พระโพธิสัตว์เป็นพระอริยเจ้าได้ไหม ?

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย tamsak, 18 กรกฎาคม 2013.

  1. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ลุงมหา รบกวนตอบคำถามที่ค้างไว้อยู่ด้วยครับ
     
  2. kongkiatm

    kongkiatm เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    190
    ค่าพลัง:
    +1,263
    อารมณ์ใจของพระโพธิสัตว์นั้น เป็นเรื่องยากที่เข้าใจ ยิ่งบารมีสูงๆแล้วด้วยนั้น ยากที่จะหยั่งถึง ยากที่จะเข้าใจ ว่าสิ่งใดถูกสิ่งใดผิด ทุกอย่างเป็นไปตามกำลังบารมีที่สร้าง มีบารมีแค่ไหน ก็รู้ เห็น และเข้าใจได้แค่นั้น

    พระโพธิสัตว์ที่มีบารมีน้อยกว่า ก็ไม่เข้าใจ อารมณ์ จิตใจของพระโพธิสัตว์ที่มีกำลังบารมีมากกว่าได้
    ปุถุชนคนธรรมดา ก็ไม่เข้าใจ ในความเป็นพระอริยะเจ้าได้

    สิ่งเหล่านี้ต้องเกิดจากผลการปฏิบัติแล้วจะเข้าใจเอง
    ส่วนเรื่องการลดละตัดกิเลสของพระโพธิสัตว์นั้น ทำได้หรือไม่ ถ้าทำได้ ทำได้อย่างไร ไม่ควรนำมาคิดคำนึงถึงมากนัก จะทำให้เกิดความฟุ้งซ่านรำคาญใจได้
    การสร้างบารมีของพระโพธิสัตว์ยาวนานมากนัก บารมีทุกตัวรวมลงที่ใจเป็นสำคัญ ทุกอย่างย่อมมีเหตุปัจจัยสนับสนุนเสมอ ขอให้สร้างเหตุที่ดี เพื่อผลที่ดีในอนาคตภายภาคหน้าเถิด
     
  3. justpon

    justpon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +467

    กำลังฌานในการข่มกิเลสกดทับไว้หากยังไม่ได้เป็นพระอริยเจ้าก็จะไม่สามารถละกิเลสนั้น ๆ ลงได้ ขนาดผู้ที่ทรงฌาน4 ใช้กำลังกดไว้ตลอดยังไงสักวันกิเลสก็จะสามารถโผล่ออกมาได้เพราะเราไม่สามารถทรงฌานไปตลอดจนถึงตายได้ ขนาดหลวงตามหาบัวท่านยังเคยกล่าวไว้ตลอดที่ท่านปฏิบัตโดยใช้อสุภะเข้าสู้กับกิเลส ท่านบอกทีแรกกิเลสท่านนึกว่าหมดไปแล้ว แต่ลองปฏิบัติไปเรื่อย ๆ จะมีจุดนึงที่กิเลสโผล่ขึ้นมานะครับ ท่านต้องใช้วิธีอีกวิธีในการกำจัดกิเลส ใช้แต่กำลังฌานโดยไม่มีวิปัสสนา จะมีปัญญาในการละกิเลสได้อย่างไร การจะรู้ว่าท่านบรรลุธรรมนั้น หลวงพ่อท่านให้ทวนตนเองในสังโยชน์ 10 ประการ 1-3 โสดา สกิทา 1-5 อนาคา 1-10 อรหันต์ แล้วไม่ใช่ทวนโดยการเข้าข้างตนเองนะครับ...

    จนถึงตอนนี้แต่ละท่านที่แย้งมาไม่เห็นใครจะตอบคำถามที่ผมถามกลับได้เลยเกี่ยวกับ การที่พระเวสสันดร และ เจ้าชายสิทธัตถะ ที่แต่งงานและมีลูก อารมณ์ไหนที่ว่าเทียบพระอนาคามี พระอรหันต์ .... ผมจึงใช้คำว่าท่านรู้ และมีอารมณ์เทียบ ไม่ใช้ทรงอารมณ์ หรือ มีมากกว่าแต่อย่างใด แล้วที่ผมยกมาเนี่ย ปรมัตถบารมี ก่อนตรัสรู้นะครับ ....

    อ้อ แล้วที่พวกทุกบางคนบอกหาพุทธภูมิบารมีเยอะ ๆ มาตอบน่ะ ผมว่าคุณไปอ่านคำตอบที่เจ้าของกระทู้ไปถามท่านจะดีกว่านะ นั่นน่ะ พุทธภูมิบำเพ็ญบารมีมาน่าจะ สิบอสงไขยกว่าแล้ว คุณรู้หรือไม่ลูกศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุงน่ะ ถ้าตามท่านตั้งแต่ต้นน่ะ สิบอสงไขยกว่ากันแล้ว ไม่รู้ว่าจะมากพอไหมสำหรับพวกคุณ แต่ตอนนี้ส่วนใหญ่ลาตามหลวงพ่อกันหมด...

    แล้วในส่วนที่พวกคุณคิดว่า จะเชื่อแต่ปัญญาแห่งตนนั้น คุณก็เชื่อไปเถอะ ไม่มีใครห้ามได้หรอก เพราะนั่นมันเรื่องของคุณ แต่ถ้าหากมีจิตใจที่เปรียบเสมือนน้ำในแก้วที่ยังไม่เต็มแล้วล่ะก็ลองพิจารณามิจฉาทิฐิบ้าง ไม่ใช่เอาแต่คิดว่าเราเป็นน้ำเต็มแก้ว อย่างนี้อีกนานปฎิบัติไปก็ไม่สำเร็จ ถามว่าคุณจะไปรู้เรื่องพระอรหันต์ พระโพธิสัตว์บารมีปรมัตถบารมีได้ยังไง คุณเก่งกว่าหรือ คุณได้คุณธรรมสูงกว่าหรือถึงได้ทราบ อย่าคิดว่าใช้ปัญญาแห่งตนมานั่งเทียนเดาเอาเลยครับ เสียเวลา....
     
  4. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    เราท่านทั้งหลายเคยทราบหรือไม่ว่า

    เมื่อยังไม่ใช่พระอนาคามี ขึ้นไป แม้เป็นได้ถึงพระโสดาบัน หรือพระสกิทาคามีแล้วก็ตาม แต่เมื่อเวลามาเกิดใหม่ ท่านพระอริยะเหล่านี้
    เกิดมาใหม่ ก็ต้องมาเริ่มต้นใหม่ ในการสร้างบุญบารมีและปฏิบัติธรรม และอย่างที่กระผมเคยกล่าวไว้ ว่า แม้พระอริยะเหล่านั้นคือพระโสดาบันและพระสกิทาคามีเป็นผู้มาเกิดใหม่นั้น ต่างก็มาเพื่อใช้วิบากกรรมซึ่งไม่ต่างกับพระโพธิสัตว์เลย ก็คือเป็นไปตามวิบากกรรม หากต้องมีครอบครัว มีลูกเมีย ก็ต้องมีหนีไม่พ้น แต่ในขณะเดียวกัน ด้วยวาสนาบารมีเดิม ก็ย่อมทำให้จิตก้าวล่วงไปสู่การปฏิบัติธรรมนำจิตก้าวขึ้นสู่ความเป็นพระอริยะได้ดังเดิมในที่สุด และจะก้าวหน้ายิ่งๆขึ้นไปได้ สำหรับพระสิกาทาคามี ส่วนพระโสดาบันหากวิบากกรรมหนักหน่วงไม่สามารถประคองจิตไว้ให้หนักแน่นได้ อาจไหลไปสู่บาปกรรมทำชั่วได้ ก็อาจตกนรกได้เช่นกันครับ ดังนั้น ทุกอย่างในวัฏฏะนี้จึงเป็นไปตามเหตุปัจจัยเสมอครับ พึงไม่ประมาทในทุกๆอย่างที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปครับ สาธุ
     
  5. ◎สุริunร์

    ◎สุริunร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2013
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +2,200

    ก็ต้องมาดูวิเคราะห์ดู ตามที่คุณtjs เคยบอกไว้ว่าต้องฉลาดในการคิดวิเคราะห์ ตามหลักเหตุและผล

    มาดูกันว่า คุณสมบัติของพระโสดาบันมีอะไรบ้าง

    พระโสดาบัน เป็นผู้มีปัญญาเล็กน้อย
    เป็นผู้มีสมาธิเล็กน้อย แต่มีศีล ๕ และสติที่บริสุทธิ์
    มีความมั่นคงในพระรัตนตรัย ไม่ถือมงคลตื่นข่าว
    ปิดอบายภูมิทั้ง4 ได้ เป็นผู้เที่ยงตรงต่อพระนิพพาน

    และนั่นก็เป็น คุณสมบัติของพระโสดาบัน ตามท่านผู้รู้เคยกล่าวไว้

    ส่วนมรรคผลใดที่บรรลุแล้ว ซึ่งเป็นสมุทเฉทประหาน ละอนุสัยกิเลสได้แล้วในขั้นนั้นๆ
    เหตุใดต้องกลับไปเพื่อบรรลุใหม่อีกรอบ ซึ่งเป็นโลกุตรธรรม
    ไม่ใช่โลกียธรรม เช่น ผู้บรรลุฌานโลกีย์ไม่เสื่อมแต่เป็นกุปปธรรม เมื่อไปเกิดเป็นพรหม
    พอหมดกำลังฌาน มาเกิดเป็นมนุษย์ ก็ต้องมาเริ่มต้นปฏิบัติใหม่ นี้เป็นเหตุผลที่พอฟังขึ้น

    ส่วนที่บอกว่า

    "พระโสดาบัน หากวิบากกรรมหนักหน่วง
    ไม่สามารถประคองจิต ไว้ให้หนักแน่นได้
    อาจไหลไปสู่บาปกรรมทำชั่วได้ ก็อาจตกนรกได้เช่นกันครับ"


    พระโสดาบันเป็นผู้มีศีล5 และสติที่บริสุทธิ์ มีธรรมอันปิดอบายภูมิได้แล้ว
    เหตุใด ท่านจะต้องประกอบ อกุศลกรรม ให้มีอันต้องไปสู่อบายภูมิได้อีกล่ะ คุณ tjs
    ท่านเหล่านั้น เห็นความจริงในขันธ์5 ละสักกายทิฏฐิได้แล้ว ซึ่งสมุทเฉจประหาน ไม่ใช่วิกขัมภนประหาน

    หรืออย่างเช่น สมมุติมี มหาท่านหนึ่ง เป็นพระอนาคามี ละกามได้แล้ว ไม่ใช่พระโสดาบัน
    ลองพิจารณาดูสิ ท่านจะมาเกิดในกามภูมิอีกทำไม ซึ่งหมายถึงมนุษยโลก และเทวโลก
    ท่านก็ต้องไปสู่ภพภูมิ ที่รองรับธรรมนั้นได้ คือ สุทธาวาส เป็นที่สถิต

    และ พระโพธิสัตว์ ที่จะลงมาตรัสรู้พร้อมบริบูรณ์ในทศพลญาณ ในชาติสุดท้าย ไม่ใช่ท่านจะลงมาแบบสุ่มสี่สุ่มห้า
    จะต้องมีการพิจารณาในห้าสิ่ง ที่เรียกว่า "ปัญจมหาวิโลกนะ"

    และพร้อมทั้งสหชาติทั้ง7 ก็ต้องลงมาเกิดร่วม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 กันยายน 2013
  6. pco-

    pco- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,162
    ค่าพลัง:
    +12,252


    ตำราเล่มที่ผมเรียนท่านก็ว่าไว้อย่างนี้เหมือนกันครับ
     
  7. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    พระโสดาบันเป็นผู้มีศีล5 และสติที่บริสุทธิ์ มีธรรมอันปิดอบายภูมิได้แล้ว
    เหตุใด ท่านจะต้องประกอบ อกุศลกรรม ให้มีอันต้องไปสู่อบายภูมิได้อีกล่ะ คุณ tjs
    ท่านเหล่านั้น เห็นความจริงในขันธ์5 ละสักกายทิฏฐิได้แล้ว ซึ่งสมุทเฉจประหาน ไม่ใช่วิกขัมภนประหาน


    ================

    เราคุยกันกันตรงคนละกาลเวลากัน เรื่องนี้ถูกต้องครับ กระผมหมายความว่า พระโสดาบัน เมื่อท่านละจากโลกนี้ไปแล้ว ท่านไม่ตกนรกแน่นอนครับ ด้วยผลแห่งการปฏิบัติ แน่นอนท่านมีสวรรค์สมบัติเป็นที่ไปครับ

    แต่สิ่งที่กระผมกล่าวคือ กระผมมองไกลไปกว่านั้น หมายความว่า เมื่อท่านใช้บุญในสวรรค์หมดสิ้นแล้ว แล้วถึงเวลาต้องมาเกิดเป็นมนุษย์นั้น

    ท่านก็ย่อมต้องมาเกิดและมีครอบครัว ลูกเมีย หรืออะไรก็แล้วแต่ อันเป็นไปตามวิบากกรรม ในอดีตที่ทำไว้ให้ผล บังเอิญว่าในชาตินี้นั้น มีวิบากกรรมเก่าที่หนักหน่วงมากๆ ก็มีโอกาส ทำบาปสร้างกรรมตกนรกได้เช่นกัน หากไม่มีปัญญาทางธรรมมากพอ หรือมีความเพียรปฏิบัติธรรมมากพอที่จะต่อสู้กับวิบากกรรมที่หนักหน่วงเหล่านั้นได้ครับ

    พระพุทธองค์เคยตรัสไว้ หากพระโสดาบัน ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบแล้วแน่นอน ไม่เกิน7ชาติ ย่อมสำเร็จเป็นพระอรหันต์ได้ แต่ในความเป็นจริง พระโสดาบันฝึกหัด หรือที่ยังมีกำลังใจไม่หนักแน่น มีสติปัญญาไม่แก่กล้า ก็มีโอกาสพลาดท่าได้เช่นกัน แต่ก็จะสามารถกลับตัวกลับใจได้ทันเพราะผลบุญในอดีตที่เคยสั่งสมไว้คอยหนุนส่งให้ก้าวหน้ายิ่งๆขึ้นไป ถ้าไม่เจอวิบากรกรรมที่หนักจริงๆ

    ดังนั้นตรงนี้กระผมจึงขอเตือนท่านทั้งหลายไว้เพื่อความไม่ประมาท เพราะบางครั้งแม้นว่าสั่งสมบุญบารมีมากมายแต่ด้วยบาปกรรมตัวหนึ่งที่ทำให้ตกนรกได้ง่ายมากๆ เสมอคือมิจฉาทิฏฐินี่เอง ครับ สาธุ
     
  8. ◎สุริunร์

    ◎สุริunร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2013
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +2,200
    ใช่ครับ ผู้ที่คิดว่าเป็นปัจจัตตังส่วนตัว ก็ต้องมาดูว่าลงกันได้กับตำราพระผู้รู้ผู้ผ่านการปฏิบัติมาอย่างโชกโชนหรือป่าว

    เราจะเก่งเกินพระศาสดา หรือครูบาอาจารย์ ผู้มีแบบแผนลงกันได้ แล้วจะใช่หรือ
    เรื่องของมรรคผล มีหนึ่งเดียว เสมือน ปิง วัง ยม น่าน ต่างสีต่างสาย สุดท้ายต้องไหลรวมสู่เจ้าพระยา เป็นจิตหนึ่ง
     
  9. ◎สุริunร์

    ◎สุริunร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2013
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +2,200
    ผมเองก็เข้าใจ ในสิ่งที่คุณกำลังเข้าใจ ไม่ได้มองไกลกันออกไปไหนเลย

    จึงได้โพสไว้ว่า

    "ส่วนมรรคผลใดที่บรรลุแล้ว ซึ่งเป็นสมุทเฉทประหาน ละอนุสัยกิเลสได้แล้วในขั้นนั้นๆ
    เหตุใดต้องกลับไปเพื่อบรรลุใหม่อีกรอบ ซึ่งเป็นโลกุตรธรรม
    ไม่ใช่โลกียธรรม เช่น ผู้บรรลุฌานโลกีย์ไม่เสื่อมแต่เป็นกุปปธรรม เมื่อไปเกิดเป็นพรหม
    พอหมดกำลังฌาน มาเกิดเป็นมนุษย์ ก็ต้องมาเริ่มต้นปฏิบัติใหม่ นี้เป็นเหตุผลที่พอฟังขึ้น"
     
  10. ลุงมหา๑

    ลุงมหา๑ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +3,937
    ข้อควร พิจารณา เพิ่มเติม

    ขออนุญาตครับ

    เรื่อง ภูมิรู้ ภูมิธรรม สูง ต่ำ

    องค์หลวงตามหาบัวนั้น องค์ท่านได้บอกเล่าเรื่อง การที่มีผู้มี ภูมิรู้ ภูมิธรรม ต่ำกว่า ว่าจะสามารถ ดูรู้ ท่านที่มี ภูมิรู้ ภูมิธรรม สูงกว่า ได้หรือไม่

    องค์ท่านได้ตอบง่ายๆให้ไปพิจารณาต่อเอาเองว่า


    "เด็กมีตา ยังสามารถมองเห็นผู้ใหญ่ได้"

    เรื่อง กิเลสของพระโพธิ์สัตว์

    การครองเรือน การละกิเลสของพระโพธิ์สัตว์นั้น
    ขอให้พิจารณาพระพุทธองค์ของเราในพระชาติสุดท้ายดูก็ได้

    แม้พระองค์จะได้ทรงสะสมพระบารมีมาจนครบถ้วน จนได้มาเกิดในพระชาติสุดท้ายแล้วก็ตาม

    จะเห็นว่าพระองค์ทรงอภิเษกสมรส และมีพระบุตร ก่อนการออกบวช ก่อนการตรัสรู้

    ดังเราจะเห็นว่า ก่อนการออกบวช ก่อนการบำเพ็ญเพียร
    พระองค์ก็ไม่ทรงทราบเรื่อง ความเป็นพระโพธิ์สัตว์ของพระองค์ เช่นกัน

    พระองค์ก็ไม่ทรงทราบเรื่อง ที่พระองค์ท่านจะเป็นพระพุทธเจ้าในพระชาตินี้ เช่นเดียวกัน

    แล้วจุดที่ต้องพิจารณาต่อคือ

    ถ้าพิจารณาเรื่องกามกิเลส จะเอามาเป็นเครื่องวัด
    ก็ต้องพิจารณาด้วยว่า แล้วพระโพธิ์สัตว์ ท่านจะเอา คู่บุญบารมีของท่าน
    ทั้งบุตร ทั้งภรรยา มาร่วมรับ กุศลผลบุญอันยิ่งใหญ่ในพระชาติสุดท้ายได้อย่างไร

    บางท่านขาดการสำรวมระวังถึงขนาดถามผมว่า
    ครูบาอาจารย์ ฆราวาส ท่านนั้น ท่านนี้ ยังหลับนอนกับภรรยาของท่านอยู่หรือเปล่า?

    ผมก็ได้แต่ละอายใจแทน ท่านที่ถามเหล่านั้น

    ด้วยประสบการณ์ของผมที่ผ่านการมีครู การมีอาจารย์มามาก หลากหลายรูปแบบ

    อาจารย์ฆราวาสบางท่าน ถึงกับ มีภรรยา จำนวนเกือบเท่า นิ้วมือทั้งสองข้าง

    แต่ที่เห็นชัดๆคือว่า ท่านสร้างวัดมาแล้วมากถึง ๑๖ วัด

    เมื่อมีผู้ถามท่านก็ตอบว่า ท่านอดสงสารคนที่เคยเป็น คู่บุญบารมีของท่านไม่ได้
    ถ้าท่านไม่รับมาอุปการะ ก็คงใหลไปตามบุญ ตามกรรม อดหยาก ยากแค้น ทำไร่ ไถนา ต่อไป

    สำหรับผมอยากจะแนะนำว่า ให้ไปมองแต่ด้านดีของท่านจะดีกว่า

    เพราะครูบาอาจารย์สายธรรมยุติ ท่านสอนผมว่า


    "เมื่อเราผ่านภูมิรู้ ผ่านภูมิธรรมใดๆ ก็ตาม"
    "ภูมิรู้ ภูมิธรรม นั้นๆ จะไม่มีวันถอยหลัง จะไม่มีวันจะหายไปไหน"
    "เมื่อเราปฏิบัติใหม่ ปฏิบัติให้เหมือนเดิม มันก็จะกลับมาได้เอง"


    และที่ต้องสำรวมระวังมากขึ้นไปอีก คือปู่มหาฤๅษีสายไสย์เวท
    ท่านอาจจะลาศีล แล้วไปทำอะไรๆ ของท่าน แล้วมารับศีลใหม่ก็ได้

    เรื่อง ภูมิรู้ คู่ ภูมิธรรม
    การสร้างบุญบารมี การตั้งความปรารถนา ที่ต่างกัน
    ท่านที่มีภูมิรู้สูงๆ ท่านอาจจะรู้ในส่วนที่ภูมิธรรมของท่านยังไปไม่ถึงก็น่าจะเป็นได้
    ไม่อย่างนั้น จะมีคำว่า ภูมิรู้ ไว้คู่กับคำว่า ภูมิธรรม กันทำไม

    ขอโมทนาบุญ ขออนุโมทนาบุญ

    ลุงมหา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 กันยายน 2013
  11. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326

    ================

    เรากำลังพูดถึงพระโสดาบัน แสดงว่าพระโสดาบันของท่านนี่สามารถละกิเลสเป็นสมุทเฉทประหาน ได้ อย่างนั้นหรือ สาธุ

    บางครั้งคุยกับคนที่รู้มากฉลาดมาก ก็พึงเข้าใจ เพราะทิฏฐินั้นสั่งสมเป็นอนุสัยสันดารเดิม ตนจึงมองไม่เห็นในทิฏฐิแห่งตน แม้เห็นและรู้แล้ว แต่ด้วยทิฏฐิที่ตนมี ก็ยังเป็นอย่างนี้ เพราะยังวางมันไม่ลงนั้นเอง มันก็มีเท่านั้นครับก็คงต้องปล่อยไปตามวิบากกรรมของแต่ละบุคคลครับ

    เหนื่อยนัก ก็พัก ไม่นานก็หายเหนื่อย ความเหนื่อยกายและใจจึงไม่ใช่แก่นสาร เช่นนี้จึงทำให้มีความเพียร

    หนักนักก็วาง จะได้ไม่หนักกายและใจ เช่นนี้จึงทำให้เป็นผู้ที่มีกายใจเบาโปร่งโลงเพราะปล่อยวาง

    ชีวิตเราท่าน ก็เหมือนกัน และต่างกัน พึงเข้าใจ เช่นนี้จึงเห็นคนสัตว์ทั้งหลายเสมอกันเป็นธรรมดาไม่มีสูงต่ำดำขาว ล้วนเป็นผู้เวียนว่ายยังไม่พ้นทะเลทุกข์

    ความจริงคือก้าวเดินที่ก้าวไป เพื่อหลุดพ้นในกองทุกข์ ก็เท่านั้นเอง ครับ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 กันยายน 2013
  12. ◎สุริunร์

    ◎สุริunร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2013
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +2,200
    เอางี้คุณ tjs ผู้ฉลาดในการคิดวิเคราะห์ ตามหลักเหตุและผล

    พระศาสดาเคยได้ตรัสไว้ "ความเป็นโสดาบัน ประเสริฐกว่าเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ"

    เพราะอะไรเพราะความที่รอดพ้นจาก อบายภูมิทั้ง4

    ทีนี้ก็ลองมาดูกันใน เถราปทาน ว่าด้วยผลแห่งการถวาย......
    เป็นอานิสงค์ท่านไม่รู้จักทุคติเลย จนในสมัยของพระศาสดาองค์ปัจจุบัน ท่านก็สำเร็จสิ้นกิเลสดับอวิชชา

    ก็ลองดูอานิสงค์เหล่านี้สิ แต่ในตำราก็ไม่ได้กล่าวไว้ว่า
    ท่านยังครองความเป็นปุถุชน หรือพอได้ฟังธรรมและได้สำเร็จเป็นพระอริยชั้นต้น ในขณะนั้นด้วยหรือป่าวในสมัยที่ล่วงมานาน

    จะเห็นได้ว่า ท่านไม่รู้จักทุคติเลย

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 กันยายน 2013
  13. ◎สุริunร์

    ◎สุริunร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2013
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +2,200
    อ้าว..เป็นงั้นไป พระอริยเจ้า ก็ต้องต้องผ่านการดับกิเลสด้วย สมุทเฉจประหาน สิ
     
  14. kongkiatm

    kongkiatm เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    190
    ค่าพลัง:
    +1,263
    พิจารณาในเรื่องของพระโพธิสัตว์ แต่จะขอกล่าวไม่มากนักเพื่อไม่ให้เกิดความสับสนต่อผู้คน มันเป็นเรื่องเข้าใจได้ยาก ให้พิจารณาถึง

    1 ระยะเวลาในการสร้างบารมี ของแต่ละท่าน ในสายต่างๆ
    2 การสร้างบารมี กำลังใจนั้นมีขึ้นมีลง เป็นไปตามเหตุปัจจัยต่างๆ ที่ได้กระทำมา ย่อมหนีไม่พ้นในสิ่งเหล่านั้น
    3 ความเข้าใจในอารมณ์ของพระอริยเจ้า จิตดวงสุดท้ายก่อนตายนั้นสำคัญ ชอบที่ไหน ก็ไปที่นั่น

    พระโพธิสัตว์ตัดอารมณ์ได้ขนาดไหนก็ได้แค่เทียบเคียง
    กระทู้นี้มีเหตุมาจากที่ใดกัน ???
     
  15. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ============

    อนุโมทนาครับ ตรงนี้กล่าวได้ชอบแล้วครับ
    เพราะแท้จริงแล้ว การสร้างความดีงามทั้งหลาย การสร้างบารมีทั้งหลายมีเหตุปัจจัยเป็นที่มีหลายส่วนคือ
    1 เพราะอาศัยปณิธาณเป็นแรงขับเคลื่อน
    2 เพราะอาศัยวิบากกรรมเก่าที่ดีให้ผล สนับสนุน
    3 เพราะอาศัยวิบากกรรมเก่าที่ไม่ดีให้ผล แต่ให้ผลในทางตรงกันข้ามทำให้มีกำลังใจสู้จนเอาชนะได้ในที่สุด
    4 เพราะอาศัยได้พบพระพุทธเจ้า ก็ดี พระปัจเจกพุทธเจ้าก็ดี พระอรหันต์ก็ดี เมื่อได้สดับพระธรรมจากบุคคลเหล่านี้
    5 เพราะอาศัยการพัตนาฝึกอบรมจิตตนเป็นกำลัง ก็มี

    ดังนั้นที่สำคัญมากคือเมื่อได้ทำเหตุประกอบไว้ดีงามหลายภพชาติแล้ว แน่นอนกรรมทั้งหลาย แม้จะเป็นครุกรรมที่หนักพอสมควรให้ผล ก็ยังสามารถผ่านพ้นไปได้ แต่หากมีวิบากกรรมจากอนันตริยะกรรมให้ผล ก็เป็นเรื่องหนักหนาสาหัสเอาการทีเดียวครับ ดังนั้นจึงไม่ควรประมาท เพราะเราไม่ทราบว่า อดีตเราทำกรรมหนักเบาอะไรไว้บ้าง หรือแม้แต่กรณีที่รู้ แต่ก็จะไม่สามารถทราบได้ว่า กรรมหนักเหล่านั้นจะให้ผลกับตนเมื่อใดนั่นเองครับ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 กันยายน 2013
  16. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    เกิดจากความยึดมั่นถือมั่นและตัณหา เป็นเหตุทั้งหมดทั้งมวล พึงพิจารณาวางลงหนอ

    ขอให้ผู้มีปณิธานปลดเปลื้องทุกข์ให้กับเหล่าสรรพสัตว์ โปรดพิจารณาประโยชน์ที่พึงเกิด พึงมี แก่หมู่ชนทั้งหลาย

    ขอให้เจริญในธรรม
     
  17. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ============

    ครับ กระทู้นี้ ความจริงตามที่กระผมเข้าใจ ไม่น่าจะมีอะไรครับ เพียงเพื่อเป็นการนำเอา ความรู้แง่คิดจากครูอาจารย์ทั้งหลาย มากล่าวแสดง ให้ทำความเข้าใจหรือเพื่อรับทราบเพื่อจะได้เป็นแนวทางปฏิบัติที่ดีงามยิ่งๆขึ้นไปครับ

    สุดท้าย กระผมขอกล่าวว่า

    ครูอาจารย์ที่ท่านกล่าวสอนนั้นล้วนเป็นพระอริยะ ทั้งหลวงพ่อฤาษี หลวงพ่อเล็ก และอื่นๆ เราทั้งหลายที่ได้กล่าวแสดงความคิดเห็นไปนั้น โดยเฉพาะความคิดเห็นของกระผมนั้น เป็นเพียงส่วนปลีกย่อยเล็กน้อย เท่านั้น เนื้อความโดยส่วนรวม ครูอาจารย์ท่านกล่าวสอนได้ถูกต้องดีงามแล้วครับ ส่วนที่กระผมกล่าวนั้นเป็นเพียงส่วนที่กล่าวประกอบเสริมขึ้นเท่านั้น อาจมีส่วนถูกและผิดอยู่บ้างไม่มากก็น้อย ก็ขอให้พิจารณาตามเหุตปัจจัย เพื่อความไม่ประมาทครับ

    อนึ่งกระผมมีสติรู้ตนดีพร้อม จากที่ได้กล่าวแสดงข้อเสนอแนะที่เป็นส่วนที่เสริมขึ้นมาทั้งหมดนั้น หากพลาดพลั้งจาบจ้วงล่วงเกินด้วยกาย วาจา ใจ ลูกขอกราบขอขมากรรมพระรัตนตรัย และต่อครูอาจารย์ ทุกท่านด้วยครับ เพื่อการสำรวมระวังไม่กระทำผิดอีกต่อไปครับ สาธุ

     
  18. ◎สุริunร์

    ◎สุริunร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2013
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +2,200

    มั่วอีกแว้ว คำว่า ครุกรรม เป็น คำกลางๆ
    ครุ แปลว่า หนัก กรรมคือการกระทำ แปลโดยรวมว่า กรรมหนัก

    ครุกรรม ฝ่ายกุศลก็มี คือ ฌานสมาบัติ เป็นกรรมหนักฝ่ายกุศล
    ครุกรรม ฝ่ายอกุศลก็มี คือ อนันตริยกรรม5 เป็นกรรมหนักฝ่ายอกุศล

    แต่ที่ร้ายแรงกว่าอนันตริยกรรม คือ นิตยมิจฉาทิฏฐิ3

    แต่สิ่งที่โพสมาน่ะ เป็นไปในลักษณะแยก ครุกรรม กับ อนันตริยะกรรม เป็นว่าคนละส่วนกัน

    ทำนองว่า ครุกรรม คือ อกุศลกรรม โดยส่วนเดียว

    อนึ่ง ภูมิรู้ ภูมิธรรมเบื้องต้นเลย แต่กลับมั่วไปมา ^^

    มิน่า พอได้ยินคำว่า "สมุทเฉทประหาน" นี่ต้องขั้นพระอรหันต์เท่านั้น ถึงขนาดต้องโพสกลับมาว่า

    ในโพสที่ #91

    "เรากำลังพูดถึงพระโสดาบัน แสดงว่าพระโสดาบันของท่านนี่
    สามารถละกิเลสเป็นสมุทเฉทประหาน ได้ อย่างนั้นหรือ"


    แล้วคุณจะสำเร็จมาได้อย่างไร หากไม่รู้ว่ามรรคญาณ บดขยี้กิเลสในขั้นนั้นๆ ได้แล้ว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 กันยายน 2013
  19. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ดังนั้น ที่สำคัญมากคือ เมื่อได้ทำเหตุประกอบไว้ดีงามหลายภพชาติแล้ว
    แน่นอนกรรมทั้งหลาย แม้จะเป็นครุกรรม ที่หนักพอสมควรให้ผล ก็ยังสามารถผ่านพ้นไปได้

    แต่หากมีวิบากกรรม จากอนันตริยะกรรมให้ผล
    ก็เป็นเรื่องหนักหนาสาหัสเอาการทีเดียวครับ


    ===========

    เรากำลังพูดถึงกรรมไม่ดี ที่จะให้ผล แก่เราเป็นวิบากกรรมที่หนัก กระผมจึงกล่าวสั้นๆว่าครุกรรม คนที่อ่านข้อความย่อมเข้าใจได้ทันทีโดยไม่ต้องมาบอกว่า เป็นอกุศลกรรมที่เป็นครุกรรม ครับ ผมเข้าใจคุณดีครับว่าคิดอย่างไรครับ
    ต้องขออภัยที่ทำให้คนที่มีปัญญมากๆเกิดสับสนได้ครับ

    ส่วนเรื่องภูมิธรรม ภูมิจิตของพระโสดาบัน นั้น การละกิเลสของท่าน เป็นไปโดยลำดับขั้น และแน่นอน ว่าเป็นไปตามบารมีธรรมและการปฏิบัติธรรมที่เป็นการภาวนาทางจิต ตรงนี้ ขอกล่าวเพียงแค่นี้ครับ เพราะมีปลีกย่อยหลายประการครับ แต่เนื้อแท้โดยรวม พระโสดาบันยังต้องอาศัยความเพียรอีกมากพอควรเพื่อสร้างปัญญาดับกิเลสให้เป็นสมุทเฉทประหาน เหมื่อนที่ท่านกล่าวมาครับ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 กันยายน 2013
  20. ◎สุริunร์

    ◎สุริunร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2013
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +2,200
    การปฏิบัติสมาธิ ช่วยจรรโลงพระพุทธศาสนา (ตอนที่ ๕)


    พุทธบริษัทไม่สนใจการปฏิบัติสมาธิ ย่อมเป็นสาเหตุให้พระศาสนาเสื่อมสูญไปได้

    พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงทราบล่วงหน้าด้วยพระปรีชาญาณ ได้ตรัสตอบพระมหากัสสปะเมื่อได้กราบทูลถาม ขณะทรงประทับอยู่ ณ พระเชตวันวิหาร แขวงเมืองพาราณสี ดังมีรายละเอียดดังนี้คือ:

    พระมหากัสสปะ กราบทูลถามขึ้นว่า:
    “เมื่อพระศาสนาแพร่หลายมากขึ้น พุทธบัญญัติก็มากขึ้นโดยลำดับ เหตุใดภิกษุในศาสนาที่แตกฉานในทางธรรมกลับลดน้อยลง”

    พระบรมศาสดาก็ได้ทรงแสดงมูลเหตุให้ฟังและได้ทรงเน้นว่า :
    “การที่มีผู้นำเอาคำสั่งสอนนอกศาสนามาอ้างอิงว่าเป็นคำสั่งสอนของพระองค์ เป็นมูลเหตุสำคัญอย่างหนึ่ง ที่จะทำให้คุณค่าของศาสนาน้อยลง”

    พระมหากัสสปะ ได้กราบทูลถามปัญหาต่อไปว่า :
    “พระศาสนาจะสูญสิ้นไปจากโลก ด้วยเหตุใดบ้าง"

    พระบรมศาสดาตรัสตอบว่า :
    สิ่งต่างๆในโลกนี้ จะทำลายศาสนาให้สูญสิ้นไปหาได้ไม่ แต่พุทธบริษัท ๔ เท่านั้น ที่จะทำให้ศาสนาสูญสิ้นไป ด้วยเหตุ ๕ ประการ คือ:

    ๑. พุทธบริษัท ไม่เคารพในพระศาสดาของตน
    ๒. พุทธบริษัท ไม่ตระหนักในธรรม
    ๓. พุทธบริษัท ไม่คารวะต่อสงฆ์
    ๔. พุทธบริษัท ไม่ตั้งใจศึกษาธรรม
    ๕. พุทธบริษัท ไม่สนใจในการทำสมาธิ


    ดังนั้น เราชาวพุทธทั้งหลายจึงควรลงมือปฏิบัติสมาธิอย่างจริงจัง เพื่อจรรโลงพระพุทธศาสนาไม่ให้เสื่อมสูญไปได้.

    วรกิจฺโจภิกฺขุ

    http://www.faihin.org/index.php?option=com_kunena&Itemid=55&func=view&catid=29&id=1032
     

แชร์หน้านี้

Loading...