พวกดื้อรั้นจะให้จิตเป็นวิญญาณขันธ์ให้ได้

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมภูต, 28 มกราคม 2010.

  1. เต้าเจี้ยว

    เต้าเจี้ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2008
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +1,697
    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 9 คน ( เป็นสมาชิก 4 คน และ บุคคลทั่วไป 5 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"><CENTER"></TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>เต้าเจี้ยว*, CottonFields

    อภิญญา ซ่อนตัวเพียบ :':)':)'(
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  2. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    [​IMG]
     
  3. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    อย่าทำเป็นรู้มากเลย ว่าใครเป็นไง ให้เอาสิ่งที่เกิดแล้วในอดีตมาพิจารณาดีๆ ว่านั่นหรือนี่เป็นการสร้างภาพ เพราะภาพที่ท่านทั้งหลายพูดถึงเป็นเพียงภาพในจิตที่ท่านทั้งหลายปรุงแต่งขึ้นเองทั้งนั้น บางครั้งก็แต่งไปจนถึงว่าตัวเราเองคือพระอนาคามีเลยก็มี ยิ่งน่าสังเวชใหญ่เลย ผมก็เห็นมาเยอะมากเหมือนกันอย่างน้อยในหนึ่งปีนี้ก็เห็นอยู่หนึ่ง ใช้ยูสเซอร์ว่าขันธ์ ชอบอ้างว่ามีโทสะเพราะไม่ใช่พระอนาคามี ดูยังไงๆก็กิเลสหลอกให้หลงอยู่ดีๆนี่เอง ไอ้เรื่องเอาธรรมมาสอนไม่ได้ว่าหรอกแต่ไอ้เรื่อง เอาธรรมมาบังหน้าแล้วใช้ว่าคนอื่นนั้น ไม่ว่าจะพระอริยะระดับไหนเขาก็ไม่ทำกัน ส่วนคนที่ไม่รู้อะไรเลยคอยแต่เสียบหรือเหยียบย่ำคนอื่นก็มีอยู่ ก็ต้องสงสารเขาที่ไม่ได้รู้อะไรเลย แต่ก็ต้องรับผลของการกระทำนั้นด้วย และโดยสรุป การคิดว่าคนอื่นมีธรรมน้อยกว่าตนหรือมีธรรมมากกว่าตนนั้น มันไม่ใช่เรื่องที่ผู้ศึกษาธรรมและเข้าใจธรรมหรือเห็นธรรมทั้งหลายจะเอามาคิด ก็คิดและพิจารณาดูว่า ความเป็นธรรมนั้น คือ การสร้างภาพเพื่อโลกธรรมแค่นั้นหรือ ถ้ามันไม่ใช่ก็แปลว่า เราสร้างภาพความเป็นตัวเป็นตนของผู้อื่นด้วยจิตใจเราเองนั่นแหละ ถ้าเห็นเขาดีก็แปลว่าเป็นกุศล ถ้าเห็นเขาเลวก็แปลว่าอกุศล แล้วแบบนี้พระอริยะเจ้าตั้งแต่โสดาบันขึ้นไปเขามองผู้อื่นอย่างนั้นจริงๆหรือ ถ้าเป็นจริงโลกนี้จะมีแต่ความยุ่งเหยิงอย่างแน่นอน แต่ความเป็นจริงพระอริยะเจ้าทั้งหลาย ไม่เห็นสิ่งใดเลยในตัวอักษรนี้มีแต่เพียงธรรม ที่เป็นเหตุและเป็นปัจจัยให้มันเป็นไปตามสภาพธรรมของมันเองทั้งนั้น อย่างเช่นตัวท่านที่หลงคิดว่าตนเองเป็นสิ่งที่ตนเองก็รู้ดีว่ายังไม่ถึง ยังไม่ใช่ไม่ต้องให้ใครบอกก็น่าจะรู้ตัวเองเช่นกัน
    แต่ถ้ายังไม่รู้ตัวก็ไม่ว่าอะไร ตัวใครตัวมันอย่างแน่นอนที่สุดอยู่แล้ว
     
  4. เต้าเจี้ยว

    เต้าเจี้ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2008
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +1,697
    กระทู้คงอีกยาว ว่าไหม คุณนิวรณ์

    แต่ละคนก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว คุณอัลเบิร์ต คงจะเก่งอภิธรรม
    คุณเก่ง เขาไม่ธรรมดาเลย

    ไปแล้วนะ เน็ตช้า เถียงเขาไม่ทัน ตายหยังเขียด.. ไปดีกั่ว..

    :boo:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 มกราคม 2010
  5. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    ตรงส่วนสีแดงนั้น น่าจะมีคำขยายความนะครับ และหากจริงเรื่องก็จบแล้วไม่มีอะไรต้องสงสัย เหลือแต่ปฏิบัติตามคำสอนของพระศาสดาและปฏิปทาของพระอริยะสงฆ์องค์อรหันต์เท่านั้น
    อนุโมทนาครับ
     
  6. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ท่านครับถูกต้องแล้วครับที่ต้องใช้วิจารณญาณในการอ่าน
    ใครๆก็รู้ที่ยกมานั้นเป็นอภิธรรมล้วนๆ ใครที่เรียนอภิธรรมมาย่อมรู้ดี

    ในพันทิพก็เคยมีการถกกันในเรื่องนี้แล้วว่า ไม่มีทางที่พระอาจารย์ใหญ่หลวงปู่มั่นเทศน์ในลักษณะนี้
    ท่านพระอาจารย์ใหญ๋มั่น ท่านมักเทศน์ในแนวปฏิบัติเท่านั้น
    เท่าที่พบธรรมที่ท่านเทศน์ไม่เคยเทศน์ออกมาในลักษณะนี้เลย

    ไม่เข้าใจเลยจริงๆว่า ทำไมฝ่ายอภิธรรมจึงพยายามยัดเยียดว่าเป็นคำเทศน์ของท่านพระอาจารย์ใหญ่มั่น

    ผมตั้งข้อสังเกตว่า ทำไมในมุตโตทัยที่พระอาจารย์ใหญ่มั่นเทศน์ถึงได้ขัดแย้งกับที่คุณเต้าเจี้ยวยกมา
    ที่คุณเต้าเจี้ยวยกมานั้น ล้วนเป็นเนื้อหาของอภิธรรมชัดๆ

    ส่วนในมุตโตทัยข้อที่๕กล่าวถึงคำว่าพระอภิธรรม๗คัมภีร์ไว้นิดเดียวว่า
    "พระอภิธรรม๗คัมภีร์เว้นมหาปัฏฐานมีนัยประมาณเท่านั้น เท่านี้
    ส่วนคัมภีร์มหาปัฏฐานมีนัยประมาณมิได้ เป็นอนันตนัยเป็นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นที่จะรอบรู้"

    ปัจจุบันนี้ มีความพยายามยัดเยียดธรรมที่พ่อแม่ครูบาอาจารย์ทั้งหลายที่ท่านไม่ได้เทศนืว่าท่านเทศน์
    แม้ท่านพระอาจารย์หลวงตามหาบัวเอง ยังเคยถูกท่านพระอาจารย์ใหญ่หลวงปู่มั่นบอกให้วางตำราอภิธรรมที่เรียนมาซะ

    ;aa24
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 มกราคม 2010
  7. albertalos

    albertalos เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,462
    ค่าพลัง:
    +1,137
    ตามนั้นเลย
    ครูบาอาจารย์มักจะเรียกนิพพานธาตุ ว่าจิตบริสุทธิ์ จิตพ้นโลก หรือ ใจ ฯลฯ คือจิตที่ตับขันธ์ห้าไปแล้ว แต่อาจจะมีที่สอนว่า ที่ดับไปคือกิเลสไม่ใช่จิต
    หากจะพูดเรื่องจิตบริสุทมันก้เรื่องนิพพาน ทีนี้จะพูดเรื่องนิพพานมันก้ต้องดูว่าเห็นนิพพานอย่างไรแค่ไหนจริงหรือยัง ท่ายังมองว่ามันไม่เกี่ยวเนื่องกันอันนี้ก้ไม่รู้จะพูดยังไงไห้เห้นนิพพานได้เช่นกัน
     
  8. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    คุณเต้าเจี้ยว ที่ว่าละหนะ ใครละ?
    อย่าบอกนะว่า ไม่มี
    ถ้าไม่มี สิ่งที่พูดมาก็เป็นเรื่องโกหกทั้งเพ

    ในเมื่ออะไรๆก็ไม่มี อะไรๆก็ไม่ใช่ แบบนี้อยู่เฉยๆก็บรรลุธรรมได้สิ
    แบบนี้พระมหาบุรุษรัตน์ จะออกผนวชเพื่อหาอมตะธรรมไปทำไม?

    ;aa24
     
  9. albertalos

    albertalos เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,462
    ค่าพลัง:
    +1,137
    พี่เก่งตรงส่วนสีแดงอ่ะในพระอภิธรรมก้มีครับ
    แต่เราก้สามารถดูจิตตัวเองตามนั้นได้เช่นกันไม่มีอะไรขัดเลยครับ
    ปัจจุบันมองลงที่ใจก้เห็นได้ อนุโมทนาครับ
     
  10. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    บอกแล้วว่าต้องเกี่ยว และเกี่ยวจริงๆด้วย(เพราะมีปุถุชนถามว่าแล้วเกี่ยวกันตรงไหน) อริยะบุคคลปลอมไม่อาจรู้ได้ ว่าทำไมถึงต้องใช้ปัญญาพิจารณาในความสับสนทั้งหลายให้ดี เพราะแต่ละท่านก็มีขั้นของตนตามสมควรแก่ฐานะ หากอยากรู้ความจริงก็ ปฏบัติมากๆนะครับ อีกอย่างหนึ่งผมเข้าใจว่าธรรมของหลวงปู่มั่นไม่ได้มีแค่นี้หรอกที่ท่านสั่งสอน ต้องเสาะแสวงหาผู้ที่เป็นผู้ดำเนินปฏิปทาตามแบบท่านจริงๆ(ลูกศิษย์ท่าน) แต่ที่แน่ๆอย่าพึ่งกล่าวอะไรดีกว่าเพราะยังไม่รู้ว่าจริงหรือไม่จริง เดี้ยวจะกลายเป็นกรณีหลวงปู่ดูลย์อีกที่ไปหาว่าเอาตัวหนังสือไปยัดปากท่าน ฟังดูแล้วไม่งามเลย ขอให้ฝึกพิจารณาดีๆดีกว่านะครับท่านทั้งหลายที่ไม่ใช่ตำราจริต เพราะตำราจริต มันจะตีกันเองทั้งภายนอกและภายใน แต่พวกปฏิบัติมีธรรมเป็นจริต ไม่ได้ดัดจริต จะไม่มาสงสัยมากหรืออะไรอย่างใดเลย
     
  11. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    สังขารความปรุงแต่งอันเป็นความสมมติว่าโน่นเป็นของของเรา โน่นเป็นเรา เป็นความไม่เที่ยง
    อาศัยอุปาทานความยึดถือจึงเป็นทุกข์

    ก็แลธาตุทั้งหลาย เขาหากมีหากเป็นอยู่อย่างนี้ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา
    เกิด แก่ เจ็บ ตาย เกิดขึ้นเสื่อมไปอยู่อย่างนี้มาก่อน
    เราเกิดตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ก็เป็นอยู่อย่างนี้

    อาศัยอาการของจิต ของขันธ์ ๕ ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณไปปรุงแต่งสำคัญมั่นหมายทุกภพทุกชาติ
    นับเป็นอเนกชาติเหลือประมาณมาจนถึงปัจจุบันชาติ จึงทำให้จิตหลงอยู่ตามสมมติ

    จากมุตโตทัย

    ;aa24
     
  12. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    การดับโลกสามนั้น ท่านขีณาสวเจ้าทั้งหลายมิได้เหาะขึ้นไปนกามโลก รูปโลก อรูปโลกเลยทีเดียว คงอยู่กับที่นั่นเอง
    แม้พระบรมศาสดาของเราก็เช่นเดียวกัน พระองค์ประทับนั่งอยู่ ณ ควงไม้โพธิพฤกษ์แห่งเดียวกัน
    เมื่อจะดับโลกสาม ก็มิได้เหาะขึ้นไปในโลกสาม คงดับอยู่ที่จิต ทิ่จิตนั้นเองเป็นโลกสาม

    ฉะนั้น ท่านผู้ต้องการดับโลกสาม พึงดับที่จิตของตนๆ จึงทำลายกิริยา คือตัวสมมติหมดสิ้นจากจิต
    ยังเหลือแต่อกิริยา เป็นฐีติจิต ฐีติธรรมอันไม่รู้จักตาย ฉะนี้แล

    จากมุตโตทัย ข้อ ๑๔
     
  13. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ปัจฉิมเทศนาอธิบายความต่อไปว่า สังขารมันเกิดขึ้นที่ไหน อะไรเป็นสังขาร
    สังขารมันก็เกิดขึ้นที่จิตของเราเอง เป็นอาการของจิตพาให้เกิดขึ้นซึ่งสมมติทั้งหลาย
    สังขารนี้แล เป็นตัวการสมมติบัญญัติสิ่งทั้งหลายในโลกความจริง
    ในโลกทั้งหลายหรือธรรมธาตุทั้งหลายเขามีเขาเป็นอยู่อย่างนั้น
    แผ่นดิน ต้นไม้ ภูเขา ฟ้า แดด เขาไม่ได้ว่าเขาเป็นนั้นเป็นนี้เลย
    เจ้าสังขารตัวการนี้เข้าไปปรุงแต่งว่า เขาเป็นนั้นเป็นนี้จนหลงกันว่าเป็นจริง ถือเอาว่าเป็นตัวเรา เป็นของๆ เราเสียสิ้น จึงมี ราคะ โทสะ โมหะ เกิดขึ้น
    ทำจิตดั้งเดิมให้หลงตามไป เกิด แก่ เจ็บ ตาย เวียนว่ายไปไม่มีที่สิ้นสุด
    เป็นอเนกภพ อเนกชาติ เพราะเจ้าตัวสังขารนั้นแลเป็นตัวเหตุ

    จึงทรงสอนให้พิจารณาสังขารว่า สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจา สพฺเพ สงฺขารา ทุกฺขา
    ให้เป็นปรีชาญาณชัดแจ้ง เกิดจากผลแห่งการเจริญปฏิภาคเป็นส่วนเบื้องต้น
    จนทำจิตให้เข้าภวังค์ เมื่อกระแสแห่งภวังค์หายไป มีญาณเกิดขึ้นว่า
    "นั้นเป็นอย่างนั้น เป็นสภาพไม่เที่ยง เป็นทุกข์" เกิดขึ้นในจิตจริงๆ
    จนชำนาญเห็นจริงแจ้งประจักษ์ ก็รู้เท่าสังขารได้
    สังขารก็จะมาปรุงแต่งให้จิตกำเริบอีกไม่ได้ ได้ในคาถาว่า

    อกุปฺปํ สพฺพธมฺเมสุ เญยฺยธมฺมา ปเวสฺสนฺโต
    เมื่อสังขารปรุงแต่งจิตไม่ได้แล้ว ก็ไม่กำเริบ รู้เท่าธรรมทั้งปวง
    สนฺโต ก็เป็นผู้สงบระงับถึงซึ่งวิมุตติธรรม ด้วยประการฉะนี้

    มุตโตทัยข้อ ๑๖

    ;aa24
     
  14. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    เป็นอีกหนึ่งทัศนะ วางใจกันให้ดีนะครับ ของอย่างนี้ หากติดขัดแล้ว หมายถึงว่าใจ ตั้งความเห็นไว้ผิด ก็จะไม่ไปไหนเลย ก็เป็นอีกหนึ่งทัศนะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 มกราคม 2010
  15. CottonFields

    CottonFields เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    127
    ค่าพลัง:
    +149
    อ้างอิง:
    <table width="100%" border="0" cellpadding="6" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td class="alt2" style="border: 1px inset ;"> “ตถาคตเรียกสิ่งนี้ว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง จิต เป็นต้นนั้น ดวงหนึ่งเกิดขึ้น ดวงหนึ่งดับไปตลอดทั้งคืนและวัน”
    (สํ.นิ. (ไทย) ๑๖/๖๑/๑๑๖) </td> </tr> </tbody></table>
    อืม...... สังยุตตนิกาย บอกไว้ชัดเจน

    ตรงนี้ก็มีพุทธพจน์

    (สํ.สฬ. 18/171)
    (38)…….. “ ภิกษุทั้งหลาย การที่บุถุชนผู้มิได้เรียนรู้ จะเข้าไปยึดถือร่างกายอันประกอบด้วยมหาภูตรูป 4..ว่าเป็นตัวตน ยังดีกว่าจะยึดถือจิต…ว่าเป็นตัวตน เพราะว่า กายอันประกอบด้วยมหาภูตรูป 4 นี้ ยังปรากฏให้เป็นว่าดำรงอยู่ 1 ปีบ้าง 2 ปีบ้าง 10-20-30-40-50 ปีบ้าง 100 ปีบ้าง เกินกว่านั้นบ้าง แต่สิ่งที่เรียกว่า จิต มโนหรือวิญญาณนี้ …เกิด ดับอยู่เรื่อย ทั้งคืน ทั้งวัน(ใจคนมักปรวนแปรง่าย)”
     
  16. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    เอามาให้ดู โพสไว้สองกระทู้เลย จะได้หายหลง
     
  17. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    ให้เข้าใจว่า วิญญาณ คือ ส่วนหนึ่ง ที่จิตแล่นไป

    ดังนั้น วิญญาณ เป็นจิต ถูกแล้ว

    แต่ว่า จิตเป็นวิญญาณหรือไม่ ตอบว่า จิตเป็นวิญญาณ เมื่อแล่นไป เหมือนกัน

    ทีนี้ ฝ่ายหนึ่ง มองแค่จิต แต่ยังมองไม่เห็น ฐีติจิต ก็ไปบอกว่า มันเกิดดับ ตามกัน

    แต่ว่า ผุ้เห็น ฐีติจิต ก็ต้องบอกว่า จิตนี้ไม่ใช่วิญญาณ
     
  18. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    เข้าใจกันไหม

    คนขับรถ แล่นไปกับตัวรถ ฉันใด ก็เหมือนกับ จิตกับวิญญาณไปด้วยกัน

    แต่ คนไม่ใช่รถ แต่เพราะแล่นไปกับรถ

    ทีนี้ พอจิตเพิกอุปาทานไปแล้ว จิตที่เคยไปกับรถ มันก็กลายเป็น คนยืนดูข้างนอกนี้ เห็นรถวิ่งไปมา โดยที่เราไม่ได้เป็นคนขับไปกับรถแล้ว อย่างนั้นแหละ
     
  19. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    ก็พระสูตรข้างบนที่ยกมานั้น ก็ถูกแล้ว คือ บุคคลถูกปรุงไป จิตนี้ก็เกิดดับตามไปกับสิ่งที่ปรุง

    ยกมาก็ดีแล้ว จะได้กระจ่างว่า สูตรนั้นพูดถึง จิตที่ถูกกลุ้มรุม มีอวิชชาครอบงำ
     
  20. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    ส่วนไอ้คนนี้ มันก็ไม่รู้ตัวมันว่า กรรมเข้าสู่ใจมันให้มันเพ่งเล็ง ขนาดว่าจำได้หมดว่า นายขันธ์ นี่ทำอะไรยังไง ก็ใจมันสกปรกมาตลอด คนอื่นมันไม่ได้ไปจับ มันมาจับที่นายขันธ์ ตัวมันเองมันรู้ซะที่ไหน ว่าจิตมันสกปรก คิดเองเออเองหมด สร้างเรื่องโยงใยเองหมด
    นี่นอกจากนี้ ยังจำได้อีกนะ ว่า นิมิตหลวงปู่มั่น ถ้ามันไม่มาแข่งดี มันจะมาจับแบบนี้หรือ

    ขี้เกียจจะพูดว่า ใครเป็นอย่างไร
    ให้ธรรมมาเท่าไร มันไม่นึกว่า มันเองอ่านธรรมของคนอื่นแล้วได้ความรู้ไป แต่กิเลสมันคอยแต่จะจ้องไป ที่คน
     

แชร์หน้านี้

Loading...