รวบรวมข่าวสาร ติดตามสถานการณ์ไข้หวัดใหญ่ 2009 (ไข้หวัดหมู)

http://www.xn--22c0bzbwatc4b2dxe5b.com/
;k01;k01;k01;k01​

 

ไขปมพัฒนาการเชื้อไข้หวัดหมู ” สู่ระดับที่ 5 ติดเชื้อ ” คนสู่คน ”


ศูนย์ความร่วมมือองค์การอนามัย โลกไวรัสสัตว์สู่คน โดย ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ได้ รายงานถึงปรากฏการณ์ของการแพร่ระบาดของไข้หวัดหมู (swine influenza) นั้น เป็นความสำเร็จก้าวสำคัญของสงครามระหว่างมนุษย์กับเชื้อโรค และเป็นการยืนยันความจริงที่ว่าโรคอุบัติใหม่-อุบัติซ้ำที่สำคัญและมีโอกาส คร่าชีวิตมนุษย์ติดต่อได้กว้างขวาง เป็นโรคที่มาจาก สัตว์สู่คน เกือบทั้งหมด ทั้งนี้ จะผ่านตัวกลาง เช่น ยุง ริ้น เห็บ หรือไม่ก็ตาม
การพัฒนาการของเชื้อโรคที่จะเข้าสู่คนนั้นแบ่งได้เป็น 5 ระดับด้วยกัน
ระดับที่ 1 คือ เชื้อโรคอยู่ในสัตว์และไม่เคยติดต่อมายังคน เช่น เชื้อมาลาเรียในลิง

(Relchenowl malaria) ระดับที่ 2 มีการติดต่อจากสัตว์มาคน แต่หยุดเพียงคนคนนั้น โดยไม่มีการแพร่จากคนสู่คน เช่น โรคพิษสุนัขบ้าจากสุนัข ระดับที่ 3 เริ่มมีการข้ามสายพันธุ์ โดยไวรัสจากสัตว์ชนิดหนึ่งถ่ายทอดไปยังสัตว์อีกชนิดและแพร่มายังคน เช่น โรคอีโบล่า (Ebola) ที่มีแหล่งรังโรคในค้างคาวแพร่มายังลิง และส่งต่อมายังคน โดยมีการติดต่อคนสู่คนด้วย แต่อยู่ในวงจำกัด

ระดับที่ 4 เชื้อจะสิงสู่ในสัตว์ได้หลายชนิด ขึ้นกับสภาวะภูมิอากาศ ความแห้งแล้ง หรืออุดมสมบูรณ์ เช่น ไวรัสในตระกูลไข้เลือดออก ไข้สมองอักเสบโดยอาจแฝงในลิงหรือสัตว์ขุดรูต่างๆ และมียุงเป็นพาหะกัดคน และเมื่อคนมีจำนวนไวรัสหรือเชื้อโรคมากๆ ขึ้นก็จะถูกยุงมากัด และนำเชื้อไปให้คนอื่นๆ อีก ซึ่งเห็นได้ชัดในโรคไข้เลือดออก ระดับที่ 5 มีการวิวัฒนาการในสัตว์จนสุกงอม และติดต่อมายังคน และติดเชื้อในคนได้อย่างสมบูรณ์ จะกระทั่งมีการติดต่อระหว่างคนสู่คนได้สำเร็จไม่ต้องอาศัยสัตว์อีกต่อไป เช่น กรณีของโรคเอดส์จากเชื้อ HIV ที่มีต้นกำเนิดมาจากลิง

ไข้หวัดหมูก็มีการพัฒนาการสุดยอด และอาจจะอยู่ในระดับที่ 5 ต่อ จากนี้จะมีการแพร่ระหว่างคนสู่คนเอง แต่จะมีประสิทธิภาพเพียงใดขึ้นกับการปรับตัวของไข้หวัดหมูในมนุษย์ ไข้หวัดหมูมีจุดกำเนิดตั้งแต่ปี ค.ศ.1918-1919 ในช่วงที่มีการระบาดครั้งใหญ่ทั่วโลกของไข้หวัดใหญ่ในคน (Spanish Flu) ซึ่งคร่าชีวิตไป 20-40 ล้านคนทั่วโลก และผู้เสียชีวิตส่วนมากจะอยู่ใน 2 ช่วงคือ ระหว่างอายุ 20-40 และตั้งแต่ 65 ขึ้นไป ซึ่งต่างจากไข้หวัดใหญ่ทั่วไป (Seasonal Flu) ที่เล่นงานเด็กเล็กและคนแก่เป็นส่วนมาก แต่คล้ายคลึงกับไข้หวัดหมูที่เราเผชิญอยู่ขณะนี้
ในช่วงนั้นมีการพบไข้หวัดในหมูเช่นกัน (J.S. Koen) และจวบจน ค.ศ.1930 จึงได้มีการแยกเชื้อได้ (Shope และ Davis) ไข้หวัดหมูยังเป็นหมูแท้ๆ อยู่อีก 80 ปี โดยไม่มีลูกผสมเป็น 3 เกลอ (พันธุกรรมหมู นก คน) ดังเช่นปัจจุบัน แต่ถึงกระนั้นก็ก่อให้เกิดโรคในคนอยู่เนืองๆ มากกว่า 50 ราย เช่น ในสหรัฐ 19 ราย เชโกสโลวาเกีย 6 ราย เนเธอร์แลนด์ 4 รัสเซีย 3 และประเทศแคนาดาและฮ่องกงอีกแห่งละ 1 ราย ทั้งนี้ โดยที่ผู้ป่วย 61 % มีประวัติสัมผัสกับหมูและอยู่ในช่วงอายุเฉลี่ยประมาณ 24 ปี
หลังจากนั้นใน ค.ศ.1974 ไข้หวัดหมู (ล้วน) มีการพัฒนาโดยเกิดโรคในค่ายทหาร (Fort Dix) ที่รัฐนิวเจอร์ซีย์ (New Jersy) มีผู้ป่วย 13 ราย และเสียชีวิต 1 ราย โดยที่อีก 230 ราย ติดเชื้อแต่ไม่มีอาการหรือมีอาการแต่น้อยมาก ทั้งหมดนี้ไม่มีประวัติสัมผัสหมู ซึ่งแสดงว่าน่าจะมีการพัฒนาจนมีการติดต่อระหว่างคนสู่คน ในปัจจุบัน องค์การอนามัยโลกอาจประกาศภาวะฉุกเฉินระดับ 4 ใน 6 ดังเช่นไข้หวัดหมู (ณ วันที่ 28 เมษายน 2552)
จากเหตุการณ์การติดต่อในค่ายทหารทำให้มีการใช้วัคซีนไข้หวัดหมูฉีดให้ ประชาชนทั่วไป แต่พบว่าช่วงที่มีการฉีดวัคซีนมีผู้ป่วยเส้นประสาทอักเสบแขน ขาอัมพาต ทำให้ล้มเลิกการใช้วัคซีนไป และข้อมูลสรุปของการเกิดอัมพาตอาจยังคลุมเครือจนปัจจุบัน ในปี ค.ศ.1988 มีผู้หญิงตั้งครรภ์เสียชีวิต โดยมีประวัติสัมผัสหมูในรัฐวิสคอนซิน (Wisconsin) และเริ่มสงสัยว่าไข้หวัดหมูอาจไม่ใช่พันธุ์หมูล้วน (classic H1N1)
จวบจน ค.ศ.1998 จึงได้มีการพิสูจน์พบว่า หมูเลี้ยงในสหรัฐมีไวรัสไข้หวัดหมูกลายพันธุ์ โดยมีพันธุกรรมผสมระหว่าง หมู คน และนก เกิดสายพันธุ์ผสม (Triple assortant virus) H3N2 , H1N2 , และ H1N1 (วารสารโรคติดเชื้อ JID 2008) และสายพันธุ์ผสมนี้ยังพบได้ในเอเชีย และประเทศแคนาดา
การเกิดเชื้อในคนจากไข้หวัดหมูผสมสายพันธุ์ใหม่ พบได้ในประเทศสเปน (H1N1) เดือน พฤศจิกายน 2008 เป็นผู้หญิงอายุ 50 ปี มีการไข้ ไอ เหนื่อย ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ คันคอ และคันตา และหนาวสั่น ผู้ป่วยหายเองโดยไม่ต้องการการรักษาใดๆ โดยที่ผู้ป่วยทำงานในฟาร์มหมูและสัมผัสใกล้ชิดหมู ไม่มีคนใกล้ชิดในละแวกมีการติดเชื้อ ข้อสรุป ณ ขณะนั้น ยังไม่คิดว่าไข้หวัดหมูแม้เป็นสายพันธุ์ผสมแล้วจะมีอันตรายมากนัก (Eurosurveillance ฉบับ 19 กุมภาพันธ์ 2009)
เหตุการณ์เช่นนี้เคยเกิดมาก่อนในสหรัฐที่รัฐวิสคอนซิน ในวันที่ 7 ธันวาคม 2005 เด็กชายอายุ 17 ปี มีอาการของไข้หวัดใหญ่แต่อาการหายเองใน 3-4 วัน มีการติดเชื้อไข้หวัดหมูลูกผสม H1N1 โดยผู้ป่วยไม่ได้มีการสัมผัสกับหมูหรือไก่ที่บริเวณบ้าน และในระหว่างช่วงเดียวกันมีรายงานการติดเชื้อลูกผสมในแคนาดาในระหว่าง ค.ศ.2005 และ 2007
จาก เหตุการณ์ดังกล่าวจะเห็นได้ว่าไวรัสไข้หวัดหมูมีการพัฒนาตัวเองมาตลอด โดยที่สามารถติดต่อมายังคน และเกิดโรคจากคนสู่คน แม้จะไม่ได้เป็นสายพันธุ์ลูกผสมก็ตาม และแม้แต่เป็นสายพันธุ์ลูกผสมแล้วก็ไม่ได้เกิดอันตรายร้ายแรง ทั้งนี้ เพียงช่วงห่างจากกลางเดือนกุมภาพันธ์ในยุโรป ที่สรุปสถานการณ์ว่า ไม่รุนแรง ก็เกิดการระบาดขนานใหญ่ในเม็กซิโก และลามไปหลายประเทศในโลก ในเดือนมีนาคม
++++++++++++++++++
ล้อมกรอบ

ไวรัส”หมูไทย”ต่างจากเม็กซิโก
รศ.สพ.ญ.ดร.พรทิพภา เล็กเจริญสุข นัก วิจัยโรคไข้หวัดใหญ่ในสุกร กล่าวว่า ไวรัสไข้หวัดใหญ่ในคน Swine-Liked Human Infruenza Virus (H1N1) A / California 104 / 2009 ที่มีการตรวจพบในอเมริกานั้นพบว่าเป็นเชื้อเดียวกับที่ระบาดในเม็กซิโกด้วย โดยนักวิทยาศาสตร์ของศูนย์ซีดีซี ได้มีการศึกษาสายพันธุกรรมของไวรัสที่ระบาดในตอนนี้พบมีลำดับเบส 8 สาย ประกอบด้วย HA , NS และ NP คล้ายกับไวรัสไข้หวัดหมูในแถบอเมริกาเหนือ
ส่วน NA คล้ายกับไวรัสไข้หวัดหมูในยุโรป , PA & PB2 คล้ายกับไวรัสในเป็ดในเซาท์ดาโกต้า , Dagota / Sg-00126 / 07 ส่วน MP ไวรัสในแถบเอเชีย และ PB1 คล้ายกับไวรัสไข้หวัดใหญ่ในคนที่พบในอเมริกาเหนือ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าไวรัสที่ระบาดในคนดังกล่าวมีการผสมรวมมากกว่า 1 ครั้ง และปรับตัวจากไวรัสไข้หวัดหมู และปรับเปลี่ยนเป็นหวัดใหญ่ในคน
ในอดีตไข้หวัดใหญ่เคยมีการโรคระบาดครั้งใหญ่ 3 ครั้ง คือ Spanis Flu ในปี 1918 เป็นไวรัส H1N1 ครั้งที่สอง Asian Pandemics ในปี 1957 เป็นไวรัส H2N2 และครั้งที่ 3 Hong kong Pandemics เป็นไวรัส H3N2 ส่วนครั้งที่ 4 ที่เม็กซิโก ไวรัส N1N1 ซึ่งแม้จะมีการระบาดและทำให้มีคนตายกว่า 150 รายในขณะนี้แต่ยังไม่สามารถสรุปได้ว่าเป็นการระบาดใหญ่เหมือนทั้ง 3 ครั้งในอดีตหรือไม่
จากข้อมูลการ ศึกษาพันธุกรรมเชื้อไวรัสไข้หวัดหมูสายพันธุ์ที่พบในไทย พบว่าลำดับเบสเปรียบเทียบกับของไวรัสที่ระบาดในเม็กซิโกมีความแตกต่างกันมาก โดยพบค่าความห่างของลำดับเบส HA กับ NA นั้นห่างกัน 80% แม้จะยังไม่พบโรคนี้แพร่ในไทย แต่ควรมีมาตรการห้ามนำเข้าพ่อแม่สุกรจากประเทศที่พบการระบาด

 

พอดีว่าเมื่อวานได้ฟังไฟล์เทศน์ของหลวงพ่อเรื่องน้ำมนต์พระพุทธเจ้า ลองเปิดฟังดูนะคะ ว่าในสมัยก่อนที่อหิวาระบาดแล้วไม่มียารักษา เขาทำกันอย่างไร

วิธีการน่าจะใกล้เคียงกัน

เพราะมีวิธีรักษาโรคระบาดทั้งในสมัยพุทธกาล และในสมัยหลวงพ่อปาน

 

<!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->เกษม<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_2074865", true); </SCRIPT>
ผู้สนับสนุน กิตติมศักดิ์

งานวิจัยสมุนไพรกับไข้หวัดใหญ่ในประเทศไทย

​

ฟ้าทะลายโจร

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Andrographis paniculata
วงศ์ : Acanthaceae
ส่วนที่ใช้ : ใบ หรือส่วนเหนือดิน
สารสำคัญ : สารกลุ่มไดเทอปีนแลคโตนเช่น แอนโดรกราโฟไลด์ นีโอแอนโดรกราโฟไลด์ โดยฤทธิ์ที่พบจากการศึกษาในหลอดทดลองหรือสัตว์ทดลอง ได้แก่ ฤทธิ์ต้านอักเสบ กระตุ้นภูมิคุ้มกัน ลดไข้ และต้านอนุมูลอิสระ

ประสิทธิผลในการบรรเทาโรคระบบทางเดินหายใจ

• บรรเทาอาการไข้เจ็บคอ ขนาด 6 กรัม/วัน แบ่งให้วันละ 4 ครั้ง
• บรรเทาอาการหวัด
• ป้องกันหวัด (ยังไม่แน่ชัด)

ศ.นพ.วิษณุ ธรรมลิขิตกุล (2534) วิจัยร่วมกับกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และ โรงพยาบาล ชุมชนหลายแห่งให้ผู้ป่วยที่มีเป็นไข้เจ็บคอรับประทานฟ้าทะลายโจรแคปซูลในขนาด 3 ก./วัน หรือ 6 ก./วัน แบ่งให้วันละ 4 ครั้ง ติดต่อกัน 7 วัน เปรียบเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาพาราเซตามอลขนาด 3 กรัม/วัน ในวันที่ 3 หลังรักษา ผู้ป่วยที่ได้รับฟ้าทะลายโจรขนาด 6 กรัม/วัน หายจากไข้และอาการเจ็บคอไม่แตกต่างจากกลุ่มที่ได้รับยาพาราเซตามอล แต่ทั้งสองกลุ่มหายจากไข้และอาการเจ็บคอมากกว่ากลุ่มที่ได้ฟ้าทะลายโจรขนาด 3 กรัม/วันอย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตาม ผลการรักษาไม่มีความแตกต่างกันในวันที่ 7 ซึ่งผลงานวิจัยนี้จึงนำไปสู่การบรรจุยาจากสมุนไพรฟ้าทะลายโจรในบัญชียาหลักแห่งชาติสำหรับรักษาอาการไข้เจ็บคอโดยให้รับประทานในขนาด 6 กรัม/วัน แบ่งให้วันละ 4 ครั้ง

ประสิทธิผลในการบรรเทาอาการหวัด

• ฤทธิ์กระตุ้นภูมิคุ้มกัน
• ฤทธิ์ต้านอักเสบ
• ฤทธิ์ลดไข้

Hancke และคณะ (2538) ทดลองให้สารสกัดฟ้าทะลายโจรที่มีแอนโดรกราโฟไลด์ (androgra-pholide) 4% ในขนาด 1200 มิลลิกรัมต่อวัน แก่ผู้ป่วยโรคหวัด (common cold) 28 คน แล้ววัดผลใน วันที่ 4 หลังได้รับยา พบว่าสารสกัดฟ้าทะลายโจรสามารถลดอาการเจ็บคอ เหนื่อย อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อได้ เมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุมที่ได้รับยาหลอก 33 ราย โดยไม่รายงานว่าทำให้เกิดอาการข้างเคียงจากการใช้ยา

Caceres และคณะ (2542) ได้ทดลองให้ยาเม็ดฟ้าทะลายโจรซึ่งมีสารสกัด 100 มก./เม็ด ที่มีปริมาณแอนโดรกราโฟไลด์และดีออกซีแอนโดรกราโฟไลด์รวมกันไม่น้อยกว่า 5 มก./เม็ด ครั้งละ 4 เม็ด วันละ 3 เวลา ในผู้ป่วยที่เป็นไข้หวัด 102 คน เทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอก 106 คน โดยให้ผู้ป่วยระบุความรุนแรงของแต่ละอาการเมื่อเริ่มให้ยา และหลังได้รับยา 2 วัน และ 4 วันตามลำดับ พบว่า วันที่ 2 หลังได้รับยา ความรุนแรงของอาการอ่อนเพลีย นอนไม่หลับ เจ็บคอ น้ำมูกไหล ในกลุ่มที่ได้รับยาฟ้าทะลายโจรน้อยกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญ และในวันที่ 4 หลังได้รับยา ความรุนแรงของทุกอาการได้แก่ อาการไอ (ทั้งความแรงและความถี่) เสมหะ น้ำมูกไหล ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย ปวดหู นอนไม่หลับเจ็บคอ ในกลุ่มที่ได้รับยาฟ้าทะลายโจรน้อยกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญ

องค์การอนามัยโลกจึงได้แนะนำ ให้ใช้ฟ้าทะลายโจรในการบรรเทาอาการหวัดในเอกสาร WHO monographs of selected medicinal plants Volume 2 ภายใต้ monograph “Herba Andrographidis” ​

ปัจจุบันมีการใช้ฟ้าทะลายโจรในซีกโลกตะวันตกมากขึ้น จากการศึกษาวิจัยของ Swedish Herbal Institute ทำให้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจากสารสกัดฟ้าทะลายโจรของสถาบันนี้ เป็นผลิตภัณฑ์สมุนไพรรักษาโรคหวัด ไข้หวัดใหญ่ และไซนัสอักเสบที่ขายดีที่สุดในประเทศแถบสแกนดิเนเวีย ความนิยมในการใช้สมุนไพรนี้เพื่อรักษาโรคหวัดได้แพร่หลายไปยังประเทศอื่นในซีกโลกตะวันตกแล้ว ทั้งในยุโรป สหรัฐอเมริกา และออสเตรเลียโดยมีการแนะนำสมุนไพรนี้ให้เป็นที่รู้จักมากขึ้นใน website ต่าง ๆ มากมายภายใต้ชื่อสมุนไพร ‘Andrographis’

ขณะนี้ สถาบันการแพทย์แผนไทย กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกกำลังอยู่ในระหว่าง การศึกษาวิจัยทางคลินิก โดยร่วมมือกับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนนทบุรี เพื่อประเมินประสิทธิผลในการบรรเทาอาการของโรคไข้หวัดใหญ่ของฟ้าทะลายโจร ​

เรียบเรียงโดย
กลุ่มงานพัฒนาวิชาการแพทย์แผนไทยและสมุนไพร
สถาบันการแพทย์แผนไทย

สร้างเมื่อ 07 - ก.พ.- 49

จาก http://www.dtam.moph.go.th/alternati...ory.php?id=357



สมุนไพร "ฟ้าทะลายโจร"

สรรพคุณ : แก้ไข้

ผลิตภัณฑ์สมุนไพร "ฟ้าทะลายโจร" มี 4 ชนิด คือ

1. ยาชงสมุนไพร "ฟ้าทะลายโจร" 1 ซอง (บรรจุ 20 ซองเล็ก) ราคา 30 บาท
-----------------------------------------------------------------------
2. ยาเม็ดสมุนไพร "ฟ้าทะลายโจร" 1 ซอง (บรรจุ 150 เม็ด) ราคา 30 บาท
(ทะเบียนตำรับยาแผนโบราณเลขที่ G 233/42)
-----------------------------------------------------------------------
3. ยาแคปซูลสมุนไพร "ฟ้าทะลายโจร" 1 ซอง (บรรจุ 100 แคปซูล) ราคา 90 บาท
(ทะเบียนตำรับยาแผนโบราณเลขที่ G 104/43)
-----------------------------------------------------------------------
4. ยาแคปซูลสมุนไพร "ฟ้าทะลายโจร" 1 ขวด (บรรจุ 100 แคปซูล) ราคา 100 บาท
(ทะเบียนตำรับยาแผนโบราณเลขที่ G 104/43)
-----------------------------------------------------------------------

ท่านที่สนใจติดต่อสั่งซื้อได้ที่ ลำปางรักษ์สมุนไพร
ลำปางรักษ์สมุนไพร : Lampang Herb Conservation. | E-mail : herblpg@herblpg.com | Tel. 054-350787, 054-313918 | Fax. 054-313128 | Mobile. 081-9924814, 081-8845080<!-- google_ad_section_end -->

 

<!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->zz<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_2074934", true); </SCRIPT>
สมาชิก



ม.มหานคร แนะวิธีรู้ทัน โรคไข้หวัด “หมู” <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>1 พฤษภาคม 2552 11:23 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=left border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=400 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=400> </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=5></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5></TD></TR></TBODY></TABLE>ภาควิชาสัตวแพทยสาธารณสุข คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร แนะวิธีทำความรู้จักกับ "เชื้อไวรัสชนิด H1N1" ใน "โรคไข้หวัดใหญ่" ที่พบระบาดในสุกร พร้อมแนะนำการป้องกันและวิธีดูแลให้กับเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกร

ตามรายงานข่าวการเกิดโรคไข้หวัดใหญ่ทีระบาดในประเทศแมกซิโกและสหรัฐ อเมริกา โดยพบผู้ป่วยที่เข้าข่ายสงสัยว่า ติดเชื้อโรคไข้หวัดใหญ่ในประเทศแมกซิโกจำนวนกว่าหนึ่งพันราย และเสียชีวิตมากกว่า 160 ราย ซึ่งในจำนวนผู้ป่วยบางส่วนสามารถยืนยันได้ว่ามีการติดเชื้อไวรัสชนิด H1N1 ซึ่งมีลักษณะทางพันธุกรรมคล้ายคลึงกับเชื้อไวรัสโรคไข้หวัดใหญ่ที่พบระบาดใน สุกร จึงมีคำถามตามมาอย่างมากมายจากผู้ที่เลี้ยงสุกร ผู้ที่ต้องสัมผัสตลอดจนผู้ที่บริโภคเนื้อสุกรว่าโรคไข้หวัดสุกรคืออะไร มีการระบาดได้อย่างไร โรคนี้พบได้บ่อยแค่ไหน คนสามารถติดโรคจากสุกรได้หรือไม่และการบริโภคเนื้อสุกรจะปลอดภัย จากโรคแค่ไหน

ด้วยสาเหตุนี้ ภาควิชาสัตวแพทยสาธารณสุข คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร ทำหน้าที่อธิบายถึงโรคไข้หวัดสุกรและเชื้อไวรัสชนิด H1N1 ซึ่งเกิดขึ้นในระบบทางเดินหายใจของสุกร

“โรคนี้มีอัตราการป่วยสูงเกือบถึง 100% มักไม่พบการตาย ถ้าไม่มีการติดเชื้อแทรกซ้อน แต่มีผลกระทบทางเศรษฐกิจต่ออุตสาหกรรมการผลิตสุกรเป็นอย่างมาก เนื่องจากทำให้สุกรป่วยไม่เจริญเติบโตต้องใช้ระยะเวลาในการขุนสุกรนานขึ้น และสุกรตั้งท้องอาจเกิดการแท้งลูกได้ สาเหตุของการเกิดโรคไข้หวัดสุกรมาจาก การติดเชื้อโรคไข้หวัดใหญ่ Type A ตระกูลออโธมิกโซไวริดี (Orthomyxoviridae)

ซึ่งที่พบส่วนใหญ่เป็นชนิด H1N1 และ H3N2 ระยะหลังเริ่มมีรายงานการตรวจพบ H1N2 ในประเทศต่างๆ เพิ่มมากขึ้น และมีแนวโน้มว่าจะมีการระบาดแทนสายพันธุ์ H1N2 และ H3N2 เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่เป็นเชื้อไวรัสที่มีสารพันธุกรรมลักษณะเป็นท่อน จำนวน 8 ท่อน จึงทำให้มีโอกาสเกิดการกลายพันธุ์ และมีการแลกเปลี่ยนสารพันธุกรรมระหว่างไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ที่มาจาก มนุษย์ สัตว์ปีก และสุกรได้ง่าย โดยที่สุกรทำหน้าที่เป็นตัวกลางของการผสมกันระหว่างไวรัสของคนและสัตว์ปีก

เนื่อง จากไวรัสของสุกรมีตัวรับ (receptor) ที่ผิวเซลล์ที่เหมือนกับไวรัสของคนและสัตว์ปีก จึงทำให้สุกรสามารถติดไวรัสไข้หวัดใหญ่ในคนหรือสัตว์ปีกได้ และเพิ่มโอกาสให้เกิดการแลกเปลี่ยนสารพันธุกรรมของเชื้อไวรัสในขณะที่อยู่ใน ตัวสุกรได้สูง

โดยทั่วไปโรค สามารถติดต่อระหว่างสุกรด้วยกันได้จากน้ำมูกหรือน้ำลายของสุกรที่ติดเชื้อ ปะปนอยู่ในอากาศ หรืออาหารและน้ำ แต่ไม่พบการติดต่อจากสุกรไปยังมนุษย์หรืออาจพบได้บ้างแต่โอกาสที่จะเกิดมี น้อยมากในคนที่อยู่ใกล้ชิดกับสุกร ในปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานว่าโรคไข้หวัดสุกรสามารถติดต่อสู่คนได้ทางการบริโภคเนื้อสุกรที่ติดเชื้อ แต่อย่างไรก็ตามการบริโภคเนื้อสุกรปรุงสุกที่อุณหภูมิ 70 องศาเซลเซียสก็สามารถแน่ใจได้ว่าเนื้อสุกรนั้น
ปลอดจากเชื้อไวรัส”


</TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=right border=0><TBODY><TR><TD width=5></TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=400 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=400> </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5></TD></TR></TBODY></TABLE>ภาควิชาสัตวแพทยสาธารณสุข คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร อธิบายต่อว่า ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์แม็กซิโกที่กำลังระบาดอยู่ในปัจจุบัน เป็นโรคไข้หวัดใหญ่ที่พบอยู่ในประเทศแมกซิโกและสหรัฐอเมริกา มีสาเหตุจากเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ H1N1เริ่มระบาดครั้งแรกในประเทศแม็กซิโก เป็นโรคที่ระบาดจากคนสู่คน

" แต่เดิมนั้นก็เรียกโรคชนิดนี้ว่า “ไข้หวัดหมู” เนื่องจากเชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุเป็นเชื้อที่มีสายพันธุ์ใกล้เคียงกับโรค ไข้หวัดหมู แต่จากสถานการณ์ล่าสุดพบว่าเชื้อโรคไข้หวัดใหญ่ที่กำลังแพร่ระบาดอยู่เป็น ไข้หวัดใหญ่ชนิดสายพันธุ์ H1N1 ซึ่งมีลักษณะทางพันธุกรรมที่ไม่เคยพบมาก่อน เป็นสายพันธุ์พิเศษที่มีสารพันธุกรรมในแบบที่พบทั้งในคน นก และหมู ซึ่งเชื่อว่าเกิดจากการที่เชื้อไวรัสมีการกลายพันธุ์ การระบาดของ เชื้อชนิดนี้ติดต่อได้จากคนสู่คนโดยเชื้อโรคจะอยู่ในเสมหะ น้ำมูก น้ำลายของผู้ป่วย และสามารถแพร่กระจายไปยังผู้อื่นด้วยการไอ หรือจามรดกันในระยะใกล้ชิด และติดต่อได้จากเชื้อปนเปื้อนอยู่ในอากาศ อาหารหรือน้ำดื่ม

โดยเชื้อโรคจะเข้าสู่ร่างกายทางจมูกและตา เช่น การหายใจ การแคะจมูก การขยี้ตาแต่ไม่มีหลักฐานว่ามีการติดต่อจากการรับประทานเนื้อหมูเลย ดังนั้นเพื่อไม่ให้เกิดความสับสนและเหมาะสมจึงได้เปลี่ยนมา เรียกว่า “ไข้หวัดใหญ่แม็กซิโก” แต่ล่าสุดประเทศสหรัฐอเมริกาได้ประกาศให้เรียกโรคไข้หวัดใหญ่จากไวรัสสายพันธุ์ใหม่นี้ว่า “ไข้หวัดใหญ่ 2009 H1N1”

ทั้งนี้ ภาควิชาสัตวแพทยสาธารณสุข คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร ได้ให้คำแนะนำสำหรับเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรในการป้องกันและควบคุมโรคไข้หวัด สุกร

“เกษตรกร ผู้เลี้ยงสุกรต้องมีการจัดการระบบการเลี้ยงและการสุขาภิบาลให้ถูกสุขลักษณะ เช่นคอกสะอาด ไม่ชื้นแฉะ มีอากาศถ่ายเทสะดวก ไม่อยู่ในที่อากาศหนาว ร้อน หรือถูกฝนมากเกินไป พร้อมทั้งหลีกเลี่ยงการเลี้ยงสัตว์ปีกในบริเวณเดียวกันกับที่เลี้ยงสุกร เพื่อลดโอกาสที่จะเกิดการรวมพันธุกรรมระหว่างเชื้อไวรัสไข้หวัดนก และไข้หวัดสุกร และหลีกเลี่ยงการเลี้ยงหรือสัมผัสสุกรในฟาร์ม สังเกตอาการสัตว์ป่วยของสุกรหากแสดงอาการมีไข้ ซึม น้ำหนักลด หายใจลำบาก ไอ จาม น้ำมูกไหลหากพบสัตว์ป่วยให้แจ้งเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์โดยเร็ว”</TD></TR></TBODY></TABLE>
http://www.manager.co.th/Campus/View...rNo=3&#Comment<!-- google_ad_section_end -->
<!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->

 

<!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->zz<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_2074952", true); </SCRIPT>
สมาชิก



" แต่เดิมนั้นก็เรียกโรคชนิดนี้ว่า “ไข้หวัดหมู” เนื่องจากเชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุเป็นเชื้อที่มีสายพันธุ์ใกล้เคียงกับโรค ไข้หวัดหมู แต่จากสถานการณ์ล่าสุดพบว่าเชื้อโรคไข้หวัดใหญ่ที่กำลังแพร่ระบาดอยู่เป็น ไข้หวัดใหญ่ชนิดสายพันธุ์ H1N1 ซึ่งมีลักษณะทางพันธุกรรมที่ไม่เคยพบมาก่อน เป็นสายพันธุ์พิเศษที่มีสารพันธุกรรมในแบบที่พบทั้งในคน นก และหมู ซึ่งเชื่อว่าเกิดจากการที่เชื้อไวรัสมีการกลายพันธุ์ "


จากข้อความข้างต้น...ลองย้อนข่าวกลับไปเมื่อไป 2004

http://www.cidrap.umn.edu/cidrap/con...04hybrids.html

พบว่า...มีการทดลองผสมไวรัสสองสายพันธ์ระหว่าง H5N1 and human flu viruses (ไวรัสไข้หวัดใหญ่) ในห้องทดลองเมื่อปี 2004

ต่อมาจึงเกิด 2009 H1N1 ซึ่งเป็นสายพันธ์ที่ไม่เคยพบมาก่อน

ข่าวเมื่อปี 2004 ... http://www.cidrap.umn.edu/cidrap/con...04hybrids.html


CDC to mix avian, human flu viruses in pandemic study

Robert Roos News Editor

Jan 14, 2004 (CIDRAP News) – One of the worst fears of infectious disease experts is that the H5N1 avian influenza virus now circulating in parts of Asia will combine with a human-adapted flu virus to create a deadly new flu virus that could spread around the world.
That could happen, scientists predict, if someone who is already infected with an ordinary flu virus contracts the avian virus at the same time. The avian virus has already caused at least 48 confirmed human illness cases in Asia, of which 35 have been fatal. The virus has shown little ability to spread from person to person, but the fear is that a hybrid could combine the killing power of the avian virus with the transmissibility of human flu viruses.
Now, rather than waiting to see if nature spawns such a hybrid, US scientists are planning to try to breed one themselves—in the name of preparedness.
The Centers for Disease Control and Prevention (CDC) will soon launch experiments designed to combine the H5N1 virus and human flu viruses and then see how the resulting hybrids affect animals. The goal is to assess the chances that such a "reassortant" virus will emerge and how dangerous it might be.
CDC officials confirmed the plans for the research as described recently in media reports, particularly in a Canadian Press (CP) story.
Two ways to make hybrids
The plans call for trying two methods to create hybrid viruses, CDC spokesman David Daigle told CIDRAP News via e-mail. One is to infect cells in a laboratory tissue culture with H5N1 and human flu viruses at the same time and then watch to see if they mix. For the human virus, investigators will use A (H3N2), the strain that has caused most human flu cases in recent years, according to the CP report.
The other method is reverse genetics—assembling a new virus with sets of genes from the H5N1 and H3N2 viruses. Reverse genetics has already been used to create H5N1 candidate vaccines in several laboratories, according to Daigle. The National Institutes of Health (NIH) said recently it would soon launch a clinical trial of one of those vaccines.
Of the two methods, the co-infection approach was described as slower and more laborious, though closer to what happens in nature.
Any viable viruses that emerge from these processes will be seeded into animals that are considered good models for testing how flu viruses behave in humans, according to Daigle. The aim will be to observe whether the animals get sick and whether infected animals can infect others.
The World Health Organization (WHO) has been "pleading" for laboratories to do this research, because it could provide some evidence to back up the agency's warnings about the risk of a flu pandemic, according to the CP report.
Klaus Stohr, head of the WHO's global influenza program, was quoted as saying that if none of the hybrids caused disease, the agency might be inclined to dial down its level of concern. But if the experiments produce highly transmissible and pathogenic viruses, the agency will be more worried, he said.
Safety precautions
Because of the obvious risks in creating viruses with the potential to spark a pandemic, the work will be done in a biosafety level 3 (BSL-3) laboratory at the CDC in Atlanta, Daigle told CIDRAP News.
"We recognize that there is concern by some over this type of work. This concern may be heightened by reports of recent lab exposures in other lab facilities," he said. "But CDC has an incredible record in lab safety and is taking very strict precautions."
Daigle said the US Department of Agriculture requires that highly pathogenic avian influenza (HPAI) viruses be treated as "Select Agents" and that research on them must be done in BSL-3 labs with "enhancements." These include "special provisions to protect both laboratory workers and the environment."
BSL-3 is the second highest level of laboratory biosecurity. It is used for work with pathogens that may cause serious or potentially lethal disease if inhaled, such as tuberculosis or St. Louis encephalitis, according to the CDC.
CDC experiments with HPAI viruses have to pass reviews by the agency's Institutional Biosafety Committee and Animal Care and Use Committee, Daigle said. The facilities involved are inspected by the USDA and the CDC's Office of Safety and Health, and staff members who work with Select Agents require special clearance.
It's been done before
The upcoming experiments will not break entirely new ground for the CDC, the CP story revealed. The agency already has made hybrid viruses with H5N1 samples isolated from patients in Hong Kong in 1997, when the virus first caused human disease.
The results of that research have not yet been published, and the CDC has said little about them. In the CP report, Dr. Nancy Cox, head of the CDC's influenza branch, commented only, "Some gene combinations could be produced and others could not."
Daigle added little to that. He said, "The reassortment work with the 1997 isolate was intermittently interrupted with SARS [severe acute respiratory syndrome] and then the 2004 H5N1 outbreak. We are currently concentrating our efforts on understanding the pathogenicity of the 2004 strains (non-reassortants) in mammalian models."
He said the CDC hopes to prepare a report on that research "in the near future."
See also:
CDC information on biosafety levels
The 1, 2, 3's of Biosafety Levels<!-- google_ad_section_end --> <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->

 

<!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->เกษม<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_2074985", true); </SCRIPT>
ผู้สนับสนุน กิตติมศักดิ์



2009-05-02 04:14:11

WHO ยืนยันพบผู้ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ทั่วโลก 331 ราย




​

เจนีวา 1 พ.ค. - องค์การอนามัยโลก (WHO) ยืนยันอย่างเป็นทางการว่า มีผู้ติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ทั่วโลก จนถึงขณะนี้ 331 คน ใน 11 ประเทศ ในจำนวนนี้มี 10 คน ที่เสียชีวิตแล้ว

แถลงการณ์ในเว็บไซต์ของ WHO ระบุว่า เฉพาะในสหรัฐ มีผู้ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ชนิดเอ เอช1เอ็น1 ที่ได้รับคำยืนยันแล้ว 109 ราย และ 1 ราย เสียชีวิต ส่วนที่เม็กซิโกมีผู้ติดเชื้อที่ได้รับคำยืนยันแล้วว่า เป็นไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิดเอ เอช1เอ็น1 จำนวน 156 ราย และเสียชีวิต 9 ราย

ส่วนประเทศอื่นๆ ที่ได้รับคำยืนยันการตรวจวิเคราะห์จากห้องทดลอง ประกอบด้วย ออสเตรีย 1 ราย แคนาดา 34 ราย เยอรมนี 3 ราย อิสราเอล 2 ราย เนเธอร์แลนด์ 1 ราย นิวซีแลนด์ 3 ราย สเปน 13 ราย สวิตเซอร์แลนด์ 1 ราย และสหราชอาณาจักร 8 ราย .- สำนักข่าวไทย

2009-05-01 16:09:23

WHO ระบุวัคซีนหวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ใกล้พร้อมใช้




​

สวิตเซอร์แลนด์ 2 พ.ค.-องค์การอนามัยโลก ระบุวัคซีนป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 น่าจะพร้อมนำมาใช้ได้ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า

ผู้อำนวยการด้านพัฒนาและค้นคว้าวัคซีนขององค์การอนามัยโลก (WHO) เปิดเผยว่า โดยปกติจะใช้เวลาประมาณ 4-6 เดือนหลังจากทราบรายละเอียดของเชื้อไวรัสที่แพร่ระบาด จึงจะสามารถพัฒนาจนพร้อมที่จะฉีดวัคซีนป้องกันให้กับมนุษย์ได้ และว่ามีความเป็นไปได้น้อยมากที่วัคซีนป้องกันโรคหวัดที่มีอยู่ขณะนี้ จะสามารถป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสสายพันธุ์เอช1 เอ็น1 ชนิดเอ หรือเชื้อไวรัสไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ 2009 ได้

อย่างไรก็ดี องค์การอนามัยโลกยืนยันว่า จะยังไม่มีการเพิ่มระดับการเตือนภัยการแพร่ระบาดจากระดับ 5 ในขณะนี้ ขึ้นเป็นระดับ 6 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในเร็ว ๆ นี้ ทั้งนี้ จำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ 2009 ล่าสุด เพิ่มขึ้นเป็น 331 ราย โดยพบผู้ติดเชื้อล่าสุดในฮ่องกงและเดนมาร์กเป็นรายแรกของประเทศ.-สำนักข่าวไทย

2009-05-02 05:14:32

เม็กซิโกเผยยอดผู้ติดเชื้อในประเทศพุ่งเป็น 381 คน




​

เม็กซิโก 2 พ.ค. - รัฐบาลเม็กซิโกเพิ่มยอดตัวเลขผู้ที่ได้รับการยืนยันว่าเสียชีวิตจากไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 เป็น 16 คน ส่วนผู้ติดเชื้อพุ่งขึ้นเป็น 381 คน

นายโฮเซ่ แองเกล คอร์โดวา รัฐมนตรีสาธารณสุขของเม็กซิโก เผยว่า ขณะนี้ตัวเลขผู้ที่ได้รับการยืนยันว่าเสียชีวิตเพราะไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ อยู่ที่ 16 คน ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ขณะเดียวกันก็ลดจำนวนตัวเลขประมาณการผู้เสียชีวิตด้วยเชื้อไวรัสมรณะที่ยังไม่ได้รับการยืนยันจาก 176 คน ลงมาเหลือ 101 คน ขณะนี้เหลือที่ยังกำลังทดสอบตรวจหาเชื้อเพื่อการยืนยัน 85 คน

รัฐมนตรีสาธารณสุขเม็กซิโกระบุว่ายังต้องดูอีกหลายวันว่าสถานการณ์จะเป็นไปในทิศทางใด ยอดการติดเชื้อลดลงอย่างแท้จริงหรือไม่ เพราะในขณะนี้ยังไม่สามารถคาดเดาอะไรได้ แต่ก็ยืนยันได้ว่ามาตรการต่างๆ ที่รัฐบาลดำเนินการเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้คนมารวมกลุ่มกัน กำลังส่งผลต่อการควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส. -สำนักข่าวไทย

2009-05-02 11:13:36

เกาหลีใต้ยืนยันพบผู้ติดเชื้อหวัดใหญ่รายแรก




​

เกาหลีใต้ 2 พ.ค. - กระทรวงสาธารณสุขเกาหลีใต้ ยืนยันผลการตรวจผู้หญิงที่เดินทางกลับจากเม็กซิโก พบเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 จริง นับเป็นผู้ติดเชื้อไวรัสมรณะรายแรกในประเทศ

ลี จอง คู หัวหน้าศูนย์ควบคุมโรคแห่งชาติของเกาหลีใต้ เผยว่า ผลการตรวจขั้นสุดท้ายพบว่า หญิงวัย 51 ปีที่เดินทางกลับจากเม็กซิโกเมื่อไม่นานนี้ ได้รับเชื้อไวรัส H1N1 ชนิด A ซึ่งเป็นต้นเหตุของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 จริง นับเป็นผู้ติดเชื้อรายแรกของเกาหลีใต้ และเป็นผู้ติดเชื้อไวรัสหวัดสายพันธุ์ใหม่รายที่ 2 ของเอเชีย รองจากฮ่องกง

อย่างไรก็ตาม บรรดาเจ้าหน้าที่สาธารณสุขเผยว่า ขณะนี้ผู้หญิงคนดังกล่าว ซึ่งรักษาตัวในโรงพยาบาลมีอาการดีขึ้นแล้ว และกำลังพิจารณาที่จะปล่อยตัวกลับบ้าน ขณะนี้ยังมีผู้ต้องสงสัยติดเชื้ออีก 2 คน ที่ทางการเกาหลีใต้ กำลังรอผลการตรวจยืนยัน โดย 1 ในจำนวนนี้สงสัยว่าจะได้รับเชื้อทั้งที่ไม่ได้เดินทางไปยังประเทศที่เกิดการแพร่ระบาดของโรค. -สำนักข่าวไทย

2009-05-02 10:23:37

จีนสั่งระงับเที่ยวบินจากเม็กซิโก




​

ปักกิ่ง 2 พ.ค.-สำนักข่าวซินหัวของทางการจีนรายงานว่า จีนสั่งระงับเที่ยวบินขาเข้าจากเม็กซิโกไปลงยังนครเซี่ยงไฮ้แล้ว หลังจากพบชายคนหนึ่งมีเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ซึ่งนับเป็นรายแรกในเอเชีย

ซินหัวระบุว่า ผู้ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 หรือชนิดเอ เอช1 เอ็น1 อยู่ในเที่ยวบินที่มาจากเม็กซิโก ทางการจีนจึงได้ตัดสินใจสั่งไม่ให้เที่ยวบินจากเม็กซิโกไปลงจอดยังนครเซี่ยงไฮ้ทางภาคตะวันออกของจีน และว่า ทางการจีนได้แจ้งคำสั่งระงับเที่ยวบินไปยังรัฐบาลเม็กซิโกและสายการบินต่าง ๆ แล้ว จนกว่าจะสามารถควบคุมการระบาดได้

นอกจากนี้ ทางการจีนยังกำลังพิจารณาจะส่งเครื่องบินเช่าเหมาลำไปยังเม็กซิโกเพื่อรับผู้โดยสารชาวจีนที่มีแผนจะเดินทางจากเม็กซิโกมายังนครเซี่ยงไฮ้ในวันที่ 3 พ.ค.นี้ กระทรวงสาธารณสุขจีนยังได้ประกาศมาตรการป้องกันและควบคุมหลังมีรายงานยืนยันพบเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ในฮ่องกง.-สำนักข่าวไทย

2009-05-02 08:18:18

ที่มา MCOT News :

 

ติดตามแผนที่แสดงสถานะการณ์การระบาดของโรคนี้ในแต่ประเทศจาก RSOE EDIS

RSOE EDIS - Pandemic Monitoring System

 

มาเข้าใจเรื่องเฟสของการเตือนภัยการระบาดของ WHO กันครับ

PANTIP.COM : L7809976

 

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับไข้หวัดใหญ่เม็กซิโก (ดีมากครับ)

PANTIP.COM : X7821084

 

ทาง who กำลังพิจารณาแจ้งเตือน ความรุนแรงของโรคขึ้นเป็นระดับ 6 ซึ่งเป็นระดับสูงสุด ซึ่งหมายถึงเกิดการระบาดใหญ่ไปทั่วโลกครับ


ตอนนี้ต้องระวังกันเอาไว้ให้มากครับ

 

google map ที่แสดงตำแหน่งการระบาดเค้าย้ายไปแสดงข้อมูลในเวป FluTracker แทนแล้วนะครับ เห็นเค้าว่าเนื่องจากว่ามีข้อมูลเยอะขึ้นและที่เวปนี้มีสามารถให้คนที่เข้าไปดูโหลดข้อมูลมาไว้ได้ และก็มี rss feeder ให้ด้วย สามารถใช้โปรแกรมพวก rss reader ตามข่าวได้

 

วันก่อนได้ไปหาซื้อหน้ากาก กันเชื้อโรคของสามเอ็ม N95 ปรากฏว่า เริ่มหมดแล้ว

และที่สำคัญ อเมริกา สั่งเก็บกลับประเทศอีก หลายพันกล่องครับ (กล่องละ 20 อัน)

ดังนั้นหากพอหาซื้อได้เก็บไว้ก่อนครับ ตกอันละ 30-50 บาทขึ้นว่าเป็นแพคเกจแบบใดครับ

แต่ประสิทธิภาพสูง กรองในระดับไมครอนซึ่งกรองได้เล็กกว่าขนาดของเชื้อโรค ครับ รวมทั้งใช้กันในวงการแพทย์ครับ

หากเกินกว่านี้ก็เป็นหน้ากากยางมนุษย์หมูที่ใช้ในสงครามอาวุธชีวภาพ ครับ

 

<TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>เม็กซิโกชี้ “หวัดใหญ่ H1N1” อาจกลับมาอีกในหน้าหนาว</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>5 พฤษภาคม 2552 10:46 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>

​

ผู้โดยสารต้องผ่านการตรวจร่างกายกับแพทย์ก่อนเดินทาง ที่สนามบินในกรุงเม็กซิโกซิตี้

เอเอฟพี – เจ้าหน้าที่สาธารณสุขอาวุโสของเม็กซิโกเผย แม้ว่าการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ในประเทศมีทีท่าลดลงแล้ว แต่เชื่อได้ว่าเชื้อไวรัสเอ เอช1เอ็น1 จะกลับมาระบาดอีกครั้งในฤดูหนาว

มิเกล อันเกิล เลซานา หัวหน้าศูนย์เฝ้าระวังการแพร่ระบาดของโรคภัยไข้เจ็บเผยว่า การคาดการณ์เกี่ยวกับการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่นี้ใหม่อีกครั้งไม่ได้ดูจากเพียงคุณสมบัติของไวรัสก่อนหน้านี้ เช่น ไวรัสไข้หวัดใหญ่สเปน เมื่อครั้งหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 25 ล้านคน แต่เนื่องจากไข้หวัดใหญ่เอช1เอ็น1 นี้ไม่สามารถหายไปได้อย่างสิ้นเชิง

“ดังนั้น ความเสี่ยงดังกล่าวจะมีขึ้นเมื่อฤดูหนาวมาถึง และมันจะกลับมารุนแรงอีกครั้ง”

ขณะที่โฮเซ อันเกิล กอร์โดบา รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขยังชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มที่ลดลงของจำนวนผู้ต้องสงสัย และผู้ที่ได้รับการยืนยันการติดเชื้อ แต่ได้เตือนว่าการแพร่ระบาดอาจเกิดขึ้นได้อีก

“เราต้องเพิ่มความระแวดระวังการแพร่ระบาดของโรค โดยเฉพาะเมื่อเราไม่มีวัคซีนสำหรับไวรัสสายพันธุ์ใหม่” เขากล่าว โดยกระทรวงสาธารณสุขของนานาประเทศต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า วัคซีนป้องกันไวรัสจะยังไม่พร้อมใช้จนถึงเดือนกันยายน

เจ้าหน้าที่สาธารณสุขเม็กซิโกประเมินว่า ผู้ติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่แต่ละคนสามารถแพร่เชื้อให้ต่อไปได้อีก 1.5 คน โดยคาดว่าผู้เป็นพาหะ 1 คนจะทำให้มีผู้ติดเชื้อได้ถึงวันละ 10 ทีเดียว อีกทั้งยังสามารถแพร่สู่คนทุกระดับ แม้ว่าจำนวนผู้ติดเชื้อสูงสุดจะอยู่ในคนระดับล่าง และระดับกลาง

ทั้งนี้ ตัวเลขของทางรัฐบาลเม็กซิโกในวันจันทร์ (4) ที่ผ่านมา ระบุว่า มีผู้เสียชีวิตจากไข้หวัดใหญ่เอ เอช1เอ็น1 นี้แล้ว 26 ราย และติดเชื้ออีก 776 คน จากการตรวจพิสูจน์ในผู้ป่วยต้องสงสัยกว่า 2,000 คน ในรอบ 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา

ที่มา Around the World - Manager Online

WHO บอกไวรัสไข้หวัดใหญ่เม็กซิโกฝังตัวอยู่ในชุมชน


​

องค์การอนามัยโลกเชื่อว่า ไวรัสไข้หวัดใหญ่เม็กซิโกมีแนวโน้มว่า จะฝังตัวอยู่ในชุมชมและมีความเป็นไปได้ว่าจะทำให้เกิดการแพร่ระบาดไปทั่วโลก

นายเคอิจิ ฟูกูด่ะ ผู้ช่วยผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลก ได้แถลงต่อสื่อมวลชนผ่านทางโทรศัพท์วานนี้ว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่เม็กซิโกที่เกิดขึ้นเชื่อว่า เชื้อไวรัสดังกล่าวน่าจะฝังตัวอยู่ในชุมชน ซึ่งเราเรียกว่า การระบาดภายในชุมชน และก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะเป็นตัววัดว่า การแพร่ระบาดของไวรัสอยู่ในระดับใด อย่างกรณีเด็กนักเรียนในนิวยอร์คที่ติดเชื้อไวรัส ที่ไม่ได้เดินทางไปยังเม็กซิโก แต่ก็ล้มป่วยจากโรคดังกล่าว ซึ่งตอนนี้เจ้าหน้าที่กำลังตรวจสอบอยู่

นายฟูกูด่ะยังบอกด้วยว่า สิ่งที่ยังเป็นปริศนาในขณะนี้ก็คือ ทำไมไวรัสจึงคร่าชีวิตผู้คนในเม็กซิโกเป็นจำนวนมาก แต่ในประเทศอื่นที่มีผู้ป่วยมีอาการม่หนักเท่าไรและยังไม่มีรายงานผู้เสียชีวิตอย่างเป็นทางการ

ทั้งนี้บรรดาผู้เชี่ยวชาญของอนามัยโลกจากประเทศที่มีการแพร่ระบาดจะประชุมกันอีกในวันนี้เพื่อหารือและวิเคราะห์โรคดังกล่าวว่า เกิดขึ้นได้อย่างไร ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่สหรัฐฯและอนามัยโลกกำลังหารือว่า อาจเปลี่ยนชื่อโรคว่า"ไข้หวัดใหญ่อเมริกาเหนือ"

ส่วนความคืบหน้าเรื่องวัคซีน นักวทิยาศาสตร์หวังว่า จะได้ตัวยาสำคัญที่จะนำมาผลิตในต้นเดือนพฤษภาคม แต่ต้องใช้เวลาอีก 2 ถึง 3 เดือนก่อนที่จะนำมาใช้เป็นครั้งแรก เนื่องจากต้องทดสอบเพื่อความปลอดภัยก่อน โดยนักวิทยาศาสตร์ต้องนำเชื้อไวรัสจากผู้ป่วยในเม็กซิโกและสหรัฐฯ มาคัดแยกสายพันธุ์เพื่อสร้างระบบภูมิคุ้มกัน และตอนนี้การดำเนินการสำเร็จไป 1 ใน 3 แล้ว

วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2552

ที่มา http://www.krobkruakao.com/kkn/?a=news&s=detail&news_id=1707<!-- google_ad_section_end -->
<FIELDSET class=fieldset><LEGEND>รูปขนาดเล็ก</LEGEND>
</FIELDSET>

 

สงขลาเตรียมเปิดสายด่วนข้อมูลไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่


​

สงขลา 3 พ.ค.- โรงพยาบาลสงขลานครินทร์พร้อมเปิดบริการปรึกษาข้อมูลโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ผ่านสายด่วนในสัปดาห์นี้ วอนประชาชนอย่าวิตกเกี่ยวกับโรค ทุกหน่วยงานรับมือเต็มที่

รศ.นพ.เรืองศักดิ์ ลีธนาภรณ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ เปิดเผยถึงโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ว่า ประชาชนอย่าวิตกกังวลกับโรคดังกล่าว เพราะขณะนี้ยังไม่พบผู้ป่วยต้องสงสัย แต่ถ้ามีข้อสงสัยสามารถโทรศัพท์เข้ามาปรึกษาที่โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ได้ตลอดเวลา โดยจะเริ่มเปิดสายด่วนให้บริการในสัปดาห์นี้ อีกทั้งโรงพยาบาลมีความพร้อมรองรับผู้ป่วย หากพบมีผู้ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ เพราะมีศูนย์คัดกรองโรคติดเชื้อทางอากาศ ซึ่งเป็นห้องปลอดเชื้อ สำหรับตรวจวินิจฉัยผู้ป่วยและมีประวัติเดินทางไปยังประเทศเสี่ยง มั่นใจว่าสามารถสกัดกั้นโรคได้แน่นอน

ด้าน น.สพ.ชัยวัฒน์ โยธคล หัวหน้าด่านกักกันสัตว์สงขลา กล่าวว่า ได้กำชับให้เฝ้าระวังการเคลื่อนย้ายสัตว์ตลอด 24 ชั่วโมง โดยเฉพาะจุดตรวจสัตว์ระหว่างจังหวัดสงขลา เนื่องจากพบว่ามีการเคลื่อนย้ายไก่มากเป็นพิเศษจากการที่มีข่าวโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ระบาดในหลายประเทศ ซึ่งการเฝ้าระวังอย่างเข้มงวดนั้น เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้บริโภคเนื้อสัตว์ทุกชนิด โดยรถขนย้ายนอกจากต้องฉีดพ่นสารเคมีเพื่อฆ่าเชื้อแล้ว เจ้าหน้าที่จะตรวจเอกสารที่มาจากต้นทางอย่างละเอียด เพื่อให้ทราบแหล่งที่มาและผ่านการตรวจโรคเบื้องต้นมาแล้ว.-สำนักข่าวไทย

2009-05-03 10:54:31

ที่มา MCOT News By Thai News Agency : MCOT dot Net<!-- google_ad_section_end -->

 

WHO เตือนอย่าวางใจเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่เพราะอาจกลายพันธุ์ได้

​

3 พ.ค. - สถานการณ์การแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ดูจะผ่อนคลายลง แต่เจ้าหน้าที่องค์การอนามัยโลก เตือนว่า เชื้อไวรัสมรณะนี้ยังมีโอกาสที่จะกลายเป็นโรคระบาด

นายโจเซ่ แองเกล คอร์โดวา รัฐมนตรีสาธารณสุขเม็กซิโก กล่าวว่า เวลานี้จำนวนผู้ติดเชื้อลดน้อยลง และจำนวนผู้เสียชีวิตก็ลดลงเช่นกัน โดยขณะนี้จำนวนผู้ติดเชื้อที่ได้รับการยืนยันในเม็กซิโกอยู่ที่ 473 คน ในจำนวนนี้เสียชีวิตแล้ว 19 คน ส่วนองค์การอนามัยโลก หรือ WHO รายงานว่ามีผู้ติดเชื้อทั่วโลกแล้ว อย่างน้อย 615 คน อยู่ในประเทศต่างๆ 15 ประเทศ

ซึ่งแม้ว่าเจ้าหน้าที่ WHO บอกว่าถึงแม้ว่าเชื้อไวรัสเอช 1เอ็น1 ไม่ได้แพร่กระจายอย่างต่อเนื่องนอกเขตอเมริกาเหนือ และแสดงให้เห็นว่าเชื้อชนิดนี้ มีความรุนแรงน้อยกว่าที่วิตกกัน แต่ก็เตือนว่าเชื้อไวรัสอาจจะกลายพันธุ์และรุนแรงขึ้นกว่าเดิม จนต้องเพิ่มระดับการเตือนภัยเป็นระดับ 6

ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่แคนาดา เปิดเผยว่า หมูในแคว้นอัลเบอร์ต้า ของแคนาดาได้รับเชื้อไวรัสสายพันธ์ เอช 1 เอ็น 1 คาดว่า คงจะได้รับเชื้อมาจากคนงาน ซึ่งเพิ่งเดินทางกลับจากเม็กซิโก และมีอาการของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 อย่างไรก็ตาม เวลานี้ทั้งหมูและคน อาการดีขึ้นแล้ว. -สำนักข่าวไทย

2009-05-03 12:34:33

พบเชื้อไวรัสเอช1 เอ็น1 ในหมูที่แคนาดา




​

แวนคูเวอร์ 3 พ.ค.- เจ้าหน้าที่สาธารณสุขแคนาดา กล่าวว่า พบเชื้อไวรัสเอช1 เอ็น1 ในฝูงหมูที่รัฐแอลเบอร์ตาของแคนาดา แต่ไม่ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมอาหาร

สำนักงานตรวจสอบอาหารของแคนาดาระบุว่า ฝูงหมูดังกล่าวยังต้องรอผลตรวจสอบต่อไป แต่โอกาสที่หมูจะแพร่เชื้อไวรัสมาสู่คนได้นั้นยังไม่ใช่เวลาอันใกล้นี้ และว่าความปลอดภัยของอุตสาหกรรมอาหารไม่ได้รับผลกระทบและเนื้อหมูแคนาดาปลอดภัยสำหรับการบริโภค.-สำนักข่าวไทย

2009-05-03 10:08:45

ที่มา MCOT News By Thai News Agency : MCOT dot Net<!-- google_ad_section_end -->