ระดับอุปจาระสมาธิกายกับจิตแยกจากกันหรือยังคะ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย M_Y, 2 ธันวาคม 2013.

  1. tsukino2012

    tsukino2012 หยุดจึงพบ สงบจึงเกิด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    1,311
    ค่าพลัง:
    +3,090

    ที่ผมไม่เห็นด้วยในโพสนั้นของคุณ
    ก็เพราะว่าคุณบอกว่าอุปจารสมาธินั้น
    จิตตัดขาดสัมผัสจากกายแล้วแบบชั่วคราว
    ตรงชั่วคราวนี่แหละ ที่ผมไม่เห็นด้วย
    ผมก็กดไม่เห็นด้วย ไม่แปลกนะครับ มีเหตุผลครับ
    อุปจารสมาธิ มันมีหลายระดับ ตั้งแต่ไม่ถึงฌาน ไปถึงฌาน ๓
    และก็ยังรับรู้สัมผัสทางอายตนะได้อยู่
    แต่ยิ่งฌานระดับสูง สัมผัสจะเริ่มลดลง แต่ยังคงมี
    ไม่ได้ขาดจากกันเลย มาขาดความรู้สึก ไร้สัมผัสจากกายในฌาน ๔ เท่านั้น
    ผมก็เจตนาจะเตือนคุณเช่นกันครับ
    ไม่ได้ดำน้ำนะครับ คุณเอาตรรกะของคุณมาชี้วัดปรุงแต่งไปเองนะครับ

    ผมไม่ได้ยึดมั่นในตำราคำสอนของครูบาอาจารย์อะไรนักหรอกครับ
    ผมปฏิบัติตามมรรคของพุทธองค์เอง
    คำสอนพระอาจารย์นู่นนี่นั่น
    อ่านเพื่อศึกษาแนวคิดแนวปฏิบัติของพวกเขา
    เผื่อว่าจะเจอแบบที่ตรงจริตของตนเท่านั้นครับ
    ส่วนเรื่องสมาธิในระดับฌาน ๑ คุณสงสัยว่าเกิดนิมิตได้ไหม
    ผมก็ตอบว่าได้ ในฐานะผู้ปฏิบัติเอง เห็นเอง
    แค่ผมนั่งสมาธิ นั่งลงไป หลับตาลง ไม่ทันถึงนาที
    นิมิตหมอกควันต่างๆมันก็เกิดแล้ว
    ถ้าว่ากันตามตำรา เขาเรียกว่า อุคคหนิมิต
    นิมิตที่เกิดขึ้นมาทางมโนทวาร
    ครูบาอาจารย์ในตำราให้นิยามว่า "อานาปานสตินิมิต"
    nopphakan : อุปจารสมาธิที่ผมบอกมันไม่ใช่กำลังระดับฌาน อย่างที่คุณเข้า ใจว่าอาจจะแน่นอนครับ..
    มันก็เป็นเรื่องที่คุณเข้าใจตามการปฏิบัติของคุณ
    การปฏิบัติของผม ผมก็เข้าใจว่า อุปจารสมาธิคือกำลังสมาธิที่จดจ่อ
    อย่างต่ำไม่ถึงฌาน ๑ อย่างสูงคือฌาน ๓
    คุณปฏิบัตเอง เข้าใจอย่างนั้น มาบอกว่าผมเข้าใจคาดเคลื่อน
    ผมก็ปฏิบัติ เข้าใจอย่างนี้ ผมต้องบอกว่าคุณเข้าใจคาดเคลื่อนด้วยหรือเปล่า?
    ผมบอก 2+2 เป็น 4 คุณจะบอกไม่ได้ ต้อง 6-2 เป็น 4 เท่านั้นหรือ?

    nopphakan : ที่สำคัญเรื่องการอธิษฐานจิตอะไรเนี่ย.ผมไม่ใช่พวกที่จำแล้วมาอ่านอย่าง
    ที่คุณเข้าใจแน่นอนครับ และสิ่งที่ผมพูดไม่ใช่ว่าผมจะไม่เคยทำไม่ได้นะครับ

    ผมไม่ได้บอกว่าคุณทำไม่ได้ ไม่ได้บอกว่าคุณจำตำรามาอ่านโดยไม่ได้ลอง
    ผมบอกว่าของแบบนี้ ต้องลองเองเท่านั้น ไม่ควรนำมาพูดกัน เพราะเป็นเรื่องเฉพาะตน แต่ละคนอาจได้ผลออกมาในรูปแบบที่ต่างกัน คุณปฏิบัติเองแล้วได้ผลอย่างนี้ จะเที่ยวมาบอกว่าของผู้อื่นผิด มันไม่ได้หรอกครับ ในเมื่อผู้ถาม เข้าตั้งโพสไม่ได้ถามเฉพาะใครคนใดคนหนึ่ง ย่อมมีความเห็นที่หลากหลาย และผู้ถามจะพิจารณาและเลือกที่จะนำคำแนะนำของใครไปปฏิบัติเท่านั้น ไม่ใช่หน้าที่ที่เราจะไปปฏิเสธ หรือไม่เห็นด้วยกับโพสแนะนำการปฏิบัติของผู้อื่น

    nopphakan : ผมจะพูดเฉพาะสิ่งที่ผมทำได้ สัมผัสได้เท่านั้นหละครับ.คุณลองพิมพ์ชื่อผมแล้วไปย้อนอ่าน
    ที่ผมเคยเขียนไว้ในอดีตแล้วค่อยคิดใหม่อีกรอบก่อนจะพูดก็ได้ครับ
    คนที่รู้จักผมในกลุ่ม...หรือเคยอ่านเรื่องที่ผมเคยเขียนมา
    มาเห็นคุณเขียนข้อความแบบนี้ที่บอกว่าผมจำมาจากตำราเค้า
    จะขำคุณจนฟันร่วงครับผมจะบอกๆเตือนๆคุณไว้ก่อน..

    พอดีว่าผมไม่ค่อยสนใจจะอ่านบทความประเภทความเชื่อ อธิษฐานจิต
    เข้าฌานออกฌานเล่นฤทธิ์ จิตสัมผัส กายทิพย์ ฯลฯ
    มันไร้สาระครับ มันเป็นเรื่องของจิตที่ปรุงแต่งไปเรื่อย

    ..เรื่องนี้ผมต้องสอนต้องแนะนำคุณมากกว่าการที่
    คุณจะมาบอกผมนะครับ.เรื่องการอธิษฐานแบบนี้ผมเคยเขียนไว้แล้ว.
    รวมทั้งเทคนิคและวิธีการต่างๆด้วยครับ..แต่ผมบอกว่ามันต้องฟิตพอตัว
    และส่วนมากที่ทำได้จะเป็นพระสงฆ์
    .และทุกวันนี้ผมทำได้มากกว่าที่คุณจะเข้าถึงได้.

    ผมก็ไม่อยากจะบอกคุณหรอกครับ แต่คุณไม่เห็นด้วยกับผม
    แล้วก็มาแนะนำนู่นนี่นั่น ซึ่งผมก็ไม่ได้ต้องการ
    ผมก็เลยแนะนำชี้แจงคุณกลับไปบ้างแค่นั้นเอง
    คุณจะทำได้ถึงไหน จะมากน้อยกว่าผมหรือไม่ ผมไม่ได้สนใจเลยครับ
    มาบอกผมทำไม?

    และท่านที่คุณอ้างถึงคือท่านที่มาตามผม และมาสอนและแนะนำเทคนิคการฝึกกสิณน้ำให้ผมเองในทางภพภูมิ
    ท่านที่ผมอ้างถึงมรณะภาพไปนานแล้ว ก่อนผมกับคุณจะเกิดอีกมั้ง
    และถ้าบอกว่าท่านมาหาในนิมิต มาหาในจิต ก็ฟุ้งซ่านปรุงแต่งน่ะแหละครับ
    สัญญาเก่าของตัวเองมันผุดมาในสังขารที่ปรุงแต่งในรูปแบบของผู้ที่เราศรัทธา
    ให้ดูที่ผลลัพคือได้ฝึกได้ผลดี ไม่ควรไปยึดติดที่ตัวบุคคลที่เห็น
    เพราะสิ่งที่เห็นนั้น เห็นจริง แต่มันไม่ใช่ของจริง

    ยังไม่รวมทางสายในดงที่คุณเคยเห็นแต่รูปภาพแน่นอน..เพราะฉนั้นถ้าคุณคิดจะมาใช้.ทิพยเดาญาน ของคุณมาวิเคราะห์ผมคง
    ต้องชาติหน้านะครับถึงจะถูก

    พุทธองค์สอนมรรคไว้ให้ บอกให้ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน คุณก็มุดดงเข้าๆออกๆ
    ผมไม่เคยสนใจแต่เรื่องครูบาอาจารย์นู่นนี่นั่น รูปผมก็ไม่ดูไม่สนด้วยซ้ำ
    คุณไม่ได้สำคัญต่อผม จนผมต้องวิเคราะห์นะครับ จะชาตินี้หรือชาติไหนผมก็ไม่สนใจครับ ผมไม่สนใจผู้ที่ชอบส่งจิตออกนอก มีความปรุงแต่งมากหรอกครับ

    เพราะคุณไม่ใช่คนไม่ดีนะครับ..ผมดูฝ่ายภพภูมิที่สนับ
    คุณออก ตัวคุณนะมีเรื่องสัมผัสพิเศษ
    มีเรื่องของการป้องกัน ๒ ฝ่ายที่เด่นและดี.และมีฝ่ายสมบัติเก่าด้วย..
    แต่ฝ่ายความดียังแทรกขึ้นมาได้น้อย.และทุกฝ่ายที่คุณมี
    ยังผสมผสานครับมันยังมีเรื่องเทาๆอยู่
    .เพราะคุณยังสร้างความดีและยังเดินมาทางนี้
    ยังไม่ตรงทาง ถ้าคุณเดินมาตรงทางฝ่ายความดีของคุณ
    ถึงจะขึ้นมาเด่นชัด จะทำให้ฝ่ายที่เหลือที่ผมบอกจะชัดเจนตามไปด้วย
    ตอนนี้ผมจะบอกคุณอีกรอบว่าคุณแค่เข้าใจกิริยาที่เกิดในระดับกำลัง
    สมาธิคาดเคลื่อนเท่านั้นเองซึ่งถ้าคุณยอมรับฟังบ้างไม่เชื่อไปเป็นไร ไปเทียบเคียงตามตำราอะไรดูก็แล้วแต่คุณ

    เนี่ยๆ ส่งจิตออกนอก มาบอกผมทิพเดา คุณก็จัดเต็มมาเลยเนี่ย
    พิมอะไรมาก็ไม่รู้ ฟุ้งซ่านมากเลยครับ คุยแค่เรื่องฌาน โยงไปสมบัติเก่า
    ไม่ต้องบอกหรอกครับ ว่าผมมีสัมผัสหรือไม่มี ผมไม่ได้สนใจ

    .แต่อย่ามาคอยจะเถียงแบบนี้ไม่ดีหรอกครับ.
    ผมหวังดีนะครับ..ขอบคุณมาก ถือว่าแนะนำกันแบบกัลยาณมิตรนะครับ.
    ปล.แนะนำว่าอ่านให้ดีๆแล้วควรจบๆนะครับ..

    คุณอ่านคำของคุณสิครับ คุณใช้คำยกตนข่มท่านใส่ผม แต่บอกไม่ควรเถียงกันแบบนี้ ผมน่ะ ชี้แจงอย่างกัลยาณมิตรแน่นอน แต่คุณน่ะใส่ตัวตนเยอะไป
    มาอวดสรรพคุณใส่ผมอยู่ได้ ผมไม่ได้สนใจเรื่องนั้นเลย
    แค่บอกว่าเห็นต่างกัน อย่างนี้ๆ ก็จบ อย่ามาสั่งให้ผมไปอ่านหรือไปปฏิบัติ
    เพราะผมก็ทำอยู่ เป็นการสอนจระเข้ให้ไหว้น้ำครับ
    ไม่ต้องยกตนว่า คนอื่นรู้จักคุณ ถ้าเขาเห็นที่ผมโพสแล้วจะขำ
    ผู้ที่ปฏิบัติจริงๆ เขาไม่มาหัวเราะเยาะคนอื่นดอก

    ถ้าคุณคิดว่าแนะนำกันแบบกัลยาณมิตร
    คุณอ่านโพสนี้ของผมแล้วก็พิจารณา
    เรื่องจิตปรุงแต่ง ฟุ้งซ่าน สังขารที่ทำให้เราหลงไปยึดมั่น
    ส่วนผมก็จะพิจารณาในสิ่งที่คุณได้บอกไว้เช่นกัน
     
  2. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,040
    อืมครับ ไม่เป็นไรครับ...เรื่องความกลัวเป็นส่วนของการสร้างความเข็มแข็งให้กับจิต.
    ส่วนสาเหตุมันจะมาจากอะไรก็สุดแล้วแต่.แต่ถ้าไม่กลัวแล้วก็ดีและก็
    ไม่ใช่ว่ามันจะแก้ได้ง่ายๆกันครับ.พวกสัญญาพวกนี้มันจะรวมตัวกับจิต
    เร็วมากครับ.อย่างยกตัวอย่างว่า.เราไม่กลัวตายหรือไม่กลัวผี พอไปอยู่
    ในป่าช้าคนเดียวกลับขนลุกซู่นี่ก็แสดงว่าเราไม่ทันสัญญา หรือไม่ก็มีคน
    เอาปืนมาจ่อศีรษะเราแล้วเราตัวสั่นนี้ก็แสดงว่าเราไม่ทัน
    หรือใครพอมีความสามารถพิเศษแล้วเจอพวกภูตหรืออสูรกาย
    มาเพื่อที่จะทำร้ายตนเองทั้งในนิมิตรและแบบลืมตา
    แล้วไปใช้ฤิทธิ์เพื่อทำร้ายเค้า.นี่ก็แสดงว่าเราไม่ทันสัญญาเหมือนกัน
    ครับเพราะป้องกันตัวเองเพราะความกลัว.

    .แต่ถ้าเรามีพอสติรู้ว่าอะไรเป็นไรอีกซักพัก
    แล้วเรื่องพวกนี้วางลงได้..สำหรับในกรณีที่เรายังเป็น
    ฆารวาสเนี่ยก็ถือว่าดีแล้วครับ
    ส่วนกำลังสติเนี่ยแม้ว่าเราจะสร้างมาดีนะครับในช่วงแรก..แต่พอนานเข้าไป
    ถ้ามาถึงในช่วงที่กิเลสละเอียดจะผุดขึ้นมาซึ่งเค้าจะค่อนข้างมีกำลังมากและ
    ไม่ยอมลงง่ายๆทุกเรื่องหละครับที่จะดึงใจเราให้เป็นคนไม่ดี.
    เป็นธรรมดาที่เราจะต้องมาสร้างให้ต่อเนื่องจริงๆเพื่อมาเสริม
    กำลังสติตรงนี้ครับและการเจริญสติต่อเนื่องนี้จะเป็น
    การสะสมกำลังสมาธิแบบเล็กๆน้อยไปในตัวแบบไม่ให้ขาดตอน
    .ตลอดจนทั้งสร้างปัญญาทางธรรมด้วยการยกกิเลสเรื่องนั้นพิจารณา
    ให้ได้การยกพิจารณาในช่วงอุปจารสมาธิจะง่ายกว่าแต่ต้องรักษาอารมย์
    เรื่องที่พิจารณาให้เป็นคือคิดไว้แล้วลืมๆ พอจิตเป็นทิพย์เรื่องนั้นจะผุดขึ้น
    มาให้พิจารณาได้โดยที่ไม่กลายเป็นนิวรณ์..แต่กำลังสมาธิสะสมต้องดีพอ
    ไม่งั้นเรื่องพวกนั้นจะผุดมาขวางการเข้าสมาธิเราได้..และอารมย์อุปจารสมาธิ
    ออกมาแล้วจิตจะยังฟูได้อยู่.ต้องมาพิจารณาทับอีกรอบและทำบ่อยๆด้วย
    กิเลสเรื่องนั้นๆถึงจะไม่กลับขึ้นมาได้อีก.แต่ถ้าขึ้นฌาน ได้ครั้งเดียวก็จบครับ
    ถ้าพิจารณาได้ในกิเลสเรื่องนั้นๆนะครับ.

    ทั่วไปบางคนใช้เทคนิคไปอิงกับสังโยชน์ ๑o แล้วเทียบอาการดูหากตรงนี้เกิดแสดงว่าเราตกก็พอแก้ได้..
    ไม่งั้นจิตเรามันจะฟุ้งได้.พอมันฟุ้งหากกำลังสมาธิสะสม
    เราไม่พอ..เรื่องที่ขึ้นมาก็ไม่ยอมลงง่ายๆเนื่องจากยังไม่มีเหตุผลเพียง
    พอทำให้จิตยอมวางเป็นเหตุทำให้เราหงุดหงิดได้.ตรงนี้ก็ต้องมาเสริมด้วย
    ปัญญาทางธรรมเพื่อให้เค้าวางอีกอาจทำหลายๆครั้งแต่ต้องอาศัยสัจจะร่วมด้วย
    ในระหว่างช่วงนี้สิ่งที่เกิดตามนั้น..ในทางสมาธิเราจะเจออะไรที่แปลกประหลาด
    พิศดารสำหรับเราได้.เช่น เกิดแสงสว่างอุ่นๆสีขาวสว่างจร้าที่ต้นกำเนิดมาจาก
    ทางด้านขวาของศีรษะ หรือสว่างๆเฉยๆแต่ไม่มากและไม่อุ่นที่ต้นกำเนิดมาจาก
    ทางด้านซ้ายของศรีษะ.หูได้ยินเสียงชัดเจนจะเสียงอะไรก็ตามในระดับเดียวกันกับหู
    .หรือได้ยินเสียงดังกึกก้องกัมปนาทภายในกระโหลก อะไรก็ตาม
    แต่เราจะไม่ทราบว่าคืออะไร..พวกนี้ให้เราเพียงแค่รับรู้เฉยๆ.และรับรู้ทุกเรื่อง
    ที่เกิดไปก่อนโดยที่ไม่ต้องไปค้นหาคำตอบครับ..พอเราเลยจุดนี้ไปในระดับ
    ที่กำลังสติเรามากขึ้นและปัญญาทางธรรมเรามากขึ้นเรื่องพวกนี้เราจะทราบ
    ย้อนหลังเองได้หมดครับว่าคืออะไร..

    ลองสังเกตุไหมครับ.ว่าทำไมกำลังสติเราถึงไม่ต่อเนื่องทั้งที่เราคิดว่าเราสร้าง
    ความระลึกตัวได้ดีแล้ว..เพราะเรามักจะลืมช่วงเอี่ยวครับ คือช่วงที่กิริยาร่างกาย
    ทำเป็นปกติจนเกิดความเคยชิน..เช่น ลุกไปทำธุระส่วนตัว.ยื่นมือไปหยิบจับสิ่ง
    ของ.หรือเดินไปโน่นไปนี้..มาถึงจุดนี้เลยจำเป็นที่จะต้องใช้การพิจารณากาย
    อาจนับก้าวเดินกับดูลมในขณะที่ไม่ได้เคลื่อนไหวร่างกายให้ต่อเนื่อง
    และใช้ทั้ง ส่วนนี้ควบคู่กันครับ.แล้วอาการที่มันฟุ้งจะดีขึ้นได้..
    ส่วนอกุศสัญญาต่างๆ.ของคุณที่มันจะผุดมาในลักษณะแบบที่ไม่ได้ตั้งใจ
    และบังคับเรื่องที่ขึ้นมาไม่ได้นั้น.พอเรารู้ทันมันก็วางไปอีกซักพักมันก็เปลี่ยน
    เรื่องไปอีก.เรื่องไหนที่เคยทันเด่ววันที่หรือไม่ก็วันที่ก็กลับมาอีกและ
    หากเรื่องไหนเคยพิจารณาได้ไม่วันที่ ๑๔
    มันก็กลับมาอีกพอเรานึกว่าเราผ่านได้อีก เดือนมันก็ขึ้นมาอีก..
    คุณลองพกปฏิทินดูแล้วลองบันทึกเรื่องที่ขึ้นมาดูได้ครับว่า
    วันที่เรื่องนั้นขึ้นมา..เป็นประมาณอย่างที่เล่าให้ฟังหรือเปล่าครับ
    และเป็นธรรมดาที่เราจะต้องเจอกันทุกคนครับสำหรับนักปฏิบัติครับ
    .เราก็ต้องค่อยๆตามแก้มันไปทีละเรื่อง.หาเหตุผลจนจิตยอมรับ
    ความจริงและเห็นว่าเรื่องนั้นมันน่าเบื่อหน่าย มันเป็นสาเหตุให้เกิดทุกข์นั้นหละ
    ครับเรื่องแบบนี้ถึงจะผุดขึ้นมาร่วมกับค่อยๆมาลดละกิเลสพวกโลภ โกรธ หลงให้น้อยลงไปเรื่อยร่วมด้วย..
    ถ้าเรายังไม่ได้อายุ ๕o หรือ ๖o ปีชนิดที่ผ่าน
    ประสบการณ์ทางโลกมาโชกโชนยังไง.ถ้าปฏิบัติมาในระดับที่จิตไปเกี่ยวข้อง
    กับพวกความเป็นทิพย์และรับรู้เรื่องพิเศษต่างๆเราก็ต้องเจอถือว่าเป็นปกติครับ

    และตอนนี้เรายังอยู่กับสมมุติ.ยังทำงานอยู่ อยู่ร่วมกับผู้คนอยู่ สิ่งหนึ่งที่เราต้อง
    ระวังคือ การจะไปหวังให้จิตว่างเลย
    (คือมีอาการเย็นๆเบาสบาย คล้ายตัวเบาที่จิต)ในขณะลืมตานะครับ.
    เป็นไปได้ยาก.เอาให้ได้เป็นหลักวินาทีแล้วพัฒนาเป็นนาทีได้
    จุดนี้ถือว่าใช้ได้แล้วครับ.เพราะฉนั้นประเด็นนี้อย่าไปให้ความ
    สำคัญมากกว่าการที่คอยควบคุมจิตให้เกิดความสงบที่ขึ้นในระดับ
    กำลังฌาน ๑ ครับไม่งั้นจะทำให้เราเครียดได้..เรียกว่าต้องคอยควบ
    คุมจิตมันอยู่ทุกวันนั่นหละครับถือว่าเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวันไป..
    เพราะถึงเวลาที่ภาระทางสมมุติเค้าคล้ายจริงๆแม้เราไม่อยากให้
    มันวางหรือมันว่างจิตเค้าก็จะวางของเค้าได้เอง.
    ซึ่งตรงนี้ต้องใช้เวลาซักพักครับ..

    ปล.ประมาณนี้คงพอเข้าใจอะไรเพิ่มขึ้นนะครับ
     
  3. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,040
    สำหรับคุณ tsukino2012 ไม่เป็นไรครับสุดแล้วแต่คุณจะกล่าวครับ..
    ถือว่าเรามองกันคนละมุมแล้วกันครับ..
    และสุดแล้วแต่จะเข้าถึงและสัมผัสได้ก็ไม่ใช่สาระสำคัญอะไรหรอกครับ
    ไม่มีใครมองเห็นได้มากกว่าที่สายตาเองมองเห็นหรอกครับ.
    อืม.ถ้าคุณบอกว่าคุณไม่สนใจและ
    เห็นเรื่องต่างๆตามคำกล่าวนี้

    ประโยคตัวสีดำคือที่คุณเขียนทั้งนั้นนะครับ
    ''พอดีว่าผมไม่ค่อยสนใจจะอ่านบทความ
    ประเภทความเชื่อ อธิษฐานจิต
    เข้าฌานออกฌานเล่นฤทธิ์ จิตสัมผัส กายทิพย์ ฯลฯ
    มันไร้สาระครับ มันเป็นเรื่องของจิตที่ปรุงแต่งไปเรื่อย
    มันไร้สาระนะครับ"

    อ่ออออเหรอครับ..แล้วเรื่องที่เค้าตั้งกระทู้ถาม
    ในห้องนี้มันไม่ใช่เกี่ยวกับเรื่องจิตสัมผัสหรือครับ.ไม่เกี่ยวกับจิตเลย
    หรือครับที่คุณพยายามตอบและ

    "ท่านที่ผมอ้างถึงมรณะภาพไปนานแล้ว ก่อนผมกับคุณจะเกิดอีกมั้ง
    และถ้าบอกว่าท่านมาหาในนิมิต มาหาในจิต ก็ฟุ้งซ่านปรุงแต่งน่ะแหละครับ
    สัญญาเก่าของตัวเองมันผุดมาในสังขารที่ปรุงแต่งในรูปแบบของผู้ที่เราศรัทธา
    ให้ดูที่ผลลัพคือได้ฝึกได้ผลดี ไม่ควรไปยึดติดที่ตัวบุคคลที่เห็น
    เพราะสิ่งที่เห็นนั้น เห็นจริง แต่มันไม่ใช่ของจริง"

    แหมๆพูดตรงกับตำราเลยนะครับ..
    อีกอย่างผมไม่ได้อวดสรรพคุณอะไรกับคุณก่อนนะครับเพียงแต่ประโยค
    นี้คุณเขียนเองครับ
    ''จะไปจำที่เขาเขียนไว้เอามากล่าว เอามาบึดมั่นก่อน
    โดยที่ยังไม่พิสูจน์ให้เห็นว่าตรงตามนั้น มิได้ครับ''

    คือผมถามว่าคุณเคยทำได้หรือครับ.ถึงมาสอน
    มาแนะนำผมก่อนครับ.รู้หรือครับว่าผมเคยทำได้หรือเปล่า.
    ผมไม่อยากพูดหรอกครับเด่วคุณจะหาว่าผมไปยกตนข่มคุณอีก..
    และก็มากล่าวหาว่าเป็นเรื่องไร้สาระ จิตปรุงแต่งไปเรื่อยอีก..เห้อๆ
    ผมก็เตือนคุณบอกแล้วเรื่องกิริยาของระดับสมาธิ ว่าอาการแบบครึ่ง
    หลับครึ่งตื่น คุณจะไปเทียบว่า ยิงปืนหรือซู๊ตบาส มันใช่ไหม.
    ให้ลองพิจารณาดูใหม่ ก็เตือนๆดีๆแค่นั้นว่าคุณเข้าใจถูกไหม
    ไหนบอกว่าไร้สาระไม่สนใจมาแนะนำทำไมครับ
    ตรงนี้หละครับที่ผมบอกคุณว่า อย่าใช้ ทิพยเดาญาน อะไรของคุณพอเข้าใจแล้วนะครับ..


    ''เรื่องสายอธิษฐาน ให้อธิษฐานก่อนเข้าฌาน ถอยฌาน เล่นฤทธิ์
    เป็นเรื่องของผู้ที่ได้คุณวิเศษแล้ว เป็นรูปแบบวิธีการถ่ายทอดความรู้
    ตนเองต้องลองปฏิบัติให้ถึงระดับนั้นเสียก่อนจึงจะเข้าใจ
    จะไปจำที่เขาเขียนไว้เอามากล่าว เอามาบึดมั่นก่อน
    โดยที่ยังไม่พิสูจน์ให้เห็นว่าตรงตามนั้น มิได้ครับ.''

    หวังว่าจะพอเข้าใจนะครับ..
    .อ่านๆที่คุณเขียนเหมือนจะดีนะครับ.แต่ก็ไม่ดีจริง..ถ้าคุณคิดว่ามัน
    ไร้สาระ เป็นเรื่องการปรุงแต่ง.เอะอ๊ะ ก็ไร้สาระ
    คำก็ไรสาระ สองคำก็ไร้สาระ.และไม่มีประโยชน์อะไร คุณก็ไม่ต้องมาพูดมาแนะนำอะไรในห้องนี้ครับ
    (แม้ว่าคุณจะบอกว่าเป็นสิทธิคุณก็ตาม)
    นะแนะคุณไปตอบปัญหาในห้อง
    สมาธิสำหรับผู้เริ่มต้นนะครับ.
    อะไรที่เกี่ยวกับความสามารถทางจิต
    หรือสัมผัสพิเศษพิเศษมันไม่ใช่แนวทางของคุณก็สุดแล้วแต่นะครับ
    ''ห้องนี้เป็นห้องที่อยู่ในหมวดพุทธศาสนา 
    ชื่อว่าห้อง อภิญญา และกรรมฐาน
    เรื่องเกี่ยวกับพุทธศาสนาในเชิงเกี่ยวข้องกับการขั้นตอนการฝึกพลังจิต
    การฝึกสมาธิทุกรูปแบบ วิชาสาม มโนมยิทธิ อภิญญา
    ตั้งแต่กรรมฐาน ๔๐ กอง ถึงวิปัสสนาสติปัฎฐาน ๔ เพื่อมรรคผลนิพพาน ตั้งแต่ beginner - advance''
     

    เวปนี้ใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลังทางภพภูมิในการให้สร้างเวปนี้ขึ้นมา.
    คุณจะบอกว่าท่านละสังขารไปแล้ว.แล้วคนที่ได้พบเจอ
    ที่ท่านมาสอนคิดปรุงแต่งไปเองก็แล้วแต่คุณจะเข้าใจนะครับ..
    เรื่องของคุณเลยครับ บางคนเค้าเห็นมากกว่าในนิมิตรก็มีครับ.แต่คุณคงไม่สนใจ
    เพราะเห็นว่าไร้สาระก็เรื่องของคุณแล้วกัน
    คนเรานี่ก็แปลกนะครับ.ตัวเองก็อยู่กับเรื่องพวกนี้ทั้งนั้น.อยู่ร่วมกันเป็นปกติ..
    พออธิบายในสิ่งที่เกิดไม่ได้.เพราะตนไม่มีความสามารถเข้าถึงได้.
    ก็โบ้ยไปว่าไร้สาระ ไม่สนใจ จิตปรุงแต่งคิดไปเรื่อย..เห้อออ!!!
    คุณพิจารณาตัวเองเถอะครับ.ว่าคุณเหมาะกับสภาพสังคมแห่งนี้หรือเปล่า

    สุดท้ายนี้ก็เป็นธรรมดานะครับ.ที่จะต้องมีกระทบกระทั่งกันบ้างครับ.
    ผมก็หมั่นไส้คุณบ้างเป็นเรื่องปกติในมุมที่ผมมองเห็น.ผมก็ไม่ใช่คนดีอะไร
    จะด้วยการสื่อสารที่เข้าใจกันคลาดเคลื่อนหรือต่างมุมมองทางความคิด
    อะไรก็แล้วแต่.แต่โดยปกติผมไม่มีนิสัย
    ที่จะไประราน เกะกะใครก่อนแน่นอนครับ.แต่คุณลองอ่านพิจารณาดูให้ดีๆ
    แล้วกันครับ..ผมก็เขียนตอบในกระทู้มาพอสมควร.ปกติผมไม่ค่อยจะเตือน
    ใครง่ายๆ และไม่ยุ่งกับใครหรอกครับ.ส่วนมากผมจะเฉยๆมากกว่า..
    ก็มีกระทบกระเทือนใจกันบ้างนะครับ.ผิดพลาดกล่าวหลบหลู่คุณบ้างก็ต้อง
    ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ..เด่วคุณอยู่ๆไปซักวันหนึ่งนะครับ

    คุณจะรู้เองครับว่าห้องอภิญญา-สมาธิ มันมีอะไรๆมากกว่า
    ที่คนทั่วๆไปจะเข้าถึงครับ..มันไม่ใช่ที่ๆคนที่ไม่ได้ประกอบเจตนาที่ดีในการเผยแพร่เป็นทุน
    และบริสุทธิ์ใจจริงๆ.หากทำไปเพื่อตนเองมากกว่าเพื่อสังคมฝ่ายเดียว
    .จะสามารถมายืนอยู่ได้ตลอดครับ.เพราะจะมีเหตุให้อัปเปหิออกไปไม่ว่าทางใด
    ก็ทางหนึ่งครับ..เพราะที่นี้เค้ามีอะไรดูแลอยู่มากกว่าที่จะบอกให้คุณหรือ
    คนทั่วๆไปฟังได้หากไม่สามารถสัมผัสได้ด้วยตนเองครับ.ลองๆฟังหูไว้หูแล้วกัน
    .ขอบคุณมาก.ที่สนทนาด้วยครับ และขอยุติการสนทนากับคุณ
    เพียงเท่านี้ครับ..

    ปล.หวังว่าจะเข้าใจเจตนาที่สื่อนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 ธันวาคม 2013
  4. oze

    oze Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    162
    ค่าพลัง:
    +94
    555555 ลองปฏิบัติไปเรื่อยๆๆๆๆ ด้วยความตั้งมั่น ตั้งใจ แต่ไม่ต้องยึดติด..เดี๋ยวจิตเราจะพาไปเองครับ อิอิ....(แต่ก็ต้องหาความรู้บ้างนะคร้าบบบบบพี่น้องงงงง)
     
  5. tsukino2012

    tsukino2012 หยุดจึงพบ สงบจึงเกิด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    1,311
    ค่าพลัง:
    +3,090




    ไม่มีใครมองเห็นได้มากกว่าที่สายตาเองมองเห็นหรอกครับ.
    ให้อีกคำครับ "ถ้าตนนั้นใส่แว่นอยู่ มุมมองที่มองก็จะเป็นมุมมองผ่านแว่นเสมอ
    ไม่มีทางได้รับรู้หรือเข้าใจมุมมองของผู้อื่น ถ้าไม่ถอดแว่นออก"

    อ่ออออเหรอครับ..แล้วเรื่องที่เค้าตั้งกระทู้ถาม
    ในห้องนี้มันไม่ใช่เกี่ยวกับเรื่องจิตสัมผัสหรือครับ.ไม่เกี่ยวกับจิตเลย
    หรือครับที่คุณพยายามตอบและ

    คำว่าจิตสัมผัส ความหมายถึงสัมผัสที่ ๖ เกี่ยวกับจิตวิญญาณ ภูติผี
    ตาทิพย์ หูทิพย์ การเข้าไปรับรู้เรื่องราวต่างๆ
    เรื่องของฌาน อุปจารสมาธิ เป็นเพียงอาการของจิต
    ไม่ใช่จิตไปสัมผัสอะไรทั้งนั้น คุณแยกไม่ออกหรือว่า อยากแถกันแน่?

    แหมๆพูดตรงกับตำราเลยนะครับ..
    อีกอย่างผมไม่ได้อวดสรรพคุณอะไรกับคุณก่อนนะครับเพียงแต่ประโยค
    นี้คุณเขียนเองครับ

    ผมอ่านตำราก่อนปฏิบัติ เพื่อจะได้รู้เส้นทาง
    แล้วก็ปฏิบัติให้เกิดผล พบกับตนเอง
    แน่นอนว่ามีทั้งที่ตรงตามตำราและไม่ตรงตามตำรา
    ทำให้รู้ว่า ต้องลองก่อนแล้วจึงจะปักใจเชื่อได้
    เรื่องอวดอ้างสรรพคุณ คุณคงไม่เคยสนใจในสิ่งที่ตนเองพิมลงไป
    ก็ลองย้อนกลับไปอ่านดูเอาว่าได้อวดอ้างตนเองอย่างไร
    หรือจะให้ผมยกออกมาให้เห็น ว่าอวดว่าข่มหรือดูถูกผมไว้อย่างไีรบ้าง
    อย่ามัวเพ่งความชั่วของคนอื่น จนลืมมองความชั่วของตัวเอง

    คือผมถามว่าคุณเคยทำได้หรือครับ.ถึงมาสอน
    มาแนะนำผมก่อนครับ.รู้หรือครับว่าผมเคยทำได้หรือเปล่า.
    ผมไม่อยากพูดหรอกครับเด่วคุณจะหาว่าผมไปยกตนข่มคุณอีก..
    และก็มากล่าวหาว่าเป็นเรื่องไร้สาระ จิตปรุงแต่งไปเรื่อยอีก..เห้อๆ
    ผมก็เตือนคุณบอกแล้วเรื่องกิริยาของระดับสมาธิ ว่าอาการแบบครึ่ง
    หลับครึ่งตื่น คุณจะไปเทียบว่า ยิงปืนหรือซู๊ตบาส มันใช่ไหม.
    ให้ลองพิจารณาดูใหม่ ก็เตือนๆดีๆแค่นั้นว่าคุณเข้าใจถูกไหม
    ไหนบอกว่าไร้สาระไม่สนใจมาแนะนำทำไมครับ
    ตรงนี้หละครับที่ผมบอกคุณว่า อย่าใช้ ทิพยเดาญาน อะไรของคุณพอเข้าใจแล้วนะครับ..

    กลับไปอ่านดูดีดีนะครับ ใครที่เป็นฝ่ายเข้ามาสอนมาแนะนำ
    ผมแค่ชี้แจงไปตามที่คุณเข้ามาแย้งเท่านั้น
    สมาธิของคุณจะครึ่งหลับครึ่งตื่นแบบผีอำก็เรื่องของคุณครับ
    ผมพูดถึงสมาธิ พูดถึงอุปจารสมาธิ ไม่ได้เน้นที่ฌาน
    เข้าใจคำว่า สมาธิ และ ฌาน หรือไม่? มันต่างกันอย่างไร?
    คุณแย้งมา ผมชี้แจงไปแค่นั้น
    แต่ดันมาบอกผมใช้ทิพยเดา คุณใช้คำดูถูกกันอย่างนี้ได้อย่างไร
    จะว่าผมเดาส่งเดชก็พิมมา ว่าเดา อย่ามาเล่นลิ้น เข้าใจนะครับ

    ถ้าคุณคิดว่ามัน
    ไร้สาระ เป็นเรื่องการปรุงแต่ง.เอะอ๊ะ ก็ไร้สาระ
    คำก็ไรสาระ สองคำก็ไร้สาระ.และไม่มีประโยชน์อะไร คุณก็ไม่ต้องมาพูดมาแนะนำอะไรในห้องนี้ครับ
    (แม้ว่าคุณจะบอกว่าเป็นสิทธิคุณก็ตาม)
    นะแนะคุณไปตอบปัญหาในห้อง
    สมาธิสำหรับผู้เริ่มต้นนะครับ.
    อะไรที่เกี่ยวกับความสามารถทางจิต
    หรือสัมผัสพิเศษพิเศษมันไม่ใช่แนวทางของคุณก็สุดแล้วแต่นะครับ

    เรื่องฌาน เรื่องสมาธิ ไม่ใช่เรื่องไร้สาระ
    ถ้าไร้สาระผมไม่มาตอบหรอก
    แต่เรื่องที่คุณโม้ใส่ผม มันไร้สาระ ผมก็บอกว่ามันไร้สาระ
    ผมจะโพสในห้องนี้ ก็เป็นสิทธิ์ แค่ผู้สนับสนุนเวบไม่มีอำนาจสั่งครับ

    สุดท้ายนี้ก็เป็นธรรมดานะครับ.ที่จะต้องมีกระทบกระทั่งกันบ้างครับ.
    ผมก็หมั่นไส้คุณบ้างเป็นเรื่องปกติในมุมที่ผมมองเห็น.ผมก็ไม่ใช่คนดีอะไร
    จะด้วยการสื่อสารที่เข้าใจกันคลาดเคลื่อนหรือต่างมุมมองทางความคิด
    อะไรก็แล้วแต่.แต่โดยปกติผมไม่มีนิสัย
    ที่จะไประราน เกะกะใครก่อนแน่นอนครับ

    อ๋อ เหรอครับ กลับไปอ่านดูตั้งแต่เริ่มแรกเลยนะครับ
    เพราะคุณรึเปล่า ที่มากร่างใส่ผม มากดไม่เห็นด้วยไม่พอ
    ยังมาสั่งมาสอน มาบอกให้ผมไปศึกษาไม่หาไปลองนู่นนี่นั่น
    ดูคำที่เลือกใช้ของตนเองเสียก่อนนะครับ
    ว่าเขารู้สึกอย่างไรกันบ้าง เมื่ออ่านคำที่คุณโพสแต่ละอย่าง

    ผิดพลาดกล่าวหลบหลู่คุณบ้างก็ต้อง
    ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ..

    คุณน่ะใช้คำดูถูกคนอื่นเข้าเต็มๆเลย แต่คุณอาจจะไม่รู้ตัวนะครับ
    ผมน่ะ แค่ชี้แจงในสิ่งที่ผมเห็นต่างจากคุณ
    แต่คุณน่ะ สั่งให้ผมไปหาอ่าน ทำความเข้าใจ อย่างนั้นอย่างนี้
    แบบนี้มันไม่ให้เกียรติกันชัดอยู่แล้ว และยิ่งอวดเบ่งว่าตนดีอย่างนั้นอย่างนี้
    ยิ่งทำให้น่าหมันไส้ครับ ยิ่งโพสที่ว่า ถ้าคนอื่นๆที่รู้จักคุณ
    เขาจะหัวเราะจนฟันร่วงเนี่ย ประโยคนี้ คิดว่าไงครับ
    คิดว่าเป็นการยกตนข่มท่าน และก็เป็นการดูถูกผมด้วยหรือไม่ล่ะ?

    มันไม่ใช่ที่ๆคนที่ไม่ได้ประกอบเจตนาที่ดีในการเผยแพร่เป็นทุน
    และบริสุทธิ์ใจจริงๆ.หากทำไปเพื่อตนเองมากกว่าเพื่อสังคมฝ่ายเดียว
    .จะสามารถมายืนอยู่ได้ตลอดครับ.เพราะจะมีเหตุให้อัปเปหิออกไปไม่ว่าทางใด
    ก็ทางหนึ่งครับ..เพราะที่นี้เค้ามีอะไรดูแลอยู่มากกว่าที่จะบอกให้คุณหรือ
    คนทั่วๆไปฟังได้หากไม่สามารถสัมผัสได้ด้วยตนเองครับ.

    จนแล้วจนรอด ยันประโยคทิ้งท้าย ก็ยังแฝงด้วยความดูแคลนและอาฆาต
    ซึ่งสะท้อนไปถึงภูมิจิตภูมิธรรม ทั้งๆที่คุณบอกว่ามาตอบในฐานะกัลยาณมิตร
    แต่ดูเหมือนจะเป็นแค่คำพูด ที่ทำให้ดูดี

    .ขอบคุณมาก.ที่สนทนาด้วยครับ และขอยุติการสนทนากับคุณ
    เพียงเท่านี้ครับ..
    ปล.หวังว่าจะเข้าใจเจตนาที่สื่อนะครับ

    ผมคงไม่ขอบคุณนะครับ เพราะไม่เห็นจะได้ประโยชน์อะไร
    นอกจากความขัดแย้ง ความไม่พอใจกัน
    ถ้าคุณยุติการสนทนาไม่ได้ ก็อย่าบอกว่าขอยุติเลย
    คุณอ่านโพสตอบผมนี้แล้ว คุณคงจะไม่ตอบไม่ได้อยู่แล้ว
    เพราะคุณต้องการแค่จะเอาชนะเท่านั้น
    ถ้าคุณจะเข้ามาตอบอีก ก็เข้ามา แต่ผมจะไม่ตอบคุณแล้ว
    ไม่ต่อล้อต่อเถียงกับคุณแล้ว ขอยอมแพ้ในเรื่องนี้
    แพ้แต่ชนะ (ชนะมานะในตนเอง)

    ปล.คนคิดดี ทำดี ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้
    จะสาบจะแช่งไปก็ไม่เป็นผลหรอกครับ
    คนที่สาบแช่งคนอื่นได้ ต้องเปี่ยมด้วยโทสะแล้ว
    เขาเหล่านั้น ทุกข์แล้ว ทำลายตัวเองแล้ว
    ผู้ถูกสาบผู้ถูกแช่ง ไม่ได้ทุกข์ด้วยเลย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 ธันวาคม 2013
  6. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,040
    แล้วแต่จะคิดพิจารณาเอาเองตามความเข้าใจนะครับ..
    ว่าแต่ คุณ meangyea
    มีอะไรสงสัยเพิ่มเติมอีกไหมครับ ถ้าว่างแล้วมาอ่านๆที่แนะนำ
    ไปล่าสุดดู.เพื่อมีอะไรสงสัยเพิ่มเติมก็ลองๆถามแลกเปลี่ยนประสบการณ์อีกได้ครับ.
     
  7. M_Y

    M_Y เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +220
    ดูเหมือนว่าคุณจะเข้าใจว่าดิฉันเป็นอะไร ความกลัวที่เคยเกิดขึ้นเป็นกิเลสละเอียดใช่มั้ยคะ (ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนเลยค่ะ) เหมือนจะบีบจะบีบเค้นให้ฉันเป็นคนไม่ดี ก็พยายามประคองจิตให้นึกถึงแต่สิ่งที่ดี แต่กำลังของกิเลสตัวนี้มากเหลือเกิน เอาเกือบไม่อยู่ เคยบีบเค้นให้ฉันเกลียดพระพุทธรูป แต่กำหนดสติได้ทัน เกือบทำบาปมหันต์แล้วคะ เคยอยากตาย จะได้ลืมเรื่องนี้ แต่ตอนนี้หายกลัวแล้ว เหลือแค่อกุศลสัญญา ถึงผ่านไปได้แต่จิตก็ชอบวกกลับมาคิดเรื่องนี้อีกอยู่ดี (แต่ไม่รู้สึกกลัวแล้วนะ) ไม่รู้ว่ามีอะไรติดค้างในจิตใต้สำนึกอีกหรือเปล่า ถึงวางเรื่องนี้ไม่ลงสักทีค่ะ
    ตอนนี้เหมือนเริ่มนับ1ใหม่ในปฏิบัติเลยค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 3 ธันวาคม 2013
  8. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,509
    ค่าพลัง:
    +1,817
    ฌาน(ชาน) คือ ลักษณะงานของระบบการทำงานของร่างกายลักษณะหนึ่ง หมายความว่า ธรรมชาติของมนุษย์ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์หรือสิ่งแวดล้อม หรือประกอบกิจกรรมใดใด ก็จะมีลักษณะอาการ แห่ง ฌาน(ชาน) ถ้าบุคคลปฏิบัติสมาธิ หากไม่ถึงชั้น เอกัคคตา(สมาธิ) ก็แสดงว่า ฟุ้งซ่าน เพ้อเจ้อ แล้วก็หลงในความฟุ้งซ่าน เพ้อเจ้อ นั้น เกิดความยินดี พอใจใน ควมฟุ้งซ่าน เพ้อเจ้อนั้น แล้วจึงเกิดอารมณ์ที่ต่อจาก ความยินดี พอใจ คือ สภาพสภาวะจิตใจที่เรียกว่า สุข หากวางอารมณ์แห่ง สุข ลงได้ คือ อุเบกขา เมื่อจิตมั่นคงไม่ฟุ้งซ่าน เพ้อเจ้อ ไม่ยินดีพอใจ ไม่ปีติ ไม่สุข ไม่วางเฉย นั่นคือ "สมาธิ" (เอกัคคตา)

    ส่วน ในข้อ สมาธิ ๓ อันมี ขณิกสมาธิ,อุปจารสมาธิ,อัปปนาสมาธิ เป็นเพียงการบอกลักษณะของสมาธิแห่งมนุษย์ทั้งหลาย ล้วนย่อมมีสมาธิด้วยกัน ๓ แบบ ดังที่ได้กล่าวไป
    ข้อแนะนำ ไม่ต้องสนใจดอกขอรับ ว่าจะเป็น สมาธิแบบไหน เพราะคุณไม่ได้ปฏิบัติหรือเรียนรู้เพื่อเอาไป สอบขึ้นชั้นหรือเลื่อนชั้น
    รู้หรือปฏิบัติเพียงให้จิตใจสงบ ไม่ฟุ้งซ่าน เพ้อเจ้อ ก็พอแล้ว
    อีกประการหนึ่ง แค่นั่งสมาธิ จะแยกกายแยกจิต คุณไปเรียนรู้ที่ไหนมา กายกับจิต แยกกันไม่ได้ขอรับ เพราะมีกายต้องมีจิต ถ้าไม่มีจิตอยู่ในกาย ก็แสดงว่า ต้องมีอาการผิดปกติทางร่างกาย อาจจะเป็น อัมพฤกษ์ อัมพาต หรือ อาจจะ ตายไปแล้วก็ได้ขอรับ
     
  9. M_Y

    M_Y เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +220
    ที่บอกว่ากายกับจิตแยกจากกันไม่ใช่อย่างที่คุณเข้าใจค่ะ แต่เป็นสภาวะที่จิตเข้าไปรู้ในขณะที่จิตกำลังสงบ ต่างหากค่ะ จิตจะ รู้ว่า เหมือนไม่มีร่างกายค่ะ
     
  10. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,509
    ค่าพลัง:
    +1,817
    ฮ่า...ฮ่า...ฮ่า... คุณขอรับ คุณก็เขลาเหมือนเดิมนั่นแหละ ไม่ใช่เขลาธรรมดานะขอรับ เขลา แล้ว ยังรู้มาผิดๆ คิดผิดๆ เข้าใจผิดๆ

    สิ่งที่คุณกล่าวมา คุณคิดว่าจิตคุณสงบ แต่คุณบอกว่า จิตเข้าไปรู้ เหมือนไม่มีร่างกาย คุณรู้ไหม ในทางของ ฌาน(ชาน)เขาเรียกว่าอะไร คุณก็คงเขลาอีก ข้าพเจ้าจะบอกให้

    การปฏิบัติสมาธิ คุณต้องรู้สึกตัวทั่วพร้อม ถ้าจิตคุณสงบจริง คุณจะต้องไม่รู้สึกว่า เหมือนไม่มีร่างกาย เพราะถ้าคุณรู้สึกอย่างนั้นแสดงว่า คุณกำลังหลับในขอรับ อธิบาย คำว่า "หลับใน"ให้เกิดความรู้ความเข้าใจอีกว่า
    ที่เกิดอาการหลับใน ก็เพราะ สมองของคุณมีอาการเครียด คือ ทำงานหนัก ทำให้หลั่งสารชนิดหนึ่งออกมา สารนั้นจะไปขัดขวางการทำงานของระบบประสาทและสมอง ทำให้สมองหยุดทำงานไปบางส่วน

    ในสมองของคนเรา มีจุดเชื่อมต่อแห่งการรับและส่งข้อมูล สองจุด นั่นก็หมายความว่า คุณจะมี สติ คือ ระลึกได้หรือไม่ มี สัมปชัญญะ คือ ความรู้สึกตัวทั่วพร้อมได้หรือไม่ ก็จะขึ้นอยู่กับ จุดเชื่อมต่อแห่งรับและส่งข้อมูล ระหว่าง สมอง กับไขสันหลัง (อยู่ในสมองนั่นแหละ) ซึ่งหมายรวมถึง ระบบประสาทต่างๆของร่างกายด้วย

    และสิ่งที่คุณกล่าวมา ว่า "สภาวะที่จิตเข้าไปรู้ในขณะที่จิตกำลังสงบ" คือการ แยกกาย แยกจิต คุณก็ยิ่งเขลาเข้าไปอีก เพราะนั่นคือ อาการ วิตก วิจาร และที่คุณกล่าวมา ก็เกิดขึ้นในกาย ของคุณแท้ๆ คุณยังแถ เพ้อเจ้อ ไม่เข้าทีเลยนะขอรับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 ธันวาคม 2013
  11. M_Y

    M_Y เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +220
    ฮ่าฮ่าฮ่า ขอบคุณนะที่ชม เห็นทีเราคงคุยกันไม่รู้เรื่องล่ะ คุณTelwada
    หากคุณได้ปฏิบัติสมถะกรรมฐานเองแล้วคุณจะเข้าใจ
     
  12. DR-NOTH

    DR-NOTH เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    581
    ค่าพลัง:
    +1,276
    จงอย่าติดในสมมุติของธรรมต่างๆที่อธิบายออกมาในรูปแบบต่างๆนานา
    การปฏิบัติธรรมบางครั้งก็ต้องทิ้งตำรา ใช้การสัมผัสรู้ด้วยจิตว่างเอา
    จงอย่าติดในรายละเอียดของการปฏิบัติ จงมุ่งถึงตัวจุดหมายของการปฏิบัติเป็นสำคัญ
     
  13. โมทนาman

    โมทนาman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    5,665
    ค่าพลัง:
    +6,165
    ระดับอุปจารสมาธิกายกับจิตแยกจากกันหรือยังคะ
    เริ่มแยกนิดหน่อย

    รู้สึกสับสนระหว่างฌาน กับอุปจารสมาธิค่ะ ว่าต่างกันยังไง
    ต่างกันที่นิวรณ์
    และองค์ฌาณ ( วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตารมย์ )

    ดูวิธีดูง่าย ๆ คือ คนถึงอัปปนาสมาธิ (ฌาน) จะไม่ค่อยมาโพสต์กระทู้ถามสาธารณะ ติดขัดอะไรจะไปถามอาจารย์ของตน

    วิธีดูด้วยตัวเองคือ เมื่อเข้าถึงอุปจารฌาณ (เลยอุปจารสมาธิ เกือบ ๆ เป็นฌาน)
    จะเริ่มบังคับร่างกายไม่ได้ ขยับไม่ได้
     
  14. M_Y

    M_Y เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +220
    ที่อยากทราบรายละเอียด อีกประเด็นหนึ่ง ก็เพราะว่า ฌานสมาบัติเป็นครุกรรมฝ่ายกุศลใช่มั้ยคะ ถ้าเคยเข้าฌานได้ แต่ไม่ได้ตายในฌาน แล้วยังจัดว่าเป็นครุกรรมฝ่ายกุศลอยู่อีกหรือไม่คะ เพราะสงสารวัฏช่างน่ากลัวเหลือเกินค่ะ เพราะรูปเป็นสาเหตุของความชอบ ความชัง ความรัก ความหลง ความลำบากต่างๆนาๆ และนามด้วย
     
  15. M_Y

    M_Y เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +220
    ไม่มีอาจารย์ค่ะ
     
  16. โมทนาman

    โมทนาman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    5,665
    ค่าพลัง:
    +6,165
    หาด่วนค่ะ
    อยู่จังหวัดไหน เดี๋ยวช่วยหา
     
  17. M_Y

    M_Y เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +220
    ขอบคุณนะคะที่หวังดี อยู่จังหวัดบุรีรัมย์ค่ะ
    ไม่รู้ว่าจะฝากตัวเป็นศิษย์ท่านยังไง และไม่รู้ว่าจะเข้าถึงตัวท่านได้อย่างไรค่ะ เลยปฏิบัติเองที่บ้าน ถูกบ้างไม่ถูกบ้าง หลงทางไปไกลก็มีค่ะ แต่ไม่ซีเรียสอะไร แล้วล่ะตอนนี้
     
  18. solardust

    solardust เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    250
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +1,771
    ข้างล่างนี้ copy มาจาก
    พระพุทธศาสนาจากพระโอษฐ์ (ตอน ๖)
    http://www.dharma-gateway.com/buddha/buddha-misc/bd-misc-07-06.htm

    ใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงเบื้องต้นในการเดา

    ----------------------------------

    ลำดับการดับของสังขารตามภูมิแห่งการปฏิบัติ

    ปัญหา: สังขารทั้งหลายย่อมดับไปตามลำดับตามภูมิแห่งการปฏิบัติทางจิตอย่างไร ?

    พุทธดำรัสตอบ "ดูก่อนภิกษุ... เรากล่าวความดับสนิทแห่งสังขารทั้งหลายโดยลำดับคือ
    เมื่อภิกษุเข้า ปฐมฌาน วาจา ย่อมดับ
    เมื่อเข้า ทุติยฌาน วิตก วิจาร ย่อมดับ
    เมื่อ ตติยฌาน ปีติ ย่อมดับ
    เมื่อเข้า จตุตถฌาน ลมอัสสาสะ ปัสสาสะ ย่อมดับ

    -------------------------------

    ปัญหา กายสังขาร วจีสังขาร จิตตสังขารคืออะไร และสังขารทั้ง ๓ นี้ดับไปเมื่อใด ?

    พระกามภูตอบ:
    "ดูก่อนคฤหบดีลมหายใจเข้าและหายใจออก ชื่อว่ากายสังขาร...ลมหายใจเข้าหายใจออกเป็นของเกิดที่กายธรรมเหล่านี้เนื่องด้วยกายฉะนั้น...จึงชื่อว่ากายสังขาร...
    "วิตกวิจารชื่อว่าวจีสังขาร...บุคคลตรึกตรองก่อนจึงเปล่งวาจาภายหลัง ฉะนั้น วิตกวิจารจึงชื่อว่า วจีสังขาร...
    "สัญญาและเวทนาชื่อว่าจิตตสังขาร...สัญญาและเวทนาเป็นของเกิดที่จิต ธรรมเหล่านี้เนื่องด้วยจิตฉะนั้น...จึงชื่อว่าจิตตสังขาร
    "ดูก่อนคฤหบดี เมื่อภิกษุเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธอยู่ วจีสังขารดับก่อน ต่อจากนั้นกายสังขารดับต่อจากนั้นจิตตสังขารจึงดับ..."

    ----------------------------------

    ทีนี้มาเข้าเรื่องของสมาธิกัน ก่อนที่จะตอบคำถามว่า ที่อุปจารสมาธิ จิตกับกายแยกกันหรือยัง

    ขณิกสมาธิ สมาธิตั้งอยู่ชั่วขณะ อันนี้ ท่านmeangyea ไม่ได้ถามถึงนะครับ โดยปรกติเวลาเราพูดถึงสมาธิ เราก็ข้ามตัวนี้ไปอยู่แล้ว
    อุปจารสมาธิ แปลว่า สมาธิจวนจะแน่วแน่ เกือบๆจะเข้าณาน แต่ยังไม่ถึง
    อัปนาสมาธิ แปลว่า สมาธิที่แน่วแน่ ตัวนี้เป็นระดับของสมาธิที่เป็นระดับการเข้าฌานตั้งแต่ ปฐมฌาน ขึ้นไป

    โดยทั่วไป ตามความเข้าใจของผมนะครับ
    เวลาที่เราพูดว่า กายกับจิตแยกออกจากกัน เราจะหมายถึงอาการของฌาน 4 เท่านั้น
    คือมันจะมีสภาพ ที่ไม่รับรู้การมีอยู่ของร่างกายแล้ว จิตจะแยกขาดจากร่างกายที่ระดับนี้
    จะถอดจิตไปเที่ยวโน่น เที่ยวนี่ ก็ต้องระดับนี้เท่านั้น

    ทีนี้ กลับไปหาข้อมูลอ้างอิงที่ก๊อปมาข้างบน -------> ลำดับการดับของสังขารตามภูมิแห่งการปฏิบัติ
    ผมว่าจิตมันเริ่มแยกออกจากกาย มาทีละนิด ทีละนิด ตั้งแต่ฌาน 1 แล้วล่ะครับ แล้วถึงไปแยกขาดที่ฌาน 4

    ---------------------------------------

    ส่วนคำตอบที่คุณถาม (ผมตอบของผมเองนะครับ)
    จากประสบการณ์ส่วนตัว เวลาผมเช็คพลังจากพระเครื่อง ว่ามีพลังแบบไหนประจุอยู่
    สมาธิที่ผมใช้ จะใช้ที่ระดับอุปจารสมาธิ
    -วาจาก็ยังไม่ดับ เพราะเช็คพลังไปคุยไปได้ จิตยังเกาะเต็มร้อยอยู่ในร่างเนื้อ
    -วิตก วิจาร ก็มีอยู่ในระดับปรกติ ที่ไม่ใช่ วิตก วิจาร ในองค์ฌาน
    -ปิติก็ไม่ดับ เพราะมันไม่เกิด (ต้องบังคับให้มีปิติ มันถึงจะมีที่ระดับนี้)
    -ลมหายใจเข้าออกก็ปรกติ

    ไล่ลำดับการดับของสังขารแล้ว ไม่มีอะไรดับเลยในอุปจารสมาธิ
    เพราะฉนั้น ผมว่า กายกับจิต ไม่แยกจากกัน ที่ระดับอุปจารสมาธิครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 ธันวาคม 2013
  19. โมทนาman

    โมทนาman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    5,665
    ค่าพลัง:
    +6,165
    หลวงปู่เหลือง ฉนฺทาคโม วัดกระดึงทอง ต.บ้านด่าน อ.บ้านด่าน จ.บุรีรัมย์
    วิธีก็ไปกราบท่านที่วัด แนะนำตัว ถามปัญหาที่ติดขัด ถูกใจก็กราบขอเป็นศิษย์

    ควรจะซีเรียส เกิดเป็นคนไม่ใช่เรื่องง่าย ๆิ ใช้โอกาสให้คุ้ม
     
  20. jamesnuke

    jamesnuke เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กันยายน 2012
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +224
    ถูกครับ
    อุปจาระสมาธิ แปลว่า (จิต) เที่ยวไปในระหว่าง ก็จิตออกเที่ยวภายนอก เช่น ออกไปเห็นนรก สวรรค์ เทวดา ผี ฯลฯ
    ส่วนฌานนั้น แปลว่าเพ่ง ได้แก่จิตจ่ออยู่กับอารมณ์ตามกำลังฌาน เช่น อารมณ์ ฌาน 1 มี วิตก วิจารณ์ ปีติ สุข เอกัคคตา (อารมณ์เดียว)จิตจะเล่นไปตามอารมณ์นั้นๆ ไม่นิ่ง เป็นต้น การที่จิตจะเเยกจากกายจริงๆนั้น หรือเรียกว่าตัดจากการรับรู้ภายนอก ต้องเป็นจิตเข้าถึงฌาน 4 เท่านั้น เพราะอารมณ์ฌาน 4 เหลือเเค่เอกัคคตารมณ์อย่างเดียว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 ธันวาคม 2013

แชร์หน้านี้

Loading...