วิชชา ธรรมกาย ไม่ได้มาจาก วัดพระธรรมกาย

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย jack5487, 28 มิถุนายน 2008.

  1. oomsin2515

    oomsin2515 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    2,934
    ค่าพลัง:
    +3,393
    กุศลผลบุญใด ๆ ก็ตามที่ข้าพเจ้าได้ทำมาแล้ว ตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบันนี้ ข้าพเจ้าขออุทิศให้<O:p</O:p


     
  2. upanya

    upanya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2006
    โพสต์:
    900
    ค่าพลัง:
    +1,035

    คนที่มาตอบคำถามก็มาตามคำท้าแล้วนะครับ
    แต่เหตุใดผู้ท้าจึงหลบหน้าไป
    อยากได้ความรู้ดอกจึงถามถึง ไม่ได้คิดอย่างอื่น

    คุณขันธ์ครับไม่มาต่อหรือครับ
     
  3. upanya

    upanya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2006
    โพสต์:
    900
    ค่าพลัง:
    +1,035
    ขอดันกระทู้หน่อยครับ
     
  4. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    มาพิจารณาการแก้กรรมฐานของพระกัน ท่านผู้หนึ่งเป็นพระที่ติดนิมิต
    ดังจะเห็นข้อความจากหน้า 7 ดังรูป ว่าทำสมาธิแล้ว ก็เห็นนิมิตเป็น
    พระพุทธเจ้า และพระอรหันต์มากมายมาชุมนุม พระผู้แก้กรรมฐาน
    กล่าวชมว่าเห็นนั้นดีแล้ว แล้วก็ให้พระท่านนั้นกำหนดว่า เห็นหนอ แทน
    การเห็นเพื่อเปลี่ยนอารมณ์ชอบใจในการเห็นนิมิต ไปเป็น ภาพที่เห็นนั้น
    กลายเป็นของถูกรู้ถูกดู ด้วยคำว่า เห็นหนอ

    [​IMG]

    แต่ก็ยังแก้ไม่ได้ ยังสาวไม่ถึงต้นตอ พระผู้แก้กรรมฐานจึงไต่ถามว่า เมื่อเห็น
    นิมิตแล้วจะเอาไปทำอะไร ทำให้ทราบความว่า จะเข้าไปถามความรู้ ให้พระ
    พุทธเจ้าตรัสวิธีการทำลายคอมมิวนิสต์ (ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะมีวิชาทำลายใคร)
    ทำให้ให้พระผู้แก้กรรมฐาน ทราบถึงต้นตอว่า มีความอยาก จึงกำหนดให้ดูตัวอยาก
    ดังหน้าที่ 8 ซึ่งปรากฏว่าคราวนี้แก้กรรมฐานได้ ทำให้นิมิตดับไปต่อหน้าต่อตา
    ไม่อาจตั้งอยู่ได้อีก เมื่อหมดอาการอยาก เห็นตัวอยาก รู้เท่าทันตัวอยาก ทำให้
    นิมิตดับหายไป


    [​IMG]

    พอเห็นนิมิตดับหายไป ก็เข้าใจว่านั้นคือ รูป มีนามเกี่ยวพัน เมื่อรู้ทันอยาก
    นิมิตก็ดับ แล้วทำให้แจ้งในไตรลักษณ์ตามความเป็นจริง พระผู้ได้รับการ
    แก้กรรมฐานจึงกล่าวรับรอง การดับไปของนิมิต ถึงจะเข้าสู่อุทัพยญาณ

    หลังจากนั้น จึงเจริญกรรมฐานที่มีการกระดุกกระดิกตัว มีการเคลื่อนไหว
    ไม่ใช่นั่งนิ่งๆ เพื่อเลี่ยงการจมเข้าไปในนิมิต ท่าทางการเคลื่อนไหวจะต้อง
    เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ไม่ให้ซ้ำ เพราะถ้าซ้ำ ก็อาจเคยชิน และทำให้กลับไป
    เห็นนิมิตอีกได้ เพราะได้วาสนาจากการทำกรรมฐานเดิมไว้เป็นจำนวน 100 ชาติ
    ตามที่ผู้ได้รับการแก้กรรมฐานอุทานออกมา และติดนิมิตนี้อยู่นาน 10 ปี ในชาติ
    ปัจจุบัน

    [​IMG]

    กรรมฐานหนึ่งๆนั้น ไม่ว่าเป็นกรรมฐานตัวใด อย่างต่ำแล้วต้องบำเพ็ญซ้ำ
    กันมาไม่ต่ำกว่า 100 ชาติ ถึงจะได้ผลอันมั่นคง ถ้ากรรมฐานนั้นๆเคย
    ทำมาแล้ว 99 ชาติ แล้วชาตินี้เป็นชาติที่ 100 ขึ้นไป เมื่อทำกรรมฐาน
    แบบเดิมจะต้องสัมฤทธิ์ผลโดยง่าย ดังนั้น หากผู้ใดเดินกรรมฐานใดแล้ว
    การณ์ปรากฏว่า ผ่านไปแล้ว 10 ปี ก็ยังไม่เห็นผลอะไร ก็ให้เลิกเสีย เพราะ
    ไม่อาจทราบได้ว่า ชาตินี้เป็นชาติที่เท่าไหร่ใน 100 ชาตินั้น

    ถึงแม้จะทำ 100 ชาติแล้ว ก็ยังต้องมาถอนกรรมฐานนั้นออกไปอยู่ดี ด้วย
    การทำสติปัฏฐาน 4 ที่เรียบง่าย แค่รู้ตัว รู้กาย รู้ใจ ดูอย่างเป็นผู้ดู อะไรเกิด
    ขึ้นก็แค่รู้ว่า เห็นหนอ (กรณีที่ไม่ทัน) ดังความที่ปรากฏในการแก้กรรมฐานของ
    พระทั้งสองรูปนี้

    refer : http://gotoknow.org/file/truedhamma/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 กรกฎาคม 2008
  5. นโมโพธิสัตโต

    นโมโพธิสัตโต ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ผู้ดูแลเว็บบอร์ด สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,166
    กระทู้เรื่องเด่น:
    20
    ค่าพลัง:
    +29,715
    OOวิปัสสนา อย่างลัดOO

    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->[​IMG]




    วิธีเจริญวิปัสสนาอย่างลัด

    โดย...พระอริยคุณาธาร (ปุสโส เส็ง , ปธ. 6)
    วัดป่าเขาสวนกวาง จ.ขอนแก่น

    { คัดลอกมาจาก : หนังสือ “ทิพยอำนาจ” เรียบเรียงโดย พระอริยคุณาธาร (ปุสโส เส็ง , ปธ. 6)
    หน้าที่ 490 – 492 และ 500 พิมพ์ครั้งที่ 9 /2535 ของ มหามงกุฏราชวิทยาลัย}

    *** ข้อมูลโดยย่อเกี่ยวกับ พระอริยคุณาธาร (ปุสโส เส็ง , ปธ. 6) ***
    1. ท่านเป็นลูกศิษย์โดยตรงของ…
    1) สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ (พระอุปัชฌายะของท่าน)
    2) ท่านเจ้าคุณ พระอุบาลี คุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจันโท) วัดบรมนิวาส กรุงเทพฯ
    3) ท่านเจ้าคุณ พระปัญญาพิศาลเถระ (หนู) วัดปทุมวนาราม กรุงเทพฯ
    4) หลวงปู่ เสาร์ กันตสีโล
    5) หลวงปู่ มั่น ภูริทัตโต
    2. ท่านอยู่รุ่นเดียวกับพระครูบาอาจารย์หลายองค์ เช่น
    1) พระอาจารย์ กงมา จิรปุญโญ
    2) หลวงปู่ ชอบ ฐานสโม
    3) ท่านพ่อ ลี ธัมมธโร
    3. ลูกศิษย์องค์สำคัญของท่าน เช่น
    1) หลวงพ่อ พุธ ฐานิโย วัดป่าสาลวัน จ.นครราชสีมา
    2) พระอาจารย์ จวน กุลเชฏโฐ วัดภูทอก จ.หนองคาย
    4. หนังสือ”ทิพยอำนาจ” นี้ เกิดจากการที่ท่านถูกอาราธนาโดย หลวงปู่ เสาร์ กันตสีโล
    5. หนังสือ”ทิพยอำนาจ” นี้ สำเร็จได้เพราะได้รับความร่วมมือจากบุคคลสำคัญ คือ
    1) สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ (พระอุปัชฌายะของท่าน)
    2) พระพรหมมุนี (ผู้อำนวยการของมหามงกุฏราชวิทยาลัย)
    ********************************************************************************


    วิธีเจริญวิปัสสนาอย่างลัด

    วิธีวิปัสสนาแบบนี้ ผู้ปฏิบัติมุ่งทำลายอาสวะให้เด็ดขาดเลยทีเดียว ไม่พะวงถึงคุณสมบัติพิเศษส่วนอื่นๆ ( ผู้ที่มีอัธยาศัยแบบสุกขวิปัสสโก :-ผู้คัดลอก ) โดยเชื่อว่าถ้ามีวาสนาเคยสั่งสมอบรมมา เมื่อบรรลุถึงอาสวักขัยแล้ว คุณสมบัตินั้นๆ จะมีมาเองตามสมควรแก่วาสนาบารมี และเชื่อว่าคุณสมบัติพิเศษนั้นเป็นผลรายทางของการปฏิบัติ เมื่อเดินตามทางอย่างรีบลัดตัดตรงไปถึงที่สุดแล้ว ก็จะต้องได้คุณสมบัตินั้นๆ บ้างพอสมควร ไม่จำเป็นต้องไปห่วงใยให้เสียเวลา รีบรุดหน้าไปสู่เป้าประสงค์สูงสุดทีเดียว มีวิธีปฏิบัติ ดังต่อไปนี้

    (๑) อาศัยสมาธิชั้นใดชั้นหนึ่ง เป็นฐานทำการพิจารณาอารมณ์ของวิปัสสนาไปตามลำดับๆ จนได้ความรู้กระจ่างแจ้งในอารมณ์นั้นๆ เป็นอย่างๆ ไป

    **** สมาธิที่มีกำลังเพียงพอ คือฌาณที่ ๔ ถ้าต่ำกว่านั้นจะมีกำลังอ่อน จะไม่เห็นเหตุผลแจ่มชัด จะเป็นความรู้กวัดแกว่ง ไม่มีกำลังพอจะกำจัดอาสวะได้

    **** ผู้มีภูมิสมาธิชั้นต่ำ พึงทำการเข้าสมาธิสลับกับการพิจารณาเรื่อยไปจึงจะได้ผล อย่ามีแต่พิจารณาหน้าเดียว จิตจะฟุ้งในธรรมเกินไป แล้วจะหลงสัญญาตัวเองว่า เป็นวิปัสสนาญาณไป

    (๒) ตีด่านสำคัญให้แตกหัก คือทำการพิจารณาขันธ์ ๕ อันเป็นที่อาศัยของอาสวะนั้นให้เห็นแจ้งชัดโดยไตรลักษณ์ แจ่มแล้วแจ่มอีกเรื่อยไปจนกว่าจะถอนอาลัยในขันธ์ ๕ ได้เด็ดขาด จิตใจจึงจะมีอำนาจเหนือขันธ์ ๕ รู้เท่าทันขันธ์ ๕ ตามเป็นจริง อาสวะก็ตั้งไม่ติด จิตใจก็บรรลุถึงความมีอิสระเต็มเปี่ยม ชื่อว่าบรรลุอาสวักขยญาณด้วยประการฉะนี้

    *****************************************

    วิธีการเจริญอาสวักขยญาณอย่างรวบยอด สำหรับผู้ปฏิบัติจริงๆ คือ

    เข้าฌาณอันเป็นที่ตั้งของวิปัสสนา ทำใจให้บริสุทธิ์สะอาดผ่องแผ้ว (ณาณที่4 :- ผู้คัดลอก) แล้วกำหนดสำเหนียกสิ่งที่ปรากฎในจิตใจขณะนั้นโดยไตรลักษณ์ เมื่อเกิดความรู้เห็นโดยไตรลักษณ์แจ่มแจ้งขึ้น จิตก็ผ่องแผ้วพ้นอาสวะทันที

    ***** การสำเหนียกพิจารณา”ในฌาณ” เช่นนี้ จะเป็นไปโดยอาการสุขุมประณีตแผ่วเบา ไม่รู้สึกสะเทือนทางประสาทเลย ไม่เหมือนการคิดการอ่านโดยปกติธรรมดา (นอกณาณ :- ผู้คัดลอก) ซึ่งต้องใช้ประสาทสมองเป็นเครื่องมือ

    ***** ฉะนั้นผู้ปฏิบัติพึงทุ่มเทกำลังใจลงในการเจริญฌาณมาตรฐาน (ณาณที่4 :- ผู้คัดลอก) ให้ได้หลักฐานทางจิตใจก่อนแล้ว จึงสำเหนียกไตรลักษณ์ดังกล่าวแล้ว “จะสำเร็จผลเร็วกว่าวิธีใดๆ “

    ********************************************************************************

    จบ วิธีเจริญวิปัสสนาอย่างลัด

    โดย….พระอริยคุณาธาร (ปุสโส เส็ง , ปธ. 6)

    ********************************************************************************

    ขอชี้แจงเพิ่มเติมโดย”ผู้คัดลอกมานำเสนอเป็นกระทู้นี้” :

    การฝึกวิปัสสนามีหลายวิธีและสามารถทำได้ทั้งนอกฌาณหรืออยู่ในฌาณ ดังนั้นวิธีของแต่ละท่านก็อาจแตกต่างกันไป

    - ผู้ที่มีอัธยาศัยแบบสุกขวิปัสสโก หลายท่านก็จะฝึกนอกฌาณ (จิตยังมีนิวรณ์ 5 อยู่)

    ******** ผู้ที่มีอัธยาศัยแบบสุกขวิปัสสโก หลายท่านก็จะฝึกในฌาณ เพราะท่านเห็นว่า การฝึกในฌาณนั้นเป็นการฝึกในขณะที่จิตปราศจากนิวรณ์ 5 อย่างแท้จริง ดังนั้นการที่จะตัดกิเลสและบรรลุธรรมย่อมเป็นไปได้ง่ายมากๆอย่างยิ่ง สมดังข้อความข้างต้น (2 บรรทัดสุดท้ายก่อนจบ) ที่ว่า “ฉะนั้นผู้ปฏิบัติพึงทุ่มเทกำลังใจลงในการเจริญฌาณมาตรฐาน (ณาณที่4 :- ผู้คัดลอก) ให้ได้หลักฐานทางจิตใจก่อนแล้ว จึงสำเหนียกไตรลักษณ์ดังกล่าวแล้ว จะสำเร็จผลเร็วกว่าวิธีใดๆ ”
    <!-- / message --><!-- sig -->__________________
     
  6. นโมโพธิสัตโต

    นโมโพธิสัตโต ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ผู้ดูแลเว็บบอร์ด สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,166
    กระทู้เรื่องเด่น:
    20
    ค่าพลัง:
    +29,715

    ฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯ


    [​IMG] OOGเรื่องวิปัสสนาญาณ ที่หลวงปู่สดฯ เคยกล่าวกับ หลวงพ่อฤาษีฯOO
    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->หลวงพ่อวัดปากน้ำได้เล่าให้ศิษย์บรรพชิตท่านฟังว่า ท่านปฏิบัติบรรลุญาณ ๑๖ มาเป็นสิบๆปีแล้ว ก่อนที่กรรมฐานแบบวัดมหาธาตุจะเข้ามาสู่ประเทศไทย เพราะวิชชาธรรมกายก็มีการพิจารณาไตรลักษณ์ และพิจารณาสติปัฏฐาน ๔ คือพิจารณากายในกาย เวทนาใน้เวทนา จิตในจิต และพิจารณาธรรมในธรรม และ ...........



    จาก

    [หลวงพ่อฤาษีลิงดำ(พระราชพรหมยาน มหาวีระ ถาวโร) , ......, เรื่องจริงอิงนิทานเล่ม๑, น.๑๖๙- ๑๗๒. ]
    <!-- / message --><!-- sig -->__________________
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  7. นโมโพธิสัตโต

    นโมโพธิสัตโต ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ผู้ดูแลเว็บบอร์ด สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,166
    กระทู้เรื่องเด่น:
    20
    ค่าพลัง:
    +29,715
    OOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOO



    1. หลวงพ่อวัดปากน้ำไม่เคยเลิกฝึกธรรมกาย
    เมื่อ อ. 17 มิ.ย. 2551 @ 14:05
    704136 [ลบ]


    เหตุผลที่หลวงพ่อสดเขียนรับรองการปฏิบัติกรรมฐานแบบหนอ ก็ เพราะว่าท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาสภมหาเถระ) เมื่อครั้งมีสมณศักดิ์ที่พระพิมลธรรม เจ้าอาวาสวัดมหาธาตุ สังฆมนตรีว่าการองค์การปกครอง (สมัยนั้นมีสังฆมนตรีเพียง๔ รูป) ผู้มีอำนาจมาก มีบารมีมาก มีบริวารมาก และมีสมณศักดิ์เกือบสูงสุด ท่านเจ้าประคุณ มีความดำริจะส่งเสริมวิปัสสนากรรมฐานให้เจริญแพร่หลายในประเทศไทย โดยเฉพาะท่านเชื่อว่าการสอนวิปัสสนาธุระที่เป็นระบบถูกต้องมีเฉพาะในประเทศพม่าเท่านั้น ทั้งที่ตอนนั้นสายพระอาจารย์มั่นและสายวัดปากน้ำได้ปฏิบัติธรรมอย่างมีระบบแล้ว
    หลวงพ่อวัดปากน้ำและพระเถระผู้เชี่ยวชาญกรรมฐานฝ่ายมหานิกายจึงถูกเกณฑ์ให้เรียนกรรมฐานแบบหนอ
    สำหรับหลวงพ่อสดนั้นถูกขอร้องเป็นพิเศษ ด้วยหลวงพ่อมีลูกศิษย์ลูกหามาก น่าจะมากที่สุดในประเทศไทยในสมัยนั้น ให้ช่วยเขียนรับรองการปฏิบัติกรรมฐานแบบวัดมหาธาตุฯให้ด้วย ไม่ใช่เป็นอย่างคำบิดเบือน
     
  8. นโมโพธิสัตโต

    นโมโพธิสัตโต ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ผู้ดูแลเว็บบอร์ด สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,166
    กระทู้เรื่องเด่น:
    20
    ค่าพลัง:
    +29,715
    ๏ บทสวดขอขมาโทษพระรัตนตรัย


    คำขอขมาโทษต่อพระรัตนตรัย

    ตั้ง นโม ๓ หนแล้ว ขอขมาโทษดังต่อไปนี้


    อุกาสะ อัจจะโย โน ภันเต อัจจัคคะมา ยะถาพาเล ยะถามุฬเห ยะถาอะกุสะเล เย มะยัง กะรัมหา เอวัง ภันเต มะยัง
    อัจจะโย โน ปะฏิคคัณหะถะ อายะติง สังวะเรยยามิ.





    ๏ บทสวดขอขมาโทษพระรัตนตรัย (แปล)


    ข้าพระพุทธเจ้า ขอวโรกาส ได้พลั้งพลาดด้วยกาย วาจา ใจ ในพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์

    เพียงไรแต่ข้าพระพุทธเจ้า เป็นคนพาล คนหลง อกุศลเข้าสิงจิต ให้กระทำความผิด ต่อพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์

    ขอพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ จงงดความผิดทั้งหลายเหล่านั้นแก่ข้าพระพุทธเจ้า จำเดิมแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าพระพุทธเจ้าจักขอสำรวมระวังซึ่งกาย วาจา ใจ สืบต่อไปในเบื้องหน้า ฯ



    ปล. หยุดเป็นตัวสำเร็จนะครับ หยุดอย่างไร หยุดอย่างหยาบในเรื่องนี้ก็คือ หยุดการตอบโต้หรือเพิ่มเติมเนื้อหาอันเป็นส่วนแห่งบาปเถิดครับ
     
  9. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    การผ่านญาณ 16 นั้น ไม่ใช่เครื่องหมายที่ชี้ชัดได้ว่า
    ได้เป็นอรหันต์แล้ว อาจจะแค่เป็นโสดาบุคคล

    จากข้อความหนังสือที่มีลายมือพระรับรองไว้ ก็แปลว่ารับรองการเรียน
    และบุคคลที่อยู่ในหนังสือนั้น ก็ชี้ชัดว่าเป็นผู้ใดอยู่

    ข้อสังเกตุ ก็ ความที่ยกมาเรื่อง การวิปัสสนา อย่างลัด ชี้อยู่ว่าอยู่ที่การพิจารณา
    ขันธ์ 5 ว่าไม่เที่ยง ไม่ใช่เรา

    ก็นิมิตนั้นอาศัยที่ใดเป็นแดนเกิด ก็ขันธ์ 5 นั่นเอง ดังนั้น นิมิตก็คือสิ่งที่ต้องพิจารณา
    ว่าไม่เที่ยง ไม่ใช่เรา "อาสวะก็ตั้งไม่ติด จิตใจก็บรรลุถึงความมีอิสระเต็มเปี่ยม" ตรงคำ
    ว่าอิสระเต็มเปี่ยม ก็ไปตรงกับคำอุทานกึ่งสารภาพว่า ผู้รับการแก้กรรมฐานนั้นพึ่งทราบ
    ชัดถึงการหลุดพ้นแท้จริง และทราบเมื่อนิมิตดับไป

    ถามว่า ดับไปเพราะอะไร ก็ตรงกับบทวิปัสสนาลัด ว่าให้พิจารณาโดยให้อยู่ที่ฌาณ 4
    สภาวะฌาณ 4 ก็สภาวะของธรรมที่ปราศจากตัณหา ราคะสิ้นเชิง เมื่อกลับไปอ่านบท
    แก้กรรมฐานก็พบว่า พระที่มาแก้กรรมฐานก็ตรวจจับราคะ ตัณหาที่เกิดขึ้นจากการอยาก
    ถามพระในนิมิตถึงทางปราบคอมมิวนิสต์(ปรามมาร -- นั่นเอง) จึงให้พิจารณาความ
    อยาก พอพิจารณาเท่าทันจนความอยากหมดไป ฌาณ 4 ก็บริบูรณ์เต็มที่ ทำให้นิมิต
    ดับทันที ทำให้เป็นอิสระจากขันธ์

    นอกจากนี้ ในบทธรรมของพระพุทธองค์ก็ชี้อยู่ว่า จิต ไม่ใช่เรา จิตก็ไม่เที่ยง จิต คืออะไร
    จิตก็คือที่อาศัยของขันธ์ 5 จะเห็นว่า นอกจากจะต้องพิจารณาขันธ์ 5 แล้ว ยังต้อง
    พิจารณาตัวจิตอีก ต่อให้นิมิตนั้นไม่ใช่ขันธ์5 แต่ไม่มีทางพ้นอาการของจิตแน่ ดังนั้น
    ไม่ว่าจะพิจารณาขั้นไหน ก็ต้องถอดถอนนิมิตทั้งสิ้น

    เรากล่าวบรรยายจากหนังสือที่พระท่นรับรองไว้ ประกอบกับ บทวิปัสสนาอย่างลัดที่ท่านเสนอมา

    หนังสือว่ามาอย่างไร เมื่ออ่านโดยไม่มีอคติตั้งไว้แล้ว ก็พิจารณาความได้อย่างไร ก็ควรจะอย่างนั้น

    กรณีการข่มพระผู้อื่นเรื่องการเรียนวิชาพยากรณ์ แต่กับยกการพยากรณ์ของพระอีกองค์ขึ้นเหนือกว่า
    ทั้งๆ นั่นก็คือ วิชาพยากรณ์ อย่างหนึ่ง แบบนี้ชัดว่าผู้เขียนบทความนั้น มีอคติ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กรกฎาคม 2008
  10. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    ถูกแล้ว เราไม่ได้แย้งใดๆเลยว่า การฝึกเพื่อเห็นนิมิตนั้น ไม่ใช่เรื่องดี เป็นเรื่องดี
    เป็นเรื่องทำได้ยาก หาบุคคลทำได้ยาก แต่การมีนิมิตนั้นคือภาวะฌาณที่มากเกิน
    ไป ไม่พอดี ภาวะที่พอดีเหมาะแก่การพิจารณาคือ ฌาณ 4 จึงต้องถอยลงมา

    โดยดูราคะ หรือ ตัวอยากให้ทัน ทำให้ราคะหมดไป ฌาณ 4 ก็จะบริบูรณ์ ก็จะ
    ถอนนิมิต ทำให้แจ้งไตรลักษณ์ตามความเป็นจริงของกาย ของใจ จนถอดถอน
    ขันธ์ 5 และจิตได้แท้จริง "อาสวะก็ตั้งไม่ติด จิตใจก็บรรลุถึงความมีอิสระเต็มเปี่ยม"

    เราไม่ได้ล่วงเกินอะไรเลย บทการแก้กรรมฐานลักษณะนี้ ก็ใช้แก้กรรมฐานบุคคลผู้
    ติดในนิมิตได้ทุกราย ทำให้ถึงแห่งที่สุดได้ตามเป็นจริง มีอิสระเต็มเปี่ยม แม้แต่
    พระผู้รับแก้กรรมฐานที่ลงลายมือรับรองยังอุทานตรงกัน
     
  11. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    อนึ่ง การแก้กรรมฐาน เราได้ยินก็ตกใจ คิดว่า เป็นการไปทำลาย จริงๆไม่ได้ทำลาย
    อะไร เมื่อแก้กรรมฐานแล้ว ก็ยังดู และเห็นนิมิตได้เหมือนเดิม ไม่ได้หายไปไหน
    เพียงแต่เห็นมันมา มันไป ไม่เที่ยง เพราะของที่เจริญไว้จนเป็นวาสนาแล้ว ย่อมไม่
    หายไปไหน เว้นแต่จะไม่ได้ทำเหตุไว้ คือ ไม่ได้เข้าฌาณชนิดนั้นๆไว้เนืองๆ ด้วย
    อำนาจไตรลักษณ์ก็จะทำให้เสื่อมไปด้วยตัวเขาเอง

    พระบางองค์ที่หลุดพ้นได้แล้ว แก้กรรมฐานได้แล้ว เมื่อจะเข้าสู่วาระจิตสุดท้าย ก็
    อาจจะเข้าฌาณตามวาสนาของตนเล่นๆ ทำเล่นๆ แต่จิตไม่ได้ผูกติด ไม่ได้ชอบใจ
    ท่านก็จะทำไป แต่เมื่อจะถึงวาระสุดท้าย ก็ต้องถอยมาที่ ฌาณ 4 ในภูมิของมุนษย์
    (ไม่อยู่ในนิมิต) เพื่อเข้าสู่สัจจนิรันดร์
     
  12. นโมโพธิสัตโต

    นโมโพธิสัตโต ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ผู้ดูแลเว็บบอร์ด สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,166
    กระทู้เรื่องเด่น:
    20
    ค่าพลัง:
    +29,715
    OOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOO


    นั่นไง

    ท่านกล่าวว่า ผ่านญาณ 16 ก็อาจเป็นอย่างต่ำพระโสดา

    แล้วพระโสดา ชกต่อยกันหรือไม่



    OOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOO

    แน่นอน

    จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน
    เห็นจิตในจิต ย่อมมีอาการปลีกย่อยเช่น จิตพ้น หรือไม่พ้น จิตปรุงด้วยฌาณ หรือ ญาณใดๆ , ฯลฯ


    ธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน
    เห็นธรรมเครื่องปรุงจิตทั้งหลายตามความเป็นจริงแล้ว ก็สรุปลงที่ไม่เที่ยง
    ไม่ควรยึดมั่นถือมั่นเช่นกัน อันมีองค์พิจารณาเช่น นิวรณ์ ปฏิจจสมุปบาทอันเป็นกิริยาจิตที่เกิดดับต่อเนื่องอย่างเร็ว ขันธ์5 ธาตุ ฯลฯ



    ส่วนหลวงปู่สดฯ นั้น ท่านทรงภูมิระดับไหน

    ท่านไม่อาจตัดสินได้หรอก เพราะท่านไม่เคยพบตัวจริงหลวงปู่ อ่านแต่หนังสือ หรือบันทึกเกี่ยวกับท่าน โดยเฉพาะที่ฝ่ายหนอ กลุ่มที่จะยัดเยียด
    ให้ท่านหลง่ติดนิมิตร


    ตรงนี้นะ ถ้าท่านไม่ติด และ มีการบิดเบือนบันทึก ไม่ว่าจะโกหกล้วนๆ หรือ สร้างฉากต่างๆ ก็ไม่อาจคะเนผลได้




    เมื่อพูดถึงนิมิตร

    ชอบกล่าวกันเหลือเกินว่าระวังติดนิมิตร


    ตราบใดที่จิตมีสิ่งถูกกำหนดรู้ด้วยจิตอยู่ นั่นเป็นนิมิตรทั้งนั้นแหละ


    แม้แต่ ตัวเวทนา , กายที่ไหว , ใจที่ฟุ้ง ,ใจที่สงบ ฯลฯ

    เพราะ ของคู่ นั้นมี ผู้รู้ และ สิ่งที่ถูกรู้


    พระอริยะเจ้าทั้งหลาย ที่ยังทรงขันธ์ห้าอยู่ ทรงใช้ขันธ์ห้าตราบที่ยังไม่หมดเหตุปัจจัย ทรงใช้ใจ ( เห็น จำ คิด รู้ หรือ

    ที่เรียกว่า เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ และวิญญาณขันธ์ )

    แต่จิตท่านหาติดในขันธ์ห้า ( รูปกาย อันมีใจ(ขันธ์สี่กองที่เหลือ)) ก็หาไม่
    OOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOO


    ถ้า ใจ ( เห็น จำ คิด รู้ หรือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ) เปรียบดั่ง โทรทัศน์



    ปุถุชน ดูแล้ว เกิดอารมณ์ร่วมสูงมาก

    แต่ บัณฑิต ในระดับต่างๆ ท่านแยกออกว่า ผู้รู้คือเรา
    สิ่งถูกรู้ คือ เรื่องในโทรทัศน์

    หรือ แม้แต่ตัวโทรทัศน์เอง ก็แค่ สิ่งที่มีจริง แต่อาศัยเพื่อรู้
    ไม่ติดหรอก



    สุดท้าย สิ่งถูกรู้ และ ผู้รู้ ............ราบเรียบเสมอกัน

    เพราะจิตก็ไม่เป็นจิต สิ่งที่ถูกจิตรู้ ก็รู้นานแล้วว่าไตรลักษณ์


    เมื่อจะใช้วิชาต่างๆ อันเป็นวาสนาเก่า ก็ทำไปตามเหตุที่มากระทบนั่นแหละ

    เมื่อยังมีเหตุให้ต้องใช้ขันธ์ห้าอยู่



    สรุป พ้น หรือไม่ ด้วยวิธีใด ผู้ทราบจริงก็มีเพียง

    พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และ ท่านผู้นั้นผู้เสวยรสวิมุตติธรรม อันเป็นเรื่องเฉพาะตนของท่าน

    เท่านั้น

     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 6 กรกฎาคม 2008
  13. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    คุณโอม อย่าได้ตีความสิ่งที่เราพูดนั้น จะไปคัดค้านถึงขนาดระบุว่าท่านพ้นหรือไม่พ้น

    สิ่งที่ได้จากหนังสือนั้น และจาก บทธรรมที่ท่านยกมา ล้วนแต่ชี้ทางศึกษา

    แม้แต่ความในหนังสือนั้น อาจจะมีบิดเบือน แต่ก็ยังมีแต่ทางปฏิบัติที่พ้นทุกข์
    ได้ทั้งนั้น เหตุนั้น พระท่านจึงลงลายมือรับรอง

    พระท่าน นั้นประเสริฐมีปฏิปทาที่น่าเคารพยิ่ง สามารถรับการฝึกแบบไหนก็ได้ จากใคร
    ก็ได้ ไม่ได้เกี่ยงเลยว่าผู้สอนนั้นจะอยู่ชั้นไหน ดังจะเห็นว่าท่านก็คอยรับคำ และน้อม
    ไปปฏิบัติ นี่คือ ปฏิปทาของพระท่าน ที่คุณโอมเองก็ควรทำตามท่านถ้าเคารพพระท่าน
    โดยแท้ ไม่ได้ยึดติดแนวทาง หรือ เลือกผู้สอน
     
  14. นโมโพธิสัตโต

    นโมโพธิสัตโต ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ผู้ดูแลเว็บบอร์ด สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,166
    กระทู้เรื่องเด่น:
    20
    ค่าพลัง:
    +29,715

    OOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOO


    ผู้ใด มีแก่นสารอย่างแท้จริง

    เป็นบุคคลจริง ผมเคารพ แม้อายุน้อยกว่า

    บารมี และผู้ควรกราบไหว้ อยู่ที่ จิต อันอบรมดีแล้ว

    และท่านผู้นั้น เป็นบัณฑิต

    ผมสักการะธรรมในตัวท่านเหล่านั้น


    สมมุติอันเป็นการแบ่งแยก สาย สำนัก กลุ่ม ไม่ได้อยู่ในสายตาผมเลย
     
  15. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    ครับ ผมทราบว่าคุณโอมนั้นเป็นเลิศในความใจกว้าง

    จะมีสายปฏิบัตมาสายไหน ชาติไหน ภาษาไหน ก็ไม่ใช่
    สิ่งขวางกั้นจิตใจคุณโอม

    การพิจารณาธรรมนั้นมีข้อความที่ว่า "กายไม่ใช่เรา จิตก็ไม่ใช่เรา" แม้ว่า
    คำนี้จะถูกต้อง แต่หายังไม่ถึงที่สุดของการศึกษาแล้ว ศีลยังสำคัญเสมอ

    ที่นี้บทความตามที่ปรากฏหนังสือนั้น ผู้ที่เขียนนั้นมีเจตนาแบ่งแยกสาย ไม่ใช่
    การยอมรับทุกสาย ไม่เหมือนอย่างที่คุณโอมกระทำ ก็ขอชื่นชมคุณโอมครับ
    ที่ไม่ได้ทำอย่างท่านผู้นั้น สมแก่การเป็นศิษย์ที่เจริญตามปฏิปทาของครูบาอาจารย์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กรกฎาคม 2008
  16. นโมโพธิสัตโต

    นโมโพธิสัตโต ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ผู้ดูแลเว็บบอร์ด สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,166
    กระทู้เรื่องเด่น:
    20
    ค่าพลัง:
    +29,715
    การเห็นกายละเอียดระดับต่างๆ หรือ กายทิพย์ระดับต่างๆ

    เพราะ ใจ หรือ กายทิพย์ เราปรับให้ละเอียดเสมอเขา


    นั่นเป็นของจริง ที่สัมผัสได้ ด้วยสิ่งที่ละเอียดเท่ากัน เป็นนิมิตรจริง


    ต้องแยกให้ออก จาก สิ่งที่ใจเก็บสัญญาขันธ์ มาปรุงตามสังขารขันธ์
    เพราะใจไม่หยุดพอ จึงเห็นภาพมายา หรือ นิมิตรลวง



    แต่ ไม่ว่า นิมิตรจริง หรือ ลวง ก็แค่สิ่งถูกรู้

    ผู้ได้กระแสมรรค แล้ว จะไม่มีความต่างระหว่างผู้รู้ กับสิ่งถูกรู้


    จิตจะอยู่ในสภาวะที่เหนือตัวรู้ ขึ้นไปอีก


    ผู้รู้ และ สิ่งถูกรู้ ก็กลายเป็นสภาวะที่หมุนวน (วัฏฏะ) อยู่ต่างหาก



    ณ สภาวะนี้ ไม่ว่าจะลองเข้าตามหลักวิชชาธรรมกาย หรือ ฯลฯ

    ถ้ามีหลักใจที่ถุกแล้ว ก็มาตรงนี้ได้


    ..............เหลือแค่ ใครจะเดินมาถึงหรือไม่
     
  17. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    ประเด็นที่คุณโอม ยกมาทั้งสิ้น เป็นเรื่องการเอา หลวงพ่อสดมาสนับสนุน วิธีธรรมกาย
    โดยไม่ได้ยก เนื้อความแห่งธรรมกายที่ชัดเจน ที่ไม่ขัดกับพุทธพจน์ แต่อ้างครูบาอาจารย์ท่านนั้นท่านนี้ ว่ารับรองคุณธรรมของหลวงพ่อสด

    ก็เพราะว่าอะไร เพราะว่า ธรรมกายที่ทุกคนเรียนมา มันไม่ได้นำไปสู่ความจริง แต่นำไปสู่นิมิต ที่ไม่เหมือนกันเลยสักคน และหาข้อยุติไม่ได้ ว่า ส่วนไหนคือ ญาณ

    เอาแค่ รูป นาม นี่ยังไม่เห็นกันเลย รู้เข้าใจกันอย่างเดียว แต่ไม่เห็น
     
  18. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    เอาแบบนี้นะคุณโอม ธรรมกายมีหลักการว่า ให้นั่งกรรมฐาน แล้วจะเห็นกายทิพย์เป็นชั้นๆ ไปเรื่อยๆ แบบนี้ถูกไหม

    คำถามคือ การละอาสวะ และ กิเลส เพื่อที่จะไปสู่แต่ละขั้นนั้นทำอย่างไร
    ละสังโยชน์ตอนไหน

    เอาน้อยๆ แต่กระชับ อย่าไปยกข้อความที่อื่นมา เอาจาก ญาณ ปัญญาคุณเอง
    แต่ถ้าปัญญาคุณเองตอบไม่ได้ ก็อย่าเพิ่งมาโต้กับผมเลย เพราะคุณเองยังไม่ได้ แล้วจะมาเถียงกับคนที่ได้ ญาณ แล้วได้อย่างไร
     
  19. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    ความสำคัญไม่ได้อยู่ที่ จะได้เห็นอะไร

    ความสำคัญอยู่ที่จิตใจจะวางสิ่งที่เห็นได้อย่างไร

    การที่จิตใจจะวางสิ่งที่เห็นได้ ย่อมต้องใช้อาการน้อม สิ่งที่เห็นเป็นเพียง
    สิ่งที่ถูกเห็นเป็นทัศนะ น้อมไว้เนืองๆ

    จนเห็น รู้ชัด ในการดับไป เห็นมันดับไป ไม่มีคุณค่าอะไรไว้เนืองๆ

    ดังนั้น ไม่ว่าเห็นอะไร ก็ให้มีทัศนะพิจารณาว่า ไม่มีคุณค่าอะไรไว้เนืองๆ

    จิตก็จะวาง พรากออกจากสิ่งที่เห็นได้จริง ที่ต้องทำเนืองๆ เพราะว่าการ
    เห็นว่า"เป็นสิ่งที่ถูกเห็นนั้น" ไม่ใช่เห็นครั้งเดียวแล้วจะถือว่าเห็น ยังต้อง
    เห็นไว้เนือง จนจิตวางของเขาเอง โดยปราศจาการกำหนด การน้อม

    การน้อมไว้เนืองๆ ก็คือ การมีสติ มีความเพียรในการสร้างเหตุ เพื่อให้
    จิตได้รับการอบรมเห็นสิ่งนั้นไม่เที่ยง จนจิตเขายอมรับ เขาก็วาง พราก
    ออก นิมิตเกิดอีกแต่ใจไม่จับเพราะพรากออก สิ่งที่เห็นก็ดับถาวร ดับนี้
    ไม่ใช่หายไป มันเป็นอาการเห็นแต่ไม่เห็น เหมือนมองตามเปลวไฟในอากาศ

    ใครจะเดินถึงไหนนั้น ไม่สำคัญเท่า เดินเป็น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กรกฎาคม 2008
  20. นโมโพธิสัตโต

    นโมโพธิสัตโต ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ผู้ดูแลเว็บบอร์ด สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,166
    กระทู้เรื่องเด่น:
    20
    ค่าพลัง:
    +29,715
    ส่วนคำว่า มาร

    ที่หลวงปู่กล่าวถึงนั้น


    มีตั้งแต่หยาบ จนละเอียด เกินกว่า ผู้ปฏิบัติทั่วไปจะเข้าใจ

    ตั้งแต่ มนุษย์มาร เทวบุตรมาร กิเลสมาร ขันธมาร จนถึง มารที่มีมานานแสนนาน

    หลายพุทธันดร อันเป็นอจินไตย



    การปราบของวิชชาธรรมกาย ไม่ใช่ ใช้อาวุธ ใช้อารมณ์ ใช้กิเลส ฆ่าแกงกัน

    แต่เป็นการรวบรวม กุศลกรรมทั้งมวล เข้า หักล้าง ถ่วงดุลย์กับอกุศลกรรม


    .........ท่านทราบดี ว่าท่านรับภาระหนักที่เกิดมาเพื่ออะไร

    คนทั่วไปไม่ทราบความลึกซิ้งในภาษาปฏิบัติ ก็ตีความไปไกลเกินจริง
     

แชร์หน้านี้

Loading...