ภูติ ผี ปีศาจ ในอิสลาม

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย dabdulla, 20 พฤศจิกายน 2010.

  1. ไกลโพ้น

    ไกลโพ้น Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    40
    ค่าพลัง:
    +33
    ส่วนเรื่องโดนของแขก แล้วเอาเขมรมาทั้งประเทศก็แก้ไม่ใด้ ผมเชื่อครับ เพราะหลานชายผมโดนมาแล้ว เอาหมอธรรม ของอิสานก็ออกไม่หมด เอาเขมรมาก็ออกไม่หมด
    แต่กลับกันผมเชื่อว่าแขกก็เอาของ เขมรไม่ออกเหมือนกัน
     
  2. tana0844

    tana0844 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    300
    ค่าพลัง:
    +351
    หาวิธีไล่ผี ของมุสลิม มาเสนอบ้างซิคับ
     
  3. CheKuvara

    CheKuvara เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2006
    โพสต์:
    3,460
    ค่าพลัง:
    +19,341
    สวัสดีเช่นกันครับ ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ มุมมองของผมไม่ได้มองว่าเป็นการเผยแพร่นะครับ ผมมองว่าเรามาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในอีกทัศนะหนึ่งต่อกันครับ เพราะในแวดวงอิสลามผมก็ไม่ค่อยได้รับรู้นัก สมัยเรียนก็มีเพื่อนร่วมรุ่น และรุ่นพี่เป็นอิสลาม ก็สนิทกันดี แต่เค้าก็ไม่ได้คุยเรื่องทางศาสนาให้ฟังนัก เพราะคงคิดว่ากลัวจะขัดแย้งกันครับ จริงๆสิ่งทุกอย่างในบางมุมมองของคนเรา เราอาจไม่ได้รับรู้หรือเห็นมัน ก็เป็นโอกาสดีครับที่ได้แลกเปลี่ยนกัน เพิืื่อนที่เป็นอิสลามที่รู้จักกันหลายคนผมชอบในนิสัยเค้านะครับ ส่วนใหญ่จะเอื้อเฟื้อและมีน้ำใจ แต่ในเรื่องความเชื่อนั้นมันเป็นมุมมองของแต่ละคน เราสามารถแลกเปลี่ยนกันได้ ในส่วนที่จะเชื่อหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของแต่ละบุคคล ของผมเปิดใจกว้างครับไม่ได้มีอคติใด เพียงอยากศึกษาในโลกใบนี้ให้มันทั่วถึง เืพื่อนำไปประกอบการวิเคราะห์ของผมตามหลักจิตวิทยาการอยู่ร่วมกันของหมู่คนครับ
     
  4. dabdulla

    dabdulla Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    47
    ค่าพลัง:
    +92
    สวัสดีทุกคนครับ

    วันนี้ผมได้นำเอา หนึ่งจากห้าบท ที่ท่านนบีมูฮำหมัด ซล ได้กล่าวไว้ว่า
    ผู้ได้ก็ตามที่ได้อ่านโองการนี้ ญินจะไม่สามารถรบกวนเขาได้ หากอ่านในยามเย็น ก็จะปลอดภัยจากญิณจนเช้า และหากได้อ่านในตอนเช้า ก็จะปลอดภัยจากญินจนถึงตอนเย็น และนี่คือหนึ่งในห้าบทที่ใช้ในการรักษาคนที่โดนของด้วยครับ ผมนำเอาทั้งภาษาอาหรับ อ่านเป็นภาษาไทย และทุกคนทั้งหมดไม่ว่าจะใช่อิสลามหรือไม่ใช่ก็ตาม สามารถอ่านก่อนนอน เพื่อพิสูจน์ได้ด้วยตัวของท่านเอง เพราะอิสลามถือว่า มนุษย์ทุกคนคือบ่าวของอัลลอฮผู้เป็นลูกหลานของอาดัม และอาดัมมาจากดิน

    <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p> </o:p>
    <?xml:namespace prefix = v ns = "urn:schemas-microsoft-com:vml" /><v:shapetype id=_x0000_t75 stroked="f" filled="f" path="m@4@5l@4@11@9@11@9@5xe" o:preferrelative="t" o:spt="75" coordsize="21600,21600"><v:stroke joinstyle="miter"></v:stroke><v:formulas><v:f eqn="if lineDrawn pixelLineWidth 0"></v:f><v:f eqn="sum @0 1 0"></v:f><v:f eqn="sum 0 0 @1"></v:f><v:f eqn="prod @2 1 2"></v:f><v:f eqn="prod @3 21600 pixelWidth"></v:f><v:f eqn="prod @3 21600 pixelHeight"></v:f><v:f eqn="sum @0 0 1"></v:f><v:f eqn="prod @6 1 2"></v:f><v:f eqn="prod @7 21600 pixelWidth"></v:f><v:f eqn="sum @8 21600 0"></v:f><v:f eqn="prod @7 21600 pixelHeight"></v:f><v:f eqn="sum @10 21600 0"></v:f></v:formulas><v:path o:connecttype="rect" gradientshapeok="t" o:extrusionok="f"></v:path><o:lock aspectratio="t" v:ext="edit"></o:lock></v:shapetype><v:shape style="WIDTH: 371.25pt; HEIGHT: 168.75pt; VISIBILITY: visible; mso-wrap-style: square" id=Picture_x0020_1 alt="http://www.muslimthai.com/mnet/imggallery/2008-11-11-23-33-38.gif" type="#_x0000_t75" o:spid="_x0000_i1025"><v:imagedata o:title="2008-11-11-23-33-38" src="file:///C:\DOCUME~1\dabdulla\LOCALS~1\Temp\msohtmlclip1\01\clip_image001.gif"></v:imagedata></v:shape><o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    <o:p></o:p>
    อัลลอหุลาอิลาหะอิลลาหุวัลฮัยยุลก็อยยูม ลาตะคุซุฮู ซินาตนวฺ วาลาเนามฺ ลาหุมาฟิซซะมาวาติวามาฟิลอัรดิ <o:p></o:p>
    มันงฺ ซัลลาซียัชฺฟาอุอินดาหุอิลลาบิอิซนิหฺ ยะอฺลามุมาบัยนาอัยดีหิมวามาค็อลฟาหุม วาลายูฮีตูวฺ นะบิชัยอิม มินอิลมิหฺ อิลลาบิมาชาอฺ วะซิอะกุรซียุหุซซามาวาติวัลอัรดฺ วะลายะอูดุหู ฮิฟซุหุมา วะหุวัลอะลียุลอาซีม”<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    255. อัลลอฮ์นั้น คือ ไม่มีผู้ที่เป็นที่เคารพสักการะใด ๆ นอกจากพระองค์เท่านั้น ผู้ทรงมีชีวิต(*1*) ผุ้ทรงบริหารกิจการทั้งหลาย(*2*)โดยที่การง่วงนอน และการนอนหลับใด ๆ จะไม่เอาพระองค์(*3*) สิ่งที่อยู่ในบรรดาชั้นฟ้าและสิ่งที่อยู่ในแผ่นดินนั้นเป็นของพระองค์ ใครเล่าคือผู้ที่จะขอความช่วยเหลือให้แก่ผู้อื่น ณ ที่พระองค์ได้ นอกจากด้วยอนุมัติของพระองค์เท่านั้น(*4*) พระองค์ทรงรู้สิ่งที่อยู่เบื้องหน้าของพวกเขา และสิ่งที่อยู่เบื้องหลังของพวกเขา(*5*) และพวกเขาจะไม่ล้อมสิ่งใด(*6*) จากความรู้ของพระองค์ไว้ได้ นอกจากสิ่งที่พระองค์ประสงค์เท่านั้น(*7*) เก้าอี้พระองค์นั้นกว้างขวางทั่วชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน(*8*)และการรักษามันทั้งสองก็ไม่เป็นภาระหนักแก่พระองค์(*9*) และพระองค์นั้นคือผู้ทรงสูงส่ง ผู้ทรงยิงใหญ่ <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    (1) ทรงมีชีวิตอยู่ตลอดกาลโดยไม่มีกาลอวสาน <o:p></o:p>
    (2) ทั้งในฟากฟ้าและแผ่นดิน <o:p></o:p>
    (3) พระองค์ไม่ทรงง่วงนอน และนอนหลับ นั้นเอง แต่ที่พระองค์ทรงใช้สำนวนว่า การง่วงนอน และการนอนหลับจะไม่เอาพระองค์นั้นเป็นการเปรียบเทียบว่า การง่วงนอนก็ดี และการนอนหลับก็ดี ประหนึ่งสิ่งที่มีชีชิตและอิทธิพลสามารถทำให้ผู้คนง่วงนอนและนอนหลับได้ กระนั้นก็ดีมันจะไม่แตะต้องพระองค์ <o:p></o:p>
    (4) นอกจากผู้ที่ได้รับอนุมัติจากพระองค์เท่านั้น <o:p></o:p>
    (5) ทรงรู้สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมาแล้ว และที่จะเกิดขึ้นในอนาคต <o:p></o:p>
    (6) หมายถึงไม่สามารถล่วงรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดจากความรอบรู้ของพระองค์ได้ <o:p></o:p>
    (7) จะรู้ได้เฉพาะสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์จะให้รู้เท่านั้น <o:p></o:p>
    (8) หมายถึงว่าอัลลอฮ์นั้นทรงรอบรู้ในทุกหนทุกแห่งทั้งในฟากฟ้าและพิภพ เพราะเมื่อเก้าอี้ของพระองค์กว้างใหญ่ทั่วชั้นฟ้าและแผ่นดินแล้ว สิ่งใดที่เกิดขึ้นในชั้นฟ้าและแผ่นดินจะเป็นที่ใดก็ตาม ก็ย่อมอยู่ในความรู้ของพระองค์ทั้งสิ้น <o:p></o:p>
    (9) ไม่เป็นการยากลำบากแก่พระองค์เลย แม้แต่นิดเดียว <o:p></o:p>
    http://www.alquran-thai.com/ShowSurah.asp<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    ท่านอะบีฮุรอยเราะฮ์ ร.ด. เล่าว่า ท่านนบี ซอลลออฮฺอาลัยวาซอลลัมกล่าวว่าทุกสิ่งมีจุดสุดยอด และสุดยอดของอัลกุรอานคือ ซูเราะห์อัลบะกอเราะห์ และในซูเราะห์นั้นมีอายะห์หนึ่งที่เป็นผู้นำแห่งบรรดาอายะห์ของอัลกุรอาน นั่นคือ อายะห์กุรซี (รายงานโดย ติรมีซี)<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    ผู้ใดอ่านอายะห์กุรซีย์ขณะที่เขาล้มตัวลงนอน พระองค์อัลลอฮฺ ซุบฮานาฮุวาตาอาลา จะทรงประทานความปลอดภัยแก่เขาภายในบ้านของเขา ภายในบ้านของเพื่อนบ้านของเขา และบ้านอื่นรอบๆ บ้านของเขา (รายงานโดยบัยฮะกี)<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    คัดลอกมาจาก อายะห์กุรอานที่ยอดเยี่ยม เล่ม 1 โดยอิบนิ อับดุลเลาะห์<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    ใครที่รู้ว่า ไซตอนมารร้ายมารังแก มารุมล้อม อ่านอายะห์นี้มากๆ จะดี ผู้เฒ่า ผู้แก่ บอกให้ท่องให้จำติดปาก<o:p></o:p>
     
  5. dabdulla

    dabdulla Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    47
    ค่าพลัง:
    +92
    สวัสดีครับ คุณไกลโพ้น

    ในเรื่องการตายแล้วฟื้นคืนชีพนั้น ผมจะได้ถามผู้รู้เพื่ออรรถธิบายจากตัวบทหลักฐานอีกทีนึงแต่อย่างไรก็ตามสิ่งที่ผมได้อธิบายไว้ด้านล่าง จะไม่หนีไปจากนี้ครับ

    กรณีคนตาย แล้วฟื้นในศาสนาอิสลามนั้น ตามที่ผมได้เคยอธิบายไปว่า วิญญาณเคลื่อนที่สองครั้ง คือตอนนอน กับ ตอนตายเท่านั้น และวิญญาณของเรา เมื่อความตายมาเยือน มาลิกิลเมาต์ผู้เอาวิญญาณนั้น จะดึงวิญญาณออกอย่างถาวร ซึ่งเมื่อดึงออกแล้ว มันจะไม่กลับเข้าร่างอีก จนกระทั่งถึงวันแห่งการฟื้นคืนชีพ

    กรณีที่ตายแล้วฟื้นคืนชีพนั้น ที่สามารถเล่าถึงสิ่งต่างๆว่าตัวเองไปเจออะไรมาบ้างนั้น อิสลามไม่ถือว่านั่นคือการตาย และสิ่งที่ไปเจอมานั้นก็ไม่ใช่สิ่งจริงๆที่เขาได้พบ ชัยตอนนั้นได้ล่อลวงเขา มนุษย์นั้นจะได้พบว่าตัวเองเป็นผู้แพ้ หรือ ผู้ชนะในการประกอบคุณงามความดีนั้น จะได้พบจากวันที่ชีวิตได้ถูกกำหนดให้ถึงความตายแล้วเท่านั้น และจะไม่มีโอกาสได้กลับมาบอกใครทั้งสิ้น สิ่งที่เขาได้เจอ คือสิ่งที่อัลลอฮได้เล่าถึงสภาพความรุนแรงแห่งการลงโทษ และสภาพแห่งความปิติ ก็จากในอัลกุรอ่านเท่านั้น ถ้าเชื่อก็จงปฏิบัติตาม แต่เมื่อไม่เชื่อนั้นเขาจะพบมันจากสภาพจริงๆ แต่ไม่มีโอกาสกลับมาแล้ว ถ้าสงสัยในการมีอยู่ของพระเจ้า ก็จงพิจารณาชั้นฟ้าและแผ่นดิน และตัวของเราดูว่า สิ่งมหัศจรรย์เช่นนี้จะเกิดขึ้นได้อย่างไร ถ้าไม่มีผู้สร้าง รวมทั้งญินที่ได้อธิบายไป

    มนุษย์นั้นเมื่อสิ้นชีวิตแล้ว จะมีผู้มารับวิญญาณไป และไม่มีผิดพลาดในการดึงวิญญาณ ทั้งเรื่องเวลา และบุคคล ไม่มีสัมพเวสีที่รอที่ไปจุติ และไม่มีวิญญาณล่องลอยที่มาขอส่วนบุญ เพราะอิสลามถือว่าการตายนั้นได้สิ้นสุดแล้วซึ่งการขวนขวายความดี และสิ่งที่จะติดตัวเขาไป ก็คือสิ่งที่เขาได้ขวนขวายไว้ก่อนตาย ซึ่งเรื่องนี้ก็เหมือนกับศาสนาพุทธเรื่องกรรมดี กรรมชั่ว ที่เราจะประสบก็เกิดจากกรรม ส่วนสัมพเวสีในศาสนาพุทธนั้น แท้ที่จริงแล้วคือญินในความหมายอิสลามที่อาศัยโอกาสในการจะได้รับเครื่องเซ่นไหว้ครับ
     
  6. dabdulla

    dabdulla Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    47
    ค่าพลัง:
    +92
    ผมจะให้ทดลองง่ายๆก็ได้ครับ ถ้าที่บ้านท่านมีต้นไม้ใหญ่ๆ ซักต้นนึงท่านลองก็ได้ครับ
    จุดธูป เอาอาหารไปตั้ง ไปไหว้มันทุกๆเย็น

    เดี๋ยวท่านก็เจอครับ ญินที่ผมพูดถึงนี้อ่ะครับ
     
  7. dabdulla

    dabdulla Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    47
    ค่าพลัง:
    +92
    ผมขอพูดถึงเรื่อง ไสยศาสตร์ระหว่างเขมรกับอาหรับและยิวนิดนะครับ

    ที่ๆเป็นที่กำเนิดแห่งไสยศาสตร์นั้น และผู้ที่มีวิชานี้ก่อนมนุษย์ที่ใหนในโลกนั่นก็คือยิว
    ผู้ที่สอนวิชาแห่งไสยศาสตร์ให้พวกยิวนั้น คือญินชื่อฮารูตและมารูต ซึ่งพวกยิวและอาหรับรู้ว่าไสยศาสตร์เกิดจากอะไร และอะไรเป็นตัวกระทำ เพราะพวกเขาได้เรียนจากต้นตอของมัน ณ สถานที่แห่งนั้น ก็คือกรุงบาบิโลนในอดีต

    ที่ท่านได้กล่าวถึงเรื่องที่โดนของแขกนั้น และไปหาหมอเอาออกแต่เอาออกไม่หมด นั่นแหล่ะครับที่ผมพูดถึง พวกอาหรับและยิวนั้นเรียกใช้ญิณที่มีตำแหน่งเป็นผู้นำหรือกษัตริย์แห่งญิน ซึ่งเมื่อญินผู้นำยินยอมจะช่วยเหลือแล้ว ลูกน้องของมัน จะพันจะแสนก็มาหมด

    การเข้าของญินนั้นไม่ได้เขาตัวเดียว ไสยศาสตร์ยิ่งแรงยิ่งเข้าไปอยู่ในตัวเรามาก อาจจะมากถึงสิบก็ได้ ขึ้นกับระดับของไสยศาสตร์ และการออกการเข้าของญิณ ก็ไม่มีใครทราบครับ ที่บอกว่าเอาออกได้แล้วแต่ไม่หมดนั้นก็ ไม่จริงครับ เพราะมันเข้าออกได้ตลอด

    แต่จำไว้ว่า มันจะเข้าตามทวารของเรา รวมทั้งปลายนิ้วมือด้วยครับ
     
  8. ไกลโพ้น

    ไกลโพ้น Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    40
    ค่าพลัง:
    +33
    ก่อนอื่นต้องขออภัยคุณ dabdulla ผมไม่ใด้มีเจตนาล่บหลู แค่สงสัยด้วยความไม่เข้าใจ

    และเรื่องราวที่ท่านใด้อธิบายมานั้น มีเหตุผลครับ น่าศึกษามาก ขอบคุณกับเรื่องราวดีๆครับ
     
  9. dabdulla

    dabdulla Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    47
    ค่าพลัง:
    +92
    คุณ ไกลโพ้นครับ

    ผมระลึกเสมอว่าที่นี่ให้โอกาสได้ให้เรามาพบปะ พูดคุยและแลกเปลี่ยน
    มิได้รู้สึกว่าถูกลบหลู่แต่อย่างใดนะครับ

    แต่ที่ไม่ค่อยเข้ามาตอบก็เพราะว่าติดงาน ที่แทบจะพันรัดคออยู่ครับ
     
  10. dabdulla

    dabdulla Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    47
    ค่าพลัง:
    +92
    ผมลืมไปครับ

    คนอิสลามนั้น หากว่าเล่นไสยศาสตร์เมื่อไหร่
    เขาตกจากศาสนาทันทีครับ เพราะว่าอิสลามถือว่าเป็นการตั้งภาคี หรือการขอความช่วยเหลือจากสิ่งอื่นนอกจากอัลลอฮ

    ไม่เหมือนมนุษย์นะครับ เราขอความช่วยเหลือกันได้ เพราะมันคือสังคมของเรา สังคมที่ดินจะมีกับดินด้วยกัน เช่นเดียวกัน สังคมของไฟ (ญิน ) ก็ควรมีสังคมของมัน เราไม่ได้ถูกสั่งให้มาร่วมมือกัน ซึ่งในกุรอ่านได้ตอบข้อสงสัยนี้ว่า มนุษย์ชั่วเท่านั้น ที่แสวงหาความพอใจจาก ญินชั่ว
     
  11. CheKuvara

    CheKuvara เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2006
    โพสต์:
    3,460
    ค่าพลัง:
    +19,341
    ขอนอกประเด็นนิดนะครับ ไหนๆก็ได้มีโอกาสได้พบปะพูดคุยกัน เลยอยากจะถามในสิ่งที่สนใจอยากรู้ว่า หากผมเป็นคนพุทธแล้วได้อยู่ในสังคมอิสลาม ผมอยากจะถามอย่างนี้ครับ ควรปฏิบัติตนอย่างไร และสิ่งไหนบ้างที่อิสลามไม่พึงให้กระทำ สิ่งไหนบ้างที่พึงกระทำครับ สำหรับคนที่ไม่ได้นับถืออิสลามครับ ขอบคุณนะครับ
     
  12. dabdulla

    dabdulla Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    47
    ค่าพลัง:
    +92
    ตอบคุณ CheKuvara

    ก่อนอื่นผมต้องบอกความคิดของอิสลามก่อนนะครับว่า เรามีความเชื่อว่าโลกหน้าคือที่อยู่อันถาวร และเรามีความหวังและเราขอความเมตตาจากพระองค์เพื่อที่จะได้รับความช่วยเหลือให้รอด

    ที่ผมเกริ่นนำตรงนี้ก่อนก็เพราะว่า มีหลายครั้งที่เพื่อนๆผมเองก็เคยถามว่าทำไมอิสลามนั้นจึงไม่ร่วมเทศกาลของศาสนาอื่นๆ ซึ่งตรงนี้คือจุดยืนของเราว่าถ้าเป็นเรื่องศาสนาแล้ว เราจะไม่ร่วม เรามั่นใจว่าบั้นปลายของเรา เราจะไปอยู่ที่ใหน และเราเชื่อเสมือนว่าเราได้เห็นมาแล้ว แต่เราไม่ได้เห็นด้วยตาเปล่า แต่เราเห็นก็จากสิ่งที่อยู่ในอัลกุรอ่าน

    แต่ในเรื่องของการดำเนินชีวิตทั่วไป เช่น เกิด แก่ เจ็บ ตาย นั้น เราก็คือมนุษย์เหมือนกัน และอิสลามก็ไม่ได้รับสิทธิพิเศษใดๆในโลกนี้ มิหนำซ้ำหากคนมุสลิมทำบางอย๋างที่ขัดต่อหลักการ เรามักจะได้ยินแต่เรื่องเจ๊งกับเจ๊ง เช่นปล่อยกู้กินดอกเบี้ยเป็นต้น

    ในการใช้ชีวิตร่วมกันกับคนต่างศาสนิก เป็นหลักแห่งการศรัทธาเลยว่า เพื่อนบ้านคือสิ่งที่ต้องปกป้องหวงแหน ไม่ว่าจะศาสนาอะไรก็ตาม ต้องได้รับหลักประกันจากมุสลิมเพื่อนบ้าน เช่น ไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับเขา หากเขามีลูกและขาดแคลนทุนทรัพย์นั้น เราต้องให้เขาแม้จะเล็กน้อยก็ตาม

    ส่วนชาวพุทธเอง ผมกล้าบอกได้เลยว่าเราอยู่ได้อย่างสบาย ซึ่งไม่ใช่แค่คำพูดนะครับแต่เป็นเรื่องจริง เพราะชาวพุทธนั้นมีศีลห้า ซึ่งถ้าจะพูดไปแล้วก็ไม่ต่างอะไรกับหลักการปฏิบัติของอิสลามเลย แทบจะเป็นพี่น้องกันก็ว่าได้

    แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นเช่น อาจจะกินเหล่า เล่นการพนัน ซึ่งเมื่อมีเรื่องที่ผิดใจกัน ก็มักที่โยงเข้าเรื่องศาสนา ซึ่งเรื่องนี้ไม่ใช่ศาสนาอื่นอย่างเดียว แม้แต่อิสลามเองที่เป็นแบบนี้ มันก็สร้างปัญหาให้อิสลามเพื่อนบ้านเหมือนกันครับ
     
  13. CheKuvara

    CheKuvara เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2006
    โพสต์:
    3,460
    ค่าพลัง:
    +19,341
    ขอบคุณมากนะครับ ดูๆแล้วคล้ายๆ ของคริสต์เหมือนกันครับ ตามที่ผมเคยศึกษามานะครับ เค้าเชื่อในวันตัดสิน และดินแดนใหม่ ทั้งในเรื่องของการอยู่ร่วมกันด้วยความรัก ของผมเคยมีเพื่อนอิสลาม ซึ่งเค้าเตยบอกข้อปลีกย่อยบางอย่างให้เช่น จะไม่กินของที่ไม่ได้ฆ่าด้วยอิสลาม ประมาณนี้นะครับ ซึ่งก็อยากจะเรียนรู้ไว้ครับ เพราะบางครั้งเรามีโอกาสได้พบปะพูดคุยก็จะได้ทราบว่าบางสิ่งเป็นข้อปฏิบัติของเค้าครับ
     
  14. armchi

    armchi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    1,631
    ค่าพลัง:
    +2,031
    เพื่อนผมเคยบอกว่าแม้นทำให้พ่อแม่น้ำตาตกเพียงหยดเดียวจะตกนรกชั่วกัปชั่วกัลเลยทีเดียวครับผม
     
  15. ไกลโพ้น

    ไกลโพ้น Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    40
    ค่าพลัง:
    +33
    ขอนอกเรื่องมั่ง... ผมเป็นคนชอบอยากรู้อยากเห็นในสิ่งลี้ลับ และผมมักจะสำผัสใด้ด้วย
    แต่พอ มาใช้ชีวิตประจำวันกับ เพื่อนศาสนาอิสลาม(ผมทำงานที่ต่างประเทศ ที่เราเรียกว่าเมืองแขก) ผมไม่สามารถสัมผัส ใด้เลยว่ามีวิณญาน เยอะแยะเหมือนเมืองไทย
    ทำให้ผมชักคล้อยตามแนวคิดของอิสลามที่ว่า ถ้าเราไม่เซ่นไหว้มันมันก็จะไม่มาแสดงอะไรให้เราเห็น ซึ่งต่างจาก บ้านเราชอบเซ่นใหว้ ชอบอ้อนวอน หรือนับถือผี เข้าทรงเป็นต้น จึงดูเหมือนไทยมีผีเยอะมาก(หรือที่อิสลาม เรียกว่าญิณ)
     
  16. dabdulla

    dabdulla Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    47
    ค่าพลัง:
    +92
    ไม่ทราบว่าคุณไกลโพ้นเป็นคนที่นอนฝันร้ายหรือเปล่า
    การฝันร้ายคืนหนึ่งจากการที่ญินมารบกวนในขณะที่นอน

    คุณไกลโพ้น อยู่ต่างประเทศมีเพื่อนเป็นอิสลาม
    ถ้างั้นคุณไกลโพ้น ก็ลองถามจากเพื่อนเกี่ยวกับโองการที่ผมได้ยกมาก่อนหน้านั้นน่ะครับ อายะห์กุรซีย์

    ลองให้เขาอ่านให้ฟัง แล้วลองอ่านตาม จากนั้นอ่านก่อนนอนนะครับ
    แล้วก็ลองไม่อ่านแล้วนอนนะครับ ผมไม่บอกว่าต่างกันอย่างไร
    ให้เก็บไว้นะครับ เพราะคนที่โดนญินเข้านั้น อ่านต้นนี้เหมือนกัน

    ผมลืมบอกนิดนึงนะครับ ญินนั้นโดยปกติจะไม่อาศัยร่วมกับคน ยกเว้นแต่มีสิ่งที่มันชอบ ก็คือรูปปั้นซึ่งมันจะเข้าไปอาศัยอยู่ หรือสิ่งของที่เรานำมาสักการะ อะไรต่างๆก็ดี ลองดูหมอผีทั้งหลายให้ดีนะครับ เบื้องหลังเขาจะมีแต่รุปปั้น
    เพราะมันคือที่พักของบรรดาญินทั้งหลายนั่นเอง เวลาจะเรียกใช้งานมันก็จะออกมา
    จะอาจารย์ดังแค่ใหน ก็ไม่พ้นรูปปั้น
     
  17. นายตถาตา

    นายตถาตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มกราคม 2010
    โพสต์:
    829
    ค่าพลัง:
    +705
    อ่านอย่างเดียวก่อน ไม่มีความเห็นใด ๆ
     
  18. ปูชนีย์

    ปูชนีย์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    95
    ค่าพลัง:
    +88
    .........................................................................................
    เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งค่ะเป็นความเชื่อความเลื่อมใสศรัทธาของแต่ละศาสนาและของแต่ละบุคคล.......:cool:
     
  19. dabdulla

    dabdulla Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    47
    ค่าพลัง:
    +92
    สวัสดีครับ

    ต้องขอบคุณทุกท่านที่ได้เข้ามาเยี่ยมชมกระทู้ครับ ยินดีแลกเปลี่ยนความคิดเห็นครับผม
     
  20. paura

    paura เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    126
    ค่าพลัง:
    +251
    เข้าใจแดปดุลลอ..
    พุทธเราสายท่านพุทธทาส ก็ไม่เอารูปเคารพครับ แต่ก็ยังขัดแย้งกันอยู่จนทุกวันนี้ เพราะความพึงพอใจส่วนบุคคลนั่นเอง ไม่ก็เรื่องผลประโยชน์ทางวัตถุการเงินอีก

    แต่การกราบไหว้บูชาทางสายพุทธที่แท้จริง เราใช้จิตครับ เราไม่ได้กราบไหว้กองอิฐปูนโลหะที่อยู่ตรงหน้า แต่เราให้ความสำคัญกับสิ่งที่เรานึกถึงในตอนนั้นๆมากกว่า

    รูปเคารพมีมาหลังจากพระพุทธเจ้านิพพานหลายร้อยปีครับ พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้สั่งหรือบังคับให้สร้างเลยย สมัยพระเจ้าอโศกก็ยังห้ามสร้างกลัวบาปที่จะสร้างไม่เหมือนเพราะเดี๋ยวคนไปหลงเชื่อว่าหน้าตาอย่างนั้นอย่างโน้น

    แต่เขาชอบ เขาพอใจในการมี ก็ไปห้ามเค้าไม่ลงอีกแหละครับ
    *********
    ทางอิสลามก็ชาติเดียวจบ แล้วไปตัดสินพิพากสา ดี ชั่ว บุญ บาป และก็ส่างไปตามทางที่เค้าเหมาะสมชั่วนิรันกาล

    ทางพุทธ ไม่วางใจง่ายๆไม่รับรองความนิรัน เลือกการไม่นำอะไรติดตัวไปและจิตที่ว่างเปล่าไม่ยึดติด ดี ชั่ว บุญ บาป นรก สรรคว์ ทำให้ทุกอย่างเป็น "0" แล้วค่อยไปอย่างไร้พันธะจะได้จบอย่างสบายใจ
     

แชร์หน้านี้

Loading...