:::มนุษย์ถูกสร้างโดยผู้มาจากอวกาศ?:::

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Aqua-ma-rine, 30 มีนาคม 2010.

  1. Aqua-ma-rine

    Aqua-ma-rine เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2008
    โพสต์:
    820
    ค่าพลัง:
    +1,242
    อ้างอิง: http://palungjit.org/posts/3159318



    ศาสนาพุทธเปิดกว้างเป็นวิทยาศาสตร์ ยอมรับการมีอยู่ของจักรวาลอื่นๆ<!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 เมษายน 2010
  2. Aqua-ma-rine

    Aqua-ma-rine เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2008
    โพสต์:
    820
    ค่าพลัง:
    +1,242
    ช่วงดึกต่อเช้าวันที่ 7 เมย. รู้สึกว่ามีคนแถวนี้พยายามส่ง telepathy
     
  3. Aqua-ma-rine

    Aqua-ma-rine เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2008
    โพสต์:
    820
    ค่าพลัง:
    +1,242
    ทฤษฎีวิวัฒนาการ ความเท็จที่ถูกเชื่อถือ
    <o></o>
    <o>http://www.mureed.com/article/charls_davin.htm</o>

    การล่มสลายของลัทธิการวิวัฒนาการของชาร์ลส์ ดาร์วิน
    และ ความเป็นจริงแห่งการสร้างและการดลบันดาล<o></o>



    แปลและเรียบเรียงโดย อ.ชารีฟ วงศ์เสงี่ยม

    <o></o>
    จุดกำเนิดของสิ่งมีชีวิต
    <o></o>
    ถ้าใครคนใดคนหนึ่งได้สำรวจตรวจสอบจักรวาลที่เขาได้อาศัยอยู่นี้ดูก็จะพบว่าจักรวาลนี้มีกาแล็คซี่ถึง 250,000 ล้านกาแล็คซี่ซึ่งในแต่กาแล็คนี้จะประกอบไปด้วยดาวอีกจำนวนมากมายถึง 300,000 ล้านดวง และสิ่งทั้งหมดที่กล่าวมาไม่ว่าจะเป็นกาแล็คซี่หรือดวงดาวอันกว้างใหญ่ไพศาลทั้งหมดนี้นั้นหมุนเวียนและล่องลอยไปตามกฎเกณแบบแผนที่แน่นอนและตายตัว
    <o>:p</o>:p
    ถ้ามองดูแล้วเราก็จะพบว่าในทุกๆส่วนของจักรวาลนี้ จะมีระเบียบแบบแผนตลอดจนความสมดุลอยู่อย่างสมบูรณ์โดยไม่มีข้อบกพร่องอยู่เลย

    <o>:p</o>:p
    โลกนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งที่เล็กกระจิ๋วหลิวเมื่อเทียบกับจักรวาลทั้งหมดแล้วแต่กระนั้นโลกที่เราอาศัยอยู่นี้ ถูกสร้างและออกแบบมาอย่างยอดเยี่ยมพร้อมเพียงไปด้วยระบบการทำงานที่เต็มไปด้วยความสมดุลที่ละเอียดอ่อนและซับซ้อนเป็นอย่างมากโลกเรานี้ไม่เหมือนดวงดาวดวงอื่นๆ


    เพราะโลกเรานี้มีสภาพชั้นบรรยากาศและพื้นผิวที่เอื้ออำนวยต่อสิ่งมีชีวิตที่จะสามารถอยู่อาศัยได้ น้ำซึ่งครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของพื้นผิวโลกนี้ก็เป็นหนึ่งในปัจจัยขั้นพื้นฐานที่สำคัญต่อชีวิต ระดับอุณหภูมิ อัตราการโคจรตลอดจนพื้นผิวของโลก


    ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่า โลกใบนี้ได้ถูกออกแบบมาเป็นพิเศษเพื่อให้เหมาะแก่การดำรงชีวิตอยู่ของสิ่งมีชีวิตทั้งหลายบนโลกใบนี้
    <o>:p</o>:p
    ลักษณะที่ไม่เหมือนใครของโลกเรานี้ทำให้เกิดสิ่งมีชีวิตอันมากมายที่มีระบบการทำงานที่ซับซ้อนต่างกันไป ตามแต่ละชนิดประเภทของมัน


    ซึ่งบางครั้งมนุษย์เราก็ยังคาดไม่ถึงพืชพันธุ์และสัตว์หลายล้านชนิดสามารถอยู่อาศัยบนโลกนี้ได้อย่างกลมกลืนและสมดุลกัน สิ่งนี้เป็นระบบความเป็นอยู่ที่สมบูรณ์เป็นอย่างมาก


    จนกระทั่งว่า ระบบความเป็นอยู่ของสิ่งมีชีวิตเหล่านี้สามารถที่จะคงอยู่ต่อไปได้อย่างไม่ถูกกระทบกระเทือนหรือเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใดนอกจากมันจะถูกรบกวนหรือก่อกวนจากมนุษย์<o>:p</o>:p

    แต่ทว่าคำถามก็คือแล้วระบบความเป็นอยู่และสิ่งมีชีวิตต่างๆเหล่านี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไรกัน
    <o>:p</o>:p

    เมื่อได้มีการสำรวจตรวจดูสิ่งมีชีวิตบนโลกนี้ ก็จะเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่าสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ได้ถูกออกแบบมาอย่างมีระบบในการดำรงชีวิตและการอยู่อาศัย สิ่งมีชีวิตทั้งหมดเหล่านี้จะมีระบบการทำงานที่เต็มไปด้วยความซับซ้อนเป็นอย่างมาก


    จนทำให้มันสามารถแสดงบทบาทของมันได้เป็นอย่างดีที่สุดตามความสามารถที่มีอยู่ในตัวมันในสภาพแวดล้อมที่มันอาศัยอยู่
    <o>:p</o>:p

    เนื่องจากสิ่งมีชีวิตทั้งหลายเหล่านี้ได้ถูกวางกฎเกณฑ์และออกแบบจัดระบบความเป็นอยู่มาเป็นอย่างดี แน่นอนที่สุดก็จะต้องมีผู้ที่สร้างมันขึ้นมา


    และผู้ทรงสร้างผู้นั้นก็ได้บอกมนุษย์ให้รับรู้ถึงการมีอยู่จริงของพระองค์ตั้งแต่ก่อนการมีมาของโลกใบนี้

    พระผู้ทรงสร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและโลกมาจากความว่างเปล่านั้นคือจากความไม่มีอะไรเลยในตอนแรก และพระผู้ทรงจัดวางระเบียบกฎเกณฑ์มาในทุกๆสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสร้างมา
    <o>:p</o>:p

    ทฤษฎีแห่งการวิวัฒนาการที่มีขึ้นในศควรรษที่ 19 ได้ปฎิเสธการสร้างของพระผู้เป็นเจ้าที่มีอยู่ให้เห็นอย่างชัดเจน ตามความเชื่อของทฤษฎีการวิวัฒนาการนี้แล้ว สิ่งมีชีวิตต่างๆบนโลกนี้มิได้ถูกสร้างขึ้นมาโดยพระผู้เป็นเจ้า หากแต่ก่อกำเนิดขึ้นมาด้วยความบังเอิญ<o>:p</o>:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 เมษายน 2010
  4. Aqua-ma-rine

    Aqua-ma-rine เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2008
    โพสต์:
    820
    ค่าพลัง:
    +1,242
    ผู้ที่ตั้งทฤษฎีนี้ขึ้นมารู้จักกันในนามว่า ชาร์ลส์ ดาร์วิน(Charles Darwin) ผู้ซึ่งเป็นนักธรรมชาติวิทยาสมัครเล่นดาร์วินได้เปิดเผยทฤษฎีนี้ของเขาไว้ในหนังสือของเขาที่มีชื่อว่า "the Origin of Species" แหล่งกำเนิดและที่มาของสิ่งมีชีวิต ซึ่งหนังสือเล่มนี้ถูกพิมพ์ขึ้นมาในปี1859
    <O:p</O:p
    หนังสือเล่มนี้ของดาร์วินได้เป็นที่นิยมโดยทันทีหลังจากออกพิมพ์ แต่การได้รับการยอมรับและเป็นที่รู้จักกันของหนังสือเล่มนี้ มิใช่เพราะว่าดาร์วินเขียนมันขึ้นมาโดยอาศัยจากข้อมูลและหลักฐานทางวิทยาศาสตร์แต่ที่หนังสือเขาได้รับการยอมรับ

    ก็เพราะ มันเป็นเพียงการยอมรับกันในทางแนวความคิดเสียมากกว่า แนวความคิดของดาร์วินนี้ช่วยในการสนับสนุนและเป็นข้ออ้างอิงของ พวกยึดถือปรัชญาวัตถุนิยมที่ปฎิเสธการมีอยู่จริงของพระผู้เป็นเจ้าและคารล์มารซ์(Karlmarx) ผู้ตั้งลัทธิวัตถุนิยมวิภาษได้เขียนหนังสือเล่มหนึ่งที่ชื่อ DasKapital ขึ้นมา เพื่ออุทิศให้แก่ ดาร์วิน

    เขาเขียนที่ปกหนังสือเล่มนี้ไว้ว่า ถึงชาร์ลส์ ดาร์วิน , จากผู้เลื่อมใสผู้อุทิศตัวให้ทฤษฎีของดาร์วินอ้างเหตุผลว่าสิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่เกิดขึ้นมานี้นั้นมาจากบรรพบุรุษเดียวกันโดยผ่านขบวนการและขั้นตอนแบบค่อยๆ วิวัฒนาการไปเป็นเวลาอันยาวนาน

    แต่ดาร์วินก็ไม่สามารถหาหลักฐานข้อเท็จจริงที่น่าเชื่อถือมาสนับสนุนข้ออ้างของตนเองได้เลย จริงๆแล้ว ดาร์วินรู้ตัวเขาเองดีถึงหลักฐานข้อเท็จจริงหลายๆอย่างที่จะทำให้ทฤษฎีความเชื่อของเขาต้องเป็นโมฆะไปดาร์วินได้กล่าวยอมรับไว้ใน หนังสือที่เขาเขียนขึ้นในบทที่มีชื่อว่า “Difficulties on Theory”

    ปัญหาและความยุ่งยากที่ทฤษฎีนี้จะต้องเผชิญแต่ดาร์วินก็หวังว่าปัญหาต่างๆของทฤษฎีการวิวัฒนาการเหล่านี้จะหมดไปด้วยกับการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ครั้งใหม่ที่จะมีขึ้นมาในภายหลังแต่ในทางตรงกันข้าม ด้วยกับความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์จึงทำให้ทฤษฎีที่ดาร์วินกล่าวอ้างนี้กลับถูกหักล้างลงไปทีละข้อทีละข้อ
    <O:p</O:p
    ดาร์วินกล่าวว่าสิ่งมีชีวิตทั้งหมดกำเนิดมาจากบรรพบุรุษเดียวกัน โดยผ่านขบวนการและขั้นตอนแบบค่อยๆวิวัฒนาการมาอย่างต่อเนื่องเป็นลำดับ
    <O:p</O:p
    แต่ทว่าสิ่งมีชีวิตสิ่งแรกกำเนิดมาจากไหนกันเหล่า? ดาร์วินไม่ได้กล่าวถึงสิ่งนี้ไว้เลยในหนังสือของเขา เขาไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าสิ่งนี้แหละที่จะเป็นตัวการสำคัญที่จะทำให้ทฤษฎีของเขาดังกล่าวต้องเป็นโมฆะไป
    <O:p</O:p
    เดิมทีแล้ว วิทยาศาสตร์ในสมัยของดาร์วินมีความเชื่อกันว่า สิ่งมีชีวิตนั้นมีลักษณะโครงสร้างองค์ประกอบที่เรียบง่ายไม่ซับซ้อนอะไรมาก มีความเชื่อที่เชื่อกันไปตาม ทฤษฎีหนึ่งทางวิทยาศาสตร์ที่เรียกว่า "

    Spontaneous Generation" นั้นคือ การกำเนิดขึ้นมาเองตามธรรมชาติ มันเป็นทฤษฎีที่เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายในยุคกลางตามทฤษฎีนี้แล้ว สิ่งมีชีวิตทั้งหลายสามารถเกิดขึ้นมาได้โดยง่ายจากสิ่งที่ไม่มีชีวิต
    <O:p</O:p
    มีความเชื่อกันไปว่า กบเกิดขึ้นมาเองจากโคลน และแมลงก็เกิดขึ้นมาจากอาหารที่กินเหลือเอาไว้ และก็ได้มีการทดลองพิสูจน์โดยมีจุดประสงค์ที่จะมาสนับสนุนทฤษฎีหรือแนวความเชื่อเช่นนี้ โดยได้มีการนำเอาเมล็ดข้าวสาลีกำมือหนึ่งไปทิ้งไว้ในเศษผ้า

    โดยหวังว่าจะมีหนูเกิดขึ้นมาจากการนำของสองสิ่งนั้นมาผสมกัน และก็ได้มีการนำตัวอ่อนที่เกิดขึ้นมาจากเนื้อมาเป็นข้อกล่าวอ้างโดยกล่าวว่าสิ่งมีชีวิตสามารถกำเนิดขึ้นมาได้จากสิ่งที่ไม่มีชีวิต

    แต่ต่อมาในภายหลังก็เป็นที่รู้และเข้าใจกันแล้วว่าตัวอ่อนที่เกิดขึ้นจากเนื้อนั้นไม่ได้เกิดขึ้นมาเองตามธรรมชาติตามที่เข้าใจกันแต่อย่างใด แต่มันเกิดขึ้นมาจากตัวอ่อนที่ไม่สามารถมองเห็นที่แมลงวันนำไปปล่อยไว้ที่เนื้อนั้นและในสมัยของดาร์วิน มีความเชื่อกันอย่างแพร่หลายว่าจุลินทรีย์สามารถเกิดขึ้นมาได้โดยง่ายจากวัตถุหรือสิ่งที่ไม่มีชีวิต
    <O:p</O:p
    แต่แล้ว 5 ปีหลังจากที่ได้มีการพิมพ์หนังสือ Origin of Species (แหล่งกำเนิดและที่มาของสิ่งมีชีวิต ) ของดาร์วินนี้ขึ้นนักชีววิทยาผู้มีชื่อเสียงชาวฝรั่งเศษ Louis Pasteur (หลุยส์ปาสเตอร์) ก็ได้พิสูจน์หักล้างความเชื่อเช่นนั้น ที่เป็นพื้นฐานความเชื่อของทฤษฎีการวิวัฒนาการของดาร์วิน

    โดยหลุยส์ ปาสเตอร์ได้พิสูจน์ให้เห็นทางวิทยาศาสตร์หลังการที่เขาได้ทำการศึกษาวิจัยและทดลองมาเป็นเวลานาน โดยที่เขาก็ได้ข้อสรุปที่สำคัญเป็นอย่างยิ่งเขากล่าว่า
    <O:p</O:p
    วัตถุสสารหรือสิ่งที่ไม่มีชีวิตจะสามารถให้ชีวิตแก่ตัวเองได้จริงหรือ? เป็นไปไม่ได้เลย ปัจจุบันนี้เป็นที่รู้กันแล้วว่าไม่ว่าจะอยู่ในสภาวะใดๆก็แล้วแต่สิ่งมีชีวิตไม่ว่า จะเล็กกระจิดริดแค่ไหนก็ตามไม่สามารถเกิดขึ้นมาเองได้นอกจากว่าสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นจะต้องมีลักษณะที่คล้ายคลึงกันกับสิ่งมีชีวิตที่เป็นผู้ให้กำเนิดมันขึ้นมา
    ( Louis pasteur ,Fox and Dose, Origin of Life,p.,4-5)

    นักทฤษฎีวิวัฒนาการคนแรก ที่ได้หยิบยกปัญหาเรื่องแหล่งกำเนิดและที่มาของสิ่งมีชีวิตขึ้นมากล่าว ในศตวรรษที่ 20 นี้ก็คือ นักชีววิทยาชาวรัสเซียซึ่งมีเชื่อว่า Alexander Oparin จุดมุ่งหมายของเขาก็เพื่อที่จะอธิบายให้รู้ว่าเซลของสิ่งมีชีวิตชนิดแรกนี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร

    ซึ่งตามทฤษฎีการวิวัฒนาการนี้ได้มีการกล่าวว่าเซลล์ตัวแรกนี้แหละที่เป็นที่มาหรือบรรพบุรุษของสิ่งที่มีชีวิตทั้งหมดที่เกิดขึ้นแต่อย่างไรก็ตามความพยายามของเขาก็ต้องจบลงด้วยกับความล้มเหลวและตัวของ Oparin เองก็ต้องกล่าวยอมรับว่า
    <O:p</O:p
    เป็นที่น่าเศร้าใจที่จุดกำเนิดและที่มาของเซลล์ก็ยังคงเป็นปัญหาอยู่ต่อไปซึ่งในความเป็นจริงแล้วมันเป็นด้านที่มืดมนที่สุดของขบวนการและขั้นตอนทางทฤษฎีการวิวัฒนาการ(Alexander Oparin, Origin of Life, p.196)<O:p</O:p
     
  5. Aqua-ma-rine

    Aqua-ma-rine เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2008
    โพสต์:
    820
    ค่าพลัง:
    +1,242
    นักวิวัฒนาการที่มาหลังจาก Oparin ก็ได้ทำการทดลองเช่นกันทั้งนี้ก็เพื่อที่จะหาคำตอบถึงแหล่งกำเนิดและที่มาของสิ่งมีชีวิตเพื่อที่จะได้มาสนับสนุนทฤษฎีวิวัฒนาการของพวกเขานี้

    นักเคมีชาวอเมริกาที่มีนามว่า Stanley Miller สแตนเล่ มิลเลอร์ ได้ทำการทดลองที่เป็นที่รู้จักโด่งดังกันที่สุด ในปี 1953 โดยที่ Miller ได้นำเอาโมเลกุลจำนวนหนึ่งของสิ่งมีชีวิตมา โดยทำการกระตุ้นปฎิกริยาโต้ตอบต่อแก๊สชนิดต่างๆที่เขาอ้างว่ามีอยู่ในชั้นบรรยากาศโลกในช่วงแรกเริ่ม


    ในช่วงเวลาดังกล่าวนั้นการทดลองนี้ถือว่าเป็นบทพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ถึงทฤษฎีของการวิวัฒนาการ แต่กระนั้นมันก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย จากการค้นพบในตอนหลังนี้ได้แสดงให้เห็นแล้วว่า แก๊สต่างๆที่ใช้ในการทดลองนั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงกับแก๊สต่างๆที่มีอยู่ในชั้นบรรยากาศในช่วงเริ่มแรกของโลก

    และในที่สุดตัวของ Miller เองก็ต้องออกมายอมรับถึงความล้มเหลวและความเป็นโมฆะของการทดลองของเขาในครั้งนี้
    <O:p</O:p
    จากความพยายามทั้งหลายของพวกนักทฤษฎีวิวัฒนาการที่มีขึ้นมาในช่วงศตวรรษที่ 20 เพื่อที่จะมาอธิบายถึงแหล่งกำเนิดของสิ่งมีชีวิตก็ต้องจบลงด้วยความล้มเหลว
    <O:p</O:p
    Jeffrey Bada ศาสตราจารย์ในด้านภูมิศาสตร์เคมีและผู้สนับสนุนทฤษฎีวิวัฒนาการตัวยงก็กล่าวยอมรับถึงความจริงอันนี้ในนิตยาสาร Earth ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ ปี 1998 ซึ่งเป็นหนึ่งในนิตยาสารชั้นนำทางด้านสิ่งตีพิมพ์ของพวกนักทฤษฎีวิวัฒนาการ โดยที่ Jeffrey Bada ได้กล่าว่า
    <O:p</O:p
    ในวันนี้ในขณะที่เราจะจากศตวรรษที่ 20 ไป เราก็ยังคงอยู่กับปัญหาที่ยิ่งใหญ่ที่ยังหาทางออกไม่ได้อยู่ เหมือนกับตอนที่เราเริ่มเข้ามาสู่ศตวรรษที่ 20 นั้นคือ ปัญหาที่ว่าสิ่งมีชีวิตเกิดขึ้นมาบนโลกนี้ได้อย่างไรกัน? ( Jeffrey bada, Earth, Feb,1998)
    <O:p
    ปัญหาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอีกปัญหาหนึ่งที่ ทฤษฎีวิวัฒนาการนี้กำลังเผชิญอยู่และก็ยังหาทางออกไม่ได้ ก็คือ ปัญหาที่เกี่ยวกับลักษณะโครงสร้างอันซับซ้อนอย่างเหลือเชื่อของเซลของสิ่งมีชีวิต สิ่งมีชีวิตบนโลกนี้ทุกชนิดจะประกอบไปด้วยเซลล์ที่มีขนาดเล็กเท่ากับหนึ่งในร้อยของมิลลิเมตร


    และมีสิ่งมีชีวิตบางชนิดประกอบไปด้วยเซลล์เดียวแต่กระนั้นถึงแม้จะประกอบไปด้วยเซลล์เดียวก็ตามแต่องค์ประกอบที่มีอยู่ในเซลล์นี้ก็มีลักษณะที่น่าซับซ้อนอย่างน่าทึ่งในตัวของมันเอง


    มันมีระบบการปฏิบัติงานอันซับซ้อน เพื่อที่จะทำให้มันดำรงชีวิตอยู่ต่อไปได้และที่ยิ่งไปกว่านี้มันก็ยังมีสิ่งที่อาจเรียกว่าเป็นตัวมอเตอร์ตัวเล็กนิดเดียวที่ช่วยในการขับเคลื่อนมัน
    <O:p</O:p
    ในสมัยของดาร์วิน ลักษณะโครงสร้างอันซับซ้อนของเซลล์นี้ยังไม่เป็นที่รู้จักกัน ทั้งนี้ก็เนื่องมาจากกล้องจุลทรรศน์ที่ยังไม่มีความเจริญเท่าที่ควรในสมัยนั้น จึงทำให้เซลล์มองดูเหมือนไม่มีลักษณะอะไรพิเศษเฉพาะตัว


    แต่อย่างไรก็ตามด้วยกับกล้องจุลทรรศน์อิเลคตรอนที่มีกำลังสูงที่ประดิษฐ์ขึ้นมาในตอนกลางของศตวรรษที่ 20 นี้จึงทำให้เราเริ่มรู้และเข้าใจว่าจริงๆแล้วเซลล์ของสิ่งมีชีวิตนั้นมีระบบการทำงานที่น่าซับซ้อนถึงเพียงไรสิ่งนี้ได้เผยให้เห็นถึงความซับซ้อนตลอดจนการทำงานกันอย่างมีระบบของเซลล์ที่ไม่อาจเกิดขึ้นได้ด้วยความบังเอิญ
    <O:p
    เซลล์ที่มีชีวิตเพียงตัวเดียวจะประกอบไปด้วยส่วนเล็กๆ เป็นพันๆ ส่วน ที่ทำงานกันอย่างสอดคล้องสามัคคีกันถ้าจะเปรียบก็เปรียบได้ว่า ภายในเซลล์ตัวเดียวนี้จะมีทั้งสถานีพลังงานไฟฟ้า โรงงานต่างๆอันทันสมัยที่ใช้ทำหน้าต่างๆ และหน่วยจัดเก็บข้อมูลที่ซับซ้อน ระบบเก็บรักษาที่มีขนาดใหญ่มาก โรงกลั่นกรองที่ทันสมัย ตลอดจนมีเยื่อหุ้มเซลล์ที่ดูเหมือนเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่สามารถรับรู้อะไรได้ ซึ่งเยื้อหุ้มเซลล์นี้จะทำหน้าที่ควบคุมสิ่งที่เข้าออกจากเซลล์
    <O:p</O:p
    เซลล์นี้จะสามารถมีชีวิตดำรงอยู่ต่อไปได้ก็ต่อเมื่อส่วนต่างๆที่มีอยู่ในตัวมันที่ใช้ในการปฏิบัติการ จะต้องเกิดขึ้นมาพร้อมๆกันเพียงเท่านั้นและมันก็เป็นไปไม่ได้เลยที่ระบบการทำงานข องเซลล์ที่น่าซับซ้อนละเอียดอ่อนเหล่านี้ จะเกิดขึ้นมาเนื่องมาจากความบังเอิญ


    แม้กระทั้งในปัจจุบันนี้ ห้องแลปวิทยาศาสตร์ที่ประกอบไปด้วยเครื่องมือเครื่องใช้ที่ทันสมัยที่สุด ก็ยังไม่มีความสามารถที่จะผลิตเซลล์ที่มีชีวิตขึ้นมาจากสิ่งที่ไร้ชีวิตได้เลยแม้แต่สักตัวเดียว จริงๆแล้วมันก็เป็นที่ยอมรับกันอย่างแน่นอนว่าสิ่งนั้นเป็นไปไม่ได้และความอุตสาหะที่จะยังพยายามผลิตเซลล์ที่มีชีวิตจากสิ่งที่ไม่มีชีวิตเหล่านั้นก็ล้มเลิกไป
    <O:p</O:p
    แต่กระนั้นทฤษฎีการวิวัฒนาการก็ยังกล่าวอ้างว่า ระบบการทำงานของเซลล์ที่กล่าวมานี้เกิดขึ้นมาเองจากความบังเอิญซึ่งความเป็นจริงแล้วระบบการทำงานของเซลล์นี้ที่แม้แต่มนุษย์ผู้พร้อมไปด้วยสติปัญญาความรู้ความสามารถและเทคโนโลยีที่ทันสมัยก็ยังไม่มีความสามารถที่จะลอกเลียนแบบได้เลย Sir Fred Hoyle


    ซึ่งเป็นนักดาราศาสตร์และนักคณิตศาสตร์ชาวอังกฤษผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง ได้กล่าวอธิบายบอกถึงความเป็นไปไม่ได้ที่เซลล์จะกำเนิดเกิดขึ้นมาเอง โดยเขาได้ยกตัวอย่างว่า
    <O:p</O:p
    ความเป็นไปได้ที่สิ่งมีชีวิตในชั้นที่สูงขึ้นไปจะเกิดขึ้นมาเองด้วยความบังเอิญนั้นก็อาจจะเปรียบได้กับความเป็นไปได้ที่พายุโทนาโดจะพัดผ่านเข้ามายังกองเก็บของและวัสดุเก่าแล้วกลายไปเป็นเครื่องบินโบอิ้ง 747 จากวัสดุที่อยู่ในกองเก็บของเก่านั้นได้(Fred Hoyle, Naturer,12 พฤศจิกายน)<O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 เมษายน 2010
  6. Aqua-ma-rine

    Aqua-ma-rine เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2008
    โพสต์:
    820
    ค่าพลัง:
    +1,242
    ในปัจจุบันนี้วิทยาศาสตร์ด้านเคมีวิทยาของสิ่งมีชีวิตก็ได้บอกเปิดเผยให้รู้ไว้เช่นกันถึงลักษณะทางด้านโครงสร้างและการปฏิบัติงานอันซับซ้อนที่สุดจะคิดได้ของโมเลกุล DNA

    ระบบทางด้านโครงสร้างของโมเลกุล DNA ได้ถูกค้นพบ โดยนักวิทยาศาสตร์ 2 คน นั่นคือ James Watson และ Francic Crick ในปี 1955 จากการค้นพบของเขาทั้งสองนี้ก็บอกให้เรารู้ว่า สิ่งมีชีวิตนั้นมีระบบการทำงานที่น่าซับซ้อนเกินกว่าที่คาดไว้ในตอนแรก

    Francic Crick ผู้ซึ่งได้รับรางวัลโนเบิลไพรซจากการค้นพบครั้งนี้ถึงแม้ตัวของเขาเองจะเป็นนักทฤษฎีวิวัฒนาการอย่างฝังหัวก็ตาม แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยอมรับว่า โครงสร้างการทำงานเหมือนอย่าง DNA นี้ไม่มีวันที่มันจะเกิดขึ้นมาเองได้ด้วยความบังเอิญ DNA เป็นโมเลกุลขนาดใหญ่ที่มีอยู่ในนิวเครียสของเซลล์

    รายละเอียดทั้งหมดของสรีระและรูปร่างของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดจะถูกบันทึกไว้ในส่วนที่เป็นเกลียวขดสองชั้นนี้ข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับองค์ประกอบทางด้านร่างกายของเราตั้งแต่สีในตาไปจนถึงระบบโครงสร้างของอวัยวะภายในของเราและสัดส่วนการปฏิบัติงานของเซลล์ของเราทั้งหมดทั้งหลายเหล่านี้จะถูกวางโปรแกรมไว้ในส่วนที่เรียกว่ายีนส์ใน DNA นี้
    <O:p</O:p
    รหัสของ DNA จะประกอบไปด้วยลำดับการจัดเรียงฐานต่างๆที่แตกต่างกันไป ถ้าเราจะเปรียบเทียบฐานเหล่านี้ในรูปของตัวอักษรเราก็จะสามารถเปรียบ DNA ได้กับฐานจัดเก็บข้อมูลที่ประกอบไปด้วยอักษร4ตัว ข้อมูลของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดจะถูกจัดเก็บไว้ในฐานข้อมูลนี้
    <O:p</O:p
    ถ้าเราจะลองเขียนข้อมูลที่มีอยู่ใน DNA ทั้งหมดนี้ลงบนกระดาษก็อาจจะต้องใช้กระดาษเป็นล้านๆหน้า และนี่ก็เท่ากับว่าต้องเขียนข้อมูลที่มีอยู่ใน DNA นี้ลงไปมากเสียกว่าสารานุกรม บริตานนิก้า(Britannica) ถึง40เท่าซึ่งสารานุกรมบริตานนิก้านี้ก็เป็นแหล่งรวบรวมข้อมูลแหล่งเดียวที่ใหญ่ที่สุดสำหรับมนุยษ์ที่มีอยู่
    <O:p</O:p
    แต่แหล่งข้อมูลของ DNA ที่น่าเหลือเชื่อนี้ก็ได้ถูกจัดเก็บไว้ในนิวเคลียสที่เล็กกระจิดริดของเซลล์ของเราซึ่งมีขนาดเล็กกว่าหนึ่งมิลลิเมตรถึงหนึ่งพันเท่า
    <O:p</O:p
    มีการคำนวณกันว่าสายของ DNA ที่เล็กพอที่จะใส่ไว้ในช้อนชาได้นี้มีความสามารถที่จะบรรจุข้อมูลทั้งหมดของหนังสือทุกเล่มที่เขียนขึ้นมาในโลกนี้ได้
    <O:p</O:p
    แน่นอนที่สุดเป็นไปไม่ได้เลยที่ลักษณะโครงสร้างอันน่าอัศจรรย์ที่กล่าวมานี้ มันจะเกิดขึ้นมาจากความบังเอิญทฤษฎีการวิวัฒนาการ ซึ่งมองชีวิตว่าเป็นเพียงแค่สิ่งที่เกิดขึ้นมาจากความบังเอิญที่ไร้จุดมุ่งหมาย ก็ต้องล้มเหลวหมดท่าไม่สามารถเปิดปากพูดอะไรได้เมื่อต้องเผชิญกับระบบการปฏิบัติงานที่ซับซ้อนอย่างไม่น่าเชื่อของ DNA

    มันเป็นที่ประจักษ์ชัดแล้วว่า DNA และเซลล์ต่างๆตลอดจนสิ่งมีชีวิตทั้งหมดนี้เป็นผลที่เกิดมาจากการสร้างสรรค์อันยอดเยี่ยมและที่น่าสรรเสริญ และเมื่อมีการสร้างหรือมีสิ่งที่ถูกสร้างอยู่จริงก็แน่นอนที่สุดที่จะต้องมีผู้ที่สร้างสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาผู้ทรงพลังอำนาจอันไม่มีที่สิ้นสุดผู้ทรงรอบรู้และทรงเต็มเปี่ยมด้วยวิทยปัญญา
    <O:p
    เมื่อเราเฝ้ามองดูสิ่งมีชีวิตต่างๆที่มีอยู่ในธรรมชาติไม่ว่าจะสิ่งใดก็ตามเราก็จะเห็นได้เลยว่าผู้ที่สร้างมันขึ้นมานี้ช่างมีอำนาจอันยิ่งใหญ่เสียจริงๆ สิ่งมีชีวิตที่มีอยู่ในธรรมชาติเป็นล้านๆชนิดได้บ่งบอกถึงงานทางศิลปะและงานศิลปะทุกชนิด ก็บ่งบอกให้รู้ถึงการมีอยู่ของนักศิลปะหรือจิตรกรผู้อยู่เบื้องหลังผลงานนี้ ผู้ซึ่งวาดมันขึ้นมา

    ขั้นตอนและวิธีการที่ได้มาจากการจิตนาการในขบวนการทฤษฎีการวิวัฒนาการ<O:p</O:p

    การปั้นเรื่องขึ้นมาของพวกนักทฤษฎีวิวัฒนาการที่ทำให้เห็นว่าชีวิต นั้นสามารถเกิดมาจากสิ่งที่ไม่มีชีวิตนั้นได้ถูกหักล้างด้วยกับวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันไปแล้ว นอกจากนั้นแล้วก็ไม่มีระบบหรือขั้นตอนการทำงานในธรรมชาติใดๆที่จะเป็นไปตามทฤษฎีการวิวัฒนาการตามที่ได้ถูกนำมากล่าวอ้างมา

    ไม่มีระบบโครงสร้างการทำงานทางธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตประเภทใดๆ ที่จากเซลล์ๆเดียวจะสามารถเปลี่ยนแปลงหรือกลายไปเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีระบบการทำงานที่ซับซ้อนมากขึ้นจนกลายเป็นที่มาหรือบรรพบุรุษของสิ่งมีชีวิตอีกเป็นล้านๆชนิด
    <O:p</O:p
    ดาร์วินได้นำเสนอแนวความคิดเพียงอย่างเดียวที่จะมาเป็นตัวอธิบายระบบทางด้านการวิวัฒนาการของเขา และแนวความคิดนั้นก็คือ การเลือกสรรทางธรรมชาติ จากหนังสือที่เขาเขียนก็ทำให้เรารู้ว่าดาร์วินได้ให้ความสำคัญต่อแนวความคิดนี้เป็นอย่างมาก (The Origin of Species by Means of Natural Selection)

    แหล่งกำเนิดของสิ่งมีชีวิตโดยวิธีการสรรทางธรรมชาติการเลือกสรรทางธรรมชาตินี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานความเชื่อที่ว่า ผู้ที่แข็งแรงที่สามารถปรับตัวเองได้ดีต่อสภาพแวดล้อมก็จะสามารถดำรงชีวิตอยู่ต่อไปได้ยกตัวอย่างเช่นฝูงกวางที่ถูกไล่ล่าโดยสัตว์ล่าเหยื่อ

    กวางตัวที่วิ่งได้เร็วกว่าก็จะสามารถมีชีวิตรอดมาได้หลังจากนั้นกวางส่วนใหญ่ในฝูงก็จะมีแต่กวางตัวที่แข็งแรงและฉับไวเนื่องจากตัวที่เชื่องช้าและอ่อนแอกว่าก็จะตกเป็นเหยื่อไปหมดแล้ว
    <O:p</O:p
    แต่ถึงแม้ระบบความเป็นอยู่ทางธรรมชาติจะเป็นเช่นนั้นก็ตาม แต่มันก็ไม่ได้ทำให้กวางต้องมีการวิวัฒนาการแต่อย่างใด มันไม่ได้เปลี่ยนกวางให้ไปเป็นสัตว์อีกประเภทหนึ่งเลย เช่น เปลี่ยนไปเป็นม้า การเลือกสรรทางธรรมชาตินี้ก็เป็นเพียงการกำจัดตัวที่ป่วยหรือพิการอ่อนแอออกไป

    และมันก็ยืนยันถึงการมีอยู่ต่อไปตลอดจนความสมบูรณ์แข็งแรงของสิ่งมีชีวิตอีกบางจำพวก และการเลือกสรรทางธรรมชาตินี้ก็ไม่ได้มีแรงผลักดันหรือเป็นตัวที่จะทำให้เกิดการวิวัฒนาการขึ้นมาได้
    <O:p</O:p
    ดาร์วินก็รู้ตัวดีถึงสิ่งนี้เช่นกันและนี้ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ดาร์วินกล่าวยอมรับไว้ในหนังสือของเขา (The origin of species) แหล่งกำเนิดของชีวิตโดยเขากล่าวว่าการเลือกสรรทางธรรมชาติไม่มีส่วนเกี่ยวข้องและทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงที่เอื้ออำนวยและเหมาะเจาะที่จะเกิดขึ้นเองด้วยความบังเอิญในสิ่งมีชีวิต(Charles Darwin, The origin of Species, 1st, ed, p.177)

    ดาร์วินได้รับอิทธิพลเป็นอย่างมากจากเพื่อนร่วมสมัยของเขาคนหนึ่งในแนวความคิดที่ว่าสิ่งมีชีวิตนั้นสามารถเกิดขึ้นมาเองและมีลักษณะพิเศษเฉพาะตัวของมันเองในสภาพการที่เหมาะสมและเอื้ออำนวย และเพื่อนร่วมสมัยของดาร์วินคนนั้นก็คือ Lamarck ลาร์มาค นักชีววิทยาชาวฝรั่งเศส

    Lamarck มีความเชื่อว่า สิ่งมีชีวิตจะถ่ายทอดลักษณะพิเศษเฉพาะตัวที่มีอยู่ไปสู่รุ่นต่อไปที่จะมีมาทีหลัง ในแนวความคิด ของ Lamarck นั้นยีราฟวิวัฒนาการมาจากสัตว์ที่คล้ายกวาง นั่นก็คือลำคอของสัตว์จำพวกนี้จะคอยๆยืดออกมาไปตามกาลเวลาจากรุ่นหนึ่งไปสู่อีกรุ่นหนึ่ง ทั้งนี้ก็เนื่องมาจากมันพยายามที่จะเอื้อมไปกินใบไม้ที่อยู่บนกิ่งสูงๆ

    Lamarck ก็มีความเชื่อเช่นกันว่าถ้าแขนของคนในสมาชิกในครอบครัวถูกตัดออกเป็นเวลาหลายชั่วอายุคน เด็กที่เกิดขึ้นมาใหม่ในภายหลังก็จะเริ่มแขนกุดหรือไม่มีแขน

    <O:p</O:pาร์วินผู้ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากสิ่งเหล่านี้ที่กล่าวมา ก็ยิ่งมีแนวความคิดที่ฮึกเหิมมากไปกว่านั้นโดยที่เขาได้กล่าวไว้ในหนังสือ The Origin of Species ของเขาโดยที่ เขาได้กล่าวอ้างให้เหตุผลว่า หมีบางชนิดที่พยายามหาเหยื่อในน้ำก็ได้วิวัฒนาการไปเป็นปลาวาฬในที่สุด<O:p</O:p
     
  7. Aqua-ma-rine

    Aqua-ma-rine เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2008
    โพสต์:
    820
    ค่าพลัง:
    +1,242
    แต่กระนั้นแนวความคิดทั้งของ Lamarck และดาร์วินนั้นก็ผิดพลาด ทั้งนี้เนื่องจากแนวความคิดของเขาทั้งสองนั้นไปขัดแย้งกับกฎขั้นพื้นฐานที่สำคัญของชีววิทยา ในสมัยนั้นวิชาพันธุศาสตร์ วิทยาศาสตร์ทางด้านเคมีวิทยา ของสิ่งมีชีวิตตลอดจนจุลชีววิทยายังไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของสาขาวิชาทางด้านวิทยาศาสตร์เลย

    กฎแห่งการถ่ายถอดลักษณะทางด้านพันธุกรรมก็ยังไม่เป็นที่รู้จักกันเลยในขณะนั้น ในความเป็นจริงแล้ว ทั้ง Lamarck และดาร์วินมีความเชื่อว่าลักษณะพิเศษทางพันธุกรรมนั้นสามารถถูกถ่ายถอดได้โดยผ่านทางกระแสเลือด

    เนื่องจากความล้าหลังทางวิทยาศาสตร์ในสมัยนั้น จึงไม่ได้ทำให้สิ่งที่ Lamarck และดาร์วินคิดขึ้นมาตามจินตนาการดูเป็นสิ่งที่แปลกแต่อย่างใด
    <O:p</O:p
    ข้อสมมติฐานของดาร์วินมีผลต่อแวดวงทางวิทยาศาสตร์ในสมัยของเขาเป็นอย่างมากแต่อย่างไรก็ตามดาร์วินก็ยังคงมีปัญหาที่แก้ไม่ตกอยู่ในหนังสือของเขาในบนที่เขากล่าวถึงปัญหาทางทฤษฎีการวิวัฒนาการดาร์วินได้กล่าวไว้ว่า
    <O:p</O:p
    ถ้ามีการพิสูจน์ให้เห็นว่า สิ่งมีชีวิตนั้นมีระบบการทำงานที่ซับซ้อนและอวัยวะต่างๆที่ช่วยในการปฏิบัติงานที่ซับซ้อนเหล่านั้นก็มิได้เกิดขึ้นมาตามขั้นตอนและขบวนการวิวัฒนาการ แต่เกิดขึ้นมาพร้อมๆกันในทีเดียว ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว ทฤษฎีการวิวัฒนาการของดาร์วินเองก็จะต้องพังลงอย่างราบคาบ (Charles Darwin,The Origin of Species,1st ed ,p.189)
    <O:p</O:p
    แต่ความจริงสิ่งที่ดาร์วินกลัวนี้ก็เกิดขึ้นเป็นจริงหลังที่เขาตายไปได้ไม่นานจากกฎแห่งการถ่ายทอดลักษณะทางด้านพันธุกรรมที่ค้นพบโดยนักพฤกษศาสตร์ชาวออสเตรียนั่นคือ Gregor Medel ก็ทำให้สิ่งที่ทั้ง Lamarck และดาร์วินได้กล่าวอ้างยืนยันไว้ต้องจบลงจากวิทยาศาสตร์ทางด้านพันธุศาสตร์ที่ได้มีการพัฒนามาในช่วงเริ่มต้นแห่งศตวรรษที่20 นี้ ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าการถ่ายทอดพันธุกรรมไปยังรุ่นถัดๆไปนั้น

    มิได้ถ่ายทอดกันโดยผ่านทางลักษณะเฉพาะพิเศษที่ได้รับมาทางด้านร่างกายหากแต่จะถ่ายทอดโดยผ่านทางยีนส์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น
    <O:p</O:p
    จากการค้นพบกฎการสืบพันธุกรรมนี่เองที่ทำให้เป็นที่รู้ชัดเจนว่า ความเชื่อจากการจินตนาการไปเองที่ว่าลักษณะเฉพาะตัวที่ได้มานั้นได้มาโดยการค่อยๆก่อตัวสะสมกันมาจากรุ่นหนึ่งไปสู่อีกรุ่นหนึ่งและในที่สุดก็ทำให้เกิดสิ่งมีชีวิตใหม่ขึ้นมา ซึ่งการคิดจิตนาการขึ้นมาเองเช่นนั้นเป็นสิ่งที่ไร้เหตุผลและไม่น่าเชื่อถือ<O:p</O:p

    การเปลี่ยนแปลงจากสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งไปสู่สิ่งมีชีวิตอีกชนิดหนึ่งที่มีความแตกต่างกันโดยผ่านทางพันธุกรรมตามที่ระบบกลไกลการเลือกสรรทางธรรมชาติของดาร์วินได้บอกไว้นั้น เป็นไปไม่ได้เลยและไม่สามารถที่จะเกิดขึ้นมาเป็นจริงได้ ด้วยเหตุนี้เองทฤษฎีการวิวัฒนาการที่ดาร์วินนำมากล่าวอ้างก็ต้องล่มสลายและจบลงไป

    ในต้นศตวรรษที่ 20 ที่ผ่านมานี้เองได้มีความพยายามอุสาหะของพวกนักทฤษฎีวิวัฒนาการคนอื่นๆในศตวรรษที่ 20 เพื่อจะพิสูจน์ทฤษฎีนี้ แต่ความจริงแล้วในทางตรงกันข้ามมันมีแต่จะยืนยันความจริงที่ว่าการเลือกสรรทางธรรมชาตินั้นไม่มีมูลเหตุแห่งความเป็นจริงที่จะเกี่ยวข้องกับการวิวัฒนาการแต่อย่างใด
    <O:p</O:p
    Colin Patterson นักชีววิทยาทางด้านพืชและสัตว์โบราณชาวอังกฤษและก็เป็นนักทฤษฎีวิวัฒนาการที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งด้วยได้กล่าวยอมรับถึงสิ่งนี้โดยเขาได้กล่าวว่า
    <O:p</O:p
    ไม่มีใครเลยที่จะมีความสามารถที่จะสร้างสิ่งมีชีวิตขึ้นด้วยวิธีการหรือกลไกที่ได้มาจากการเลือกสรรทางธรรมชาติ ไม่มีใครพยายามทำสิ่งนี้ได้สำเร็จ และข้อถกเถียงที่มีอยู่ในลัทธิดาร์วินสมัยใหม่ในปัจจุบันนี้ ก็สาละวนอยู่กับปัญหาที่หาทางออกไม่ได้นี้(Colin Patterson, BBC ,Cladistics,4th , March 1982)
    <O:p</O:p
    วิทยาศาสตร์ในศตวรรษที่ 20 นี้ก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วเช่นกันว่า สิ่งมีชีวิตทั้งหลายนั้นมีระบบการทำงานและอวัยวะต่างๆที่มีกลไกการปฏิบัติงานที่ซับซ้อนและยุ่งยากเป็นอย่างมาก

    ถ้าขาดส่วนใดส่วนหนึ่งไปแม้เพียงส่วนเดียวระบบการทำงานทั้งระบบตลอดจนอวัยวะส่วนต่างๆก็จะไม่สามารถทำหน้าที่ปฏิบัติงานได้เลย นั่นก็หมายความว่าอวัยวะและระบบการทำงานเหล่านั้นจะต้องมีขึ้นมาพร้อมๆกันในเวลาเดียวกัน ลักษณะพิเศษเฉพาะเช่นนี้ซึ่งเรียกว่า “Irreductible Complexity”

    นั้นคือระบบการทำงานของสิ่งมีชีวิตที่ทุกๆส่วนจะต้องเกิดขึ้นมาพร้อมๆกันโดยจะขาดส่วนหนึ่งส่วนใดเสียมิได้
    <O:p</O:p
    ลักษณะเฉพาะพิเศษที่กล่าวมาแล้วเช่นนี้เองที่เป็นหลักฐานพิสูจน์ให้เห็นว่าองค์ประกอบและโครงสร้างของสิ่งมีชีวิตทั้งหลายเหล่านี้จะต้องเกิดขึ้นมาพร้อมๆกันโดยอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์
    <O:p</O:p
    ความเป็นจริงนี้เองที่ลบล้างคำกล่าวอ้างของพวกนักทฤษฎีวิวัฒนาการได้ลงอย่างเด็ดขาด ที่พวกเขากล่าวอ้างว่าสิ่งมีชีวิตค่อยๆวิวัฒนาการเกิดขึ้นมาโดยการเลือกสรรทางธรรมชาติโดยผ่านขบวนการและขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงไปทีละเล็กละน้อยตามกาลเวลา

    และเมื่อเป็นที่ชัดเจนแล้วว่า ระบบกลไกลของการเลือกสรรทางธรรมชาติของดาร์วินนั้นไม่มีมูลฐานแห่งความเป็นจริงใดๆทางด้านการวิวัฒนาการพวกนักทฤษฎีวิวัฒนาการที่ต้องการให้ทฤษฎีมีอยู่ต่อไปก็ต้องทำการเปลี่ยนแปลงแนวทางใหม่เป็นการใหญ่ในทางทฤษฎีนี้
    <O:p</O:p
    นอกเหนือไปจากแนวความคิดของการเลือกสรรทางธรรมชาตินี้แล้วพวกนักทฤษฎีวิวัฒนาการเหล่านี้ก็คิดค้นระบบกลไกใหม่ขึ้นมาซึ่งเรียกว่า Mutation หรือกระบวนการเปลี่ยนแปลงของยีนส์
    <O:p</O:p
    กระบวนการนี้คือการเปลี่ยนแปลงไปหรือการผิดเพี้ยนไปจากรูปเดิมของลักษณะที่มีอยู่ใน DNA ของสิ่งมีชีวิตโดยส่วนมากจะมีสาเหตุมาจากผลกระทบภายนอกเช่นกัมมันตภาพรังสีหรือปฏิกิริยาทางเคมีมาถึงตอนนี้ทฤษฎีการวิวัฒนาการก็ยังมีความเชื่อว่าสิ่งมีชีวิตทั้งหลายที่มีความแตกต่างกันไปและมีการพัฒนาการ

    ก็เพราะมีสาเหตุมาจากกระบวนการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นใน DNA นี้ แต่สิ่งนี้ไม่สามารถเป็นจริงขึ้นมาได้ ทั้งนี้ก็เพราะการเปลี่ยนแปลงนี้จะยังแต่จะให้เกิดผลเสียต่อระบบข้อมูลใน DNA นี้เพียงอย่างเดียว และก็มีแต่จะเป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตด้วย

    จากการทดลองที่กระทำกันทั้งในห้องแลปและตามธรรมชาติก็ไม่เคยพบว่าการเปลี่ยนแปลงในลักษณะนี้จะก่อให้เกิดผลดีขึ้นตามมา ทั้งนี้ก็เนื่องจากว่าการเปลี่ยนแปลงเช่นที่ว่านี้นั้นจะไม่ช่วยทำให้เกิดข้อมูลใหม่ทางพันธุกรรม

    ดังนั้นมันจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่สิ่งมีชีวิตจะมีอวัยวะใหม่ขึ้นมาได้โดยผ่านขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงเช่นที่ว่านี้ ไม่มีสัตว์เลื้อยคลานตัวไหนสามารถมีปีกได้และสิ่งมีชีวิตที่ไร้ดวงตาก็ไม่สามารถมีตาขึ้นมาเองได้ด้วยการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในลักษณะเช่นนั้น<O:p</O:p
     
  8. Aqua-ma-rine

    Aqua-ma-rine เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2008
    โพสต์:
    820
    ค่าพลัง:
    +1,242
    หลายทศวรรษด้วยกันที่นักทฤษฎีการวิวัฒนาการได้ลองนำสิ่งที่มีชีวิตไปทดลองโดยการให้สัมผัสกับกัมมันตภาพรังสีและสารเคมีทั้งนี้ก็เพื่อหวังที่จะได้การเปลี่ยนแปลงที่มีผลในทางบวกขึ้น แต่แล้วพวกเขาก็ต้องจบลงด้วยกับการได้มาซึ่งสิ่งมีชีวิตที่พิการบกพร่องไม่สมบูรณ์และยังเป็นหมัน

    มีการทดลองนับครั้งไม่ถ้วนที่ทำกับแมลงวันผลไม้และมันแสดงให้เห็นว่าผลที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงเช่นนั้นนอกจากจะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์แต่อย่างใดแล้วยังจะก่อให้เกิดความเสียหายและเป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตนั้นอีกด้วย
    <O:p</O:p
    การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นใน DNA เช่นนั้นจะเป็นตัวไปก่อกวนรหัสทางพันธุกรรมที่ถูกจัดวางไว้เป็นอย่างดี และก็จะทำให้สิ่งมีชีวิตกลับกลายสภาพไปสู่สิ่งที่น่าแปลกประหลาดทั้งนี้ก็เนื่องมาจากความพิการและความบกพร่องดังที่ได้กล่าวมา
    <O:p</O:p
    นั้นคือสาเหตุที่ว่าทำไมศาสตราจารย์ Richard Dawkins ผู้ซึ่งเป็นหนึ่งในบรรดาผู้ที่สนับสนุนทฤษฎีการวิวัฒนาการผู้เป็นที่รู้จักกันดีที่สุดคนหนึ่งในปัจจุบันต้องแสดงความลังเลออกมาเมื่อถูกขอให้ยกมาซักตัวอย่างหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงเช่นที่ว่านั้นที่จะไปช่วยเพิ่มข้อมูลทางพันธุกรรมให้ดีขึ้นมา
    <O:p</O:p
    ผู้สัมภาษณ์ศาสตราจารย์ Dawkins ถามว่า: ช่วยยกมาสักตัวอย่างหนึ่งได้ไหมเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทางด้านพันธุกรรมหรือขั้นตอนทางด้านการวิวัฒนาการที่ทำให้เราเห็นว่าการเปลี่ยนแปลงเช่นนั้นจะไปช่วยเพิ่มข้อมูลให้กับหน่วยทางพันธุกรรมได้?

    แต่ศาสตราจารย์ Richard Dawkins ก็นิ่ง ไม่สามารถที่จะตอบคำถามนั้นได้
    <O:p</O:p
    ความจริงเป็นที่ประจักษ์ชัดอยู่แล้วว่าสิ่งมีชีวิตนั้นมีระบบการทำงานที่ซับซ้อนอยู่ในตัวซึ่งไม่มีวันที่มันจะเกิดขึ้นมาเองได้เลยด้วยความบังเอิญนาฬิกาที่มีกลไกลการทำงานที่ซับซ้อนก็ยังไม่สามารถที่จะเกิดขึ้นมาเองได้ โดยการเข้ามารวมตัวกันเองของฟันเฟืองโดยความบังเอิญและนั้นก็เป็นสิ่งที่พิสูจน์ให้เห็นว่ามันจะต้องมีช่างทำนาฬิกานั้นขึ้นมา

    และเป็นช่างนาฬิกาที่มีความชาญฉลาดและความสามารถ ฉันใดก็ฉันนั้นสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดนั้นเต็มไปด้วยระบบการทำงานและมันถูกออกแบบมาเป็นอย่างดีซึ่งมันเป็นสิ่งพิสูจน์ให้เห็นถึงการมีอยู่ของผู้สร้างผู้ที่สร้างมันมาจากความว่างเปล่าจากความไม่มีอะไรมาก่อน
    <O:p</O:p
    สิ่งที่มีชีวิตในจักรวาลทั้งหมดล้วนแต่เป็นสิ่งที่ถูกสร้างมาอย่างไร้ข้อบกพร่องและไม่มีที่ติ เราสามารถที่จะรับรู้ถึงความมีวิทยปัญญาอันสูงส่งอำนาจและความรอบรู้ของผู้ทรงสร้างสิ่งเหล่านี้


    บันทึกจากซากฟอสซิล
    ในศตวรรษที่ 20 นี้ทฤษฎีการวิวัฒนาการไม่เพียงแต่จะถูกหักล้างด้วยกับวิทยาศาสตร์ทางด้านชีววิทยาโมเลกุลเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ก็ยังถูกหักล้างด้วยกับวิทยาศาสตร์ทางด้านชีววิทยาที่เกี่ยวกับชีวิตของพืชและสัตว์โบราณอีกด้วยเช่นกัน
    <O:p</O:p
    จากการขุดค้นที่ทำกันอยู่ทั่วโลกก็ทำให้เราทราบว่า ไม่มีการขุดพบซากฟอสซิลครั้งใดเลยที่จะสามารถนำมาใช้เป็นหลักฐานสนับสนุนทฤษฎีวิวัฒนาการนี้ได้
    <O:p</O:p
    ฟอสซิลก็คือซากของสิ่งมีชีวิตที่ได้เคยมีชีวิตอยู่ในอดีต โครงกระดูกของสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นสามารถคงอยู่ในสภาพเดิมได้ไม่เปลี่ยนแปลงถ้าโครงกระดูกมันถูกปกป้องให้พ้นจากอากาศ

    ซากฟอสซิลที่เหลืออยู่นี้แหละที่จะทำให้เราสามารถรับรู้ได้ถึงประวัติความเป็นมาของชีวิตบนโลกนี้ ดังนั้นซากของฟอสซิลนี้เองที่จะเป็นตัวตอบคำถามทางวิทยาศาสตร์ในปัญหาที่เกี่ยวกับแหล่งกำเนิดและที่มาของสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย
    <O:p</O:p
    ทฤษฎีการวิวัฒนาการได้กล่าวอ้างว่าสิ่งมีชีวิตทั้งหมดมาจากบรรพบุรุษเดียวกัน ตามทฤษฎีนี้แล้ว สิ่งมีชีวิตทั้งหลายที่แตกต่างกันไปเหล่านี้เป็นผลเกิดมาจาก การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในลักษณะที่ค่อยๆเป็นค่อยๆไปทีละเล็กทีละน้อยในช่วงระยะเวลาที่ยาวนาน

    ทฤษฎีนี้ได้อ้างเหตุผลว่าสิ่งมีชีวิตประเภทแรกที่มีเซลเดียวนี้ ได้เกิดขึ้นมาและต่อจากนั้นเป็นระยะเวลาร้อยๆล้านปีก็ค่อยๆกลายเป็นสัตว์ทะเลที่ไม่มีกระดูกสันหลังและก็กลายมาเป็นปลาไปตามลำดับ และก็ทึกทักกันไปว่าปลานี้ก็เกิดขึ้นมาอยู่บนบกและค่อยๆกลายเป็นสัตว์เลื่อยคลานไป

    และ ยังไม่จบเพียงแค่นั้น ก็ยังทึกทักอ้างกันต่อไปอีกว่านกและสัตว์ที่เลี้ยงลูกด้วยนมทั้งหลายที่มีอยู่ได้วิวัฒนาการมาจากสัตว์เลื้อยคลานอีกทีหนึ่ง
    <O:p</O:p
    ข้อกล่าวอ้างทั้งหลายเหล่านั้นจะเป็นจริงได้ก็ต่อเมื่อ ปรากฏว่ามีสิ่งที่มีชีวิตที่อยู่ในช่วงกึ่งๆกลางๆที่กำลังจะกลายพันธุจากชนิดหนึ่งไปสู่อีกชนิดหนึ่งให้ได้เห็น เช่น ถ้าสัตว์เลื้อยคลานที่มีอยู่วิวัฒนาการไปเป็นนกจริงแล้วล่ะก็

    ก็จะต้องมีสัตว์จำนวนนับไม่ถ้วนที่ครึ่งตัวเป็นนกอีกครึ่งตัวเป็นสัตว์เลื้อยคลานที่ได้อาศัยอยู่ไม่ช่วงใดก็ช่วงหนึ่ง และสัตว์เช่นนั้นก็จะต้องมีอวัยวะที่ยังไม่สมบูรณ์หรือยังพัฒนาไปได้ไม่เต็มรูปแบบ

    ดาร์วินได้เรียกสัตว์ที่เขาสันนิษฐานเอาเองเช่นนี้ว่า “transitional forms” หรือสัตว์ที่กำลังอยู่ในช่วงของการวิวัฒนาการจากชนิดหนึ่งไปสู่อีกชนิดหนึ่ง ดาร์วินรู้ว่าการที่จะทำให้ทฤษฎีของเขาเป็นที่ยอมรับหรือได้รับการสนับสนุนก็จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการคุดพบซากสัตว์

    หรือฟอสซิลที่มีลักษณะดังกล่าวนั้นคือซากฟอสซิลของ สัตว์ที่กำลังอยู่ในช่วงการวิวัฒนาการจากชนิดหนึ่งไปสู่อีกชนิดหนึ่ง ในหนังสือของดาร์วิน the Origin of Species เขาได้เขียนไว้ว่า ถ้าทฤษฎีของผมเป็นจริงแล้วละก็ นั้นก็หมายความว่าจะต้องมีสิ่งมีชีวิตเป็นจำนวนนับไม่ถ้วนที่มีลักษณะทางด้านลำตัวที่อยู่ในช่วงการวิวัฒนาการปรากฏให้เห็นอยู่อย่างแน่นอน

    และสัตว์ที่ว่านั้นก็จะเป็นตัวเชื่อมไปสู่สัตว์ทุกชนิดที่แตกมาจากกลุ่มเดียวกัน และเมื่อเป็นอย่างที่ว่านี้แล้วก็จะต้องมีซากฟอสซิลของสัตว์ให้พบเห็นที่จะเป็นตัวบอกให้รู้ว่ามันได้เคยเป็นสัตว์ชนิดใดมาก่อนที่จะวิวัฒนาการมาเป็นสัตว์อีกประเภทหนึ่ง (Charles Darwin,the Origin of Species,1st ed p.179)
    <O:p</O:p
    อย่างไรก็ตามดาร์วินรู้ดีว่าซากฟอสซิลที่ถูกค้นพบนั้นไม่มีปรากฏให้เห็นเลยถึงข้อสันนิษฐานของเขาที่เกี่ยวกับสัตว์ที่อยู่ในช่วงการวิวัฒนาการจากสัตว์ชนิดหนึ่งไปสู่สัตว์อีกชนิดหนึ่ง นั้นคือเหตุผลที่เขาได้ยอมลงทุนเขียนบทๆหนึ่งขึ้นมาเป็นพิเศษในหนังสือของเขาโดยกล่าวเกี่ยวกับปัญหานี้ไว้ดาร์วินได้ตั้งคำถามที่น่าปวดหัวนี้ขึ้นมาว่า
    <O:p</O:p
    ถ้าสิ่งมีชีวิตเกิดขึ้นมาโดยผ่านขั้นตอนการวิวัฒนาการจริงแล้วล่ะก็ ทำไมเราไม่พบเห็นสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนสักที่เดียวที่จะมีลักษณะโครงสร้างที่กำลังจะกลายพันธุจากสัตว์ประเภทหนึ่งไปสู่สัตว์อีกประเภทหนึ่ง
    <O:p</O:p
    แต่ทว่าตามทฤษฎีนี้แล้วจะต้องมีสิ่งมีชีวิตประเภทดังที่กล่าวมา ให้ปรากฏเห็นนับจำนวนไม่ถ้วนที่กำลังจะกลายพันธุ์หรือกำลังวิวัฒนาการไปสู่สัตว์อีกชนิดหนึ่งแต่ทำไมเราไม่พบสัตว์ที่กล่าวมานี้ที่ถูกฝังอยู่ตามชั้นดินต่างๆเลย ทั้งๆที่มันน่าจะมีจำนวนที่นับไม่ถ้วน (Charles Dawin,The Origin of Species,1st, ed p.172)
    <O:p</O:p
    ดาร์วินได้นึกจิตนาการเอาไปเองว่าสิ่งมีชีวิตที่กำลังอยู่ในช่วงการวิวัฒนาการนี้จะหาเจอได้ก็ต่อเมื่อซากฟอสซิลได้ถูกตรวจสอบกันเป็นอย่างดีมากกว่านี้
    <O:p</O:p
    ต่อจากนั้น นักทฤษฎีวิวัฒนาการที่หลงเชื่อตามดาร์วินก็พยายามตรวจสอบชั้นดินทางด้านธรณีวิทยาทั่วโลกดูอีกในช่วง 104 ปีที่ผ่านมาโดยพยายามหาซากฟอสซิลที่หายไปของสิ่งมีชีวิตตามการวิวัฒนาการที่เขาจิตนาการขึ้นมาเองนี้

    แต่ความพยายามทั้งหลายเหล่านั้นก็ต้องจบลงด้วยความผิดหวังสิ่งมีชีวิตตามการวิวัฒนาการที่ดาร์วินได้จิตนาการไว้นี้ก็ยังคงเป็นการจิตนาการต่อไป
    <O:p</O:p
    นักชีววิทยาทางด้านพืชและ สัตว์โบราณชาวอังกฤษ Derek Anger ได้ยอมรับความจริงข้อนี้ ถึงแม้ตัวเขาเองจะเป็นนักทฤษฎีวิวัฒนาการก็ตาม<O:p</O:p

    จากการสำรวจดูซากฟอสซิลอย่างละเอียดแล้วไม่ว่าจะดูตามลำดับชั้นตระกูลหรือตามประเภทชนิด เราก็ไม่สามารถพบร่องรอยที่จะบ่งได้ถึงการวิวัฒนาการไปทีละเล็กทีละน้อยตามที่กล่าวอ้างเลยแม้สักครั้งเดียว

    แต่จะพบว่าสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นเกิดขึ้นมาอย่างสมบูรณ์ในทันทีทันใดในกลุ่มชนิดของมันโดยไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆ และนั้นก็หมายความว่ามันมิได้วิวัฒนาการมาจากกันนั้นเอง (Derek Ager, Proceedings of the British Geological Association,Vo.87,p.133,ข้อมูลการบันทึกของสมาคมทางด้านธรณีวิทยาของประเทศอังกฤษ)
    <O:p</O:p
    ชั้นพื้นดินที่มีอายุเก่าแก่มากที่สุดที่ซึ่งได้มีการขุดพบซากฟอสซิลของสิ่งมีชีวิตนั้นก็คือชั้นดินในยุคของแคมเบรียน ซึ่งมีอายุเก่าแก่ประมาณ 500-530 ล้านปี ในชั้นพืนดินที่มีอายุมากกว่ายุคของแคมเบรียนนี้ไม่มีการขุดพบซากฟอสซิลของสิ่งมีชีวิตใดๆนอกจากสิ่งมีชีวิตเล็กๆไม่เพียงกี่ชนิด ที่มีเพียงเซลเดียว

    แต่กระนั้นก็ดี ในยุคของแคมเบรียนนั้นจะเห็นได้ว่า มีสิ่งมีชีวิตหลากหลายชนิดมากมายปรากฏขึ้นมาอย่างฉับพลัน
    <O:p</O:p
    สัตว์ที่ไร้กระดูกสันหลังมากกว่า 30 ชนิดปรากฏขึ้นมาในทันที่ทันใดโดยไม่มีร่องรอยแห่งการวิวัฒนาการกันมาแต่อย่างใดสัตว์ที่พบ เช่นแมงกะพรุน ปลาดาว แมงทะเล หอยทาก สิ่งมีชีวิตเหล่านี้มีระบบการทำงานในตัวของมันที่ซับซ้อน

    เช่น ระบบการหมุนเวียนขับถ่ายและมันก็ยังมีระบบการทำงานของอวัยวะส่วนต่างๆที่น่าซับซ้อนเป็นอย่างมากอีกด้วยเช่นกัน เช่นตาของแมงทะเลนั้นจะมีช่องเล็กๆมองดูคล้ายกับรวงผึ้งเป็นร้อยๆช่อง

    โดยที่แต่ละช่องนั้น จะมีระบบเลนส์แบบสองชั้น และนั้นก็เป็นส่วนหนึ่งแห่งมหัศจรรย์แห่งการสร้างสรรค์และการออกแบบมาและแมงทะเลนี้ก็เป็นสิ่งมีชีวิตชนิดแรกของโลกที่มีตา

    และสิ่งนี้ก็จะใช้เป็นตัวที่จะมาหักล้างอย่างเด็ดขาดถึงข้อกล่าวอ้างของพวกที่ยึดถือลัทธิดาร์วินที่ว่าสิ่งมีชีวิตค่อยๆวิวัฒนาการจากสิ่งมีชีวิตที่หยาบๆไม่ซับซ้อนอะไรไปสู่สิ่งมีชีวิตที่มีระบบการทำงานที่ซับซ้อน
    <O:p</O:p
    ยิ่งไปกว่านั้นลักษณะโครงสร้างของตาที่คล้ายๆรวงผึ้งของแมงทะเลนี้ได้มีมานานแล้วตั้งแต่ 530 ล้านปีโดยไม่เปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อยแมลงที่มีอยู่ในปัจจุบันเช่น ผึ้ง และแมงปอ ก็มีลักษณะโครงสร้างทางตาที่เหมือนกันกับแมงทะเลนี้
    <O:p</O:p
    ตามทฤษฎีการวิวัฒนาการนี้สิ่งมีชีวิตจะต้องค่อยๆวิวัฒนาการเกิดขึ้นมาจากสิ่งมีชีวิตที่มีอยู่ก่อนแล้ว แต่อย่างไรก็ตามไม่ปรากฏว่าจะมีสิ่งที่มีชีวิตชนิดใดที่จะมีลักษณะโครงสร้างอันซับซ้อนปรากฏหรือเกิดขึ้นมาก่อนหน้าแมงทะเลนี้

    หรือก่อนหน้าสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆที่มีอยู่ในยุคแคมเบรียนสิ่งมีชีวิตในยุคแคมเบรียนเกิดขึ้นมาอย่างกะทันหันโดยที่มันมิได้วิวัฒนาการมาและมันก็ไม่มีบรรพบุรุษด้วย

    Richard Dawkins นักสัตว์วิทยาชาวอังกฤษผู้ที่เป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นผู้ที่สนับสนุนทฤษฎีการวิวัฒนาการนี้ แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังกล่าวยอมรับในสิ่งนี้ไว้ดังนี้
    <O:p</O:p
    ดูเหมือนกับว่าสิ่งมีชีวิตต่างๆ ในยุคแคมเบรียนจะมีอยู่อย่างนั้นก่อนแล้วโดยไม่มีร่องรอยทางประวัติศาสตร์ที่จะบอกให้รู้ถึงการวิวัฒนาการเลย ( Richard Dawkins, The Blind Watchmaker , 1986 p.,229)
    <O:p</O:p
    เมื่อเป็นเช่นนี้ก็เท่ากับไปหักล้างทฤษฎีการวิวัฒนาการลงอย่างแน่นอนและเด็ดขาด เพราะดาร์วินได้เขียนไว้ในหนังสือของเขาเองว่า
    <O:p</O:p
    ถ้าสิ่งมีชีวิตทั้งหลายที่มาจากตระกูลเดียวกันเหล่านี้เกิดขึ้นมาพร้อมๆกัน ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงแล้วล่ะก็นั้นก็จะทำให้ทฤษฎีที่ว่าด้วยการเลือกสรรทางธรรมชาติโดยผ่านขั้นตอนการวิวัฒนาการต้องจบลงอย่างแน่นอน (Charles Darwin,The Origin of Species,1st ,ed p.,302)
    <O:p</O:p
    และสิ่งที่ดาร์วินกลัวนี้เองก็เกิดขึ้นมาจริงในยุคของแคมเบรียนนี้เอง ซึ่งเป็นช่วงที่มีการบันทึกซากฟอสซิลขึ้นในซากฟอสซิลที่มีอยู่ตามชั้นดินต่างๆ ที่มีมาในยุคหลังจากแคมเบรียนนี้

    ก็จะเห็นได้ว่าสิ่งมีชีวิตชนิดต่างๆปรากฏขึ้นมาอย่างกะทันหัน โดยอยู่ในรูปลักษณะโครงสร้างที่สมบูรณ์โดยไม่มีร่องรอยแห่งการวิวัฒนาการอยู่เลย สัตว์จำพวกปลาสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ นก สัตว์ที่เลี้ยงลูกด้วยนมและสิ่งมีชีวิตอื่นๆอีกเป็นแสนๆชนิด เหล่านี้ เกิดขึ้นมาโดยฉับพลันและก็มีโครงสร้างลักษณะเฉพาะพิเศษในตัวของมันเอง

    โดยไม่มีร่องรอยแห่งการวิวัฒนาการใดๆเกิดขึ้นเลยในระหว่างจำพวกสิ่งมีชีวิตชนิดต่างๆเหล่านั้นอย่างที่พวกนักทฤษฎีวิวัฒนาการได้คิดจิตนาการกันไปเอง
    <O:p</O:p
    ความจริงข้อนี้เป็นที่ประจักษ์ชัดแล้วว่าสิ่งมีชีวิตทั้งหมดเหล่านี้ได้ถูกสร้างขึ้นมาตามแต่ชนิดและลักษณะของมัน โดยพระผู้เป็นเจ้า Mark Czarneck ซึ่งเป็นนักชีววิทยาทางด้านพืชและสัตว์โบราณและตัวเขาเองก็เป็นนักทฤษฎีวิวัฒนาการ ได้ยอมรับถึงความจริงข้อนี้ไว้ว่า
    <O:p</O:p
    ปัญหาใหญ่ของทฤษฎีการวิวัฒนาการนี้อยู่ที่ซากฟอสซิล จากการขุดพบซากฟอสซิลไม่ได้บ่งบอกถึงร่องรอยที่จะบอกถึงการวิวัฒนาการตามที่ดาร์วินได้สมมุติฐานไว้เลยแต่ในทางตรงกันข้าม สิ่งมีชีวิตเหล่านี้เกิดขึ้นมาและก็หายสาบสูญไปโดยฉับพลัน

    และสิ่งที่ดูเป็นเรื่องแปลกนี้ก็เป็นสิ่งที่จะมาช่วยสนับสนุนการกล่าวอ้างเหตุผลของผู้ที่เชื่อว่าสิ่งมีชีวิตทุกชนิดนั้นได้ถูกสร้างขึ้นมาโดยพระผู้เป็นเจ้า (Mark Czarnecki,McLean's,19 January 1981,p.56)
    <O:p</O:p
    ยิ่งไปกว่านั้น ซากฟอสซิลของสิ่งมีชีวิตที่มีอายุเป็นร้อยล้านปีกับสิ่งมีชีวิตที่มีอยู่ในปัจจุบันนี้ก็ไม่ได้มีความแตกต่างอะไรกันเลย อย่างเช่น ซากของ ปลาฉลามที่มีอายุถึง 400 ล้านปี กับปลาฉลามที่มีอยู่ในปัจจุบันก็มีลักษณะโครงสร้างที่เหมือนกันทุกอย่างเลย เช่นเดียวกัน

    ซากฟอสซิลของมดที่มีอายุถึง 100 ล้านปีกับมดที่มีอยู่ในปัจจุบัน ซากฟอสซิลของแมลงปอ อายุ135 ล้านปี กับแมลงปอที่มีอยู่ในปัจจุบัน ซากฟอสซิลของ เต่าอายุ 100 ล้านปีกับ เต่าที่มีอยู่ในปัจจุบัน ซากฟอสซิลของ ค้างคาวอายุ 55 ล้านปีกับ ค้างคาวที่มีอยู่ในปัจจุบัน ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ไม่ได้มีความแตกต่างอะไรกันเลย
    <O:p</O:p
    นั้นก็หมายความว่า สิ่งที่มีชีวิตทุกประเภทและทุกชนิด ได้ถูกสร้างขึ้นมา โดยพระผู้เป็นเจ้า โดยที่มันมิได้ผ่านขั้นตอนการวิวัฒนาการมาแต่อย่างใด หลังจากที่มันได้ถูกสร้างขึ้นมาแล้ว
    <O:p</O:p
    แต่กระนั้นก็มีซากฟอสซิลของสิ่งมีชีวิตบางชนิดที่พวกนักทฤษฎีวิวัฒนาการได้หยิบยกขึ้น เพื่อนำมากล่าวอ้างให้คนเชื่อว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่เกิดมาจากการวิวัฒนาการจริง แต่ต่อมาในภายหลังก็ปรากฏออกมาว่าไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกันเลย<O:p</O:p
     
  9. Aqua-ma-rine

    Aqua-ma-rine เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2008
    โพสต์:
    820
    ค่าพลัง:
    +1,242
    หนึ่งในฟอสซิลของสิ่งมีชีวิตที่เป็นตัวการสำคัญ ที่ทำให้พวกนักทฤษฎีวิวัฒนาการนำมาใช้กล่าวอ้าง เพื่อที่จะสนับสนุนทฤษฎีนี้ก็คือซากฟอสซิลของปลาชนิดหนึ่งที่เรียกกันว่า Coelacanth

    เป็นเวลาหลายปีด้วยกันที่นักทฤษฎีวิวัฒนาการ กล่าวอ้างว่าปลาชนิดนี้เป็นซากฟอสซิลชนิดเดียวเท่านั้นที่มีคุณลักษณะที่เหมือนกันกับสัตว์ที่อาศัยอยู่บนบก

    โดยพวกนักทฤษฎีวิวัฒนาการเหล่านี้ได้อ้างเหตุผลว่าปลาชนิดนี้มีโครงสร้างของขาและปอดที่หยาบๆที่ไม่มีระบบที่ซับซ้อนอะไรมาก และข้อกล่าวอ้างของพวกนักทฤษฎีวิวัฒนาการเหล่านี้ก็ถูกเชื่อกันไปว่าเป็นความจริงทางวิทยาศาสตร์

    และก็ยังมีการวาดภาพขึ้นมาจากจิตนาการโดยเป็นภาพของสัตว์ชนิดหนึ่งที่กำลังคลานขึ้นมาจากน้ำเพื่อที่จะขึ้นมาบนบก และภาพวาดจิตนาการที่ถูกวาดขึ้นนี้ก็มีอยู่ให้เห็นตามหนังสือและตำราเรียนโดยทั่วไป ราวกับเป็นจริง

    แต่พวกนักทฤษฎีวิวัฒนาการก็ต้องตกตะลึงเป็นอย่างมากเมื่อสัตว์ตัวอย่างที่พวกเขายกขึ้นมา กล่าวอ้างว่า เป็นปลา Coelacanth ที่สูญพันธุ์ไปแล้วนั้นถูกจับได้ที่มหาสมุทรอินเดียเมื่อปี 1938 และหลังจากนั้นก็เป็นที่รู้กันว่า ปลาชนิดนี้ที่พวกนักทฤษฎีวิวัฒนาการกล่าวอ้างนี้ ก็ไม่ได้ต่างอะไรไปกับปลาที่มีชีวิตอยู่ในปัจจุบันนี้เลย

    และปลา Coelacanth ที่ว่านี้ก็ไม่ได้มีขาและปอดที่หยาบๆ ที่ยังไม่สมบูรณ์เหมือนอย่างที่พวกนักทฤษฎีวิวัฒนาการได้กล่าวอ้างกันไว้เลยและที่ซ้ำร้ายไปกว่านั้น ปลา Coelacanth ที่ทึกทักกันไปว่าคลานขึ้นมาบนบกนี้ จริงๆแล้วเป็นปลาชนิดที่จะอยู่อาศัยเฉพาะในน้ำทะเลลึกเพียงเท่านั้น และมันจะไม่ขึ้นมาเหนือน้ำ ภายในระยะ180เมตรจากพื้นน้ำ
    <O:p</O:p
    สัตว์อีกชนิดหนึ่งที่ถูกนำมากล่าวอ้างว่าเป็นสัตว์ที่มาจากการวิวัฒนาการนั้นก็คือ ซากฟอสซิลของนกชนิดหนึ่งซึ่งถูกเรียกว่า Archaeopteryx เป็นเวลาหลายทศวรรษด้วยกันที่ พวกนักทฤษฎีวิวัฒนาการ ได้กล่าวอ้างว่านก ชนิดนี้เป็นสัตว์ที่กำลังอยู่ในขั้นตอนการวิวัฒนาการระหว่างสัตว์เลื้อยคลานกับนก
    <O:p</O:p
    แต่อย่างไรก็ตาม จากการค้นพบซากฟอสซิลซึ่งเป็นฟอสซิลที่ 7 ของนก Archaeopteryx ในปี 1992 นี้ก็ทำให้รู้ว่านกชนิดนี้มีกระดูกสันหน้าอกหรือกระดูกกลางหน้าอก ที่เป็นส่วนสำคัญต่อกล้ามเนื้อที่ใช้ในการบิน สิ่งนี้ได้พิสูจน์ให้รู้ว่า นกชนิดนี้เป็นนกที่บินได้ที่สมบูรณ์ มาแต่แรกไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกันกับการวิวัฒนาการ เลย

    และคำกล่าวอ้างของพวกทฤษฎีวิวัฒนาการที่เกี่ยวกับเล็บที่มองดูเหมือนอุ้งเท้าที่อยู่บนปีกทั้งสองของนกชนิดนี้ ก็ต้องตกไปเช่นกัน ทั้งนี้ก็เพราะมีการค้นพบลักษณะโครงสร้างของนกที่มีอยู่ในปัจจุบันที่เหมือนกันกับลักษณะโครงสร้างของนก Archaeopteryx เช่นนก Hoatzin

    เนื่องด้วยเหตุนี้นี่เองที่ Stephen Jay Gould นักชีววิทยาทางด้านพืชและสัตว์โบราณของมหาวิทยาลัยฮาวาดและเขาผู้นี้ก็เป็นผู้คอยปกป้องทฤษฎีการวิวัฒนาการเขาต้องกล่าวยอมรับว่านก

    Archaeopteryx นี้ไม่สามารถที่จะเป็นตัวบ่งชี้ถึงร่องรอยแห่งการวิวัฒนาการได้
    <O:p</O:p
    เมื่อเราได้ตรวจสอบดูลักษณะทางด้านโครงสร้างของสัตว์ชนิดต่างๆเราก็จะพบว่า มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีขั้นตอนการวิวัฒนาการเกิดขึ้นมาระหว่างสัตว์ที่ต่างชนิดกันเหล่านั้น เช่นมันเป็นไปไม่ได้เลยที่ปลาที่มีระบบการหายใจ การขับถ่ายตลอดจนลักษณะทางด้านโครงสร้างของตัวมันเอง

    และระบบการเผาผลาญที่ได้ถูกออกแบบและกำหนดมาเป็นอย่างดีให้เหมาะแก่การมีชีวิตอยู่ในน้ำเป็นไปไม่ได้ที่มันจะเปลี่ยนตัวของมันเองไปเป็นสัตว์ที่อาศัยอยู่บนบกโดยคลานขึ้นมาจากน้ำมาสู่บก
    <O:p</O:p
    แม้แต่สัตว์บกก็ยังมีความแตกต่างกันเป็นอย่างมากเลย พวกนักทฤษฎีวิวัฒนาการกล่าวอ้างว่า นกวิวัฒนาการมาจากสัตว์เลื้อยคลาน โดยมันเกิดขึ้นด้วยความบังเอิญ แต่กระนั้นสัตว์เลื้อยคลานนั้นเป็นสัตว์เลือดเย็น ส่วนนกนั้นเป็นสัตว์เลือดอุ่น

    ลักษณะลำตัวของนกจะถูกปกคลุมไปด้วยขนที่ถูกจัดสร้างและเรียบเรียงมาอย่างสลับซับซ้อนและละเอียดอ่อน ส่วนลักษณะลำตัวของสัตว์เลื้อยคลานนั้นจะมีเกล็ดเต็มตัว ซึ่งไม่ได้มีความเหมือนกันกับขนของนกเลย นกมีระบบการทำงานของปอดที่ไม่เหมือนกันกับระบบการทำงานของปอดของสัตว์บกประเภทอื่นๆ

    คุณสมบัติในการร่อนไปในอากาศของปีกนก ก็ไม่สามารถเป็นผลที่เกิดมาจากการวิวัฒนาการได้เลยอย่างเด็ดขาด มันเป็นไปไม่ได้ที่ปีกของนกจะค่อยๆ พัฒนาหรือวิวัฒนาการมาเหมือนอย่างที่พวกนักทฤษฎีวิวัฒนาการได้กล่าวอ้างกัน

    ทั้งนี้ก็เพราะ ปีกของนกที่ยังพัฒนาไม่สมบูรณ์ที่เป็นแบบครึ่งๆ กลางๆ นั้นนอกจากจะไม่เป็นข้อดีแล้วยังจะเป็นข้อเสียอีกด้วยและอาจถึงอันตรายได้
    <O:p</O:p
    พวกนักทฤษฎีวิวัฒนาการก็ยังกล่าวอ้างอีกเช่นกันว่าสัตว์เลื้อยคลานบางชนิดได้เปลี่ยนไปเป็นสัตว์ที่เลี้ยงลูกด้วยนม แต่ถึงอย่างนั้น สัตว์ทั้งสองจำพวกนี้ก็มีลักษณะพิเศษเฉพาะตัวที่แตกต่างกันมากเช่นกัน
    <O:p</O:p
    สัตว์เลื้อยคลานจะวางไข่ส่วนสัตว์ที่เลี้ยงลูกด้วยนมจะคลอดลูกออกมาเป็นตัว ลำตัวของสัตว์ที่เลี้ยงลูกด้วยนมจะปกคลุมไปด้วยขนปุกปุยซึ่งตรงกันข้ามกับเกล็ดที่อยู่บนลำตัวของสัตว์เลื้อยคลาน ระบบในการคัดหลั่งน้ำนมของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมก็มีลักษณะเฉพาะพิเศษของมัน ซึ่งพวกนักทฤษฎีวิวัฒนาการไม่มีวันที่จะอธิบายถึงลักษณะที่เฉพาะพิเศษในการคัดหลั่งน้ำนมนี้ได้
    <O:p</O:p
    เมื่อต้องเผชิญหน้ากับข้อเท็จจริงทางด้านซากฟอสซิลที่มีปรากฏให้เห็นอยู่ พวกนักทฤษฎีวิวัฒนาการก็เบนความสนใจไปยังข้อกล่าวอ้างที่ไร้หลักฐานอีกอย่างหนึ่งที่ว่า มนุษย์ได้วิวัฒนาการมาจากสัตว์ที่คล้ายลิง
    <O:p</O:p
    จนถึงปัจจุบันนี้ได้มีลิงถึง 6500 ชนิดที่ได้เคยอาศัยอยู่บนโลกเรานี้ แต่ส่วนมากได้สูญพันธุไปหมดแล้วกะโหลกของลิงจำนวนมากที่ได้สูญพันธุไปแล้วนี้ไม่ว่าจะมีขนาดเล็กหรือใหญ่

    กะโหลกเหล่านี้ ก็เป็นตัวการสำคัญที่พวกนักทฤษฎีวิวัฒนาการนำมาใช้เป็นข้อกล่าวอ้างถึงทฤษฎีการวิวัฒนาการตามที่พวกเขาเฝ้อฝันกันต่อไป โดยพวกเขาเหล่านี้ได้กุเรื่องและสร้างฉากขึ้นมาหลอกผู้คน โดยพวกเขาจัดเรียงกะโหลกของลิงที่สูญพันธุ์ไปแล้วเหล่านี้

    โดยเริ่มตั้งแต่กะโหลกที่มีขนาดเล็กที่สุดไปจนถึงขนาดใหญ่ที่สุด โดยในขณะเดียวกันพวกเขาก็แอบแซรกกะโหลกศีรษะของเผ่ามนุษย์ที่สูญพันธุไปแล้ว เข้าไปปนอยู่ในบรรดากะโหลกของลิงเหล่านี้ด้วย ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะตบตาผู้คน
    <O:p</O:p
    สัตว์จำพวกลิงชนิดหนึ่งที่สูญพันไปแล้วที่เรียกกันว่า Australopithecus นี้เป็นตัวการสำคัญที่สุดที่พวกนักทฤษฎีวิวัฒนาการนำมาใช้จัดฉากตบตาผู้คน
    <O:p</O:p
    ซากฟอสซิลของ Australopithecus ได้ถูกขุดพบเป็นครั้งแรกในปี1924 โดยนักชีววิทยาทางด้านพืชและสัตว์โบราณนั้นคือ Raymond Dart และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา พวกนักทฤษฎีวิวัฒนาการก็ได้ถือโอกาสกล่าวอ้างว่าลิงชนิดนี้เป็นสิ่งมีชีวิตประเภทหนึ่งที่คล้ายมนุษย์ และลิงชนิดนี้ถ้าแปลตามเชื่อแล้วหมายถึง ลิงที่อาศัยอยู่ทางตอนใต้
    <O:p</O:p
    อย่างไรก็ตามเมื่อได้มีการนำกะโหลกของ Australopithecus มา เปรียบเทียบดูกับกะโหลกของลิงซิมแพนซี ดู แล้วก็พบได้ว่าไม่มีความแตกต่างกันไปมากเท่าไหร่เลยระหว่างกะโหลกทั้งสอง
    <O:p</O:p
    เมื่อเป็นเช่นนี้พวกนักทฤษฎีวิวัฒนาการก็สร้างสมมุติฐานขึ้นมาใหม่ว่า Autralopithecus นั้นจะเดินบน สองเท้าตัวตรง ซึ่งต่างกันจากลิงประเภทอื่นๆ
    <O:p</O:p
    แต่ถึงกระนั้นนักกายวิภาควิทยาผู้มีชื่อเสียงโด่งดังทั้งสองท่าน นั้นคือ Lord Solly Zuckerman และศาสตราจารย์ Charles Oxnard เขาทั้งสองนี้ ได้โต้แย้งและหักล้างคำกล่าวอ้างเช่นนี้ กล่าวง่ายๆก็คือ Autrolopithecus ซึ่งพวกนัก ทฤษฎีวิวัฒนาการใช้นำมากล่าวอ้างว่าเป็น บรรพบุรุษของมนุษย์นี้ไม่มีอะไรนอกไปจากเป็นเพียงลิงชนิดหนึ่งที่ได้สูญพันธุไปแล้วเท่านั้น
    <O:p</O:p
    กล่าวอีกนัยก็คือ ซากฟอสซิลที่พวกนักทฤษฎีวิวัฒนาการนำมาใช้กล่าวอ้างโดยได้จัดแบ่งประเภทต่างๆไปตามที่พวกเขาจิตนาการขึ้นมา เช่นโฮโมอีแร็คทัส โฮโมเออแก็สเทอ หรือ โฮโมซาเพียน

    ซึ่งโฮโมซาเพียนนี้ จัดว่าอยู่ในยุคโบราณมาก ซากฟอสซิลที่นำมาอ้างทั้งหมดเหล่านี้นั้น จริงๆแล้วเป็นเพียงเผ่าพันธุ์มนุษย์เผ่าต่างๆที่แตกต่างกันไปเท่านั้น
    <O:p</O:p
    เมื่อได้มีการสำรวจตรวจสอบดูจากฟอสซิลต่างๆเหล่านี้ก็พบว่า โครงกระดูกเหล่านี้จริงๆแล้วก็เหมือนกันกับโครงกระดูกของมนุษย์ที่อาศัยอยู่ในยุคปัจจุบัน ที่จะไม่เหมือนกันก็เป็นเพียงแค่ลักษณะโครงสร้างทางกะโหลกศีรษะที่แตกต่างกันไม่กี่อย่างถึงกระนั้นความแตกต่างกันเช่นที่กล่าวมานี้ก็สามารถพบได้ในเผ่าพันธุมนุษย์ที่แตกต่างกันที่อาศัยอยู่บนโลกนี้ในยุคปัจจุบัน
    <O:p</O:p
    Richard Leakey นักชีววิทยาทางด้านพืชและสัตว์โบราณและเป็นนักทฤษฎีวิวัฒนาการที่มีเชื่อเสียงที่โด่งดัง เขาผู้นี้ก็กล่าวยอมรับว่าความแตกต่างเล็กๆน้อยๆระหว่างกะโหลกศีรษะของ โฮโมอีเล็คทัส ตามที่เราจัดแบ่งประเภทกัน

    กับความแตกต่างกันกับกะโหลกศรีษระของมนุษย์ปัจจุบันนั้นเป็นเพียงความแตกต่างกันทางด้านชนชาติและเผ่าพันธุ์เพียงเท่านั้นเอง

    เขากล่าวว่าข้อแตกต่างเหล่านั้นจริงๆ ก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าความแตกต่างระหว่างมนุษย์ในยุคปัจจุบันของชนชาติต่างๆที่อาศัยอยู่ในภูมิศาสตร์ที่แตกต่างกัน (Richard Leakey, The Making of Mankind,1981,p.62)
    <O:p</O:p
    พวกนักทฤษฎีวิวัฒนาการเมื่อต้องเผชิญกับความจริงทางด้านวิทยาศาสตร์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็เหลือเพียงสิ่งๆเดียวที่จะใช้ปกป้องทฤษฎีของตนเองให้อยู่รอด

    และสิ่งเดียวที่เหลืออยู่สิ่งนั้นก็คือ การโฆษณาชวนเชื่อ การจัดฉากสร้างภาพการวิวัฒนาการของมนุษย์ให้ดูเหมือนจริงที่ได้มาจากการจิตนาการโดยไม่มีมูลฐานแห่งความจริงแต่อย่างใด โดยสิ่งเหล่านี้ได้ถูกยัดเยียดให้กับสาธารณะชนโดยผ่านทางสื่อและสิ่งตีพิมพ์ของพวกนักทฤษฎีวิวัฒนาการ
    <O:p</O:p
    ในภาพวาดที่แสดงให้เห็นถึงการวิวัฒนาการนี้จะมีสิ่งมีชีวิตที่มีขนขึ้นตามตัวและมีหน้าตาคล้ายลิง โดยภาพนี้จะถูกตกแต่งกันขึ้นให้รู้กันเป็นนัยๆว่า นี้คือมนุษย์ที่กำลังวิวัฒนาการ และสิ่งที่ภาพนี้ต้องการที่จะบอกก็คือสิ่งมีชีวิตจำพวกครึ่งมนุษย์ครึ่งลิงนี้ครั้งหนึ่งได้เคยมีชีวิตอาศัยอยู่บนโลกนี้
    <O:p</O:p
    บ่อยครั้งที่ภาพวาดเหล่านี้ ถูกวาดขึ้นเพื่อต้องการให้เห็นชีวิตความเป็นอยู่ทางด้านสังคมของสิ่งมีชีวิตประเภทนี้ ภาพวาดที่หลอกลวงและตบตาคนเช่นนี้ได้ถูกวาดขึ้นในลักษณะที่เรียบเรียงลำดับการวิวัฒนาการ ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะให้ความคิดและความเชื่อในเรื่องการวิวัฒนาการของมนุษย์นี้ฝังอยู่ในจิตใต้สำนึกของผู้คนโดยไม่รู้ตัว
    <O:p</O:p
    แม้แต่ในสำนักพิมพ์ผลงานทางวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียง ก็บ่อยครั้งที่ยังสร้างภาพจัดฉากหลอกลวงผู้คนโดยที่เราเรียกกันว่า สิ่งที่ถูกจัดประกอบกันขึ้นมาใหม่ หรือที่เรียกว่า reconstructions

    และก็มีภาพวาดแผนภูมิที่เรียงลำดับการวิวัฒนาการ ที่ได้มาจากจิตนาการซึ่งสิ่งที่พวกเขาทำขึ้นมาเหล่านี้ เกิดขึ้นมาจากแรงดลใจอันเฟ้อฝันของพวกเขาการสร้างภาพจินตนาการของพวกนักทฤษฎีวิวัฒนาการเหล่านั้น ไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่ การสร้างหุ่นจำลอง

    หรือการวาดภาพตามจิตนาการที่เฟ้อฝันเพียงเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังสร้างภาพยนตร์ที่มีตัวละครเป็นสิ่งมีชีวิตที่เป็นครึ่งคนครึ่งลิงตามที่พวกเขาจิตนาการกันขึ้นมาเพื่อลวงโลกด้วย<O:p</O:p
     
  10. Aqua-ma-rine

    Aqua-ma-rine เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2008
    โพสต์:
    820
    ค่าพลัง:
    +1,242
    แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งทั้งหมดเหล่านี้เป็นการหลอกลวงตบตากันอย่างชัดเจนโดยทั่วไปแล้วหลักฐานชิ้นเดียวที่มีอยู่นั้น ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าเศษกะโหลกศีรษะเพียงไม่กี่ชิ้นหรือไม่ก็กระดูกหน้าแข้ง ผม ผิวหนัง จมูก หู ริมฝีปาก และลักษณะทางโฉมหน้าอื่นๆของสิ่งมีชีวิตนั้น ไม่สามารถที่จะถูกบ่งชี้หรือกำหนดได้โดยดูจากซากกระดูกที่เหลืออยู่

    นักทฤษฎีวิวัฒนาการเหล่านี้ได้จัดแต่งเนื้อเยื้ออ่อนขึ้นมาซึ่งเนื้อเยื้อเหล่านี้ไม่สามารถพบได้ในซากฟอสซิลเลย ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะให้เข้ากับความต้องการของทฤษฎีการวิวัฒนาการของพวกเขา

    และเพื่อที่พวกนักทฤษฎีเหล่านี้จะได้สร้างและประกอบสิ่งใหม่ๆขึ้นมาจากห้องปฏิบัติงาน โดยเป็นไปตามจินตนาการของพวกเขา Earnst Hooten จากมหาวิทยาลัยฮาวาดกล่าวว่า ภาพเหล่านี้ไม่คุณค่าที่คู่ควรแก่การยกย่องทางวิทยาศาสตร์แต่อย่างใด
    <O:p
    ท่านสามารถที่จะสร้างลักษณะโฉมหน้าของลิงซิมแพนซีหรือ โฉมหน้าของนักปรัชญาคนใดคนหนึ่งขึ้นมาได้โดยใช้กะโหลกศีรษะของ

    Neanderthaloid ด้วยวิธีการและแบบอย่างเดียวกันสิ่งที่ถูกประกอบและสร้างกันขึ้นมาใหม่ของมนุษย์โบราณตามที่กล่าวอ้างกันเหล่านี้ ถ้าจะมีคุณค่าที่สมควรยกย่องทางวิทยาศาสตร์ก็มีน้อยมาก และก็ดูเหมือนจะเป็นเพียงสิ่งที่ทำให้สาธารณะชนเข้าใจผิดกันไปเสียมากกว่า (EarnstHooten, Up From The Ape,1931,p.332)
    <O:p
    พวกนักทฤษฎีวิวัฒนาการยิ่งไปไกลไปกว่านั้น จนกระทั่งพวกเขาได้สร้างหน้าตาหรือโฉมหน้าที่แตกต่างกันไปจากการใช้กะโหลกศีรษะเพียงกะโหลกเดียวพวกเขาได้สร้างซากฟอสซิลที่เรียกว่า Zinjantropus ขึ้นมาใหม่โดยพวกเขาสร้างซากฟอสซิลนี้ขึ้นมาใน สามแบบที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
    <O:p</O:p
    และทั้งหลายเหล่านี้ก็เป็นเครื่องบ่งบอกให้เรารู้เป็นอย่างดีว่า พวกนักทฤษฎีวิวัฒนาการเหล่านี้มีความดื้อรั้นและฝังหัวเพียงไร โดยพวกเขายังคงทำหน้ากากอันจอมปลอมและหลอกลวงเหล่านี้ขึ้นมาอีก
    <O:p</O:p
    พวกนักทฤษฎีวิวัฒนาการเหล่านี้ไม่เพียงแต่จะสร้างกลอุบายทางภาพวาดและการปั้นรูปขึ้นมาเพื่อหลอกลวงคนเพียงเท่านั้น แม้ในบางครั้งพวกเขาก็ยังเจตนาทำสิ่งปลอมแปลงขึ้นมาเสียด้วยซ้ำและสิ่งที่ถูกทำขึ้นมาเพื่อหลอกลวงสาธารณะชนที่เป็นที่รู้จักกันดีที่สุดก็คือซากฟอสซิลของ Piltdown

    ที่ถูกนำมาแสดงในประเทศอังกฤษ ในปี1912 โดยนักทฤษฎีวิวัฒนาการคนหนึ่งที่มีเชื่อว่า Charles Dawson โดยซากฟอสซิลดังกล่าวนี้ได้ถูกนำมากล่าวอ้างว่าเป็นหลักฐานที่สำคัญที่สุดที่บ่งชี้ถึงการวิวัฒนาการระหว่างมนุษย์กับลิงและซากฟอสซิลนี้ได้ถูกตั้งโชว์ อยู่ในพิพิธภัณฑ์ในประเทศอังกฤษ เป็นระยะเวลานานกว่า 30ปี

    ผู้เชี่ยวชาญได้ทำการตรวจสอบซากฟอสซิลนี้ดูอีกครั้งหนึ่งในปี 1949 และผลปรากฏออกมาว่าซากฟอสซิลนี้ทำขึ้นมาเองเพื่อหลวกลวงประชาชนให้หลงเชื่อ โดยมันถูกทำขึ้นมา โดยการต่อขากรรไกรของลิงอุรังอุตรังเข้ากันกับกะโหลกของมนุษย์
    <O:p</O:p
    อีกอย่างหนึ่งที่นักทฤษฎีวิวัฒนาการได้ปลอมแปลงขึ้นมาเพื่อหลอกลวงผู้คนให้หลงเชื่อไปกับทฤษฎีการวิวัฒนาการก็คือ Nebraska Man โดยสิ่งนี้ได้ถูกทำขึ้นมาในปี 1922 เพียงแค่อยู่บนพื้นฐานของซากฟอสซิลของฟันเพียงซี่เดียวพวกนักทฤษฎีวิวัฒนาการเหล่านี้ก็ไม่รอช้าที่จะตั้งชื่อให้ มันเสียอย่างหรูหรา โดยตั้งเป็นภาษาลาตินว่า Hesperopithecus Haroldcooki

    และพวกเขาก็ไม่รอช้าเช่นกันที่จะวาดภาพเกี่ยวกับซากฟอสซิลที่พบอันนี้ขึ้นมา ไปตามจิตนาการของพวกเขา
    <O:p</O:p
    แต่ไม่ช้าก็ถูกเปิดเผยว่าฟันซี่นี้ที่เป็นตัวการสำคัญที่พวกนักทฤษฎีวิวัฒนาการนำมากล่าวอ้างว่าเป็น Nebrask Man นั้นความเป็นจริงแล้วเป็นเพียงฟันของหมูป่าชนิดหนึ่ง
    <O:p</O:p
    ซากฟอสซิลอันมากมายที่ถูกนำมาเป็นข้อกล่าวอ้างว่าเป็นหลักฐานของการวิวัฒนาการในที่สุดก็ต้องตกไปทีละชิ้น
    <O:p</O:p
    Ø ØNeanderthal Man ถูกนำมาใช้เป็นข้ออ้างหลักฐานทางการวิวัฒนาการ ในปี 1856 แต่ก็ถูกยกเลิกไป ในปี 1960
    <O:p</O:p
    Ø ØPildown Man ถูกนำมาใช้เป็นข้ออ้างหลักฐานทางการวิวัฒนาการในปี 1912 แต่ก็ถูกยกเลิกไป ในปี 1953
    <O:p</O:p
    Ø ØHesperopithecus ถูกนำมาใช้เป็นข้ออ้างหลักฐานทางการวิวัฒนาการ ในปี 1922 แต่ก็ถูกยกเลิกไปในปี 1927
    <O:p</O:p
    Ø ØZinjantropus ถูกนำมาใช้เป็นข้ออ้างหลักฐานทางการวิวัฒนาการ ในปี 1959 แต่ก็ถูกยกเลิกไปในปี 1960
    <O:p</O:p
    Ø ØRamapithecus ถูกนำมาใช้เป็นข้ออ้างหลักฐานทางการวิวัฒนาการ ในปี 1964 แต่ก็ถูกยกเลิกไปในปี 1979
    <O:p</O:p
    ถึงแม้ความจริงจะเป็นเช่นนี้แล้วก็ตาม แต่กะโหลกศีรษะเหล่านี้ก็ยังคงถูกนำมาเสนอต่อหน้าสาธารณะชน โดยผ่านทางสื่อมวลชนหรือไม่ก็ผ่านทางหนังสือหรือตำราเรียน ที่เขียนโดยพวกนักทฤษฎีวิวัฒนาการ ราวกับว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นเป็นความจริง<O:p</O:p
     
  11. kodyhusky

    kodyhusky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    464
    ค่าพลัง:
    +829
    ถอกจิตไปดูสิครับ อิอิอิอิ
     
  12. suthipongnuy

    suthipongnuy ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    661
    ค่าพลัง:
    +1,428
    ถึงแม้จะรู้ว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์ มีจุดกำเนิดมาจากไหน แต่เราคงไม่หยุดแค่นั้น
    คงอยากรู้ไปอีกว่า มนุษย์ต่างดาวที่สร้างพวกเรานั้น มีจุดกำเนิดมาอย่างไร
    และคงอยากรู้ไปเรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุด สุดท้ายผมคิดว่า เค้าคงอยากรู้ว่าจะทำ
    อย่างไรถึงไม่ต้องมาเกิดอีกเป็นแน่แท้ นั้นหมายถึงการหลุดพ้นจากวัฏฏสงสาร
     

แชร์หน้านี้

Loading...