เรื่องเด่น รวมหลวงพ่อตอบปัญหา/จากคำบอกเล่า

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย Wannachai001, 21 กรกฎาคม 2012.

  1. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    112
    ค่าพลัง:
    +225,706
    บางเรื่องใน " จากคำบอกเล่า " ฉบับนี้เคยลงไปแล้วครับ แต่ขอนำมาลงอีกครั้งทั้งคอลัมภ์นี้ในธัมมวิโมกข์ เดือน มีนาคม 2538

    คิดว่าน่าจะมีประโยชน์กับท่านที่ไปอยู่ธุดงค์และจะไปฝึกเต็มกำลังในวันเสาร์-อาทิตย์นี้ครับ


    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]


    [​IMG]

    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 พฤษภาคม 2016
  2. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    112
    ค่าพลัง:
    +225,706
    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]

    (จากธัมมวิโมกข์ เดือนมีนาคม 2538 หน้า 76-88)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 พฤษภาคม 2016
  3. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    112
    ค่าพลัง:
    +225,706
    ประวัติหลวงปู่ปาน(เก่า) ตอนนี้น่าจะมีหลายท่านได้อ่านมาแล้ว เป็นตอนที่หลวงพ่อเล่าถึงการทำพระของหลวงปู่ปานและอานุภาพของผ้ายันต์พิชัยสงคราม

    ผ้ายันต์พิชัยสงครามป้องกันและขับสิ่งที่เป็นเสนียดจัญไรออกไป ดึงดูดความดีสิ่งที่เป็นมงคลเข้าหากับบุคคลผู้มีผ้ายันต์



    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]


    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    (จากธัมมวิโมกข์ ธันวาคม 2536 หน้า 9-18)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 พฤษภาคม 2016
  4. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    112
    ค่าพลัง:
    +225,706
    [​IMG]





    เรื่องยันต์เกราะเพชรด้านล่างนี้ก็น่าจะมีหลายท่านที่เคยอ่านมาก่อนแล้ว แต่ที่นำมาลงเพราะอยากให้ได้เห็นถึง " อานุภาพยันกลับหรือมหาสะท้อน " แล้วแต่จะเรียกกันของยันต์เกราะเพชร ผ้ายันต์เกราะเพชรและเหรียญหรือวัตถุมงคลที่มีรูปยันต์เกราะเพชรอยู่ก็น่าจะมีอานุภาพยันกลับหรือมหาสะท้อนนี้อยู่ด้วยเช่นกัน เป็นความเห็นส่วนตัวนะครับ เพราะงั้นผมอยากจะบอกว่าไม่ต้องไปขวนขวายหาวัตถุมงคลมหาสะท้อนนอกวัดท่าซุงที่ราคาแพงลิบๆกันหรอกครับ บูชาผ้ายันต์เกราะเพชรของหลวงพ่อที่วัดและสายลมยังมีจำหน่ายอยู่และวัตถุมงคลรุ่นต่างๆที่มีรูปยันต์เกราะเพชรอยู่เช่นพระคำข้าวรุ่นพิเศษก็มีอานุภาพนี้ด้วยเหมือนกัน



    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    (จากหนังสือ " สมบัติพ่อให้ " ฉบับพิมพ์ตุลาคม 2537 หน้า 138-143)


    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 พฤศจิกายน 2014
  5. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    112
    ค่าพลัง:
    +225,706
    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]

    (จากธัมมวิโมกข์ พฤศจิกายน 2537 หน้า 24-30)
     
  6. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    112
    ค่าพลัง:
    +225,706
    หลวงพ่อพูดถึงเรื่อง การฝึกมโนมยิทธิ ในสนทนาธรรมฉบับนี้ เป็นความรู้สำหรับผู้สนใจจะฝึกมโมมยิทธิและผู้่ฝึกมาแล้วเช่นกันครับ

    [​IMG]

    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]

    [​IMG]




    (จากธัมมวิโมกข์ ธันวาคม 2536 หน้า 19-30)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 ธันวาคม 2013
  7. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    112
    ค่าพลัง:
    +225,706
    พึ่งหมดงานธุดงค์ไปเมื่อวานนี้เอง มีท่านที่สามารถฝึกมโนมยิทธิเต็มกำลังได้กันทุกปีๆ บางท่านจิตเป็นกุศลด้านธรรมทานได้เขียนเล่าประสบการณ์ให้อ่านกันมีทุกปีเช่นกัน

    เรื่องประสบการณ์ฝึกมโนมยิทธิเต็มกำลังข้างล่างนี้เป็นของคุณสุภา คลังรัตนโชคชัย ที่เขียนเล่าให้อ่านกันเป็นธรรมทาน เป็นประโยชน์สำหรับผู้ฝึกภายหลัง ขอโมทนากับคุณสุภาด้วยครับ



    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]

    (จากธัมมวิโมกข์ มีนาคม 2543 หน้า 126-131)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 ธันวาคม 2015
  8. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    112
    ค่าพลัง:
    +225,706
    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]

    (จากธัมมวิโมกข์ พฤษภาคม 2539 หน้า 109 - 118)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 ตุลาคม 2014
  9. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    112
    ค่าพลัง:
    +225,706
    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    (จากธัมมวิโมกข์ พฤศิจกายน 2544 หน้า 110 - 113)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 พฤศจิกายน 2014
  10. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    112
    ค่าพลัง:
    +225,706
    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]


    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]

    (จากธัมมวิโมกข์ เมษายน 2539 หน้า 19 - 27)
     
  11. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    112
    ค่าพลัง:
    +225,706
    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    (จากธัมมวิโมกข์ พฤศจิกายน 2539 หน้า 103 - 110)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 พฤศจิกายน 2014
  12. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    112
    ค่าพลัง:
    +225,706
    [​IMG]

    (จากหนังสือรวมคำสอนธรรมปฏิบัติ เล่ม 10 หน้า 19)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 พฤศจิกายน 2014
  13. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    112
    ค่าพลัง:
    +225,706
    [​IMG]

    (จากหนังสือรวมคำสอนธรรมปฏิบัติ เล่ม 10 หน้า 21)
     
  14. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    112
    ค่าพลัง:
    +225,706
    เรื่องเล่าจากหมวดตระกูลเรื่องนี้นำมาจากธัมมวิโมกข์ฉบับเดือนธันวาคม 2556 หลายท่านคงได้อ่านมาแล้ว แต่คิดว่ายังมีหลายท่านที่อยู่ไกลและไม่มีโอกาศซื้อธัมมวิโมกข์

    ลองอ่านกันดูครับโดยเฉพาะเรื่องหลวงพ่อเดินลงไปทำตะกรุดใ้ต้น้ำ..



    [​IMG]

    [​IMG]

    (จากธัมมวิโมกข์ ธันวาคม 2556 หน้า 128-129)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 มกราคม 2015
  15. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    112
    ค่าพลัง:
    +225,706
    หลวงพ่อพระราชพรหมยานมหาเถระไปโปรดชาวภาคใต้

    ม.ล.วรวัฒน – กานดา นวรัตน

    คำนำ

    ...ขณะที่ข้าพเจ้าสวดมนต์ ไหว้พระข้าพเจ้านึกในใจอยู่เสมอว่า พระธรรมเปรียบเทียบประดุจประทีปแก้ว ที่ส่องแสงให้เห็นทางเดินที่นำตรงไปสู่พระนิพพาน

    ... พระพุทธเจ้า เปรียบได้ดุจผู้ที่ค้นหาประทีปแก้ว ซึ่งอยู่ท่ามกลางความมืดสนิท เมื่อค้นหาพบแล้ว ก็จุดไฟขึ้นความสว่างพระองค์ท่านยกชูประทีปแก้วขึ้น เดินนำหน้าพาฝูงซึ่งเชื่อถือศรัทธา ฝ่าป่าพงดงหนามข้ามห้วย เลี่ยงหลบพ้นจากหุบเหวนรก จนบรรลุถึงซึ่งพระนิพพาน

    พระเดชพระคุณหลวงพ่อ พระราชพรหมยานมหาเถระ เป็นพระสุปฏิปันโนองค์หนึ่ง ท่านรู้จริงเห็นจริงซึ่งพระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงตรัสสอนไว้ดีแล้ว

    ความเดิม

    ระหว่างเวลาตั้งแต่วันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ.2505 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2527 ข้าพเจ้าได้ปฏิบัติงานประจำภาคใต้ ในช่วงระยะเวลาดังกล่าว หลวงพ่อพระราชพรหมยานมหาเถระ ได้ไปโปรดชาวภาคใต้หลายครั้ง มีเหตุการณ์มหัศจรรย์เกิดขึ้นหลายประการ ซึ่งข้าพเจ้าจะบรรยายเฉพาะที่จำได้ดังต่อไปนี้



    เรื่องที่ 1 หลวงพ่อฝ่าดงคอมมิวนิสต์ภาคใต้

    ในระยะที่คอมมิวนิสต์ภาคใต้ กำลังแผ่ขยายอำนาจอิทธิพลอย่างหนัก สามารถยกกำลังพลเข้าที่สถานีตำรวจ และจุดที่ตั้งทหารหลายครั้ง ช่วงเวลาอันบ้านเมืองคับขันนั้นเอง หลวงพ่อได้ไปโปรดชาวภาคใต้เสมือนนำเอาน้ำเย็นจัด รดลงไปในกองไฟอันลุกโชนร้อนแรง ทำให้ไฟสงบลงแล้วดับไปในที่สุด

    ครั้งแรกที่ไป คณะหลวงพ่อเดินทางไปจากจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โดยทางรถยนต์ ข้าพเจ้าไปรอรับหลวงพ่อที่สี่แยกปฐมพร อันเป็นจุดที่ถนนจากจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร ระนอง และสุราษฎร์ธานี รวม 4 สายไปบรรจบกัน ข้าพเจ้านั่งรถนำขบวนหลวงพ่อ ออกจากสี่แยกปฐมพรไปได้ครู่เดียว ปรากฏว่ามีก้อนหินขนาดใหญ่ วางเรียงเป็นแถวกั้นอยู่บนถนน ไม่มีช่องว่างให้รถหลบไปได้เลย ถ้าพวกเราหยุดรถลงไปเก็บก้อนหิน อาจเปิดโอกาสให้ผู้ประสงค์ร้ายซึ่งแอบซุ่มอยู่ข้างทางเข้าปล้นโจมตีเอาได้

    ข้าพเจ้าตัดสินใจเป็นกองหน้าฝ่าอันตราย สั่งคนขับรถแล่นชนก้อนหินก้อนใหญ่ๆ นั้นกระเด็นพ้นไปจากถนน เปิดเป็นช่องกว้างให้รถคันหลังๆ แล่นตามกันไปได้โดยปลอดภัยทุกคัน เมื่อแล่นรถไปได้ระยะหนึ่ง ถึงที่ปลอดภัย ข้าพเจ้าหยุดรถลงไปตรวจดูความเสียหายด้านหน้ารถ ซึ่งชนก้อนหินอย่างจัง รถที่ข้าพเจ้านั่ง เป็นรถตรวจการโตโยต้าคราวน์ ปกติแล้ว รถญี่ปุ่นบอบบางมาก แล่นชนไก่หรือชนสุนัขรถยังบุบได้ แต่ครั้งนั้น ชนก้อนหินขนาดใหญ่หลายก้อน กลับปรากฏว่าไม่มีส่วนใดของรถ บุบชำรุดเสียหายเลย

    หลวงพ่อท่านเล่าให้ฟังภายหลังว่า ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ได้คุมเชิงติดตามคณะหลวงพ่อตั้งแต่ย่างเข้าเขตภาคใต้ พอขบวนรถหลวงพ่อแล่นไปถึงเขตแดนต่อแดนระหว่างอำเภอเวียงสระ จังหวัดสุราษฎร์ธานี และอำเภออ่าวลึก จังหวัดกระบี่ รถยนต์คันหนึ่งยางแตก ระหว่างที่กำลังเปลี่ยนยางอยู่นั้น มีชาวบ้านจำนวนมากมามุงดูขบวนรถหลวงพ่อ ตำรวจที่ติดตามไปคุ้มกัน ได้ออกไปยืนถือปืนสงครามป้องกันภัยให้

    ข้าพเจ้าทราบภายหลังว่า บริเวณที่รถยางแตกนั้น เป็นดงสีชมพู มี ผกค. แยะ และในหมู่ชาวบ้านที่มามุงดูอยู่นั้น มีพวกแนวร่วมคอมมิวนิสต์ปะปนอยู่ด้วย พอเปลี่ยนยางเสร็จ ขบวนรถหลวงพ่อออกเดินทางต่อไปจนถึงโรงไฟฟ้ากระบี่ ยังมีแนวร่วม ผกค. ไปดูลาดเลาถึงบ้านที่หลวงพ่อพัก แล้วคุยอวดกับลูกศิษย์หลวงพ่อว่า อีกไม่นาน ผกค. จะชนะ ถ้าคอมมิวนิสต์ยึดอำนาจรัฐได้ ตัวเขาจะได้เป็นนายอำเภอ แล้วเขาจะจับตัวพวกนายช่างเอาไปไถนา

    ภายหลังต่อมา หลังจากหลวงพ่อกลับมาแล้ว ตกดึกคืนหนึ่ง ผกค. ยกกำลังมาจะเข้าโจมตีโรงไฟฟ้ากระบี่ ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญแห่งหนึ่งของภาคใต้ขณะนั้น แต่ว่าพระภูมิเจ้าที่ ซึ่งหลวงพ่อฝากฝังให้ช่วยคุ้มครองโรงไฟฟ้ากระบี่ ดลใจให้พวก ผกค. หลงทาง หาช่องทางเข้าโรงไฟฟ้าไม่พบ ทั้งที่มองเห็นโรงไฟฟ้าสว่างโร่ตอนกลางคืนได้ในระยะไกล ผกค. จึงยกพวกเลยไปทางชายทะเลแหลมกรวด เข้าตีสถานีตำรวจแหลมกรวด เผาโรงพักได้สำเร็จ พวกเรายืนดูอยู่บนโรงไฟฟ้า คืนวันดังกล่าว เห็นไฟไหม้สว่างจับขอบฟ้า ได้ยินเสียงปืนยิงกันดังชัดเจน


    เรื่องที่ 2 อานุภาพ พระบรมฉายาลักษณ์ในหลวง และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ

    การแผ่อิทธิพลขยายอำนาจ ผกค. ภาคใต้ มาถึงจุดกลับตอนที่ ผกค. บุกเข้าโจมตีสถานีตำรวจอำเภอคลองท่อม จังหวัดกระบี่ ห่างจากโรงไฟฟ้ากระบี่ออกไปประมาณ 29 กม. ผู้บังคับกองตำรวจอำเภอคลองท่อมสมัยนั้น เป็นนายตำรวจที่กล้าหาญ ใจคอเข้มแข็งเด็ดเดี่ยวมาก สั่งการให้ตำรวจทั้งหมดสู้ตาย ยิงต่อสู้ต้านทางอย่างทรหด ผกค. ชั้นหัวหน้าคนหนึ่ง บุกเข้าไปถึงเสาธงหน้าโรงพักตำรวจ ถูกยิงตายคาที่ ผกค.

    ชั้นปลายแถวเสียกำลังใจ จึงบุกต่อไปไม่สำเร็จ แต่ยังคงระดมยิงปืนอาก้า และปืนครกเข้าใส่โรงพักอย่างหนัก สะเก็ดระเบิดปืน ค. ชิ้นหนึ่งถูกผู้บังคับการเลือดไหลโกรก แต่ท่านผู้บังคับกองไม่บอกลูกน้องว่า ตนถูกอาวุธข้าศึกเข้าแล้ว ยังคงร้องเพลงมาร์ชตำรวจ ปลุกใจลูกนองให้สู้ต่อไป ผกค. เห็นท่าจะไม่ชนะ จึงเปลี่ยนแผน หันไปจับเอาลูกเมียตำรวจมาเป็นตัวประกัน แล้วสั่งให้ตำรวจยอมแพ้ มิฉะนั้นจะฆ่าลูกเมียตำรวจ แต่ผู้บังคับกองตำรวจตะโกนตอบว่า ลูกเมียตายหาใหม่ได้ แต่ศักดิ์ศรีตำรวจยอมแพ้ไม่ได้

    พวกตำรวจพร้อมใจกันต่อสู้จนท้องฟ้าสาง ผกค. จำใจต้องล่าถอยไป หอบหิ้วเอา ผกค. ที่ถูกยิงตายและบาดเจ็บเอากลับไปด้วย พอสว่างดีแล้วประชาชนกระบี่ แห่กันไปให้กำลังใจตำรวจคลองท่อมกันแน่นโรงพัก ตอนนี้เอง จึงได้พบว่า ผู้บังคับกองบาดเจ็บหนักมาก เลือดไหลนองพื้นห้องโรงพัก ต้องรีบนำตัวเข้ารักษาที่โรงพยาบาลโดยด่วน ปีนั้น ท่านผู้บังคับกองคลองท่อมได้เลื่อนเงินเดือน 4 ขั้นเป็นความดีความชอบพิเศษ

    นี่เป็นครั้งแรกที่ ผกค. ภาคใต้ โจมตีโรงพักตำรวจไม่สำเร็จ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ตำรวจภาคใต้มีกำลังใจดีขึ้น สู้รบ ผกค. อย่างเข้มแข็งจนชนะ ผกค. ได้อีกหลายแห่ง ข้าพเจ้าได้นำพนักงานโรงงานไฟฟ้ากระบี่ไปเยี่ยมตำรวจคลองท่อม พร้อมด้วยเงินและของขวัญ เพื่อเพิ่มกำลังใจให้ตำรวจ พบว่าฝาผนังโรงพักตำรวจคลอดท่อมถูก ผกค. ยิงพรุนไปหมด แต่น่าแปลกใจที่พระบรมฉายาลักษณ์ในหลวง และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ประจำโรงพักตำรวจคลองท่อม ที่แขวนติดกับฝาผนังมีภาพเป็นปกติดังเดิมทุกประการ ไม่ถูกปืนหรือสะเก็ดระเบิดของ ผกค. แต่ประการใด

    ตำรวจคลองท่อมจึงเคารพนับถือพระบรมยาลักษณ์ทั้งสองภาพนั้นมาก ถือเป็นของศักดิ์สิทธ์ประจำโรงพัก เรื่องนี้ได้รับการยืนยันอีกครั้ง เมื่อเกิดไฟไหม้ห้องควบคุมโรงไฟฟ้ากระบี่ รถดับเพลิงของโรงไฟฟ้า รถดับเพลิงจากอำเภอเมืองกระบี่ และรถดับเพลิงจากอำเภอคลองท่อม ช่วยกันดับไฟอย่างเข้มแข็งแต่ไฟสงบลงได้ยาก เพราะไฟไหม้ติดผนังด้านใน ไหม้ฝ้าเพดานห้อง ไหม้ฉนวนกันความเย็นหุ้มท่อเครื่องปรับอากาศ และไหม้สายไฟฟ้า

    ควันพิษที่เกิดขึ้นทำให้แสบตาแสบจมูก เข้าไปดับไฟใกล้ๆ ไม่ได้ ต้องฉีดน้ำจากภายนอกห้องในระยะไกล ไฟจึงไหม้ผนังไม้ไปเรื่อยๆ ใกล้จะถึงบริเวณแผงสวิตช์โรงไฟฟ้าอยู่แล้ว ถ้าแผงสวิตช์และตู้ควบคุมโรงไฟฟ้าถูกไฟไหม้ จะเกิดความเสียหายร้ายแรง ค่าซ่อมจะแพงมาก และต้องใช้เวลาซ่อมนาน แต่เหตุการณ์คล้ายปาฏิหาริย์เกิดขึ้น ไฟที่ไหม้แยกเป็น 2 ด้าน ด้านหนึ่งไหม้ลามฝาผนัง ไปถึงพระบรมฉายาลักษณ์ในหลวงและสมเด็จฯ ไฟก็หยุดลงไม่ลุกลามต่อไป อีกด้านหนึ่งไฟไหม้ผนังห้องลามไปถึงหิ้งบูชาพระพุทธรูปประจำห้องควบคุมโรงไฟฟ้า ไฟก็หยุดลงไม่ไหม้ลามต่อไป

    เป็นอันว่า ไฟหยุดไหม้เพียงแค่นั้นเอง ความเสียหายที่เกิดขึ้นจึงไม่มาก ใช้เวลาซ่อมไม่นาน โรงไฟฟ้ากระบี่ก็เดินเครื่องขึ้นมาใหม่ได้ ดังนั้น ต่อมาพนักงานไฟฟ้ากระบี่จึงถือว่าพระบรมฉายาลักษณ์ทั้งสองภาพ และพระพุทธรูปองค์นั้นเป็นของศักดิ์สิทธิ์ประจำโรงไฟฟ้ากระบี่


    เรื่องที่ 3 พระภูมิเจ้าที่โรงไฟฟ้าลิกไนต์กระบี่เฮี้ยน


    ก่อนที่หลวงพ่อจะไปโปรดชาวภาคใต้นั้น ภายในบริเวณโรงไฟฟ้าลิกไนต์กระบี่ จะเกิดเรื่องการตายอย่างน่าสยองเป็นประจำทุกปีอย่างน้อยปีละ 1 ราย ข้าพเจ้าเคยเชิญคุณพี่ตรีธา จากวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ กรุงเทพฯ ไปตรวจดูบนโรงไฟฟ้า เธอถามข้าพเจ้าว่า ที่นี่เคยมีคนถูกต้นไม้ใหญ่ล้มทับตายหรือไม่ สมัยที่ข้าพเจ้าไปถึงโรงไฟฟ้าครั้งแรกนั้น ต้นไม้ขนาดโตถูกโค่นลงหมดแล้ว หน่วยก่อสร้างโรงไฟฟ้าได้ไถดินจนราบเป็นบริเวณกว้างใหญ่

    ข้าพเจ้าจึงตอบพี่ตรีธาว่า ไม่ทราบ เธอได้แนะนำว่ามีวิญญาณที่แรงมากสิงสู่อยู่ที่โรงไฟฟ้ากระบี่ วิธีแก้ให้เอาสายสิญจน์มาวงรอบโรงไฟฟ้า แล้วนิมนต์พระมาสวดพระปริตร ข้าพเจ้าไม่สามารถทำตามได้ เพราะโรงไฟฟ้ามีขนาดใหญ่โตมาก จะเอาสายสิญจน์ไปวงรอบได้อย่างไร และคนที่ไม่เชื่อเรื่องไสยศาสตร์ก็มีมาก จะหาว่าข้าพเจ้าบ้า มีผลไม่ดีในการปกครองคนงานต่อไป อนึ่ง พนักงานที่นับถือศาสนาอิสลามก็มีมาก ถ้าเขาขอให้นิมนต์โต๊ะครูโต๊ะหะยีมาทำพิธีไล่ผีบ้าง ก็จะยิ่งยุ่งหนักเข้าไปอีก

    เหตุร้ายจึงเกิดขึ้นต่อมาทุกปี จนถึงเมื่อหลวงพ่อไปพักที่บ้านข้าพเจ้าที่โรงไฟฟ้ากระบี่ มีเทวดาองค์หนึ่งเข้าไปหาหลวงพ่อทำเป็นมือใหญ่ขึ้นๆ แล้วก็มือหดเล็กลงๆ แล้วก็ทำมือใหญ่ขึ้นๆ อีกสลับกัน หลอกหลวงพ่อ หลวงพ่อบอกเทวดาองค์นั้นว่า อย่าหลอกเลย หลวงพ่อไม่กลัวผี เทวดาหัวเราะแล้วทำมือเท่าขนาดปกติ หลวงพ่อถามต่อไปว่า สมัยที่เป็นคนชาติสุดท้าย ตายด้วยสาเหตุอะไร เทวดาทำภาพให้หลวงพ่อดู ปรากฏว่าถูกต้นไม้ใหญ่ล้มทับตาย

    เป็นอันว่าตรงกับพี่ตรีธาบอกข้าพเจ้าไว้ก่อนแล้ว ข้าพเจ้าจึงเล่าเรื่องที่พี่ตรีธาแนะนำวิธีแก้ไข ป้องกันอุบัติเหตุสยองขวัญ หลวงพ่อฟังแล้วตอบว่าการเอาสายสิญจน์มาวงล้อมโรงไฟฟ้ากันผีภายนอกไม่ได้เข้าไปข้างในได้ก็จริง แต่เวลาพระสวดพระปริตรไล่ผี ผีซึ่งอยู่ภายในโรงไฟฟ้าจะออกไปไม่ได้ ก็จะอาละวาด ทีนี้จะเกิดยุ่งหนักเข้าไปอีก ข้าพเจ้าจึงอาราธนาหลวงพ่อเป็นประธาน ตั้งศาลพระภูมิประจำโรงไฟฟ้ากระบี่

    หลวงพ่อได้ทำพิธีบวงสรวงให้ แล้วเล่าให้ฟังว่า หลวงพ่อได้ฝากหัวหน้าเทวดาที่คุ้มครองอาณาเขตภาคใต้ของประเทศไทย ชื่อ พ่อปู่วิรุญหะมาน พ่อปู่เมตตารับจะคุ้มครองโรงไฟฟ้าฝ่ายผลิตภาคใต้ทุกโรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่โรงไฟฟ้ากระบี่ มีอมนุษย์แรงมากสิงอยู่ จึงจัดเทวดาที่เฮี้ยนมากหลายองค์ มาประจำคุ้มครองให้

    หลวงพ่อแนะนำเพิ่มเติมว่า ถ้าจะให้ขลังพอถึงวันที่ตั้งศาลพระภูมิโรงไฟฟ้ากระบี่ ให้จัดเครื่องเซ่นสังเวยตามธรรมเนียม ดังนั้นทุกๆ วันพุธ ข้าพเจ้าจึงจัดอาหารถวายพ่อปู่วิรุญหะมานเป็นประจำจนถึงวาระที่ข้าพเจ้าย้ายจากภาคใต้ เข้ามาปฏิบัติงานที่ส่วนกลางนนทบุรี นับตั้งแต่ตั้งศาลพระภูมิที่โรงไฟฟ้ากระบี่แล้ว เรื่องร้ายแรงที่เกิดการตายอย่างสยดสยองก็หมดไปไม่เกิดขึ้นอีกเลย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 ธันวาคม 2013
  16. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    112
    ค่าพลัง:
    +225,706
    เรื่องที่ 4 ข้าพเจ้าเป็นหมอไล่ผี ด้วยความจำเป็น

    ในระหว่างที่ข้าพเจ้าทำงานอยู่ที่โรงไฟฟ้ากระบี่นั้น บ้านพักข้าพเจ้ามีคนงานเฝ้าบ้านคนหนึ่งชื่อ นายสมบูรณ์ ภรรยาชื่อนางแพว มีบุตรสาวตัวเล็กๆ คนหนึ่งอาศัยอยู่ที่เรือนคนใช้ คืนวันหนึ่งประมาณตีสอง นายสมบูรณ์ขึ้นไปปลุกข้าพเจ้า แล้วรายงานว่าผีเข้านางแพว ไล่เท่าไรก็ไม่ยอมออก ขอให้ข้าพเจ้าช่วยไล่ผีให้ด้วย ตอนนั้นเสียงสุนัขบ้านที่อยู่ข้างๆ หอนกันเสียงโหยหวน ข้าพเจ้าตั้งแต่เกิดมาไม่เคยเป็นหมอผี แต่เมื่อเกิดความจำเป็นขึ้นมา ก็ต้องทำใจกล้าลองดูสักครั้ง ทั้งที่ความกลัวผีก็มีอยู่มาก

    ข้าพเจ้าสั่งให้นายสมบูรณ์ลงมาข้างล่างควบคุมตัวนางแพวเอาไว้ ข้าพเจ้าเอาขันน้ำในห้องน้ำชั้นบนใส่น้ำจนเต็ม แล้วเข้าห้องพระ อาราธนาพระสมเด็จหลวงพ่อโตที่ห้องคออยู่ เอาลงแช่ในขันน้ำ กราบพระแล้วว่านะโม 3 จบ แล้วสวดคาถาชินบัญชร อาราธนาบารมีสมเด็จหลวงพ่อโต มาช่วยไล่ผีให้ด้วย พอเสร็จสรรพ ข้าพเจ้านำพระหลวงพ่อโตคล้องคออย่างเดิม แล้วถือขันน้ำมนต์เดินลงมาชั้นล่าง นางแพวร้องว่ากลัวแล้วๆ วิ่งหนีเข้าห้อง นอนคลุมโปงตัวสั่นอยู่บนเตียง ข้าพเจ้าพานายสมบูรณ์ตามเข้าไป แล้วข้าพเจ้าพูดดีๆ ว่าอย่าอยู่ที่นี่เลย มาจากที่ไหน ก็กลับไปเสียเถอะ ที่บ้านนี้มีเทวดาคุ้มครองรักษา

    พอกล่าวจบ ข้าพเจ้าเอาน้ำมนต์รดลงไป บนผ้าคลุมโปงของนางแพว ตั้งแต่ศีรษะนางแพว ลงมาจนถึงปลายเท้า นางแพวดิ้นตึงตังอยู่ในโปง ร้องออกมาเสียงห้าวๆ เป็นเสียงผู้ชายว่า เล่นเจ็บๆ อย่างนี้กูไม่อยู่ละโว้ย แล้วนางแพวก็หยุดดิ้นเงียบสงบลง ตอนนั้น เสียงสุนัขข้างบ้านหอนโจ๋ขึ้นรับกันเป็นทอดๆ ไกลออกไปทุกที แล้วก็เสียงเงียบลง ข้าพเจ้าจึงได้กลายเป็นหมอไล่ผี คืนหนึ่งในชีวิตคืนวันนั้นเอง


    เรื่องที่ 5 คนไทยภาคใต้มาจากไหน

    หลวงพ่อเล่าเรื่องประวัติคนไทยภาคใต้ให้ฟังว่า คนไทยได้อพยพถอยหนีลงมาจากภาคใต้ประเทศจีน ปัจจุบันเข้าสู่แดนสุวรรณภูมิเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งได้เข้ามาทางเชียงแสน เชียงราย กลุ่มที่สองข้ามภูเขาตะนาวศรีเข้าไปอยู่ทางภาคใต้ หัวหน้าคนไทยกลุ่มภาคใต้ชื่อท่านอาลีบอลข่าน

    ยุคนั้นคนไทยนิยมตั้งชื่อเป็นภาษาอินเดีย ถือกันว่าโก้ดี บางสมัยก่อนหน้านั้น นิยมตั้งชื่อเป็นภาษาจีน เปลี่ยนไปเป็นยุคๆ คนไทยภาคใต้ตอนแรก มีกำลังคนน้อย คนป่าพื้นเมืองเจ้าของถิ่นที่นุ่งใบไม้ ผมหยิก ตาพอง มีจำนวนมากกว่าหลายเท่า คนไทยต้องยอมอ่อนน้อมเป็นเมืองขึ้น ส่งส่วยเป็นประจำ ต่อมาหัวหน้าคนไทยเป็นชายหนุ่มรูปงาม เฉลียวฉลาด เป็นที่พอใจของหัวหน้าชาวป่าคนพื้นเมือง หัวหน้าชาวป่าจึงยกลูกสาวให้อยู่กินกัน

    ลูกเขยรูปงามได้ย้ายเข้าไปอยู่รวมกับพ่อตา แล้วรับอาสาพ่อตาไปเที่ยวเก็บส่วยคนไทยแทนพ่อตา เมื่อลูกเขยตัวดีออกไปพบพวกคนไทย ก็นัดแนะกันให้คนไทยลักลอบไปฝึกอาวุธกันในป่า พอฝึกเสร็จก็กลับบ้านเอาอาวุธฝังดินซ่อนไว้ในป่า ไม่ให้คนป่ารู้ ต่อมา ชาวไทยภาคเหนือมีพระเจ้าพรหมมหาราชเป็นผู้นำ ทำการกู้เอกราชคนไทยพ้นจากอำนาจขอมดำได้สำเร็จ ตั้งตัวขึ้นเป็นอิสระ ไล่ฆ่าพวกขอมดำจนล่าถอยไปจากดินแดนแถบนั้น

    ในเวลาต่อมา คนไทยภาคเหนือได้แต่งกองเกวียน เดินทางมาค้าขายติดต่อกับคนไทยภาคใต้ ขามามีชายหนุ่มนั่งเกวียนมาด้วยหลายคน เอาหอกดาบซ่อนไว้ข้างล่าง เอาสินค้าทับไว้ข้างบน ขากลับเกวียนมีคนขับเหลือเพียงคนเดียว โดยวิธีนี้จำนวนคนไทยภาคใต้จึงมีมากขึ้น จนพร้อมที่จะรบเพื่อประกาศความเป็นอิสรภาพ พอถึงวันดีคืนดี ลูกเขยรูปงามก็ให้สัญญาณคนไทยลุกอือกันขึ้น ตัวลูกเขยนั้นอยู่ประชิดตัวพ่อตาอยู่แล้ว ก็ได้โอกาสเอาดาบจ่อคอหอยพ่อตา

    พ่อตาเสียท่าจึงยอมแพ้ คนไทยจึงเป็นอิสระ ครั้นพอพวกคนป่าที่อยู่ห่างไกลออกไปรู้เรื่องก็โกรธแค้นมาก ยกพวกกันเข้าตีแก้แค้น เกิดการสู้รบกันอย่างหนักหลายครั้ง พวกคนป่าตายมาก จนหมดสิ้นไปจากภาคใต้ประเทศไทย ยังมีเหลือจำนวนน้อยก็หลบหนีไปอยู่ในดินแดนภาคเหนือของประเทศมาเลเซีย เมื่อเป็นอิสระทุกภาคแล้ว คนไทยทุกกลุ่มก็นัดกันตั้งชื่อนำหน้าว่า พรหม เพื่อให้เป็นที่รู้กันว่าเป็นคนไทย

    ภาคเหนือชื่อพระเจ้าพรหมมหาราช ภาคใต้กลุ่มเมืองกระบี่ – พังงา ชื่อพระเจ้าพรหมจักร กลุ่มภูเก็ต – ระนอง ชื่อพระเจ้าพรหมมณี กลุ่มชุมพร – ระนอง ชื่อพระเจ้าพรหมภักดี หลวงพ่อเล่าว่า พระเจ้าพรหมจักรบอกท่านว่า ข้าพเจ้าเป็นเพื่อนร่วมรบของท่าน ในยุคนั้น ข้าพเจ้ารบได้ว่องไวมาก ศัตรู 4 คนรุม ยังทำร้ายข้าพเจ้าไม่ได้ ข้าพเจ้าได้ช่วยท่านรบศึกหนักหลายครั้ง ลุยเลือดนองถึงตาตุ่ม ด้วยเหตุนี้เอง หลวงพ่อจึงได้เรียกชื่อข้าพเจ้าว่าขุนกระบี่


    เรื่องที่ 6 พระบรมธาตุเมืองนครศรีธรรมราชเป็นของจริง


    ระหว่างที่หลวงพ่อไปพักที่บ้านในโรงไฟฟ้ากระบี่ ข้าพเจ้าได้กราบเรียนถามว่า พระบรมธาตุที่บรรจุอยู่ในเจดีย์วัดระบรมธาตุ อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช เป็นพระบรมธาตุแท้จริงหรือไม่ พอกราบเรียนถามเสร็จ หลวงพ่อมีคำตอบให้ทันทีว่า เจ้าของท่านตอบว่าเป็นของแท้


    เรื่องที่ 7 อภินิหารเจ้าทะเลกระบี่

    ท่านกำนันสี่น เศรษฐีผู้ใจดี ตำบลใสไทย อำเภอเมืองกระบี่ ได้มีจิตศรัทธาจัดเรือประมงตังเกขนาดใหญ่หนึ่งลำ พาคณะของหลวงพ่อออกชมทะเลกระบี่ ขณะที่เรือกำลังแล่นห่างฝั่งหาดนพรัตนาราออกไปประมาณ 500 เมตร คลื่นมีขนาดโตพอสมควร เรือจึงแล่นตัดคลื่นช้าๆ ขณะนั้นเอง พวกเราที่อยู่ในเรือมองไปทางฝั่ง แลเห็นคล้ายกิ้งก่าตัวยาวประมาณหนึ่งศอก เป็นสีทองเหลืองอร่าม หงอนแดง ว่ายน้ำชูคออยู่เหนือยอดคลื่นมุ่งเข้ามาหากราบเรือ

    ข้าพเจ้าเป็นห่วงว่ากิ้งก่าเป็นสัตว์บก ทำไมวันนี้กล้าหาญชาญชัย ว่ายออกทะเลย กลัวว่าจะจมน้ำตายหรือถูกปลาใหญ่ฮุบกินเป็นอาหาร พอกิ้งก่าทองว่ายเข้ามาใกล้วจะถึงกราบเรือ พวกเราเฮโลกันไปชะโงกมองดู แลเห็นกิ้งก่าทองคำมุดลอดใต้ท้องเรือ ข้าพเจ้าใจหายกลัวใบพัดเรือจะตัดตัวกิ้งก่าทองขาดเป็นท่อนๆ พวกเราพากันไปดูที่อีกกราบเรือหนึ่ง แต่ก็ไม่พบอีกเลย ภายหลังพวกเราก็ถึงบางอ้อ หมดข้อสงสัย

    เมื่อหลวงพ่ออธิบายว่า ภาพกิ้งก่าทองที่แลเห็นนั้น เป็นมังกรทองที่เจ้าทะเลกระบี่เนรมิตขึ้นมาต้อนรับหลวงพ่อ เป็นแต่เพียงภาพเนรมิตไม่มีตัวตนจริงๆ เป็นอันว่าพวกเราได้ประสบอภินิหารเทวดาเจ้าทะเลกระบี่ในวันนั้นเอง นอกจากนี้ ท่านเจ้าทะเลกระบี่ยังเล่าให้หลวงพ่อฟังว่า ถ้าลากเส้นตรงจากหาดนพรัตนารากระบี่ ไปยังหาดราไวยภูเก็ต แบ่งครึ่งเส้นตรงเป็นสองส่วน ถอยหลังกลับมาทางกระบี่สองกิโลเมตร แล้วเจาะพื้นทะเลลงไปตรงนั้น จะพบน้ำมันดิบธรรมชาติ หลวงพ่อเล่าเสริมต่อไปว่า เมืองไทยรวยน้ำมัน ต่อไปเจ้าขานกกระยางจะเต็มไปทั่วเมืองไทย ไปที่ไหนก็พบเจ้าขานกกระยาง (คือเครื่องสูบชักเอาน้ำมันดิบขึ้นมาจากใต้ดิน – ผู้เขียน)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 ธันวาคม 2013
  17. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    112
    ค่าพลัง:
    +225,706
    เรื่องที่ 8 ประเทศไทย จะเป็นมหาอำนาจและรวยมากเป็นมหาเศรษฐี

    ระหว่างที่คณะของหลวงพ่อนั่งเรือจากอ่าวพังงาจะไปเกาะปันหยี ถ้ำลอด และเขาพิงกัน เทวดาที่เป็นเพื่อนเก่าของหลวงพ่อมาต้อนรับ และชี้ให้หลวงพ่อดูจุดที่เจาะพื้นทะเลลงไป จะพบหินดาน เจาะหินดานทะลุจะพบน้ำมันดิบพุ่งขึ้นมาปริมาณมากมายมหาศาล ข้าพเจ้าเคยเรียนวิชาธรณีวิทยาทราบว่า แหล่งน้ำมันดิบจะมีขนาดใหญ่มาก ถ้าน้ำมันถูกกักเก็บภายใต้ชั้นหินโค้งรูปโดม

    ปกติน้ำมันเบากว่าน้ำ ถูกสูบน้ำมันออก ระดับน้ำมันจะลดลงจากข้างล่างขึ้นไปหาข้างบน และจะมีน้ำไหลเข้าไปแทนที่น้ำมัน ถ้าดูตามภูมิศาสตร์ ทวีปอาเซียบริเวณตะวันออกเฉียงใต้ มีน้ำมันดิบทิศใต้ที่ประเทศอินโดนีเซีย มาเลเซีย ซาราวัค และบรูไน ทิศเหนือ พบน้ำมันดิบทางตอนใต้ประเทศจีน จังหวัดเช็งลี ทิศตะวันออกมีน้ำมันที่ชายฝั่งประเทศเวียดนาม ทิศตะวันตกพบน้ำมันดิบที่ประเทศพม่า

    ประเทศไทยอยู่ตรงกลาง เปรียบได้เหมือนอยู่ตรงศูนย์กลางรูปโดมมหึมา น้ำมันใต้พื้นดินประเทศไทยจะสูบออกหมดทีหลัง ประเทศบรูไน ซาราวัค อินโดนีเซีย จีน เวียดนาม และพม่า ซึ่งอยู่ขอบรูปโดม หลวงพ่อเล่าว่า เทวดาท่านอธิบายว่า ขณะนี้ทั่วโลกใช้น้ำมันรวมกันเท่าใด ถ้ารุมกันมาใช้น้ำมันจากไทยเพียงแหล่งเดียวนาน 99 ปี จะหมดน้ำมันไทยไปเพียงหนึ่งในสามของจำนวนที่มีใต้แผ่นดินไทย

    ถ้าสูบน้ำมันใต้เมืองไทยออกหมดแล้วไม่มีน้ำไหลเข้าไปแทนที่ เมืองไทยจะจมหายลงไปอยู่ใต้ทะเล ต่อไปเมืองไทยจะขายน้ำมันรวยมากเป็นมหาเศรษฐี แขกซาอุที่ว่ารวยนักหนาในปัจจุบัน ต่อไปจะอายประเทศไทย แม้กระทั่งฝรั่งชาติยุโรปก็ยังต้องเกรงใจไทย ส่วนญี่ปุ่นนั้นต้องคุกเข่าให้ไทยมาขอซื้อน้ำมันไปใช้ นอกจากน้ำมันแล้ว ไทยยังมีแร่ทองคำธรรมชาติมากมาย หลวงพ่อเล่าว่ามีแร่ทองคำอยู่ใต้ภูเขายาวเป็นหลายกิโลเมตร ต่อไปจะมีการระเบิดภูเขาทิ้งไปทั้งลูกเพื่อจะเอาแร่ทองคำ

    ถึงสมัยนั้นศีลธรรมของคนไทยดีมาก ความร่ำรวยและความเจริญจะปรากฏขึ้นถึงขีดสูงสุด นอกจากจะรวยแล้ว ไทยยังจะมีอำนาจมาก เพราะเมืองไทยจะพบแร่ปรมาณู ต่อไปความลับเรื่องการทำระเบิดปรมาณูจะไม่เป็นความลับสำหรับคนไทย


    หลวงพ่อเล่าเสริมว่า ขณะนี้พบกากแร่ปรมาณูนั้นแล้ว เป็นแร่ที่หมดสภาพแล้ว สีขาวใส ผู้หญิงเอามาทำเครื่องประดับ หลวงพ่อถามข้าพเจ้าว่ารู้จักชื่อไหม แร่นี้เมื่อแตกตัวจะให้ความเย็นจัด ตรงข้ามกับแร่ยูเรเนียมซึ่งให้ความร้อนจัด แต่ก็เอามาทำระเบิด เอามาทำเป็นเครื่องมือรักษาคนไข้ได้เหมือนกัน สมัยที่ข้าพเจ้ายังเรียนวิชาวิศวกรรมเหมืองแร่ไม่เคยได้ยินว่ามีแร่ลักษณะนี้ จึงกราบเรียนหลวงพ่อว่าข้าพเจ้าไม่ทราบว่าแร่นี้ชื่ออะไร

    เรื่องไทยจะเป็นประเทศมหาอำนาจและร่ำรวยมากนี้ หลวงพ่อยังได้เล่าให้ฟังต่อไปอีกว่า หลวงพ่อได้รับมอบหนังสือสมุดข่อยโบราณ เขียนด้วยธงสีเหลือง กล่าวเอาไว้ว่าผู้เขียนคือ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ได้พยากรณ์อนาคตของประเทศไทย ต่อจากสมัยกรุงศรีอยุธยาไว้ว่ามี 10 ยุค

    คือ 1.มหากาฬ 2.พันธุ์ยักษ์ 3.รักบัณฑิต 4.สนิทธรรม 5.จำแขนขาด 6.ราชโจร 7.นนท์ร้องทุกข์ 8.ยุคทมิฬ 9.ถิ่นตาขาว และ 10.ชาววิไล

    หลวงพ่อเคยกราบเรียนถาม สมเด็จผู้พยากรณ์ว่า ราชวงศ์จักรีมี 10 รัชกาลเท่านั้นเองหรือ
    สมเด็จท่านตอบว่า ใครบอกว่ามี 10 รัชกาล ท่านเรียกว่า 10 ยุค ไม่ใช่ 10 รัชกาล ความจริงยุคที่ 11 ก็ชื่อชาววิไล ยุคที่ 12 ก็ชาววิไล ยุคที่ 13 ก็ชาววิไล ฯลฯ ชื่อซ้ำกัน จึงเขียนชื่อยุคไว้ 10 ชื่อเท่านั้น ความจริงราชวงศ์จักรีจะมีสืบต่อไปอีกนาน

    เรื่องที่ 9 ท่านย่ามุกและท่านย่าจันทร์ ทำบุญหนีบาป

    เมื่อคณะของหลวงพ่อเดินทางจากกระบี่เข้าสู่เมืองภูเก็ต ปรากฏว่ามีเทพธิดาคือท่านย่ามุกและท่านย่าจันทร์ ไปต้อนรับหลวงพ่อ

    หลวงพ่อถามท่านย่าทั้งสองว่า ทำสงครามฆ่าคนตายตั้งแยะ ทำไมได้ขึ้นสวรรค์
    ท่านย่าตอบว่า ก็อิฉันโง่นี่เจ้าคะ พอเสร็จสงครามก็สร้างวัดทำบุญเป็นการใหญ่ อานิสงส์ผลบุญจึงช่วยให้ได้ไปสวรรค์

    ข้าพเจ้าสมัยหนึ่งเคยนึกในใจว่า ถ้าคนโบราณสร้างโรงเรียน สร้างโรงพยาบาลจำนวนมากเหมือนที่สร้างวัด คนไทยจะสบายกว่านี้มาก บางที่วัดอยู่ใกล้ๆ กันหลายวัดก็มี ตอนนี้จึงเข้าใจแล้วว่า การสร้างวัดเป็นวิหารทาน มีอานิสงส์มากกว่า คนโบราณฉลาดในการทำบุญให้ได้กุศลมากๆ จึงนิยมกันสร้างวัด ถวายให้เป็นสมบัติของพระพุทธศาสนา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 ธันวาคม 2013
  18. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    112
    ค่าพลัง:
    +225,706
    เรื่องที่ 10 พระภูมิเจ้าที่โรงไฟฟ้าภูเก็ตจับตัวขโมยสายไฟ


    ขณะที่หลวงพ่อพักอยู่ที่บ้านวิศวกรโรงไฟฟ้าภูเก็ต มีพนักงานโรงไฟฟ้าพร้อมด้วยครอบครัวจำนวนมาก เข้าไปกราบหลวงพ่อ
    หลวงพ่อได้ชี้ตัวถามพนักงานคนหนึ่งว่า เคยขโมยสายไฟฟ้าหรือเปล่า
    พนักงานคนนั้นตกใจ อ้อมแอ้มรับว่า เคยขโมย
    หลวงพ่อสั่งสอนว่า เลิกขโมยเสียนะ สายไฟมันจะดึงลงนรก

    รุ่งขึ้นตอนเช้าหัวหน้าโรงไฟฟ้าเข้าไปกราบถามชื่อพนักงานที่เป็นขโมย หลวงพ่อตอบว่า พระภูมิเจ้าที่บอกว่าเขารับสารภาพ จึงยกโทษให้ ถ้าไม่รับสารภาพจะลงโทษให้หนัก หลวงพ่อสั่งสอนหัวหน้าฯ ว่า ต่อไปดูแลเก็บพัสดุสิ่งของให้ดี จะไม่มีใครขโมยได้อีก

    เรื่องที่หลวงพ่อทราบเหตุการณ์ต่างๆ อย่างน่าแปลกใจนี้ ข้าพเจ้าได้ประสบด้วยตนเองอีกครั้งหนึ่ง ในสมัยแรกๆ ที่ได้ไปกราบหลวงพ่อ ณ ที่วัดท่าซุง จังหวัดอุทัยธานี ในวันหนึ่ง พวกเราเข้าแถวคลานตามกันเข้าไปกราบหลวงพ่อ ทหารอากาศคนหนึ่งอยู่ข้างหน้าข้าพเจ้าเข้าไปกราบ

    หลวงพ่อถามขึ้นว่า เคยขโมยลูกปืนไหม
    เขาตอบปฏิเสธ
    หลวงพ่อย้ำอีกครั้งว่า ไม่ใช่ลูกปืนที่ยิงกัน แต่เป็นลูกปืนเครื่องจักร
    ทหารอากาศคนนั้นนิ่งเงียบไม่ปฏิเสธอีก เท่ากับยอมรับโดยดุษฎี

    หลวงพ่อสั่งสอนให้เลิกขโมยเสีย พอถึงคราวคนที่อยู่ข้างหน้าข้าพเจ้าเข้าไปกราบ หลวงพ่อถามเขาว่า คุณกินเหล้าหรือเปล่า เขาตอบว่าวันนี้ไม่ได้ดื่มเหล้า แต่ปกติเคยดื่ม หลวงพ่อสั่งสอนให้เลิกเสีย

    ครั้นถึงคราวข้าพเจ้าบ้าง วันนั้นข้าพเจ้าเช่าพระองค์หนึ่งจากวัดท่าซุง นำเข้าไปถวาย ขอให้หลวงพ่อแผ่เมตตาจิตแล้วข้าพเจ้าจะได้รับมาจากมือของหลวงพ่อ ก่อนหน้านั้น ขณะที่รอคิวอยู่ ข้าพเจ้าอธิษฐานในใจ ขณะที่ยังอยู่ห่างจากหลวงพ่อว่า บุญกุศลทั้งหลายที่ได้บำเพ็ญไว้แล้ว ขอจงเป็นผลหนุนส่งให้ข้าพเจ้าได้บรรลุพระนิพพานในชาติปัจจุบัน ชาตินี้ขอเกิดเป็นชาติสุดท้าย ภพนี้ขอเป็นภพสุดท้าย ชาติหน้าภพหน้าขอจงอย่าได้มีบังเกิดสำหรับข้าพเจ้าอีกเลย ข้าพเจ้าไม่ต้องการเกิดอีกแล้ว ไม่ขอเกิดอีกแล้ว ขอความตั้งใจของข้าพเจ้าครั้งนี้ จงสำเร็จผล สมความปรารถนาภายในชาติในภพปัจจุบันนี้ด้วยเถิด

    พอข้าพเจ้าเข้าไปกราบหลวงพ่อ ท่านรับเอาพระไปยกมือขึ้นจบ และก่อนที่จะส่งคืนให้ข้าพเจ้า
    หลวงพ่อหันมายิ้มแล้วบอกข้าพเจ้าว่า ที่ขอเมื่อกี้นี้พระท่านบอกว่าไปได้ ไปได้
    ข้าพเจ้าปลื้มใจมาก ที่จะได้ยุติการเวียนว่ายตายเกิดเสียที ถ้ายังมีลมหายใจอยู่ตราบใด ก็จะทำหน้าที่ทุกประการอย่างเต็มกำลังความสามารถ ถ้าหยุดหายใจเมื่อใดก็เลิกกัน จะออกจากร่างนี้ไป ไปแล้วจะไปลับ จะไม่กลับมามีร่างกายอีกต่อไป

    จะตามรอยพระยุคลบาท สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า และตามรอยเท้าพระอรหันต์เจ้าทั้งปวง มุ่งลัดตัดตรงไปพระนิพพาน จะไม่หวนกลับมาเกิดอีกต่อไป


    เรื่องที่ 11 หลวงปู่แช่มวัดท่าฉลองภูเก็ตขับไล่จีนอั้งยี่


    ระหว่างที่พักอยู่ที่เกาะภูเก็ต หลวงพ่อเล่าให้ฟังว่า เมื่อครั้งที่โจรอั้งยี่จีนยกพวกเข้าปล้นชิงชาวเมืองภูเก็ตครั้งนั้น ทุกตำบลแพ้จีนอั้งยี่ ยังเหลือตำบลท่าฉลองเป็นแห่งสุดท้าย ยังไม่แพ้โจรอั้งยี่จีน ชาวบ้านท่าฉลองอพยพไปรวมกันที่วัดท่าฉลอง ยึดถือเอาหลวงปู่แช่มเป็นที่พึ่ง ครั้นถึงเวลาโจรจีนอั้งยี่ยกทัพเรือไปตีท่าฉลอง ชาวบ้านท่าฉลองเข้าไปกราบเรียน ขอให้หลวงปู่แช่มช่วย

    หลวงปู่ก็ตกลงรับปากจะช่วย ท่านขึ้นนั่งบนแคร่เสลี่ยง สั่งให้ชาวบ้านหามยกขึ้นเดินนำหน้า มีชาวบ้านหนุ่มๆ สามารถรบได้จำนวนราว 200 คน เดินตามหลัง กำลังโจรจีนอั้งยี่ที่ยกมามีหลายพันคน จำนวนคนทั้งสองฝ่ายต่างกันหลายเท่าตัว พอโจรอั้งยี่จีนยกพลขึ้นมาบนบกได้ก็กรูกันเข้ามา หลวงปู่แช่มสั่งให้วางเสลี่ยงลง ท่านก้าวเท้ากระทุ้งดิน 1 ครั้ง แล้วว่าคาถากำกับด้วย 1 บท พอท่านเดินไปครบ 3 ก้าว กระทุ้งไม้เท้าลงบนดินได้ 3 ครั้ง ว่าคาถาได้ 3 จบเท่านั้นเอง ปาฏิหาริย์ก็เกิดขึ้น

    ปรากฏว่าโจรจีนอั้งยี่หันหลังกลับ แตกฮือพากันวิ่งหนีไปลงเรือเล็ก ล่าถอยไปขึ้นเรือใหญ่ แล่นหนีไปโดยไม่ได้สู้รบกัน พวกที่ลงเรือเล็กไม่ทันก็กระโดดน้ำลงทะเลว่ายหนีไป ทิ้งอาวุธหอกดาบไว้เป็นจำนวนมาก ต่อมาภายหลัง ทหารไทยที่ยกไปจากเมืองหลวง เพื่อไปช่วยเมืองภูเก็ตจับอั้งยี่บางคนได้ ทหารถามว่าวันนั้นยังไม่ทันรบกันเลยหนีทำไม จีนอั้งยี่ตอบว่ามองเห็นทหารไทยยืนเต็มดงมะพร้าว แลดูสีแดงครึ่ดไปหมด ถ้าไม่รีบหนีพวกอั๊วซี้แน่ๆ

    นี่คืออานุภาพของหลวงปู่แช่มวัดท่าฉลองภูเก็ต ซึ่งเป็นพระอรหันต์อภิญญาองค์หนึ่ง หลวงพ่อได้เล่าต่อไปว่า นอกจากหลวงปู่แช่มจะเป็นพระอรหันต์อภิญญาแล้ว อาจารย์ของหลวงปู่แช่ม และอาจารย์ของอาจารย์หลวงปู่แช่มอีกรวม 2 องค์ ก็เป็นพระอรหันต์อภิญญาด้วยเหมือนกัน รวมความว่าที่วัดท่าฉลองภูเก็ตมีพระอรหันต์อภิญญาติดต่อกันถึง 3 องค์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 ธันวาคม 2013
  19. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    112
    ค่าพลัง:
    +225,706
    เรื่องที่ 12 พระพุทธรูปทองคำองค์ใหญ่ฝังใต้ดินที่อำเภอหาดใหญ่

    ขณะที่คณะหลวงพ่อแล่นรถจากเมืองตรังเข้าเขตอำเภอหาดใหญ่ พรหมองค์หนึ่งไปต้อนรับหลวงพ่อ แล้วรายงานตัวว่ามีหน้าที่เฝ้าพระพุทธรูปทองคำ ซึ่งฝังอยู่ใต้ดินที่ตำบลน้ำน้อย อำเภอหาดใหญ่ มีขนาดย่อมกว่าพระพุทธรูปทองคำวัดไตรมิตร กทม. เล็กน้อย ที่พระอุระของพระพุทธรูปทองคำใต้ดินองค์นี้ บรรจุพระบรมสารีริกธาตุเอาไว้ได้

    คนทั่วไปปัจจุบันไม่ทราบ จึงเดินข้าไปมา เป็นบาปโดยไม่ตั้งใจ คณะหลวงพ่อเป็นคณะบุญ พรหมจึงมาแจ้งให้ทราบและขอให้ช่วยสร้างสิ่งก่อสร้างอะไรสักอย่างเอาไว้บนดินตรงจุดนั้น คนที่เดินไปมาจะได้อ้อมหลบไป ไม่เดินข้ามพระ เกิดบาปอีกต่อไป หลวงพ่อถามพรหมว่าจะยอมให้ขุดขึ้นมาหรือไม่ พรหมตอบว่า คนไทยปัจจุบันศีลธรรมยังไม่ดี ถ้าขุดขึ้นมาปรากฏว่าเป็นพระทองคำแท้ จะเกิดการฆ่ากันตายแย่งชิงกัน แม้จะเอาตำรวจ ทหารมาเฝ้าก็ไม่ได้

    เพราะว่าพระพุทธรูปองค์นี้ถอดได้เป็นชิ้นๆ 9 ชิ้น คนโกงจะเอาของปลอมมาใส่แทน เอาของจริงไป ตำรวจ ทหารอาจหลับยาม สมรู้ร่วมคิดกันได้ หลวงพ่อรับปากพรหมองค์นี้แล้ว พรหมก็บอกจุดที่อยู่ให้หลวงพ่อพาพวกเราไปดู ก็พบว่าจุดที่ตั้งตรงกับที่พรหมบอกไว้ทุกประการ บริเวณนั้นอยู่ติดคลองน้ำน้อย ทางหลวงหาดใหญ่ – สงขลา เลขที่หลัก กม. ก็ตรงกับที่พรหมบอกไว้ คณะหลวงพ่อจึงมั่นใจมาก เกิดความศรัทธา ตกลงกันว่าจะสร้างวิหารเล็กๆ คลุมพื้นดินตรงจุดนั้น

    พวกเราจึงลงจากรถ เข้าไปติดต่อเจ้าของที่ดิน ชื่อนางใล่ นามสกุลชูโตชะนะ มีบุตรชายบุญธรรมชื่อ ร.ต.ต.ชัยณรงค์ ชูโตชะนะ เมื่อได้รับอนุญาตจากเจ้าของที่ดินให้สร้างวิหารได้โดยไม่คิดราคาที่ดิน ท่านเจ้าของที่ดินศรัทธาหลวงพ่อมาก กราบเรียนท่านหลวงพ่อจะเอาที่กว้างเท่าไรก็เอา จะยกให้ถวายวัดหรือถวายในหลวง

    คณะศิษย์หลวงพ่อขณะนั้น อันมีพลอากาศโท ร.ร.ว.เสริม ศุขสวัสดิ์ เป็นหัวหน้าคณะทางกรุงเทพฯ หาเงินทุนโดยรวบรวมจากคณะศิษย์ทั้งปวง ส่งไปให้ข้าพเจ้าก่อสร้างวิหาร รวมกับเงินทุนที่คุณมนตรี ตระหง่าน ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา และคุณเจริญจิตต์ ณ สงขลา ปลัดจังหวัดสงขลา รวบรวมได้จากชาวเมืองสงขลา เป็นเงินทุนจากกรุงเทพฯ เกือบ 2 แสนบาท และเงินทุนจากสงขลาแสนกว่าบาท รวมกันแล้วมีจำนวนประมาณกว่า 3 แสนบาท ใช้เงินทุนนี้สร้างวิหารตรีมุขขึ้น

    มีคุณณรงค์ ณ ตะกั่วทุ่ง ช่างสถาปนิกการไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ เขต 3 กระบี่ เป็นผู้ออกแบบ มีคุณปลั่ง ขาวบาง ช่างโยธา จากโรงไฟฟ้าลิกไนต์กระบี่ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ เขต 3 เป็นผู้ควบคุมงานก่อสร้าง มีคุณสวาท ภัทรพรนันท์ หัวหน้าโรงไฟฟ้าแกสเทอร์ไบน์หาดใหญ่ เป็นผู้ช่วยติดต่ออำนวยความสะดวก โดยมีข้าพเจ้าเป็นผู้ประสานงาน พวกเราเริ่มงานกันโดยไปติดต่อร้านค้า อำเภอหาดใหญ่ อาศัยชื่อเสียงการไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ เขต 3 เป็นเครื่องช่วยให้ร้านค้าทั้งหลายเกิดความเชื่อถือ ตกลงใจให้ซื้อของเชื่อโดยจ่ายเงินเป็นงวดๆ

    พอได้เงินจากคุณเฉิดศรี ศุขสวัสดิ์ แม่งานทางกรุงเทพฯ ก็เอาไปจ่ายร้านค้า แล้วเอาใบรับเงินไปหักล้างเงินเบิกมา ตามแบบการใช้เงินของราชการ พอเงินทางกรุงเทพฯ หมด ก็เบิกจากกองทุนจังหวัดสงขลา ใช้เงินจากสงขลาไปประมาณ 6 – 7 หมื่นบาท ยังมีเงินทุนที่ชาวเมืองสงขลาบริจาคคงเหลืออยู่ประมาณ 1 แสนบาท คณะศิษย์หลวงพ่อไม่ได้เบิกมาใช้ และมิได้เกี่ยวข้องด้วย ตั้งแต่เสร็จงานสร้างวิหารนี้เป็นต้นมา

    งานก่อสร้างนี้ ใช้เงินเฉพาะการซื้อวัสดุ อุปกรณ์ ส่วนแรงงานและการขนส่ง ได้อาศัยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ เขต 3 ช่วยสงเคราะห์ให้เปล่าโดยไม่คิดมูลค่า การก่อสร้างวิหารนี้จึงใช้เงินน้อยกว่าปกติ รวมแล้วเพียงประมาณ 2.3 – 2.4 แสนบาท ทั้งนี้หลายอย่างทุ่นรายจ่ายลงไป เช่น กระเบื้องมุงหลังคา เราก็ส่งรถการไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ มา ซื้อไปจากกรุงเทพฯ ราคาจึงต่ำกว่าจะซื้อที่หาดใหญ่

    หลวงพ่อได้สั่งไว้ว่า ก่อนจะเริ่มงานก่อสร้าง หลวงพ่อจะไปบวงสรวงพรหมผู้คุ้มครององค์พระพุทธรูปทองคำใต้ดิน วันที่มีพิธีบวงสรวง หลวงพ่อได้พาหลวงปู่สิม วัดถ้ำผาปล่อง อำเภอเชียงดาว และหลวงปู่ครูบาธรรมชัย วัดทุ่งหลวง จังหวัดเชียงใหม่ และหลวงปู่ครูบาชัยวงศา วัดพระบาทห้วยต้ม อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน ไปร่วมพิธีด้วย หลวงพ่อได้ให้หลวงปู่ทั้งสาม ตรวจดูพระพุทธรูป

    ข้าพเจ้าแปลกใจที่เห็นหลวงปู่ครูบาธรรมชัยองค์เดียวลงนั่งยองๆ ดู แต่หลวงพ่อและหลวงปู่องค์อื่นๆ ยืนดู สักครู่เมื่อการตรวจดูเสร็จสิ้นลง หลวงพ่อเล่าให้ฟังว่า เมื่อครู่ หลวงปู่ครูบาธรรมชัยถูกนักเลงดีเล่นตลก คือ พรหมท่าน เอามือมาแกล้งปิดตาหลวงปู่ครูบาธรรมชัยยืนดูไม่เห็น ท่านจึงต้องนั่งลงดู จึงเห็น

    หลวงพ่อเล่าประวัติพระพุทธรูปทองคำองค์นี้ให้พวกเราฟังว่า ทำด้วยทองคำเนื้อเก้า บริสุทธิ์เกือบ 100% ตามปกติทองคำบริสุทธิ์ 100% เนื้ออ่อนเกินไปไม่แข็งแรงพอ เอามาหล่อพระพุทธรูปองค์ใหญ่ไม่ได้ จำเป็นต้องเอาโลหะอื่นๆ เช่น ทองแดงมาผสมเพิ่มความแข็งแรง ขนาดของพระพุทธรูปองค์นี้โตเกือบเท่าองค์ที่อยู่วัดไตรมิตร กรุงเทพฯ สร้างในสมัยกรุงสุโขทัย มีรวม 3 องค์เป็นชุดเดียวกัน องค์ที่สามปัจจุบันจมอยู่ในแม่น้ำโขง พบแล้วแต่ยังไม่ยอมขึ้นมา


    แม้ว่าบริษัทอิตาเลียนไทย ซึ่งกู้เรือรบศรีอยุธยา ขนาดหนัก 2,000 ตัน ที่ถูกทิ้งระเบิดจมแม่น้ำเจ้าพระยา ยังกู้ได้สำเร็จ แต่พระพุทธรูปที่จมแม่น้ำโขงอยู่ กู้เท่าไรก็ไม่สำเร็จ จะใช้รถแทรกเตอร์ผูกลวดสลิงดึง หรือจะใช้รอกกว้านช่วยดึงก็ไม่สำเร็จ ลวดสลิงขาด พระพุทธรูปเลื่อนไหลไกลออกไป สู่ร่องน้ำลึกเข้าทุกที ผลสุดท้ายต้องยุติเลิกล้มความพยายาม บริษัทอิตาเลียนไทยยอมแพ้

    ทั้งนี้เพราะเทวดาที่เฝ้าองค์พระพุทธรูปไม่ยอมให้นำขึ้นมา เนื่องจากยังไม่ถึงเวลาจะขึ้น ต้องรอให้ศีลธรรมคนไทยดีขึ้นถึงระดับเสียก่อน จะได้ไม่เกิดการฆ่าฟันกัน แย่งชิงกันเป็นเจ้าของพระทองคำ และป้องกันคนโกงจะเอาชิ้นส่วนปลอมมาใส่แทน เอาชิ้นส่วนที่เป็นทองคำแท้ไป

    เมื่อสร้างวิหารพระเสร็จลง ท่านพลเอกบุญชัย บำรุงพงศ์ มีจิตศรัทธามอบพระพุทธรูปทองสัมฤทธิ์ ขนาดหน้าตักเกือบ 4 ศอก หนึ่งองค์ ให้เป็นพระประธานในวิหาร ข้าพเจ้าจัดทีมการไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ เขต 3 มารับไปจากกรุงเทพฯ โดยไม่คิดรวมราคาก่อสร้างวิหาร ทำให้ประหยัดเงินไปได้มาก ในวันที่จะยกพระประธานเข้าตั้งในวิหาร หลวงพ่อได้ไปทำพิธีบวงสรวงอีกครั้ง

    พอเสร็จพิธีบวงสรวง หลวงพ่อเล่าว่า เมื่อสักครู่นี้ พรหมท่านขยับเลื่อนองค์พระใต้ดินเข้ามาอยู่ใต้พระประธาน ซึ่งอยู่ในวิหารเรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้เพราะจุดที่ฝังพระไว้ใต้ดินไม่สามารถตอกเสาเข็มลงไปได้ อาจทำให้เกิดอันตรายต่อพระพุทธรูปใต้ดิน หรือทำอันตรายต่อห้องใต้ดินที่คนสมัยก่อนสร้างเอาไว้ได้ หลวงพ่อเล่าเพิ่มเติมว่า พระที่อยู่ในวิหารให้ชื่อว่าพระพุทธมหามงคลบพิตร ใช้ชื่อเดียวกับพระที่อยู่ใต้ดิน

    สมัยก่อนพระทองคำองค์นี้ชาวเมืองตั้งบูชาอยู่ในตัวเมืองสงขลา ต่อมา ตอนที่พม่ายกกองทัพไปตีภาคใต้ ชาวเมืองกลัวว่า ชาวพม่าจะปล้นชิงเอาพระทองคำไป ชาวเมืองสงขลาจึงนำเอาพระทองคำขึ้นบนเรือแล่นหนีเข้าไปในป่าลึก จนถึงคลองน้ำน้อยเห็นเป็นทำเลที่เหมาะสม จึงอาราธนาพระทองคำขึ้นจากเรือ ทำการขุดดินเป็นหลุมขนาดใหญ่และลึก ก่ออิฐเป็นกำแพงกั้นยาแนวกันน้ำรั่วซึม

    แล้วบรรจุองค์พระทองคำเอาไว้พร้อมด้วยเพชร พลอย เครื่องประดับมีค่าสูงจำนวนมากมายเป็นพุทธบูชา ทำผนังหลังคาปิดกั้นเอาไว้อย่างแข็งแรงดีแล้ว เก็บรักษาความลับไว้เป็นอย่างดีไม่มีคนอื่นทราบ อนุชนรุ่นหลังจึงไม่มีใครรู้ความลับนี้

    หลวงพ่อได้อธิบายประวัติพระพุทธรูปทองคำมหามงคลบพิตร ว่าสร้างในสมัยพระเจ้าขุนรามคำแหงมหาราช กรุงสุโขทัย มีการทำพิธีตรึงแผ่นดินไทยไว้ ทิศเหนือที่เชียงแสน ทิศใต้ที่สงขลา เลยเขตนี้ออกไปไม่แน่นอน ยามใดไทยมีอำนาจก็มาอยู่รวมกับคนไทย ยามใดไทยถอยอำนาจลงก็แยกตัวออกไปเป็นประเทศอื่น

    แต่ว่า สมัยต่อไปภายหน้าพวกดังกล่าวนี้ คือ กลันตัน ตรังกานู ปะลิส ไทรบุรี และดินแดนเหนือเชียงรายขึ้นไป จะกลับมารวมกับไทยอีก ทั้งนี้ เพราะเขาเห็นว่าไทยรวยจะมาช่วยกันใช้เงินของไทย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 ธันวาคม 2013
  20. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    112
    ค่าพลัง:
    +225,706
    [​IMG]


    เรื่องที่ 13 พระราชพิธีบรรจุพระบรมสารีริกธาตุและพระบารมีในหลวง

    เมื่องานก่อสร้างวิหารพระพุทธมหามงคลบพิตรเสร็จลง ในหลวงและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พร้อมด้วยสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ ได้เสด็จมาทรงบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ในพระเศียรของพระพุทธรูปในวิหาร ข้าพเจ้าเป็นผู้ประสานงานที่หาดใหญ่ นึกเป็นห่วงว่า วันที่ในหลวงเสด็จถ้าฝนตก ประชาชนที่มาเฝ้ารับเสด็จจะเดือดร้อน เนื่องจากไม่มีเต็นท์สำหรับราษฎร

    ข้าพเจ้าจึงให้นายปลั่ง ขาวบาง บนกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ขออย่าให้ฝนตกในบริเวณงานวันนั้น ขณะที่กำลังมีงาน แต่หลวงพ่อบอกว่าเสด็จในกรมไม่ทรงรับการบนครั้งนี้ ท่านอธิบายว่าในหลวงเป็นคนมีบุญมาก ไปที่ใดฝนต้องตก อย่างน้อยที่สุดต้องโปรยลงมาเป็นละออง จะห้ามไม่ให้ตกเลยนั้น ห้ามไม่ได้

    ปรากฏว่าวันงานตั้งแต่เช้าขึ้นมาแสงแดดแจ่มใส แต่พอตกตอนสายเมฆรวมตัวกัน เหมือนเป็นร่มคันใหญ่มหึมาแผ่บางๆ กั้นกันแดดไว้พอเย็นสบาย พอตกบ่ายก่อนถึงเวลาเสด็จประมาณ 1 ชั่วโมง ฝนตกลงมาซู่หนึ่งแล้วหยุดตก เป็นอันว่าจริงตามธรรมเนียม เรื่องฝนตกในงานที่ในหลวงเสด็จนี้ ข้าพเจ้าได้ประสบมาด้วยตนเองอีก 2 ครั้ง คือ ในงานพระราชพิธีเปิดเขื่อนบางลาง อำเภอบันนังสตาร์ จังหวัดยะลา

    ก่อนเวลาเสด็จประมาณ 1 ชั่วโมง ฝนตกหนัก ลมพายุพัดแรงมาก กระหน่ำจนพวกเรากลัวว่าเต็นท์ที่กางรับเสด็จจะปลิวลอยไปตามลม พวกวิศวกรอาวุโสที่แต่งตัวเต็มยศ เครื่องแบบสีขาวยังยอมไม่กลัวเปื้อน ช่วยกันจับเสาเต็นท์ช่วยกันโหนไว้ เสาละ 2 – 3 คน นึกในใจว่า ถ้าเต็นท์หลุดพ้นจากพื้นดิน ลอยตามแรงลมละก็ คอขาดกันเป็นแถว เจ้านายเล่นงานตายแน่ๆ

    แต่พอทันทีที่ ฮ. พระที่นั่งแตะพื้นดิน เพลงสรรเสริญพระบารมีดังขึ้นเท่านั้นเอง ฝนหยุดตก ลมหยุดพัด นิ่งสงบลง พวกเราถอนหายใจเฮือกโล่งไปได้ ไม่ต้องโหนเสาเต็นท์เป็นลิงเป็นค่างต่อหน้าพระที่นั่งอีกต่อไป ทั้งนี้ เป็นเพราะบารมีปกเกล้าโดยแท้จริง

    อีกครั้งหนึ่งที่ข้าพเจ้าประสบก็คือ ตอนที่เสด็จพระราชดำเนินไปวัดท่าซุง งานนี้เป็นฤดูฝนทิ้งช่วงยาว อากาศร้อนจัด ทุ่งนาแถบจังหวัดอุทัยธานี จังหวัดสิงห์บุรี อ่างทอง ชัยนาท ขาดน้ำ แผ่นดินแห้ง ต้นข้าวในนาสีเหลือง ทำท่าจะตายมิตายอยู่ จะรอมร่อ ก่อนวันมีงาน บริษัทเฟคเตอร์ นำเอาเครื่องแอร์ประมาณ 3 เครื่องมาตั้งเป่าลมเย็นถวายในหลวง

    ข้าพเจ้านึกในใจว่า ถ้าในหลวงเสด็จที่ใดแล้วอากาศร้อนจัด แดดไม่ร่ม ฝนไม่ตก ก็แปลกประหลาดมากแล้ว ครั้นถึงวันที่เสด็จพระราชดำเนิน ตอนเช้ายังมีแดดตามปกติ พอตกตอนสายเมฆบางๆ เริ่มรวมตัวเหนือท้องฟ้าวัดท่าซุง เหมือนเป็นร่มขนาดมหึมากั้นกันแสงแดด ทำให้อากาศไม่ร้อนจัด มีลมพัดมาพอเย็นสบาย

    ต่อมา ได้เวลาอีกประมาณสองชั่วโมง จะถึงกำหนดที่ในหลวงเสด็จ มีฝนไล่ช้างตกลงมากราวใหญ่แล้วก็หยุดตก หลวงพ่ออธิบายว่าตอนที่ฝนตกนั้น เทวดาที่เป็นกองหน้ามาถึงแล้ว มีหน้าที่ลาดตระเวนดูแลความปลอดภัยให้ในหลวง และสมเด็จฯ ครั้นพิธีการเสร็จ ในหลวงและสมเด็จฯ เสด็จพระราชดำเนินกลับ

    ข้าพเจ้าขับรถฝ่าฝนตั้งแต่ออกจากจังหวัดอุทัยธานี จนถึงเข้าเขตกรุงเทพฯ ที่ปัดน้ำฝนประจำรถต้องทำงานไม่ได้หยุด ตลอดระยะทางอันยาวไกลนั้น แผ่นดินที่แห้งแล้ง ทุ่งนาที่กำลังขาดน้ำ ต้นข้าวที่กำลังจะตายก็กลับชุ่มชื่น ได้น้ำฝนมาต่อชีวิตให้เจริญงอกงามต่อไปได้ นี่คือการแสดงออกของฟ้าและดินให้พวกเราได้ประจักษ์ในพระบุญญาธิการของในหลวงและสมเด็จฯ

    เมื่อในหลวงและสมเด็จฯ พร้อมด้วยพระเจ้าลูกเธอ ทรงบรรจุพระบรมสารีริกธาตุลงในพระเศียรพระพุทธมหามงคลบพิตร ที่ตำบลน้ำน้อย อำเภอหาดใหญ่ เสร็จแล้วและทรงเยี่ยมเยียนราษฎรที่มาเฝ้ารับเสด็จ จนสมควรแก่เวลาแล้ว ก็เสด็จพระราชดำเนินกลับ หลวงพ่อได้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุส่วนหนึ่ง ในพระเศียรพระพุทธมหามงคลบพิตรด้วย และหลวงพ่อได้แบ่งพระบรมธาตุส่วนหนึ่งให้พวกเราที่เป็นลูกหลานหลวงพ่อได้มีโอกาสบรรจุด้วย

    ข้าพเจ้าไม่ได้เข้าไปบรรจุด้วย เพราะยืนอยู่ห่าง นึกเสียดายที่ไม่มีโอกาส แต่ขณะนั้น มีพระบรมธาตุองค์หนึ่งหล่นจากที่เก็บ ตกลงมาบนพื้นวิหารกลิ้งหายไป หลวงพ่อสั่งว่า ใครหาพบให้คนนั้นเป็นผู้นำไปบรรจุในพระเศียร ลูกศิษย์คนอื่นๆ ช่วยกันหาพักใหญ่ไม่มีใครพบ ข้าพเจ้าจึงเข้าไปช่วยหาด้วย มองหาอย่างละเอียดก็ไม่พบ แต่ขณะนั้นเอง รู้สึกว่าเท้าข้าพเจ้าได้เหยียบเม็ดอะไรเล็กๆ จึงยกเท้าขึ้นมองดู

    ปรากฏว่า ตนเองได้เหยียบเอาพระบรมธาตุเข้าไว้อย่างเต็มเปา รู้สึกทั้งดีใจและตกใจพร้อมกัน ดีใจที่เป็นผู้พบพระบรมธาตุโดยไม่ได้คิดฝัน ตกใจที่ทำบาปมากโดยไม่รู้ตัว จึงรีบขอขมาโทษต่อพระบรมธาตุองค์นั้น แล้วอาราธนานำขึ้นไปบรรจุลงในพระเศียรเป็นคนสุดท้าย พระบรมธาตุที่หลวงพ่อนำมาครั้งนี้มีลักษณะเป็นเม็ดเล็กๆ เป็นแก้วใสสีต่างๆ กัน มีหลายสีหลายขนาด จำนวนรวมกันประมาณ 1 กำมือ

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 ธันวาคม 2013

แชร์หน้านี้

Loading...