="allowFullScreen" value="true" /> <param name="allowScriptAccess" value="always" /> <param name="allowNetworking" value="all" /> <param name="bgcolor" value="#777777" /> <param name="wmode" value="opaque" /> <param name="movie" value="http://www.mongkoldhamma.org/jwplayer.swf" /> <param name="flashVars" value="&file=http://www.mongkoldhamma.org/videos.php?vid=629a2696e&type=sound&backcolor=777777&frontcolor=FFCC00&autostart=&screencolor=000000" /> <embed src="http://www.mongkoldhamma.org/jwplayer.swf" width="450" height="24" scale="noscale" bgcolor="#777777" type="application/x-shockwave-flash" allowFullScreen="true" allowScriptAccess="always" wmode="opaque" flashvars="&file=http://www.mongkoldhamma.org/videos.php?vid=629a2696e&type=sound&backcolor=777777&frontcolor=FFCC00&autostart=&screencolor=000000"></embed> </object> <p><a href="http://www.mongkoldhamma.org/%e0%b8%9e%e0%b8%a3%e0%b8%b0%e0%b9%80%e0%b8%97%e0%b8%9e%e0%b8%8d%e0%b8%b2%e0%b8%93%e0%b8%a1%e0%b8%87%e0%b8%84%e0%b8%a5-%e0%b8%ad%e0%b8%b8%e0%b8%9b%e0%b8%81%e0%b8%b4%e0%b9%80%e0%b8%a5%e0%b8%aa-video_629a2696e.html" target="_blank"></a></p>
     
  10. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,247
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,109
    ค่าพลัง:
    +70,447
  11. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,247
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,109
    ค่าพลัง:
    +70,447
  12. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,247
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,109
    ค่าพลัง:
    +70,447
    [​IMG]



    "ในบทบูชาพระพุทธเจ้า ๒ ล้านกว่าพระองค์ นี้เป็นคัมภีร์เก่าที่มีอาจารย์ท่านหนึ่งเคยไปอยู่ศึกษาที่ประเทศพม่าแล้วได้คัมภีร์เก่ามา จนผุแล้ว ก็มีขาดๆ ตกๆ แต่ก็พอจับส่วนมากได้กว่า ๙๐ เปอร์เซนต์ ที่เล็กๆ น้อยๆ ก็พอรู้ว่ามันคืออะไร บทเจริญพระพุทธมนต์นี้น่ะ เป็นบทอาราธนาคุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ตั้งแต่อดีตนับเป็นล้านๆ องค์มาถึงปัจจุบัน ถ้าท่านปฏิบัติถึงธรรมกาย พิสดารกายสุดกายหยาบกายละเอียดถึงพระนิพพาน อาราธนาพระนิพพานธาตุทับทวีขึ้นมาที่ศูนย์กลางท่าน ซึ่งมีลักษณะที่ผ่านโอกาสโลก ขันธโลก สัตวโลก ภพสาม ผ่านโลกมนุษย์และทับทวีมาถึงตัวท่านขณะนั้นน่ะ นอกจากช่วยชำระธาตุธรรมเห็น จำ คิด รู้ ของท่านให้ใสบริสุทธิ์ เป็นการช่วยให้อายุยืน สุขกายสุขภาพจิตดีแล้วยังช่วยสังคม ตั้งแต่สังคมพระไปถึงสังคมโยมและประเทศชาติได้ ถ้าท่านทำได้"
    หลวงป๋า

    เสียงคณะสงฆ์วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม เจริญพระพุทธมนต์บูชาพระพุทธเจ้า ๕๑๒,๐๒๘ พระองค์ นำโดย พระเทพญาณมงคล (หลวงป๋า)
    wlps47010103 พระคาถาบูชาพระพุทธเจ้า ๕๑๒,๐๒๘ พระองค์

    เจริญพระพุทธมนต์บูชาพระพุทธเจ้า ๒,๐๔๘,๑๐๙ พระองค์ นำโดย พระครูอาทรปริยัติสุธี
    พระคาถาบูชาพระพุทธเจ้า 2,048,109 พระองค์



    http://youtu.be/80kxSYIkXv4
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 28 กุมภาพันธ์ 2015
  13. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,247
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,109
    ค่าพลัง:
    +70,447
    [​IMG]





    ร่วมอนุโมทนากับเนื้อนาบุญทั้งสามรูปในวันนี้ ณ อุโบสถ วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม
    องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเปรียบเทียบไว้ว่า ผู้ใดอุปสมบทบรรพชาในพระพุทธศาสนาแล้ว วันหนึ่งทำจิตใจว่างจากกิเลสเพียงวันละชั่วขณะจิตเดียว เวลานอกนั้นจิตก็ฟุ้งซ่านไปตามอารมณ์ต่างๆ แต่พยายามควบคุมกำลังใจไม่พลาดพลั้งจากพระธรรมวินัย ท่านผู้นั้นบวชเข้ามาแม้แต่วันเดียว ก็ย่อมมีอานสงฆ์ดีกว่าพระที่บวชเข้าในพระพุทธศาสนาตั้ง 100 ปี มีศีลบริสุทธิ์ แต่ไม่เคยเจริญสมาธิจิต คือ ทำจิตว่างจากกิเลสวันหนึ่งชั่วขณะจิตเดียว มีรัศมีกายสว่างไสวกว่า
    รวมความว่า การอุปสมบทบรรพชาในพระพุทธศาสนา ย่อมเป็นปัจจัยเข้าถึงพระนิพพาน และมีอานิสงส์เป็นสามัญผล คือผลที่เสมอกัน คนที่บวชในพระพุทธศาสนาจะลูกผู้ดีหรือยากจนเข็ญใจย่อมมีสิทธิเสมอกันในการทรงสิกขาบท และในการกำหนดจิตปฏิบัติสมถะกรรมฐาน และวิปัสสนากรรมฐาน



    [​IMG]

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 28 กุมภาพันธ์ 2015
  14. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,247
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,109
    ค่าพลัง:
    +70,447
    [​IMG]





    กัณฑ์ที่ ๓๖
    โพชฌงค์ปริตร
    วันที่ ๒๔ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๙๗
    ...............................................................




    นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส
    นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส
    นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺสฯ

    ยโตหํ ภคินิ อริยาย ชาติยา ชาโต นาภิชานามิ สญฺจิจฺจ ปาณํ ชีวีตา โวโรเปตา ฯ เตน สจฺเจน โสตฺถิ เต โหตุ โสตฺถิ คพฺพสฺส ฯ
    โพชฺฌงฺโค สติสงฺขาโต ธมฺมานํ วิจโย ตถา
    วิริยมฺปีติปสฺสทฺธิ โพชฺฌงฺคา จ ตถาปเร
    สมาธุเปกฺขโพชฺฌงฺคา สตฺเต เต สพฺพทสฺสินา
    มุนินา สมฺมทกฺขาตา ภาวิตา พหุลีกตา
    สํวตฺตนฺติ อภิญฺญาย นิพฺพานาย จ โพธิยา
    เอเตน สจฺจวชฺเชน โสตฺถิ เต โหตุ สพฺพทา ฯ
    เอกสฺมึ สมเย นาโถ โมคฺคลฺลานญฺจ กสฺสปํ
    คิลาเน ทุกฺขิเต ทิสฺวา โพชฺฌงฺเค สตฺต เทสยิ
    เต จ จํ อภินนฺทิตฺวา โรคา มุจฺจึสุ ตงฺขเณ
    เอเตน สจฺจวชฺเชน โสตฺถิ เต โหตุ สพฺพทา ฯ
    เอกทา ธมฺมราชาปิ เคลญฺเญนาภิปีฬิโต
    จุนฺทตฺเถเรน ตญฺเญว ภณาเปตฺวาน สาทรํ
    สมฺโมทิตฺวา จ อาพาธา ตมฺหา วุฏฺฐาสิ ฐานโส
    เอเตน สจฺจวชฺเชน โสตฺถิ เต โหตุ สพฺพทา ฯ
    ปหีนา เต จ อาพาธา ติณฺณนฺนมฺปิ มเหสินํ
    มคฺคาหตกิเลสา ว ปตฺตานุปฺปตฺติธมฺมตํ
    เอเตน สจฺจวชฺเชน โสตฺถิ เต โหตุ สพฺพทาติ ฯ


    -------------------------------------------


    ณ บัดนี้อาตมภาพจักได้แสดงความจริงความสัตย์ ซึ่งปรากฏชัดตามตำรับตำราอันมีมาในโพชฌงคปริตรจะแสดงตามวาระพระบาลี คลี่ความเป็นสยามภาษา ตามมตยาธิบาย พอเป็นเครื่องปฏิการสนองประคองศรัทธา ประดับสติปัญญาคุณสมบัติของท่านผู้พุทธบริษัท ทั้งคฤหัสถ์ บรรพชิตบรรดามาสโมสรในสถานที่นี้ทุกถ้วนหน้า เริ่มต้นธรรมเทศนาว่า



    ยโตหํ ภคินิ อริยาย ชาติยา ชาโต นาภิชานามิ สญฺจิจฺจ ปาณํ เป็นอาทิ นี้เป็นคำของพระอังคุลิมาลเถระท่านแสดงไว้ ท่านเชิดความจริงความสัตย์ของท่าน ให้พุทธบริษัทจำไว้เป็นเนติแบบแผน

    เมื่อครั้งหนึ่งพระอังคุลิมาลเถระ ไปพบหญิงปวดครรภ์เต็มที่จะคลอดบุตร แต่มันคลอดไม่ออก มันจะถึงกับตายร้องไห้ พระอังคุลิมาลเถระช่วย พระอังคุลิมาลเถระจึงได้เปล่งวาจาช่วยหญิงคลอดบุตรนั้นว่า

    ยโตหํ ภคินิ อริยาย ชาติยา ชาโต นาภิชานามิ สญฺจิจฺจ ปาณํ ชีวีตา โวโรเปตา เตน สจฺเจน โสตฺถิ เต โหตุ โสตฺถิ คพฺพสฺส

    แปลเป็นสยามภาษาว่า ดูกรน้องหญิง ตั้งแต่เราเกิดมาแล้ว โดยชาติเป็นอริยะ นาภิชานามิ ไม่มีใจแกล้งเลยที่จะปลงสัตว์ที่มีชีพและชีวิต ด้วยความสัตย์อันนี้ ขอความสวัสดีจงมีแก่ท่าน ขอความสวัสดีจงมีแก่ครรภ์ของท่าน พอขาดคำเท่านี้ หญิงนั้นคลอดบุตรผลุดทีเดียว หายจากทุกข์ภัยกัน การคลอดบุตร

    เมื่อคลอดเสียแล้วมันก็หายทุกข์หายภัย หายลำบากแก่มารดาผู้คลอด เหมือนท้องผูกถ่ายอุจจาระไม่ออก มันก็เดือดร้อนแก่เจ้าของ แต่พอออกมาเสียแล้วก็หมดทุกข์กัน นี้ด้วยความสัตย์อันนี้แหละคลอดบุตรก็ ง่ายเต็มที นี่บทต้น

    บทที่สองรองลงไป นี่พระองค์ทรงรับสั่งเองว่า
    โพชฺฌงฺโค สติสงฺขาโต ธมฺมานํ วิจโย ตถา
    วิริยมฺปีติปสฺสทฺธิ โพชฺฌงฺคา จ ตถาปเร
    สมาธุเปกฺขโพชฺฌงฺคา สตฺเต เต สพฺพทสฺสินา
    มุนินา สมฺมทกฺขาตา ภาวิตา พหุลีกตา
    สํวตฺตนฺติ อภิญฺญาย นิพฺพานาย จ โพธิยา
    เอเตน สจฺจวชฺเชน โสตฺถิ เต โหตุ สพฺพทา ฯ


    แปลเป็นสยามภาษาว่า โพชฌงค์ ๗ ประการ คือ

    สติสัมโพชฌงค์ ประการหนึ่ง
    ธรรมวิจยสัมโพชฌงค์ ประการหนึ่ง
    วิริยสัมโพชฌงค์ ประการหนึ่ง
    ปีติสัมโพชฌงค์ ประการหนึ่ง
    ปัสสัทธิโพชฌงค์ ประการหนึ่ง
    สมาธิสัมโพชฌงค์ ประการหนึ่ง
    อุเบกขาสัมโพชฌงค์ ประการหนึ่ง
    เหล่านี้ อันพระมุนีเจ้าผู้ทรงเห็นธรรมทั้งปวงกล่าวไว้ชอบแล้ว

    ภาวิตา พหุลีกตา อันบุคคลเจริญธรรมให้มากแล้ว
    สํวตฺตนฺติ ย่อมเป็นไปพร้อม
    อภิญฺญาย เพื่อความรู้ยิ่ง
    นิพฺพานาย เพื่อนิพพาน
    โพธิยา เพื่อความตรัสรู้ ด้วยความสัตย์อันนี้ ด้วยความกล่าวสัตย์อันนี้ ขอความสวัสดีจงมีแก่ท่านทุกเมื่อ นี่เป็นบทต้นของโพชฌงค์



    บทที่สองรองลงไป
    เอกสฺมึ สมเย นาโถ โมคฺคลฺลานญฺจ กสฺสปํ
    คิลาเน ทุกฺขิเต ทิสฺวา โพชฺฌงฺเค สตฺต เทสยิ
    เต จ จํ อภินนฺทิตฺวา โรคา มุจฺจึสุ ตงฺขเณ
    เอเตน สจฺจวชฺเชน โสตฺถิ เต โหตุ สพฺพทา ฯ
    เอกสฺมึ สมเย ในสมัยอันหนึ่ง
    นาโถ พระโลกนาถเจ้าทรงทอดพระเนตรเห็นพระโมคคัลลานะและ พระกัสสปะอาพาธถึงซึ่งความเวทนาแล้ว ทรงแสดงโพชฌงค์ทั้ง ๗ ประการ ท่านทั้ง ๒ คือ พระโมคคัลลานะ กับพระกัสสปะ ยินดีภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้า โรคก็หายไปในขณะนั้น ด้วยอำนาจความกล่าวสัตย์อันนี้ ขอความสวัสดี จงมีแก่ท่านในกาลทุกเมื่อ



    บทที่สาม ต่อไป
    เอกทา ธมฺมราชาปิ เคลญฺเญนาภิปีฬิโต
    จุนฺทตฺเถเรน ตญฺเญว ภณาเปตฺวาน สาทรํ
    สมฺโมทิตฺวา จ อาพาธา ตมฺหา วุฏฺฐาสิ ฐานโส
    เอเตน สจฺจวชฺเชน โสตฺถิ เต โหตุ สพฺพทา ฯ
    เอกทา ครั้งหนึ่ง ธมฺมราชาปิ แม้พระธรรมราชาคือพระพุทธเจ้าผู้เป็นเจ้าของธรรม
    เคลญฺเญนาภิปีฬิโต ผู้อันอาพาธเบียดเบียนแล้ว
    จุนฺทตฺเถเรน ตญฺเญว ภณาเปตฺวาน ทรงรับสั่งให้พระจุนทเถรแสดงซึ่งโพชฌงค์นั้นแหละ พระองค์ทรงสดับโพชฌงค์เช่นนั้นแล้วร่าเริงบันเทิงพระทัยอาพาธก็หายไปโดยฐานะอันนั้น
    เอเตน สจฺจวชฺเชน ด้วยอำนาจความสัตย์อันนี้ ขอความสวัสดีจงมีแก่ท่านทุกเมื่อ
    ปหีนา เต จ อาพาธา ติณฺณนฺนมฺปิ มเหสินํ
    มคฺคาหตกิเลสา ว ปตฺตานุปฺปตฺติธมฺมตํ
    เอเตน สจฺจวชฺเชน โสตฺถิ เต โหตุ สพฺพทาติ ฯ
    ปหีนา เต จ อาพาธา อาพาธทั้งหลายเหล่านั้น
    ติณฺณนฺนมฺปิ มเหสินํ มคฺคาหต กิเลสา ว ปตฺตา
    อันท่านผู้แสวงหาซึ่งคุณอันยิ่งใหญ่ทั้ง ๓ ท่าน ถึงซึ่งความดับหายไป ดุจกิเลส อันมรรคบำบัดแล้ว หรืออันมรรคกำจัดแล้ว ด้วยอำนาจสัจวาจานี้ ขอความสวัสดี จงมีแก่ท่านจงทุกเมื่อ

    นี่แปลมคธภาษาเป็นสยามภาษาฟังเพียงแค่นี้ ท่านผู้แปลบาลีฟังออกเข้าใจแล้ว แต่ว่าท่านผู้ไม่ได้เรียนอรรถแปลแก้ไขยังไม่เข้าใจ ต้องอรรถาธิบายลงไปอีกชั้นหนึ่ง



    ในบทต้นว่าพระอังคุลิมาลเถระเจ้า ท่านเป็นผู้กระทำบาปหยาบช้ามากนัก ก่อนบวชในพระธรรมวินัยของพระศาสดา ฆ่ามนุษย์เสีย ๙๙๙ ชั้นต้นก็ทำดีมา ได้เล่าเรียนศึกษาวิชา จวนจะสำเร็จแล้ว ถูกอาจารย์ลงโทษจะทำลายชีวิตเสีย เกิดต้องทำกรรมหยาบช้าลามก เศร้าโศกเสียใจเหมือนกัน ฆ่ามนุษย์เกือบพัน เก้าร้อยเก้าสิบเก้าคน

    พระทศพลเสด็จไปทรมาน อังคุลิมาลโจรนั้นละพยศร้าย กลับกลายบวชเป็นภิกษุในพระพุทธศาสนา
    ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ ตัดกิเลสเป็นสมุจเฉทปหาน

    ชาวบ้านชาวช่องกลัวกันนัก ขึ้นชื่อว่าอังคุลิมาลโจรละก็ ซ่อนตัวซ่อนเนื้อทีเดียว กลัวจะทำลายชีวิตเสีย กลัวนักกลัวหนา กลัวยิ่งกว่าเสือยิ่งกว่าแรดไปอีก เพราะเหตุว่าอังคุลิมาลโจรผู้นี้เป็นคนร้ายสำคัญ ถ้าว่าจะฆ่าใครแล้วไม่กลัวใครทั้งนั้น ฆ่าแล้วตัดเอาองคุลีไปร้อย จะไปเรียนวิชาเป็นเจ้าโลก

    เมื่อจำนนฤทธิ์พระบรมศาสดา เข้ายอมบวชในพระธรรมวินัยของพระศาสดาแล้ว บวชแล้วไปบิณฑบาต หญิงท้องแก่ท้องอ่อนไม่เข้าใจ พอได้ยินข่าวว่าพระองคุลิมาลมาละก็ซ่อนเนื้อซ่อนตัว วิ่งซุกวิ่งซ่อนกัน ได้ข่าวว่าหญิงท้องแก่ลอดช่องรั้ว ลูกทะลักออกมาทีเดียว ด้วยกลัวพระองคุลิมาล




    คราวนี้ท่านไปในที่สมควร หญิงที่กำลังจะคลอดบุตรอยู่นั่นหนีไม่พ้น ไปไม่ได้ก็ร้องให้องคุลิมาลช่วย

    พระองคุลิมาลเป็นพระอรหันต์แล้ว สงสารหญิงที่กำลังคลอดบุตรนั้น ก็กล่าวคำสัตย์คำจริงขึ้นว่า

    ยโตหํ ภคินิ ว่าดูกรน้องหญิง กาลใดเมื่อได้เกิดแล้วโดยชาติเป็นอริยะ ไม่มีความแกล้งปลงสัตว์จากชีวิตเลย ด้วยความกล่าวสัตย์อันนี้ขอความสวัสดีจงมีแก่ท่าน ขอความสวัสดีจงมีแก่ครรภ์ของท่าน

    ขาดคำเท่านี้ หญิงนั้นคลอดบุตรผลุดทีเดียว นี่ยกข้อไหน?
    ให้จำไว้เป็นตำรับตำรา เป็นภิกษุก็ดี เป็นอุบาสกอุบาสิกาก็ดี ในพระธรรมวินัยของพระศาสดา ในศาสนาของพระพุทธเจ้า นี้เป็นคำของพระอรหันต์ พระองคุลิมาลท่านเป็นพระอรหันต์เสียแล้ว

    ท่านจะกล่าวถ้อยคำว่าตั้งแต่ท่านเกิดมาไม่ได้ฆ่าสัตว์เลยน่ะ ไม่ได้มีใจแกล้งฆ่าสัตว์เลยน่ะ ท่านกล่าวไม่ได้ ท่านเป็นคนร้ายมา พึ่งกลับมาเป็นคนดี เมื่อได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว เมื่อเกิดเป็นพระอรหันต์แล้ว

    ท่านจึงได้ชี้ชัดว่า จำเดิมแต่เราเกิดแล้วโดยชาติเป็นอริยะ ไม่มีความแกล้งปลงสัตว์จากชีวิตเลย นี่ความจริงของท่าน ท่านยกเอาความจริงอันนี้แหละขึ้นเชิด ที่ท่านเป็นผู้ประเสริฐ เป็นอริยบุคคลในธรรมวินัยของพระศาสดา ขอความจริงอันนี้แหละจงบันดาลเถิด

    ท่านขอความจริงอันนี้ อธิษฐานด้วยความจริงอันนี้ พอขาดคำของท่านเท่านั้นลูกคลอดทันที นี่ความสัตย์ยกความจริงขึ้นพูด



    ไม่ใช่แต่พระองคุลิมาลเท่านั้นที่ยกความจริงขึ้นพูด หญิงแพศยาทำฤทธิ์ทำเดชได้ยกความจริงขึ้นพูดเหมือนกัน

    หญิงแพศยาคนหนึ่ง พระเจ้าแผ่นดินยกพยุหเสนาไปพักอยู่ที่แม่น้ำใหญ่ ว่ายข้ามก็จะไม่พ้น น้ำไหลเชี่ยวเป็นฟอง ไหลปราดทีเดียว เมื่อเขาตั้งพลับพลาให้พักอยู่ที่คันแม่น้ำใหญ่เช่นนั้น

    ท่านทรงดำริว่า แม่น้ำใหญ่ไหลเชี่ยวขนาดนี้จะมีใครผู้ใดผู้หนึ่งอาจสามารถจะทำให้น้ำไหลกลับได้บ้าง ทรงดำริดังนี้ รับสั่งแก่มหาดเล็กเด็กชายของพระองค์ มหาดเล็กเด็กชายของพระองค์ก็ไปเที่ยวป่าวร้องหาว่าผู้ใดใครผู้หนึ่งอาจสามารถทำให้น้ำในแม่น้ำนี้ไหลกลับขึ้นได้บ้าง

    หญิงแพศยาคนหนึ่งรับทีเดียว ว่าฉันเองจะทำให้น้ำไหลกลับได้ เพราะนางเป็นแพศยาก็จริงมั่นใจว่า ชายคนใดไม่ว่าชั้นสูง ชั้นกลาง ชั้นต่ำ
    ให้เงินเพียงค่าบาทหนึ่งปฏิบัติเพียงเท่านี้
    ให้เงินค่าสองบาทปฏิบัติเพียงเท่านี้
    สามบาทปฏิบัติเพียงเท่านี้
    พอแก่ค่าของเงินเท่านั้น เหมือนกันไม่ได้ขาดตกบกพร่อง
    ไม่ว่าชั้นสูง ชั้นกลาง ชั้นต่ำ ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ทำไปตามหน้าที่ของตัว ความสัตย์มีอย่างนี้

    นางเมื่อราชบุรุษพาไปเฝ้าพระเจ้าแผ่นดิน พระเจ้าแผ่นดินทรงรับสั่งว่า เจ้าหรืออาจจะทำให้น้ำไหลกลับได้

    พะย่ะค่ะหม่อมฉันอาจสามารถจะทำให้น้ำไหลกลับได้
    เจ้าจะต้องการอะไร ธูปเทียนดอกไม้จะหาให้ ถ้าเจ้าทำน้ำให้ไหลกลับได้ตามคำกล่าวของเจ้าแล้ว เราจะรางวัลให้หนักมือทีเดียว ถ้าว่าเจ้าทำน้ำไหลกลับไม่ได้ เจ้าจะมีโทษหนักทีเดียว

    นางจุดธูปเทียนตั้งสัตยาธิษฐานหันหน้าไปทางด้านแม่น้ำ ยกเอาความสัตย์นั่นเอง อธิษฐานว่า

    เดชะบุญญาภินิหารความสัตย์ ความจริงของหม่อมฉัน ได้สั่งสมอบรมมาตั้งแต่เป็นหญิงแพศยา ได้ปฏิบัติชายผู้หนึ่งผู้ใดที่มาหาข้าพเจ้า

    ข้าพเจ้าปฏิบัติโดยค่าควรแก่บาทหนึ่ง ควรแก่สองบาท ควรแก่สามบาท ตามหน้าที่ความจริงทำอยู่ดังนี้ ไม่ได้เคลื่อนคลาดไปแต่อย่างใดอย่างหนึ่ง ถ้าว่าความสัตย์จริงอันนี้ของหม่อมฉันจริงดังหม่อมฉันอธิษฐานดังนี้แล้ว

    ขออำนาจความสัตย์นี้ จงบันดาลให้น้ำไหลกลับโดยฉับพลันเถิด พออธิษฐานขาดคำเท่านั้น น้ำไหลกลับอู้ ไหลลงเชี่ยวเท่าใด ก็ไหลขึ้นเชี่ยวเท่านั้นเหมือนกัน พอกันทีเดียว

    พระเจ้าแผ่นดินเห็นอัศจรรย์เช่นนั้น ก็ให้เครื่องรางวัลแก่หญิงแพศยานั่นอย่างพอใจ ให้เป็นนายหญิงแพศยาต่อไป

    แล้วก็ให้บ้านส่วยสำหรับพักพาอาศัยอยู่ ไม่ขาดตกบกพร่องใดๆ ละ เป็นสุข สำราญ เบิกบานใจทีเดียว หญิงแพศยาผู้นั้น

    นี่ความสัตย์โดยความชั่วยังเอามาใช้ได้ ส่วนพระองคุลิมาลเถระเจ้านี้
    ท่านยกความสัตย์ที่ได้บรรลุพระอรหันต์ขึ้นอธิษฐาน หญิงคลอดบุตรไม่ออก พอขาดคำหญิงคลอดบุตรผลุดออกไป อัศจรรย์อย่างนี้


    นี่ใช้ความสัตย์อย่างนี้ ติดขัดเข้าแล้วอย่าเที่ยวใช้เรื่องเลอะๆ เหลวๆ บนผีบนเจ้า
    นั่นไม่ได้ยินได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้า พระอรหันต์เลย พวกนั้นไม่ได้ฟังธรรมของสัตบุรุษเลย ความเห็นจึงได้เลอะเทอะเหลวไหลเช่นนั้น ไม่ถูกหลักถูกฐาน ถูกทางพุทธศาสนา
    ถ้าว่ารู้จักหลักทางพระพุทธศาสนาแล้ว ต้องยกขึ้นพูดความสัตย์ความจริงนั่นเป็นข้อสำคัญ





    ถ้าความบริสุทธิ์ของศีลมีอยู่ก็ต้องยกความบริสุทธิ์นั่นแหละขึ้นพูด
    หรือความบริสุทธิ์ของสมาธิมีอยู่ ก็ยกความบริสุทธิ์ของสมาธิขึ้นพูดขึ้นอธิษฐาน

    หรือแม้ว่าความจริงของปัญญามีอยู่ก็ยกความจริงของปัญญานั้นขึ้นอธิษฐาน
    หรือความสัตย์ความจริงความดีอันใดที่ทำไว้แน่นอนในใจของตัว ให้ยกเอาความดีอันนั้นแหละ ขึ้นอธิษฐานตั้งอกตั้งใจ บรรลุความติดขัดทุกสิ่งทุกประการ ให้รู้จักหลักฐานดังนี้



    นี่ในเรื่องพระองคุลิมาลเถระเจ้าเป็นสาวกของพระบรมศาสดา พระศาสดาทรงรับสั่งไว้ในโพชฌงค์กถา หรือโพชฺฌงฺคปริตตํ นั้น ปรากฏว่า โพชฌงค์ทั้ง ๗ ประการ ตั้งแต่สติจนกระทั่งอุเบกขาสัมโพชฌงค์ ทั้ง ๗ ประการเหล่านี้แหละ อันพระมุนีเจ้าผู้เห็นธรรมทั้งสิ้น ได้กล่าวไว้ชอบแล้ว

    ถ้าว่าบุคคลใดเจริญขึ้นกระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อนิพพาน เพื่อความตรัสรู้ ความจริงอันนี้ ด้วยความกล่าวสัตย์อันนี้แหละขอความสวัสดี จงมีแก่ท่านทุกเมื่อ ข้อนี้เป็นข้อสำคัญ

    สติสัมโพชฌงค์ เราจะพึงปฏิบัติอย่างไรจึงจะได้บรรลุมรรคผลสมมาดปรารถนา
    ธรรมวิจยสัมโพชฌงค์
    วิริยสัมโพชฌงค์
    ปีติสัมโพชฌงค์
    ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์
    สมาธิสัมโพชฌงค์
    อุเบกขาสัมโพชฌงค์



    สติสัมโพชฌงค์ เราต้องเป็นคนไม่เผลอสติเลย เอาสตินิ่งอยู่ศูนย์กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์นั่น ตั้งสติตรงนั้นทำใจให้หยุด ไม่หยุดก็ไม่ยอม ทำให้หยุดไม่เผลอทีเดียว ทำจนกระทั่งใจหยุดได้



    นี่เป็นตัวสติสัมโพชฌงค์แท้ๆ ไม่เผลอเลยทีเดียว ที่ตั้งที่หมาย หรือกลางดวงธรรม ที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ สะดือทะลุหลังขวา ทะลุซ้าย กลางกั๊กนั่นใจหยุดตรงนั้น

    เมื่อทำใจหยุดตรงนั้น ไม่เผลอสติทีเดียว ระวังใจหยุดนั้นไว้ นั่งก็ระวัง ใจหยุด นอนก็ระวังใจหยุด เดินก็ระวังใจหยุด ไม่เผลอเลย นี่แหละตัวสติ สัมโพชฌงค์แท้ๆ จะตรัสรู้ต่างๆ ได้เพราะมีสติสัมโพชฌงค์อยู่แล้ว

    ธรรมวิจยสัมโพชฌงค์ เมื่อสติใจหยุดนิ่งอยู่ก็สอดส่องอยู่ ความดีความชั่วจะเล็ดลอดเข้ามาท่าไหน ความดีจะลอดเข้ามา หรือความชั่วจะลอดเข้ามา

    ความดีลอดเข้ามา ก็ทำใจให้หยุด
    ความชั่วลอดเข้ามา ก็ทำใจให้หยุด
    ดีชั่วไม่ผ่องแผ้วไม่เอาใจใส่ ไม่กังวล ไม่ห่วงใย ใจหยุดระวังไว้ ไม่ให้เผลอก็แล้วกัน นั่นเป็นตัวสติวินัย ที่สอดส่องอยู่นั่นเป็นธรรมวิจยสัมโพชฌงค์

    วิริยสัมโพชฌงค์ เพียรรักษาใจหยุดนั้นไว้ไม่ให้หาย ไม่ให้เคลื่อนทีเดียว ไม่เป็นไปกับความยินดียินร้ายทีเดียว

    ความยินดียินร้ายเป็น อภิชฌา โทมนัส เล็ดลอดเข้าไปก็ทำใจหยุดนั่นให้เสียพรรณไปให้เสียผิวไป ไม่ให้หยุดเสียให้เขยื้อนไปเสีย ให้ลอกแลกไปเสีย มัวไป ดีๆ ชั่วๆ อยู่เสียท่าเสียทาง

    เพราะฉะนั้นต้องมีความเพียรกลั่นกล้ารักษาไว้ให้หยุดท่าเดียว นี้ได้ชื่อว่าวิริยสัมโพชฌงค์ เป็นองค์ที่ ๓





    ปีติสัมโพชฌงค์ เมื่อใจหยุดละก็ชอบอกชอบใจ ดีอกดีใจ ร่าเริงบันเทิงใจ อ้ายนั่นปีติ ปีติที่ใจหยุดนั่น ปีติไม่เคลื่อนจากหยุดเลย หยุดนิ่งอยู่นั่น นั่นปีติสัมโพชฌงค์ นี้เป็นองค์ที่ ๔

    ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ ปัสสัทธิ แปลว่า ระงับซ้ำ
    หยุดในหยุดๆๆ ไม่มีถอยกัน พอหยุดก็เข้ากลางของใจที่หยุดนั่น หยุดในหยุด หยุดในหยุด นั่นทีเดียว นั่นปัสสัทธิระงับซ้ำ เรื่อยลงไป ให้แน่นหนาลงไว้ ไม่คลาดเคลื่อน ปัสสัทธิ มั่นคงอยู่ที่ใจหยุดนั่น ไม่ได้เป็นสองไป เป็นหนึ่งทีเดียว นั่นเรียกว่า สมาธิทีเดียว นั่นแหละ


    พอสมาธิหนักเข้าๆ นิ่งเฉยไม่มีสองต่อไป นี่เรียกว่า อุเบกขา เข้าถึงนิ่งเฉยแล้ว อุเบกขาแล้ว


    นี่องค์คุณ ๗ ประการอยู่ทีเดียวนี่ อย่าให้เลอะเลือนไป
    ถ้าได้ขนาดนี้ ภาวิตา พหุลีกตา กระทำเป็นขึ้นแค่นี้ กระทำให้มากขึ้น
    สํวตฺตนฺติ ย่อมเป็นไปพร้อม
    อภิญฺญาย เพื่อรู้ยิ่ง
    นิพฺพานาย เพื่อสงบ ระงับ
    โพธิยา เพื่อความตรัสรู้ ด้วยความกล่าวสัตย์อันนี้แหละขอความสวัสดี จงมีแก่ท่านในทุกกาลทุกเมื่อ



    ความจริงอันนี้ ถ้ามีจริงอยู่อย่างนี้ละ รักษาเป็นแล้ว รักษาโพชฌงค์เป็นแล้ว อธิษฐานใช้ได้ ทำอะไรใช้ได้ โรค ภัย ไข้เจ็บ แก้ได้ ไม่ต้องไปสงสัยละ



    ความจริงมีแล้ว โรคภัยไข้แก้ได้ แก้ได้อย่างไร?

    ท่านยกตัวอย่างขึ้นไว้
    เอกสฺมึ สมเย นาโถ โมคฺคลฺลานญฺจ กสฺสปํ
    คิลาเน ทุกฺขิเต ทิสฺวา โพชฺฌงฺเค สตฺต เทสยิ
    เต จ จํ อภินนฺทิตฺวา โรคา มุจฺจึสุ ตงฺขเณ
    เอกสฺมึ สมเย ในสมัยหนึ่ง
    นาโถ พระโลกนาถเจ้าทรงทอดพระเนตร ทรงดูพระโมคคัลลานะ และพระกัสสปะอาพาธถึงซึ่งทุกขเวทนา อาพาธเกิดเป็นทุกขเวทนา ทรงแสดงโพชฌงค์ทั้ง ๗ ดังกล่าวแล้ว

    ที่แสดงแล้วนี่ ทรงแสดงโพชฌงค์ทั้ง ๗ ให้ทำใจหยุดลงไว้ให้นิ่งลงไว้ เมื่อพระองค์ทรงแสดงโพชฌงค์ทั้ง ๗ แล้ว ท่านทั้งสอง พระโมคคัลลานะกับ พระกัสสปะ มีใจร่าเริงบันเทิงในภาษิตของพระองค์นั้น โรคหายในขณะนั้น

    นี่ความสัตย์อันนี้ ความจริงอันนี้โรคหายทีเดียว ได้ศักดิ์สิทธิ์อย่างนี้ นี่ว่าอย่างพระโมคคัลลานะ พระพุทธเจ้า นี่ท่านผู้แสวงซึ่งคุณอันยิ่งใหญ่หนา

    ทั้ง ๓ ท่านเป็นผู้สำเร็จแล้ว ยังมีโรคเข้ามาเบียดเบียนได้ เบียดเบียนก็ใช้โพชฌงค์กำจัดเสีย ไม่ต้องไปกินหยูก กินยา ที่ไหนเลยสักอย่างหนึ่ง โพชฌงค์เท่านั้นแหละโรคหายไปหมด


    ดังวัดปากน้ำบัดนี้ ก็ใช้วิชชาบำบัดโรคเช่นนี้เหมือนกัน ใช้บำบัดโรคไม่ต้องใช้ยา ตรงกับทางพุทธศาสนาจริงๆ อย่างนี้ นี่ชั้นหนึ่ง


    นี่พระองค์เองพระองค์ทรงเอง คราวนี้โดนพระองค์เข้าบ้าง

    เอกทา ธมฺมราชาปิ เคลญฺเญนาภิปีฬิโต ครั้งหนึ่งพระธรรมราชา

    ธมฺมราชาปิ แม้พระธรรมราชา คือ พระพุทธเจ้าผู้เป็นเจ้าของพระธรรมเอง ปิ อันนั้นไม่แม้ แปลเป็นเองเสีย ครั้งหนึ่งพระธรรมราชาเอง อันอาพาธเข้าบีบคั้นแล้ว

    เคลญฺเญนาภิปีฬิโต จุนฺทตฺเถเรน ตญฺเญว ภณาเปตฺวาน ทรงรับสั่งให้พระจุนทเถร แสดงโพชฌงค์ ๗ ประการนั้นด้วยความยินดี

    สมฺโมทิตฺวา จ อาพาธา ทรงบันเทิงพระทัยในโพชฌงค์ที่พระจุนทเถรทรงแสดงถวายนั้น อาพาธหายไปโดยฉับพลัน ด้วยฐานะอันสมควร ด้วยความสัตย์อันนี้ขอความสวัสดี จงมีแก่ท่านทุกเมื่อ

    นี่พระองค์เองอาพาธ พระจุนทเถรแสดงสัมโพชฌงค์ระงับ ก็หายอีกเหมือนกัน ในท้ายพระสูตรนี้ ว่า


    ปหีนา เต จ อาพาธา อาพาธทั้งหลายเหล่านั้น
    ตมฺหาวุฏฺฐาสิ ฐานโส มคฺคาหตกิเลสา ว ปตฺตานุปฺปตฺติธมฺมตํ
    อาพาธทั้งหลายเหล่านั้นถึงซึ่งความดับไป ดุจกิเลสอันมรรคกำจัดไปดังนั้น ไม่เกิดขึ้นได้ นี่ด้วยความสัตย์จริงอันนี้ ด้วยความกล่าวสัตย์อันนี้ ขอความสวัสดีจงบังเกิดมีแก่ท่านทุกเมื่อ นี่ความจริงเป็นดังนี้




    ถ้าเรารู้จักพุทธศาสนาดังนี้ เราจะต้องปฏิบัติให้ถูกหลักฐานความจริงของพระพุทธศาสนา อังคุลิมาลเถระเจ้า ท่านเป็นอริยบุคคลในพระพุทธศาสนา เป็นขีณาสพแล้ว ท่านใช้ความสัตย์จริงของท่านขึ้นอธิษฐาน บันดาลให้หญิงคลอดบุตรไม่ออกให้ออกได้ ตามความปรารถนา

    ส่วนโพชฌงค์ทั้ง ๗ ประการ พระบรมศาสดาจารย์ทรงแสดงให้พระโมคคัลลานะ พระกัสสปะ กำลังอาพาธอยู่ก็หายโดยฉับพลัน แล้วส่วนพระองค์ท่านล่ะอาพาธขึ้น ทรงรับสั่งให้พระจุนทเถรแสดงโพชฌงค์นั้น อาพาธของพระองค์ก็หายโดยฐานะอันสมควรทีเดียว


    นี่หลักอันนี้โพชฌงค์เป็นตัวสำคัญ ประเสริฐเลิศกว่าโอสถใดๆ ในสากลโลกทั้งนั้น
    เหตุนี้ท่านผู้มีปัญญา เมื่อได้สดับมาในโพชฌงคปริตรนี้ จงมนสิการกำหนดไว้ในใจของตนทุกถ้วนหน้า
    ที่ได้ชี้แจงแสดงมาตามวาระพระบาลี คลี่ความเป็นสยามภาษา ตามมตยาธิบายพอสมควรแก่เวลา
    เอเตน สจฺจวชฺเชน ด้วยอำนาจความสัตย์ที่ได้อ้างธรรมปฏิบัติ ตั้งแต่ต้นจนอวสานนี้ ขอความสุขสวัสดีจงบังเกิดมีแก่ท่านทั้งหลาย บรรดามาสโมสรในสถานที่นี้ทุกถ้วนหน้า

    อาตมภาพชี้แจงแสดงมาพอสมควรแก่เวลา สมมติว่ายุติธรรมมิกถาโดยอรรถนิยมความเพียงเท่านี้

    เอวํ ก็มีด้วยประการฉะนี้






    [​IMG]
     
  15. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,247
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,109
    ค่าพลัง:
    +70,447
    พรุ่งนี้ ถ้าท่านใดแวะมาวัดหลวงพ่อสดฯ อย่าลืมขึ้นไปรับศีลและปฏิบัติธรรมนั่งสมาธิกับหลวงป๋าของเรา ที่ศาลาสมเด็จฯชั้น 3 ตั้งแต่เวลา 9.30น. เป็นต้นไป
    และอย่าลืมมาถวายสังฆทานอาทิตย์ต้นเดือน ที่ศาลาสมเด็จฯ ชั้น 2 กับหลวงป๋ากันน่ะ
    ส่วนท่านใด ที่มาจากกรุงเทพฯ สนใจที่จะมาทำบุญหรือมาปฏิบัติธรรมที่วัดหลวงพ่อสดฯ ทางวัดได้จัดรถรับส่งทุกวันอาทิตย์ จอดที่ปากทางเข้าวัดสระเกศ รถออกเวลา 7.00น. และเดินทางกลับจากวัดเวลา 14.30น.




    [​IMG]
     
  16. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,247
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,109
    ค่าพลัง:
    +70,447
    เรียนเชิญ เพื่อนสมาชิก ที่ปฏิบัติสติปัฏฐานสี่ตามแนววิชชาธรรมกาย แลกเปลี่ยนประสพการณ์ที่ได้จากการปฏิบัติ

    ไม่ว่าท่านจะเรียนจากกลุ่มหรือ สำนักไหน วัดไหน



    ........ขอเป็นผู้มีประสพการณ์ตามแนววิชชาฯนะครับ

    เพื่อเนื้อหา ที่เหมาะกับจริต นิสัย

    และ ไม่ก่อเกิดนิวรณ์ธรรม หรือ อกุศลธรรมอันใดเพิ่มเติม จากการเสวนาแลกเปลี่ยนเนื้อหาที่นอกประเด็น ออกไปไกล




    ------------------------------------------------------

    [​IMG]


    [​IMG]
     
  17. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,247
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,109
    ค่าพลัง:
    +70,447
    หัวข้อสำรวจตนเอง
    สำหรับผู้ถึงธรรมกายแล้ว

    เป็นเพียง หัวข้อ เบื้องต้น และ เบื้องกลาง คือ คือมหาสติปัฏฐาน 4 ตามแนววิชชาธรรมกายเท่านั้น

    ยังมีข้อมูลสำรวจอีกมาก จะแจกแก่ผู้ไปต่อวิชชากับ พระราชพรหมเถระ ( วีระ คณุตตโม )
    เป็น อาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนาธุระ วัดปากน้ำ ฯ หรือ ต่อวิชชาฯกับท่านเจ้าอาวาส วัดหลวงพ่อสดฯ ราชบุรี
    หรือ โครงการพุทธภาวนาวิชชาธรรมกาย วัดสระเกศ(ภูเขาทอง) โดยตรง


    เบื้องต้น

    1. ปั่จจุบันนี้ ท่านเห็นธรรมกายใสและชัดเจนเพียงใด?
    ( ) ใสชัดดีมาก ( ) ใสชัดพอประมาณ
    ( ) ใสชัดบ้างไม่ชัดบ้าง ( ) ไม่ชัดเลย

    2. เคยได้รับการต่อ 18 กาย เมื่อใด

    ( ) วันที่........................ ( ) ไม่เคย

    3. เคยรับการฝึกพิสดารกาย ซ้อนสับทับทวี แล้วหรือยัง ?

    ( ) เคยแล้วทำตามทันได้หมด ( ) เคยแล้ว แต่ทำตามไม่คล่อง

    ( ) ยังไม่เคย หรือเคยแล้วแต่ทำตามไม่ได้

    4. เคยฝึก พิสดารกายสุดหยาบสุดละเอียด เป็น เถา ชุด ชั้น
    ตอน ภาค พืด แล้วหรือยัง ?

    ( ) เคยแล้ว ทำตามได้หมด ( ) เคยแล้ว ทำตามได้บ้าง
    ( ) ยังไม่เคย หรือ เคยแล้วแต่ทำตามไม่ได้

    5. เคยฝึกพิจารณาเห็นกายในกาย เห็นเวทนาในเวทนา

    เห็นจิตในจิต เห็นธรรมในธรรม เป็นณ ภายในและภายนอกโดยส่วนรวม โดยน้อมเข้าสู่ " อตีตังสญาณ" ดูขันธ์ของตนเองและผู้อื่นในอดีต และ น้อมเข้าสู่ อนาคตังสญาณ ดูขันธ์ของตนเองและผู้อื่นไปจนถึงวันตาย เพื่อให้เห็น " อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา "
    และเป็น มรณัสสติ เครื่องเตือนใจหรือยัง ?

    ( ) เคยแล้วเห็นตามทันหมด ( ) เคยแล้วเห็นตามทันบ้าง

    ( ) ยังไม่เคย หรือ เคยแต่ยังตามไม่ทัน


    7. เคยฝึกพิจารณาเห็นธรรมในธรรมต่อไปนี้หรือไม่ ( กาตรงที่เคย)


    ( ) ขันธ์ 5 ( ) อายตนะ 12 ( ) ธาตุ 18 ( ) อินทรีย์ 22

    ( ) อริยสัจจ์ 4 ( ) ปฏิจจสมุปบาทธรรม 12


    8. เคยฝึก " เจริญฌาณสมาบัติพิจารณาอริยสัจจ์ 4 " แล้วหรือยัง?
    ( ) เคยแล้ว ทำตามทันหมด ( ) เคยแล้วทำตามทันบ้างไม่ทันบ้าง

    ( ) ยังไม่เคย หรือ เคยแต่ทำไม่ได้


    9. ท่านทราบพระประสงค์ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ให้เจริญภาวนา อบรมมหาสติปัฏฐาน 4 แล้วหรือยัง ?

    ( ) ทราบ คือ.......................................................

    ( ) พอทราบ คือ.....................................................

    ( ) ไม่ทราบ





    ************จบการสำรวจเบื้องต้น*******
     
  18. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,247
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,109
    ค่าพลัง:
    +70,447
    ทุกวันอาทิตย์ ถ้าท่านใดแวะมาวัดหลวงพ่อสดฯ อย่าลืมขึ้นไปรับศีลและปฏิบัติธรรมนั่งสมาธิกับหลวงป๋าของเรา ที่ศาลาสมเด็จฯชั้น 3 ตั้งแต่เวลา 9.30น. เป็นต้นไป
    และอย่าลืมมาถวายสังฆทานอาทิตย์ต้นเดือน ที่ศาลาสมเด็จฯ ชั้น 2 กับหลวงป๋ากันน่ะ
    ส่วนท่านใด ที่มาจากกรุงเทพฯ สนใจที่จะมาทำบุญหรือมาปฏิบัติธรรมที่วัดหลวงพ่อสดฯ ทางวัดได้จัดรถรับส่งทุกวันอาทิตย์ จอดที่ปากทางเข้าวัดสระเกศ รถออกเวลา 7.00น. และเดินทางกลับจากวัดเวลา 14.30น.




    [​IMG]
     
  19. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,247
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,109
    ค่าพลัง:
    +70,447
    พระเทพญาณมงคล - จะเข้านิพพานในชาตินี้ได้ไหม

    <object width="450" height="24" classid="clsid:D27CDB6E-AE6D-11cf-96B8-444553540000" codebase="http://download.macromedia.com/pub/shockwave/cabs/flash/swflash.cab#version=6,0,40,0"> <param name="scale" value="noscale" /> <param name="allowFullScreen" value="true" /> <param name="allowScriptAccess" value="always" /> <param name="allowNetworking" value="all" /> <param name="bgcolor" value="#777777" /> <param name="wmode" value="opaque" /> <param name="movie" value="http://www.mongkoldhamma.org/jwplayer.swf" /> <param name="flashVars" value="&file=http://www.mongkoldhamma.org/videos.php?vid=5529315e6&type=sound&backcolor=777777&frontcolor=FFCC00&autostart=&screencolor=000000" /> <embed src="http://www.mongkoldhamma.org/jwplayer.swf" width="450" height="24" scale="noscale" bgcolor="#777777" type="application/x-shockwave-flash" allowFullScreen="true" allowScriptAccess="always" wmode="opaque" flashvars="&file=http://www.mongkoldhamma.org/videos.php?vid=5529315e6&type=sound&backcolor=777777&frontcolor=FFCC00&autostart=&screencolor=000000"></embed> </object> <p><a href="http://www.mongkoldhamma.org/%e0%b8%9e%e0%b8%a3%e0%b8%b0%e0%b9%80%e0%b8%97%e0%b8%9e%e0%b8%8d%e0%b8%b2%e0%b8%93%e0%b8%a1%e0%b8%87%e0%b8%84%e0%b8%a5-%e0%b8%88%e0%b8%b0%e0%b9%80%e0%b8%82%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b8%99%e0%b8%b4-video_5529315e6.html" target="_blank"></a></p>
     
  20. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,247
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,109
    ค่าพลัง:
    +70,447
    ตรงประเด็น ในเรื่องความเท็จที่กล่าวหาว่า" หลวงพ่อวัดปากน้ำเลิกสอนวิชชาธรรมกาย "

    [​IMG]
    [​IMG]

    [​IMG]






    หลวงพ่อสดเลิกวิชชาธรรมกายจริงหรือ?

    มาเข้าประเด็นกันตรงๆไม่ต้องอ้อมค้อม
    กับกรณีที่ทางวัดมหาธาตุได้กล่าวว่าหลวงพ่อสดได้เลิกสอนวิชชาธรรมกายแล้ว และบอกว่าวิชชาธรรมกายเป็นเพียงแค่สมถะเท่านั้น เรื่องที่บอกว่าวิชชาธรรมกายเป็นแค่สมถะเท่านั้นนั้นผมไม่ขอกล่าวในที่นี้แล้ว เพราะเคยลงข้อมูลให้อ่านกันไปแล้วว่าวิชชาธรรมกายเป็นทั้งสมถะและวิปัสสนา แต่เรื่องนี้ความจริงผมเคยได้ยินทางสายพองยุบพูดมาหลายสิบปีแล้ว... เอาล่ะ หลวงพ่อสดท่านเลิกสอนวิชชาธรรมกายจริงหรือ? วันนี้ว่ากันให้ชัดเลย จะยกตัวอย่างมาอ้างอิงและข้อมูลที่ผมจะประมวลผลจากข้อเท็จจริงขึ้นมาให้รับทราบ

    สายวัดมหาธาตุหรือสายพองยุบ อันมีเจ้าคุณโชดกหรือพระธรรมธีรราชมหามุนี รวมถึงศิษยานุศิษย์ได้มีการกล่าวอ้างจากรูปที่หลวงพ่อสดท่านได้เขียนไว้ให้ว่า ท่านเลิกสอนวิชชาธรรมกายแล้วความว่า


    “ ให้สำนักวิปัสสนา ในการที่ฉันได้เข้าปฏิบัติวิปัสสนาตามแบบวัดมหาธาตุสอนอยู่ในปัจจุบันนี้แล้ว ยืนยันได้ว่าการปฏิบัติแบบนี้ ถูกต้องร่องรอยในมหาสติปัฏฐานสูตรทุกประการ ลงชื่อ พระภาวนาโกศล วัดปากน้ำ ธนบุรี ๒๐ เมษายน ๒๔๙๘ ”

    ข้อความนี้ถูกนำมากล่าวอ้างและได้มีหนังสือจากทางวัดมหาธาตุเอง เป็นหนังสือชื่อ “คำถาม-คำตอบ เรื่องวิปัสสนากรรมฐาน” โดยพระมหาโชดกเป็นผู้เขียนขึ้น เล่าถึงเรื่องราวบางส่วนที่ได้ไปสอนวิปัสสนากรรมฐานแก่หลวงพ่อสด โดยสรุปความว่า หลวงพ่อสดท่านยอมรับว่าท่านติดอยู่กับสมถะคือธรรมกายนี้ และถึงขนาดกล่าวว่าตัวเองเป็นขี้ข้าเค้ามานาน มาได้เจอของจริงจากท่านเจ้าคุณโชดก... แล้วได้ภาวนาว่าเห็นหนอๆ ธรรมกายที่มีก็ดับวูบไป... ศิษย์ของท่านเจ้าคุณโชดกท่านหนึ่ง นั่นก็คือ..... ท่านได้กล่าวไว้ในหนังสือมักกะลีผลไว้ว่า หลวงพ่อสดถึงกับก้มกราบท่านเจ้าคุณอุดมวิชชาญาณ(ซึ่งก็คือท่านเจ้าคุณโชดก)ผู้มีพรรษาอ่อนกว่า และกล่าวว่าตัวท่าน(หลวงพ่อสด)บรรลุญาณ16 แล้ว ท่านไม่ติดในธรรมกายแล้ว...

    มาดูบทวิเคราะห์ข้อมูลกัน ไม่ได้กล่าวว่าร้ายฝ่ายทางวัดมหาธาตุแต่เราก็ต้องว่ากันตามข้อเท็จจริง เพื่อให้ผู้ไม่ทราบความจริงได้เข้าใจตรงตามความเป็นจริง

    หลวงพ่อสดเขียนข้อความรับรองใต้รูปให้วัดมหาธาตุ ลงวันที่ ๒๐ เมษายน ๒๔๙๘ หลังจากฝึกวิปัสสนากรรมฐานกับท่านเจ้าคุณโชดกเสร็จ ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามที่ท่านเจ้าคุณโชดกกล่าวในหนังสือเป็นเรื่องจริงว่าหลวงพ่อสดท่านฝึกวิปัสสนาจนสำเร็จญาณ16 บรรลุแล้ว และยอมรับว่าธรรมกายไม่ใช่วิปัสสนา(ซึ่งการบอกว่าวิชชาธรรมกายไม่ใช่วิปัสสนาเป็นเพียงแค่นิมิตติดในรูปไม่ใช่ของจริง ให้ละเสียนั้น เป็นเสียงของท่านเจ้าคุณโชดกได้กล่าวไว้อย่างชัดเจนสามารถหาฟังได้) หลวงพ่อสดท่านเป็นคนจริง ในสมัยตอนที่ท่านนั่งปฏิบัติภาวนาแล้วตั้งจิตอธิษฐานจะไม่ยอมลุกออกจากที่ หากไม่บรรลุธรรมนั้น ถือเป็นคุณธรรมอันสูงส่ง ยอมตายเพื่อขอให้ได้เข้าถึงธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดังนั้นหากท่านรู้แล้วว่าธรรมกายไม่ใช่ของจริง เป็นเพียงนิมิตหลอกอย่างที่ท่านเจ้าคุณโชดกกล่าว และท่านมาบรรลุธรรมจากท่านเจ้าคุณโชดกจริง หลวงพ่อสดท่านย่อมไม่สอนวิชชาธรรมกายต่อแน่นอน เพราะโดยนิสัยท่าน หากรู้ว่าสิ่งใดผิดย่อมจะไม่กระทำต่อ ตามคุณธรรมที่ท่านมีในใจ ยิ่งเรื่องธรรมะด้วยแล้วท่านจะระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง.....


    ....จากรูปที่ท่านเขียนไม่มีประโยคไหนที่ท่านบอกว่าเลิกวิชชาธรรมกาย และไม่มีคำไหนยกย่องว่าสายพองยุบ เป็นทางเดียวที่จะปฏิบัติ

    แต่การเขียนของท่าน...เสมือนการเขียนของผู้ที่เขี่ยวชาญที่สำเร็จสติปัฏฐานสี่(ตามแนววิชชาธรรมกาย) มานานแสนนานแล้ว ได้ถูกเชิญมาให้ตรวจสอบว่า การปฏิบัติแนวพองยุบสมัยนั้น ถูกตามรอยแนวทางสติปัฎฏฐานสี่ อีกแนวทาง ..( แต่จะมีใครทำได้หรือไม่ สักกี่คน )





    เราลองมาดูกัณฑ์เทศน์ที่ ๖๓ เรื่องทานวัตถุ-ฉากหลัง ซึ่งหลวงพ่อสดท่านเทศน์ไว้เมื่อวันที่ ๓ เมษายน ๒๔๙๙ ซึ่งเป็นการเทศน์หลังจากที่ท่านได้เขียนข้อความรับรองให้วัดมหาธาตุหรือหลังจากที่ท่านเจ้าคุณโชดกได้กล่าวไว้ว่าท่านเลิกธรรมกายไปแล้วเป็นเวลาเกือบ 1 ปี มีความบางส่วนโดยย่อว่า

    “.....นี่วิชชาวัดปากน้ำมีอยู่แล้วเวลานี้ มีวิชชาตรวจฉากหลังเรานี่ คือธรรมกายปรากฏอยู่แล้ว เขากำลังตรวจอยู่แล้ว เขากำลังทำกันอยู่แล้ว นี่แหละของจริง พระเณรไม่รู้จักของจริงละก็ อย่าโกงตัวเอง อย่าดูถูกตัวเอง ให้อุตส่าห์พยายามตรวจฉากหลังของตัวให้สุดให้ได้ ถ้าไม่สุดฉากหลังตัวก็เป็นบ่าวเป็นทาสเขาอยู่นั่น ไม่ต้องสงสัย เมื่อรู้เมื่อเข้าใจดังนี้แล้ว ตัวก็จะได้บรรลุผลที่ยิ่งใหญ่ไพศาลหาประมาณมิได้ พระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งไปพบท่านเข้า ถ้าเราไปได้สุดท่านก็จะยิ้มในพระทัยว่า เออ ไอ้นี่มันลูกผู้ชายจริง เออ ไอ้นี่เป็นคนมีปัญญา....” (หนังสือรวมพระธรรมเทศนา พระมงคลเทพมุนี(สด จันทสโร),2555,หน้า810)

    ต่อมาโอวาทที่หลวงพ่อสดท่านแสดงในวันคล้ายวันเกิดหลวงพ่อสด วันที่ ๗ ตุลาคม ๒๔๙๘ ซึ่งก็เป็นการให้โอวาทหลังจากการบันทึกข้อความให้วัดมหาธาตุอีกเช่นเดียวกัน โดยมีระยะเวลาผ่านมาเกือบ 6 เดือน ความว่า “...ผู้เทศน์เกิดวันศุกร์ ปีวอก บวชมา 50 พรรษา ค้นคว้าธรรมะเรื่อยมา... ดวงธรรมที่ทำให้เป็นพุทธรัตนะ ผู้เทศน์รู้จักเกือบ 50 ปี โดยค้นคว้าทางปฏิบัติ ดีที่สุดคือ พระพุทธเจ้า ชั่วที่สุดคือ มาร ผู้เทศน์มารู้ตัวเมื่อบวชแล้วว่า ต้นธาตุใช้ให้มาจุติมาเกิดเพื่อปราบมาร ถ้ามารไม่แพ้ ผู้เทศน์ยอมตายอยู่ที่วัดปากน้ำ...ผู้เทศน์ปล่อยชีวิต(ยอมถวายชีวิตแด่พระพุทธเจ้า)ถึง 2 คราว จึงได้พบ ธรรมกาย ชายหญิงผู้ปฏิบัติธรรมถึงธรรมกายโคตรภู เท่ากับได้บวชข้างใน เป็นหญิงบวชข้างใน เป็นชายบวชทั้งข้างในข้างนอกเป็น 2 ชั้น...”(จากหนังสือธรรมกาย หน้า ธ-ป,โรงพิมพ์ไทยพณิชยการสีลม,กันยายน 2499)

    และอีกโอวาทหนึ่งที่หลวงพ่อสดแสดงแก่พระภิกษุสามเณรในพระอุโบสถ วันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๔๙๘ แสดงไว้หลังเกิดเรื่องเช่นกัน ความโดยย่อที่ยังบ่งบอกว่าท่านยังสอนวิชชาธรรมกายอยู่ว่า ....เมื่อเห็นด้วยตาธรรมกายว่ากายมนุษย์ กายมนุษย์ละเอียดเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แล้วก็ อะไรเล่าเป็นแก่นสาร... เมื่อไปเห็นเหตุที่เกิดแล้ว มันเกิดขึ้นแล้วก็ต้องมีดับ ที่ว่าเกิดแล้วไม่มีดับเลยน่ะเป็นอันไม่มี มีดับ ดับเป็นนิโรธ...นี่เห็นด้วยตาธรรมกาย รู้ชัดด้วยญาณของธรรมกาย ถ้าว่าถูกส่วนเข้าถึงขนาดเช่นนี้ละก็ ธรรมกายโคตรภูจะกลับเป็นโสดา...(หลวงพ่อสดแสดงแก่พระภิกษุสามเณรในพระอุโบสถหลังทำวัตรแล้ว จากหนังสือหนังสือรวมพระธรรมเทศนา พระมงคลเทพมุนี(สด จันทสโร),2555,หน้า888)


    พระธรรมเทศนาที่หลวงพ่อสดท่านเทศน์ไว้โดยมีการบันทึกเสียงเก็บไว้ แล้วจึงนำมาพิมพ์เผยแพร่เป็นหนังสือต่อๆกันมาในปัจจุบัน จากพระธรรมเทศนาของหลวงพ่อสดดังที่ได้กล่าวมาทั้งหมด จึงเป็นคำสอนที่มีความน่าเชื่อถือว่าเป็นคำพูดของท่านจริง ที่ยังคงสอนเรื่องวิชชาธรรมกายตามปกติเหมือนเดิมประหนึ่งว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ต่างจากที่ท่านเจ้าคุณโชดกได้กล่าวเอาไว้ เอา...แล้วมันไม่ขัดกันหรือกับประเด็นที่ทางท่านเจ้าคุณโชดกกล่าวว่าธรรมกายของหลวงพ่อสดดับไปเพราะเป็นเพียงนิมิต แล้วก็ได้บรรลุธรรมของจริงจากวัดมหาธาตุแล้ว แถมยังบอกว่าตัวท่านเองเป็นขี้ข้ามานานแล้ว... แน่นอนว่ามันขัดกันแน่ๆ เพราะหลวงพ่อสดท่านยังสอนเรื่องวิชชาธรรมกายไปจนวาระสุดท้ายของท่านถึงปี 2502 ลูกศิษย์ลูกหาสมัยนั้นรู้ดี เพราะฉะนั้นเรื่องว่าท่านเลิกวิชชาธรรมกายแล้ว ไม่สอนวิชชาธรรมกายแล้วนั้น จึงไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด และไม่ปรากฏหลักฐานว่าท่านเปลี่ยนแนวไปสอนแบบพองยุบที่ใดเลย

    ดังนั้นท่านผู้เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อวัดปากน้ำทั้งหลาย ประเด็นนี้น่าจะชัดเจนพอสมควรแล้วว่าความจริงควรจะเป็นเช่นไร นิสัยคนจริงอย่างหลวงพ่อวัดปากน้ำคงไม่กระทำการสอนต่อไปหากสิ่งที่ทำอยู่ไม่ใช่ของจริง แล้วท่านจะเอาตัวรอดคนเดียวโดยการทิ้งลูกศิษย์ลูกหาให้ยึดติดกับสิ่งที่เป็นนิมิตหลอกๆดังที่ท่านเจ้าคุณโชดกกล่าวต่อไปอย่างนั้นหรือ ไม่ต้องเป็นหลวงพ่อสดหรือหลวงพ่อวัดปากน้ำดอก เอาแค่คุณธรรมในตัวเราเองนี่แหละว่าหากเราบรรลุธรรมเจอของจริงแล้ว เราจะไม่สอนคนที่ให้ข้าวให้น้ำเราให้รู้แจ้งเห็นจริงตามเราเหรอ ข้อนี้จึงขอให้มั่นใจในตัวหลวงพ่อสดว่าท่านสอนวิชชาธรรมกายต่อแน่นอนหลังจากเกิดข้อพิพาทขึ้น และท่านก็ยืนยันจนบั้นปลายชีวิตของท่านว่าวิชชาธรรมกายคือของจริง เป็นทางสายกลางเอกายนมรรคมุ่งตรงต่อพระนิพพานอย่างแน่แท้ ส่วนท่านใด รูปใด ว่าอย่างไรต่อวิชชาธรรมกาย ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลายควรฟังแล้วตรองเอาเองว่าใช่หรือไม่ ก็ในเมื่อของจริง ก็ต้องคู่ควรกับคนจริงเท่านั้น...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 4 มีนาคม 2015
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...