วิริยาธิกะพิเศษบันทึก

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย pco-, 7 มิถุนายน 2010.

  1. Armarmy

    Armarmy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +1,659
    ไปยุ่งกับข้างบ้านเขามาแวบนึงเห็นกระทู้ของเขามีประโยชน์ดี

    ก็ต้องการให้ผู้ที่อ่านได้ ดูอะไรหลายๆ มุม จะได้ไม่เดินแล้วพลาดพลั้ง

    เพราะ ความไม่ละเอียดรอบคอบพอ อย่างที่ผมเคยเป็น

    ก็ . . . อย่าไปยุ่งกับเขาเลย นั่งไขว้ห้างดู นกดูหนูนา ต่อไปดีกว่าผม

    เจริญในธรรมทุกท่านครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 ธันวาคม 2014
  2. Armarmy

    Armarmy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +1,659
    บุพการี กับความเป็น มิจฉาทิฐิ

    ผมเอาพระธรรมชาดก มาฝากฟังกันดู ก่อนหลับ

    พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน

    ท่านเทศน์เรื่องสมัยที่ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ยังบำเพ็ญบารมีอยู่

    ในสมัยที่เสวยพระชาติเป็น พระจันทกุมาร และ พระพรหมนาถ

    เจริญในธรรมทุกท่านครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    45,850
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,041
    ท่านPCOคะ ที่ ร พ หัวเฉียว มีหมอดีอยู่ ที่ ทํา Acupuncture (ฝังเข็มหรือจิ้มเข็ม) ถึงแม้จะมีไทเทเนี่ยม ก็รักษาได้ ลองติดต่อดูนะคะ และใช้วิธีรักษาแบบคุณน้องบุญทรงไปด้วยก็ได้:d
     
  4. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814


    สวัสดีครับคุณ พี่ๆน้องๆทุกๆท่าน จะดูนกอะไรเล่าครับ บ้านผม ทั้ง นกกระจอก นกกระจาบ นกเอี้ยง เทาแดง นกเอี้ยงแกลบ นกเอี้ยงดำ นกพิราบ นกหางกระรอก หางยาว เกือบศอก คล้ายนกแซงแซว นกเขาบ้านนกเขาไฟ นกกระทิ นกหัวจุก บ้านผมเยอะ ดูทุกๆวัน ไม่เบื่อ แต่นพพิราบ ขี้สกปรก และเอาใบไม้หญ้ามาทำรัง รกรุงรัง ไล่มันไปมันไปแป๊บเดียว :cool:
     
  5. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814


    :cool:({) สวัสดีครับ คุณ ผมฟังทุกคืน แต่เปล่า ผมฟังไม่รู้เรื่องเลย ได้ยินคำสองคำ ตอนที่ท่านพูด แล้วหลับต่อไป ตื่อมา ได้ยินคำสองคำ หลับไปต่อ แล้วฝันมันมั่ว ไปหมด นอกจาก บางคืน ฟุ้ง มันก้คิดไปอื่น แต่ก้เปิด นะครับ อย่างน้อย ให้เทวดา วิญญาณต่างๆได้ฟังกันครับ พระเจ้า ๑๐ ชาติสุดท้าย ผมจะมีหมุนเวียน แต่แม่ผมน่ะครับ เป็นมากกว่า ใน ชาดก ครับ เหตุการณ์ มันไม่ได้สวยหรู แบบว่า แต่เหตุการจริง มันทำยากมากๆครับ แต่ถ้าพระโพธิสัตว์ แบบหลวงปู่ปาน ปู่บุญเหลือ หนองคาย หรืออีกหลายๆท่าน ทีมีกำลังแบบนั้น ท่านทำได้อยู่แล้วครับ ขอบคุณครับ :cool:
     
  6. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814


    :cool:({) สวัสดีครับ อาซือจ๊ พี่ๆน้องๆทุกๆท่าน ผมน่ะ ตอนนี้ ก้แค่รักษาแบบ หมอ สมัยใหม่ ความดัน ต่ำ ขึ้นสูง ความดันสูง มันก็ขึ้นสูง ไขมัน ถ้าหน้ามืดตามัว ตอนนี้ผม กิน น้ำมะนาว กับ โซดา ตราสิงห์ ๑ แก้ว แก้ หน้ามืด ตามัวพอได้ และเมา กินมา เดือนได้แล้ว ดีเหมือนกันครับ ความดัน ต่ำ สูง ลดลงเห็นได้ชัดมากครับ ปวดนี่ ก็ไปนวด วัดหนองหญ้านาง เดือนครั้ง ๒ ครั้ง นวด ครั้ง ๒ วันรวด และอบยาสมุนไพร ที่ทำนี่ มันไม่หายหรอกครับ แต่ทำเพื่อ ให้เวทนามันเบาเท่านั้นเองครับ ขนาดกินเป็นเดือน ได้แต่ทุเลา ไปๆมันก็ก็อีแหลบเดิม น้ำมันชาตรี หลวงพ่อ ก็แบบหลวงพ่อว่า เจ้าของทำ ไม่หาย แต่ลูกหลาน หายเยอะแยะ แล้วแต่กรรมใครกรรมมันครับ


    เรื่องฝังเข็มผมเคยให้ หมอกระเหรี่ยงไทย ฝังให้ มันก็เฉยๆ คงไม่ถูกฉะโหลกกันครับ เลยไม่ฝังต่อ ผมก็ว่าดีเหมือนกันครับ เป็นโรคนี่ มันจะได้เตือนความจำเราครับ จะได้ไม่ประมาท ในชีวิต แต่ถ้าไม่เป็นหนักนะ เป็นหนักนี่ไม่ไหวจริงๆครับอาซือเจ๊ แต่เวลาหนักๆนี่ ไม่อยากทำอะไรเลย แต่ก็ไม่ได้ ต้องทำ บางเรื่องบางอย่าง พูดไป บางที มันก็เอือมระอา ตนเองเหมือนกันครับ นี กรรมที่เราทำมา เมื่อปีที่แล้ว ผมไปปรึกษาแม่ ที่ผมเคารพ ผมจะผ่าตัด ท่านห้าม อย่าเลย อายุมากแล้ว ผมก็เข้าใจ ถ้าผ่า คงไม่ได้กลับมาเดินอีก ถ้าไม่เจอหมอที่เก่งๆจริงๆและเงินถึง ขนาดหนุ่ม ยังเป็นอะมพาตเลย จากเคยเดินได้ กลับเดินไม่ได้ ต้องใช้รถเข็น นี่แบบนี้เห็นเยอะ

    ไอ้ผมเองก็ไม่มีพักพวก ดีๆเสียด้วย และไม่รู้จักใคร หมอต่างๆ เคยเข้ามาวัดท่าซุง เข้ารักษากันเป็นแถว บางที ก็ยิ่งกว่า ที่เราไปหาหมอ นวดอีก ไม่เป็นสัปรดเลยครับ มันพูดยากครับ ผมเลยถือว่า เป็นกรรมของเรา ใจจึงได้สบายบ้างครับ แต่เวลา มันหักมุมกลับนี่ อัตรายจริงๆครับ ไม่พูดดีกว่าครับ จบแค่นี้ง่ายดีครับสวัสดี :cool:
     
  7. pco-

    pco- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,162
    ค่าพลัง:
    +12,252
    พรปีใหม่ พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยานวัดท่าซุง

    ปีใหม่ก็จะคืบคลานเข้ามาถึง ก็เป็นอันว่าชีวิตของเราก็ล่วงเข้ามาอีก ๑ ปี ปีใหม่ที่เคลื่อนเข้ามาเราก็จะแก่เข้าไปอี<WBR>ก ชีวิตของเราก็จะเดินเข้าไปหาความดับ เพราะธรรมดาของชีวิตเมื่อมีความเกิดขึ้นใน<WBR>เบื้องต้น และก็มีความเปลี่ยนแปลงไปในท่ามกลาง และมีการตายแตกทำลายพันธุ์ไปในที่สุด นี่เป็นกฎธรรมดาของสิ่งมีชีวิตที่เราไม่สา<WBR>มารถหลีกเลี่ยงให้พ้นได้ ฯ

    องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า โลกมีอันจะต้องฉิบหายไปในที่สุด ไม่มีอะไรทรงตัว ทีนี้สำหรับเราเหล่าพุทธบริษัท ในฐานะที่ท่านทั้งหลาย เป็นพุทธมามกะ คือนับถือพระพุทธเจ้าเป็นสำคัญ
    พระบาลีกล่าวว่า บุคคลผู้เข้าถึงพระรัตนตรัยย่อมจะไม่สลาย คือ จะต้องไม่พินาศไปด้วยอำนาจของโลก
    ซึ่งเต็มไ<WBR>ปด้วยความแปรปรวน ฯ

    ฉะนั้น ขอบรรดาท่านพุทธบริษัทจงอย่าวางใจ จงอย่าประมาทในชีวิต จงคิดว่าคุณของพระพุทธเจ้า คุณของพระธรรม คุณของพระสงฆ์ทั้ง ๓ ประการ จะสามารถทรงเราให้มีชีวิตอยู่ได้ นี่กล่าวโดยเฉพาะ ถ้าเราสิ้นอายุขัย การนึกถึงความดีขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรม<WBR>ศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าก็จะทำให้เราพ้นทุกข์<WBR>

    ฉะนั้น นับตั้งแต่นี้ต่อไป ตั้งใจไว้ว่า เราจะยึดเอาคุณความดีขององค์สมเด็จพระชินว<WBR>รบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเข้าไว้เป็นประจำ<WBR> คือ คำภาวนาว่า พุทโธ พุทโธ เป็นปกติ ถ้าเป็นอย่างนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายจะมีความสุขใน<WBR>ชีวิต คือ จิตของท่านจะทรงสมาธิ อำนาจบารมีของพระพุทธเจ้าจะทำจิตใจของท่าน<WBR>ให้เยือกเย็น
    มีความสุข อันตรายจะเกิดขึ้นกับท่านทั้งหลายก็จะพ้นภัย<WBR> และด้วยอำนาจของพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพ

    แต่ถ้าชีวิตอายุขัยที่จะสิ้นไปเมื่อไร ความดีขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมม<WBR>าสัมพุทธเจ้าก็จะบันดาลให้เราพ้นอบายภูมิทั้ง<WBR> ๔ ประการ คือ ไม่เกิดเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน อย่างเลวที่สุด เราก็จะเป็นเทวดา ถ้าจิตใจมีสมาธิแรงกล้า เราจะเข้าถึงการเป็นพรหม ถ้าจิตของเราโดยนิยมไม่ยึดในขันธ์ห้า หรือว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา จิตเราเกาะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่าพระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหน เราจะไปที่นั่น เอาใจตรงนี้ยึดองค์สมเด็จพระทรงธรรม์บรมศา<WBR>สดานั่นเอง ถ้าเป็นอย่างนี้แล้วพุทธบริษัททั้งหลาย
    ถ้า<WBR>จะพ้นจากกิเลสจะเข้าถึงพระนิพพานได้

    เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย สำหรับปีเก่าจะสิ้นไป ปีใหม่จะเข้ามา ขออำนาจพุทธบารมีขององค์สมเด็จพระชินสีห์บ<WBR>รมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธาน และพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระพิชิต<WBR>มารบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าพร้อมไปด้วยพร<WBR>ะอริยสงฆ์ทั้งหมดที่มีความเคารพในองค์สมเด็<WBR>จพระบรมสุคตศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่<WBR>สุด

    จงปกปักรักษาบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่านให้<WBR>มีความมั่นคงในคุณพระรัตนตรัย ขอให้ปลอดภัยจากภัยอันตรายทั้งหมดภัยใด ๆ ที่ปรากฎต่อโลกจงอย่ามีกับพุทธบริษัท ขอให้จิตใจของท่านพุทธบริษัทมีความปลอดโปร่<WBR>งพ้นจากกิเลสเป็นสมุจเฉทปทาน เข้าถึงซึ่งพระนิพพานได้ในชาตินี้ ฯ

    คัดย่อจากหนังสือกรรมฐาน ๔๐ หน้า ๒๓๕-๒๔๒
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 2 มกราคม 2015
  8. pco-

    pco- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,162
    ค่าพลัง:
    +12,252
    ใส่บาตรทำบุญทุกอย่าง และใส่บาตรวีระทะโยต้อนรับปีใหม่ครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSCF4964.jpg
      DSCF4964.jpg
      ขนาดไฟล์:
      70.2 KB
      เปิดดู:
      40
    • DSCF4967.jpg
      DSCF4967.jpg
      ขนาดไฟล์:
      77.6 KB
      เปิดดู:
      34
    • DSCF4968.jpg
      DSCF4968.jpg
      ขนาดไฟล์:
      74.9 KB
      เปิดดู:
      38
    • DSCF4969.jpg
      DSCF4969.jpg
      ขนาดไฟล์:
      72.2 KB
      เปิดดู:
      23
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 2 มกราคม 2015
  9. pco-

    pco- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,162
    ค่าพลัง:
    +12,252
    อย่างว่าแหละพี่บ้านข้างเคียงเราก็แวะไปด้วยอัธยาศัยไมตรี อะไรที่เป็นประโยชน์ก็จะได้นำไปเป็นแบบเป็นอย่าง อย่างใหนเราไม่ถนัดเราก็ยืนดู แต่อีตอนเขาจะแห่นางสาวแมวเราก็อย่าไปยุ่งกะเขา เราก็ออกมาห่างๆดูนกดูหนูนาอย่างพี่ว่านั่นแหละ เราไปของเราแบบเรื่อยๆไม่รีบ แล้วก็ไม่ร้อนครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 2 มกราคม 2015
  10. pco-

    pco- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,162
    ค่าพลัง:
    +12,252
    ขอบคุณครับซือเจ๊หากมีโอกาศจะลองติดต่อดูครับ ผมเองกว่าจะยอมผ่าตัดเจ็บหนักๆถึงสามครั้ง ครั้งที่สามนี่สาหัสมากจึงต้องยอมผ่า ครั้งแรกใช้น้ำมนต์ชาตรี แล้วก็ยาพระนอนป่่าโมกข์ แล้วก็ใจที่คิดว่าหากยาของหลวงปู่หลวงพ่อรักษาไม่หาย ยาของใครก็ไม่หาย ตอนนั้นคิดแบบนั้น แล้วก็ค่อยๆบรรเทาเบาบางลงไปจนสามารถผาดโผนทำงานได้ ทั้งๆที่ตอนที่เจ็บครั้งแรกเวลาที่เดินนี่ต้องก้มหลัง หลังขนานไปกับพื้น ตัวงอตลอดเวลา ญาติโยมชาวบ้านคุ้งสำเภา

    ก็ช่วยกันออกสตางค์ส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลชัยนาท แล้วเตรียมจะส่งต่อไปที่โรงพยาบาลรามา แต่ผมก็หนีเขาไปทั้งที่เจ็บสาหัสนั่นแหละ เป็นการซ้อมๆไว้ด้วย หากมีวาสนาได้ไปเกิดในสมัยองค์สมเด็จพระศรีอาริยะเมตไตรท่านเมื่อจะต้องเดินด้วยเท้า ต้องเดินด้วยเข่า ต้องคลานไป ต้องกลิ้งตัวไปอย่างพระเจ้าบรมสังขจักรก็จะได้ทำได้ ตอนนั้น มีความรู้สึกว่าไม่มีความดีพอกับสตางค์ของญาติโยม สตางค์บาทต่อบาท เทียบอานิสงค์ที่พวกเขาจะต้องทำบุญ หากเขาถวายเป็นสังฆทาน วิหารทาน ธรรมทาน สร้างพระพุทธรูป เขาจะมีอานิสงค์มหาศาล มากกว่าที่จะมารักษานักบวชที่ยังไม่มีดีอะไรอย่างผม จึงได้ปลีกตัวหนีพวกเขาไป แล้วก็ไปพบเจออะไรอย่างที่เล่าบันทึกไว้

    แล้วหลังจากนั้นก็เจ็บหลังหนักๆอีกสองครั้ง ครั้งที่สามหลวงปู่ปานท่านบอกว่าโรคบางอย่างรักษาถึงจะหาย ไม่รักษาไม่หาย โรคบางอย่างถึงรักษาก็ไม่หาย โรคบางอย่างต้องรักษาด้วยการผ่าตัดสมัยใหม่ถึงจะหาย ครั้งหลังสุดนี่จึงได้ปล่อยสุดแต่หมอจะเห็นสมควร เมื่อหมอบอกว่าต้องผ่าตัดก็เลยผ่า ผ่าแล้วก็ต้องดามด้วยไทเทเนี่ยม ก็พอจะกระย่องกระแย่งไปได้ นี่หากรู้ว่ากรรมของการตีงูให้หลังหักมันทรมานแบบนี้

    ต่อไปหากจะตีงูอีก อีทีนี้กะว่าจะหวดด้วยสองมือเอาให้ตายในไม้เดียวไปเลย เวลาใช้หนี้เขามันจะได้ไม่ต้องพิรี้พิไร เจ็บอ้อยอิ่ง เอ้อระเหยลอยชายอยู่อย่างนี้แหมมันเจ็บได้ดีจริงๆ หากใครอยากรู้ว่ากระดูกสันหลังกดทับเส้นประสาทมันเป็นไง ก็เอานิ้วมือตัวเองวางไว้ บนไม้กระดานแข็งๆ แล้ววานให้เพื่อน กราบขอความกรุณา ช่วยเอาส้นรองเท้าแข็งๆยืนเหยียบนิ้วให้ที นั่นแหละมันจะใกล้เคียงกับเจ็บหลัง
     
  11. pco-

    pco- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,162
    ค่าพลัง:
    +12,252
    <CENTER>คัดลอกจากหนังสือประวัติหลวงปู่ปาน โสนันโท (ชุดเก่า)</CENTER><CENTER></CENTER><CENTER>มีบารมีดี พบอาจารย์ดี โดยพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน</CENTER>

    ที่นำประวัติของคู่สวดและอุปัชฌาย์ของหลวงพ่อปานมาเล่าให้ฟัง ก็เพื่อจะให้ทราบว่าคนที่มีบุญญาธิการ คือ หลวงพ่อปาน เวลาบวชแล้วปรารถนาพุทธภูมิ เพื่อความเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาล คนประเภทนี้ที่มีบุญมาก มีบารมีมาก เมื่อบวชแล้วก็ดี หรือหวังปฏิบัติความดีใดๆ ย่อมจะได้อาจารย์ที่สำเร็จมรรคสำเร็จผลมาก่อน ไม่ใช่จะไปพบอาจารย์ที่สั่วๆ หมายความว่าตัวเองก็ไม่ได้อะไร แต่ก็สอนลูกศิษย์ไปตามความรู้ความเห็น ที่คิดว่ามันจะเป็นอย่างนั้น มันจะเป็นอย่างนี้

    เมื่อตัวเองยังทำไม่ได้ผล ปฏิบัติผลอะไรไม่ปรากฏและจะสอนคนอื่นให้เขาทำได้อย่างไร อย่างนี้ถ้าจะเปรียบเทียบให้ฟังก็เช่นเดียวกับครูโรงเรียน ครูเองก็ไม่มีความรู้ในวิชาการต่างๆ แล้วจะไปสอนศิษย์ให้มีความรู้ได้อย่างไร หรือว่าคนที่สอนวิชาช่าง แต่ตัวเองไม่ได้เป็นช่าง ทำอะไรก็ไม่เป็นสักอย่าง แล้วก็จะสอนคนอื่นให้เขาเป็นช่างได้อย่างไร ข้อนี้มีอุปมาฉันใด แม้ความรู้ในพระพุทธศาสนาก็เหมือนกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเป็นพระ คือพระต้องมีศีลบริสุทธิ์ มีสมาธิตั้งมั่น มีวิปัสสนาญาณแจ่มใส

    แต่ทีนี้ถ้าคนสอนคนอื่นให้เป็นพระ แต่ทีนี้ตัวเขาไม่เป็นพระ เขายังเป็นผู้ละเมิดต่อกฎบัญญัติคือศีล ไม่เคารพในศีล ปฏิบัติศีลได้ไม่ครบถ้วน สมาธิคือฌานสมาบัติไม่มี วิปัสสนาญาณไม่ปรากฏ คือจิตยังตกอยู่ในอำนาจของกิเลสและตัณหา แล้วคนประเภทนี้ถ้ามาเป็นพระอุปัชฌาย์หรือคู่สวด อบรมสั่งสอนพระ ก็จะสอนตามความเห็นชอบของตัว ตัวเองเป็นคนโลภในลาภสักการะ ติดในรูปเสียงกลิ่นรสและสัมผัส มัวเมาในยศถาบรรดาศักดิ์ ติดอยู่ในความสุข และพอใจในคำสรรเสริญ ก็จะสอนลูกศิษย์ลูกหาให้มีอารมณ์เหมือนกัน ตกเป็นทาสของกิเลสและตัณหาเหมือนกัน เพราะตัวเองก็สั่งสมทรัพย์สมบัติไว้มากมาย กลายเป็นพระเศรษฐี พระรํ่ารวย มีเจ้าหนี้มีลูกหนี้ ซื้อสวน ซื้อนา ซื้อไร่ ซื้อวัสดุต่างๆ ไว้เป็นสมบัติของตน

    ลูกศิษย์ก็คงจะคิดว่าอาจารย์ของเรานี้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบแล้วก็จะทำตามแบบอาจารย์ หรือเป็นคนเจ้าโมโหโทโส ผูกพยาบาทจองเวร จองล้างจองผลาญคนอื่น ชอบแช่งชักหักกระดูกคนอื่นให้เป็นอย่างนั้น ให้เป็นอย่างนี้ มีวาจาร้ายมีจิตชั่ว ลูกศิษย์ไม่เห็น เมื่อตัวอยู่ใกล้ๆ กับอาจารย์ เมื่อเห็นอาจารย์ปฏิบัติอย่างนั้นเขาก็จะคิดว่าอย่างนี้เป็นความดี พระควรปฏิบัติอย่างนั้น อย่างนี้เป็นต้น รวมความว่าถ้าตัวเองไม่ใช่พระก็จะสอนใครให้เป็นพระไม่ได้ คนประเภทนี้เป็นอาจารย์ที่ไม่มีความหมาย มีศีลไม่บริสุทธิ์ มีสมาธิไม่ตั้งมั่น มีวิปัสสนาญาณไม่แจ่มใส ท่านที่มีบุญบารมีมากๆ ท่านไม่เกิดในสำนักเหล่านั้น ท่านไม่ได้บวชไม่อยู่ในสำนักเหล่านั้น

    ถ้าสำนักใดครูบาอาจารย์ทั้งหลายตั้งอยู่ในกฎของความดีคือเป็นพระจริงๆ มีความเคร่งครัด มีศีลบริสุทธิ์ มีสมาธิตั้งมั่น มีวิปัสสนาญาณแจ่มใส เช่นเดียวกับครูบาอาจารย์ของหลวงพ่อปาน คู่สวดก็ได้อภิญญาทั้ง ๒ องค์ คือ
    ๑. หลวงปู่คล้าย
    ๒. หลวงพ่อปั้น วัดพิกุล
    สำหรับพระอุปัชฌาย์ก็เป็นพระทรงอภิญญา ทั้ง ๓ ท่านมีอภิญญาทั้งสิ้น ฉะนั้นเมื่อท่านเกิดมาเพื่อบำเพ็ญบารมีเป็นพระพุทธเจ้าคือปรารถนาพุทธภูมิ ท่านจึงได้ครูบาอาจารย์ที่เหมาะสม ที่สมควรแก่การสอน คือมีความรู้ครบถ้วนบริบูรณ์ทุกอย่าง ทั้ง ศีล สมาธิ ปัญญา อันนี้จัดว่าเป็นบารมีของท่านบังคับจริงๆ บารมีดลบันดาลให้พบครูบาอาจารย์เช่นนี้

    "จงจำไว้ว่าคนดีย่อมพบอาจารย์ดี คนที่มีบารมีย่อมพบอาจารย์ที่มีบารมี"


    ฉะนั้นคนที่จะบรรลุมรรคผลใดๆ หรือแม้ว่าจะปฏิบัติกรรมฐานได้ในขั้นฌานโลกีย์อันนี้ก็ต้องพบอาจารย์ดีที่มีฌานสมาบัติ คนที่พบครูบาอาจารย์ที่ได้ฌานโลกีย์ก็ดี หรือเป็นพระอริยเจ้าตั้งแต่พระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ อันนี้เป็นของพบได้ยาก เป็นของค้นคว้าได้ยาก คนที่ต้องมีบารมีสมควรเท่านั้น ถ้ามีบารมีไม่สมควรจะไม่พบครูบาอาจารย์ประเภทนี้ได้เลย
    สำหรับหลวงพ่อปานท่านเป็นพระที่มีบารมีเพราะว่าท่านปรารถนาพุทธภูมิมาตั้งแต่ในชาติก่อน ท่านจึงได้มาพบกับครูบาอาจารย์ของท่าน แม้แต่คู่สวดหรือพระอุปัชฌาย์ก็เป็นพระผู้ทรงอภิญญาทั้งสิ้นและนอกจากนั้นครูบาอาจารย์ของท่านในกาลต่อไปข้างหน้าแต่ละองค์ก็ล้วนแล้วแต่เป็นพระผู้ได้อภิญญาสมาบัติหรือเป็นพระอรหันต์หลายท่านด้วยกัน ดังจะเล่าให้ฟังต่อไปข้างหน้า...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 5 มกราคม 2015
  12. pco-

    pco- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,162
    ค่าพลัง:
    +12,252
    คัดลอกจากหนังสือประวัติหลวงปู่ปานบางช่วงบางตอนต่อครับ

    โอกาสต่อไปนี้ จะได้เล่าประวัติความเป็นมาของ "หลวงพ่อปาน" วัดบางนมโค ให้ท่านทั้งหลายได้ทราบตามที่พอจะนึกได้ เพราะฉันเองก็ทราบแต่เพียงประวัติบางประการเท่านั้น ไม่ใช่ว่าจะทราบเรื่องราวของท่านตลอดชีวิตก็หาไม่ จะเล่าให้ท่านทั้งหลายได้รับทราบ หรือเล่าสู่กันฟังเท่าที่พอจะจำได้ หรือเท่าที่พอจะรู้เรื่องมา แต่ความจริงเวลากาลก็ได้ล่วงเลยมาหลายสิบปีแล้ว ฉันก็อาจจะหลงๆ ลืมๆ ไปบ้าง เอ้า! ต่อแต่นี้ไปก็ขอได้เริ่มต้นเล่าเรื่องราวของ หลวงพ่อปาน ให้ทราบเท่าที่พอจะจำได้....

    ประวัติก่อนบวช

    ในการประชุมสงฆ์ครั้งหนึ่ง ท่านได้เคยเล่าประวัติในตอนต้นของท่านให้ฟังว่า ในตอนก่อนที่ท่านจะบวชในพระพุทธศาสนานั้น ท่านเองเป็นลูกชาวบ้านของตำบลบางนมโค อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยาเอง ไม่ใช่คนที่อื่นที่ไหนมา..ตระกูลของท่านรู้สึกว่าจะเป็นตระกูลที่ค่อนข้างจะมั่งคั่งอยู่สักหน่อย เพราะว่าเป็นตระกูลที่มีทาส เล่าประวัติของท่านนับตั้งแต่ท่านเกิดมามีชีวิต ท่านไม่เคยฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเลย แต่วิถีชีวิตของท่านนั้นท่านอยู่เป็นปกติ กล่าวคือ รักษาศีล ๕ เป็นปกติ และคนในตระกูลก็ไม่เคยมีใครขัดคอ เพราะรู้ว่าอัธยาศัยของท่านเป็นอย่างนั้น

    แต่ว่าประวัติก่อนที่ท่านจะเกิดก่อนที่จะเข้าสู่ครรภ์มารดา มารดาของท่านมีนิมิตเป็นประการใดท่านไม่เคยเล่าให้ฟัง เป็นแต่เพียงท่านปรารภให้ฟังว่า ก่อนที่ท่านจะบวช ทางตระกูลของท่านได้ไปจองสตรีคนหนึ่งไว้ให้ท่าน เพราะหวังว่าเมื่อท่านสึกออกมาแล้วก็จะได้แต่งงานกัน เพราะในสมัยนั้นคนที่เขาจะแต่งงานก็ ต้องบวชก่อน และท่านบอกว่าตามความรู้สึกของท่านไม่มีความปรารถนาในการแต่งงาน แต่นั่นเป็นความหมายของท่านผู้ใหญ่ ท่านก็ไม่ขัดคอ แต่ท่านก็คิดไว้เสมอว่า

    "ถ้าท่านบวชเมื่อไหร่ฉันจะไม่สึก เพราะเห็นชีวิตในการครองเรือนมีความลำบาก" ทีนี้ท่านได้เล่าย้อนต้นถอยหลังลงไปว่า ในสมัยที่ท่านเป็นเด็กๆ พอที่จะจำความได้ก็หมายความว่าคงจะอายุประมาณ ๔-๖ ขวบหรือ ๗ ขวบเป็นอย่างมาก ท่านบอกว่าในสมัยนั้นมีญาติของท่านคนหนึ่งตาย ญาตินั้นไม่ใช่ใครเป็นย่าของท่านเอง บ้านของท่านคือบ้านบิดามารดาของท่านกับบ้านย่าอยู่หมู่เดียวกัน ในขณะที่ท่านเป็นเด็ก ท่านไปเดินเล่นใต้ถุนบ้าน ไปเล่นกันที่นั่นระหว่างพวกเด็กๆ ขณะนั้นท่านย่าของท่านกำลังจะตาย ป่วยหนัก เห็นเขาบอกหนทางว่าขอจงนึกไว้ว่า พระอรหังๆ เสมอนะ เห็นผู้ใหญ่ว่าอย่างนั้น และเขาก็ลงมาไล่พวกเด็กๆ ท่านจำได้ ได้ยินชัด ที่เขาบอกให้ว่า..อรหังๆ ท่านก็จำและก็ว่าเล่นๆ

    ทีนี้มาพอตอนเย็นเวลาที่จะรับประทานอาหารก็จะกินข้าวเย็น มารดาของท่านก็เรียกบรรดาลูกทั้งหมดมารวมกินข้าวที่บ้าน ในขณะที่ท่านนั่งกินข้าวอยู่ท่านก็นึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อตอนกลางวันเขาบอกว่าให้ว่าอรหังๆ ท่านนึกขึ้นมาได้นี่ในภาษาเป็นเด็กก็ไม่ได้คิดอะไร ก็ว่า...อรหัง...อรหัง ขึ้นมาดังๆ พอพูดเท่านี้ ท่านแม่ของท่านโกรธเป็นการใหญ่ จับท่านโยนปังไปกลางนอกชาน และก็บอกว่า "เอ้า! มึงจะไปตายโหงตายห่าที่ไหนก็ไป อย่ามาพาคนอื่นเขาตายด้วย" นี่ท่านบอกว่า นั่นเป็นความโง่ของมารดาบิดาของท่าน เพราะคนสมัยนั้นคิดว่าถ้าใครเขาภาวนาว่า "อรหัง" หรือ "พุทโธ" แล้วก็คนนั้นจะต้องตาย

    และนอกจากนั้นถ้าหากบุคคลทั้งหลาย ใครที่เขายังไม่ป่วยไข้ ถ้าไปว่าให้เขาได้ยิน คนทั้งหลายก็จะพลอยตายไปด้วย ท่านพูดแล้วท่านก็หัวเราะยกใหญ่ ท่านบอกว่านั่นเป็นความโง่ของคนแก่ และต่อมาไม่ช้าอีก ๒ วัน คุณย่าของท่านก็ตาย ท่านจึงได้ไปถามท่านพ่อว่า ย่าเป็นอะไร ท่านพ่อบอกว่าย่าตายเสียแล้ว ถามว่า ตายน่ะเป็นอย่างไร บอกว่า ตายน่ะเขาก็เอาไปวัด เขาก็เอาไปเผา และท่านก็ถามท่านพ่อว่า คนเราเกิดมาต้องตายทุกคนเหรอท่านพ่อก็บอก ต้องตายทุกคน ถามว่า เวลาจะตายทำไมต้องว่าอรหัง ท่านพ่อบอกว่า เขาบอกหนทาง ถามว่า ทางอะไร บอกว่า ทางคนตาย ถามว่า คนที่ยังไม่ตายว่าอรหังไม่ได้หรือ ท่านพ่อก็บอกว่า คนที่ยังไม่ตายยังว่าอรหังไม่ได้ เพราะว่าเขาถือว่าเป็นโชคร้ายลางร้าย คนที่ว่าอรหัง หรือว่าพุทโธน่ะก็จะต้องตาย ท่านบอกว่าคำว่าอรหังหมายถึงเป็นที่ของพระอรหันต์หรือเป็นสรรพนามขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แสดงสัญลักษณ์ว่าท่านเป็นผู้ไกลจากกิเลส ทำลายกิเลสได้สิ้นเชิง ไม่มีกิเลส เมื่อละอัตภาพจากอัตภาพนี้แล้วก็ไม่ต้องเกิดอีกไปสู่พระนิพพาน

    หรือคำว่า พุทโธ ก็เหมือนกันเป็นการแสดงสัญลักษณ์ของพระพุทธเจ้าว่าเป็นผู้ตื่นแล้ว เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้ไม่มีความงมงาย ตัดอวิชชาความโง่ได้หมด ตัดเยื่อใยแห่งกิเลสและตัณหาได้หมดสิ้น เมื่อละอัตภาพนี้แล้วก็จะไปสู่พระนิพพานเหมือนกัน แต่ท่านบอกว่าเป็นความโง่ของผู้ใหญ่ในสมัยนั้น ท่านเล่าให้ฟังว่า เมื่อท่านได้ฟังว่าคนเกิดมาแล้วต้องตายทั้งหมด ท่านก็คิดเลยทีเดียวว่า ถ้าคนเกิดมาแล้วต้องตาย เราจะไม่มีความเป็นอยู่อย่างพ่อ จึงได้ถามพ่อว่า พระที่เขาเดินมาบิณฑบาตนี่เขาตายไหม พ่อก็บอกว่า พระก็ตายเหมือนกันถามพ่อว่า ชาวบ้านถ้าตายแล้วไปไหน พ่อตอบว่า ไม่แน่นัก ชาวบ้านตายแล้วไปสวรรค์ก็ได้ บางคนก็ไปนรก หรือไปเกิดเป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน ตามบุญตามกรรม แต่ว่าพระนี่ถ้าตายไปแล้ว ท่านไปเกิดบนสวรรค์หรือเกิดเป็นพรหม เพราะว่าพระเป็นผู้มีบุญมาก คนที่บวชพระแล้วต้องรักษาศีลบริสุทธิ์ ท่านพ่อเล่าให้ฟังเพียงเท่านี้ถามว่า สวรรค์กับนรกมีสภาพต่างกันอย่างไร ท่านพ่อก็บอกว่า สวรรค์เป็นเทวดา มีร่างกายเป็นทิพย์ มีที่อยู่เป็นทิพย์ มีอาหารเป็นทิพย์ ไม่ต้องทำมาหากินเหมือนชาวบ้าน ไม่มีความทุกข์ สำหรับนรกจะต้องถูกลงโทษ ต้องถูกไฟเผา ท่านเล่าตามเรื่องราวของ พระมาลัย

    ท่านจำไว้เพียงเท่านี้ท่านคิดอยู่ตลอดมา ถ้าหากฉันบวชเมื่อไหร่ฉันจะไม่สึก ฉันจะเป็นพระ ฉันจะตายแล้วไปสวรรค์ดีกว่า นี่เป็นคติเดิมของท่านตั้งแต่เด็กๆ

    และต่อมาในสมัยที่ท่านครบบวช ฉันจะขอเล่าเลยเรื่องราวที่ไม่สำคัญนักไปเสีย เมื่อท่านพ่อนำมาฝากวัด ขณะที่ท่านเดินมาท่านพบปลาตัวหนึ่ง อยู่ในกะโหลกนํ้าน้อยๆที่นํ้ากำลังจะแห้ง ปลาตัวนั้นกำลังจะตาย ท่านก็จับปลาตัวนั้นมาด้วย พอมาถึงหน้าวัด ท่านก็ปล่อยปลาลงไปในนํ้า บอกให้ปลานั้นจงอยู่เป็นสุข จงปลอดภัย ขอชีวิตของเจ้าจงปลอดภัยจนกว่าจะถึงอายุขัย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 4 มกราคม 2015
  13. pco-

    pco- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,162
    ค่าพลัง:
    +12,252
    <CENTER>ตอนพบหลวงปู่คล้าย</CENTER>

    และท่านพ่อก็ได้นำไปฝากสมภารที่วัด สมภารในขณะนั้นก็ปรากฏว่าชื่อ "คล้าย" เขาเรียกกันว่า หลวงปู่คล้าย หลวงปู่คล้ายองค์นี้เป็นพระที่มีปาฏิหาริย์มาก มีความสามารถในทางไสยศาสตร์หรือสมาธิ หมายความว่าท่านจะทำอะไรให้เป็นอะไรก็ได้ ถ้าจะกล่าวกันไปตามหลักวิชาในสมัยนี้ ในพระพุทธศาสนาที่เรารู้ๆ ก็หมายความว่าท่านเป็น ผู้ทรงอภิญญา นั่นเอง และเรื่องราวของหลวงปู่คล้ายนี้ท่านเล่าให้ฟัง หลวงพ่อปานท่านเล่าให้ฟังว่าในสมัยที่ฉันเข้ามาอยู่เป็นนาคเพื่อจะบวชพระนั้น วันหนึ่งเขาลองยิงพระกัน พระเครื่อง..พระองค์ไหนๆ ก็ยิงออกหมด หลวงปู่คล้ายเดินไปถึงที่เขากำลังลองพระกัน ท่านก็เปลื้องจีวรออก แล้วก็บอกว่าเอาจีวรวางไว้ ท่านบอกว่าไหนลองยิงจีวรของฉันดูซิ พวกนั้นใช้ปืนทุกอย่างยิงจีวรของท่านไม่ติด ท่านก็บอกว่า ทุด! ไอ้ปืนของพวกมึงนี่มันไม่ดี ยิงพระออกแต่ยิงจีวรของกูไม่ออกปืนของมึงเสีย..นั่นครั้งหนึ่ง

    อีกครั้งหนึ่งท่านบอกว่า ขณะที่กำลังท่องหนังสืออยู่ในป่าช้า ท่องหนังสือขานนาคหรือสวดมนต์ หลวงปู่คล้ายก็เดินเข้าไปหา เข้าไปเรียกว่า ปาน..แกทำอะไรวะ ? หลวงพ่อก็บอกว่าผมกำลังท่องหนังสือครับ ท่านถามว่า ปาน..แกบวชแล้วแกจะสึกไหม ท่านก็ตอบหลวงปู่คล้ายตามเจตนาเดิมว่า ผมบวชแล้วผมไม่อยากสึกครับ บอก อือ! ดี บอกว่านี่คนที่เขาไม่สึกน่ะเขาต้องทำอย่างนี้นะปาน และท่านก็เอาจีวรวางไว้ ท่านบอกว่า ปาน..ท่านอยากจะดูช้างไหม หลวงพ่อก็บอกว่า อยากดูขอรับ และแกดูจีวรนี่นะ ประเดี๋ยวมันจะเป็นช้าง พอมองไปประเดี๋ยวเดียว เจ้าจีวรจะค่อยๆ กลายเป็นช้างทีละนิดๆ ทีแรกมันจะเกิดเป็นงวงมาก่อน เมื่อสุดงวงแล้วจึงเห็นงา เห็นงาแล้วก็เห็นหัวช้าง ตัวช้าง ขาช้าง จนกระทั่งหางช้าง และช้างนั่นเดินไปได้ตามความประสงค์ และท่านก็บอกว่า ปาน..อยากขี่ช้างไหม ท่านก็เลยบอกว่า อยากขี่ ท่านบอกว่า เอ้า! ช้างเทาลงมาหน่อยให้เขาขี่ ช้างก็เทาลงมา ท่านก็ขี่เล่นภายในป่าช้า วนไปวนมาสัก ๕ นาที ท่านก็บอกให้ลงจากคอช้าง เมื่อลงจากคอช้างแล้ว ท่านก็บอกช้าง..เอ็งกลับเป็นจีวร ตามเดิมซิ ข้าก็จะกลับไปกุฏิเดี๋ยวข้าไม่มีจีวรห่ม เท่านี้ก็ปรากฏว่าช้างกลายเป็นจีวรไป ตามเดิม

    หลวงพ่อปานเลยถามว่า พระที่ทำอย่างนี้ได้น่ะทำได้ทุกองค์ไหมขอรับ หลวงปู่คล้ายบอกว่า ทำไม่ได้ทุกองค์ พระที่จะทำอย่างนี้ได้ต้องเจริญกรรมฐาน ท่านถามว่า กรรมฐานเป็นอย่างไร ท่านก็เลยบอกว่า เอาเถอะ..เวลานี้ท่องหนังสือไปเถอะ เมื่อเธอบวชแล้วถ้าเธอมี ความประสงค์จะทำได้อย่างนี้ฉันจะสอนให้ ท่านบอกว่าเป็นเหตุจับใจที่สุด ในการเข้ามาสู่เขตพระพุทธศาสนา ซึ่งไม่เคยทราบมาก่อนท่านบอกว่า มีความเลื่อมใสมาก คิดไม่ถึงเลยว่าพระจะทำอะไรต่ออะไรได้ทุก อย่างอย่างนี้ แล้วท่านก็ถามหลวงปู่คล้ายว่า หลวงพ่อทำได้แต่เพียงเท่านี้หรือ หลวงปู่ก็บอกว่าทำได้ทุกอย่าง เอาอย่างนี้ไหมล่ะ แกอยากดูไหมว่าตัวฉันจะสูงสัก แค่ไหน ท่านก็อยากจะลอง

    ท่านก็บอกว่า คอยดูนะ..ให้ดูหลังคาศาลาปรกที่ท่านกำลังนั่งอยู่ ท่านมายืนอยู่ข้างนอก บอกประเดี๋ยวหัวฉันจะแค่หลังคาศาลาปรก มองไปประเดี๋ยวเดียว ปรากฏว่าท่านสูงแค่หลังคา (หลังคาปรก) และต่อไปก็บอกว่า เอ้า! ฉันจะทำให้สูงกว่ายอดไม้ ประเดี๋ยวตัวท่านก็สูงกว่ายอดไม้ และท่านก็ทำตัวย่อลงมาบอกว่า ฉันจะทำตัวให้เล็กนิดเดียว และตัวท่านก็เล็กนิดหนึ่ง ปรากฏว่าสูงไม่ถึงคืบ ท่านบอกว่า ทำให้เล็กขึ้นไปกว่านี้ก็ได้ และผลที่สุดท่านก็คลายสมาธิ กลับมาอยู่ในสภาพเดิมหลวงพ่อปานถามว่า "วิชาอย่างนี้เรียนได้จากที่ไหน หลวงพ่อจะสอนผมได้ไหม" ท่านก็บอกว่า "เธอทำสมาธิได้ เธอก็ทำอย่างนี้ได้"


    <DD>และก็บอกต่อไปว่า "ทำได้เท่านี้..ทำได้อย่างนี้ ไม่ใช่ได้แต่เพียงเท่านี้เท่านั้น ทำได้ทุกอย่าง จะเหาะเหินเดินอากาศก็ได้ จะดำดิน เดินนํ้า อะไรก็ได้ทุกอย่าง เขาเรียกว่า สมาบัติ" ท่านก็จำคำว่าสมาบัติตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา และก็สนใจในการประพฤติปฏิบัติ พยายามท่องหนังสือหนังหาให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ท่านต้องอยู่วัด ๓ เดือนคือเป็นนาคอยู่ ๓ เดือน หลวงปู่คล้าย ให้พยายามท่องหนังสือสวดมนต์ให้ได้หมดทุกอย่าง เท่าที่มีความจำเป็นจะต้องสวด ต่อมาเมื่อเวลาบวช หลวงปู่คล้ายบอกว่า "ถ้าแกจะบวชนะให้ไปบอกพ่อแก ให้ไปนิมนต์ หลวงพ่อปั้น วัดพิกุล เป็นพระคู่สวด อีกองค์หนึ่งนอกจากฉัน แล้วก็ไปนิมนต์ หลวงพ่อสุ่น วัดบางปลาหมอ เป็นพระอุปัชฌาย์ เพราะว่าพระทั้ง ๒ องค์นี้เป็นพระได้อภิญญาทั้งคู่ ทำอะไรต่ออะไรได้อย่างฉันเหมือนกัน แต่ว่าทั้ง ๒ องค์นี้เก่งกว่าฉัน" ท่านเล่าให้ฟังว่าหลวงปู่คล้ายพูดอย่างนี้ แล้วท่านก็ไปบอกท่านบิดา ท่านบิดาก็พอใจ เพราะมีความเคารพในพระทั้ง ๒ องค์อยู่แล้ว...


    </DD>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 4 มกราคม 2015
  14. pco-

    pco- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,162
    ค่าพลัง:
    +12,252
    <CENTER>พระเดชพระคุณหลวงพ่อเล่า..หลวงปู่สุ่น วัดบางปลาหมอ</CENTER>

    ".......ในเมื่อถึงเวลาบวช เมื่อบวชจริงๆ ท่านบวชที่ "วัดบางปลาหมอ" เพราะว่าเวลานั้น "วัดบางนมโค" เวลานั้นเดิมทีเป็นวัดร้าง........หลวงปู่คล้ายนี่..เป็นพระจากจังหวัดธนบุรี ขึ้นมาเริ่มสร้างวัดบางนมโคองค์แรก หมายความว่าสร้างทับที่เดิม เดิมมีกุฏิอยู่ ๒ - ๓ หลัง ยังไม่ทันจะมีโบสถ์ ถ้าวัดไหนไม่มีอุโบสถหรือโบสถ์ วัดนั้นก็ยังบวชพระไม่ได้ ต้องไปบวชพระที่วัดที่สร้างพระอุโบสถแล้ว........เมื่อบวชพรรษาแรก หลวงปู่คล้ายบอกว่า "ควรจะอยู่กับอุปัชฌาย์ ๑ ปีก่อน เพราะอุปัชฌาย์จะได้อบรมสั่งสอนวิชาการต่างๆ" เมื่อขณะที่หลวงพ่อปานบวชขณะนั้น พอดี หลวงพ่อสุ่น วัดบางปลาหมอ กำลังสร้างพระอุโบสถใหม่

    ขณะนั้นปรากฏว่ามีช่าง สำหรับคนที่เป็นนายช่าง ๓ - ๔ คน มาควบคุมการสร้างพระอุโบสถ เขามาช่วยท่านด้วยศรัทธาจริงๆ ไม่ใช่จะมารับจ้าง เรื่องการเงินการทองนี่เขาไม่ขอรับ และอาหารการบริโภคเขาก็เอามาหมดทุกอย่าง เขาหามากินเองไม่รบกวนทางวัด แรงงานทั้งหมดก็ได้ชาวบ้านช่วยกัน แล้วก็ช่วยกันจัดหาวัสดุก่อสร้างทุกอย่าง คนสมัยนั้นเขามีศรัทธามาก ขณะที่สร้างพระอุโบสถ ตอนเย็นวันหนึ่งท่านเดินไปดูนายช่าง เห็นนายช่างซื้อหมูบ้าง ซื้อเนื้อบ้างกินวันละเล็กวันละน้อยไม่มาก รู้สึกว่าจะเป็นคนเขียมๆ คือไม่มีค่าจ้างค่าออน ก็กินกันตามอัตภาพที่จะพึงหาได้ ท่านก็เลยบอกพวกนายช่างบอกว่า "พวกแกมาทำงานวัดนี่ แกจะมาซื้อกับกินทำไม ปลาในสระเยอะแยะไป ทำไมแกไม่ไปตกมากิน"นายช่างก็บอกว่า "ปลาวัดมันบาปครับ และปลาไม่ใช่ปลาวัดก็บาป แต่ผมก็หา อยู่บ้านผมก็หา แต่ปลาวัดผมถือครับ ผมไม่กินหรอกเพราะมันบาปมาก"

    หลวงพ่อสุ่นก็บอกว่า "ถ้าปลาที่อื่นมันอาจจะบาป ถ้าปลาในสระของวัดนี่กินไม่บาป ถ้าแกกำลังก่อสร้างอยู่อย่างนี้นะ เพราะผลบุญที่แกสร้างพระอุโบสถนี่มันมากกว่า" พระอุโบสถนี้เป็นพระอุโบสถใหม่นะ เพราะหลังเก่ามันทรุดโทรมมาก ท่านสร้างแทนขึ้นมาใหม่ หลังเก่าก็ยังไม่ได้รื้อท่านบอกว่า "อนุญาตนะ พวกแกจะกินได้ ทีหลังไม่ต้องไปซื้ออะไรเขามากิน เอาปลาในสระกิน ฉันรับรองว่าไม่บาป เพราะว่าเป็นปลาวัด อีกอย่างหนึ่งคนที่ทำงานวัดกินปลาวัดได้"พวกนายช่างก็เชื่อ เพราะว่าตามธรรมดาไม่ค่อยจะมีอะไรกินอยู่แล้ว ถึงตอนเย็นท่านก็บอกว่า เอาเบ็ดเกี่ยวเหยื่อเข้า อะไรก็ได้หาเนื้อที่มันตายแล้ว จะเป็นเนื้อหรือจะเป็นเศษปลาหรืออะไรเกี่ยวเบ็ด โยนลงไปในสระ พอโยนไปสักอึดใจเดียวก็ปรากฏว่า ปลาเค้าตัวใหญ่กินเบ็ด แล้วก็ดึงขึ้นมา แล้วก็เอามาทำเป็นอาหารกิน พวกคณะช่างกินปลาในสระจนกว่าจะ สร้างโบสถ์เสร็จ ขณะที่กินปลาได้ไม่กี่วันรู้สึกว่าอุจจาระที่ถ่ายมามันมีสีเขียว เขาก็แปลกใจ จึงไปถามหลวงพ่อ


    หลวงพ่อก็บอกว่า "ไม่เป็นไรหรอก ไอ้ปลาในสระมันไม่มีอาหารอย่างอื่นกิน มันกินตะไคร่นํ้า แกกินเข้าไปขี้มันก็เขียวน่ะสิ" ทีนี้เมื่อหลังจากสร้างพระอุโบสถเสร็จ ท่านก็ประกาศว่า "นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปใครจะกินปลาในสระไม่ได้นะ ถ้ากินแล้วจะเป็นโรคเรื้อน"คนเขาก็กลัววาจาศักดิ์สิทธิ์ของท่าน นายช่างก็ถามว่า "พวกผมจะเป็นไหม" ท่านบอก "แกกินก่อนน่ะไม่เป็นหรอก แต่ต่อไปนี้ถ้าแกกินแล้วเป็นโรคเรื้อน" ถามว่า "เป็นเพราะอะไร" ท่านก็บอกว่า "ข้าโกหกให้แกกินใบไม้ ข้าเสกใบไม้เป็นปลาไว้ กินอร่อยไหมวะ" ท่านถามนายช่างบอกว่า "รสชาติมันก็เหมือนปลาธรรมดาพวกนั้นแหละ" ท่านบอกว่า "ปลาวิชชามันเป็นอย่างนั้น นี่ข้าเสกใบไม้" ผลที่สุดท่านก็หยิบใบไม้ขึ้นมาใบ แล้วถามว่า "แกเชื่อไหมว่าข้าทำใบไม้เป็นปลาได้" นายช่างก็บอกว่า "เชื่อเหมือนกันครับแต่อยากเห็น"



    <DD>ท่านก็เลยหยิบใบไม้มาใบหนึ่งแล้วใส่เข้าไปในขันนํ้า ปรากฏว่าเป็นปลาว่ายปร๋อ..พวกนายช่างหัวเราะกันใหญ่ บอก แหม..หลวงพ่อ! ผมไม่รู้เลยว่าหลวงพ่อให้กินใบไม้ ผมกินกันใหญ่เลย ทีแรกผมนึกว่าปลาจริงๆ ผมไม่กล้าจะตกขึ้นมากินมากๆ กลัวมันจะบาปมาก ไอ้บาปกับบุญที่สร้างโบสถ์มันจะไม่พอกัน ท่านก็หัวเราะชอบใจ อันนี้เป็นปาฏิหาริย์ของหลวงพ่อสุ่น ซึ่งเป็นพระอุปัชฌาย์ของหลวงพ่อปาน ปรากฏว่าเป็นพระได้อภิญญาเหมือนกัน


    </DD>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 4 มกราคม 2015
  15. pco-

    pco- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,162
    ค่าพลัง:
    +12,252
    <CENTER>สมัยรัชกาลที่ ๖</CENTER>

    หลวงพ่อสุ่นองค์นี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ทรงขึ้นและมีความเคารพนับถือมาก เพราะว่าครั้งหนึ่งเมื่อพระองค์เสด็จไปจอดเรืออยู่ที่หน้าวัด เห็นนกกระยางบินผ่านมาหน้าวัดก็ยกปืนขึ้นยิง ปรากฏว่ายิงไม่ออก แต่ผลที่สุดจะหันปืนไปทางไหน อากาศเต็มบริเวณวัดนั้นทั้งหมดยิงไม่ออก ท่านมีความสงสัยก็ขึ้นไปหาท่านเจ้าอาวาสคือหลวงพ่อสุ่น หลวงพ่อท่านก็บอกว่า "อย่าว่าแต่อากาศเลย อะไรก็ยิงไม่ออกในวัดนี้"พระองค์จึงถามว่า "เป็นเพราะอะไร"

    ท่านบอกว่า "เป็นเพราะอำนาจพระพุทธานุภาพ"

    รัชกาลที่ ๖ ก็อยากจะทราบว่า ถ้ากระผมอยากจะเป็นคนยิงไม่ออกพอจะได้ไหมท่านก็บอกว่า "ได้"แต่ว่าต้องรับปากเสียก่อนว่านับตั้งแต่เวลานี้เป็นต้นไปในเขตบริเวณวัดจะไม่ทำอันตรายแก่สัตว์ จะไม่ละเมิดสิทธิของสงฆ์ รัชกาลที่ ๖ ก็รับคำ แล้วท่านก็ขอพระแสงประจำตัว คือมีปืนเล็กๆ กระบอกหนึ่ง แล้วก็มาเสก เสกแล้วก็ส่งให้ท่านบอกว่า "ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปถ้าหากพระองค์ติดปืนกระบอกนี้อยู่ละก็ปืนอื่นจะยิงไม่ออก อาวุธทุกอย่างจะทำอันตรายพระองค์ไม่ได้

    พระองค์ก็บอกว่า "อาวุธอย่างนี้อาจจะไม่ติดตัวในบางขณะ แต่กระผมอยากจะให้ตัวผมเองไม่มีอันตรายจากอาวุธ"ท่านก็บอก "ถ้าอย่างนั้นก็ก้มพระเศียรมา" รัชกาลที่ ๖ ก็ก้มพระเศียรลงไป ท่านก็ลงกระหม่อมให้ และก็บอกให้มหาดเล็กลองยิง ให้ยิงเดี๋ยวนั้น ก็ไม่ติดรัชกาลที่ ๖ มีความเลื่อมใสมากอันนี้เป็นปฏิปทาของหลวงพ่อสุ่น วัดบางปลาหมอ ซึ่งเป็นพระอุปัชฌาย์ของ หลวงพ่อปาน สำหรับ หลวงพ่อปั้น วัดพิกุล นั้นท่านก็บอกว่ามีปาฏิหาริย์เหมือนกัน เพราะเป็นพระได้อภิญญาเหมือนกัน จะขอไม่เล่าประวัติของท่าน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 4 มกราคม 2015
  16. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    45,850
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,041
    มีเพื่อนคนหนึ่งพบพระที่มาจากศรีลังกา ท่านให้คนป่วยเจ็บภาวนา"นะโมพุทธายะ"21ครั้ง ลองดูนะคะ

    -9c
     
  17. aries

    aries เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    1,403
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,211
    ก่อนอื่นก็ต้องขอสวัสดีปีใหม่กับท่าน PCO_และเพื่อนๆทุกๆท่านด้วยครับ วันหยุดที่ผ่านมาผมและครอบครัวไปทัวร์ทำบุญกัน 5 วัด เป็นทำบุญปิดทองฝังลูกนิมิต 4 วัด แถวสุพรรณบุรีและชัยนาท เช่น วัดไทรย์ วัดสามเอก วัดบัลลังก์ วัดสระแก้วและทำบุญที่วัดบ่อกรุด้วย เอาบุญมาฝากทุกท่านด้วยนะครับ

    คาถา นะโมพุทธายะ มีอานุภาพระงับทุกขเวทนาได้ครับ บางทีก็เรียกกันว่าคาถาพระยายม เราก็สามารถใช้คาถานี้ช่วยบรรเทาอาการเจ็บป่วยได้ แต่ไม่สามารถช่วยให้หายจากโรคและป้องกันไม่ให้ตายไม่ได้

    สมัยก่อนหลายปีมาแล้ว หมาที่บ้านผมชื่อโม่ง เขากำลังจะหมดอายุขัย ผมเห็นเขาชักดิ้นชักงออยู่ในบริเวณบ้านช่วงกลางวัน ก็ยังไม่รู้ว่าจะช่วยอย่างไรดี ก็เลยนึกถึงพระบารมีของพระพุทธเจ้าทั้งห้าพระองค์ โดยท่องคำว่านะโมพุทธายะ ขอให้เจ้าโม่งพ้นทุกข์พ้นอันตราย(ประมาณนี้) ไม่แน่ใจว่าเป่าไปที่เจ้าโม่งด้วยหรือเปล่านะ แป้บเดียวอาการชักก็สงบลงเป็นปกติ ตอนนั้นผมยังไม่รู้ว่าพระคาถามีอานุภาพด้านนี้ด้วย หลังจากนั้นก็ไม่คิดว่าจะมีอะไรที่น่าเป็นห่วงแล้ว พอตกเช้าก็พบเจ้าโม่งไปนอนตายใกล้ๆกับม้านั่งริมน้ำ ใกล้ๆกับจุดที่ใส่บาตรพระทางเรือที่เจ้าโม่งเขาชอบตามไปร่วมด้วยเป็นประจำ ก็คิดว่าเขาคงไปสู่สุคติครับ

    ช่วงนั้นก็ใส่บาตรทำบุญไปให้เขาด้วย ร่างของเขาก็ไปฝังไว้ใกล้ๆกอกล้วย ใกล้ๆบ้านนั่นเอง และอีกไม่นานนักสักสองสามเดือนได้ ภรรยาก็เล่าให้ฟังว่าช่วงเช้ามืดออกมาจากห้องนอน ได้ยินเสียงหมาเดินแก๊กๆๆอยู่ข้างๆบ้านแล้วหลบเข้าไปแถวกอกล้วยนั้นหลายวันติดๆกัน แต่มองไม่เห็นตัวสักที ก็เลยมาคุยกันว่าหรือจะเป็นผีเจ้าโม่งหรือเปล่านะ พอดีว่าพบหลักฐานการรื้อค้นถังขยะใกล้ๆบ้าน ก็พยายามสังเกตอยู่หลายวันว่ามีหมาที่ไหนหลงเข้ามาอยู่แถวนี้หรือเปล่า จนกระทั่งพบว่าเห็นตูดหมาตัวหนึ่งโผล่ออกมาจากกอกล้วย ก็เลยคิดว่าเจอตัวการเสียงประหลาดแล้ว เป็นหมาพันธุ์สีสวาทตัวโตผอมโซเลย ก็เลยแอบเอาขนมผิงโยนๆไว้ให้กินใกล้ๆกอกล้วย เพราะช่วงแรกเขาตื่นคนมาก ขี้กลัว พอได้กินขนมผิงแล้วก็เริ่มมีท่าทีดีขึ้น เริ่มคุ้นกันแล้วก็เลย ผมกับภรรยาก็ช่วยกันให้อาหารเขา ตอนหลังก็กลายเป็นสมาชิกประจำบ้านไปแล้ว ภรรยาตั้งชื่อให้ว่าสีหมอก ดูเขาจะชอบชื่อนี้ด้วยนะ เป็นหมาที่หูไว ตาไว คล่องตัวมาก (จึงพบตัวยากในช่วงแรกเพราะหลบได้ไวมาก สีขนก็กลืนกับเงามืดสลัวได้ดี) ขี้ประจบขออาหารเก่ง ฉลาดแสนรู้และติงต๊องด้วย เจ้าสีหมอกจะตื่นตกใจง่ายกับเสียงพลุ เสียงฟ้าร้อง ถ้าได้ยินแล้วสติหายหมด กลัวจนตัวสั่นงันงก บางทีก็วิ่งออกจากบ้านลงน้ำ ลงโคลนไปเลย จากที่ผอมๆเดี๋ยวนี้อ้วนกลมจนจะเป็นหมูแล้ว กินเก่งเหลือเกิน เคยคิดว่าเจ้าโม่งอาจจะส่งเจ้าสีหมอก มาทำหน้าที่เฝ้าบ้านแทน เห่าเก่งใช้ได้เลย

    เรื่องคาถาพระยายม อธิบายไว้ดีมาก ลองอ่านดูนะครับ
    คาถาพระยายม "นะโมพุทธายะ"
     
  18. pco-

    pco- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,162
    ค่าพลัง:
    +12,252
    สวัสดีครับช่วงปีใหม่พวกน้องๆหลานๆบังคับขู่เข็ญให้ผมพาพวกเขาไปเที่ยวหน่อย ก็เลยไปกับเขาอันนั้นไปเที่ยวจริงๆไม่ได้ทำบุญที่ใหน ไปเที่ยวถ้ำที่จังหวัดสตูล ไปกันสองคันรถกระบะ ไปถึงผมก็ปูเสื่อนอน พวกเด็กๆก็ไปเดินดูถ้ำกัน ผมเดินกับเขาไม่ไหว ก็เลยนอนรอ ตั้งใจว่าเดี๋ยวจะกลับไปไหว้พระรับปีใหม่ที่พระวิหารน้ำน้อย แต่คุณแก้วใหญ่ลืมกุญแจวิหาร เลยต้องกลับไปใส่บาตรทำบุญตอนเที่ยงคืนที่บ้าน

    ก็โมทนาสาธุอย่างยิ่งกับทุกรายการบุญทานกองการกุศลทั้งปวงกับครอบครัวคุณariesนะครับที่พากันไปทำในที่ต่างๆ ของผมนอกจากที่เมืองใต้แล้ว ทางตะวันออก ลูกสาวผมเขาก็ไปสวดมนต์ข้ามปีกันที่วัดสัตหีบ ก็มีหลายที่ ที่พวกเขาพากันทำพร้อมๆกัน

    เรื่องพระคาถา ก็ขอบคุณมากครับ ทั้งซือเจ๊ และคุณaries

    ส่วนเรื่องหมาๆนี่ผมก็เพิ่งไปเก็บได้มาจากกลางถนนหนึ่งตัวเป็นลูกหมา เมื่อวันที่16 พย นี่เอง จอดรถติดสี่แยกไฟแดงอยู่ ฝนก็กำลังตก ก็นอนสั่นอยู่บนเกาะกลางถนนที่แรกเข้าไปดูคิดว่าอาจจะถูกรถชนบาดเจ็บถึงได้อยู่บนเกาะกลางถนนแบบนี้ เมื่ออุ้มขึ้นมาดูก็ไม่ได้บาดเจ็บอะไร ก็เอามาให้แก้วเล็กเลี้ยงอยู่ตอนนี้ เช้าก็เอาไปที่ทำงานด้วยเย็นก็กลับบ้านพร้อมกัน พนักงานพากันตั้งชื่อว่าบุญชู ก็รู้สึกว่าเจ้าตัวจะพอใจมาก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 6 มกราคม 2015
  19. pco-

    pco- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,162
    ค่าพลัง:
    +12,252
    ขอบคุณมากครับสำหรับพระคาถา เคยเป่่าให้แก้วใหญ่ที่แทบทุกครั้งเวลาแกปวดหัวก็ให้เป่่าให้ เขาก็หายปวดครับ แก้วเล็กก็เหมือนกัน บางวันรบกับพนักงานจนมึนหัว แกก็จะมาให้เป่าให้ แต่อีเวลาตัวเองปวดหลังจะยึดคอไปเป่าก็ไม่ถึง หากเผลอยึดให้ใครเห็นเป็นอันว่าวิ่งกันทั้งบ้าน

    พูดเรื่องพระคาถามีอยู่วันหนึ่งลองนอนท่องคาถากำบังตัวของหลวงพ่อ ก็นอนเพลินๆ ลูกสาวคนเล็กก็เข้ามานอนแล้วเขาก็ถามแม่เขาว่า พ่อไปใหน แม่ก็บอกว่าพ่อหลับแล้ว ลูกผมเขาก็มาดึงๆผ้าห่มก็บอกว่าไม่เห็นพ่อ พ่อไม่ได้นอนหลับ ไปใหนไม่รู้แม่ก็บอกว่าพ่อก็นอนอยู่นี่ ก็หาวุ่นวาย ทั้งๆที่คลำตัวอยู่เขาก็บอกว่าไม่เห็น เลยต้องส่งเสียงให้เขาถึงได้มองเห็น ครั้งนั้นก็ไม่รู้ว่าเพราะเขาไม่เห็นจริงๆหรือแกล้งไม่เห็น ตอนนั้นเขาประมาณห้าหกขวบ

    ซือเจ๊อากาศเย็น ลบ9องศานี่ท่ามันจะหนาวมากนะครับนี่
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 6 มกราคม 2015
  20. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    45,850
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,041
    **อ้าว เอามะพร้าวห้าวมาขายสวนเสียแล้ว เลยขอเสนอความคิดว่าถ้าท่านจะเป่าตัวเองก็ใช้หลอดดูดกาแฟที่โค้งได้ซิคะ
    **เรื่องความหนาวก็มีประโยชน์หลายอย่าง คือไม่มียุงหรือแมลงวัน เมื่อปีที่แล้วตู้เย็นเสียเลยเอาของจากตู้เย็นวางไว้นอกบ้าน จะเอาอะไรก็เปิดประตูระเบียงแล้วก็หยิบเอา
    **เรื่องราวของหลวงพ่อปานนี่อ่านแล้วติดงอมแงมเลยโดยเฉพาะหลวงพ่อสุ่น ขรัวอีโต้(ที่โดนวัวเขาอ่อนขวิดเอา ) เรื่องแมวที่มาเกิดใหม่ สรุปแล้วทุกๆเรื่องของหลวงพ่อปานเลยค่ะ ฟังกี่ครั้งก็ไม่เบื่อ ยิ่งอ่านก็ยิ่งซาบซึ้งในองค์ท่านค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...