ยุคก่อนมีพระพุทธรูป

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย อุรุเวลา, 6 ธันวาคม 2012.

  1. bhothisata

    bhothisata เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    394
    ค่าพลัง:
    +5,182
    ย้ายของสงฆ์เท่ากับย้ายเจดีย์แม้พระพุทธรูปถ้าย้ายไปนอกเขตที่เขาถวายให้สงฆ์ก็อาบัติผิดวินัยพระ คำสอนของพระอริยะครับ
    โพสต์มาให้ความรู้ ไม่ขอออกความเห็นในด้านปัญญา ทิฐิ มานะกับใครครับ แค่ผ่านมาอ่านครับ เข้าใจแค่ไหนสุดแล้วแต่ปัญญาท่านนั้นครับ



    Full Version อานิสงส์ของการทำบุญ

    พุทธธรรมดอทคอม > Article

    อานิสงส์ของการทำบุญ Date : 2009-12-24 23:53:20

    หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม


    อานิสงส์สร้างพระพุทธรูป

    ผู้ถาม : "หลวงพ่อคะ การสร้างพระพุทธรูป กับการถวายปัจจัยอย่างไหนมีอานิสงส์ดีกว่าคะ.?"
    หลวงพ่อ : "การสร้างพระพุทธรูปจัดว่าเป็น พุทธบูชา ถ้าในเรื่องกรรมฐานจัดเป็น พุทธานุสสติกรรมฐาน ถ้าตายจากความเป็นคนไปเกิดเป็นเทวดา มีรัศมีกายสว่างไสวมาก ถ้าถวายปัจจัยถวายเป็นของสงฆ์ จัดว่าเป็น พุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา จัดเป็น จาคานุสสติกรรมฐาน เกิดมาชาติหน้าก็รวย

    การสร้างพระถวายด้วยอำนาจพุทธบูชาทำให้มีรัศมีกายมาก เป็นคนสวย ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า "พุทธบูชา มหาเตชะวันโต" = "การบูชาพระพุทธเจ้ามีเดชอำนาจมาก" แต่ถ้ามีอำนาจแต่ขาดสตางค์ก็อดตายนะ ใช่ไหม.. แต่ตัวเป็นจอมพลแต่ไม่มีสตางค์ในกระเป๋า แย่นะ...

    อีกแบบหนึ่ง มีสตางค์มาก ๆ แต่ขาดอำนาจราชศักดิ์ก็โดนโจรปล้นอีก ฉะนั้นทำมันเสีย 2 อย่างเลยดีไหม..?"

    ผู้ถาม : "ดีค่ะ..แต่ได้ยินเขาว่า การสร้างพระพุทธรูปนี่ควรสร้างพระประธานจึงมีบุญมาก"
    หลวงพ่อ : " ก็เขียนไว้สิ สร้างพระประธาน องค์เล็กองค์ใหญ่ก็เขียนไว้ ก็เป็นพระพุทธรูปเหมือนกัน เราสร้างแล้วก็ได้บุญแล้ว ใครไปโยนทิ้งก็ซวยเอง"

    ผู้ถาม : "ถ้าหากว่าจะย้ายพระประธานไปบูชาเป็นประธานวัดอื่นจะได้ไหมคะ..?"
    หลวงพ่อ : "เรื่องของบูชา สำหรับที่วัดนี้ถือว่าเขาถวายมาเพื่อบูชา ตั้งอยู่ที่ใดก็ตามถ้าพระย้ายไปที่อื่นนอกเขตถือว่าย้ายเจดีย์ ทางวินัยท่านปรับอาบัติ และถ้าของนั้นเขาถวายสงฆ์เขามีเจตนาเฉพาะจุดนั้น ถ้าเราเอาไปถือว่าขโมยของสงฆ์ อันดับแรกเขาลงบัญชีอเวจีไว้ก่อน ของสงฆ์นี่แม้แต่เศษกระเบื้องถ้านำไปก็ลงบัญชีอเวจีเลย"

    ผู้ถาม : "หลวงพ่อเจ้าคะ การสร้างพระพุทธรูปทำด้วยโลหะกับทำด้วยปูน อย่างไหนจะดีกว่ากันเจ้าคะ..?"
    หลวงพ่อ : "ถ้าเป็นเจตนาของฉันนะ ชอบให้ทำด้วยปูนมากกว่าปั้นด้วยปูนแล้วก็ปิดทอง เพราะอะไรรู้ไหม .. เพราะพระปูนไม่มีใครขโมย พระโลหะเผลอหน่อยเดียวคนตัดเศียรแล้วดีไม่ดีเอาไปทั้งองค์ ฉะนั้นปูนดีกว่า มีอานิสงส์เท่ากัน ราคาถูกกว่า ทนทานและรักษาง่ายกว่า"

    "การสร้างพระพุทธรูปนี่เป็นพุทธบูชาเป็น พุทธานุสสติ ในกรรมฐาน 40 กอง ท่านบอกว่ากำลัง พุทธานุสสติเป็นเหตุให้เข้าถึงพระนิพพานได้ง่ายที่สุด ง่ายกว่ากองอื่น ก็เห็นจะจริง เพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านอยู่ที่นิพพานนี่ และท่านก็เป็นต้นตระกูลของพระนิพพาน ใช่ไหม.. ทีนี้ถ้าเราต้องการสร้างให้สวยตามที่เราชอบ เห็นแล้วก็ทำให้จิตใจสดชื่น จิตมันก็นึกถึงพระอยู่เสมอ ถ้าจิตนึกถึงพระพุทธรูปองค์นั้นอยู่เสมอก็จัดเป็นพุทธานุสสติกรรมฐาน ถ้าใจเราเกาะพระพุทธเจ้าเป็นปกติ ตามแล้วลงนรกไม่เป็น ฉะนั้นถ้าหากโยมเห็นว่าพระที่ทำด้วยโลหะสวยกว่า ชอบมากกว่า โยมก็สร้างแบบนั้น"
     
  2. มหาวัด

    มหาวัด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    248
    ค่าพลัง:
    +1,892
    อย่าเอาอะไรที่มีปัญญามาลงเลยครับ
    อุรุเวลา เจ้าปลาไหลน้อยมันอ่านไม่ออก
    ไม่รู้เรื่องหรอกครับ
    ก็เห็นๆๆกันอยู่
    ถ้าจะฝากต้องฝากไอ้นี่ครับ เข็มกับด้าย เอาไว้เย็บหน้าที่แหก
    แล้วแหกอีกไงครับ
    ไม่รู้ว่าจะแทงเข็มหน้าของเขาเข้าหรือเปล่า
    สงสัยนะครับ เห็นเขาแถเก่งขนาดนี้
    เลยเข้าใจว่าอย่างงั้นนะ


    (||)(||)(||)(||)(||)(||)(||)(||)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 ธันวาคม 2012
  3. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ นิโครธารามใกล้กรุงกบิลพัสดุ์
    แคว้นสักกะ ครั้งนั้นแล เจ้าศากยะ พระนามว่ามหานามะได้เสด็จเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่
    ประทับ ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ข้า
    แต่พระองค์ผู้เจริญ อริยสาวกผู้ได้บรรลุผล ทราบชัดพระศาสนาแล้ว ย่อมอยู่ด้วยวิหารธรรม
    ชนิดไหนเป็นส่วนมาก พระเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรมหานามะ อริยสาวกผู้ได้บรรลุ
    ผลทราบชัดพระศาสนาแล้ว ย่อมอยู่ด้วยวิหารธรรมนี้เป็นส่วนมาก คือ อริยสาวกในพระศาสนานี้
    ย่อมระลึกถึงพระตถาคตเนืองๆ ว่า แม้เพราะเหตุนี้ๆ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น เป็น
    พระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ทรงถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้ง
    โลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็น
    ผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกธรรม
    ดูกรมหานามะ สมัยใด อริยสาวกย่อมระลึกถึงพระตถาคต
    เนืองๆสมัยนั้น จิตของอริยสาวกนั้น ย่อมไม่ถูกราคะกลุ้มรุม ไม่ถูกโทสะกลุ้มรุมไม่ถูกโมหะ
    กลุ้มรุม ย่อมเป็นจิตดำเนินไปตรงทีเดียว ก็อริยสาวกผู้มีจิตดำเนินไปตรงเพราะปรารภพระตถาคต
    ย่อมได้ความทราบซึ้งอรรถ ย่อมได้ความทราบซึ้งธรรมย่อมได้ความปราโมทย์อันประกอบด้วย
    ธรรม เมื่อปราโมทย์แล้ว ย่อมเกิดปีติ กายย่อมสงบ ผู้มีกายสงบแล้วย่อมเสวยสุข เมื่อมีสุข
    จิตย่อมตั้งมั่น ดูกรมหานามะ นี้อาตมภาพกล่าวว่า อริยสาวกเป็นผู้ถึงความสงบเรียบร้อยอยู่
    ในเมื่อหมู่สัตว์ยังไม่สงบเรียบร้อย เป็นผู้ไม่มีความพยาบาทอยู่ ในเมื่อหมู่สัตว์ยังมีความพยาบาท
    เป็นผู้ถึงพร้อมกระแสธรรม ย่อมเจริญพุทธานุสสติฯ

    พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๒๒ หน้าที่ ๒๖๓/๔๐๗
     
  4. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ความว่าง
    [​IMG]
    เราจะดูกันต่อไปอีกนิดหนึ่ง คือเมื่อรูปเคารพเช่นพระพุทธรูป เป็นต้น บุบสลายลงไป มีคอหัก แขนขาด หูแหว่ง จมูกวิ่น เป็นต้น เราเห็นแล้วจะรู้สึกอย่างไร นี้อย่างหนึ่ง, กับเมื่อรูปสัญลักษณ์เช่น แท่นว่าง รูปธรรมจักร หรือรอยพระบาทเป็นต้น แตกหักแหว่งวิ่นหรือกระจัดกระจายไป เราจะรู้สึกเหมือนกันกับที่เห็นพระพุทธรูปบุบสลายนั้นหรือไม่ โดยที่แท้นั้นย่อมต่างกันลิบลับ คือ สัญลักษณ์ที่แตกหักนั้น ยังมีความศักดิ์สิทธิ์และความหมายอันให้ความรู้สึกแก่จิตใจอยู่เท่าเดิม ส่วนรูปเคารพนั้นให้ความทุเรศ ให้ความปั่นป่วนรวนเรแก่จิตใจ ถ้าหักออกในส่วนที่ทำให้ดูน่าเกลียด เราก็จะรู้สึกเกลียดดังนี้เป็นต้น, ดังนั้น คนที่ฉลาดในด้านจิตใจ จึงพากันไม่นิยมทำรูปเคารพ และห้ามการทำรูปเคารพมาแล้วตั้ง ๓,๐๐๐ กว่าปี เพิ่งจะมาถอยหลังเข้าคลองกันอีกเมื่อยุคหลังนี้

    ทีนี้ ในระดับสูงสุด คือการทำสัญลักษณ์นั้น ถ้าทำเป็นภาพอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นรูปหรือแบบขึ้นมา ก็ต้องเผชิญกันกับความชำรุดเป็นธรรมดา ดังนั้นคนที่ฉลาดที่สุดจึงใช้ "ความว่าง" เป็นสัญลักษณ์ของพระพุทธองค์ เป็นสัญลักษณ์ที่ไม่รู้จักชำรุดทรุดโทรมหรือเปลี่ยนแปลงได้แม้แต่นิดเดียว นับว่าเป็นสัญลักษณ์ที่ยอดสุดของสัญลักษณ์ทั้งหลาย เมื่อไม่มีอะไรจะกระทบกระทั่งต่อ "ความว่าง" ได้ฉันใด ก็ย่อมไม่มีอะไรที่จะกระทบกระทั่งพระภควันพระองค์จริง อันเป็นอนันตกาลได้ฉันนั้น ดังนั้นพุทธบริษัทในอินเดีย สมัย พ.ศ. ๓๐๐–๖๐๐ จึงไม่ยอมทำรูปเคารพแก่พระพุทธองค์, แต่ได้ทำสัญลักษณ์ในขั้นที่ฉลาดที่สุด คือความว่างแทน

    พุทธทาสภิกขุ รวบรวมและอธิบาย
    http://www.buddhadasa.org/html/life-work/theatre/sculpture/sculpture-pre.html
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 ธันวาคม 2012
  5. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    คุณใช้คำว่า "ท่าน" กับองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า คุณไม่เคารพพระพุทธเจ้า
    คุณใช้คำว่า "ไอ้" กับพระธรรม คุณไม่เคารพพระธรรม
    คุณใช้คำว่า "ไอ้ฟาย"

    "ไฟคือโทสะนี้ เพราะบุคคลผู้โกรธ อันโทสะครอบงำย่ำยีจิต ย่อมประพฤติทุจริตทางกาย
    ทางวาจา ทางใจได้ ครั้นประพฤติทุจริตทางกาย ทางวาจา ทางใจแล้ว เมื่อตายไป
    ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ฉะนั้น จึงพึงละ พึงเว้น ไม่พึงเสพ ไฟคือ
    โทสะนี้ ก็เพราะเหตุไร จึงพึงละ พึงเว้น ไม่พึงเสพไฟคือโมหะนี้"

    พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๒๓ หน้าที่ ๔๓/๓๗๙
     
  6. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    คุณใช้คำว่า "ท่าน" กับองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า คุณไม่เคารพพระพุทธเจ้า
    คุณใช้คำว่า "ไอ้" กับพระธรรม คุณไม่เคารพพระธรรม
    คุณใช้คำว่า "ไอ้ฟาย"

    "ไฟคือโทสะนี้ เพราะบุคคลผู้โกรธ อันโทสะครอบงำย่ำยีจิต ย่อมประพฤติทุจริตทางกาย
    ทางวาจา ทางใจได้ ครั้นประพฤติทุจริตทางกาย ทางวาจา ทางใจแล้ว เมื่อตายไป
    ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ฉะนั้น จึงพึงละ พึงเว้น ไม่พึงเสพ ไฟคือ
    โทสะนี้ ก็เพราะเหตุไร จึงพึงละ พึงเว้น ไม่พึงเสพไฟคือโมหะนี้"

    พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๒๓ หน้าที่ ๔๓/๓๗๙
     
  7. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    สำนึกได้ขอขมาพระรัตนตรัยพอทันครับ แต่กรรมที่ทำไว้ไม่ได้หายไปไหน
    คุณแก้ข้อความจาก "ไอ้" เป็น "พระ" ก็จริงครับ คุณแก้ข้อความแล้ว
    แต่กรรมนั้นยังอยู่แน่นอนเก่งแค่ไหน ไม่มีใครหนี "กฏแห่งกรรม" ไปได้
    กรรมย่อมส่งผลกับผู้กระทำ โชคดีนะครับ
     
  8. มหาวัด

    มหาวัด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    248
    ค่าพลัง:
    +1,892
    แหลและ ผมไม่เคยแก้ข้อความจากไอ้เป็นพระ ครับ.....
    ฟายเอ๋ย ใส่ร้ายอีกแล้ว
    อย่ามาง่าวนะ..........
    คนอย่าง มหาวัด
    พูดตรงๆๆ
    ไม่มีแถไม่มีเล่นลิ้น
    ด่าคือด่า ไม่มีแก้ครับ
    จะแก้ก็ต่อเมื่อพิมพ์ไม้เอกไม้โทตก พิมพ์ข้อความเกิน
    สื่อความหมายไม่ดี



    (||)(||)(||)(||)(||)(||)(||)(||)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 ธันวาคม 2012
  9. มหาวัด

    มหาวัด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    248
    ค่าพลัง:
    +1,892
    ฟายผมใช้กับคุณ เพราะคุณชอบใส่ร้ายผมแล้วทำไมผมจะใช้คำว่า พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ครับ
    คุณบ้าไปแล้วหรือครับ ผมบอกไอ้พระสูตรที่คุณไปยกมา
    อย่างนี้เรียกว่าด่าหรือ คุณบ้าเปล่า พระสูตรเป็นคัมภีร์เป็นบันทึกถ้อยคำ
    ผม ถามหน่อยว่าหยาบตรงไหน เหมือนคุณใช้คำว่ามันกับ สิ่งของผมถามว่าหยาบไหม ผมไม่ได้ใช้กับคนสักหน่อย
    ผมใช้กับคนผมก็เรียกคุณเรียกท่านเรียกพระองค์ทั้งนั้น
    จะพูดอะไรก็คิดด้วย ต่อให้ผมใช้คำว่าไอ้กับคนก็ใช่ว่่าจะหยาบ งั้นไอ้แมงมุม ไอ้มดแดง ไอ้หนุ่มซิงตึ่ง ก็หยาบหมดสิ
    โอ๊ยไร้สาระว่ะ อุรุ คิดได้แค่นี้หรอครับ

    พจนานุกรม ให้ความหมายว่า คำว่า อ้าย (หรือต่อมาเพี้ยนเป็นไอ้): หมายความว่า
    1. เป็นคำใช้เรียกลูกชายคนที่ ๑ ว่า ลูกอ้าย. (สามดวง); โดยปริยายอนุโลมเรียกพี่ชายคนโตว่า พี่อ้าย.
    2.เป็นคำที่ใช้ในความหมายว่า ต้น, หนึ่ง, เช่น ในคำว่า เดือนอ้าย.
    3.เป็นคำที่ใช้เป็นคําประกอบคําอื่นบอกให้รู้ว่าเป็นเพศชายหรือสัตว์ตัวผู้
    4.เป็นคำที่ใช้คําประกอบหน้าคําบางคําเพื่อเน้นคำตามหลัง
    5.คําใช้แทนสิ่งที่กล่าวถึงและเป็นที่เข้าใจกัน เช่น อ้ายนั่น อ้ายนี่

    ผมใช้คำว่าไอ้พระสูตรที่คุณไปยกมา ตรงกับความหมายของคำว่าอ้าย ในความหมายที่สี่และห้า คือเป็นคำที่ใช้คําประกอบหน้าคําบางคําเพื่อเน้นคำตามหลัง คําใช้แทนสิ่งที่กล่าวถึงและเป็นที่เข้าใจกัน เช่น อ้ายนั่น อ้ายนี่


    (||)(||)(||)(||)(||)(||)(||)(||)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 ธันวาคม 2012
  10. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ดูกรคฤหบดี บุคคลให้ทานอันเศร้าหมองหรือประณีตก็ตาม แต่ให้ทานนั้นโดยเคารพ
    ทำความนอบน้อมให้ ให้ด้วยมือตนเอง ให้ของที่ไม่เหลือ เชื่อกรรมและผลของกรรมให้ทาน
    ทานนั้นๆ บังเกิดผลในตระกูลใดๆ ในตระกูลนั้นๆ จิตของผู้ให้ทานย่อมน้อมไปเพื่อบริโภค
    อาหารอย่างดี ย่อมน้อมไปเพื่อบริโภคผ้าอย่างดี ย่อมน้อมไปเพื่อบริโภคยานอย่างดี ย่อมน้อมไป
    เพื่อบริโภคกามคุณ ๕ อย่างดี แม้บริวารชนของผู้ให้ทานนั้น คือ บุตร ภรรยา ทาส คนใช้
    คนทำงาน ก็เชื่อฟังดี เงี่ยหูฟัง ไม่ส่งจิตไปที่อื่น ข้อนั้นเพราะเหตุไรทั้งนี้เป็นเพราะผล
    ของกรรมที่ตนกระทำโดยเคารพ ฯ
    ดูกรคฤหบดี เรื่องเคยมีมาแล้ว มีพราหมณ์ชื่อเวลามะ พราหมณ์ผู้นั้นได้ให้ทานเป็น
    มหาทานอย่างนี้ คือ ได้ให้ถาดทองเต็มด้วยรูปิยะ ๘๔,๐๐๐ ถาดถาดรูปิยะเต็มด้วยทอง ๘๔,๐๐๐
    ถาด ถาดสำริดเต็มด้วยเงิน ๘๔,๐๐๐ ถาด ให้ช้าง ๘๔,๐๐๐ เชือก มีเครื่องประดับล้วนเป็นทอง
    มีธงทอง คลุมด้วยข่ายทองให้รถ ๘๔,๐๐๐ คัน หุ้มด้วยหนังราชสีห์ หนังเสือโคร่ง หนัง
    เสือเหลือง ผ้ากัมพลเหลือง มีเครื่องประดับล้วนเป็นทอง มีธงทอง คลุมด้วยข่ายทอง
    ให้แม่โคนม ๘๔,๐๐๐ ตัว มีน้ำนมไหลสะดวก ใช้ภาชนะเงินรองน้ำนม ให้หญิงสาว ๘๔,๐๐๐ คน
    ประดับด้วยแก้วมณีและแก้วกุณฑล ให้บัลลังก์ ๘๔,๐๐๐ ที่ ลาดด้วยผ้าโกเชาว์ ลาดด้วยขนแกะ
    สีขาว เครื่องลาดมีสัณฐานเป็นช่อดอกไม้ มีเครื่องลาดอย่างดีทำด้วยหนังชมด มีเครื่องลาด
    เพดาน มีหมอนข้างแดงทั้งสอง ให้ผ้า๘๔,๐๐๐ โกฏิ เป็นผ้าเปลือกไม้ ผ้าแพร ผ้าฝ้าย
    เนื้อละเอียด จะป่วยกล่าวไปไยถึงข้าว น้ำ ของเคี้ยว ของบริโภค เครื่องลูบไล้ ที่นอนไหลไปเหมือนแม่น้ำ
    ดูกรคฤหบดี ก็ท่านพึงมีความคิดอย่างนี้ว่า สมัยนั้น ผู้อื่นไม่ใช่เวลามพราหมณ์ผู้ที่ให้ทานเป็นมหาทานนั้น
    ดูกรคฤหบดี แต่ท่านไม่ควรเห็นอย่างนี้ สมัยนั้นเราเป็นเวลามพราหมณ์ เราได้ให้ทานนั้นเป็นมหาทาน
    ก็ในทานนั้นไม่มีใครเป็นพระทักขิเณยยบุคคล ใครๆ ไม่ชำระทักขิณา(ทานเพื่อผลอันเจริญ)นั้นให้หมดจด
    ดูกรคฤหบดี ทานที่บุคคลเชื้อเชิญท่านผู้ถึงพร้อมด้วยทิฐิผู้เดียวบริโภค มีผลมากกว่าทานที่เวลามพราหมณ์ให้แล้ว
    ทานที่บุคคลเชื้อเชิญให้ท่านผู้ถึงพร้อมด้วยทิฐิร้อยทานบริโภค มีผลมากกว่าทานที่บุคคลเชื้อเชิญให้ท่านผู้ถึงพร้อมด้วยทิฐิผู้เดียวบริโภค
    ทานที่บุคคลเชื้อเชิญให้พระสกทาคามีผู้เดียวบริโภค มีผลมากกว่าทานที่บุคคลเชื้อเชิญให้ท่านผู้ถึงพร้อมด้วยทิฐิร้อยท่านบริโภค
    ทานที่บุคคลเชื้อเชิญให้พระสกทาคามีร้อยท่านบริโภค มีผลมากกว่าทานที่บุคคลเชื้อเชิญให้พระสกทาคามีผู้เดียวบริโภค
    ทานที่บุคคลเชื้อเชิญให้พระอนาคามีผู้เดียวบริโภค มีผลมากกว่าทานที่บุคคลเชื้อเชิญให้พระสกทาคามีร้อยท่านบริโภค
    ทานที่บุคคลเชื้อเชิญพระอนาคามีร้อยท่านบริโภค มีผลมากกว่าทานที่บุคคลเชื้อเชิญพระอนาคามีผู้เดียวบริโภค
    ทานที่บุคคลถวายให้พระอรหันต์ผู้เดียวบริโภค มีผลมากกว่าทานที่บุคคลเชื้อเชิญให้พระอนาคามีร้อยท่านบริโภค
    ทานที่บุคคลถวายให้พระอรหันต์ร้อยท่านบริโภค มีผลมากกว่าทานที่บุคคลถวายให้พระอรหันต์ผู้เดียวบริโภค
    ทานที่บุคคลถวายให้พระปัจเจกพุทธเจ้ารูปเดียวบริโภคมีผลมากกว่าทานที่บุคคลถวายให้พระอรหันต์ร้อยรูปบริโภค
    ทานที่บุคคลถวายให้พระปัจเจกพุทธเจ้าร้อยรูปบริโภค มีผลมากกว่าทานที่บุคคลถวายให้พระปัจเจกพุทธเจ้ารูปเดียวบริโภค
    ทานที่บุคคลถวายให้พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าบริโภค มีผลมากกว่าทานที่บุคคลถวายให้พระปัจเจกพุทธเจ้าร้อยรูปบริโภค
    ทานที่บุคคลถวายให้ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขบริโภค มีผลมากกว่าทานที่บุคคลถวายให้พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าบริโภค
    การที่บุคคลสร้างวิหารถวายสงฆ์ผู้มาจากจาตุรทิศ มีผลมากกว่าทานที่บุคคลถวายให้ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขบริโภค
    การที่บุคคลมีจิตเลื่อมใสถึงพระพุทธเจ้า พระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ มีผลมากกว่าทานที่บุคคลสร้างวิหารถวายสงฆ์อันมาจากจาตุรทิศ
    การที่บุคคลมีจิตเลื่อมใสสมาทานสิกขาบท คืองดเว้นจากปาณาติบาต ฯลฯ จากการดื่มน้ำเมาคือสุราและเมรัยอันเป็นฐานะแห่งความประมาท
    มีผลมากกว่าการที่บุคคลมีจิตเลื่อมใสถึงพระพุทธเจ้า พระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ
    การที่บุคคลเจริญเมตตาจิตโดยที่สุดแม้เพียงเวลาสูดดมของหอม มีผลมากกว่าการที่บุคคลมีจิตเลื่อมใสสมาทานสิกขาบท คือ งดเว้นจากปาณาติบาต ฯลฯ
    ดูกรคฤหบดีทานที่บุคคลเชื้อเชิญให้ท่าน ผู้ถึงพร้อมด้วยทิฐิผู้เดียวบริโภค มีผลมากกว่ามหาทานที่เวลามพราหมณ์ให้แล้ว ...
    การที่บุคคลเจริญเมตตาจิต โดยที่สุดแม้เพียงเวลาสูดดมของหอม มีผลมากกว่าการที่บุคคลมีจิตเลื่อมใสสมาทานสิกขาบท คือ งดเว้นจากปาณาติบาต ...
    และ การที่บุคคลเจริญอนิจจสัญญา(ทำสมาธิ)แม้เพียงเวลาลัดนิ้วมือ มีผลมากกว่าการที่บุคคลเจริญ เมตตาจิตโดยที่สุดแม้เพียงเวลาสูดดมของหอม ฯ

    พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๒๓ หน้าที่ ๓๑๖/๓๗๙

    -การทำสมาธิมีอานิสงค์สูงสูด มีอานิสงค์มากกว่าการเจริญเมตตาจิต การรักษาศีล การเลื่อมใสในพระรัตนตรัย การสร้างวิหาร การถวายทาน
     
  11. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    คุณใช้คำว่า "ท่าน" กับองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า คุณไม่เคารพพระพุทธเจ้า
    คุณใช้คำว่า "ไอ้" กับพระธรรม คุณไม่เคารพพระธรรม
     
  12. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย รูปที่เป็นอดีต รูปที่เป็นอนาคต เป็นอนัตตา จักกล่าวถึงรูปที่เป็นปัจจุบันไปไยเล่า?
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมเป็นผู้ไม่มีความอาลัยในรูปที่เป็นอดีต
    ไม่เพลิดเพลินในรูปที่เป็นอนาคต ย่อมเป็นผู้ปฏิบัติเพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อคลายกำหนัด
    เพื่อความดับรูปที่เป็นปัจจุบัน.

    พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๑๗
     
  13. มหาวัด

    มหาวัด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    248
    ค่าพลัง:
    +1,892
    จร้า...พ่อคนดี
    พ่อวิเศษ
    แน่จริงคุณใช้ราชาศัพท์
    ทุกคำนะ
    ไม่งั้นจะถือว่า ไม่เคารพ
    แต่คุณคงไม่มีปัญญาใช้ไม่รู้จักหรอกมั้ง
    แค่อ่านหนังสือจับใจความให้ได้ยังไม่มีปัญญาเลยนี่
    แล้วราชาศัพท์จะไหวหรอ.....
    ผมไม่ก็อปปี้มาตอบข้อความปัญญาอ่อนทำนองนี้ของคุณแล้วแหละ
    เพราะยิ่งกว่าสีซอให้ฟายฟังอีก
    ฟายมันยังรู้ความบ้าง แต่คุณนี่สิ
    555555 จะว่าไปนับญาติกับมันก็สงสารมันนะ ถ้าเอาคุณไปจัดอยู่Species
    เดียวกับมันนี่ สงสัยจะไม่ได้แล้วล่ะ
    อย่ามาโชว์ความง่าว......
    เลยนะ มันเข้าตัวคุณหมดนั้นแหละ
    ว่าสันดานจริงๆๆ คุณเป็นไง
    ***********
    เขารู้กันหมดเว็ปแล้วเห็นไหมเป็นผมไม่กล้าเขามาเกรียน
    แถวนี้อีกนะเนี่ย
    ยิ่งทำเป็นงอแง
    เหมือนเด็กไม่รู้จักโตก็ยิ่ง
    น่าสมเพชในสายตาคนอื่นนะครับ55555
    ไปฟ้องพ่อยัง
    วันนี้ ปลาไหลน้อย
    ไปลอกพระสูตรเขามาตั้งเยอะ นะเข้าใจความหมายหรือเปล่า
    ปลาไหลน้อย
    โชว์โง่ไปหลายกระทู้แล้วนี่...................
    จะเอามาโชว์โง่อะไรอีกครับ
    จะใส่ร้ายอะไรผมอีกล่ะ
    วันนี้



    (||)(||)(||)(||)(||)(||)(||)(||)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 ธันวาคม 2012
  14. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    "ปรารภเรื่องนี้ซ้ำ ๆ ซาก ๆ อีกก่อน เพราะยังไม่ละเอียดดี ตอนฉันอาหารเสร็จ
    พระอาจารย์ใหญ่ไปส้วมถ่าย ส้วมนั้นเป็นส้วมแบบโบราณ ขุดหลุมลึกประมาณสามเมตร
    ถวายเฉพาะองค์ท่าน กว้างเมตรเจ็ดสิบห้าเซ็นต์ ส้วมแบบโบราณมีรางปัสสาวะ
    ครั้นองค์ท่านเข้าไปถ่ายถอดรองเท้าเรียงคู่ไว้เรียบ ๆ ไม่ผินหน้าผินหลัง เปิดประตูแบบมีสติ
    ไม่ตึงตัง ปัสสาวะลงในรางปัสสาวะแล้วเทน้ำลงล้าง ถ่ายเสร็จแล้วชำระด้วยใบตองกล้วยแห้ง
    ที่พันไว้เป็นกลม ๆ ยาวคืบกว่าที่ลูกศิษย์จัดทำไว้ เพราะองค์ท่านเป็นโรคริดสีดวงทวาร
    ในยุคนั้นไม่มีกระดาษชำระ กระดาษที่มีหนังสือชาติใด ๆ ก็ตามองค์ท่านไม่เหยียบ
    เอาลงในกระโถน ไม่เอาเช็ดทวารหนักทวารเบา องค์ท่านเคยอธิบายบ่อย ๆ ว่า
    หนังสือชาติใดก็ตาม สามารถจารึกคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทั้งนั้น จึงควรเคารพยำเกรง"

    อัตตโนประวัติหลวงปู่หล้า เขมปัตโต
     
  15. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    คุณไม่ควรใช้คำว่า "ไอ้" กับพระธรรม
     
  16. มหาวัด

    มหาวัด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    248
    ค่าพลัง:
    +1,892


    ไหนบอกไม่ติดสมมติบัญญัติไง ฟายจริงๆๆ เก่งแต่ปากนี่หว่า
    มันก็แค่ถ้อยคำ แค่สมมติบัญญัติไม่ใช่หรือ ว้าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
    ปลาไหลหน้าแหกพยายามเรียกร้องความสนใจ
    จะกู้หน้าคือ
    ไม่สำเร็จดอก 555555

    "สิ่งทั้งหลายในโลกนี้ล้วนแต่เป็นสิ่งสมมุติ ที่เราสมมุติขึ้นมา เองทั้งสิ้น สมมุติแล้วก็หลงสมมุติของตัวเอง เลยไม่มีใครวาง มันเป็น ทิฐิ มันเป็นมานะ ความยึดมั่นถือมั่น อันความยึดมั่นถือมั่นนี้ ไม่ใช่เรื่องที่จะจบได้ มันจบลงไม่ได้ สักที เป็นเรื่องวัฏฏสงสารที่ไหลไปไม่ขาด ไม่มีทางสิ้นสุด เอ! สมมุตินี้ ถ้าไม่รู้จักมันจริงๆ แล้ว มันก็เป็นโทษมาก ความจริงมันเป็นของเอามาใช้ให้เรารู้จักเรื่องราวเฉยๆ เท่านั้นก็พอ ให้รู้ว่าถ้าไม่ มีเรื่องสมมุตินี้ ก็ไม่มีเรื่องที่จะพูดกัน ไม่มีเรื่องที่จะบอกกัน ไม่มีภาษาที่จะใช้กัน ภาษาที่ใช้ชี้ความหมายถึงสิ่งหนึ่งๆๆนะเป็นสิ่งสมมุติ เท่านั้น ก็เหมือนชื่อของเราทุกคนนี้แหละ แต่เดิมชื่อของเราก็ไม่มี คือตอน เกิดมาไม่มีชื่อ ที่มีชื่อขึ้นมาก็โดยสมมุติกันขึ้นมาเอง ว่าเป็นเรา เป็นนั้น เป็นนี่ "
    พระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภัทโท)


    พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ ให้ความหมายว่า คำว่า อ้าย (หรือต่อมาเพี้ยนเป็นไอ้): หมายความว่า
    1. เป็นคำใช้เรียกลูกชายคนที่ ๑ ว่า ลูกอ้าย. (สามดวง); โดยปริยายอนุโลมเรียกพี่ชายคนโตว่า พี่อ้าย.
    2.เป็นคำที่ใช้ในความหมายว่า ต้น, หนึ่ง, เช่น ในคำว่า เดือนอ้าย.
    3.เป็นคำที่ใช้เป็นคําประกอบคําอื่นบอกให้รู้ว่าเป็นเพศชายหรือสัตว์ตัวผู้
    4.เป็นคำที่ใช้คําประกอบหน้าคําบางคําเพื่อเน้นคำตามหลัง
    5.คําใช้แทนสิ่งที่กล่าวถึงและเป็นที่เข้าใจกัน เช่น อ้ายนั่น อ้ายนี่

    ผมใช้คำว่าไอ้พระสูตรที่คุณไปยกมา ตรงกับความหมายของคำว่าอ้าย ในความหมายที่สี่และห้า คือเป็นคำที่ใช้คําประกอบหน้าคําบางคําเพื่อเน้นความสำคัญของคำตามหลัง และเป็นคำที่ใช้แทนสิ่งที่กล่าวถึงและเป็นที่เข้าใจกัน เช่น อ้ายนั่น อ้ายนี่
    พจนานุกรมมีนะครับ................หยาบคายได้ไง

    ถ้ายังพูดแบบคนบ้าอีก
    ก็คงจะต้องด่า แล้วนะครับ เพราะถือว่ากวนตีน
    ชอบแบบจัดหนักกว่านี้อีกใช่ไหม?
    พ่อปลาไหล
    ไม่ใช่ปลาไหลธรรมดานะครับ ปลาไหลตุ๊ดครับ
    ผิดซ้ำซากไม่สำนึก
    ไม่ยอมรับความจริง
    ใจตุ๊ด จริงๆๆ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 ธันวาคม 2012
  17. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    สำเนียงส่อภาษา...
     
  18. มหาวัด

    มหาวัด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    248
    ค่าพลัง:
    +1,892
    สำเนียงส่อภาษา...และ พฤติกรรมคุณก็ส่อสถุล......

    นี่ผมเติมให้เองแหละ
    กวนตีนดีนัก
    พอไม่รู้จะแถอะไร เถียงไม่ออก
    เพราะข้อมูลที่ผมเอามาลงให้เห็นกันชัดๆๆ
    ก็ใช้วิธีกวนตีน
    55555
    ผมชอบครับ
    กวนตีนมาให้ได้ตลอดเถอะ
    ผมชอบ......พวกแบบนี้ ประจานตัวเองเยอะๆๆ
    55555
    แสดงความไร้ปัญญา ทาสแท้ออกมาเยอะๆๆครับ

    อย่างเมื่อวานเวลาผมถามอะไรตัวเองไปลอกมาตอบไม่ได้ทำเงียบ
    ไม่รู้จะว่าอะไรผมใส่ร้ายป้ายสี
    ทั้งๆๆที่กระทู้อยู่
    เรื่องเจดีย์ คิดว่าผมไม่รู้และคิดว่าที่ตัวเองรู้นะถูกแล้วก็เลยพยายามจะถล่มผม
    สังเกตนะครับ ว่านอกจากจะชอบใส่ร้ายป้ายสีคนอื่นยัดเยียดข้อหาแล้ว
    ยังชอบอวดภูมิอวดดี
    พอถามอะไรที่ต้องใช้สมองลอกคำตอบสำเร็จรูปมาตอบไม่ได้ทำเป็นลืมคำถามไปเสียดื้อๆๆ
    พอคิดว่าคนอื่นไม่รู้ตัวเองรู้ คนอื่นผิดพยายามจะเอาให้ถึงตาย
    แต่ขอโทษข้อมูลผมแน่นครับ
    เมื่อวานเรื่องเจดีย์ก็เลย หน้าแหก แบบเจ็บช้ำสุดๆๆในชีวิตไป
    เจอ งานเขียนกรมดำรงท่านศึกษามาไปไม่ถูกทีเดียว
    จะด่าว่าท่านมั่ว พอผมบอกประวัติท่าน ก็ไปไม่ถูกเลยทีเดียว พ่อปลาไหล
    พูดซ้ำๆๆ ทิฏฐิใคร ผมเกือบหลุดปาก ตอบ ไม่ใช่ทิฏฐิพ่อมึงแล้วกัน ไปแล้ว
    แต่สงสาร กลัวเขาร้องไห้เพราะแรงเกินไป
    ก็เลยยั้งใจไว้
    เพราะรู้แค่นี้เขาก็เจ็บใจจนแทบจะกระอักเลือดตายแล้ว ใช่มิใช่มิ อุรุ
    วันนี้สมองเลยเพี้ยนไปเลยทีเดียว


    (||)(||)(||)(||)(||)(||)(||)(||)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 ธันวาคม 2012
  19. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    สำเนียง ส่อภาษา...
     
  20. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย มลทินในภายใน ๓ ประการนี้ เป็นอมิตรเป็นศัตรู
    เป็นผู้ฆ่า เป็นข้าศึกในภายใน ๓ ประการเป็นไฉน คือ โลภะ ๑โทสะ ๑ โมหะ ๑
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย มลทินในภายใน ๓ ประการนี้แล เป็นอมิตร เป็นศัตรู เป็นผู้ฆ่า
    เป็นข้าศึกในภายใน ฯ
    โลภะให้เกิดความฉิบหายโลภะทำจิตให้กำเริบชนไม่รู้สึกโลภะนั้น
    อันเกิดแล้วในภายในว่าเป็นภัย คนโลภย่อมไม่รู้ประโยชน์ย่อมไม่
    เห็นธรรม โลภะย่อมครอบงำนรชนในขณะนั้น ความมืดตื้อย่อมมีใน
    ขณะนั้น ก็ผู้ใดละความโลภได้ขาด ย่อมไม่โลภในอารมณ์เป็นที่ตั้ง
    แห่งความโลภ ความโลภอันอริยมรรคย่อมละเสียได้จากบุคคลนั้น
    เปรียบเหมือนหยดน้ำตกไปจากใบบัวฉะนั้น โทสะให้เกิดความฉิบหาย
    โทสะทำจิตให้กำเริบ ชนไม่รู้จักโทสะนั้นอันเกิดในภายในว่าเป็นภัย
    คนโกรธย่อมไม่รู้จักประโยชน์ ย่อมไม่เห็นธรรม โทสะย่อมครอบงำ
    นรชนในขณะใด ความมืดตื้อย่อมมีในขณะนั้น ก็บุคคลใดละโทสะ
    ได้ขาด ย่อมไม่ประทุษร้ายในอารมณ์เป็นที่ตั้งแห่งความประทุษร้าย โทสะ
    อันอริยมรรคย่อมละเสียได้จากบุคคลนั้น เปรียบเหมือนผลตาลสุกหลุด
    จากขั้วฉะนั้น โมหะให้เกิดความฉิบหาย โมหะทำจิตให้กำเริบ
    ชนไม่รู้สึกโมหะนั้นอันเกิดในภายในว่าเป็นภัยคนหลงย่อมไม่รู้จัก
    ประโยชน์ ย่อมไม่เห็นธรรม โมหะย่อมครอบงำนรชนในขณะใด
    ความมือตื้อย่อมมีในขณะนั้น ก็บุคคลใดละโมหะได้ขาด ย่อมไม่หลงใน
    อารมณ์เป็นที่ตั้งแห่งความหลง บุคคลนั้นย่อมกำจัดความหลงได้ทั้งหมด
    เปรียบเหมือนพระอาทิตย์อุทัยขจัดมืดฉะนั้น ฯ
    จบสูตรที่ ๙

    พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๒๕ หน้าที่ ๒๒๙/๔๑๘
     

แชร์หน้านี้

Loading...