พวกดื้อรั้นจะให้จิตเป็นวิญญาณขันธ์ให้ได้

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมภูต, 28 มกราคม 2010.

  1. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    ส่วนที่หนึ่งพระธรรมบทนี้มีความว่าแม้พระอรหันต์ด้วยกันเองก็ไม่อาจทราบว่าระจิตของพระอรหันต์ด้วยกันได้ จึงยังเป็นที่เชื่อมั่นว่า การอวดตนนั้นไม่มีแก่พระอรหันต์เพราะผู้จะรู้ว่าใครเป็นพระอรหันต์นั้นมีแต่พระศาสดาเท่านั้น จบ

    ส่วนที่สองและสาม บทความนี้เสียวจริงๆ คือ มันมีโอกาสมองให้เป็นอกุศลก็ได้ครับ น่าจะเลี่ยงๆการใช้คำบ้างก็ดีนะครับ อีกอย่างพระสารีบุตรท่านเป็นเจโตวิมุตติ เราคนธรรมดาไม่อาจรู้วาระจิตท่านได้ การก้าวล่วงนั้นเป็นโทษภัยปิดมรรคผลนิพพานครับ และการนำผู้อื่นที่ไม่ใช่มาเทียบเคียงพระสารีบุตรนั้นก็ยังไม่ใช่ทางที่ถูกที่ควรครับ พิจารณาดีๆครับ เดี้ยวหวังดีจะกลายเป็นเน่าเสียสนิทนะครับพี่ตรงจุดนี้ เพราะการแสดงธรรมของพระสารีบุตรก็ไม่ได้ใช้ฤทธิ์เดชอะไรมากมาย เป็นธรรมตามจริงล้วนๆ และว่าด้วยปัญญาพิจารณาธรรมตามจริงล้วนๆ แม้ท่านจะมีฤทธิ์เช่นเดียวกับพระมหาโมคคัลลานะหรือพระศาสดา แม้แต่พระศาสดาเองก็ไม่ได้ทรงใช้ฤทธิ์เพื่อทำให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดเลื่อมใสศรัทธา เพียงแต่บอกว่ามันเป็นได้ เป็นไปไม่ได้ และให้พิจารณาด้วยปัญญาตน ข้อนี้เป็นการเปรียบเทียบที่ไม่เหมาะสมครับ คนรู้มากไม่มีหรอกครับความจริงก็คือคนไม่รู้ต่างหาก คนจนก็ชอบบอกว่าตนรวยเป็นธรรมดา เพราะเป็นคนชอบอวดว่ามีทั้งที่ไม่มี ไม่รู้ในความเป็นจริงว่า ทำไมถึงต้องทำแบบนั้น และเท่าที่ผมทราบ
    ที่ใครบอกว่าพระสารีบุตรไม่มีอะไรนั้น พระสารีบุตรมีทุกอย่าง แต่ไม่ได้เด่นในทางด้านนั้นเหมือนพระโมคคัลลานะ ถึงกระนั้นพระโมคคัลลานะนอกจากความเมตตาสงสารที่มีต่อสัตว์ผู้หลงในโลก ก็ไม่มีอะไรแอบแฝงจึงนำความที่ไปพบเห็นในยมโลกมาบอกแก่ญาติมิตรทั้งหลายที่อยู่บนโลก หาใช่เพื่อให้เกิดความเลื่อมใสแต่ประการใดเพราะอยากให้สัตว์ทั้งหลายรู้ว่า กรรมอันบุคคลทำแล้วมีผลแน่นอน สอนให้ไม่ทำบาปละชั่ว โดยประการนั้น
    ความคิดเห็นของผมต่อข้อความของพี่ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 กุมภาพันธ์ 2010
  2. su37berkut

    su37berkut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    422
    ค่าพลัง:
    +1,121
    อ่านแล้วได้ความรู้เพิ่มมากมายครับ กับการแจกแจงธรรมของแต่ละท่าน
    ดูแล้ว ก็แล้วแต่ว่าสถานการ์ณ์ใดๆ ควรใช้พระสูตรข้อใด

    ส่วนธรรมทานต่างๆ ที่ทุกๆท่านมอบให้นั้น ผมยังไม่กล้าวินิจฉัยใดๆครับ

    อนุโมทนา...สาธุ ให้กับทุกๆ ท่านครับ
     
  3. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    ส่วนไอ้คนที่เห็นคนโน้นคนนี้ฝึกได้ฝึกไม่ได้นั้น เป็นผู้หลงแบบสุดๆ ปล่อยๆไปบ้าง จิตจะได้สงบนะครับ พี่อย่าไปกังวลทำความเข้าใจใหม่ ถ้าจะเชื่อก็ขอให้เชื่อพระศาสดา และนึกถึงเหตุผลที่พระศาสดามาปรากฏขึ้นบนโลก พวกที่หลงตนหลงตัวนั้นเชื่อไม่ได้สักคนหรอกครับ และผมไม่เคยบอกให้ใครเชื่ออะไรทั้งสิ้น เพราะต้องพิจารณาให้เห็นจริงแล้วจึงเชื่อ เชื่อแล้วจะนำเอาความเชื่อนั้นมาใช้ประโยชน์ก็ต้องรู้ว่า คนไหนควรใช้อย่างไร แต่ก็ควรเลี่ยงคำว่า ฤทธิ์ เพราะความเป็นจริง ก็คือการสังเกตลักษณะนิสัยของคนนั้นเอง ไอ้คนที่หลงก็ปล่อยๆไปเถอะ อย่าไปสนใจมากครับ แค่หนอนแทะใบลานครับ ธรรมไม่เข้าสู่ใจตนเองหรอก เที่ยวตัดสินคนโน้นคนนี้ไปเรื่อย วันหนึ่งพูดอย่างวันหนึ่งพูดอีกอย่าง เหมือนคนเสียสติ ไร้สติ เอาแต่เรื่องที่ไม่เป็นปัญญาของตนมาพูด น่าเบื่อที่สุดคนแบบนี้
    นะพี่นิวรณ์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 กุมภาพันธ์ 2010
  4. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456

    มาดูกันว่า พระสารีบุตร กำลังสอนการทำสมาธิอย่างไร

    เกริ่นย้ำก่อนว่า

    1. พระอานนท์ กำลัง ถามถึง วิธีการทำสมาธิ ของพระสารีบุตร

    2. พระอานนท์ มองไม่เห็นการเกิดขึ้นของสัญญา จึงไต่สวนหาที่มาของสัญญาอารมณ์

    3. สัญญาอารมณ์ ที่ถามถึงนั้น เป็นสัญญาอารมณ์ที่ใช้ กำกับ การทำสมาธิ
    พูดภาษาชาวบ้านคือ ใช้อะไรเป็นคำบริกรรม

    คราวนี้ ก็ลองมองย้อนที่ใจตนก่อนว่า

    1. จะยอมน้อมเห็น สิ่งที่พระสารีบุตรพูดถึงอยู่นี้ คือ การอธิบายการทำสมาธิ
    หรือไม่ หากยอมรับ ก็คุยต่อได้ หากไม่ยอมรับเพราะคิดว่าคนอื่นถกเรื่องโลก
    ก็จะวิปลาสอวดตนข่มกันไปมา ก็ว่ากันไป ไม่ใช่สาระที่ผมจะให้เสียเวลาคิด

    2. พระอานนท์ ถามแล้วถามเล่า ถึงที่มาของสัญญา ก็ต้องเอาให้ชัดเจนว่า
    ท่านสบสวนเพื่อหาว่า พระสารีบุตรใช้อะไรเป็นเครื่องกำหนดรู้ ในเมื่อคำ
    อธิบายเหล่านั้น มีแต่คำว่า "ไม่กำหนดหมาย...." ทั้งนั้น

    3. แม้จะไม่กำหนดหมาย สำคัญในสิ่งไรๆ แต่สัญญาอารมณ์ก็ปรากฏ ในคำ
    อธิบาย ก็ระบุชัดแล้วว่า เป็นอารมณ์ใด เพียงแต่ ไม่ใช่คำบริกรรมแบบที่
    เราคุ้นหู จึงอ่านข้ามกันไปเอง สิ่งที่กำหนดหมายขึ้นมาคือ "การดับภพเป็น
    นิพพาน" และเพราะสัญญาอารมณ์นี้ระลึกอยู่ในจิต สัญญาอารมณ์อื่นจึง
    เกิดไม่ได้ สัญญาอารมณ์ "การดับภพเป็นนิพพาน" จึงแนบแน่นเป็นหนึ่งเดียว
    ก็นี่ไง ที่มาของการทำสมาธิ ใช่หรือไม่ใช่เล่า!!

    ทีนี้ ก็จะมีผู้ตั้งประเด็นขึ้นว่า การทำสมาธิแบบนี้ได้ จะต้องเป็นพวกรู้โลกุตระ
    ฌาณแล้ว เพราะอาศัยความที่รู้มาว่า พระสารีบุตรก็ดี พระอานนท์ก็ดี ล้วน
    แต่บรรลุโสดาบันกันมาก่อนที่จะพบพระพุทธเจ้า จึงสำคัญว่า การทำสมาธิ
    ชนิดนี้จะต้องเป็น พวกที่บรรลุอริยบุคคลแล้วจึงทำได้

    ความในข้อนี้ เราจึงยกพระสูตรที่พระพุทธองค์ตรัสสอนพระสารีบุตรมาแสดง
    ก็จะพบว่า การทำสมาธิในแบบที่สอนพระสารีบุตร ไม่ได้จำกัดต่อฐานะของ
    พระสารีบุตรที่มีอยู่ โดยสังเกตคำว่า "เธอทั้งหลายควรศึกษาอย่างนี้แล"

    ถึงแม้จะยกคำว่า เธอทั้งหลายมาแสดงแล้ว ก็อาจจะแย้งอีกว่า ทำไม่ได้หรอก
    คนธรรมดาทำไม่ได้หลอก เราก็มาดูเนื้อหาสาระ ที่พระพุทธองค์ทรงแสดง
    แบบแทงตลอดไว้ให้ ว่าคนธรรมดาจะพึงน้อมไปได้ไหม

    "ภิกษุไม่มีอหังการ มมังการ และมานานุสัย ในกายที่มีวิญญาณนี้และในสรรพ
    นิมิตภายนอก "

    ประโยคดังกล่าว ก็คือ องค์ธรรมที่เป็นเนื้อหาสาระ ที่แสดงโดยพิสดาร(ให้เข้า
    ใจได้ง่ายๆ)ออกมา คุณก็พิจารณาดูเอาเถิดว่า....

    คนธรรมดาสามัญจะพึงรู้จัก อหังการ ไหม
    คนธรรมดาสามัญจะพึงรู้จัก มมังการ ไหม
    คนธรรมดาสามัญจะพึงรู้จัก มานานุสัย ไหม
    คนธรรมดาสามัญจะพึงรู้จัก ในกายที่มีวิญญาณนี้ ไหม
    คนธรรมดาสามัญจะพึงรู้จัก สรรพนิมิตภายนอก(ส่งจิตออกนอก) ไหม

    ก็เหล่านี้แล หากคนธรรมดาสามัญสามรถน้อมเห็นได้

    "เรากล่าวว่า ตัดตัณหาถอนสังโยชน์ทิ้งกระทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ เพราะการ
    รู้ด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยการละมานะโดยชอบ"

    นี้จะเป็นพุทธพจน์ที่เป็นจริงหรือไม่จริง แล้วเป็นการทำสมาธิที่คนทั้งหลาย
    น้อมไปทำได้หรือไม่ได้

    แต่...... พวกคุณๆ อาจจะน้อมกลับไป ลักลั่นกลับไปว่า แล้ว
    "อหังการ มมังการ มานนานุสัย ในกายที่มีวิญญาณนี้ สรรพนิมิตภายนอก"
    เหล่านี้ เกี่ยวข้องกับ "ภพ" ในสัญญาอารมณ์ "การดับภพเป็นนิพพาน"
    มันเกี่ยวข้องอะไรกัน ก็โปรดพิจารณากันเอาเองด้วยการปฏิบัติดู เพราะ
    หากใช้คิด ก็รับรองว่า จะเห็นแต่คำว่า "ภพที่เป็นสิ่งมี" แทน "ดับภพ" อันเป็น
    อรรถทางธรรมที่มีนัยยะสำคัญ
     
  5. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    คุณ นิวรณ์ อย่าตีความสุดโต่งว่า คนธรรมดาทำไม่ได้
    ต้องเป็นอริยบุคคลแล้วจึงจะทำได้

    ก็พูดไปหยกๆว่าพระสูตรนั้น เหมาะแก่ คนที่วิปัสสนาเป็นแล้ว มองเห็นสิ่งที่เป็นไตรลักษณ์แล้ว

    นอกจากนี้ คุณยังต้อง เข้าใจก่อนว่า คุณเข้าใจความหมายในพระสูตรนี้ดีเพียงใด

    ให้ อธิบาย การกระทำ การปฏิบัติจริงตามพระสูตรนี้ ไม่ใช่ไปยกมาว่า คนกล่าวถึงพระสูตรนี้ เป็นอย่างไร ใช้เจโต หรือไม่อย่างไร

    เมื่อคุณยังอธิบาย แนวทางปฏิบัติพระสูตรนี้ไม่ถูกต้อง คุณก็อย่าหยิบพระสูตรมาอธิบาย ตามทางของตนอย่างเรื่อยเปื่อย จะเป็นกรรมแก่ตน
     
  6. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    ยกมาให้ดูอีกครั้ง แล้วให้คุณพิจารณาอย่างมีสติหน่อย

    ว่า การตีความสุดโต่งอย่างขาดสติ นั้นเป็นอย่างไร
     
  7. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    แจงได้ละเอียดดีครับ แต่ผมไม่เข้าใจหรอกครับ หวังว่าคนที่เขามาถึงจุดนี้คงมองเห็นได้เช่นกัน ผมไม่มีพวกครับ และผมยอมรับครับว่าพระสารีบุตรกำลังสอบอารมณ์พระอานนท์อยู่ขณะนั้น ซึ่งถ้าจะบอกว่าลองทำดูสิครับ แบบไม่ยึดในสัญญา ดูสิว่าจะเป็นสมาธิไหม และจากวันที่พระสารีบุตรสอนพระอานนท์จนไปถึงวันที่พระอานนท์บรรลุอรหันต์ หลังพระพุทธเจ้าปรินิพพาน ๓ เดือน ห่างกันกี่ปีตรงจุดนี้พี่ว่านานแค่ไหนกี่ปีโดยประมาณพระอานนท์อาจอ้างเหตุที่ไม่บรรลุว่า เพราะต้องอุปฐากพระศาสดาก็ได้ เพราะต้องจดจำพระสูตรก็ได้ แต่ความเป็นจริงคือ การทำสมาธิแบบไม่กำหนดสัญญานั้นยากเกินกว่าจะทำได้ในระยะเวลาอันสั้น และเกินกว่าที่ผู้ไม่รู้จักสัญญาในสมาธิจะทำได้ ดังนั้นก็เป็นเหตุเป็นผลว่า ควรจะพอรู้ว่าอะไรคือสัญญาทั้งหลายในสมาธิก่อน ผมว่าควรจะเป็นลักษณะนั้นครับ ส่วนเรื่องอหังการ ไปจนถึง สรรพนิมิต ถ้ามองดีๆพี่ก็จะเห็นว่ามันเป็นลำดับของอะไร พี่ลองหาความสอดคล้องดูสิครับ ว่าอะไรทำให้เป็น

    คนธรรมดาสามัญจะพึงรู้จัก อหังการ ไหม
    คนธรรมดาสามัญจะพึงรู้จัก มมังการ ไหม
    คนธรรมดาสามัญจะพึงรู้จัก มานานุสัย ไหม
    คนธรรมดาสามัญจะพึงรู้จัก ในกายที่มีวิญญาณนี้ ไหม
    คนธรรมดาสามัญจะพึงรู้จัก สรรพนิมิตภายนอก(ส่งจิตออกนอก) ไหม

    ส่วนนี้ทั้งหมดคือลำดับการที่จิตตั้งมั่นได้หรือไม่ได้ แน่นอนคนธรรมดารู้ได้แน่ๆ เพราะนั่นไม่ใช่โลกุตระสักหน่อย และที่สำคัญเลยสมาธิคือ จะไม่มีสิ่งต่างๆเหล่านั้นเลย(ขอโทษครับเว้นอยู่ข้อหนึ่งครับ) ผมเข้าใจว่าอย่างนั้นครับ เอ่อคำสีน้ำเงิน แปลเป็นไทยแล้วมีความหมายอย่างไรครับช่วยขยายความด้วยครับ
    ก็พิจารณาอยู่เหมือนกันครับ แล้วก็ปฏิบัติอยู่เนืองๆครับ ผมรู้ทันทีว่าสมาธิลักษณะที่พระสารีบุตรสอนนั้นยากจริงๆครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 กุมภาพันธ์ 2010
  8. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ทีนี้ หากยกพระสูตรพระสารีบุตรมาตรงๆ ซึ่งประกอบด้วยคำบาลี ก็จะทำให้
    เกิดภาพเห็นว่า ควรเป็นของสูง คนต้องสูงจึงเห็น ผมก็ขอพาดูคำสอนนี้ใน
    บริบทของคำพูดที่คุ้นหู

    คนธรรมดาสามัญจะพึงรู้จัก อหังการ ไหม
    คนธรรมดาสามัญจะพึงรู้จัก มมังการ ไหม
    คนธรรมดาสามัญจะพึงรู้จัก มานานุสัย ไหม
    คนธรรมดาสามัญจะพึงรู้จัก ในกายที่มีวิญญาณนี้ ไหม
    คนธรรมดาสามัญจะพึงรู้จัก สรรพนิมิตภายนอก(ส่งจิตออกนอก) ไหม

    แทนที่ด้วยบริบทที่คุ้นเคยจะเป็น

    คนธรรมดาสามัญจะพึงรู้จัก การยึดถือว่ามีเรา ไหม
    คนธรรมดาสามัญจะพึงรู้จัก การยึดถือว่า<WBR>เป็นของเรา ไหม
    คนธรรมดาสามัญจะพึงรู้จัก การข่มคนอื่น..แลถล่มตนโดยไม่รู้สึกว่าก่ออกุศล ไหม
    คนธรรมดาสามัญจะพึงรู้จัก การรู้ลงในกายในใจตน ไหม
    คนธรรมดาสามัญจะพึงรู้จัก การส่งจิตออกนอก ไหม

    ก็จะเห็นว่า เป็นคำสอนธรรมดาๆ ที่ปรากฏให้เห็นกันอย่างเจนตา สอนได้ตั้งแต่
    คนที่พึ่งเริ่มฝึก จนถึงคนที่ยังไม่จบกิจ ไม่ได้มีความแปลก จนต้องแบ่งแยกการ
    สอนเฉพาะที่เป็นอริยบุคคลชั้นหนึ่งชั้นใดแล้วแต่อย่างใด

    จบไหม จบนะ เอวัง!!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 กุมภาพันธ์ 2010
  9. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    พี่นิวรณ์ว่าไม่ยากเหรอครับ สัญญาเวทยิตนิโรธ อะครับ อ่านไปอ่านมากลายเป็น สัญญาเวทยิตนิโรธเลย หรือ อเนญชาญสมาธิ เหมือน สุญยตสมาธิเลย พี่ว่ามันง่ายเหรอครับ คือ พิจารณาแล้วมันเป็นจิตสมาธิลักษณะนั้นครับ สงสัยคงสุดแล้วแต่วาสนาแล้วละครับ แต่คนธรรมดาก็น่าจะทำได้เพียงแต่จะค่อยๆดับสัญญาทั้งหลายลงไปเรื่อยๆ จนไม่มีในที่สุด ก็เป็นทางหนึ่ง ดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้นครับ
    อนุโมทนาครับ
     
  10. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    อย่าลืมนะพี่เค้ง

    เห็น การยึดถือว่ามีเรา
    เห็น การยึดถือว่า<WBR>เป็นของเรา
    เห็น การข่มคนอื่น..แลถล่มตนโดยไม่รู้สึกว่าก่ออกุศล
    เห็น การรู้ลงในกายในใจตน
    เห็น การส่งจิตออกนอก

    เหล่านี้ เป็นภาษาปฏิบัตินะ เมื่อเป็นภาษาปฏิบัติ ก็จะเห็นว่า มันต้องปฏิบัติ
    มาทีละข้อๆ แทงมาทีละข้อๆ ด้วยใจ

    เมื่อทำมาเรื่อยๆ ด้วยใจ จนหมุนวนรอบ ที่เรียกว่า หมุนธรรมจักร ได้ก็ย่อม
    มีฐานะที่จะแลเห็นสิ่งเคยคิดว่ายาก แต่มันปรากฏตามฐานะโดยง่ายไปเรื่อยๆเอง

    เรื่องยาก เรื่องง่าย เรื่องผิด เรื่องถูก จึงไม่ใช่เรื่องที่ผู้ปฏิบัติจะหยิบยกมา
    เป็นประเด็นในการชี้ช่องประโยชน์
     
  11. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    คุณCottonFields คุณจะพูดอะไร ผมว่าคุณควรพิจารณาให้รอบคอบก่อนนะ
    ที่คุณพูดว่าจิตไม่มีตัวตนนั้น แสดงว่าจิตไม่เคยมีอยู่จริงใช่มั้ย???
    และเป็นไตรลักษณ์ซะด้วยนั้น ขอหลักฐานอ้างอิงว่ามีที่ไหนในพระสูตรกล่าวไว้ว่า
    จิต ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา(ไตรลักษณ์)มีพระสูตรไหนที่กล่าวไว้?

    และที่พระพุทธพจน์กล่าวไว้ว่า "จิตที่ฝึกดีแล้ว ย่อมนำสุขมาให้"หละ?
    ถ้าจิตไม่มีอยู่จริงแล้วนำสุขมาให้ได้อย่างไร?
    เมื่อจิตนำสุขมาให้ได้ แสดงว่าเป็นที่พึ่งได้ใช่มั้ย?
    ฏกเกณฑ์ของไตรลักษณ์คือ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
    ถ้าจิตอยู่ในไตรลักษณ์จริงต้องเป็นทุกข์สิ แล้วนำสุขมาให้ได้อย่างไร?
    คุณกำลังกล่าวตู่พระพุทธพจน์อยู่ พึ่งสังวรให้ดีด้วยนะ

    เมื่อจิตต้องอาศัยเหตุปัจจัยในการปรุงแต่งจึงเกิดคืออารมณ์
    ถ้าจิตไม่ต้องอาศัยเหตุปัจจัยในการปรุงแต่งหละ จิตก็ไม่เกิดอารมณ์ใช่มั้ย?

    อันนี้คุณพูดถูกต้อง เพราะจิตรู้ชัดว่า อุปาทานขันธ์๕ นั่นไม่ใช่เรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา
    ใครที่ถือเอาจิตเป็นตัวตนว่า เป็นเราว่าของเรา?
    คุณCottonFields ตกลงพระอรหันต์ท่านมีจิตหรือไม่มีจิตกันแน่?
    ตกลงผู้ปฏิบัติที่บรรลุพระอรหัต์แล้ว อะไรของท่านพระอรหันต์หละที่บรรลุ?
    ใช่จิตของท่านที่บรรลุพระอรหันต์ใช่มั้ย?
    หรือร่างกาย(ขันธ์๕)ที่ของท่านบรรลุพระอรหัต์หละ?

    ถ้าใครที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ จนกระทั่งจิตบรรลุโคตรภูมิแล้ว?
    กลับกลายว่าที่บรรลุโคตรภูมินั้น ไม่ใช่จิตของท่าน แล้วเป็นจิตของใครหละ?

    ;aa24
     
  12. โป

    โป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    183
    ค่าพลัง:
    +256

    พูดได้ชอบแล้วครับ.....

    จะจิตของใครบรรลุ ก็ไม่สำคัญ...

    สำคัญที่ บรรลุแล้ว ไม่ยึดมั่นถือมั่นในตัวจิตครับ
     
  13. โป

    โป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    183
    ค่าพลัง:
    +256
    ท่านบางท่าน.....ก็กลัวตัวกูของกูไม่มี จะไม่มีผู้เสวยความสุข

    ทั้งที่บอกแล้วว่า.....ประเด็นมันอยู่ไม่ได้อยู่ที่ จิตจะมีหรือไม่มี

    หลังจากการบรรลุธรรม

    แต่ประเด็นอยู่ที่...การไม่ยึดมั่นถือมั่นในตัวจิตหลังการบรรลุธรรมต่างหาก

    แต่จะไปโทษท่านก็ไม่ได้ เพราะไปฝึกสมาธิ จะทำให้สมาธิแบบลึกๆ

    โดยไม่ถอนออกมาพิจารณาร่างกายเลย สายของท่านมันหมิ่นเหม่

    ต่อการเป็นพรหมลูกฟักและยึดถือจิตตนเองเป็นอาตมันมาก

    สมถะมากโดยไม่พิจารณามันทำให้อัตตาตนเองเหนียวแน่นนะครับท่าน

    และพิจารณาอย่างไรหนอเห็นการเกิดดับในฌานตามที่ท่า่นบอก

    มีแต่นิ่งแน่นติดสุขไม่ว่า คิดว่าตัวเองเก่ง แน่กว่าคนอื่นหรือไร

    ยอดยกให้ว่าท่านเก่ง แต่เผยแพร่ธรรมแบบผิดๆ มันๆไม่ควร


    คุณ CottonFields กล่าวไว้ถูกต้องแล้ว


    พระโสดาบันท่านรู้ว่าจิตตัวเองไม่ควรยึดมั่นถือมั่น

    ท่านไม่ถือว่าสิ่งใดใดเป็นตัวตนเลย

    จิตจะดับสลายหรือไม่ดับท่านก็ไม่เอามาเป็นอารมณ์


     
  14. albertalos

    albertalos เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,462
    ค่าพลัง:
    +1,137
    ไม่ได้เอาดิน เอา ธาตุเอา โลกนี้โลกหน้าเปนอารมเพราะเอาพระนิพพานเป็นอารม
    อารมพระนิพพานเป็นอย่างไรย่อมรู้ชัดแก่ผู้รู้จักพระนิพพานอย่างแท้จริง
    บอกได้สอนได้แต่ผู้จะรุ้และเข้าใจตามได้นั้น มันไม่เหมือนกันทุกคน
    ถึงเอาพระนิพพานเป็นอารมก้ยังคงมีอารม มีขันธ์ ครบถ้วนใจยังคงยึด มันทรงได้ต่างระดับกันตามปัญญา
     
  15. albertalos

    albertalos เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,462
    ค่าพลัง:
    +1,137
    ผู้ที่ไม่มีสติคุมทิสทาง ก้ไหลไปตามกระแสกรรม
     
  16. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    ถึงพี่นิวรณ์ ชื่อจริงในอัตภาพชื่ออะไรไม่รู้ แต่ผมชื่อเก่งครับไม่ใช่เค้ง
    จากพระสูตรนั้น ตั้งแต่สมาธิสูตรจนถึงสารีปุตสูตร พี่รู้ไหมว่านั่นคือสัญญาเวทยิตนิโรธ หรือ อเนญชาสมาธิ หรือ สุญญตสมาธิ อันนี้พี่รู้ไหมครับหรือพี่คิดว่าไม่ใช่ครับ ส่วนเรื่องยากหรือง่ายนั้นผมก็ถามไปงั้นแหละ เผื่อว่าพี่จะหลงตอบมา เพราะความจริงก็เป็นอย่างนั้นแหละแต่มีเรื่องเดียวที่จะเล่าให้ฟังคือ การอบรมอินทรีย์ พละ นั้นสำคัญมากจริงๆ ตามตัวหนังสือแล้วหากสักแต่อ่านก็รู้แค่สัญญาว่าไม่ยึดมั่นสิ่งใดๆ ไม่กำหนดสิ่งใดๆ ความจริงเป็นเรื่องของผู้มีอินทรีย์กล้าจริงๆแหละ แต่ก็ไม่เถียงว่าผู้ที่อินทรีย์อ่อนทำได้ไหม ก็ทำได้แต่ต้องเน้นสตินทรียกับปัญญินทรีย์ จึงจะทราบได้ ดังนั้นก็ถูกอย่างที่พี่ว่าอีกนั่นแหละว่าต้องพิจารณาด้วยใจ แต่อย่าลืมว่า นามธรรมนั้นละเอียดยิ่งนัก หากรูปธรรมยังไม่ชำนาญแล้ว หรือตีแตกในสมาธิธรรมอันมีรูปสัญญาเป็นอารมณ์แล้วด้วยสตินทรีย์ ถึง ปัญญินทรีย์ เชื่อว่าผลที่จะเกิดนั้นอาจพลาดท่าเสียทีหลงไปในนิมิตต่างๆวิปัสสนูอุปกิเลสต่างๆ อย่างเช่นนักปฏิบัติหลายๆคน ทั้งพระทั้งฆราวาส เวลาเขาออกมาเล่าสมาธิให้ฟังหรืออ่านเอาในหนังสือพี่ก็เห็นได้หากพี่ตั้งใจพิจารณาดีๆที่ขายตามท้องตลาด มันจะพลอยทำให้หลงออกนอกเขตบวรพุทธศาสนาเอานะครับพี่ แต่เรื่องที่พี่บอกผมขอรับไว้และจะพิจารณาต่อไปครับส่วนเรื่องที่ผมบอกพี่ไปผมขอให้พี่รับไว้พิจารณาเช่นกันครับ
    อนุโมทนาครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 กุมภาพันธ์ 2010
  17. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    คุณห่วงคนที่ภาวนามาทาง พุทธิจริต โพธิจิต ที่มีมากดั่งเม็ดทรายในพื้นมหาสมุทร หรือ !?

    ไม่ต้องห่วงหรอก หากเขามีฐานะ เขาก็ย่อมพิจารณาได้ ส่วนคนที่ไม่มีฐานะ ก็จะสงสัย
    อยู่อย่างนั้น สาระวนช่วยแก้ให้เขาอยู่อย่างนั้น ในขณะที่ พุทธิจริต โพธิจิต เขาไม่สนใจ
    ในการช่วยเหลือของคุณหลอก

    ดังนั้น หากเขาไม่สนใจ ก็ให้รู้ไว้ว่า มันเป็นเช่นนั้นเอง ผิดหรือถูกเขาย่อมพิจาณาแล้ว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 กุมภาพันธ์ 2010
  18. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    เพราะจริตแบบนั้นแหละน่ากลัวเพราะแรงมากเวลาหลงไปแล้วมันไกลกว่าคนธรรมดามากมายนัก พี่รู้เรื่องนี้หรือเปล่า ถ้าไม่รู้ก็ขอให้พิจารณาอีกแต่ถ้ารู้แล้วก็รู้แล้ว ผมไม่ได้บอกให้พี่เชื่อผม ผมแค่บอกว่าขอให้พี่ลองพิจารณาดูครับ ส่วนเรื่องอื่นนั้นมันไม่ได้มีในตัวผมมากมายนักหรอกครับ เพราะไม่ได้สงสารเพียงเพราะเห็นว่าเป็นผู้หนึ่งที่บำเพ็ญบารมีเพื่อสู่ทางที่อีกยาวไกล อาจไม่รู้จุดหมายก็ได้หากไม่แจ้งชัดในธรรมครับ ไม่ได้ห่วงครับ และไม่ได้กลัวว่าคนจริตแบบนี้จะเป็นยังไง เพราะถึงยังไงก็ควรต้องเจอ หากผิดก็เพราะเจตนาจะรู้ให้ได้ว่าสิ่งใดเรียกผิดสิ่งใดเรียกถูกแต่หากยังรู้ไม่ได้ขณะกระทำก็คงรอผลแห่งการกระทำนั้นซึ่งแน่นอน จริตแบบนี้ไม่เกรงกลัวแน่นอน ผมเชื่ออย่างนั้นจริงไม่จริงก็ลองพิจารณาดูครับ
    ผมเองก็ขออนุโมทนาในกุศลจิตของการปราถนานั้นของพี่เช่นกันครับ
     
  19. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    กลับไปศึกษาใหม่นะ เรื่อง พุทธจริต โพธิจิต มันเป็นอะไรในแบบที่คุณคิด
    จริงหรือ

    การเพียรยาวนาน อะไรนั่น มันจริงแค่ไหนเชียว แล้วจริงๆมันเกี่ยวอะไรกับ
    พุทธจริต โพธิจิต

    ความแรงทั้งหลายที่คุณกลัวเพราะไม่ถ้วนหนะ ผมไม่รับไว้นะ
     
  20. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    คุณ นิวรณ์ ให้ถอนความศรัทธา ออกจากที่เดิม

    แล้วก็ เดินทางใหม่ ทางไปพุทธภูมิ นั้นขนานไปกับ ทางไปนิพพาน

    ไม่ห่างกัน เมื่อถึงจุดหนึ่ง จะเดินเข้าทางนิพพาน คือ อริยมรรค ก็ทำได้ง่ายดาย

    ดังที่หลวงปู่มั่น ท่านเดินออกจากทางเดิม ก็เข้าสู่ มรรค ผล ได้อย่างรวดเร็ว

    แต่ถ้าไม่ถอนศรัทธาจากที่เดิม จิตจะติดเป็นบริวารเขาไป ไม่มีทางจะเข้าถึง สัจธรรม
     

แชร์หน้านี้

Loading...