มงคลวัตถุ สิริแห่งชีวิต ที่สุดแห่งศรัทธา : รูปถ่ายนิโรธสมาบัติ มหาจักร มหาสังข์ โคนนทสูร

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย studio214, 19 กรกฎาคม 2015.

  1. studio214

    studio214 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    654
    ค่าพลัง:
    +705
    รายการที่ 051 เบี้ยแก้เกศาหลวงพ่อโอภาสี ศาลเจ้าหลวงพ่อโอภาสี


    เบี้ยนี้สิ่งมงคลสูงสุดคือเกศาหลวงพ่อโอภาสีซึ่งเป็นสมบัติของศาลเจ้า รวมถึงของมงคลที่หลวงพ่อเสกไว้

    เบี้ยนี้เกิดขึ้นจากเบื้องบนสั่งการผ่านเทพลงมาให้จัดสร้าง "เบี้ยแก้" นี้ขึ้น เพื่อมอบให้ศิษย์ที่มีบุญสัมพันธ์มาร่วมงานไหว้ครู มิได้เกิดจากดำริของมนุษย์แล้วไปขออนุญาตเบื้องบน

    เบี้ยมีชีพ "กลับคว่ำเป็นหงาย"
    เป็นเรื่องที่ประจักษ์แก่สายตาของผู้ที่เกี่ยวข้อง คือ วันบรรจุเบี้ยนี้บรรจุแบบวางคว่ำเพราะสะดวกในการใส่ซองเป็นส่วนใหญ่ ๙๕% แล้ววางพานไว้หน้าองค์หลวงพ่อ มาถึงวันก่อนเข้าพิธีไหว้ครูมาพบว่าทุกเบี้ยหงายขึ้นทั้งหมด สามารถ "กลับคว่ำเป็นหงายได้เอง" ทุกคนจึงได้รู้ว่าการบรรจุเบี้ยที่ถูกต้อง ต้องใช้ด้านหงาย


    หลายท่านที่เป็นครูบาอาจารย์ได้รับไป นำเบี้ยไปสวดมนต์ภาวนาบทพระคาถาหลวงพ่อและมีความสามารถในการสื่อสัมผัสได้ ต่างได้รับประสบการณ์ต่างๆ นานา ที่สะท้อนในแนวทางเดียวกันว่าเบี้ยนี้มีชีพ

    เบี้ยนี้ไม่บรรจุปรอท เพราะเบื้องบนได้รับอนุญาตจากองค์หลวงพ่อโอภาสีให้เชิญผงอิทธิเจ เกศา ทรายเสก ปูนแดง ผงธูปเหล่าเทพเจ้าทุกพระองค์บรรจุเป็นมวลสารหลัก แล้วเสริมบารมีด้วยยันต์แปดทิศ เบี้ยแก้ แส้สวรรค์ แก้วสารพัดนึก และของมงคลอื่นที่หลวงพ่อประทานไว้ให้ อัญเชิญบารมีศักดิ์สิทธิ์ลงในมวลสารซึ่งเป็นสิ่งมงคลสูงค่า และดำเนินการอัญเชิญบารมีแห่งองค์หลวงพ่อโดยเทพที่ลงมาประทับร่าง

    คำแนะนำในการบูชา ทุกครั้งที่มีโอกาสสวดมนต์ ทำสมาธิ ให้ถือเบี้ยไว้ในมืออาราธนาบารมีระลึกถึงคุณพระรัตนตรัยและหลวงพ่อโอภาสี ตั้งนะโม ๓ จบว่าพระคาถาอิติสุคะโตซึ่งแนบไปในใบชมพู แล้วน้อมจิตเป็นสมาธิจะยิ่งเสริมกำลังสมาธิและเสริมให้เบี้ยมีพลังยิ่งขึ้นโดยพร้อมกัน เบี้ยจะมีพลังเพียงใดขึ้นอยู่กับผู้บูชาปฏิบัติตนอย่างไรด้วย ในการบูชาไม่ควรไว้ต่ำกว่าระดับเอวให้นึกถึงว่ามวลสารสำคัญคือ ผงอิทธิเจและเกศาองค์หลวงพ่อ และไม่ควรตั้งไว้ในที่อากาศร้อนมาก

    เปิดดูไฟล์ 5030342
    เกศาหลวงพ่อโอภาสี

    ประวัติศาลเจ้าหลวงพ่อโอภาสี
    ก่อนที่หลวงพ่อโอภาสีจะออกจากวัดบวรนิเวศ ท่านได้ไปพบองค์พจนสุนทรบ๋าวเอิง เจ้าอาวาสวัดญวณสะพานขาว เพื่อปรึกษาเรื่องสถานที่ในการบำเพ็ญเพียรได้รับคำแนะนำว่าที่บางมดมีศาลเจ้าจีนแห่งหนึ่งอยู่ไกลความเจริญ เงียบสงบเหมาะกับการบำเพ็ญธรรม จากนั้นท่านจึงตัดสินใจมุ่งสู่สวนบางมด บริเวณใกล้กับศาลเจ้าเดิมและปักกลดบำเพ็ญธรรม ความเกี่ยวข้องกับศาลเจ้าในระยะแรกหลวงพ่อจะนั่งเรือพายมาที่คุ้งน้ำคลองบางช้าง ซึ่งเป็นศาลของ ตั่วก๋ง ยี่ก๋ง ซาก๋งเดิมและเห็นควรให้เทพลงมาสงเคราะห์มนุษย์จึงทำพิธีอัญเชิญเทพลงประทับร่างก่อนจะมีศาลเจ้า ซึ่งในเวลาต่อมาท่านเห็นสมควรให้ย้ายศาลเจ้าหลังเก่ามาสร้างขึ้นใหม่ในสถานที่ปัจจุบันเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2495 - 2496 และท่านจะมาที่ศาลเจ้าทุกวันพระจีนเวลาน้ำมากมาทางเรือพายเวลาน้ำน้อยเดินตามคันสวน เวลามีงานที่อาศรมหลวงพ่อจะโปรดให้เทพลงประทับร่างร่วมพิธีเสมอก๋งทั้งสามจึงถือเป็นเทพคู่บารมีของหลวงพ่อ โดยเฉพาะยี่ก๋งซึ่งหลวงพ่อโอภาสีบวชให้มากว่า 65 ปี เช่นกันกับตั่วก๋งที่ท่านถือศีลบวชในชุดขาว

    ครูขององค์เทพในศาลคือองค์หลวงพ่อโอภาสี บรมครูของหลวงพ่อโอภาสีคือองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า กราบบูชาพระรัตนตรัย กราบสักการะครูบาอาจารย์
    Screen Shot 2562-08-18 at 1.29.47 PM.png

    ปัจจุบันยังมีการประทับทรง ได้รับความเคารพบูชาจากศิษย์หลวงพ่อโอภาสีทั้งรุ่นเก่ารุ่นใหม่ ศาลเจ้าได้รับมอบของวิเศษจากหลวงพ่อไว้สงเคราะห์ศิษย์ เช่นลูกแก้วสารพัดนึก กระบองแก้ว แส้สวรรค์ ศาสตราวุธมงคลที่หลวงพ่อโอภาสีประทานให้องค์เทพที่ประทับทรงใช้แผ่บารมีและสื่อสารกับท่านซึ่งยังใช้อยู่ถึงปัจจุบันนี้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 สิงหาคม 2020
  2. studio214

    studio214 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    654
    ค่าพลัง:
    +705
    รายการที่ 052 ยันต์ซุ้มเรือนแก้ว คุ้มครองบ้านเรือน
    บูชา 1850 บาท รวมจัดส่ง

    Screen Shot 2562-08-18 at 9.18.54 PM.png Screen Shot 2562-08-18 at 9.21.20 PM.png

    Screen Shot 2562-08-18 at 9.18.54 PM.png Screen Shot 2562-08-18 at 9.21.20 PM.png 20190818_130813.jpg 20190818_131136.jpg 20190818_131200.jpg 20190818_131510.jpg 61535440_1243577779152820_9044717146986250240_n.jpg


    ***กรอบไม่มีกระจกนะครับ ต้องไปเข้ากรอบใหม่***

    แผ่นยันต์พระครูปืนจารมือทั้งแผ่น ขนาดรวมกรอบ 9 x 13 นิ้ว ยันต์นี้เป็นยันต์โบราณที่หลวงปู่คอนท่านเรียนมาจากวัดสะแก อยุธยา ตั้งแต่สมัยหนุ่มๆ จนสืบทอดมาถึงพระครูปืน ยันต์นี้พุทธคุณคุ้มครองบ้านเรือน เสมือนมีหลักบ้าน มีเทวดารักษาคุ้มครอง (คล้ายกับการมีศาลพระภูมิ หรือ มีเสาหลักบ้าน) มีเรื่องเล่าว่ามีคนฝันคล้ายได้ยินเสียงคนสองจะมาเอาชีวิตคนในบ้าน คนนั้นพูดว่าไม่สามารถเอาไปได้เพราะมีเรือนแก้วคุ้มอยู่

    ยันต์ซุ้มเรือนแก้ว

    อาจารย์พระครูปืนได้เล่าให้ฟังว่า สมัยเป็นเณรอุปัฎฐากดูแลหลวงปู่คอน (พระราชมงคลมุนี) ที่วัดชัยพฤกษ์มาลา พระอารามหลวง กรุงเทพมหานคร มักจะเห็นคนมากราบหลวงปู่เสมอ มากันทั่วสารทิศ มาให้หลวงปู่ช่วยเรื่องนั้นเรื่องนี้ เมื่อหลวงปู่ท่านทราบถึงปัญหาต่างๆแล้ว ท่านก็จะให้แผ่นยันต์แผ่นหนึ่งไว้ให้คนที่เดือดร้อนกลับไปบูชา สามเณรปืนในขณะนั้นที่คอยสังเกตหลวงปู่อยู่ เมื่อคนกลับไปแล้วจึงได้ถามว่า หลวงปู่ให้ยันต์อะไรเขาไป ทำไมใครมาหาหลวงปู่ ก็อยากได้ยันต์นี้กลับไปบูชา หลวงปู่คอนได้บอกสามเณรปืนว่า ยันต์นี้ชื่อว่า “ซุ้มเรือนแก้ว” เด่นไปในทางด้านโภคทรัพย์ และ คุ้มกันบ้านเรือน สามเณรปืนจึงกราบขอเรียนยันต์นี้กับหลวงปู่คอน ไว้เผื่อว่าในอนาคตถ้ามีคนมานิมนต์ไปทำการขึ้นบ้านไหม่ หรือเปิดกิจการใดๆ จะได้มอบเป็นที่ระลึกให้กับผู้ที่ทำบุญให้ได้ไว้บูชาประดับบ้านเรือน แต่กว่าจะได้วิชานี้มาต้องมีข้อแลกเปลี่ยนกับหลวงปู่ คือ เมื่อสามเณรปืนเรียนยันต์นี้แล้ว จะต้องมาเป็นลูกมือคอยช่วยหลวงปู่ลงยันต์ซุ้มเรือนแก้วมหาเศรษฐีนี้เพื่อบูชาครู ไว้นำออกให้คนที่มาทำบุญกับหลวงปู่ได้บูชาไว้เป็นที่ระลึก (ดูเพิ่มเติมจากหนังสือ อายุวัฒนมงคล 79 ปี พระราชมงคลมุนี)

    การที่หลวงปู่ให้ทำแบบนี้ นับเป็นกุศโลบายที่ชาญฉลาดในการสอนศิษย์ เพราะให้ลงมือจริง ทั้งยังคอยตรวจสอบกำกับด้วยตัวท่านเอง เมื่อศิษย์ได้เขียนจนเกิดความชำนาญจากการเรียกสูตรยันต์ เสก ซ้ำๆ จะทำให้จำได้แม่นยิ่งขึ้น จนเกิดเป็นความชำนาญ ศิษย์จะมีความมั่นใจ และสามารถที่จะกระทำได้ด้วยตัวเองเมื่ออาจารย์ไม่อยู่

    เมื่อ 3 ปีที่แล้ว มีอยู่วันหนึ่งเมื่อลูกศิษย์มาพูดคุยสอบถามถึงเรื่องราวของหลวงปู่คอน ย้อนไปสมัยเมื่อครั้งเป็นสามเณรปืนคอยดูแลรับใช้หลวงปู่คอน อาจารย์พระครูปืนก็นึกขึ้นได้ว่าหลวงปู่ได้มอบยันต์อย่างหนึ่งไว้ให้เป็นยันต์ที่สำคัญ เพราะหลวงปู่คอนเล่าว่าไปเรียนมาจากวัดสะแก อยุธยา ตั้งแต่สมัยหนุ่มๆ อีกทั้งจำได้ว่าหลวงปู่ให้เป็นลูกมือช่วยลงยันต์นี้ไว้ให้คนที่มากราบหลวงปู่ ลูกศิษย์ที่มานั่งคุยกันในวันนั้นหลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวของหลวงปู่คอนเสร็จ ต่างรบเร้าให้อาจารย์เขียนให้หน่อย อยากได้ไว้บูชา เพราะชื่อดี เป็นมงคล ทั้งเด่นในด้านโภคทรัพย์ และคุ้มครองบ้านเรือน แต่อาจารย์ก็ไม่ได้เขียนให้ใครคนใดคนหนึ่ง แต่เท่าที่เห็นคือท่านเขียนแล้วเก็บเสกมานานแล้ว ถ้าจำไม่ผิดประมาณปี พ.ศ. 2559

    พระมหาอิสระ ญาณิสฺสโร
    วัดดาวดึงษาราม กรุงเทพมหานคร
    วันศุกร์ ที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๖๒

    พระอาจารย์ปืนท่านเป็นพระหนุ่มที่คงแก่เรียนมากๆ เป็นลูกหลานชาวบ้านลาดชะโด เป็นศิษย์พุทธาคมสายตรงวัดพระญาติโดยแท้ เป็นศิษย์เอกหลวงพ่อเฉลิม โดยท่านได้ขึ้นกรรมฐานกับหลวงปู่คอน วัดชัยพฤกษ์มาลา ซึ่งหลวงปู่คอนท่านก็เป็น ศิษย์ของหลวงพ่อเภา ซึ่งหลวงพ่อเภา ท่านเป็นศิษย์คนสำคัญองค์หนึ่งของหลวงพ่อกลั่น แห่งสำนักวัดพระญาติ รุ่นไล่ๆกันกับหลวงพ่ออั้น หลวงปู่คอนท่านไม่เน้นเรื่องวัตถุมงคลเท่าไร เพราะว่าท่านเป็นถึงพระราชาคณะ หลวงปู่คอนท่านรักพระครูปืนมาก ถึงกับฝากพ่อแก่องค์นี้เอาไว้กับพระผู้ใหญ่ในวัด เพื่อมอบให้กับท่านพระครูปืน หลังจากที่หลวงปู่ท่านมรณะภาพไปแล้ว พ่อแก่องค์นี้สำคัญมาก หลวงปู่คอนท่านบูชาไว้ที่กุฏิของท่าน ใครมาขอ หลวงปู่บอกว่าให้เอาไปเลย ไปได้ไม่เกินสามวันต้องเอามาคืนทุกราย ต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าโดนพ่อแก่ท่านมาดึงแขนบ้าง ดึงขาบ้าง มาเข้าฝันบ้าง เฮี้ยนสุดๆ ปัจจุบันท่านพระครูปืน บูชาพ่อแก่ไว้ในกุฏิของท่าน ใครจะกราบไหว้บูชามาขอท่านได้ ให้จุดธูป เก้าดอก จะบนบานอะไรก็แล้วแต่มักจะสำเร็จผลทุกรายไปด้านวัตถุมงคลและเครื่องรางของขลังที่ท่านได้จัดสร้างไว้อย่างเข้มขลังและมีประสบการณ์เป็นที่กล่าวขานในหมู่ลูกศิษย์และเป็นที่เสาะแสวงหาของผู้ที่นิยมพระเครื่องก็คือ พระผงทรงดอกบัว หุ่นพยนต์ พ่อแก่ ตะกรุด เครื่องราง ชนิดต่างๆ เป็นต้น...
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  3. studio214

    studio214 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    654
    ค่าพลัง:
    +705
    รายการที่ 053 เหรียญเจ้าพ่อโต๊ะกง หลังเจ้าแม่กวนอิม หลวงปู่พิศดูเสก
    รวมจัดส่ง

    Screen Shot 2562-08-18 at 10.08.21 PM.png Screen Shot 2562-08-18 at 10.08.31 PM.png
    20190623_203146.jpg 56208371_284647979100290_4700451748211326976_n.jpg


    เหรียญเจ้าพ่อโต๊ะกง หลังเจ้าแม่กวนอิม ศาลเจ้าพ่อโต๊ะกง จ.ระยอง

    เหรียญนี้สร้างปี 2550 หลวงปู่พิศดูเมตตาเดินทางไปเป็นประธานจุดเทียนชัยและพุทธาภิเษกตามคำอาราธนาของ เจ้าพ่อโต๊ะกงที่เข้าประทับทรง โดยเจ้าพ่อโต๊ะกงได้บอกว่า

    "หลวงปู่พิศดูท่านเป็นพระแท้บริสุทธิ์มากและแก่กล้าในกสิณ ต้องอาราธนาให้ท่านมาเป็นประธานพิธี จะเป็นองค์อื่นไปไม่ได้..."

    หลวงปู่พิศดู ได้เมตตานั่งปรกอธิษฐานจิตให้นานนับเป็นชั่วโมง ร่วมกับ พระเกจิอาจารย์ต่างๆของเมืองระยองและเป็นผู้จุดและดับเทียนชัย วัตถุมงคลชุดนี้ได้เข้าพิธีพุทธาเทวาภิเษกจากแดนทักษิณและเข้าพิธีของสำนักเขาอ้อมาหลายพิธีด้วย

    เหรียญนี้มีพลังเข้มขลังศักดิ์สิทธิ์มากๆ เพราะได้บารมีทั้งองค์หลวงปู่พิศดู พระโพธิสัตว์กวนอิม เทพเซียนต่างๆ และบารมีของเจ้าพ่อโต๊ะกงซึ่งเป็นเทพเซียนชั้นผู้ใหญ่ ซึ่งตลอด 10 ที่ผ่านมาวัตถุมงคลชุดนี้ได้สร้างอภินิหารให้ได้ประจักกับสายตาผู้บูชามานักต่อนักแล้ว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 ธันวาคม 2019
  4. shaj

    shaj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    7,905
    ค่าพลัง:
    +6,827
    ขอจองรายการนี้ครับ
     
  5. studio214

    studio214 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    654
    ค่าพลัง:
    +705
    รายการที่ 054 ลูกแป้งรัญจวนจิต คุณยายชีนวล แสงทอง วัดภูฆ้องคำ อุบลราชธานี
    บูชา บาท รวมจัดส่ง

    Screen Shot 2562-08-19 at 8.37.03 PM.png Screen Shot 2562-08-19 at 8.38.27 PM.png
    20190818_230540.jpg 20190818_230556.jpg 20190818_230522.jpg



    ลูกแป้งนี้ถ้าไม่เลี่ยมแขวนทั้งลูกก็สามารถบดใส่หลอดตระกรุดแขวนคอหรือข้อมือก็ได้

    ลูกแป้งรัญจวนจิต

    คุณยายชีนวล แสงทอง...เก่งเรื่องแป้ง

    ครั้งแรก...ที่รู้จักเรื่องแป้ง ก็เมื่อคราวนำเอาพระกามเทพ ไปขอรับการเสกจากคุณยายท่านเอาพระกามเทพทั้งหมด หมกลงในพานแป้ง
    เมื่อพระกามเทพ ถูกเผยแพร่ออกไป ได้ก่อเกิดประสบการณ์ ทางด้านเมตตามหาเสน่ห์ จนเป็นที่เลื่องลืออยู่พอสมควรทุกวันนี้ พระกามเทพเป็นของ
    หายาก เนื่องจากสร้างน้อย และมีราคาแพง


    จะว่าไปแล้ว ในบรรดาของขลัง ทางเมตตา มหานิยม มหาเสน่ห์ รัญจวนจิต ซึ่งคุณยายได้ทำขึ้น ไม่มีอะไรเกินแป้ง

    ก่อนจะละสังขารไม่นาน ท่านสั่งให้ คุณพยุงศักดิ์ เศรษฐมาตย์ ไปหาลูกแป้งมาเยอะๆคุณยาย เรียกการเสกลูกแป้งว่า ทรมานกรรม(เข้ากรรม)
    เพราะจะต้องปิดกุฏิ ๗ วัน ๗ คืน ไม่ออกมา ไม่รับแขก ไม่ว่าใคร จะเป็นลูกหลานว่านเครือ ไม่รับทั้งนั้นทั้งยังไม่ฉันอาหารตลอดทั้ง ๗ วัน ฉันเพียง
    น้ำเปล่าที่จัดเตรียมไว้ ๑ กระติกเท่านั้นหลังจากเสร็จประกอบพิธีการเสกแป้งครบ ๗ วันแล้ว จะฉันแค่ข้าวเปล่ากับผักและเกลือ ไม่ฉันเนื้อสัตว์ทุกชนิด ต่อเนื่องไปอีกหลายวันคุณยาย เก็บลูกแป้งไว้ต่อไปอีก ๓ เดือน จึงมอบลูกแป้งทั้งหมดให้ คุณพยุงศักดิ์ แล้วบอกว่า


    "ลูกแป้งนี้ ให้เก็บเอาไว้ผสมสร้างพระ เมื่อถึงเวลาอันสมควร ในอนาคตข้างหน้า"

    แต่ถ้าต้องการจะใช้ลูกแป้ง เพื่อหวังกิจ หวังผล อันใด ให้เอานิ้ว แตะลูกแป้ง เจิมหน้าผากตนเอง เป็นอันใช้ได้

    คุณยาย ยังบอกอีกว่า

    "เลี่ยมแขวนหรือพกติดตัว ก็พอแล้ว" จะได้ไม่เปลืองแป้ง

    ลูกแป้งนี้ มีอานุภาพทางเมตตาเสน่หารัญจวนจิต ดีทั้ง ติดต่อพบปะผู้คน ดีทั้งประกอบธุรกิจการ ค้าขาย ท่านเคยเตือน ผู้ที่มาขอลูกแป้ง บางรายว่า

    "ระมัดระวัง รักษาศีล ข้อ 3 ให้ดี"



    กรณีเลี่ยมแขวนหรือพกติดตัว ควรเคลือบผิวลูกแป้งด้วยแลคเกอร์สเปรย์ หรือ ลงรักปิดทอง


    บทความ อาจารย์ อำพล เจน

    คุณยายชีนวล แสงทอง พระอริยะสาวิกาแห่ง บ้านนาทมใต้ อ.ตาลสุม จ. อุบลราชธานี

    ชาติกำเนิดเกิดวันศุกร์ ไม่ทราบวันที่และเดือน คงอาศัยเค้าจากปีเกิดหลวงปู่สวน วัดนาอุดม(8 ก.ย. 2453) ด้วยว่าทั้งหลวงปู่สวนและยายชีเกิดปีเดียวกัน ยายชีเป็นน้องแค่เดือน

    เรื่องนี้ทราบจากยายคำ แสงทองผู้เป็นน้องหญิงคนที่4ของยายชีว่า สมัยยายชียังเยาว์วัย ป่วยเป็นฝีที่คอ รักษาอย่างไรไม่หาย วันหนึ่งมีหมอธรรมมาชี้แนะว่า มีผู้เดียวที่จะรักษาได้ เป็นพระชื่อว่าครูบาลุน อยู่ภูมะโรง เมืองจำปาศักดิ์ อยากจะหายจงเร่งไปหา ด้วยว่าเวลานั้นท่านชราภาพมากแล้ว อย่านิ่งนอนใจ ช้าไปจะไม่ทันการ จากตรงนี้นั่นเองจึงเป็นจุดหักเหของชีวิตเด็กหญิงคนหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นภายหลังจากที่ได้ดั้นด้นไปจนถึงภูมะโรง

    ในขณะที่เดินทางไปภูมะโรงนั้น บิดาของยายชีกำลังอยู่ในเพศสมณมาแล้ว6พรรษา น่าเชื่อได้ว่าพระภิกษุส่วน(บิดายายชี)ควรเป็นผู้นำพายายชีไปด้วยตนเอง หรือไม่ก็อาศัยผู้รู้จักหนทางที่ไว้วางใจได้ฝากฝังยายชีให้เขาคนนั้นนำพาไป ในการเดินทางไปภูมะโรงคราวโน้นเป็นไปได้ว่าน่าจะมีหลวงปู่สวน ฉนฺทโร วัดนาอุดมร่วมเดินทางไปพร้อมกันด้วย เนื่องจากว่าเป็นคนบ้านเดียวกัน (บ้านนาทม ต.คำหว้า อ.ตาลสุม จ.อุบลราชธานี)

    เมื่อไปถึงภูมะโรงแล้ว ครูบาลุนได้บอกว่าโรคของยายชีจะหายได้ด้วยมโหสถขนานเดียว คือบวชชีรักษาศีลแปดถือพรหมจรรย์ ซึ่งครูบาลุนได้เป็นผู้บวชให้

    น่าแปลกใจอย่างยิ่ง หลวงปู่สวนออกจะให้ความเกรงใจยายชีนวลเป็นพิเศษอาจด้วยเหตุว่ายายชีนวลนั้นสนิทสนมคบหาสำเร็จตันถึงขั้นเรียกหากันว่า”เสี่ยว”สำเร็จตันผู้คงด้วยวัยวุฒิและคุณวุฒิอันบรรดาศิษย์อาจารย์เดียวกันยกย่องนับถือ

    เมื่อครูบาลุนมรณภาพและหมดภาระที่สำนักครูบาลุนแล้ว ยายชีในวัยรุ่นสาวกลับมีความองอาจกล้าหาญออกธุดงค์โดดเดี่ยวปานพระหนุ่มๆสักรูป เดินออกจากจำปาศักดิ์ขึ้นเหนือทะลุเวียงจันทน์ข้ามโขงมาฝั่งไทยที่เมืองหนองคาย เข้าอุดรธานี ย้อนมาสกลนคร ผ่านธาตุพนม สู่อำเภอเขมราฐจนกระทั่งถึงบ้านเกิดบ้านนาทม

    พำนักอยู่บ้านเกิดไม่นาน ได้เพื่อนชีสาวอีก2คือแม่ชีเที่ยง(ไม่ทราบนามสกุล)กับแม่ชีอีกองค์หนึ่งไม่ทราบชื่อ ชวนกันออกธุดงค์ไปจนถึงภูสามส่วม เขตอำเภอเขมราฐ(ปัจจุบันอยู่ในเขตอำเภอโพธิ์ไทร) ชีทั้ง3ปักกลดบำเพ็ญเพียรอยู่บนเขานั้นนานนับ10วัน คืนวันที่10นั่นเอง เสือโคร่ง5-6ตัวเข้ามาหาชีทั้ง3 เสือตัวหนึ่งท่าทางเหมือนจ่าฝูง เข้าใกล้ยายชีนวลที่สุด มันลงนั่งจ้องหน้า ยกฝ่าเท้าข้างหนึ่งด้วอาการเหมือนจะตะปรบเหยื่อ ยายชีนวลก็เอื้อมฝ่ามืออกไปตบเบาๆที่หัวเสือจ่าฝูง เสือก็หยุดกึก แล้วหันหลังกลับออกไปจากบริเวณนั้นทั้งหมดวันรุงขึ้นเพื่อนชีองค์หนึ่งเข้าใจว่าเป็นแม่ชีเที่ยง กลัวเสือที่ปรากฏตัวเมื่อคืนจนถึงกับล้มป่วย ต่อมาไม่นานก็เสียชีวิต บิดาของยายชีนวลทราบข่าว ได้ติดตามเอาตัวยายชีกลับบ้านขอร้องให้สึก อ้างเหตุผลไม่มีใครช่วยทำนา ยายชีนวลจึงยอมสึก

    หลังจากที่ได้สึกชีออกมาช่วยงานครอบครัวไม่นาน นายอาจ ผลทวี ได้มาติดพันชอบพอยายชี ออกปากขอแต่งงาน ยายชีไม่ขัดข้องแต่มีข้อแม้ที่ถือเป็นข้อตกลงว่า หากยายชีอยากจะไปวัด หรือไปปฏิบัติธรรมที่ไหน เมื่อไหร่ จะไปทันที ไม่ขออนุญาต ไม่บอกล่วงหน้า และอย่าได้ห้ามเสียให้ยาก นายอาจรับปากตกลง ชีวิตหลังแต่งงานยายชีนวลยังประพฤติตนอยู่ในศีลในธรรม คือรักษาศีล5บริสุทธิ์ตลอด มีลูกทั้งหมด4คน ชาย2หญิง2 ลูกๆต่างรับรองว่าแม่(ยายชี)ไม่เคยฆ่าสัตว์ แม้มดหรือยุงก็ละเว้นไม่ล่วงเกินชีวิตสัตว์เหล่านั้น ระหว่างมีครอบครัวมีลูกมีเต้า ยายชีไปธุดงค์กับสำเร็จตันบ่อยๆ ออกปฏิบัติธรรมร่วมกัน ในป่าเขาและสถานที่กันดารน่ากลัวแทบทุกแห่ง เรียกว่าไม่เคยลืมความเป็นนักบวช ความองอาจกล้าหาญของยายชีไม่ได้เป็นรองสำเร็จตัน

    ปี2522 ขณะมีอายุได้ 69ปี ยายชีบอกกับนายอาจผู้เป็นสามี รวมทั้งลูกๆว่า“จะออกบวชเป็นชีอีก อยากพ้นทุกข์ พ้นวัฏสงสาร”แล้วออกจากบ้านหายสาบสูญไปอีกลูกหลานเล่าว่ายายชีเมื่ออกธุดงค์ ไม่เคยพกพาสมบัติเงินทองติดตัว มีแค่ย่ามใบเดียว กับผ้าขาวหุ้มตัวชุดเดียว ไม่มีแม้เอกสารหลักประจำตัว เรียกว่าไปตัวเปล่าจริงๆ ราวๆปี2526จึงได้ข่าวว่ามีสถานที่2แห่งที่ยายชีปรากฏตัวไปมาบ่อยๆคือระหว่างถ้ำค้อในเขต อ.โขงเจียมกับวัดดอนม่วง บ.ดอนรังกา อ.ตาลสุม จ.อุบลราชธานีพอดีกับนายอาจผู้เป็นสามีป่วยหนัก ลูกๆตามไปหาแล้วแจ้งอาการป่วยของนายอาจที่ถ้ำค้อ แต่ยายชีบอกว่า“แม่ไม่ใช่หมอ ถึงไปดูก็ช่วยให้หายป่วยไม่ได้”ต่อมาไม่นานนายอาจ ผลทวีผู้สามีก็ถึงแก่กรรม

    หลังจากนั้นยายชีก็หายสูญข่าวคราวไปอีก ไม่มีใครรู้ว่าไปไหน อยู่ที่ใด นานๆก็โผล่มาเยี่ยมลูก นานๆก็หายตัวไป เป็นปกติการติดตามหาตัวยายชีเป็นไปได้ยาก เนื่องจากความไม่อยู่ติดที่ ไม่อยู่ที่ใดนานๆเรื่องนี้มีผู้รับฟังคำอธิบายจากยายชีและสังเกตเห็นข้อเท็จจริงอันนี้ที่ใดมีคนเกลียดมากๆยายชีจะอยู่นานเป็นพิเศษ ที่ใดคนรักนับถือมากๆยายชีจะออกจากที่นั่นไปโดยเร็วสถานที่ซึ่งมีคนเกลียดจะอยู่จนกระทั่งคลายทิฏฐิมานะของผู้คนได้สำเร็จ เกลียดกลายเป็นรักและนับถือเมื่อไหร่ จะจากไปเมื่อนั้นหลายแห่งที่ผู้คนร้องไห้อาลัย อ้อนวอนให้อยู่ต่อไป ยายชีก็จะบอกธรรม1ข้อ

    “อนิจจังไม่เที่ยง มีพบก็มีพราก”

    ปี2534ยายชีนวลปรากฏตัวที่วัดภูน้อย (บ.น้ำวุ้น ต.แก่งเค็ง อ.กุดข้าวปุ้นจ.อุบลราชธานี) ซึ่งยายชีเคยมาร่วมสร้างเอาไว้กับพระอาจารย์หมุนพร้อมด้วยชาวบ้านญาติโยม การย้อนกลับมาครั้งนี้ทำความสลดใจให้ยายชีเป็นอันมาก ด้วยวัดอยู่สภาพรกร้างเสื่อมโทรม เป็นเหตุให้เกิดสังเวชสงสารญาติโยมที่เขามีศรัทธาร่วมสร้างถวาย แต่กลับไม่มีพระเณรอยู่อาศัย ทั้งไม่มีใครดูแลรักษา จึงตัดสินใจพำนักอยู่ที่นั่นตามลำพังคนเดียว ชาวบ้านเล่าว่ายายชีมาอยู่วัดภูน้อยสมัยแรกนั้น ไม่ค่อยมีใครได้เห็นตัว นานๆจะเห็นลงจากเขามาบิณฑบาตที เรื่องนี้ยายชีได้กรุณาอธิบายให้ฟังในภายหลังว่า “สงสารชาวบ้าน ลำพังการหาอยู่หากินก็ลำบากพอ ไม่อยากรบกวนเขามากเกินไป ได้อาหารเขาแล้วก็เว้นเสียบ้าง หาเก็บใบไม้มาหั่นกินเอาพอบรรเทาหิว ก็พออยู่ได้หรอก” (หั่นใบไม้กิน-ในความหมายของอีสาน บางคนว่าเสกใบไม้กิน)

    หลังจากนั้นข้าวปลาอาหารก็อุดมสมบูรณ์ด้วยว่าผู้คนพากันหลั่งไหลเข้าไป วัดร้างก็กลับมารุ่งเรืองอีกครั้งหนึ่งเพียงเวลาไม่นานปีทั้งพระทั้งโยมจากทางใกล้ทางไกล เดินทางมาร่วมบุญบูรณวัด ทั้งปฏิบัติและสนทนาธรรมกับยายชีจนเป็นที่เลื่องลือ ต่างอัศจรรย์ใจในตัวยายชีที่เป็นหญิงชราปานนี้ยังมีวัตรปฏิบัติเคร่งครัดน่าเลื่อมใส ถึงกับว่ามีพระหลายรูปมาฝากตัวเป็นศิษย์

    ถึงปี2539 วัดภูน้อยมีไฟฟ้าและน้ำใช้สะดวกดีแล้ว มีพระเณรอยู่ประจำ มีชาวบ้านศรัทธาค้ำจุนแน่นหนาแล้ว ยายชีนวลก็อำลาท่ามกลางความอาลัยของทุกคนยายชีนวลมุ่งหน้าสู่ภูฆ้องคำ บ.ดงตาหวาน ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากวัดภูน้อย เพียงเป็นเขาคนละลูก หมู่บ้านคนละหมู่ภูฆ้องคำเวลานั้นเป็นที่พักสงฆ์รกร้างเช่นเดียวกับภูน้อย มีกุฏิถูกไฟไหม้อยู่หลังเดียว ยังไม่มีศาลา ไม่มีห้องสุขา กันดาร แห้งแล้ง ไม่มีน้ำดื่มน้ำใช้ ไม่มีแม้กระทั่งทางเข้าถึงโดยสะดวก อาศัยชาวบ้านช่วยกันเบิกทางให้ พอได้สัญจรไปมา ในเบื้องแรกยายชีต้องปักกลดอาศัยอยู่ไปก่อน โดยมีชาวบ้านช่วยกันส่งข้าวน้ำให้พอประทังชีวิตไม่นานภูฆ้องคำก็ฟื้นคืนสภาพ ชาวบ้านดงตาหวานและจากทุกสารทิศ ทั้งทางใกล้ทางไกลต่างร่วมแรงร่วมใจกันก่อสร้างศาลา1หลัง กุฏิ6หลัง ห้องน้ำห้องสุขา5ห้อง ทั้งยังสร้างเจดีย์เล็กๆบนยอดเขา รวมทั้งพระประธานองค์ใหญ่ไว้ด้วยยายชีนวลพำนักอยู่ภูฆ้องตั้งแต่บัดนั้นจนบัดนี้ตามลำพังคนเดียว ไม่มีพระเณรอยู่ประจำ ถ้ามีก็แค่อาศัยอยู่ชั่วครั้งชั่วคราว สุดท้ายยังเป็นยายชีอยู่อย่างถาวร ค่อนข้างแน่ใจว่าที่นี่คือสถานที่พักพิงสุดท้ายของยายชี

    ยายชีผู้ทรงค่าควรแก่การเลื่อมใส

    งูกัดก็ต้องภาวนาตาย
    ยายชีถูกงูเห่ากัด ก่อนถูกงูเห่ากัด ฝันว่าพระพุทธรูปองค์ใหญ่ลอยมา พอรุ่งขึ้นก็ทำกิจวัตรตามปกติ หุงหาอาหารกินเอง ถ้าแข็งแรงดีอยู่จะไม่ยอมให้ใครทำอาหาร จะต้องทำเองกินเอง ยายชีกินเนื้อสัตว์เพียงแต่น้อย ถ้าใส่หมูก็เรียกว่าใส่วิญญาณหมู เน้นผักเป็นส่วนใหญ่
    หลังกินอาหารแล้วนั่งผักผ่อนอยู่ รู้สึกเจ็บแปลบที่เท้า เห็นงูเห่าอยู่ใกล้ๆแล้วก็ค่อยๆหมดสติไป เมื่อฟื้นขึ้นมาก็เข้ากุฏิปิดประตูเงียบไม่ออกมาตลอดวันและคืน ไม่ยอมให้ใครพาไปหาหมอ คงตั้งใจภาวนาตายอย่างนักปฏิบัติเช้าวันรุ่งขึ้นยายชีก็ไม่ตาย หนำซ้ำแข็งแรงกระปรี้กระเปร่า เดินเหินคล่องแคล่วเป็นพิเศษภายหลังยายชีได้บอกว่า งูที่กัดนั้นไม่ใช่งู แต่เป็นพญากรรม

    เท้าไม่ติดพื้น
    แม้นว่าภูฆ้องคำจะอยู่ไกล กันดาร แต่สานุศิษย์ ผู้เลื่อมใสศรัทธา ก็หลั่งไหลมาไม่ได้ขาด ทั้งทหาร ตำรวจ ชาวบ้านหรือแม้แต่พระเณร ต่างก็มาด้วยเชื่อมั่นในวัตรปฏิบัติของยายชีว่าควรค่าแก่การมาสักการะและปรึกษาข้อธรรม พระอาจารย์หน่อย(ไม่ทราบชื่อ ฉายา)เจ้าอาวาสวัดบ้านยาง อ.ดอนมดแดง จ.อุบลฯ เล่าว่า เคยเห็นยายชีเดินจงกรมโดยที่เท้าไม่ติดพื้น เกิดความอัศจรรย์ใจอย่างบอกไม่ถูก

    ตั้งแต่ปี2552เป็นต้นมา ยายชีนวลสุขภาพไม่ดี ด้วยเหตุว่าชราภาพมากแล้วลูกหลานจึงขอให้ย้ายออกจากวัดภูฆ้องคำ อ.กุดข้าวปุ้น มาอยู่วัดบ้านนาทม อ.ตาลสุม ซึ่งเป็นบ้านเกิด
    ต่อมาลูกหลานเห็นว่าการดูแลปรนนิบัติยายชีที่พำนักอยู่วัดนั้น เป็นความยากลำบาก จึงขอให้ยายชีกลับมาพักที่บ้านลูกสาว ยายชีก็อยู่ที่นั่นตลอดมา ระหว่างต้นปี2553มาจนถึงเดือนกรกฎาคมปี2554 ยายชีป่วยหนักเข้าออกโรงพยาบาลเป็นว่าเล่นสุดท้ายก็พักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลเป็นการถาวร

    ช่วงกลางเดือนมิถุนายน ยายชีกลับเข้าโรงพยาบาลอีกเป็นครั้งสุดท้ายอาการหนัก ต้องมีเครื่องมือช่วยพยุงสังขาร เคยหมดลมไปครั้งหนึ่ง หมอสามารถปั๊มพ์หัวใจเอาชีวิตยายชีกลับคืนมาได้ประมาณ 1 เดือนในโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ ยายชีก็สิ้นลม เมื่อเวลาประมาณตีสาม ของคืนวันที่ 21 กค.2554

    สาเหตุของการเสียชีวิตเกิดจากสังขารที่ชราภาพแล้ว อวัยวะภายในเสื่อมสภาพตามอายุใช้งานตับ ไต หัวใจและปอด รวมทั้งระบบเลือดทั้งระบบเสียหาย ประมาณอายุยายชี นับถึงวันสิ้นลมราวๆ 106 ปี

    ศพถูกนำไปตั้งบำเพ็ญกุศลที่วัดบ้านนาทม อ.ตาลสุม จ.อุบลราชธานี เป็นเวลา3วัน จึงทำการฌาปนกิจในเวลาบ่าย4โมงเย็นของวันที่ 24 กค.2554

    พิธีเผาศพยายชีนวล ทำง่ายๆแบบโบราณ คือเผากันกลางแจ้ง โดยมีผู้มาร่วมพิธีเผาศพเป็นจำนวนมาก ในการฌาปนกิจครั้งนี้ ยายชีสั่งการไว้ก่อนตายหลายประการ แต่ไม่ได้ปฏิบัติตามทุกอย่าง จึงเกิดปัญหามากมายกว่าจะเผาได้สำเร็จ (ยายอนุญาตแค่ 3คนเท่านั้น ที่จะเป็นผู้จุดไฟเผาศพยายชี คือ คุณนก(หลานสาว),คุณแก๋(หลานชาย)และคุณกบ(หลานชาย)หากไม่ใช่3คนนี้ เป็นคนอื่นจุดไฟ จะเผาศพยายชีไม่ไหม้)

    เห็นจะมีเพียงประการเดียวเท่านั้นที่ทางวัดดำเนินตามสั่ง นั่นคือระงับการวางดอกไม้จันทน์
    ยายชีสั่งการเรื่องนี้ไว้ว่า "ศพข้อยไม่ให้วางดอกไม้จันทน์ ให้วางไม้มุจลินท์(ไม้จิก)แทน"
    แต่เรื่องที่ยายชีสั่งไม่ให้มีการประดับแต่งเมรุนั้น ห้ามศรัทธาของเหล่าศิษย์ไม่ได้ทางวัดจึงอนุโลมให้มีการประดับดอกไม้และคลุมผ้าขาวพอสมควร

    หลังจากศพไหม้ไฟแล้ว ก็ถึงขั้นตอนการเก็บอัฐิ เกิดจราจล ไม่สามารถควบคุมสถานะการณ์ได้ทั้งพระทั้งเณรและญาติโยมกรูกันเข้าแย่งกันเก็บอัฐิยายชีจนหมดลูกหลานเก็บไว้ได้เพียงส่วนหนึ่ง ส่วนที่เก็บไว้นี้ตั้งใจจะสร้างธาตุอัฐิทับบริเวณที่เผา แล้วเอาอัฐิส่วนนี้บรรจุไว้

    "บทความคุณอำพล เจน"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 ธันวาคม 2019
  6. พื้นทราย

    พื้นทราย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2015
    โพสต์:
    755
    ค่าพลัง:
    +639
    ขอจองครับ
     
  7. studio214

    studio214 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    654
    ค่าพลัง:
    +705
    รายการที่ 055 เหรียญหล่อรูปเหมือนคุณยายชีนวล แสงทอง เนื้อสัตตโลหะ หลังเกศา ปฐวีธาตุ หลังกลองก้องโลก
    ปิดรายการ

    20190819_211504.jpg Screen Shot 2562-08-19 at 8.38.27 PM.png


    20190819_211548.jpg 20190819_211504.jpg 20190819_211608.jpg

    วัตถุมงคลคุณยายเด่นมากเรื่องเมตตา ของอธิษฐานส่วนใหญ่ให้ไว้ใช้เพื่อดำเนินชีวิตทางโลกได้คล่องตัว เมตตา โภคทรัพย์ หนังกลองก้องโลกที่บรรจุหลังเหรียญเป็นของอธิษฐานที่ท่านทำไว้และมีประสบการณ์สูงมากๆ

    เหรียญหล่อรูปเหมือนคุณยายชีนวล แสงทอง บ้านนาทมใต้ อ.ตาลสุม จ. อุบลราชธานี สร้างโดยคุณอำพล เจน เนื้อสัตตโลหะ มวลสารทุกอย่างมีครบถ้วนเช่นเดียวกับเนื้อธรรมดา เพิ่มเติมหนังกลองก้องโลกกับปฐวีธาตุที่บดแล้วเป็นพิเศษ เนื่องจาก ๒ สิ่งนี้มีน้อย จึงเอาไว้ในเนื้อพิเศษเท่านั้น

    คุณยายชีนวล แสงทอง พระอริยะสาวิกาแห่ง บ้านนาทมใต้ อ.ตาลสุม จ. อุบลราชธานี

    ชาติกำเนิดเกิดวันศุกร์ ไม่ทราบวันที่และเดือน คงอาศัยเค้าจากปีเกิดหลวงปู่สวน วัดนาอุดม(8 ก.ย. 2453) ด้วยว่าทั้งหลวงปู่สวนและยายชีเกิดปีเดียวกัน ยายชีเป็นน้องแค่เดือน

    เรื่องนี้ทราบจากยายคำ แสงทองผู้เป็นน้องหญิงคนที่4ของยายชีว่า สมัยยายชียังเยาว์วัย ป่วยเป็นฝีที่คอ รักษาอย่างไรไม่หาย วันหนึ่งมีหมอธรรมมาชี้แนะว่า มีผู้เดียวที่จะรักษาได้ เป็นพระชื่อว่าครูบาลุน อยู่ภูมะโรง เมืองจำปาศักดิ์ อยากจะหายจงเร่งไปหา ด้วยว่าเวลานั้นท่านชราภาพมากแล้ว อย่านิ่งนอนใจ ช้าไปจะไม่ทันการ จากตรงนี้นั่นเองจึงเป็นจุดหักเหของชีวิตเด็กหญิงคนหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นภายหลังจากที่ได้ดั้นด้นไปจนถึงภูมะโรง

    ในขณะที่เดินทางไปภูมะโรงนั้น บิดาของยายชีกำลังอยู่ในเพศสมณมาแล้ว6พรรษา น่าเชื่อได้ว่าพระภิกษุส่วน(บิดายายชี)ควรเป็นผู้นำพายายชีไปด้วยตนเอง หรือไม่ก็อาศัยผู้รู้จักหนทางที่ไว้วางใจได้ฝากฝังยายชีให้เขาคนนั้นนำพาไป ในการเดินทางไปภูมะโรงคราวโน้นเป็นไปได้ว่าน่าจะมีหลวงปู่สวน ฉนฺทโร วัดนาอุดมร่วมเดินทางไปพร้อมกันด้วย เนื่องจากว่าเป็นคนบ้านเดียวกัน (บ้านนาทม ต.คำหว้า อ.ตาลสุม จ.อุบลราชธานี)

    เมื่อไปถึงภูมะโรงแล้ว ครูบาลุนได้บอกว่าโรคของยายชีจะหายได้ด้วยมโหสถขนานเดียว คือบวชชีรักษาศีลแปดถือพรหมจรรย์ ซึ่งครูบาลุนได้เป็นผู้บวชให้

    น่าแปลกใจอย่างยิ่ง หลวงปู่สวนออกจะให้ความเกรงใจยายชีนวลเป็นพิเศษอาจด้วยเหตุว่ายายชีนวลนั้นสนิทสนมคบหาสำเร็จตันถึงขั้นเรียกหากันว่า”เสี่ยว”สำเร็จตันผู้คงด้วยวัยวุฒิและคุณวุฒิอันบรรดาศิษย์อาจารย์เดียวกันยกย่องนับถือ

    เมื่อครูบาลุนมรณภาพและหมดภาระที่สำนักครูบาลุนแล้ว ยายชีในวัยรุ่นสาวกลับมีความองอาจกล้าหาญออกธุดงค์โดดเดี่ยวปานพระหนุ่มๆสักรูป เดินออกจากจำปาศักดิ์ขึ้นเหนือทะลุเวียงจันทน์ข้ามโขงมาฝั่งไทยที่เมืองหนองคาย เข้าอุดรธานี ย้อนมาสกลนคร ผ่านธาตุพนม สู่อำเภอเขมราฐจนกระทั่งถึงบ้านเกิดบ้านนาทม

    พำนักอยู่บ้านเกิดไม่นาน ได้เพื่อนชีสาวอีก2คือแม่ชีเที่ยง(ไม่ทราบนามสกุล)กับแม่ชีอีกองค์หนึ่งไม่ทราบชื่อ ชวนกันออกธุดงค์ไปจนถึงภูสามส่วม เขตอำเภอเขมราฐ(ปัจจุบันอยู่ในเขตอำเภอโพธิ์ไทร) ชีทั้ง3ปักกลดบำเพ็ญเพียรอยู่บนเขานั้นนานนับ10วัน คืนวันที่10นั่นเอง เสือโคร่ง5-6ตัวเข้ามาหาชีทั้ง3 เสือตัวหนึ่งท่าทางเหมือนจ่าฝูง เข้าใกล้ยายชีนวลที่สุด มันลงนั่งจ้องหน้า ยกฝ่าเท้าข้างหนึ่งด้วอาการเหมือนจะตะปรบเหยื่อ ยายชีนวลก็เอื้อมฝ่ามืออกไปตบเบาๆที่หัวเสือจ่าฝูง เสือก็หยุดกึก แล้วหันหลังกลับออกไปจากบริเวณนั้นทั้งหมดวันรุงขึ้นเพื่อนชีองค์หนึ่งเข้าใจว่าเป็นแม่ชีเที่ยง กลัวเสือที่ปรากฏตัวเมื่อคืนจนถึงกับล้มป่วย ต่อมาไม่นานก็เสียชีวิต บิดาของยายชีนวลทราบข่าว ได้ติดตามเอาตัวยายชีกลับบ้านขอร้องให้สึก อ้างเหตุผลไม่มีใครช่วยทำนา ยายชีนวลจึงยอมสึก

    หลังจากที่ได้สึกชีออกมาช่วยงานครอบครัวไม่นาน นายอาจ ผลทวี ได้มาติดพันชอบพอยายชี ออกปากขอแต่งงาน ยายชีไม่ขัดข้องแต่มีข้อแม้ที่ถือเป็นข้อตกลงว่า หากยายชีอยากจะไปวัด หรือไปปฏิบัติธรรมที่ไหน เมื่อไหร่ จะไปทันที ไม่ขออนุญาต ไม่บอกล่วงหน้า และอย่าได้ห้ามเสียให้ยาก นายอาจรับปากตกลง ชีวิตหลังแต่งงานยายชีนวลยังประพฤติตนอยู่ในศีลในธรรม คือรักษาศีล5บริสุทธิ์ตลอด มีลูกทั้งหมด4คน ชาย2หญิง2 ลูกๆต่างรับรองว่าแม่(ยายชี)ไม่เคยฆ่าสัตว์ แม้มดหรือยุงก็ละเว้นไม่ล่วงเกินชีวิตสัตว์เหล่านั้น ระหว่างมีครอบครัวมีลูกมีเต้า ยายชีไปธุดงค์กับสำเร็จตันบ่อยๆ ออกปฏิบัติธรรมร่วมกัน ในป่าเขาและสถานที่กันดารน่ากลัวแทบทุกแห่ง เรียกว่าไม่เคยลืมความเป็นนักบวช ความองอาจกล้าหาญของยายชีไม่ได้เป็นรองสำเร็จตัน

    ปี2522 ขณะมีอายุได้ 69ปี ยายชีบอกกับนายอาจผู้เป็นสามี รวมทั้งลูกๆว่า“จะออกบวชเป็นชีอีก อยากพ้นทุกข์ พ้นวัฏสงสาร”แล้วออกจากบ้านหายสาบสูญไปอีกลูกหลานเล่าว่ายายชีเมื่ออกธุดงค์ ไม่เคยพกพาสมบัติเงินทองติดตัว มีแค่ย่ามใบเดียว กับผ้าขาวหุ้มตัวชุดเดียว ไม่มีแม้เอกสารหลักประจำตัว เรียกว่าไปตัวเปล่าจริงๆ ราวๆปี2526จึงได้ข่าวว่ามีสถานที่2แห่งที่ยายชีปรากฏตัวไปมาบ่อยๆคือระหว่างถ้ำค้อในเขต อ.โขงเจียมกับวัดดอนม่วง บ.ดอนรังกา อ.ตาลสุม จ.อุบลราชธานีพอดีกับนายอาจผู้เป็นสามีป่วยหนัก ลูกๆตามไปหาแล้วแจ้งอาการป่วยของนายอาจที่ถ้ำค้อ แต่ยายชีบอกว่า“แม่ไม่ใช่หมอ ถึงไปดูก็ช่วยให้หายป่วยไม่ได้”ต่อมาไม่นานนายอาจ ผลทวีผู้สามีก็ถึงแก่กรรม

    หลังจากนั้นยายชีก็หายสูญข่าวคราวไปอีก ไม่มีใครรู้ว่าไปไหน อยู่ที่ใด นานๆก็โผล่มาเยี่ยมลูก นานๆก็หายตัวไป เป็นปกติการติดตามหาตัวยายชีเป็นไปได้ยาก เนื่องจากความไม่อยู่ติดที่ ไม่อยู่ที่ใดนานๆเรื่องนี้มีผู้รับฟังคำอธิบายจากยายชีและสังเกตเห็นข้อเท็จจริงอันนี้ที่ใดมีคนเกลียดมากๆยายชีจะอยู่นานเป็นพิเศษ ที่ใดคนรักนับถือมากๆยายชีจะออกจากที่นั่นไปโดยเร็วสถานที่ซึ่งมีคนเกลียดจะอยู่จนกระทั่งคลายทิฏฐิมานะของผู้คนได้สำเร็จ เกลียดกลายเป็นรักและนับถือเมื่อไหร่ จะจากไปเมื่อนั้นหลายแห่งที่ผู้คนร้องไห้อาลัย อ้อนวอนให้อยู่ต่อไป ยายชีก็จะบอกธรรม1ข้อ

    “อนิจจังไม่เที่ยง มีพบก็มีพราก”

    ปี2534ยายชีนวลปรากฏตัวที่วัดภูน้อย (บ.น้ำวุ้น ต.แก่งเค็ง อ.กุดข้าวปุ้นจ.อุบลราชธานี) ซึ่งยายชีเคยมาร่วมสร้างเอาไว้กับพระอาจารย์หมุนพร้อมด้วยชาวบ้านญาติโยม การย้อนกลับมาครั้งนี้ทำความสลดใจให้ยายชีเป็นอันมาก ด้วยวัดอยู่สภาพรกร้างเสื่อมโทรม เป็นเหตุให้เกิดสังเวชสงสารญาติโยมที่เขามีศรัทธาร่วมสร้างถวาย แต่กลับไม่มีพระเณรอยู่อาศัย ทั้งไม่มีใครดูแลรักษา จึงตัดสินใจพำนักอยู่ที่นั่นตามลำพังคนเดียว ชาวบ้านเล่าว่ายายชีมาอยู่วัดภูน้อยสมัยแรกนั้น ไม่ค่อยมีใครได้เห็นตัว นานๆจะเห็นลงจากเขามาบิณฑบาตที เรื่องนี้ยายชีได้กรุณาอธิบายให้ฟังในภายหลังว่า “สงสารชาวบ้าน ลำพังการหาอยู่หากินก็ลำบากพอ ไม่อยากรบกวนเขามากเกินไป ได้อาหารเขาแล้วก็เว้นเสียบ้าง หาเก็บใบไม้มาหั่นกินเอาพอบรรเทาหิว ก็พออยู่ได้หรอก” (หั่นใบไม้กิน-ในความหมายของอีสาน บางคนว่าเสกใบไม้กิน)

    หลังจากนั้นข้าวปลาอาหารก็อุดมสมบูรณ์ด้วยว่าผู้คนพากันหลั่งไหลเข้าไป วัดร้างก็กลับมารุ่งเรืองอีกครั้งหนึ่งเพียงเวลาไม่นานปีทั้งพระทั้งโยมจากทางใกล้ทางไกล เดินทางมาร่วมบุญบูรณวัด ทั้งปฏิบัติและสนทนาธรรมกับยายชีจนเป็นที่เลื่องลือ ต่างอัศจรรย์ใจในตัวยายชีที่เป็นหญิงชราปานนี้ยังมีวัตรปฏิบัติเคร่งครัดน่าเลื่อมใส ถึงกับว่ามีพระหลายรูปมาฝากตัวเป็นศิษย์

    ถึงปี2539 วัดภูน้อยมีไฟฟ้าและน้ำใช้สะดวกดีแล้ว มีพระเณรอยู่ประจำ มีชาวบ้านศรัทธาค้ำจุนแน่นหนาแล้ว ยายชีนวลก็อำลาท่ามกลางความอาลัยของทุกคนยายชีนวลมุ่งหน้าสู่ภูฆ้องคำ บ.ดงตาหวาน ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากวัดภูน้อย เพียงเป็นเขาคนละลูก หมู่บ้านคนละหมู่ภูฆ้องคำเวลานั้นเป็นที่พักสงฆ์รกร้างเช่นเดียวกับภูน้อย มีกุฏิถูกไฟไหม้อยู่หลังเดียว ยังไม่มีศาลา ไม่มีห้องสุขา กันดาร แห้งแล้ง ไม่มีน้ำดื่มน้ำใช้ ไม่มีแม้กระทั่งทางเข้าถึงโดยสะดวก อาศัยชาวบ้านช่วยกันเบิกทางให้ พอได้สัญจรไปมา ในเบื้องแรกยายชีต้องปักกลดอาศัยอยู่ไปก่อน โดยมีชาวบ้านช่วยกันส่งข้าวน้ำให้พอประทังชีวิตไม่นานภูฆ้องคำก็ฟื้นคืนสภาพ ชาวบ้านดงตาหวานและจากทุกสารทิศ ทั้งทางใกล้ทางไกลต่างร่วมแรงร่วมใจกันก่อสร้างศาลา1หลัง กุฏิ6หลัง ห้องน้ำห้องสุขา5ห้อง ทั้งยังสร้างเจดีย์เล็กๆบนยอดเขา รวมทั้งพระประธานองค์ใหญ่ไว้ด้วยยายชีนวลพำนักอยู่ภูฆ้องตั้งแต่บัดนั้นจนบัดนี้ตามลำพังคนเดียว ไม่มีพระเณรอยู่ประจำ ถ้ามีก็แค่อาศัยอยู่ชั่วครั้งชั่วคราว สุดท้ายยังเป็นยายชีอยู่อย่างถาวร ค่อนข้างแน่ใจว่าที่นี่คือสถานที่พักพิงสุดท้ายของยายชี

    ยายชีผู้ทรงค่าควรแก่การเลื่อมใส

    งูกัดก็ต้องภาวนาตาย
    ยายชีถูกงูเห่ากัด ก่อนถูกงูเห่ากัด ฝันว่าพระพุทธรูปองค์ใหญ่ลอยมา พอรุ่งขึ้นก็ทำกิจวัตรตามปกติ หุงหาอาหารกินเอง ถ้าแข็งแรงดีอยู่จะไม่ยอมให้ใครทำอาหาร จะต้องทำเองกินเอง ยายชีกินเนื้อสัตว์เพียงแต่น้อย ถ้าใส่หมูก็เรียกว่าใส่วิญญาณหมู เน้นผักเป็นส่วนใหญ่
    หลังกินอาหารแล้วนั่งผักผ่อนอยู่ รู้สึกเจ็บแปลบที่เท้า เห็นงูเห่าอยู่ใกล้ๆแล้วก็ค่อยๆหมดสติไป เมื่อฟื้นขึ้นมาก็เข้ากุฏิปิดประตูเงียบไม่ออกมาตลอดวันและคืน ไม่ยอมให้ใครพาไปหาหมอ คงตั้งใจภาวนาตายอย่างนักปฏิบัติเช้าวันรุ่งขึ้นยายชีก็ไม่ตาย หนำซ้ำแข็งแรงกระปรี้กระเปร่า เดินเหินคล่องแคล่วเป็นพิเศษภายหลังยายชีได้บอกว่า งูที่กัดนั้นไม่ใช่งู แต่เป็นพญากรรม

    เท้าไม่ติดพื้น
    แม้นว่าภูฆ้องคำจะอยู่ไกล กันดาร แต่สานุศิษย์ ผู้เลื่อมใสศรัทธา ก็หลั่งไหลมาไม่ได้ขาด ทั้งทหาร ตำรวจ ชาวบ้านหรือแม้แต่พระเณร ต่างก็มาด้วยเชื่อมั่นในวัตรปฏิบัติของยายชีว่าควรค่าแก่การมาสักการะและปรึกษาข้อธรรม พระอาจารย์หน่อย(ไม่ทราบชื่อ ฉายา)เจ้าอาวาสวัดบ้านยาง อ.ดอนมดแดง จ.อุบลฯ เล่าว่า เคยเห็นยายชีเดินจงกรมโดยที่เท้าไม่ติดพื้น เกิดความอัศจรรย์ใจอย่างบอกไม่ถูก

    ตั้งแต่ปี2552เป็นต้นมา ยายชีนวลสุขภาพไม่ดี ด้วยเหตุว่าชราภาพมากแล้วลูกหลานจึงขอให้ย้ายออกจากวัดภูฆ้องคำ อ.กุดข้าวปุ้น มาอยู่วัดบ้านนาทม อ.ตาลสุม ซึ่งเป็นบ้านเกิด
    ต่อมาลูกหลานเห็นว่าการดูแลปรนนิบัติยายชีที่พำนักอยู่วัดนั้น เป็นความยากลำบาก จึงขอให้ยายชีกลับมาพักที่บ้านลูกสาว ยายชีก็อยู่ที่นั่นตลอดมา ระหว่างต้นปี2553มาจนถึงเดือนกรกฎาคมปี2554 ยายชีป่วยหนักเข้าออกโรงพยาบาลเป็นว่าเล่นสุดท้ายก็พักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลเป็นการถาวร

    ช่วงกลางเดือนมิถุนายน ยายชีกลับเข้าโรงพยาบาลอีกเป็นครั้งสุดท้ายอาการหนัก ต้องมีเครื่องมือช่วยพยุงสังขาร เคยหมดลมไปครั้งหนึ่ง หมอสามารถปั๊มพ์หัวใจเอาชีวิตยายชีกลับคืนมาได้ประมาณ 1 เดือนในโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ ยายชีก็สิ้นลม เมื่อเวลาประมาณตีสาม ของคืนวันที่ 21 กค.2554

    สาเหตุของการเสียชีวิตเกิดจากสังขารที่ชราภาพแล้ว อวัยวะภายในเสื่อมสภาพตามอายุใช้งานตับ ไต หัวใจและปอด รวมทั้งระบบเลือดทั้งระบบเสียหาย ประมาณอายุยายชี นับถึงวันสิ้นลมราวๆ 106 ปี

    ศพถูกนำไปตั้งบำเพ็ญกุศลที่วัดบ้านนาทม อ.ตาลสุม จ.อุบลราชธานี เป็นเวลา3วัน จึงทำการฌาปนกิจในเวลาบ่าย4โมงเย็นของวันที่ 24 กค.2554

    พิธีเผาศพยายชีนวล ทำง่ายๆแบบโบราณ คือเผากันกลางแจ้ง โดยมีผู้มาร่วมพิธีเผาศพเป็นจำนวนมาก ในการฌาปนกิจครั้งนี้ ยายชีสั่งการไว้ก่อนตายหลายประการ แต่ไม่ได้ปฏิบัติตามทุกอย่าง จึงเกิดปัญหามากมายกว่าจะเผาได้สำเร็จ (ยายอนุญาตแค่ 3คนเท่านั้น ที่จะเป็นผู้จุดไฟเผาศพยายชี คือ คุณนก(หลานสาว),คุณแก๋(หลานชาย)และคุณกบ(หลานชาย)หากไม่ใช่3คนนี้ เป็นคนอื่นจุดไฟ จะเผาศพยายชีไม่ไหม้)

    เห็นจะมีเพียงประการเดียวเท่านั้นที่ทางวัดดำเนินตามสั่ง นั่นคือระงับการวางดอกไม้จันทน์
    ยายชีสั่งการเรื่องนี้ไว้ว่า "ศพข้อยไม่ให้วางดอกไม้จันทน์ ให้วางไม้มุจลินท์(ไม้จิก)แทน"
    แต่เรื่องที่ยายชีสั่งไม่ให้มีการประดับแต่งเมรุนั้น ห้ามศรัทธาของเหล่าศิษย์ไม่ได้ทางวัดจึงอนุโลมให้มีการประดับดอกไม้และคลุมผ้าขาวพอสมควร

    หลังจากศพไหม้ไฟแล้ว ก็ถึงขั้นตอนการเก็บอัฐิ เกิดจราจล ไม่สามารถควบคุมสถานะการณ์ได้ทั้งพระทั้งเณรและญาติโยมกรูกันเข้าแย่งกันเก็บอัฐิยายชีจนหมดลูกหลานเก็บไว้ได้เพียงส่วนหนึ่ง ส่วนที่เก็บไว้นี้ตั้งใจจะสร้างธาตุอัฐิทับบริเวณที่เผา แล้วเอาอัฐิส่วนนี้บรรจุไว้

    "บทความคุณอำพล เจน"

    มรดกขลังที่-คุณยายชีนวล แสงทอง-ทิ้งไว้ให้ลูกหลานถูกรวบรวมมาไว้ได้พอสมควรบางอย่างไม่เคยรู้เลยว่าคุณยายได้ทำเอาไว้มารู้จักหลังจากคุณยายเสียชีวิตไปแล้วอย่างเช่น
    หนังกลองก้องโลก และ ปฐวีธาตุซึ่งลูกสาวคุณยายเก็บงำรักษาไว้เป็นอย่างดี

    พูดถึงปฐวีธาตุ ดูเหมือนจะธาตุที่ครูบาอาจารย์ผู้ทรงอภิญญามากหลายรูป รู้จักว่าเป็นของดี แม้จะเป็นเพียงกรวดหินไร้ค่าก็ตาม แต่เมื่อทราบว่าคุณยายได้ทำปฐวีธาตุเอาไว้ ย่อมเป็นเรื่องไม่คาดฝัน เป็นเรื่องควรลิงโลดยินดี

    คุณยายได้บอกว่า ปฐวีธาตุมีคุณอนันต์ ปกป้องคุ้มภัยได้ทุกอย่าง โดยเฉพาะภัยที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต

    โดยมากแล้วตราบเท่าเวลาที่ได้รู้จักคุณยาย แน่ใจว่าสรรพสิ่งมงคลที่คุณยายทำขึ้นสงเคราะห์ลูกหลานและผู้นับถือ โดยมากเป็นไปทางเมตตามหาเสน่ห์มหานิยม ท่านว่าคนเราเมื่อไปไหนมาไหนในสังคมดีร้ายอย่างไร หากเขาเมตตารักไคร่เอ็นดูเราแล้ว
    ย่อมมีแต่เรื่องดีๆสำหรับเรา เมื่อไม่มีเรื่องร้ายเกิดขึ้น ความปลอดภัยก็มีแก่ตัวเราด้วย

    ของมงคลมรดกขลังเท่าที่รวบรวมได้และมีอยู่ในมือแล้วมีดังนี้

    ๑/ ผงธูปผสมผงเกษรดอกไม้คุณยายเสกไว้ให้นานมากแล้ว มีคุณครอบทุกอย่าง
    ๒/ สะเก็ดพระจันทร์ มีคุณทางเมตตา
    ๓/ สะเก็ดพระอาทิตย์ มีคุณทางป้องกันภัย
    ๔/ แผ่นหนังกลองก้องโลก มีคุณทางมหานิยม
    ๕/ ยอดว่านปั่นจิต มีคุณทางมหาเสน่ห์
    ๖/ ตะกรุด มีคุณครอบทุกทาง
    ๗/ ปฐวีธาตุมีคุณอนันต์ ครอบคลุมทุกทาง
    ๘/ เกษาของคุณยายชีนวล
    ๙ / เถ้าธุลีอังคารของคุณยายนชีนวล
    ๑๐/ รังไหมนิยม มีคุณทางป้องกันภัย
    ๑๑/ สีผึ้ง มีคุณทางมหานิยม
    ๑๒/ ไม้ถนนกาฝาก มีคุณทางเรียกคน เรียกทรัพย์


    ส่วนที่เป็นโลหะจะหลอมหล่อรวมกันกับเนื้อโลหะ
    ส่วนเป็นผงจะปั๊มพ์เป็นผงฝังไว้ด้านหลัง

    เหรียญหล่อของคุณยายชีนวล แสงทอง ได้เข้ารับการอธิษฐานจิตปลุกเสกตลอดคืนพร้อมกับรูปเหมือนหลวงปู่หา สุภโร รุ่นฉลองอายุ ๙๑ พรรษา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 สิงหาคม 2019
  8. Sarawut007

    Sarawut007 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2018
    โพสต์:
    107
    ค่าพลัง:
    +258
    ผมโอนเงินเข้าบัญชีไปแล้วนะครับ จำนวน1,200 บาทเวลา09.01น.ที่อยู่จัดส่งในกล่องข้อความครับ
     
  9. shaj

    shaj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    7,905
    ค่าพลัง:
    +6,827
    ขอจองครับ
     
  10. studio214

    studio214 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    654
    ค่าพลัง:
    +705
    รายการที่ 056 ศิลาน้ำอธิษฐาน คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม
    ปิดรายการ

    Screen Shot 2562-08-22 at 10.09.04 PM.png Screen Shot 2562-08-22 at 10.23.32 PM.png
    20190819_211150.jpg 20190819_211239.jpg 20190819_211155.jpg Screen Shot 2562-08-22 at 10.06.20 PM.png

    ***รายการนี้ค่าบูชาทั้งหมดใช้ร่วมบุญสร้างโบสถ์กับองค์หลวงปู่บุญส่ง***

    ศิลาน้ำชุดนี้คณะศิษย์ของคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม คณะมหาอุบาสิกาผู้ทรงคุณธรรม ได้นำศิลาน้ำที่คุณแม่บุญเรือนได้อธิษฐานธรรมไว้ มาถวายองค์หลวงปู่บุญส่ง ฐิตสาโร เพื่อเป็นประโยชน์สำหรับคนที่มีศรัทธาอยากจะเก็บไว้บูชาและได้ร่วมสร้างอุโบสถกับองค์ท่าน

    ครั้งนี้จึงนับเป็นโอกาสดี ที่ได้บารมีคุณแม่บุญเรือน และ บารมีหลวงปู่บุญส่ง อีกทางหนึ่งด้วย
    เพราะถ้าบูชาจากที่อื่นก็จะไม่สามารถมั่นใจได้เลยว่าเป็นของที่คุณแม่อธิษฐานไว้

    ศิลาน้ำ คุณแม่บุญเรือน ได้ทำการอธิษฐานไว้เพื่อใช้ป้องกันภัยบางประการ ใช้แทนของอธิษฐานของท่าน เวลาวายชนม์ไปแล้ว ศิลาน้ำของท่านมีความศักดิ์สิทธิ์ มีสรรพคุณครอบจักรวาล มีอานุภาพกันภัย รักษาโรคภัย ตลอดจนคุ้มครองรักษาผู้มีติดตัวไป เมื่อใช้ศิลาน้ำใส่ในน้ำ ก็กลายเป็นน้ำอธิษฐาน ไว้รับประทานแก้และป้องกันโรค ทั้งใช้ป้องกันอันตรายต่าง ๆ ได้ด้วย

    การน้ำอธิษฐานของ คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม
    การเตรียมน้ำ ให้หาน้ำสุกหรือน้ำสะอาดที่ใช้ดื่มได้ ใส่ภาชนะที่มีฝาปิดให้เรียบร้อยมิให้ฝุ่นละอองหรือแมลงลงไปในน้ำได้ การตั้งน้ำแต่ละครั้งให้มีน้ำมากพอที่จะใช้ดื่มได้ตลอดสัปดาห์
    เวลาในการตั้งน้ำ ให้ตั้งวันเสาร์เวลาเช้า ตั้งแต่ ๐๘.๐๐ น. เป็นต้นไป แต่ต้องก่อนบ่ายสองโมงเย็น

    คำอธิษฐาน ตั้งนะโม ๓ จบ แล้วอธิษฐานดังต่อไปนี้
    “ข้าพเจ้าตั้งน้ำไว้ นางบุญเรือนเป็นผู้อธิษฐานธรรมของพระพุทธเจ้า ขอธรรมของพระพุทธเจ้าจงดลบันดาลให้น้ำนี้เป็นยาทิพย์...(นอกจากนี้พูดเอาเองตามความประสงค์)...”

    เวลาที่ใช้ดื่มได้ ตั้งแต่ ๐๘.๐๐ น. ของวันอาทิตย์เป็นต้นไป นำน้ำนั้นมาดื่มได้เป็นน้ำอธิษฐาน ย่อมมีสรรพคุณดังคำอธิษฐานนั่นแล มีลักษณะเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์หรือเป็นยาทิพย์





     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 สิงหาคม 2019
  11. MATHS

    MATHS เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    780
    ค่าพลัง:
    +907
    ขอจองรายการ 056 ศิลาน้ำฯ คุณแม่บุญเรือนครับ
     
  12. studio214

    studio214 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    654
    ค่าพลัง:
    +705
    รายการที่ 057 เหรียญพระอุปคุต พิมพ์เล็ก หลวงปู่นนท์ วราโภ วัดเหนือวน จ.ราชบุรี
    บูชา 550 บาท รวมจัดส่ง

    Screen Shot 2562-08-25 at 10.05.40 PM.png 268_1248686491jpg_184_zps6ae84223.jpg
    20190825_204901.jpg 20190825_204929.jpg 20190825_204941.jpg 20190825_204959.jpg 20190825_205030.jpg


    เหรียญพระอุปคุต รุ่น "มหาสิทธิโชค" เสกไตรมาส ปี 2546
    หลวงปู่นนท์ คือพระมหาเถระองค์หนึ่งที่เชื่อว่าองค์ท่านมีบารมีเกี่ยวข้องกับพระอุปคุต ท่านจึงอธิษฐานจิตเชิญบารมีแห่งองค์พระอุปคุตได้ ทำให้เหรียญมีความศักดิ์สิทธิ์มีประสบการณ์ ความหมายเหมือนคำที่ศิษย์มักจะพูดว่า "หลวงปู่ท่านเสกพระอุปคุตขึ้น"

    หลวงปู่นนท์ ท่านสำเร็จวิชา "นะ อภิญญา" จาก หลวงพ่อเม้ย หรือพระครูเมธีธรรมานุยุต วัดลาดเมธังกร เป็นวิชาสำคัญ เรียนยากมาก น้อยคนนักจะมีโอกาสได้ร่ำเรียน ผู้สอนก็มีอยู่ไม่กี่องค์ และคนที่ศึกษาเล่าเรียนน้อยคนนักจะสามารถสำเร็จได้ ผู้ที่มีวิชานี้ถ้าไม่รักชอบกัน หรือไว้วางใจกันจริงๆแล้ว จะไม่สอนให้กันเด็ดขาด
    "นะ อภิญญา" ที่หลวงปู่นนท์ได้รับการถ่ายทอดศึกษานั้นเป็นวิชาที่ครอบคลุมได้หมดทุก "นะ"
    โดยเฉพาะฤทธานุภาพนั้น กล่าวกันว่า "นะ ครอบจักรวาล หรือ นะ 108" รวมกันแล้วยังไม่เทียบเท่ากับผู้ที่ฝึกฝนปฏิบัติ "นะ อภิญญา" จนเชี่ยวชาญ แต่ผู้ที่จะทำให้สำเร็จได้นั้น จำเป็นต้องมีอารมณ์ที่ละเอียดอ่อนลึกซึ้งยิ่งนัก จึงจะปฏิบัติสำเร็จได้ อารมณ์ที่จะละเอียดอ่อนลึกซึ้งมั่นคงได้นั้น ก็ต้องเกิดจากการปฏิบัติทั้งสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐานอย่างแน่วแน่มั่นคงยิ่งนัก
    ก่อนที่จะรวมตัวกัน"นะ" นั้น ได้ใช้ "อภิญญา" ที่นำมาลงวัตถุมงคล มีอยู่ 6 ประการ
    1.อิทธิวิธา ญาณในการแสดงฤทธิ์ต่างๆนั้น
    2.ทิพพโสต ญาณที่ทำให้มีหูทิพย์
    3.เจโตปริยญาณ ญาณที่กำหนดใจคนอื่นได้
    4.ปุพเพนิวาสานุสสติ ญาณที่ทำให้ระลึกชาติได้
    5.ทิพพจักขุ ญาณที่ทำให้มีตาทิพย์
    6.อาสวักขยญาณ ญาณที่ทำให้อาสวะสิ้นไป
    อภิญญาตั้งแต่ ข้อที่ 1 - 5 เป็นโลกียอภิญญา คือเป็นญาณหรือฤทธิ์ที่เสื่อมได้ ถ้าบุคคลที่ได้ทำไม่ปฏิบัติไม่ถูกต้อง
    ส่วนข้อที่ 6.โลกุตตระอภิญญา เมื่อผู้ปฏิบัติได้บรรลุแล้วจะไม่มีวันเสื่อมคลาย
    บูรพาจารย์ทางคาถาอาคมเมื่อได้อภิญญาทั้ง 6 ข้อแล้ว ท่านจึงนำมาปรุงรวมกันให้เป็นตัว "นะ อภิญญา" ขึ้นมา สำหรับเอาไว้ปลุกเสกวัตถุมงคล

    โบราณจารย์จึงได้กล่าวว่าเป็น นะ ครอบจักรวาล ที่มีอำนาจมหาศาลไม่ว่าจะเป็นเมตตา มหานิยม แคล้วคลาด คงกระพันชาตรี โชคลาภ และมหาอุตม์ ซึ่งมาจาก "นะ อภิญญา" ทั้งสิ้น
    จากกระทู้พระครูวราโภคพินิต (หลวงปู่นนท์ วราโภ) ต.คุ้งน้ำวน อ.เมือง จ.ราชบุรี

    หลวงปู่นนท์ วราโภ (พระครูวราโภคพินิต)” อดีตเจ้าอาวาสวัดเหนือวน ต.คุ้งน้ำวน อ.เมือง จ.ราชบุรี พระเถระชื่อดังที่มีอาวุโสสูงสุดของจังหวัดราชบุรีในสมัยนั้น เป็นพระที่มากไปด้วยความเมตตาปรานี และเป็นศิษย์สายพุทธาคมวัดสัตตนารถปริวัตร และวัดลาดเมธังกร แห่งเมืองราชบุรี ที่มีพระเกจิอาจารย์เรืองวิชาอาคมหลายรูป อาทิ พระพุทธวิริยากร (จิตร) เจ้าของเหรียญพระสงฆ์เหรียญแรกของเมืองไทย, พระพุทธวิริยากร (อินทร์) ฯลฯ นอกจากนี้ท่านยังได้เรียนทางด้านกรรมฐาน บำเพ็ญทางจิตเพื่อเป็นการกำราบกิเลสที่จะเกิดขึ้นกับจิตใจ โดยฝากตัวเรียนกรรมฐานกับ หลวงปู่บุดดา ถาวโร แห่งวัดกลางชูศรีเจริญสุข

    ท่านละสังขารลงอย่างสงบด้วยโรคชรา ในเวลาประมาณ 4 โมงเย็น ของวันพุธที่ 10 มกราคม พ.ศ.2550 สิริอายุรวม 96 ปี 9 เดือน 19 วัน พรรษา 76
     
  13. MATHS

    MATHS เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    780
    ค่าพลัง:
    +907
    โอนรายการ056 ศิลาน้ำ คุณแม่บุญเรือนแล้วครับ รายละเอียดทางpmครับ
     
  14. studio214

    studio214 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    654
    ค่าพลัง:
    +705
    รายการที่ 058 ธนบัตรมหาลาภ หลวงปู่จารมือ หลวงปู่หงษ์ พรหมปัญโญ
    ปิดรายการ

    Screen Shot 2562-09-01 at 1.08.02 PM.png Screen Shot 2562-09-01 at 1.19.55 PM.png

    20190901_114601.jpg 20190901_114609.jpg 20190901_114628.jpg



    ** ได้มาอีกสองสามใบกับลูกศิษย์ใกล้ชิดจึงนำมาแบ่ง รับประกันลายมือหลวงปู่ แนะนำมากๆ หลวงปู่จารเองกับมือท่าน ส่วนตัวผมใช้พกเวลาเดินทางสะดวกมาก เหมือนพกมีดหมอ วิชานี้เฉพาะตัวท่าน ท่านจารฝั่งในหลวงซึ่งน่าจะมีนัยยะบางอย่าง เหมือนได้สองบารมีพระโพธิสัตว์ และกำลังแห่งครูบาอาจารย์ทั้งหมดของหลวงปู่ ที่สำคัญควรจำคาถาสำหรับบูชาด้วยจะดีมาก

    ธนบัตรมหาลาภที่ออกโดยสุสานทุ่งมนจะมีแบบที่หลวงปู่จารเอง และ แบบที่ลูกศิษย์ที่หลวงปู่ครอบให้เป็นคนจาร ใบนี้เป็นลายมือหลวงปู่ น่าบูชามาก ลายมือแท้ๆของหลวงปู่เป็นเอกลักษณ์ ผู้ที่ใกล้ชิดจะทราบและสามารถแยกแยะจดจำลายมือหลวงปู่ได้ พุทธคุณครอบจักรวาล พกพาสะดวกมาก โดยเฉพาะเวลาเดินทาง

    วิชาธนบัตรจารนี้เป็นวิชาที่เป็นเฉพาะองค์หลวงปู่ อักขระที่จารเป็นเฉพาะตัว บางท่านเล่าว่าเป็นวิชาที่หลวงปู่ได้มาทางสมาธิจากผู้มีบุญญาธิการองค์หนึ่ง

    หลวงปู่ท่านมักจะใช้เหรียญและธนบัตรมาจารและเสกเป็นวัตถุมงคล หรือ ประกอบเป็นส่วนหนึ่งของวัตถุมงคล ด้วยเหตุที่จะมีรูปของพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่๙ อันจะได้บารมีขององค์พระโพธิสัตว์ ซึ่งจะสามารถอธิฐานขอบารมีท่านช่วยเหลือได้ ดังนั้นวัตถุมงคลของหลวงปู่ที่สร้างโดยมีธนบัตรหรือเหรียญประกอบอยู่ จะได้บารมีของพระโพธิสัตว์ใหญ่ถึงสององค์

    วิธีใช้ ตั้งนะโม ๓ จบ ภาวนา "นะเมติ ปะจะขะ" ๑๒ จบ หรือ ๑๐๘ จบ หรือตามเวลาเอื้ออำนวย
    หาเงิน ออมเงิน ใช้เงิน เราบูชาเงิน ช่วยให้เงินจะไหลมาเทมา
    • มีอุปสรรค ทุกข์ร้อนใจ ยกธนบัตรหลวงปู่ขึ้นโบก แกว่งไปมาเหนือศรีษะนึกถึงครูบาอาจารย์ บริกรรม "นะเมติ" ครูบาอาจารย์ที่เป็นเทพพรหม จะลงมาช่วย
    • จะค้าขายหรือเรียกโชคลาภ เรียกคนเข้าร้าน เสกธนบัตรแกว่งไปมา หรือแตะข้าวของอธิษฐาน "นะเมติ ปะจะขะ" มีโชคลาภค้าขายดี
    • มีภัยเกิดกับตัว ยกธนบัตร หรือกระเป๋าที่มีวัตถุมงคลขึ้นบนหัว ระลึกถึงครู บริกรรม "นะเมติ" ครูบาอาจารย์จะช่วยกำบังภัย กำบังตน แหวกวงล้อมออกมาได้
    • ขับไล่โรคภัย ขับผี นำธนบัตรปัดไปตามร่างกาย อธิษฐานให้โรคออกจากร่างกาย ภาวนา "นาลาอะระหัง"
    • เดินทางไปในทิศทางใดระลึกถึงครูบาอาจารย์เสกธนบัตรชี้ไปในทิศทางที่จะไปปลอดภัยทุกประการ
    “..แม้ว่าเศษดินเศษหินใบไม้ ในสุสานทุ่งมน ก็ยังขลังหมดลูกหลานเอ๋ย..” อย่ากังขาเลยคนดีมีศีลนำไปใช้ไม่ศักดิ์สิทธิ์หลวงปู่ ขอตายแทนวันละ 100 ครั้ง อานุภาพวัตถุมงคลเจาะจงสร้างไว้แทนกาย ยามเมื่อชีวาวายลับลาศิษย์ ทั้งแก่ผู้มีศรัทธาจำอานุภาพไว้หนาว่าดีได้ 108 ประการ…. มีภัยคุกคามยกวัตถุมงคลขึ้นบังศีรษะ ครูบาอาจารย์ครอบ ศัตรูมองไม่เห็นตัว พระหลวงปู่หงษ์ องค์เล็ก ๆ ภัยอันตรายจะคุกคามให้อมไว้ในปากบังภัย หากจะช่วยใครให้พ้นจากภัยอันตราย ถูกคนร้ายกักขังคุมตัว ให้เขาจับเสื้อต่อ อย่าจับเนื้อตัวจะจับไม่ติด ต่อกันช่วยได้ทีละ 50 คน มีด ปากกา ไม้ครู หากมีทุกร้อน ให้โบก แกว่ง เหนือศีรษะ ภาวนานึกถึงครูบาอาจารย์ ช่วยปัดเป่าให้คลีคลาย หมดเรื่องทุกข์ร้อน เงินทองขัดสนให้แกว่งธนบัตรขวัญถุงเรียกเงิน ภาวนานะเมติ ปะจะขะ ๆ เรียกลาภได้จริง ภาวนา นาลา อะระหัง นำ มีดหมอ ปากกา ไม้ครูหลวงปู่ ปัดโรคภัย คุณไสย ออกจากายได้ เจ็บป่วยไม่มีสาเหตุ เป็นโรคเรื้อรังแตะสีผึ้งละลายน้ำอุ่น มีบาดแผลทาสีผึ้งพุทธคุณ เมื่อใช้จวนหมดเหลือเท่าก้านไม้ขีดก็นำสีผึ้งครูละลายผสมใหม่ได้ 1 แสนตลับยังขลังไม่เสื่อมคลาย.....พุทธคุณเป็นผลกับเฉพาะคนดี ศีล 5 ให้รักษาอย่าผิดคู่ครองตนและเสน่หาคู่ครองคนอื่น อย่าด่าแม่คนหรือสัตว์ เลิกไพ่ไฮโล คาซิโน พาวิบัติ หากินจะติดขัดอย่าได้บ่น ขี้เกียจ จน เหนื่อย ทุกข์มาก ยาก ไม่มี คำพูดไม่ดีจะเป็นไปตามปาก….ขอเจริญพร

    "ให้นึกถึงหลวงปู่ ๆ จะมาช่วยทีเดียวพร้อมกัน 200 กายทิพย์ ช่วยศิษย์พร้อม ๆ กันคราวละ 2000 คน" ...หลวงปู่หงษ์เมตตาเล่าไว้.....วันหน้าถ้าศิษย์ ลูกหลานมีเหตุ เภทภัยนึกถึงหลวงปู่หงษ์ หลวงปู่จะมาช่วยทีละ 200 กายทิพย์ คำกล่าวหลวงปู่เล่าไว้นี้หวังให้เป็นขวัญกำลังใจ เป็นอนุสติ เป็นคำของครูบาอาจารย์ หลวงปู่เล่าไว้เมื่อครั้งหลวงปู่หงษ์ ท่านอาพาธหนักเมื่อปี 52 เมื่อหลวงปู่หงษ์หายจากอาพาธหนักในครั้งนั้น หลวงปู่ได้เล่าว่า ขณะป่วยนั้น..ได้ขึ้นไปเบื้องบนและครูบาอาจารย์หลวงปู่หงษ์ได้พยากรณ์หลวงปู่ว่า บุญกุศลที่บำเพ็ญพุทธภูมิได้เต็มเปี่ยม สมบูรณ์ด้วยบารมี 30 ทัศแล้ว ครูบาอาจารย์ เทพ-พรหม จึงทำพิธีพร้อมกับยกหลวงปู่หงษ์ขึ้นเป็นบรมโพธิสัตว์ และพยากรณ์หลวงปู่หงษ์ พรหมปัญโญ ไว้ว่า...หากละขันธ์ 5 กลับขึ้นมาเบื้องบน สามารถช่วยศิษย์ได้พร้อม ๆ กันทีละ 2000 คน ช่วยศิษย์ 1 คนทีละ 200 กายทิพย์
    ขอขอบคุณบทความ โดย พระศุภกิจ ปภัสสโร

    การบูชาวัตถุมงคลหลวงปู่หงษ์ พรหมปัญโญ “หมั่นไหว้ หมั่นบอก หมั่นขอ”
    อธิฐานบอกกล่าว ขอ…. ถือเป็นหัวใจสำคัญ หลวงปู่หงษ์จะไม่ให้แค่ไหว้กราบเฉย ๆ ท่านว่าประมาท เพราะ กฎของโลกทิพย์ ไม่ขอไม่ให้ ไม่บอกไม่ช่วย ต้องบอกกล่าว…จะให้ช่วยอะไร? คุ้มครองแค่ไหน? เช่น ขอให้ปลอดภัย ขอให้คนเมตตา ขอให้มีลาภ มีเสน่ห์ ขอให้ค้าขายดี อย่าให้มีอุบัติเหตุ เดินทางปลอดภัยทั้งตอนไปตอนกลับ ฯลฯ ถ้าทำได้อย่างนี้ครูบาอาจารย์ก็ช่วยได้เต็มที่ บอกกล่าวแล้วก็ให้ทำใจสบาย ๆ วางเฉย (อุเบกขา) เลิก หวัง เลิกอยากนั้นนี่ เพราะความหวัง ความอยากจะเป็นตัวปิดกั้นผลสำเร็จ เลยคิดว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์บุญกุศลไม่ช่วย เพราะเราไม่เข้าใจกฎของกรรม และ อัตภาพบุญกุศล จะบันดาลผลได้แค่ไหนอย่างไร
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กันยายน 2019
  15. shaj

    shaj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    7,905
    ค่าพลัง:
    +6,827
    ขอจองรายการ058ครับ
     
  16. studio214

    studio214 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    654
    ค่าพลัง:
    +705
    รายการที่ 059 ผ้ายันต์เทวสิงหะ หลวงพ่ออุตตมะ วัดวังก์วิเวการาม
    ปิดรายการ รวมจัดส่ง

    Screen Shot 2562-09-05 at 9.45.57 PM.png

    20190904_212851.jpg 20190904_212858.jpg 20190904_212905.jpg 20190904_212914.jpg หลวงพ่ออุตตมะ (1).jpg

    ผ้ายันต์เทวสิงหะ เป็นของดีที่มีลักษณะเฉพาะของหลวงพ่ออุตตมะ วัดวังก์วิเวการาม อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี ผ้ายันต์รุ่นนี้หลวงพ่อปลุกเสกเป็นอย่างดี เป็นผ้ายันต์ศักดิ์สิทธิ์ตามแบบตำรามอญโบราณแท้ ซึ่งผืนเก่าที่เป็นต้นแบบนั้นหลวงพ่อได้มาตั้งแต่อยู่เมืองมอญ และหลวงพ่อได้นำติดตัวไปธุดงค์มาโดยตลอด ผ้ายันต์นี้สามารถอธิษฐานได้ตามใจปรารถนา โดยมีข้อยกเว้นอยู่ 3 ประการคือ

    1. อธิษฐานขอในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เช่น ขอให้พระอาทิตย์ขึ้นทางตะวันตก
    2. อธิษฐานขอในสิ่งที่เกินวาสนาบารมี
    3. อธิษฐานขอให้กรรมที่ได้กระทำไว้ แล้วกำลังจะตามมาถึงในระยะเวลาอันใกล้ให้ผ่านพ้นไป

    เป็นผ้ายันต์สีเหลือง ขนาดประมาณ 8 x 8 - 9 x9 นิ้ว เป็นอักขระยันต์แบบมอญ มีรูปสิงหเทพประจำอยู่ทั้ง 4 ทิศ เป็นผ้ายันต์ที่มีประสบการณ์สูง ซึ่งลูกศิษย์ใกล้ชิดต่างทราบกันเป็นอย่างดี มักจะใช้ผ้ายันต์รุ่นนี้พับติดกระเป๋าเสื้ออยู่เป็นประจำทุกวันไม่เคยขาด เพราะเชื่อมั่นในความศักดิ์สิทธิ์ของผ้ายันต์รุ่นนี้เป็นอย่างมาก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กันยายน 2019
  17. shaj

    shaj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    7,905
    ค่าพลัง:
    +6,827
    ขอจองครับ
     
  18. studio214

    studio214 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    654
    ค่าพลัง:
    +705
    รายการที่ 060 ศิลาน้ำอธิษฐาน คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม (องค์ที่ 2 สุดท้าย)
    ปิดรายการ

    screen-shot-2562-08-22-at-10-09-04-pm-png.png screen-shot-2562-08-22-at-10-23-32-pm-png.png

    Screen Shot 2562-09-05 at 10.01.49 PM.png
    20190827_231035.jpg 20190827_231127.jpg 20190827_231133.jpg 20190827_231143.jpg 20190827_231149.jpg 20190827_231153.jpg 20190827_231205.jpg 20190827_231224.jpg


    ศิลาน้ำชุดนี้ร่วมบุญมาสององค์ องค์นี้สุดท้ายแล้วครับ
    ***รายการนี้ค่าบูชาทั้งหมดใช้ร่วมบุญสร้างโบสถ์กับองค์หลวงปู่บุญส่ง***


    ศิลาน้ำชุดนี้คณะศิษย์ของคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม คณะมหาอุบาสิกาผู้ทรงคุณธรรม ได้นำศิลาน้ำที่คุณแม่บุญเรือนได้อธิษฐานธรรมไว้ มาถวายองค์หลวงปู่บุญส่ง ฐิตสาโร เพื่อเป็นประโยชน์สำหรับคนที่มีศรัทธาอยากจะเก็บไว้บูชาและได้ร่วมสร้างอุโบสถกับองค์ท่าน

    ครั้งนี้จึงนับเป็นโอกาสดี ที่ได้บารมีคุณแม่บุญเรือน และ บารมีหลวงปู่บุญส่ง อีกทางหนึ่งด้วย
    เพราะถ้าบูชาจากที่อื่นก็จะไม่สามารถมั่นใจได้เลยว่าเป็นของที่คุณแม่อธิษฐานไว้

    ศิลาน้ำ คุณแม่บุญเรือน ได้ทำการอธิษฐานไว้เพื่อใช้ป้องกันภัยบางประการ ใช้แทนของอธิษฐานของท่าน เวลาวายชนม์ไปแล้ว ศิลาน้ำของท่านมีความศักดิ์สิทธิ์ มีสรรพคุณครอบจักรวาล มีอานุภาพกันภัย รักษาโรคภัย ตลอดจนคุ้มครองรักษาผู้มีติดตัวไป เมื่อใช้ศิลาน้ำใส่ในน้ำ ก็กลายเป็นน้ำอธิษฐาน ไว้รับประทานแก้และป้องกันโรค ทั้งใช้ป้องกันอันตรายต่าง ๆ ได้ด้วย

    การน้ำอธิษฐานของ คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม
    การเตรียมน้ำ ให้หาน้ำสุกหรือน้ำสะอาดที่ใช้ดื่มได้ ใส่ภาชนะที่มีฝาปิดให้เรียบร้อยมิให้ฝุ่นละอองหรือแมลงลงไปในน้ำได้ การตั้งน้ำแต่ละครั้งให้มีน้ำมากพอที่จะใช้ดื่มได้ตลอดสัปดาห์
    เวลาในการตั้งน้ำ ให้ตั้งวันเสาร์เวลาเช้า ตั้งแต่ ๐๘.๐๐ น. เป็นต้นไป แต่ต้องก่อนบ่ายสองโมงเย็น

    คำอธิษฐาน ตั้งนะโม ๓ จบ แล้วอธิษฐานดังต่อไปนี้
    “ข้าพเจ้าตั้งน้ำไว้ นางบุญเรือนเป็นผู้อธิษฐานธรรมของพระพุทธเจ้า ขอธรรมของพระพุทธเจ้าจงดลบันดาลให้น้ำนี้เป็นยาทิพย์...(นอกจากนี้พูดเอาเองตามความประสงค์)...”

    เวลาที่ใช้ดื่มได้ ตั้งแต่ ๐๘.๐๐ น. ของวันอาทิตย์เป็นต้นไป นำน้ำนั้นมาดื่มได้เป็นน้ำอธิษฐาน ย่อมมีสรรพคุณดังคำอธิษฐานนั่นแล มีลักษณะเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์หรือเป็นยาทิพย์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 กันยายน 2019
  19. สักการะ

    สักการะ ชิวิตดั่งอาทิตย์อัศดง สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,690
    ค่าพลัง:
    +5,780
    ขอบูชาครับ
     
  20. studio214

    studio214 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    654
    ค่าพลัง:
    +705
    รายการที่ 161 ประคำเนื้อไม้แบบหัวขุนรูปหลวงพ่ออุตตมะ วัดวังก์วิเวการาม
    บูชา 690 บาท รวมจัดส่ง

    Screen Shot 2562-09-08 at 9.28.25 PM.png หลวงพ่ออุตตมะ (1).jpg

    20190908_204946.jpg 20190908_204953.jpg 20190908_205003.jpg 20190908_205008.jpg 20190908_205042.jpg


    ประคำลักษณะนี้พิเศษตรงที่หัวขุนเป็นรูปหลวงพ่อ จึงมีความชัดเจนและมั่นใจได้ว่าเป็นประคำ
    ของหลวงพ่อแน่นอน ถ้าเป็นประคำไม้ธรรมดา จะดูยากมากๆ หรือแทบดูไม่ได้เลย เพราะประคำแบบลักษณะประคำมอญนั้น ในสมัยนั้นมีหลายวัดมากๆที่สั่งมาแจกผู้ร่วมบุญ หรือขายกันเป็นตามร้านขายของที่ระลึกก็ยังมี *** พิเศษเส้นนี้มี 116 เม็ด ***


    ประคำเป็นวัตถุมงคลที่มีชื่อเสียงของหลวงพ่ออุตตมะมาเป็นเวลาเนิ่นนานหลายสิบปีมาแล้ว ตั้งแต่เมื่อครั้งที่หลวงพ่ออุตตมะเข้ามาอยู่ในเมืองไทยใหม่ ๆ หลวงพ่อท่านก็ได้นำประคำมาแจกให้กับผู้ที่ไปกราบนมัสการท่าน นอกจากจะให้ช่วยปกป้องคุ้มครองตัว และเป็นเมตตามหานิยมแล้ว ยังมีนัยเพื่อให้เป็นเครื่องระลึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ และพระสังฆคุณ หรือคุณพระศรีรัตนตรัยอีกด้วย เพื่อให้ผู้ที่ได้รับประคำไปนั้นมุ่งมั่นกระทำแต่ความดีตามรอยบาทพระศาสดา

    พระเดชพระคุณหลวงพ่ออุตตมะสอนให้ภาวนาโดยนับลูกประคำ ๑๐๘ เม็ด ด้วยคาถาบูชาพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ คือให้กล่าวคาถาว่า
    “นะ โม พุท ธา ยะ ยะ ธา พุท โม นะ มะ อะ อุ อุ อะ มะ” พร้อมนับลูกประคำทีละเม็ด จนครบ ๓ รอบลูกประคำแล้ว จึงภาวนาว่า “พุทโธ พุทโธๆ” พร้อมนับลูกประคำ หากภาวนาครบ ๑๐ รอบ จักเป็นมหากุศล

    “นะ โม พุท ธา ยะ” คือพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ในกัปนี้ “นะ”คือพระกกุสันโธพุทธเจ้า “โม”คือพระโกนาดมพุทธเจ้า “พุท”คือพระกัสสปพุทธเจ้า “ธา”คือพระศากยพุทธเจ้า “ยะ”คือพระศรีอาริยเมตไตรย “มะ อะ อุ”คือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

    นะกาโร กะกุสันโธ จะ โมกาโร โกนาคะมะโน
    พุทกาโร กัสสะโป พุทโธ ธากาโร สักกะยะปุงคะโว
    ยะกาโร อะริยะเมตเตยโย ปัญจะพุทธา นะมามิหัง

    การกล่าวคาถาเป็นการรำลึกถึงพระคุณอันยิ่งใหญ่ของพระพุทธเจ้าและพระรัตนตรัยอันเป็นที่พึ่ง เมื่อกล่าวคาถาพร้อมนับลูกประคำแล้ว ให้ตั้งจิตอธิษฐานเพื่อความดีงามอันเป็นสิริมงคลแก่ตนสืบไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กุมภาพันธ์ 2020

แชร์หน้านี้

Loading...