สติคือไม่คิด มันใช่เหรอ ผมว่าไม่ใช่นะ

ปริญญา การกำหนดรู้
นิสสรณะ อุบายเครื่องสลัดออก
สองอย่างนี้หรือเปล่าค่ะ

ฉลาดในสัญญาเดียว คืออะไรค่ะ

 

อะอุ๊อ้ย....เฮ้ย...อนุสัยนอนเนื่อง...แปลชัดๆว่า...มันกักขังปิดบัง ปกปิด กดทับ เอาไว้ ไม้ให้แสดงออก..กลัวคนรู้ กลัวคนเห็น กลัวอับอายขายหน้า

เป็นจิตสัปปะยุทธ...คือ เจตนาเพื่อปกปิด เจตนาเพื่อไม่ให้ใครรู้...การหวั่นไหวโอนเองไปกับเรื่องอื่นเพื่อให้มันห่างไกลออกไปจาก เรื่องที่ปกปิดอยู่...เนี่ยคือ...เจตนาปกปิด เจตนาโกหกตนเองและคนอิ่น..เนี่ยมิจฉาทิฐิ....เนี่ยนิวรณ์ตัวกั้นขวาง หนทางสู่ความจริง....เนี่ย...อาสวะที่ทำเป็นลืมว่า ไม่มีมันอยู่....เนี่ย...ควาย

 

ไอ้อ้าอัดอ๊บ....ไบ้บ้าบัดอ๊บ...ไซ้ซ่าศัดซบ......ก็คนมันหลงอยู่ มีอวิชชาอยู่ ปกปิดอยู่ เจตนาลืมอยู่ แล้วมันจะเอาอะไรไปยกมาพินา..แล้วมันจะเอาสติไปยกสัญญานั้นๆมาได้ยังไง

แอ อ้อ อู๊ด เอ้อ.....แกก็พูดเว่อ

คำว่ายกสัญญาได้ที่แกพูด...มันหมายถึงเมื่อสติ ไม่เข้าข้างใคร คือปล่อยวางกายใจแล้ว เหนื่อยแล้วพอแล้วเบื่อแล้ว(นิพพิทา)
...
สติถึงหันกลับมาดูตนเองว่า...เหนื่อยพอหรือยัง แบบนี้ ถึงจะเรียกว่า.รู้ตัวว่า ตัวเองแบกทำไม โง่อยู่ทำไม

 

นิพพิทา..แปลว่า...เหนื่อยแล้วในการ..ค้นหาสัญญาภายนอก(นอกโลกทั้งจักรวาล)....ดังนั้น...เมื่อรู้แล้วว่า ปัญญาต่างๆจากภายนอกโลก นอกสติรู้...มันไม่สามารถมาช่วยแก้ปัญหาได้..(ที่สมุทัยออกหาสิ่งดีดีที่คาดว่าจะเจอ)..เมื่อหาไม่เจอสิ่งดีดี..แปลว่า..สมุทัยออกมาจนหมดสิ้นปัญญาตนเองละ...เหนื่อย ท้อ พอ ยอม...คือปรมัตถ์ธรรม.ที่สุดแห่งความอยาก นั่นแหล่ะ...อยากจนลืมตัวเอง...ลืมดูตนเอง

นิพพิทา...คือเบื่อเหนื่อยที่จะท่องเที่ยวค้นหาสมุทัย....ไง...มันถึงจะปล่อยวางสิ่งภายนอกได้ก่อน...จึงจะหันกลับมาดูตัวเองจริงๆ

 

ฉลาดในสัญญาอันเดียว คือ กำหนดรู้อาการ"ดึง" "ดัน" ที่เป็น นามธรรม
ไม่ใช่ อารมณ์บัญญัติ [ นามธรรม คือ สภาวะธรรม ที่เข้าไปเห็นว่า
มันเกิดเอง ดับเอง ..... อารมณ์บัญญัติ คือ ขันธ์5ตบตาชนิดต่างๆ ]

คำว่า อันเดียวคือ อาศัยสัญญาที่ไประลึกได้ในนามรูปนั้นๆ เกิด แล้วก็ดับ

รู้รอบ ปริญญา ก็หมายถึง ระลึกได้ว่าสัญญาที่ไประลึกนามรู้ ก็เกิดดับ
[ ถ้าไม่เห็นเกิดดับ จะกลายเป็น อารมณ์บัญญัติ ขันธ์5 มันตบตาเอา ]

นิสสรณะ ก็ สลัดคืนหมดไง หากเห็น สัญญาที่ไประลึกนามรูป(ดึง ดัน)
นั้นก็ดับด้วย นี่สลัดออกหมด แค่อาศัยระลึก ไม่ใช่ เข้าไปเพื่อยก
เป็นบัญญัติมาจับ มาอ้างว่ารู้ โดยมี ตน(อัตตาวทุปาทาน) สอดรับเบื้องหลัง


ต้อง ตามเห็นการสลัดคืนไม่เหลือ เนืองๆ ต่อไปอีก กว่าจะได้ "นิพพิทา"(ที่ไม่กลับหลัง ตกกระแส)

 

ท่านสมาชิกในบอร์ดทรงภูมิกันจริงๆค่ะ ข้าน้อยขอคารวะ เข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง จะตามอ่านไปเรื่อยๆนะคะ จะได้พิจารณาธรรมตามไปด้วย .. ขอให้เจริญก้าวหน้าทางธรรมกันทุกท่านค่ะ

 

พรหมวิหาร สันติ !! มันจะมา ทำอาการ อราธนา การสอนธรรมะ


ลา ยามมมมมมมม Dongy Guardian

 

สอนแบบนี้ ชี้ให้ดูเกิดดับอยู่อีก....เนี่ยพวกเรือล่มเมื่อจอด....การดูเกิดๆดับๆน่ะ เขาเอาไว้ดูจิตดูความคิดเพื่อให้เข้าไปเห็นในพระไตรลักษณ์ของกายใจ ของอายตนะ ของโลก....แต่สัญญาที่พากันพูดถึงเนี่ย..หมายถึง สติตัวรู้ที่ ออกไปนอกโลก..หรือพวกที่นั่งสมาธิ..เข้าไปถึงสภาวะจิตรู้ดวงเดียวแล้ว...มันยังจะมาสอนให้ดูเกิดดับๆ..ไปทำไมกันเนี่ย.....เขาพูดถึง...นอกกายใจแล้วคร๊าบบบบบ

 

ถ้ายังไม่เข้าใจในพระไตรลักษณ์ มาก่อน...ปล่อยวางกายใจไม่ได้ ไม่ผ่าน...ก็งี้แหล่ะ ยังจะสอนกันให้ดู เกิดๆดับๆ...ตรงไหนกันฟะ....กองขันธ์ทั้งห้าที่มันอุปทานยึดมั่นถือมั่นอยู่ ตัวรู้..มันเกิดๆดับๆ..ตรงไหนกันฟะ

..มั่วสุดๆ..เรย..เอกเริ่มจะราวี..วี่ วี

 

การดูกาย ดูเวทนา ดูจิต..ไม่ผ่าน ไม่เข้าใจในพระไตรลักษณ์...แล้วจะเอาปัญญาที่ไหน มาเข้าใจพระอนัตตาธรรมกันเล่า....มันก็ไปเมืองนิพพาน โลดดดดด..อย่างเดียวดิ...ปลากระป๋องตรานิพพาน

 

แปลว่าอะไร ไปเมืองนิพพานโลด...ก็หนีโลกหนีกายหนีใจหนีญาติพี่น้องครอบครัวหนีปัญหา...ลาตายเข้าเมืองปลากระป๋องนิพพาน..โดยมุดช่องน้อยแต่พอตัว..ช่วยคนอื่นไม่ได้ไง

แล้ว...ก็จะกลับมาเกิดอีก...เพื่อตายลงในความเป็น..มนุษย์จริงๆให้ได้ไง..อิอิ

 

เห็นมั้ย สำนักหลวงพ่อรือสีลิงไม่ขาว...เลยนำพากันเข้าเมืองปลากระป๋องตรานิพพานกันเป็นว่าเล่นไง..แค่ได้มโนมยิทธิ....ก็ไปได้แล้ว ปลากระป๋องนิพพาน....(ก็ทำไงได้..อยากดูอยากเห็นอยากไปกันนักนี่)......ถ้าง่ายขนาดนั้น..พวกพราหมณ์ สมัยก่อน...ก็ทำไมไปเป็น พรหมกันมากล่ะ ทำไมไม่นิพพาน กันง่ายๆล่ะ

 

มีหลายคน บอก แดนนิพพานน่ะเร๊อะ...ถอดจิตเข้าไปดูบ่อยๆ...(ดูพวกมันว่า)
เออ...นะ..ง่ายยังกะ...ลิงหลอกเจ้า

โห..เว้ยเฮ้ย......มันกลายเป็นศาสนาปาหี่หลอกลวงกันเอง....เป็นว่าเล่น

บางสำนักเช่น สำนักไอ้ สีหลังอาน5....มันบอก ก็แค่ ให้พระเจ๋งๆมาทดสอบอารมณ์ ว่าผ่านไม่ผ่าน....ก็รับรองกันได้ว่า..ถึงจริง...ดีจริง....โห..พวกนี้ยิ่งหนัก...มัวเมาเมืองนิพพานกันยิ่งกว่า คนเมาเหล้าเมายา..เสียอีก

 

คงไม่ใช่หรอกค่ะ สำหรับตัวเอง คนเราคงมีคงมีความถนัดกันคนละด้านนะคะ
หากเมื่อใดยังไม่ถึงที่สุดแห่งทุกข์ คงยังต้องอาศัยผู้ทรงคุณ ทรงภูมิธรรม
ช่วยนี้แนะให้นะคะ

 

สำนักไอ้ เอกราวี วี่ วี เนี่ย...พระไตรลักษณ์ มันเคยตอบผมว่า เห็นบ้างครึ่งๆกลางๆ....โหสำนักไหนอีกวะเนี่ย....พวกดีแต่นั่งสมาธิ...เข้าฌาณ หลับในฌาณ..มันเห็นได้แค่ เกิดๆดับๆนั่นแหล่ะ..ก่อนเกิดเป็นยังไง เหตุแห่งการเกิดเป็นยังไง...ถามแล้ว..มัน..เงียบ..กริ๊บ

 

ผู้เห็นพระนิพพานชั่วขณะ คือ ผู้ได้โสดาปัตติมรรค ค่ะ
คำแปลพระปริตร ในบทสวด รัตนสูตร นะคะ

 

ผมเคยถามอาจารย์(พระพุทธะ)ว่า...แล้วด้วยเหตุอันใด พวกปลาอรหันต์ในกระป๋องตรานิพพานถึงจะออกมาได้...

ท่านตอบว่า...นิพพานมีแสงสว่างไช่มั้ย...ผมว่า คงไช่...ท่านตอบต่อไปว่า..รอจนให้มันมีแสงที่ขาวสว่างกว่าเมืองนิพพานเกิดขึ้นมาก่อน..อรหันต์ปลากระป๋องในนั้นถึงจะเริ่ม..เอะใจ

อิอิ

 

ความสว่างในนิพพาน ที่คิดว่าดีที่สุดแล้ว..แล้วถ้ามี แสงสว่างจากอย่างอื่นที่สว่างกว่าแดนนิพพานหลายเท่า....แล้วพวกที่ฝักใฝ่แต่ในความดีที่สุด...มันจะทนอยู่..ได้ฤา

วะฮ่าฮ่า

 

ฮั่นแน่ พอจะหมดรอบวัน เอาอีกและ

เกริ่น หัวข้อ จะโชวเบอร์ โทร แล้วจิ

โทรมานะ จะส่งแสงไปให้

แล้วก็ มานั่ง หิวหาคนรับแสง เนี่ยะ เย็นตรงไหน ฮับ


NGO เท่าเดิม ฮิ

 

โง่เท่าเดิม....ขอบคุณที่บอก..น่าจะดีกว่าคำว่า..โง่กว่าเดิม หรือโง่น้อยลงนะ..

ผมชอบ..โง่เท่าเดิม นี่แหล่ะ

ว่าแต่ไม่แกัตัว เหรอเรื่องเห็นพระไตรลักษณ์ ครึ่งๆกลางๆน่ะ...ท่านผู้ฉลาดเท่าเดิม...วะฮ่าฮ่า