พวกดื้อรั้นจะให้จิตเป็นวิญญาณขันธ์ให้ได้

ไม่เกี่ยวเพราะ...และเกี่ยวเพราะ...ติดๆดับๆแบบนี้แล้ว เมื่อไหร่ธรรมมันถึงจะเข้าทางเสียทีละ อยู่ไปๆ อายุก็มากขึ้น หากวันนี้ยังไม่เริ่มคิดแล้ว จะรอให้ใกล้ตายก่อนแล้วก็ยังพิจารณาไม่เห็น แล้วอาศัยฌานที่ได้จริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ ดีไม่ดีตกสู่อบายภูมิเอานะ จะหาว่าไม่เตือน นะครับ

เคยเห็นนกขุนทองมันแย่งอาณาเขตกันไหม เวลามันมาทับที่กันมันจะเข้าไปทำเสียงน่ารำคาญ ใส่กันก่อนรำคาญๆๆ แล้วมันก็ตีกัน ตีกันไปตีกันมาบางทีก็ตายทั้งคู่ เพราะมีคนรอจะจับมันอยู่ เอามันไปทอดกิน
นี่แหละพวกนกแก้วนกขุนทอง น่าจะเคยเห็นนะอายุอานามก็มากแล้ว

 

อะไร มันไปไหนของมันนั่น นั่นแหละ กรรมของมัน วันๆ บ้าๆ บอๆ
ไม่มีสติ

เขากำลังพูดถึงเรื่อง วิญญาณขันธ์ เอ็งแหกคอก มาสอนคนนั้นคนนี้ เรื่อยเปื่อย ไม่มีหลักไม่มีเกณฑ์ เอ็งไม่มีสติ เอ็งรุ้ตัวไหมนั่น

 

ท่องจำเป็นนกแก้ว นกขุนทอง มาพูด ก็ตัวเองทั้งนั้น

ที่ว่า เข้าใจๆ มันก็นกแก้่วนกขุนทอง แล้วชอบจริง สอนคนอื่น โดยที่ตัวเองยังทำไมได้เนี่ย

นี่มัน โลกธรรมครอบหัว ไม่รู้ตัว

 

นั่นแหละ ถึงได้บอกให้คนที่เข้ามาอ่านต้องทำใจก่อน คนที่มีสติเขาไม่พูดกันมากหรอก อีกอย่างก็ไม่เห็นว่า จะต้องไปว่าอะไรใครเลย เพราะคนที่มีสติมากส่วนใหญ่เขาก็เป็นอย่างนั้น เว้นเสียแต่ว่า ไม่รู้แม้กระทั่งอะไรคือสติ

 

เอ็งมีสติ แล้วหรือ ถึงได้ไปสอนคนอื่น
แล้ว เอ็งรู้ได้อย่างไร ว่าคนมีสติเขาไม่พูดกันมาก
อยากอวดดี ไปอวดที่อื่น
มีสติแล้วหรือ
โง่แล้วอวดฉลาด มาตลอด

 

เดี๋ยวก่อนท่านมหาปาด { ใช้วิญญาณขันธ์ท่าน 00000 }

หากจะปรักปรำคุณ เก่งเค้นหนี้ ว่าไม่ได้พูดในประเด็นวิญญาณขันธ์ละก้อ

อ้ายกระผมก็เห็นว่า ท่าน เก่งเค้นหนี้ ไม่ได้ทำผิดกติกาครับ

เพราะเขาพูดถึง วิญญาณขันธ์ แล้วจริงๆ กล่าวคือ

"ดีไม่ดีตกสู่อบายภูมิเอานะ จะหาว่าไม่เตือน"

ประโยคนี้แหละครับ ที่พูดถึง วิญญาณขันธ์แล้ว เพียงแต่ว่า
ไม่ได้หมายถึง ขันธ์ ที่แปลว่ากอง แต่เป็นขันธ์ที่เป็นสรรพนาม

แหะ แหะ อันนี้ ก็ พูดให้ฮา ไปงั้นๆ :boo:


อ้อ วันนี้ผมไม่ขอตัวนะ ขอหัวพอ[ ให้รอดเป็นพอ ]



ปล. ถึงคุณเกิด ผมรู้แล้วว่า ที่คุณพูดว่า เก่งเค้นหนี้ หมายถึงอะไร
อื้มมมม เขาเก่งจีจี นะเอย นะเอย

[music]http://charyen.com/jukebox/asx_file/Movies_Thai212444.wma[/music]

 

กลับมาที่เดิมแบบเห็นๆ น่าสงสารแต่ไม่สงสารหรอก เพราะว่าไม่มีสาระ...อยากจะแสดงธรรมก็เอาเลย ไม่เห็นมีใครว่าอะไรเลย ไม่เห็นมีใครจะไปล้ำเขตเลย ขู่ฝ่อๆเสียอย่างนั้น นี่หรือการสอนธรรม ไม่อยากว่าแล้ว คงได้แต่บอกว่า มันไม่ได้ทำให้ตัวตนดูดีเลยแม้คำพูดจะยืมคำของหลวงตาบัวมาใช้ ไร้สาระสุดๆ ในแต่ละคำที่ยืมท่านมาใช้ คงไม่เข้าใจหรอก เพราะอาศัยแค่ธรรมของผู้อื่นไม่ใช่ธรรมที่มีในตนเองเลย กัดกันต่อไปนะไม่เอาด้วยหรอก มาเสนอสิ่งที่ควรคิดพิจารณาเท่านั้นไม่ได้มาเสนอกิเลสที่มีในตนครับ บายๆๆ

 

คนที่เห็นว่าผู้อื่นโง่กว่าตนแท้ที่จริงแล้ว ผู้นั้นนั่นแหละที่โง่ที่สุดอาจจะโง่กว่าสิ่งที่เรียกว่าโง่ที่สุด จึงเป็นไปตามกรรมของตนเอง ด้วยตัวของตัวเอง เพราะมีความโง่ที่เกินกว่าผู้อื่นจะมาสาธยายให้ฟังได้ แค่นี้ก็รู้แล้วธรรมที่ท่านมีนั้นยิ่งมีก็ยิ่งโง่ลงๆๆๆ จนมันไม่เหลือแล้วรู้ไหมไปถามหลวงตาบัวดูซิว่าจริงไหมที่ผมพูดไป ไปถามท่านดูกรุณาพาสังขารอันเหลือน้อยไปเลย ว่าที่ทำไปทั้งหมดนั้นเรียกว่า เมตตาธรรม หรือ กิเลสธรรม ขอบอกอย่าเอาธรรมของผู้อื่นมาบังหน้าอีก ไม่ต้องยกธรรมของหลวงตามาอีกนะ ผมเข้าใจได้ยิ่งกว่าคุณเข้าใจเสียอีก
คุณขันธ์ อย่าเป็นอย่างนกขุนทองก็เป็นพอ

 

เสือกรู้ ใจคนอื่น มากกว่าใจตัวเอง ตัวเอง ไม่พิจารณา อวดดีมาพิจารณาใจคนอื่น
ไปๆ ก็ดี กูก็รำคาญ เหมือนกัน พวกอวดรู้เนี่ย เขาให้อ่านธรรม เสือกมาอ่านคน

 

<TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 13 คน ( เป็นสมาชิก 11 คน และ บุคคลทั่วไป 2 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"><CENTER">[ แนะนำเรื่องเด่น ] </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>นิวรณ์*, Karnta, เกิดเป็นคน, kengkenny, วิมุตติ, jinny95, nmz123 </TD></TR></TBODY></TABLE>

 

กลับมาที่เดิมเถอะครับท่านทั้งหลาย ผมพอแล้วครับ ผมไม่ได้มาเพื่อทะเลาะกับใครครับ มาแค่นี้แหละ มาดูว่าอะไรพัฒนาไปแล้วบ้าง ถ้ามันพัฒนาไม่ได้ก็เลิกกันครับ
บายๆๆทุกท่านครับ

 

โง่แล้ว อวดฉลาดจริงๆ ไม่โตสักที ไอ้นี่ มันนึกว่า มันตีกรรเชียงแบบนี้แล้วมันจะรอด

 

นี่แหละ วิญญาณขันธ์ เกิดแล้วดับ

 

ทำไมไปว่าตัวเองอย่างนั้นละ เดี้ยวใครๆเข้ามาอ่านจะนึกว่า ด่าตัวเองอยู่นะครับ คุณขันธ์ผู้มีสติดีเลศถึงขั้นสัมมาสติ ตามตำราแป๊ะๆเลย เห็นแล้วสลดเหลือเกิน รีบไปหาหลวงตาบัวเลยไปฟังธรรมหรือไปปฏิบัติธรรมอยู่กับท่านบ้าง และอย่าให้ท่านไล่ออกมาได้ละ เอาธรรมของหลวงตามาใช้กับตนให้เยอะๆ ก่อนที่จะพูดอะไรออกไป

 

ธัมมปทัฏฐกถา พาลวรรควรรณนา๕. เรื่องพระอุทายีเถระ

จาก วิกิซอร์ซ


ข้ามไปที่: นำทาง, สืบค้น

<!-- start content --><DL><DD>๕. เรื่องพระอุทายีเถระ [๔๙] </DD></DL><DL><DD>ข้อความเบื้องต้น </DD></DL><DL><DD>พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพระอุทายี- </DD></DL>เถระ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "ยาวชีวมฺปิ เจ พาโล" เป็นต้น.

<DL><DD>คนไม่รู้มักถือตัว </DD></DL><DL><DD>ได้ยินว่า พระอุทายีเถระนั้น เมื่อพระเถระผู้ใหญ่หลีกไปแล้ว ไปสู่ </DD></DL>โรงธรรมแล้ว นั่งบนธรรมาสน์. ต่อมาวันหนึ่ง พวกภิกษุอาคันตุกะเห็น
พระอุทายีเถระนั้นแล้วเข้าใจว่า " ภิกษุนี้จักเป็นพระมหาเถระผู้พหูสูต"
จึงถามปัญหาปฏิสังยุตด้วยขันธ์เป็นต้นแล้ว ติเตียนท่านผู้ไม่รู้อยู่ซึ่งพระ-
พุทธวจนะอะไร ๆ ว่า "นี่พระเถระอะไร ? อยู่ในพระวิหารเดียวกัน
กับพระพุทธเจ้า ยังไม่รู้ธรรมแม้สักว่าขันธ์ธาตุและอายตนะ" ดังนี้แล้ว
จึงกราบทูลความเป็นไปนั้นแด่พระตถาคต. ลำดับนั้น พระศาสดา เมื่อ
จะทรงแสดงธรรมแก่พวกภิกษุอาคันตุกะนั้น จึงตรัสพระคาถานี้ว่า :-

<DL><DD>๕. ยาวชีวมฺปิ เจ พาโล ปณฺฑิตํ ปยิรุปาสติ </DD></DL><DL><DD>น โส ธมฺมํ วิชานาติ ทพฺพี สูปรสํ ยถา. </DD></DL><DL><DD>"ถ้าคนพาล เข้าไปนั่งใกล้บัณฑิตอยู่ แม้จน </DD></DL><DL><DD>ตลอดชีวิต, เขาย่อมไม่รู้ธรรม เหมือนทัพพีไม่รู้รส </DD></DL><DL><DD>แกงฉะนั้น." </DD></DL><DL><DD>พึงทราบเนื้อความแห่งพระคาถานี้ว่า :- </DD></DL><DL><DD>"ชื่อว่าคนพาลนี้ เข้าไปหา เข้าไปนั่งใกล้บัณฑิต แม้จนตลอดชีวิต </DD></DL>ย่อมไม่รู้ปริยัติธรรมอย่างนี้ว่า 'นี้เป็นพระพุทธพจน์ พระพุทธพจน์
มีประมาณเท่านี้' หรือซึ่งปฏิปัตติธรรมและปฏิเวธธรรมอย่างนี้ว่า 'ธรรม
นี้เป็นเครื่องอยู่. ธรรมนี้เป็นมรรยาท, นี้เป็นโคจรกรรม นี้เป็นไป
กับด้วยโทษ. กรรมนี้หาโทษมิได้. กรรมนี้ควรเสพ; กรรมนี้ไม่ควรเสพ;
สิ่งนี้พึงแทงตลอด, สิ่งนี้ควรกระทำให้แจ้ง."

<DL><DD>ถามว่า " เหมือนอะไร ?" </DD></DL><DL><DD>แก้ว่า " เหมือนทัพพีไม่รู้รสแกงฉะนั้น." </DD></DL><DL><DD>อธิบายว่า เหมือนอย่างว่า ทัพพี แม้คนแกงต่างชนิด มีประการ </DD></DL>ต่าง ๆ อยู่จนกร่อนไป ย่อมไม่รู้รสแกงป่า 'นี้รสเค็ม, นี้รสจืด, นี้รส
ขม, นี้รสขื่น, นี้รสเผ็ด, นี้รสเปรี้ยว, นี้รสฝาด ฉันใด; คนพาลเข้า
ไปนั่งใกล้บัณฑิตลอดชีวิต ย่อมไม่รู้ธรรมมีประการดังกล่าวแล้ว ฉันนั้น
เหมือนกัน.

<DL><DD>ในกาลจบเทศนา จิตของพวกภิกษุอาคันตุกะ หลุดพ้นแล้วจาก </DD></DL>อาสวะทั้งหลาย ดังนี้แล.

<DL><DD>เรื่องพระอุทายีเถระ จบ. </DD></DL>

 

อะไรกันนี่ เหมือนมีจังหวะให้กิเลสเข้าเสียบเลย เห็นไหมนี่แหละสภาวะธรรม เกิด ดับ เช่นกัน กิเลสมันรอคอยเวลาจะเข้าทับถมย่ำยี ทั้งจิตใจตนเองและผู้อื่นตลอดเวลา เพราะไม่รู้ว่าอะไรเป็นเหตุกันแน่พอกิเลสมันสบช่องทางมันก็ตั้งกระทู้ทันที เพราะดูเป็นเรื่องที่แตกต่างกัน มองเห็นเขาดีกว่าเลวกว่า โอ้กิเลส นี่สกปรกจริงๆ ไม่ว่าจะอยู่ตรงไหนที่ไหนเมื่อไหร่ก็สกปรกจริงๆ ขอแค่สบช่องได้โอกาส เข้าเสียบทันที นี่ก็เหมือนกัน

 

ปาก ผู้หญิง มันนึกว่ามันกัดเจ็บ
มันไม่มีใครรู้สึกหรอก เรื่องแค่นั้น แต่ที่อยากจะดูต่อไป ดูซิว่า มันจะแต๋วแตกได้แค่ไหน

เอ็งคิดว่า ไอ้คำยั่วเหมือนปากผู้หญิง นี่มันยั่วคนมีสติได้จริงหรือ
นั่นแหละ สอนให้เท่านี้

 

ก็บอกแล้วไงว่าอย่าว่าตัวเองอย่างนั้นสิ อย่าลืมนะว่าอยู่ในสถานะภาพของผู้มีสติอยู่ไม่ใช่เหรอทำไมไปด่าว่าตัวเองอย่างนั้นละครับ ยั่วได้ไม่ได้ก็ออกมาเป็นพรวนขนาดนี้แล้ว ยังจะต้องถามอีกเหรอลุง เผลอถามออกมาหรือไม่มีสติมาตั้งแต่ต้นละนี่

ไม่ได้สอนใคร เพราะถ้าจะสอนใครเราต้องดีจริงๆจึงสอนได้

 

ไอ้ที่ออกเป็นพรวนนั้น มันก็มีอยู่ว่า ใครยั่วใคร

จะมองมุมเดียว เข้าข้างตนก็ได้ ไม่มีใครว่า

แต่เอาเถอะ คนคิดจะมาพิสูจน์ธรรม ถ้ามาด้วยวิธีนี้ก็โง่ ฉิบหาย

555 วันนี้ ก็ไม่อยากพูดอะไรมาก เพราะมันจะมีคนกลับไป นอนไม่หลับ กระสับกระส่ายอีกหลายวัน

 

คนเรา ถ้าจะพิสูจน์ธรรมของคน ตนเองต้องมีธรรม

แต่ถ้า เอาความโง่มาพิสูจน์ ความโง่ มันก็โง่ต่อไป เพราะว่า ตัวเองไม่มีธรรม แต่เอาความโง่มาพิสูจน์ คน มันจะได้หรือ

เช่น ว่า ลองให้เขาโกรธซิ หรือ ลองดุซิว่าเขาจะรู้เราไหม อันนี้มันคนโง่ พิสูจน์

มันไม่มีประโยชน์อะไร นอกจาก เพิ่มความโง่ กับเพิ่มบาปกรรมให้ตัวเองยิ่งๆ ขึ้นไป

ถ้าคนฉลาดจะพิสูจน์ธรรม ต้องทำตัวให้มีธรรมให้สูง แล้วจึงจะรู้ได้ว่า ใครมีธรรมสูงกว่าเรา

แล้วเราจะไม่สงสัยเลย ว่าใครมีภูมิมากกว่าเรา

แต่ถ้า อวดโง่ มาพิสูจน์ นี่มันก็โง่ต่อไป

การเอาตรรกะโน่นนี่ มาโยงใยกันให้ได้คำตอบมา ว่าคนนั้น เป็นแบบนั้น แบบนี้ เป็น เรื่องของกิเลสของตนทั้งสิ้น

ไม่มีทางรู้เห็นได้จริง นั่นแหละ บอกให้ฟัง