มาคุยกันเถอะ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย albertalos, 22 เมษายน 2009.

  1. nanakorn

    nanakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +155
    I know I know ไม่ใช่ I no I no !!!!
     
  2. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    [​IMG] ตุ๊บ ตุ๊บ ตั๊บ ตั๊บ
     
  3. nanakorn

    nanakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +155
    I agree with you คุณนิวรณ์ บางเรื่องนะ ที่เหลือ ต้องใช้วิปสนาก่อน
     
  4. ๐นัท๐"เอหิปัสสิโก"

    ๐นัท๐"เอหิปัสสิโก" สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    223
    ค่าพลัง:
    +21
    สาธุ... อนุโมทามิ [​IMG]
     
  5. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    จริง ๆ การเข้ามาในบอร์ดนี้ทำให้ผมได้รับความรู้มากขึ้นอีกเยอะนะ

    จะรู้โดยความจำหรือความจริง มันก็ได้รู้ มันก็พอเอาไปใช้เป็นแนวทางในการศึกษาได้ดี

    การลองผิดลองถูกเป็นวิสัยของผู้ใฝ่ใจศึกษาทุกคน เพื่อพอกพูนปัญญาความเข้าใจ

    ผิดกับถูกอาจดูเป็นสิ่งตรงข้ามกันก็จริง แต่ถ้ามองให้ดี จะเห็นว่ามันเป็นสิ่งที่หนุนให้เกิดปัญญาได้เหมือนกัน

    ผิดก็ทำให้เกิดปัญญาได้ ถูกก็พอกพูนความเข้าใจต่อไป

    การยืนอยู่บนฝั่งที่ว่าถูกและดีมาก ๆ แล้วผลักไสรังเกียจอย่างเต็มที่ในฝั่งที่ว่าผิดว่าเลวนั้น กลับกลายเป็นอัตตาซ่อนรูปที่น่ากล้ว ที่กล่าวอย่างนี้ไม่ได้เชียร์ให้ทำผิดทำเลวนะ

    การถูกชมบ้าง ถูกด่าบ้าง เห็นตรงกันบ้าง เห็นแย้งกันบ้าง เป็นเรื่องธรรมดาในเมื่อมีการแสดงความคิดเห็น

    ปรากฏการณ์กุศลและอกุศลในใจตนเองต่างหาก เป็นสิ่งที่เราต้องฝึกรู้ จนรู้เท่าทันการณ์ รอบรู้ และเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ในที่สุด

    การเริ่มต้นที่ดี คือ การฝึก สุนทรียสนทนา (Dialogue) นี่เอง..
     
  6. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    อนุสัยมันแต่ละคนมันแตกต่างตามกรรมที่ทำมา ^-^
     
  7. ๐นัท๐"เอหิปัสสิโก"

    ๐นัท๐"เอหิปัสสิโก" สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    223
    ค่าพลัง:
    +21
    สำหรับผมการศึกษาธรรม คือศึกษาธรรมชาติ ของคน...อันมีตัวเราเป็นเบื้องต้น..
    ศึกษาธรรมชาติ ของ กิเลส ตัญหา อุปทาน .. รัก โลภ โกรธ หลง..
    อยู่กับกองทุกข์.. โดยทุกข์ให้น้อยที่สุด... จนถึงที่สุด คืออยู่กับทุกข์ โดยไม่ทุกข์ (ตอนนี้ยังไม่ถึงนะ อิอิ)...
    ...แค่เห็นว่า สิ่งต่างๆ รอบตัว กระทบถึงจิต ถึงใจเรา น้อยลง... ได้พบกับความสุข ที่ไม่ต้องอาศัยสิ่งภายนอกเป็นเหตุ เป็นปัจจัย...
    ...แต่ กิเลสในตัว ในใจ ก็ยังมีครบนะ ...โลภ โกรธ หลง ...ยังมีอยู่ ก็ดูไป เห็นเหตุ ผลก็ดับ...ดูเกิด-ดับ... มันก็แค่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป...

    ส่วนวิธีของผมน่ะเหรอ..ก็เจริญอานาปานสติ+การดูจิต... ดูตัวเวทนา นี่แหละ..ไม่มีไรมาก จ๊ะ

    ...สาธุ..[​IMG]
     
  8. nanakorn

    nanakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +155
    อนุสัย คืออะไร คะ คุณจินนี่ ใช่แปลให้หน่อยค่ะ ขอบคุณค่ะ
     
  9. ๐นัท๐"เอหิปัสสิโก"

    ๐นัท๐"เอหิปัสสิโก" สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    223
    ค่าพลัง:
    +21
    ระหว่างรอคุณจินนี่ ตอบ...
    ..ผมคั้นเวลาให้อ่านเล่นๆ ก่อนนะ...ถูกหรือเป่าไม่รู้ พิจารณาดูคับ ผมเองก็ไม่แน่ใจคำแปลที่แท้จริงนะ...

    อนุสัย..สำหรับความเข้าใจของผม น่าจะหมายถึง กิเลสที่นอนเนื่องในสันดาน...เช่น คนที่มีนิสัย ชอบพูดเสียงดัง..ก็จะพูดเสียงดังเป็นอาจิญ..ซึ่งคนทั่วไปได้ยิน อาจจะนึกว่าเขาโกรธอะไร? .. แต่ ไม่ใช่โกรธ เป็นความเคยชิน
    ...หรือคนที่ทำอะไรก็ กระโดกกระเดก.. เช่นพระสารีบุตร ณ.อดีตชาติ ท่านเคยเป็นพระยาวานร.. จึงมีนิสัยชอบกระโดด...พอมีคนนิมนต์ท่านไปรับจีวร ท่านเดินผ่านคูน้ำ ท่านก็กระโดดข้าม แทนที่จะ เดินข้ามผ่านสะพาน นี่เป็นต้น...

    ก็ไม่รู้ถูกต้องแค่ไหนนะคับ .... ผิดพลาดตรงจุดใดก็ ชี้แนะเพิ่มเติมให้ด้วยนะคับ... สาธุ
     
  10. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    แหล่มๆๆ

    ฝนที่ตกลงจากฟ้า มันจะมีทางไหลของน้ำ
    พอฝนหยุด ก็ยังเห็นร่องน้ำที่ไหลอยู่
    พอฝนตกลงมาอีกครั้ง น้ำนั้นก็ยังคงไหลตามร่องน้ำอันเดิม

    อนุสัย คือสิ่งที่นอน อยู่ หากถูกปลุก มันก็จะตื่นขึ้นได้ทุกเวลา
    สมถะ สามารถ ข่มทับ อนุสัยไว้ได้
    วิปัสนา สามารถ กะเทาะ อนุสัยให้หลุดร่อนไป

    เมื่อมีคนใช้เสียง ทำให้เราโกรธ เราก็โกรธ พอผ่านไปแล้วซักระยะ

    พอนึกถึงเรื่องราวที่คนนั้นใช้เสียงทำให้เราโกรธ เราก็ยังโกรธโดยจากการนึกคิดถึงเรื่องราวนั้น เรียกว่าอารมณ์ที่มันนอนอยู่เนืองๆ อารมณ์ทุกอารมณ์ที่นอนอยู่เนืองๆเรียก อนุสัย พอจะเข้าใจบ้างมั๊ยครับ
     
  11. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    อนุสัย ทุกคนก็เหมือนๆกัน อนุสัยไม่ต่างกัน ราคะ โทษะ โมหะ ของ ทุกคน ก็เหมือนกัน ต่างที่มากน้อยไม่เท่ากัน อนุสัยของเก่า ๆ กิเลสก็ของเก่าๆ โดนกิเลสหรอกก็โดนหลอกแบบเก่าๆ เกิดวนไปวนมาก็แบบเก่าๆ
     
  12. Mcafee.x

    Mcafee.x เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    92
    ค่าพลัง:
    +118
    สาธุครับ "ไม่มีใครรู้จักเราดีเท่าเรา้ิเอง ไม่มีใครสอนเราได้ดีเท่ากับตัวเอง" มองให้เห็นตัวเอง
    ไม่ต้องสนใจผู้อื่น ดีก็ช่างเขา ชั่วก็ช่างเขา หากเขาต้องมาเกี่ยวเนื่องกับเรา เราก็แค่ทำตามหน้าที่ อย่าให้ความดีความชั่วของใครมากระทบเรา อยู่กับตัวเองมองให้เห็นตัวเอง หากเรายังคิดว่าเราดีกว่าเขา เหนือกว่าเขา รู้กว่าเขา ยังมีอารมณ์กับเรื่องของใครๆ นั่นแหละำไอ้ตัวการ ไอ้ตัวขวางเก็บมันซะเอามันให้ตาย เำพราะเราไม่มีอยู่ อะำไรมี ก็แค่รูปกับนามสัญญาและขันธ์5เน่าๆ มันก็ไม่ใช่ของเรา พระไตรปิฏกเอาขึ้นหิ้งไว้ก่อน อย่าให้ความรู้มาเป็นตัวขวาง เมื่อเราจัดการไอ้ตัวการได้ดูมันเรื่อยๆมันยังไม่ตายหรอกเมื่อเราเห็นมันแล้วมันจะหลบต้องคอยระวังอย่าให้มันมา มันมักจะมาเมื่อตอนถูกด่าหรือชม ต้องระวังไว้ มาเมื่อไหร่ก็ซัดมันอีก แล้วค่อยหาแนวทางปฏิบัติตามความชอบใจ พระธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบริสุทธิ์โดยชิ้นเชิง ตัดออกก็ขาดเพิ่มเข้าก็เกิน84000พระธรรมขันธ์สำหรับ84000นิสัย อย่าไปกล่าวว่าถูกไม่ถูกเลย มันมีแต่รู้กับไม่รู้ เราก็ต่างเป็นผู้ที่ไม่รู้
    อย่า้เพิ่งสนใจเรื่องของคนอื่นเลย
    เจริญธรรม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 เมษายน 2009
  13. nanakorn

    nanakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +155
    อืม ขอบคุณคุณนัท คุณณุ
    เข้าแล้วแล้วค่ะ ที่ช่วยอธิบาย อย่างงี้ฉันก็อนุสัย กระโดกกระเดก บางทีก็กระแดะด้วยน่ะ
    มันเป็นของมันเอง โดยไม่มีการสร้่างไว้ล่วงหน้าใช่ไหม มิน่าหลวงพ่อถึงให้เน้น สติปฐาน 4กับฉัน ให้กลับมาเป็นปกติ
    นานากร หรือ นานากรรม ก็ไม่รู้นะ ตอนนี้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 เมษายน 2009
  14. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    เวลาจะทำอะไรต้องมีเป้าหมาย

    เป้าหมายนี้ ต้องเริ่มจากเป้าหมายเล็กๆ แล้วทำให้ดี จึงค่อยขยายไปเป้าหมายที่ใหญ่ขึ้น

    สมัยก่อน ตอนผมฝึกเจริญสติใหม่ ผมกำหนดรู้ที่กาย แล้วตั้งสัจจะว่า จะต้องระลึกรู้ตลอดเวลา ที่กิน เดิน ยืน นั่ง นอน

    แล้วผมก็ทำตามนั้นได้จริง นี่คือเป้าหมาย ซึ่งทำให้เกิด สัจจะบารมี และ ขันติบารมี วิริยะบารมี

    ยังไม่ต้องคิดอะไรมาก ทำให้ถึงเป้าหมายที่ตนตั้งไว้

    เป้าหมายต่อมา ทำสมาธิ ให้ถึง อัปปนาสมาธิ

    เป้าหมายต่อมา เจริญปัญญา ให้ได้

    นั่นแหละ ให้เลือกเป้าหมายที่เหมาะสมกับตน
     
  15. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ไวจริงๆ เรื่มเป็นกลางต่อการเห็น กุศล และ อกุศล แล้วครับ

    สุดท้ายมันจะมาราบเรียบเสมอกัน เป็นลักษณะ เสมอกันด้วยธรรม

    การเดินจิตด้วยสภาวะแบบนี้ หากหนักแน่นเกิดตลอด ก็จะเดินได้ถึงอนาคามี
    มรรค ไม่ได้แปลว่าบรรลุโสดาบัน สกิทาคาไปแล้วนะ เพียงแต่ว่าจะเหมือนๆ
    ปฏิฆะก็ดี กามราคะก็ดี มันเหมือนๆเราจะไม่มีใจเกาะเกี่ยว เหมือนห่างๆ ตรงนี้
    จะพลาดกันได้ เป็นช่วงหนึ่งที่มักจะเผลอคิดว่าเป็นอนาคามี แต่จริงๆ ยังไม่
    บรรลุอะไรเลย ยิ่งเป็นพวกพุทธิจริตด้วยแล้ว ปัญญาจะไว สติคมกล้า ดังนั้น
    พวกพุทธภูมิอาจจะเผลอทำอะไรที่ทำให้ตัวเองตกนรกเอาได้ง่ายๆ

    กรณีที่เป็นสาวกภูมิ จิตจะเดินตรงนี้ แบบนี้ แนบแน่นแบบนี้ไปสักระยะ กล่าว
    กันตามตำราก็ไม่หน้าเกิน 7 ปี เพราะเกิดจาก 7 ปีก็คงต้องเป็น 7 ชาติ หรือ
    มากกว่านั้น แต่ถ้าเกิดเนืองๆ แล้วไม่ยินดี ยินร้ายกับสภาวะนี้ ให้ดูไปเหมือนๆ
    สภาวะธรรมทั้งหลาย มันมีความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ลงไปอีก ก็ไม่แน่......
    อาจจะสั้นกว่านั้น


    [​IMG][​IMG][​IMG]
     
  16. ๐นัท๐"เอหิปัสสิโก"

    ๐นัท๐"เอหิปัสสิโก" สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    223
    ค่าพลัง:
    +21
    สาธุ คับ ... อนุโมทามิ ..

    คับสาธุ สติปัฏฐาน4 กาย เวทนา จิต ธรรม ทั้ง 4 หมวด ถือเป็นทางเอก เป็นถนนที่ตัดตรง ลัดสั้นที่สุด... ส่วนใคร จะใช้ยาน พาหนะใด รถยนต์ หมอเตอร์ไซด์ หรือจักรยาน คือ จะพุทโธ จะหยุบหนอ จะดูจิต จะสมถะก่อนแล้ววิปัสนา หรือ วิปัสนาไปเลย ก็สุดแท้แต่ ตามแต่จริต... ไม่มีผิดไม่มีถูก

    สาธุ [​IMG]
     
  17. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    แหล่ม

    กระแดะ อันนี้ คืออนุสัย

    กระโดกกระเดก อันนี้ คืออาสวะ

    เวลาภาวนาแล้ว สิ่งที่หาย บรรเทาเบาบางลงไปคือ อนุสัย

    ดังนั้น หาก กระแดะ คลายตัวลง อันนี้ปฏิบัติถูกต้อง

    แต่ถ้า กระโดกกระเดกหายไป อันนี้เป็นไปได้ว่าผิด ต้องดูว่ามีความจงใจ
    ที่จะหยุดกระโดกกระเดก หรือ ว่าสติมันเกิด ถ้าสติเกิดก็ว่ากันไป แต่
    มักจะปรากฏอีก ก็อย่าตกใจว่า เอ้ยฉันละกิเลสไม่ได้ มันคนละตัว

    อาสวะนั้น บางตัวต้องไปละเอากันตอนเป็นอรหันต์ไปแล้วเท่านั้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 เมษายน 2009
  18. nanakorn

    nanakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +155
    ขอบคุณขันธ์ คุณนัท คุณนิวรณ์ ที่ช่วยชีิ้แนะ
    โอ้โห นอกจากอนุสัย ยังจะมีอาสวะ อีกเหรอ มันเป็นความเหมือนที่แตกต่างใช่ไหม
    เวลาฉันโกธร มันไม่แสดงออกมาชัดหรอก มันจะจุกที่อกก่อน ฉันก็จะรู้ว่าฉันกำลังโกธรนะ
    ฉันหาทางระงับมัน ฉันรู้ว่าเป็นวิธีที่ผิด ที่ฉันก็แค่ แก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปก่อน เดี๋ยวมันจะเกิดผลเสีย แต่ความกระโดกกระเดกนี้เกิดขึ้นเอง แต่ฉันไม่รู้ อนุมาน(เขียนถูกไหม)หรอกว่ามันแค่ไหน ดีกรีความแรงแค่ไหน สำหรับคนที่นี้ ทุกครั้งที่มันเกิดฉันไม่รู้มาก่อนฉันเรียกว่า "กิริยาเคยชิน" แล้วกันนะ
     
  19. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    นั่นแหละ หากเรายังไม่มีปัญญาชนิดที่เป็น ภาวนามยปัญญา กิเลสมันจะเล่นงาน
    เราได้ แบบนี้เราก็ต้องรักษาศีลไว้ก่อน ใช้เจตนาวิรัติประเภทต่างๆไปก่อน

    แต่เมื่อเจริญปัญญาชนิด ภาวนามยปัญญา ได้แล้วก็จะต่อสู้กิเลสชนิดนั้นๆได้ เป็น
    ตัวๆไป แต่จริงๆมันจะไม่ได้ดับหาย เพราะการละที่ถูกจะลงไปที่หัวหน้าโจร ใน
    ทีนี้ก็ยังเป็นระดับ อนุสัย ดังนั้น อนุสัย "คนขี้โกรธ" "คนเจ้าทิฏฐิ" "คนอารมณ์ร้อน"
    "คนอารมณ์ไว" "คนหวั่นไหวง่าย" ฯลฯ เหล่านี้จะถูกละ แต่ความโกรธ หรือ อารมณ์
    โกรธจะลุกติดแล้วผ่านไปตามเรื่อง โดยที่ผู้รู้ไม่ไปฉวยขึ้นมา เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
    โดยที่เราไม่ไปเชิญเข้ามา ไม่ไปสำคัญว่านั่นคือเรา

    หากย้อนไปดู "คนขี้โกรธ" "คนเจ้าทิฏฐิ" "คนอารมณ์ร้อน" "คนอารมณ์ไว"
    "คนหวั่นไหวง่าย" ฯลฯ เหล่านี้คืออนุสัย อนุสัยที่ละได้อาจจะแค่ "คนเจ้าทิฏฐิ"
    ตัวเดียว ไม่ได้หมายความว่า "คนอารมณ์หวั่นไหวง่าย" มันจะหายไป ดังนั้น
    กิเลส โทษะมูลจิต จึงยังปรากฏได้อีก เพราะ มูลจิตมันเป็นองค์ประกอบของภพ
    น้อยใหญ่(อนุสัย) ที่เรามีมากมายยยยยยยย สะสมมมมมมมมานานนนนนนนน

    ส่วนกระโดกกระเดก จะเป็นเรื่องของอาสวะ เราไปดับอาสวะไม่ได้หากยังไม่บรรลุ
    อรหันต์ ไม่มี "อาสวักขยญาณ" คนที่สำคัญไปว่า เจตนาวิรัต ชนิดต่างๆ คือการ
    ดับอาสวะกิเลส อันนั้นเข้าใจผิด มันเป็นเพียงการข่มไว้ ซึ่งเป็นหลักของศาสนา
    ชินนะ มุ่งเอาชนะกิเลส กดข่ม แต่ถ้าเป็นหลักศาสนาพุทธ เราจะยังไม่ไปยุ่งกับ
    มันจนกว่าจะมี ฐานะ (อรหันต์) ดังนั้น ภิกษุในพุทธศาสนา "สงบแต่ร่าเริง"
     
  20. nanakorn

    nanakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +155
    เห็นคุณนิวรณ์ ชอบพูดหัวหน้าโจร ความเข้าใจของฉันสำหรับหัวหน้าโจรคือ

    โลภะ โทสะ โมหะ ใช่หรือไม่

    สำหรับ โมหะ โทสะ ฉันเห็น
    แต่ โภภะ ที่ฉันตามไม่ค่อยทัน มีคำแนะนำไหม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 เมษายน 2009

แชร์หน้านี้

Loading...