พวกดื้อรั้นจะให้จิตเป็นวิญญาณขันธ์ให้ได้

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมภูต, 28 มกราคม 2010.

  1. center-in-center

    center-in-center เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มกราคม 2009
    โพสต์:
    458
    ค่าพลัง:
    +1,717
    ถ้าในบอร์ดนี้คุยกันอย่างสุภาพ กัลยาณมิตร ก็จะดีไม่น้อย
    ขอให้คุณๆท่านๆ ผู้มีคุณธรรมสูง จงย้อนกลับไปดูคำพูดคำจาของท่านที่ผ่านมาหลายๆกระทู้เถิด..

    สาธุ
     
  2. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ในกรณีต้นไม้ คนที่ไม่เข้าใจเรื่อง กฏแห่งกรรม คืออะไร ไม่ชัดว่า กรรม คืออะไร
    เวลาพูดถึง จิต ชีวิตินทรีย์ ก็มักเลยเถิด แล่นไปยัง ต้นไม้

    และเพราะความผูกว่า มีจิตเมื่อไหร่ จิตนั้นย่อมต้องไปสู่นิพพาน เห็นจิตคือนิพพาน
    เห็นนิพพานเป็นสภาพธรรมที่จิตต้องเข้าไปอยู่ มีจิตเมื่อไหร่มีสถานะนิพพานรองรับ
    เสมอ แต่ขาดความเข้าใจ กฏแห่งกรรม หรือ กรรม ก็จะทำให้แล่นไปยัง ต้นไม้

    ก็ต้องกลับมาทำทวนผูกหลักคำนิยาม นิพพาน โดยนัยยะว่า นิพพานคือสภาวะสิ้นกิเลส
    (สิ้นการกระทำกรรม)

    เมื่อผูกคำว่า นิพพาน คือ สภาวะสิ้นกิเลส คราวนี้ ก็จะได้ หลักกฏแห่งกรรมกลับคืนมา

    เมื่อได้หลัก กฏแห่งกรรม กลับคือมาในเรื่องที่ต้องสิกขาแล้ว ก็จะตัด ต้นไม้ ออกไป
    อัตโนมัติ เพราะรู้อยู่ว่า ต้นไม้ไม่ได้เคลื่อนไหว ยังชีพ ด้วยเจตนา กล่าวอีกนัยหนึ่ง
    คือ ต้นไม้มันกระทำกรรมไม่ได้ กล่าวในหลักการคือ กฏแห่งกรรมไม่มีสำหรับต้นไม้

    ชี้ให้แบบนี้แล้ว ถ้ายังเห็นต้นไม้มีจิต แล้วยังเลยเถิดว่า จิตคือนิพพาน อยู่อีก เดี๋ยวก็คง
    ไปกราบต้นไม้กัน เพราะต้นไม้นั้นเป็นจิตที่ปราศจากกิเลสตั้งแต่เกิด(อรหันต์ตั้งแต่
    เกิด) คงทิ้งทิฏฐิอันหมองต่อปัญญาลงไปไม่ได้ว่า ต้นไม้มันนิพพาน การทีมันยืนต้น
    ได้แล้วแสดงให้เห็นธรรมในตัวมันว่าสิ้นกิเลสตัณหาเป็นอย่างนี้ๆ เรา(ต้นไม้)มีปรกติ
    เป็นอย่างนี้ๆ เดี๋ยวก็คงยกเป็น ศาสดาผู้สอนสภาวะนิพพานไปด้วย

    ตามพระไตรปิฏก อธิบายไว้แล้วว่า ต้นไม่เป็นสิ่งมีชีวิตที่อาศัย อุตุ(1) อาหาร(2)
    จิตธาตุรู้(3) ในการเกิด แต่ไม่เรียก ปฏิสนธิจิต เพราะมันไม่ได้อาศัย กรรม(4)-(นามขันธ์)
    ในการเกิด [ หลักอธิปัจจัยตา ยังใช้ได้เสมอ ]

    แต่ถ้าเป็นกบฏศาสนาก็อาจจะพูดได้ว่า ต้นไม้มันละอุปทานขันธ์เป็นสมุทเฉทตั้งแต่เกิด
    ดังนั้น ต้นไม้นิพพานแล้วแน่นอน เพราะกบฏศาสนาจะยืนที่ว่า มีจิต 1 และ ไม่มีอุปทานขันธ์(2) เป็นพอ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 มกราคม 2010
  3. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    ถือเสียว่าแนะนำแล้วกันนะครับ หากเรายึดมั่นถือมั่นในสิ่งใดก็ดีล้วนแต่เป็นการปิดกั้นตนเองทั้งสิ้น ตรงส่วนนี้ไม่รู้จริงไหม พิจารณาเอา สิ่งที่เห็นเป็นเพียงผลที่เกิดกับปัจจัยต่างๆเท่านั้น ในที่นี้หากใครบอกว่าไม่มีกิเลสเลย ไม่เคยทำผิดเลย แสดงว่าเขาต้องโกหกแน่นอนจริงไหม ดังนั้น การที่คนเราเมื่อรู้ว่าสิ่งใดควรและสิ่งใดไม่ควรเมื่อในอดีตแล้วนั้น หากยังจะทำอยู่จะเรียกว่า เขารู้แล้วได้ยังไง คงไม่ต้องตอบเพราะทุกคนคงทราบดีถึงคำตอบ อีกทั้งจะบอกว่า แม้อดีตจะเกิดขึ้นแล้วเป็นไปแล้วอย่างไร ก็คงไม่มีใครกลับไปแก้ไขมันได้ ทำได้เพียงนำมาระลึกพิจารณา หาจุดบกพร่องเพื่อแก้ไข อีกทั้งเป็นธรรมทานในสิ่งที่ผิดพลาดที่ได้กระทำไปให้ผู้อื่นไม่พึงปฏิบัติ ตามกำลังความสามารถตามสมควรแก่ฐานะที่ผู้แนะนำและผู้รับฟังจะนำไปใช้ได้ ด้วยปัญญาของตนเอง
    ลองนึกดูให้ดีๆว่า ผิดแล้วรู้กับไม่รู้ว่าผิดนี่ต่างกันแค่ไหนนะครับ
    อนุโมทนาครับ
     
  4. albertalos

    albertalos เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,462
    ค่าพลัง:
    +1,137
    จิต ก้คือ นามขันธ์ ของปุถุชน ที่มีอัตตากันโดยทั่วไป
    จิต ในสภาวะที่หลุดพ้น จะเห็นและเข้าใจได้ ต้องเป็นพระอรหัน
    พระเสขะทั้งหลายยังคงมีกิเลสยังคงถูกคลุมเคลือในวิชาไว้จะเห็นสิ่งที่แท้ทั้งหมดไม่ได้

    งั้นจิตที่คุนเจ้าของกระทู้รู้และเข้าใจก้เพียงตามกำลังของปัญญาเท่านั้น
    เหมือนธรรม ประโยคเดียวกันแต่คนฟังแล้วเข้าใจได้แตกต่างกันมาก
     
  5. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    เรื่อง จิต ที่เกิดดับที่ว่ากันนี้ ก็เป็นการสอน ของครูบาอาจารย์ ผมเองก็เคยได้ยิน ครู บาอาจารย์ สายวัดป่า ท่านก็สอนว่า " ใครว่า จิตไม่เกิดไม่ดับ ผู้นั่นเป็นมิจฉาทิฐิ "

    ซึ่ง ในส่วนนี้ เราก็ต้องศึกษาไปให้แจ้ง ด้วยตัวเอง

    สำหรับในส่วนอภิธรรม จะว่าเป็นจิต หากผู้ใดจะเข้าใจ ว่าเป็น อาการของจิต ก็อยู่ที่การสอนของครู บาอาจารย์ หากเชื่อฟังคำสั่งสอน ของครูแล้ว ย่อมไปที่ถูกทาง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 มกราคม 2010
  6. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    ฐีติจิต หรือ จิตเดิมแท้ ไม่ได้ดับไป หลวงปู่มั่นบอกว่า จิตเดิม ประภัสสร เป็นเพราะกิเลสจรมาจึงหมองมัว

    ทีนี้ ถ้าพูดคำว่า จิตเดิมแท้นี้ หมายถึงสาธารณะก็ไม่ใช่ เพราะถ้าอย่างนั้นแล้ว เราก็ยิ่งไม่มีทางทำให้จิตเดิิมแท้นี้ สะอาดได้เลย เพราะว่า มันเป็นสาธารณะ ของทุกคน

    เราก็มาดูว่า ถ้าเป็นของบุคคล แล้วทำไมจึงบอกว่า จิต นั้นเกิดดับ ก็ตอบว่า ก็เพราะไปหลงจับกับสมมติ มันก็เลยเกิืดดับ ตามสมมติ แล้วถามว่า สมมติดับไป จิตนี้ดับไปด้วยไหม
    ตอบว่า เปล่าเลย ไม่ได้ดับ ใครจะว่า จิตดับตรงนี้เกิด ดวงใหม่สืบต่อกันไปกลายเป็นชีวิตอินทรีย์ ขึ้นมานั้น จริงแท้เพียงใด
    ตอบว่า สืบใหม่ในเรื่องสมมติ แต่ความเป็นบุคคลนั้นยังอยู่ ลองคิดดูว่า อายตนะที่ปรากฎเกิดดับ ใครเป็นคนรับรู้ แล้วถ้า อายตนะเหล่านั้นดับไปแล้ว แม้เกิดใหม่ ก็จิตดวงนี้ก็รู้สึกได้ ทีนี้ ก็ ย้อนกลับมาว่า เพราะว่ามี อวิชชา จึงมีอายตนะ แล้วถ้าอวิชชาหมดไปแล้ว ก็เท่ากับ จิตดวงสุดท้ายดับไป จะไม่มีอะไรเหลือเลย ก็ไม่ใช่ เพราะว่า

    หลวงปู่มั่น กล่าวไว้ว่า อะไรคือ พ่อแม่ อวิชชา ตอบว่า ฐีติจิต นั่นเอง

    เราก็เลย เหมาเอาว่า ฐีติจิตนั้น เกิดดับ

    ตอบว่า ก็จริง เกิืดดับ แต่ว่า ไม่ตาย ไม่สูญ ไม่สิ้นสภาพบุคคล แต่ไปเกิดดับ ตามสมมติ ที่ จิตนั้นไปแฝงตัวด้วยอวิชชา ไม่ใช่ว่า เกิดดับ แล้วสูญไป

    ดังนั้นจึงต้องทำความเข้าใจให้ตรงกันเรื่องนี้
     
  7. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    หลวงพ่อสงบ เล่าถึงหลวงตามหาบัวตอนพบฐิติจิตไว้ประมาณนี้

    ตอนนั้นนะ หลวงปู่มั่นท่านละสังขารไปแล้ว หลวงตาก็ภาวนาต่อ วันหนึ่งภาวนา
    ลงเป็นผล จิตรวม สว่างไสว พบจิตเดิมแท้สว่างไสว มองไปในภูเขาทะลุทะลวง
    หมด ท่านก็เอะใจขึ้นมาว่า เอ..หรือเราจะบรรลุธรรมแล้วหนอ ครูบาอาจารย์ก็
    ไม่อยู่ให้ถามแล้ว( แต่พวกภาวนาไม่เป็นนี่ จะอ้างว่าถามหาครูบารอาจารย์ได้อยู่ )
    แล้วจิตก็ย้อนมาเห็น จิตที่มันสงสัย จิตที่มันถามหาครูบาอาจารย์
    มันกำลังครอบงำอยู่(มานะ) ก็เกิดสติเห็นเลยว่า ธรรมะกำลังแสดงตัวอยู่ว่าไม่ใช่

    ท่านหลวงตาก็บอกเลยว่า จิตเดิมแท้ สว่างไสว มันมองทะลุอะไรได้หมด แท้จริง
    แล้วมี่มันสว่างได้นั้น ก็เพราะอวิชชามันสว่างไสว และอวิชชามันพาทะลุทะลวง
    แล้วเผลอหลงไปตามอวิชชาพาไปเห็น ไม่ได้ย้อนมาดูที่จิต

    และที่แท้ จิตสว่างไสวนี่ มันก็คือ กองขี้ควาย!!!! [ จัดเป็นกองทุกข์นั่นแหละ ] ต้อง
    ภาวนาต่อ งานยังไม่จบ หากพอใจแค่จิตสว่างไสวก็ภาวนากอดขี้!! พอจบตรงนี้ไป
    ได้นะ คนที่ถึงเขารู้ แล้วเขาไม่ต้องไปเรียกอะไรมันอีกว่าเป็นอะไร [จะต้องเรียกทำไม
    ก็ปัญญามันระลึกรู้อยู่ทุกขณะแล้วไปเรียกเมื่อไหร่ ก็เป็น อุปธรรม ]

    [ อย่างไรก็ลองไปฟังบ่อยๆ ฟังให้มากๆ แหล่งที่ฟังนั้น คงไม่ต้องบอก ป่านนี้น่า
    จะรู้จักกันหมดแล้ว ]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 มกราคม 2010
  8. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    จิตที่ไม่เกิดไม่ดับ จะปรากฎก็ต่อเมื่อ ถูกตัดกระแสแห่งกิเลสแล้วเท่านั้น เมื่อนั้นความเป็นพุทธะ จึงบังเกิดขึ้น ...... หลวงปู่พุธ ฐานิโยกล่าวไว้

    หากท่านผู้ใด ถึงสภาวะนั้นดังที่หลวงปู่พุธ ฐานิโย ท่านกล่าวไว้ ผมขอกราบอนุโมทนาด้วยครับ
     
  9. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    มาดูการใช้คำว่า "ไม่ตาย ไม่สูญ" กัน

    คำสองคำนี้ มันก็มาจาก ตายแล้วสูญ

    พวกที่เห็นว่า ตายแล้วสูญ ก็คือ พวกไม่เชื่อกฏแห่งกรรม ไม่เชื่อการเวียนว่ายตาย
    เกิดไม่เชื่อเรื่องอธิปัจจัยตา ไม่เชื่อเรื่องปัจจัยการ จึงเกิดทิฏฐิว่า เมื่อสิ้นชีวิตที่
    มีอยู่ขณะนี้ทุกอย่างก็สูญไป

    ก็จะเห็นว่า ตายแล้วสูญ ไม่ตาย ไม่สูญ เป็นคำที่เอาไว้ปราบทิฏฐิข้างต้น ปราบได้
    แล้วก็จบไป ไม่ต้องยกมากล่าวอีก คนที่เห็นวัฏสงสารแล้ว ย่อมไม่ถอยกลับไป
    เห็นตายแล้วสูญอีก

    บุคคลที่ละทิฏฐิอันเป็นมิจฉาทิฏฐิเหล่านั้นลงแล้ว หากคนสอนยังยกคำว่า ตายแล้วสูญ
    ไม่ตาย ไม่สูญ มาพูดอีก ก็เท่ากับว่าคนๆนั้น ไม่รู้เรื่อง หรือไม่ก็สอนไม่
    เป็น สอนแบบละเอียดแบบปัญญาไม่เป็น สอนได้แต่แนวทางปฏิบัติที่ตนทำมา
    เท่านั้น จึงยังเผลอยก สัมมาทิฏฐิมาพูดในขณะคนเหล่านั้นได้ละมิจฉาทิฏฐิที่ไม่
    ดีไปแล้ว เท่ากับแสดงธรรมแบบไร้ประโยชน์ เป็นโมฆะ เป็นของว่างทางปัญญา
    ไปโดยปริยาย

    แล้วจะหนักกว่า หากหยิบเอา ไม่ตาย ไม่สูญ ไปอธิบายสภาวะจิตสุดท้ายกับคน
    ที่ได้ละมิจฉาทิฏฐิที่เกี่ยวข้องไปแล้ว ก็จะแปลว่าคนกล่าว เป็นพวกยึดทิฏฐิอยู่(เห็น
    สัญญาเป็นปัญญา) หรือกล่าวเปรียบเทียบเพราะมานะอาสวะที่หลงเหลือ หรือ ไม่ก็
    ไม่มีฐานะ

    จึงยกคำแบบไม่มีความจำต้องกล่าวมาพูดพร่ำเพื้ออยู่อย่างนั้น
     
  10. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    ตัวท่านเองคงจะยกแต่ คำกระชับความมาตลอดเลย อย่างนั้นสิท่า ฮาสามตลบ
     
  11. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ก็เอาแต่จำหลัก กล่าวกระชับ กล่าวสั้นๆ เอาทิฏฐิ แนวทางตนขึ้นเป็นใหญ่

    เลยไม่รู้ความ อ่านไม่เห็น

    เขาพูดว่า ยกมาที่เป็นประโยชน์ ไม่ได้พูดว่า ต้องกระชับหรือไม่กระชับ
    (แบบลีลากู) ของมีประโยชน์ ต่อให้ยาวมันก็มีประโยชน์วันยันค่ำ ของ
    ไม่มีประโยชน์จะยกมาสั้นหรือยาว ก็ไร้ประโยชน์
     
  12. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    เอาไว้ ค่อยคุยกัน วันนี้ ขี้เกียจเถียง
     
  13. นาคเกสร

    นาคเกสร Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มกราคม 2010
    โพสต์:
    48
    ค่าพลัง:
    +95
    จิตก็คือธรรมชาติ ธรรมชาติคือธรรมะ ฮ่าๆๆๆ
     
  14. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ;aa8

    ขอมิวสิค ก็จัดให้ เพลง รางวัลแด่คนช่างคิด

    [music]http://charyen.com/jukebox/asx_file/oldsong4401.wma[/music]

    เผลอคิดแล้วรู้ รู้ลุกเดียวนะ แหะ แหะ
     
  15. tleelapo

    tleelapo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,151
    ค่าพลัง:
    +2,508
    สำหรับผมแล้ว คำชี้แจงของท่านธรรมภูตเข้าใจง่ายดี และให้ความกระจ่างแก่ผมมาก ขออนุโมทนา ครับ แต่อีกหลายท่านผมก้อเข้าใจ เหมือนกัน ตามแบบการดูจิตของท่านอาจารย์ ปราโมทย์ ปราโมชโช เพราะผมก้อฟังเทปและปฏิบัติเหมือนกัน และก้อ ยังไม่ค่อยเข้าใจในบัญญัติธรรมเท่าไร แต่ ผมเชื่อตามอาจาร์ย สายพระป่า ว่า คนเรามีใจเดียว เดิมแท้ ตามหลวงปู่ เทสก์ ครับ ก้อลองไปปฏิบัติดู ดีกว่า ถ้าติดขัด ก็ค่อยมาหาคำตอบ จากผู้รู้ ละ่กัน
     
  16. สรรเพชร

    สรรเพชร สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2009
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +3
    ผมไม่ได้หัวดื้อครับและต้องของโทษท่านธรรมธภูตด้วยที่ผมเห็นว่าจิตก็คือวิญญาณขันธ์ครับ
     
  17. วิศว

    วิศว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,349
    ค่าพลัง:
    +5,104
    ความอัศจรรย์ในธรรมขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    สำคัญอยู่ที่ เราลงมือปฏิบัติเอง รู้เองเห็นเอง ในผลการปฏิบัติของตน

    ตรงกับธรรมที่องค์พระศาสดาทรงตรัสฯทุกประการ

    จึงจะเรียกว่า สวาขาตธรรม

    โอปนะยิโก น้อมมาสู่ใจตน ผลการปฏิบัติรู้เองเห็นเอง

    ความหายสงสัย เราหายสงสัยที่ตรงนี้ หมดวิจิกิจฉาที่นี่

    ที่ใจรู้ธรรมเห็นธรรม ด้วยตนเอง

    ไม่ใช่หายสงสัยจากการอ่าน ฟัง ได้ยินจากผู้อื่นหรือครูบาอาจารย์

    ใจเพียงแต่เชื่อด้วยศรัทธา เท่านั้น

    แบบนั้น ใจไม่ลงด้วยธรรม เพราะไม่ได้รู้เอง เห็นเอง

    ความอัศจรรย์ของใจ อยู่ที่ตรงนี้ ผู้ปฏิบัติรู้เอง เห็นเอง

    เพราะธรรมขององค์พระศาสดาเป็นธรรมที่ไม่ผูกขาดแก่ผู้ใดผู้หนึ่ง

    เป็นธรรมที่เป็นสมบัติที่ทรงประทานแก่ทุกผู้คนที่ประพฤติปฏิบัติชอบ

    คำตอบที่สนิทใจ ผู้ปฏิบัติต้องลงมือ พิสูจน์เองเท่านั้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 28 มกราคม 2010
  18. วิศว

    วิศว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,349
    ค่าพลัง:
    +5,104
    คำว่า “เที่ยง” เป็นสิ่งที่โลกต้องการในส่วนที่พึงปรารถนา เช่น ความสุข เป็นต้น
    แต่ในความเป็นจริงของสัจจธรรม ในโลกนี้มีแต่สิ่งที่ใจเราไม่พึงปรารถนาให้เป็นไปทั้งสิ้น คือ เป็น อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา


    การพิจารณา “ไตรลักษณ์” นี้ เป็นทางดำเนินตามรอยแห่งองค์พระศาสดา
    เพื่อเป็นแนวทางแห่งการประพฤติปฏิบัติโดยลำดับ
    เริ่มต้นจากขั้นหยาบจนสู่ขั้นละเอียด ทั้งภายนอกภายใน
    ธรรมของพระพุทธเจ้าจึงเป็นสิ่งที่ไม่ล้าสมัย
    เป็น“มัชฌิมา” อยู่ในท่ามกลางแห่งความประพฤติ เพื่อแก้กิเลสทุกประเภท
    เป็นธรรมเหมาะสมกับโลกทุกกาลทุกสมัย
    จึงเรียกว่า “มัชฌิมา” คือถูกต้องดีงาม เหมาะสมกับความประพฤติ


    โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การอบรมจิตใจจิตตภาวนาเป็นเรื่องสำคัญมาก
    ที่จะนำมาทดสอบตนให้เห็นประจักษ์
    ไม่มีความรู้ใดที่จะแหลมคมยิ่งกว่าความรู้ที่เกิดขึ้นจากด้านจิตตภาวนา
    จะสอดแทรกความจริงที่มีอยู่ทั่วสรรพางค์กายและจิตใจทั้งภายนอกภายใน
    การพิจารณาต้องใช้ความพยายามพิจารณาให้ถึงใจ เรื่อง “ทุกฺขํ” ให้ชัดในตัวเรา
    ความทุกข์นั้นนอกจากขันธ์และจิตใจแล้ว ไม่มีอะไรเป็นทุกข์ในโลกนี้
    เพราะเราเป็นผู้รับผิดชอบในธาตุในขันธ์นี้


    สังขารร่างกาย จุดสุดท้ายลายทางที่สุดแห่งชีวิต คือ ความตาย
    เป็นสิ่งที่ไม่มีใครต้องการ! ต้องกลัวด้วยกันทุกคน
    ความเกิดกับความตายเป็นของคู่กัน สัตว์โลกทุกรูปนามกลัวความตาย
    จึงโดนความตายอันเป็นผลของความเกิดอยู่ไม่หยุด

    เหตุเพราะตนเองเป็นผู้หลง ตนเองเป็นผู้ยึด ตนเองเป็นผู้รับผลแห่งความยึดถือของตน
    หรือเรียกว่า “ตนเองเป็นผู้รับผลแห่งความทุกข์ของตน
    จึงต้องเรียนที่ตรงนี้ ปฏิบัติให้เข้าใจที่ตรงนี้


    เรียน “สัจธรรม” ให้เข้าใจถึงสัจธรรม อันเป็น “กฎธรรมชาติ” มาดั้งเดิม
    สัตว์หรือบุคคลบังคับไม่ได้ไม่ให้แก่ ไม่ให้เจ็บ ไม่ให้ตาย เป็นสิ่งที่บังคับไม่ได้
    มันถึงเป็นไปเช่นนั้น เป็นสิ่งที่สุดวิสัยที่ต้องยอมรับกัน ทั้งที่ขัดใจฝืนใจ

    นี่คือเรื่องของ ชาติปิ ทุกฺขา ชราปิ ทุกฺขา มรณมฺปิ ทุกฺขํ

    ทั้งทุกข์และสุขเป็น อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ที่อยู่ใน “วงสมมุติ”
    พิจารณา โดยอาศัยธาตุขันธ์เป็น “หินลับปัญญา” ให้คมกล้าขึ้นโดยลำดับ

    เมื่อจิตหยั่งทราบด้วยปัญญาแล้ว ความยึดความถือจะทนอยู่ไม่ได้
    ย่อมถอยและสลัดตัวออกตามกำลังสติปัญญา
    เพราะใจลบล้างสมมุติเหตุแห่งความหลง
    ปล่อยวางภาระหนักคือ “ภารา หเว ปญฺจกฺขนฺธา” “พร้อม” อุปาทานในจิต

     
  19. albertalos

    albertalos เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,462
    ค่าพลัง:
    +1,137
    ละกายได้ก้พ้นเกิด เกิดอีกครั้งเดียว
    ละใจได้ก้หลุดพ้น พ้นจากสิ่งร้อยรัดทั้งหลาย
     
  20. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    <TABLE class=tborder border=0 cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%"><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 5 คน ( เป็นสมาชิก 4 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"><CENTER">[ แนะนำเรื่องเด่น ] </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>นิวรณ์*, ตรงประเด็น </TD></TR></TBODY></TABLE>
     

แชร์หน้านี้

Loading...