พระโพธิสัตว์เป็นพระอริยเจ้าได้ไหม ?

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย tamsak, 18 กรกฎาคม 2013.

  1. Norlnorrakuln

    Norlnorrakuln เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    3,813
    ค่าพลัง:
    +15,095
    หากยังปิดอบายภูมิไม่ได้ พระโพธิสัตว์ก็ไม่สามารถเป็นพระอริยเจ้าได้
     
  2. tamsak

    tamsak ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2004
    โพสต์:
    7,857
    กระทู้เรื่องเด่น:
    22
    ค่าพลัง:
    +161,171
    อันเนื่องมาจากกระทู้ที่ผมนำมาโพสต์เป็นธรรมทาน
    ...................................................................

    จากประสบการณ์ของตนเอง แต่ก่อนแต่ไรก็เข้าใจดีว่าการปฏิบัติเพื่อบำเพ็ญบารมีในการบรรลุพระโพธิญาณนอกจากต้องทำบารมี ๓๐ ทัศ ให้เต็มแล้ว ยังมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องปฏิบัติควบคู่กันไป หนึ่งในหลายๆ ประการนั้น ก็คือ ต้องละสังโยชน์ ๑๐ ให้ได้

    สำหรับผู้ที่เป็นสาวกภูมิ หากสามารถละสังโยชน์ ๑๐ ได้ ก็จะเข้าสู่ความเป็นพระอรหันต์ในที่สุด แต่สำหรับผู้ที่เป็นพุทธภูมิ แม้ละสังโยชน์ ๑๐ ได้ ก็จะไม่เข้าสู่ความเป็นพระอรหันต์หรือพระอริยเจ้าไม่ว่าในระดับใดๆ แต่จะมีอารมณ์ใจเทียบเท่ากับพระอริยเจ้าในระดับที่ตนละสังโยชน์ได้ บุคคลผู้เป็นตัวอย่าง ก็คือ หลวงปู่อ่ำ วัดโสมนัสวรวิหาร

    แต่มาวันหนึ่ง "มาร" ผู้ที่ผมต้องถือเป็นครูใหญ่ท่านหนึ่งได้มาเข้าแทรก มาดลจิตดลใจให้คิดไขว้เขวว่า "เออหนอ ถ้าเราละสังโยชน์ ๑๐ ได้หมด เราก็ต้องไปเป็นพระอรหันตสาวก ไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้าอย่างที่ปรารถนา ถ้าอย่างนั้น...อย่าไปตัดมันเลยวะ ไอ้สังโยชน์ ๑๐ นี่ !!!"

    ผมเครียดและสับสนมากมาย "รู้ทั้งรู้ว่าต่อให้ตัดสังโยชน์ ๑๐ จนครบ ก็ไม่อาจเป็นพระอรหันต์ได้ เพราะจิตไม่ละจากความปรารถนาเดิม ทำอย่างไรก็เข้าสู่ความเป็นพระอริยเจ้าไม่ได้ แต่อีกใจมันกลับไปคิดว่า เดี๋ยวตัดสังโยชน์ได้แล้ว จะเข้าสู่ความเป็นพระอรหันต์ทันที..." นั่น..ดูความสามารถของมารเขาสิ สุดยอดขนาดไหน เรื่องแค่นี้ยังมาดลใจให้เราสับสนได้

    ผมสับสนและเครียดอยู่หลายสัปดาห์ ในที่สุดอดรนทนไม่ไหว เสาร์วันหนึ่งก็ชวนน้องและพี่ในเว็บพลังจิต ๒ ท่าน ร่วมเดินทางไปหาคำตอบจาก "ท่านจิตโต" ซึ่งเป็นครูบาอาจารย์ที่ผมเคารพท่านหนึ่ง ผมได้กราบเรียนถามท่านว่า "พุทธภูมิจำเป็นต้องละสังโยชน์ ๑๐ หรือไม่" ท่านได้ให้ความกระจ่างแก่ผม (ขอสรุปเป็นใจความย่อๆ ในลักษณะของบทสนทนานะครับ ) ว่า "ต้องละให้ได้เหมือนกับสาวกภูมินั่นแหละ" อย่างนี้ถ้าละได้ก็ต้องเข้าสู่ความเป็นพระอรหันต์สิครับ ? "ไม่ใช่ เพียงแต่มีอารมณ์ใจเทียบเท่าพระอริยเจ้า แต่ไม่เข้าสู่ความเป็นพระอริยเจ้า" มีตัวอย่างไหมครับ ที่พุทธภูมิละสังโยชน์ ๑๐ ได้ แล้วไม่เข้าสู่ความเป็นพระอรหันต์ ? "มี หลวงปู่ปาน ยังไงละ"

    ท่านตอบผมแค่นี้ ความกระจ่างก็เกิดขึ้นแก่ใจของผมทันที ที่สับสนและเครียดมาหลายวันกลับอันตรธานหายไป ความสงสัยหายไปหมดสิ้น ความมั่นใจที่จะพยายามละสังโยชน์ ๑๐ ให้ได้ครบเริ่มกลับมาเหมือนเดิมอีก

    จากประสบการณ์ของผม อยากเสริมว่า อารมณ์ใจที่เทียบเท่านี้ "มีขึ้นมีลงได้" ตราบใดที่ยังเป็นผู้ปรารถนาพุทธภูมิโอกาสพลาดยังมีอยู่เสมอ ซึ่งต่างจากสาวกภูมิที่เข้าสู่ความเป็นอริยบุคคลหรือพระอริยเจ้าแล้ว เพราะท่านจะไม่มีวันถอยหลัง มีแต่จะเดินหน้าเข้าสู่ความดีที่ยิ่งขึ้นไปกว่าที่เป็นอยู่

    เห็นหลายท่านถกประเด็นเรื่องนี้กันอยู่ในช่วงต้นของกระทู้ ก็เลยนำประสบการณ์ของตนเองมาเล่าสู่กันฟังครับ


    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 สิงหาคม 2013
  3. อภิมาร

    อภิมาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    711
    ค่าพลัง:
    +2,154



    ขอโทษครับท่าน

    ตามที่เคยได้ยินมา..ความเป็นพระอริยะบุคคล

    เป็ที่สภาวะ..และสามารถรับรองกันได้..ด้วย

    ที่เรียกว่าจิตรสำผัส จากระดับเดียวกัน หรือระดับ

    ที่สูงกว่า แต่คำว่าอารมณย์ใจถือเป็นความรู้ใหม่ครับ

    ผมขอรบกวนถามครับว่า ท่านทราบได้อย่างไรว่า

    อารมณย์ใจที่ว่ามานั้นเทียบเท่าพระอริยบุคคล

    ในชั้นนั้นๆ ใครสามารถรับรองได้ว่าอารมณย์ใจนั้นว่าใช่

    เพราะคำว่าสภาวะ..กับอารมณย์ผมว่าแตกต่างกันครับ

    อนุโมทนาครับ.
     
  4. ลุงมหา๑

    ลุงมหา๑ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +3,937
    ส่วนที่ถูกก็มี

    ขออนุญาตครับ

    ผมชอบคำนี้มากๆ
    "มีขึ้นมีลงได้"

    พุทธภูมิที่ท่านมีบุญบารมีจริงๆนั้น ท่านไม่มีความยุ่งยาก ในการปฏิบัติธรรมเพื่อความหลุดพ้นเลย เพราะ

    ท่านจะเน้นเรื่อง การสร้างสม ฌานบารมี ก่อน
    ท่านจะเน้นเรื่อง การสร้างสม บารมี ๑๐ ทัศ ก่อน

    ดังนั้นการที่องค์หลวงตาม้า ท่านสอนว่า

    พุทธภูมิที่บำเพ็ญบารมีมาครึ่งทาง ยังไม่รู้อะไรมาก
    ต้องพุทธภูมิที่บารมีเกือบจะเต็มโน่นละจึงพอจะรู้อะไรบ้าง

    การที่เห็นหลายๆท่านในเว็บนี้ ภูมิอกภูมิใจเป็นนักเป็นหนา ในความเป็นพุทธภูมิของตน

    จึงอยากจะบอกเล่าว่า พุทธภูมิจริงๆนั้น ท่านไม่ได้มาสนใจเรื่องเหล่านี้เลย

    ท่านก็ค่อยๆสะสมบุญบารมีไปทีละเล็ก ที่ละน้อย
    แต่ที่แปลกประหลาดก็คือว่า

    หลายๆท่านท่านไม่รู้ด้วยซ้ำว่าท่านเป็นพุทธภูมิ
    ท่านรู้แค่ว่าท่านมาทำหน้าที่อันนี้ๆเท่านั้น

    และการรู้ธรรมของท่านนั้น ง่ายดายอย่างยิ่ง
    ฌานการรับรู้ของท่านนั้น กว้างไกลอย่างยิ่ง

    การใช้ชีวิตของท่าน ก็ไม่ได้แตกต่างจากคนธรรมดาสามัญอะไรเลย

    เห็นหลายๆท่าน บอกเล่าถึง คำสอนของครูบาอาจารย์ ท่านนั้น ท่านนี้
    แล้วท่านเคยคิดบ้างไำหมว่า

    แล้วท่านจะเอาอะไรมารองรับ มาสนับสนุน คำบอกเล่าของครูบาอาจารย์ท่านนั้นๆ

    สำหรับผมแล้ว ผมมีความเห็นว่า ผู้ที่น่าเชื่อถือมากที่สุด คือ

    ๑.องค์อัมรินทร์ เพราะองค์ท่านเป็นพระราชาแห่งเทพทั้งปวง ในสรวงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
    ศูนย์รวมของเหล่าพระโพธิ์สัตว์ทั้งหลาย

    ๒.องค์ศิวะเทพ เพราะองค์ท่านเป็นมหาเทพผู้ยิ่งใหญ่ๆจริงๆ
    เป็นศูนย์รวมของวัตถุอาถรรย์ ของวิเศษทั้งหลาย

    ปราศจากการรับรู้ การบอกเล่า การสนับสนุน จากท่านทั้งสอง เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

    จึงขอเตือนเหล่าพุทธภูมิที่เริ่มมาไม่นานนักทั้งหลายว่า พุทธภูมิจริงๆนั้น ไม่ได้แตกต่างจากคนธรรมดาสามัญอะไรเลย

    จึงไม่มีอะไร ต้องมาโอ้อวด ก้มหน้าก้มตา สร้างบารมีของตนไป อย่าได้ย่อท้อ มันมีเท่านี้จริงๆ

    ขอโมทนาบุญ ขออนุโมทนาบุญ

    ลุงมหา


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 สิงหาคม 2013
  5. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    สงสัยมาสักพักนึงแล้ว ว่าทำไม ลุงมหา ถึงมีแนวคิดไม่เหมือนผู้อยู่ในพุทธศาสนา 100% แต่มีแนวคิดออกไปทางลักษณะเทวนิยม

    วันนี้มีการพูดถึงพระศิวะ...

    เอ้า ไม่เป็นไร บางทีท่านก็อาจจะเป็นเทพองค์เดียวกับที่เรารู้จักในพุทธศาสนา

    แต่ขอชื่อพระศิวะ ในทางพุทธได้ไหมครับ? เทพองค์ใดเป็นเทพในพุทธศาสนา นอกจากจะมีชื่อพราหมณ์แล้ว ย่อมมีชื่อในทางพุทธด้วย ใช่ไหม?
     
  6. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ผมขอให้ความเห็นอีกมุมมองหนึ่งครับว่า เหตุผลที่เรากำลังให้คำจำกัดความของคำว่าพระอริยะเจ้านั้น
    แตกต่างกัน นั้น เพราะเรากำลังลังให้ความหมายที่แตกต่างกันสามส่วนสรุปคือ

    1 เราแต่ละท่านให้ความหมายต่างกันตรง สาเหตุหรือเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดความเป็นพระอริยะเจ้า ครูอาจารย์และผู้รู้บางส่วนให้ความหมายว่า มีกระทำเหตุปัจจัยคือการละกิเลสได้ ตัดสังโยชน์ได้จริง กับอีกส่วนหนึ่งคือ ละไม่ได้แต่อาศัยว่าทรงอารมณ์ กรณีนี้ ตามความเข้าใจของผม คือไม่ใช่แค่ทรงอารมณ์แต่ท่านก็ละสังโยชน์ได้ ยกเว้นสัญญามโนปณิธาณพุทธภูมิตัวเดียว เท่านั้นสำหรับ พุทธภูมิแบบนิยตะและอนิยตะปรมัตถ์บารมี

    2 ผลแห่งการปฏิบัติทางจิตหรือปฏิเวธให้ผลที่แตกต่างกัน ของความเป็น พระอริยะที่มีมุมมองต่างกัน ว่า จะต้องเป็นอย่างนั้น หรืออย่างนี้ ซึ่งแท้จริงผมมองว่าไม่ได้แตกต่างกันมากนักในทางจิต ต่างกันแค่เพียง ละกิเลสได้เหมือนกันเกือบเท่ากัน แต่พระโพธิสัตว์ขั้นสูงจะเหลือแค่ความปราถนาโพธิญาณ ที่ยังละไม่ได้ เหลือแค่จิตปราถนาช่วยเหลือผู้อื่นที่ยังละไม่ได้ก็เท่านั้น จึงยังต้องเวียนว่ายในวัฏฏะอยู่นั่นเอง

    3 เราทั้งหลายกำลังเข้าใจคำจำกัดความ ของคำว่าพระอริยะ ว่าจะต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ซึ่งครูอาจารย์ท่านให้คำจำกัดความไว้ที่ละเอียดอ่อนและดูยิ่งใหญ่สูงส่งมาก แต่หากมองโดยแก่นแท้

    ครูอาจารย์บางท่านกลับให้คำจำกัดความง่ายๆ ไม่ต้องไปเปรียบเทียบหรือยกเหตุผลที่ลึกลับซับซ้อน ท่านอธิบายว่า แค่เป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ ไม่ทำบาบ เป็นผู้มีพรหมวิหาร4 เป็นผู้มีจิตเมตตาไม่มีประมาณ เอาง่ายๆแค่โยมเป็นคนดีมีศีลบริสุทธิ์ โยมก็ได้ชื่อว่าเป็นพระอริยะแล้ว อีกอย่างความเป็นอริยะบุคคลนี้ พูดกันง่ายๆคืออาศัยเหตุคือการทำความดีการเป็นคนดี หากยิ่งดีมากๆ ความเป็นอริยะก็มีมากขึ้นตามลำดับจนที่ีสุดคือพระอรหันต์ท่านยิ่งกว่าเพราะท่านหลุดพ้น ความดีความชั่วไปแล้ว พระอริยะสำหรับท่านไม่มีค่าอะไรแล้วเพราะท่านหลุดพ้นไปแล้ว

    ดังนั้นหากวิเคราะห์กันจริงๆ หากเราเข้าใจทั้งสามหัวข้อที่กระผมกล่าวมา มันก็จะเข้าใจเรื่องนี้อย่างแท้จริง สุดท้ายก็เพราะเราให้ความหมายหรือคำนิยามของทั้งสามหัวข้อนี้ ที่แตกต่างกันนั่นเอง แต่ถ้าเราให้คำนิยามหรือความหมายในข้อสามที่ชัดเจนเรียบง่าย คำอธิบายในข้ออื่นๆก็ง่ายและไม่ยุ้งยาก ทำให้เราเข้าใจได้ง่ายและชัดเจน
    สุดท้ายอย่างที่กระผมเคยบอกหรือเคยกล่าวแสดง แค่ท่านเป็นคนดีมีศีลธรรมมีศีลบริสุทธิ์ ผมก็พร้อมจะกราบท่านและเรียกท่านว่าพระอริยะแล้วครับ เพราะถ้าท่านปฏิบัติได้แค่นี้ก็หาได้ยากแล้ว และก็มีจิตที่สูงพอควรแก่การกล่าวเรียกแล้วก็เท่านั้นครับ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 สิงหาคม 2013
  7. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    สุดท้ายอย่างที่กระผมเคยบอกหรือเคยกล่าวแสดง แค่ท่านเป็นคนดีมีศีลธรรมมีศีลบริสุทธิ์ ผมก็พร้อมจะกราบท่านและเรียกท่านว่าพระอริยะแล้วครับ เพราะถ้าท่านปฏิบัติได้แค่นี้ก็หาได้ยากแล้ว และก็มีจิตที่สูงพอควรแก่การกล่าวเรียกแล้วก็เท่านั้นครับ สาธุ
    ================

    หรือท่านคิดว่าสิ่งที่ผมกล่าวนี้มันไม่จริง ก็สุดแท้แต่ท่านจะใช้เหตุผลพิจารณา แต่สำหรับกระผมผมเข้าใจอย่างนี้และอยากให้พวกเราชาวพุทธเริ่มต้นจากการคิดดี ทำดี พูด ดี ไม่ทำบาบ การรักษาศีลให้ดีงาม ทำตรงนี้เป็นพื้นฐาน ทำไปแล้วจะได้อะไร จะหลุดพ้นหรือไม่ เป็นพระอรหันต์ หรือจะไปเป็นพระโพธิสัตว์หรือไม่อย่าไปสนใจ แค่ท่านทำอย่างนี้ ท่านก็ย่อมได้ชื่อว่าเป็นอริยะบุคคลเบื้องต้นแล้วครับ สาธุ
     
  8. อภิมาร

    อภิมาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    711
    ค่าพลัง:
    +2,154
    สงสัย..ต้องมองเป็นเรื่อง...ศาสนาเปรียบเทียบ

    แล้วหละ...จะได้ลดความขัดแย้งลง.
     
  9. tamsak

    tamsak ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2004
    โพสต์:
    7,857
    กระทู้เรื่องเด่น:
    22
    ค่าพลัง:
    +161,171

    ผมขอตอบโดยยกตัวอย่างเปรียบเทียบจากอารมณ์ของพระโสดาบัน ดังนี้นะครับ

    โดยปกติผู้ที่บำเพ็ญบารมีเพื่อมุ่งสู่พระนิพพานจะต้องละสังโยชน์ ๑๐ ให้ได้ทั้งหมด การละสังโยชน์ ๑๐ แต่ละข้อนั้นเป็นการตัดกิเลส ตัณหา ราคะ ฯลฯ ไปทีละอย่าง หากท่านใดสามารถละสังโยชน์ ๑๐ ใน ๓ ข้อแรกได้ คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา และสีลัพตปรามาส แถมด้วยนึกถึงความตายอยู่เสมอ มีจิตจับพระนิพพานเป็นอารมณ์ ท่านผู้นั้นก็ได้ชื่อว่า มีการทรงอารมณ์ของพระโสดาบัน หรือเป็นอริยบุคคลขั้นต้นแล้ว

    แต่สำหรับผู้บำเพ็ญบารมีเพื่อพระโพธิญาณ แม้ทรงอารมณ์ดังกล่าวได้ครบถ้วน ก็ไม่เข้าสู่ความเป็นพระโสดาบันหรือเป็นอริยบุคคลขั้นต้น เป็นแต่เพียงมีอารมณ์ใจเทียบเคียงหรือเทียบเท่ากับพระโสดาบันหรืออริยบุคคลเท่านั้น

    ถามว่า ทราบได้อย่างไรว่า อารมณ์ใจที่ว่ามานั้นเทียบเท่าพระอริยบุคคล ในชั้นนั้นๆ ใครสามารถรับรองได้ว่าอารมณ์ใจนั้นว่าใช่

    ตอบว่า ก็เราผู้ปฏิบัตินั่นแหละเป็นผู้รู้อยู่แก่ใจว่า เราทรงอารมณ์อย่างนั้นๆ ได้หรือไม่ แล้วจะต้องให้ใครที่ไหนมารับรองอีกละ

    ขออภัยหากคำตอบที่ให้ไปไม่ตรงกับคำถาม สิ่งที่เขียนบอกเล่ามานั้นเกิดจากประสบการณ์ในการปฏิบัติของตนเอง อาจจะไม่ตรงตามตำรา แต่ตรงตามที่ครูบาอาจารย์ท่านสอนท่านแนะนำมา

    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 สิงหาคม 2013
  10. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    เมื่อคืนผมเจริญสมาธิภาวนา จึงได้สื่อกับครูอาจารย์ ถามเรื่อง ความเป็น พระอริยะ นั้นเป็นอย่างไร ในความหมายที่ว่า ละได้ กับ การทรงอารมณ์

    กระผมได้คำตอบว่า ความจริงพระอริยะ นี้ตามความหมายนั้นกว้างมาก ก็ขึ้นอยู่กับเราพิจารณา แต่ตามที่ท่านหลวงพ่อ หรือพระสุปฏิปันโนทั้งหลายสอนก็ดี ล้วนเหมือนกับสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสสอนไว้ อันสรุปได้คือ เพราะศีลบริสุทธิ์เป็นบาทฐานและเป็นเรื่องสำคัญมากที่สุด ที่เหลือจึงเป็นการปฏิบัติทางกาย วาจา และใจ ที่เข้าถึงพระรัตนตรัย และความดีทั้งปวง ความสามารถลดละกิเลสได้ทั้งปวง
    พระโสดาบันจนถึงพระอรหันต์ จัดว่าคือพระอริยะ เพราะละกิเลสได้
    ส่วนพระโพธิสัตว์ ที่หลายๆท่านสอนว่าละกิเลสไม่ได้ ทำได้คือแค่ทรงอารมณ์นั้น แต่การที่จะทรงอารมณ์ได้นั้นก็ต้องละกิเลสได้เช่นกัน ดังนั้น หากกล่าวกันตามตำรา พระโพธิสัตว์อาจจะไม่อยู่ในขอบข่ายของความเป็นพระอริยะ แต่พระโพธิสัตว์ที่มีบารมีปานกลางถึงมาก สามารถละกิเลสได้มากกว่าพระโสดาบันและพระสกิทาคามีก็มี แต่ท่านทรงอารมณ์พระอนาคามีหรือพระอรหันต์ก็มี ดังนั้น กรณีนี้ ก็อยู่ที่ปัญญาของลูกแล้วว่า ลูกจะยกให้ท่านเป็นพระอริยะด้วยหรือไม่ก็อยู่ที่ปัญญาความเห็นของลูก

    อนึ่งแท้จริงความเป็นพระอริยะ ไม่ได้อยู่ที่ใครเป็นอะไรปราถนาอะไร แต่ความเป็นพระอริยะนั้น ขึ้นอยู่กับสิ่งเดียว คือศีลบริสุทธิ์และความดีงาม ทั้งกาย วาจา ใจ เท่านั้น ขอให้อย่าไปสงสัยอะไรให้มากเลย แค่การคิดดี พูดดี ทำดี ไม่ทำบาบ รักษาศีลให้บริสุทธิ์ ก็ดีงามสมควรยกย่องแล้ว สาธุ สาธุ สาธุ
     
  11. justpon

    justpon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +467
    พระอริยะเจ้าไม่ได้ดูที่ศีลอย่างเดียวนะครับ เค้าดูทั้ง ศีล สมาธิ ปัญญา ต่างหาก หากคุณดูที่ศีลก็เป็นเพียงเบื้องต้นเท่านั้น เพราะศีลเป็นเบื้องบาทของสมาธิ และ สมาธิทำให้เกิดปัญญา ปัญญาทำให้รู้แจ้ง จะต้องมีองค์รวมทั้ง3อย่างจึงจะหลุดพ้น จะมาศีลอย่างเดียวไม่ได้ ถ้านับแต่ศีลเด็กทารกก็เป็นพระอริยเจ้าหมดสิเพราะไม่เคยผิดศีล เวลายกอะไรมาประกอบต้องคิดด้วย บางครั้งสิ่งที่เราคิดมันไม่ใช่ ต้องฟังความเห็นคนอื่นบ้าง พระโพธิสัตว์ ขนาดหลวงพ่อวัดท่าซุงก่อนบวชท่านยังเคยลองดื่มสุราเลย แต่ท่านบอกครั้งเดียวและไม่ชอบเลยไม่ดื่มอีก นี่ขนาดท่านเป็นพระโพธิสัตว์ระดับปรมัตถบารมีนะ แล้วพระโพธิสัตว์นี่นักรบ กษัตริย์ทั้งนั้นนะ ไม่เคยฆ่าคนไม่มี จะไปเหมือนพระอริยเจ้านั้นต้องเรียกว่าใกล้จะบรรลุแล้วเท่านั้น เพราะภายหลัง หลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านบวชและปฎิบัติ กำลังใจจึงเทียบ ใช้คำว่าเทียบ กับพระอริยเจ้าตามลำดับชั้น แต่หลวงพ่อพูดว่าพระโพธิสัตว์นี่มีกิเลสท่วมหัวเลยพระเอาไปเปรียบพระอริยะคงไม่ได้ ถ้ายังไม่บรรลุพระโพธิญานก็ยังไม่แน่ว่าจะหนีนรกได้.....ฉะนั้นจะเห็นว่าพระโพธิสัตว์จะละกิเลสได้มากกว่าพระอริยะสงฆ์เป็นไปไม่ได้เลยนอกจากจะเทียบเท่า ยิ่งพระอรหันต์เนี่ยก็ยิ่งยาก หากไม่เป็นพระพุทธเจ้าก็ยังไม่สามารถเทียบ จะเห็นได้ว่า เจ้าชายสิทธัตถะยังมีพระโอรส นั่นหมายถึงยังละกิเลส ราคะไม่ได้นั่นเอง.....แล้วที่หลวงพี่ วัดท่าขนุนพูดนั้นก็ถูกเพราะหลวงพ่อวัดท่าซุง และหลวงปู่มั่นก็ได้เคยกล่าวไว้ว่า เวลาปฎิบัติไปพอจะเข้าด้ายเข้าเข็มจะมีอารมณ์นึงมาตัดทุกครั้งนั่นคือ อารมณ์ของพุทธภูมิ และหากไม่ลาพุทธภูมิก็ไม่สามารถบรรลุมรรคผลได้ ประมาณนี้นะครับ.....
     
  12. ลุงมหา๑

    ลุงมหา๑ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +3,937
    ต้องพิจารณาให้ครบถ้วน

    ขออนุญาตครับ

    ขอยกออกมาพิจารณาดู


    แต่หลวงพ่อพูดว่าพระโพธิสัตว์นี่มีกิเลสท่วมหัวเลยพระเอาไปเปรียบพระอริยะคงไม่ได้
    ถ้ายังไม่บรรลุพระโพธิญานก็ยังไม่แน่ว่าจะหนีนรกได้.....

    ฉะนั้นจะเห็นว่าพระโพธิสัตว์จะละกิเลสได้มากกว่าพระอริยะสงฆ์เป็นไปไม่ได้เลย

    นอกจากจะเทียบเท่า ยิ่งพระอรหันต์เนี่ยก็ยิ่งยาก หากไม่เป็นพระพุทธเจ้าก็ยังไม่สามารถเทียบ


    แล้วลองพิจารณาคำสอนของหลวงปู่มั่น ที่ท่านสอนว่า

    "พระโพธิ์สัตว์ เป็นผู้มีบุญบารมีมาก"
    "เป็นผู้ที่จะไปเกิดเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต"
    "ต้องให้ความเคารพท่านด้วย"


    พระโพธิ์สัตว์ที่องค์หลวงปู่มั่น ยกมาสอน คือ พระมหากัจจายนะ
    และต้องพิจารณาด้วยว่า องค์พระมหากัจจายนะ นั้น
    ท่านยังไม่ได้รับพุทธพยากรไว้เป็น ๑ ใน ๑๐ ตามพระอนาคตวงศ์
    แต่องค์หลวงปู่มั่น ยังสอนลูกศิษย์ให้ๆความเคารพ

    องค์หลวงปู่มั่น นั้น ท่านจะพูดเรื่อง พุทธภูมิ เรื่อง พระโพธิ์สัตว์น้อยมากๆ
    ครูบาอาจารย์ยุคหลังๆ ก็เลยพลอยพูดน้อยลงไปอีก

    ก็คงต้องตามหา ครูบาอาจารย์ที่ท่านยังไม่ได้ลาพุทธภูมิ และหาที่บารมีสูงๆโน่นละ จึงจะบอกเล่าเรื่องราวต่างๆออกมาได้

    ขอโมทนาบุญ ขออนุโมทนาบุญ

    ลุงมหา

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 สิงหาคม 2013
  13. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ในพุทธกาล พระพุทธเจ้าท่านก็เคยตรัสเล่าให้ฟัง เรื่องพระโพธิสัตว์ที่กำลังสร้างบารมี ซึ่งในบางกาลสมัยที่พระโพธิสัตว์บางท่านสร้างบารมี เหล่าพระอรหันต์ขีนาสพ ก็ต่างให้ความเคารพเช่นกัน

    อนึ่งการสร้างบารมี มีมากมายหลากหลายนานาๆประการ อนึ่งพระโพธิสัตว์ทุกพระองค์ต้องผ่าน การมาสร้างบารมีด้วยการ เป็นนักบวชหรือเป็นพระภิกษุสงฆ์ อย่างเช่นหลวงปู่ทวด ท่านมาสร้างบารมีด้วยการเกิดมาแล้วก็บวชเป็นสามเณรและบวชเป็นพระภิกษุสงฆ์ ซึ่งท่านก็ได้ละกิเลสได้มากมายแม้ท่านพระมหากษัติรย์ยกเมืองให้ ท่านก็ไม่รับ แม้เจ้าเมืองปัตตานี ยกเมืองให้ท่านก็ไม่รับ ท่านยังคงเป็นพระสงฆ์แก่ชรารูปหนึ่ง ที่ยังคงอยู่อย่างสมถะและธุดงวัตร์ไปตามที่ต่างๆ แม้สร้างวัดเจริญแล้วท่านก็ไม่ยึดติดอะไรใดๆท่านก็ยังคงธุดงค์ไปยังป่าเขาที่ต่างๆโดยไม่เหนื่อยล้าแต่อย่างใด

    ดังนั้น เรื่องนี้ ขอให้ เปิดใจให้เป็นกลาง และเหมือนที่กระผมได้อธิบายไว้แล้ว ชีวิตคนเราหรือความเป็นมนุษย์นั้น มันไม่ได้อยู่ที่ใครจะเป็นอะไร แต่มันขึ้นอยู่กับว่า เรากำลังทำอะไร มีประโยชน์ดีงามอย่างไร เพื่ออะไร ก็แค่นั้นครับ สาธุ
     
  14. ◎สุริunร์

    ◎สุริunร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2013
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +2,200


    พระมหากัจจายนะ ไม่ได้เป็นพระโพธิสัตว์แล้ว
    แต่เป็นพุทธสาวก เอตทัคคะในทางผู้อธิบายความย่อให้พิสดาร

    อดีตอาจจะเคยตั้งความปรารถนาพุทธภูมิ
    แต่ละแล้วตั้งความปรารถนาเป็นเอตตทัคคะ ตั้งแต่สมัยพระปทุมุตตระพุทธเจ้า

    มหากัจจายนเถรคาถา

    พระมหากัจจายนะ โดย พระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 สิงหาคม 2013
  15. pco-

    pco- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,162
    ค่าพลัง:
    +12,252
    ที่คุณ tamsak พูดน่ะผมเข้าใจเพราะนี่เป็นผลของการปฏิบัติ สังโยชน์สามหลวงพ่อบอกว่าก็คือชาวบ้านชั้นดี แค่ใช้อารมณ์เบาๆ ด้วยการรักษาศีลอย่างตั้งใจด้วยความศรัทธาเชื่อถือ ปะสาทะความเลื่อมใส ใช้สมาธิระงับนิวรณ์ห้าประการ เมื่ออารมณ์ไม่สัดส่ายพอสมควรแล้วก็แค่พิจารณา ถึงชีวิตของเราว่ามันจะต้องตายไม่วันใดก็วันหนึ่ง สิ่งที่ผ่านมาแล้วทำอะไรมาบ้าง ขณะนี้ทำอะไรอยู่ เมื่อวันตายมาถึง ตายแล้วจะไปใหน อารมณ์ในตอนต้นเหมือนกัน แต่ตอนท้ายไม่เหมือนกันตอนตายไม่เหมือนกันอารมณ์สาวกตายแล้วต้องการไปพระนิพพาน แบบคนที่ทำงานเสร็จแล้วเกษียนแล้วไม่มีหน้าที่จะต้องกลับไปห่วงอะไรอีกหมดเวลาแล้ว ที่เหลือเป็นเรื่องของคนอื่นก็ทำต่อไป

    สามข้อแรกของสังโยชน์สิบ สาวกถ้าเข้าใจปฏิบัติได้อารมณ์เข้าถึงและตัดสินใจทรงอารมณ์นี้ไว้ได้เป็นปกติ ตามตำราบอกว่าเป็นคุณสมบัติของพระโสดาบัน

    สามข้อเดียวกันนี้ของคนที่ปรารถนาพระโพธิญาณถ้าทรงได้เรียกว่าเข้าถึงไตรสรณคมเป็นตัวคุ้มครองป้องกันอบายภูมิของพุทธภูมิ ถ้าไม่เอาสังโยชน์มาเป็นเครื่องวัดเป็นบรรทัดฐานของการปฏิบัติในด้านความดี ต่อให้มีเดชเดชาศักดิ์ดานุภาพอย่างไรก็ร่วงลงนรกได้อย่างเทวทัต

    อย่างพี่ฮิตเล่อร์ที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อไปดักทางช่วยเอาขึ้นมา

    อีกท่านที่ผมเสียดายมากท่านทรงอภิญญาห้าสมาบัติแปดทำให้ดูได้สารพัด แต่ใช้ไปในทางที่ไม่ไปสุขคติ หลวงปู่ธรรมชัยก็ถูกท่านนี้นี่แหละเผาด้วยอภิญญา แม้หลวงปู่ธรรมชัยเองท่านก็ทรงอภิญญาสมาบัติแปด อนาคตอัครสาวกเบื้องซ้ายขององค์สมเด็จพระศรีอาริยะเมตไตรท่านยังพลาด เหมือนอย่างคนที่ต่างคนต่างมีปืนใครยิงก่อนคนที่ถูกยิงแม้มีทุกอย่างที่พอกันแต่โดนก่อนก็จบเหมือนกัน


    อารมณ์เทียบเท่าของพุทธภูมิตอนแรกแบบเดียวกันแต่ตอนตายความตั้งใจที่จะไปไม่เหมือนกัน งานมันไม่จบงานมันยังไม่เสร็จ ต้องกลับมาทำต่อตายแล้วตั้งใจจะไปใหน จะไปสวรรค ตั้งใจจะไปพรหมมันก็มีข้อวัตรปฏิบัติอยู่แล้ว พุทธภูมิโดยเนื้อแท้ท่านรู้ท่านตั้งใจของท่านอยู่แล้ว ว่าตายแล้วจะไปใหน ถ้าไม่สุดวิสัย คงไม่มีท่านใหนเลอะเลือนจนอยากจะไปนรกหรืออบายภูมิ ตัวอย่างแบบอย่างที่ดีเราก็ได้ยินได้ฟัง อย่างพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยานท่านก็หนีอบายภูมิมาพันกว่าชาติ เบื้องปลายชีวิตท่านก็มักจะบวชบ้าง เจริญสมาธิกรรมฐานบ้างจนได้ฌานสมาบัติท่านก็หนีไปพรหมก็ไม่รู้กี่ครั้ง สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชตอนท้ายท่านก็ไปบวชเจริญสมาธิกรรมฐานอยู่ที่ใกล้น้ำตกพรหมโลก นครศรีธรรมราชอย่างที่พวกเรารู้กัน ก็ยืนยันผลตามคุณtamsakผมเองรู้มาอย่างนี้ ทุกเมื่อเชื่อวันผมก็ทำของผมแบบนี้ทรงอารมณ์ใจไว้แบบนี้ ตั้งใจแล้วว่าตายเมื่อไรจะไปใหน


    ยิ่งตอนนี้เมื่อคราวทำบุญประจำปีที่วิหารน้ำน้อยเมื่อเดือนกรกฏาคมที่ผ่านมา หลวงพี่ท่านเจ้าอาวาสวัดท่าซุงองค์ปัจจุบัน ท่านคุยสนทนากับคณะที่ไปส่งท่านที่สนามบินหาดใหญ่ในห้องรับรอง ท่านบอกว่างานก่อสร้างถาวรวัตถุของวิหารพวกเราก็ทำกันเสร็จแล้ว ปีหน้าพวกเรามาสร้างทรัพย์ภายในขั้นเตรียมตัวหาที่ไป ท่านบอกว่าให้โจททุกคนไปทำการบ้านว่าถ้าอีกสามวันข้างหน้าเราจะตายเราจะเตรียมตัวกันอย่างไร ตายแล้วจะไปใหน อันนี้น่าคิดว่าลูกหลานหลวงพ่อน่ะไม่ได้มีความประมาทในเรื่องของความตายเลย หลวงพี่พระครูท่านน่ะไม่ลืมเรื่องความตาย ท่านเป็นห่วงคนอื่นท่านก็หาอุบายกระตุ้นเตือนพวกเรา ท่านเป็นพระสุปฏิปันโนที่พวกเรากราบไหว้ได้สนิทใจแบบน้องๆกราบพี่ใหญ่รองจากพ่อเลยทีเดียว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 31 สิงหาคม 2013
  16. justpon

    justpon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +467
    ที่บอกว่าพระอริยสงฆ์ท่านเคารพพระโพธิสัตว์นั้นถูกต้องเพราะกำลังใจของท่านสูงมาก การบำเพ็ญบารมีก็มากกว่าสาวกภูมิเยอะฉะนั้นก็ถูกต้อง ... แต่ที่ท่านบอกว่า พระโพธิสัตว์เนี่ยจะละกิเลสได้มากกว่าพระอริยเจ้าเนี่ยมันไม่ใช่ ดูตัวอย่างเจ้าชายสิทธัตถะสิ มีลูก แต่งงาน จะละกิเลสได้มากเท่าพระอรหันต์หรือพระอนาคามีผลก็ไม่ได้ แต่ภายหลังจากท่านตรัสรู้ถึงมีกำลังมากกว่ารู้รอบกว่าเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คุณอย่าหลงประเด็นนะ ท่านว่ากำลังพระโพธิสัตว์เฉพาะ ปรมัตถบารมี 10 ชาติสุดท้าย ถึงจะทรงอารมณ์เทียบ ใช้คำว่าเทียบไม่ใช่ได้เลย ถ้าได้เลยก็ต้องไม่แต่งงาน ไม่มีราคะ แล้วสิ เพราะอนาคามี อรหันตผล ไม่มีกามราคะแล้วนะ แล้วที่ว่าคำจำกัดความของพระอริยะเนี่ยใครเป็นคนให้คำจำกัดความนอกจากพระพุทธเจ้า ท่าทางคนนั้นคงจะเก่งน่าดูเลยนะครับ ขนาดให้คำจำกัดความของพระอริยะได้ ขนาดพระอรหันต์ยังไม่กล้าทำนายเลยว่าคนอื่นได้เป็นพระอริยเจ้าหรือไม่ นอกระบบไปหรือเปล่า ก็อย่างที่ผมบอกไปว่าหากดูที่ศีลจริง เด็กทารกก็คงจะเป็นพระอริยเจ้ากันหมดแล้วล่ะมั้ง...การเป็นพระอริยเจ้าเนี่ยเค้าดูกันจากการละสังโยชน์ 10 ประการ ตามที่พระพุทธเจ้า พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุง และ พระอรหันต์หลายพระองค์พูดเหมือนกัน และจะเห็นได้ว่าศีลเป็นเพียง 1 ในนั้นเท่านั้นเอง
     
  17. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    กระผมยอมรับว่า ภูมิธรรมภูมิความรู้ของกระผมนอกระบบนอกกรอบในบางเรื่อง เพราะทุกอย่างที่รู้และเข้าใจนั้น มองด้วยหลักเหตุและผล ประการหนึ่ง และมองด้วยหลักธรรมประการหนึ่ง และมองด้วยผลที่ปรากฏจากการปฏิบัติประการหนึ่ง จึงกล่าวแสดงไว้อย่างนี้

    อนึ่งเรื่องศีล ขอทำความเข้าใจว่า การรักษาศีลให้บริสุทธิ์นั้น เพราะอาศัยกาย วาจา ใจ หรือพูดง่ายๆคือการอาศัยเจตนาเป็นที่ตั้งเพื่อรักษาไว้ซึ่งความปกติแห่งกาย วาจา ใจ
    กรณีของเด็กทารก ผู้วิกลจริต หรือสรรพสัตว์น้อยใหญ่ ที่ไม่สามารถทรงสติ หรือมีจิตวิปริต ย่อมไม่สามารถเป็นผู้รักษาศีลได้ ศีลจึงเป็นเรื่องของเจตนาละเว้นไม่กระทำผิด ดังนั้นตรงนี้ต้องทำความเข้าใจให้ถูกต้องด้วย ดังนั้นหากถามว่าเด็กทารกมีศีลบริสุทธิ์ได้นั้น แสดงว่าผู้ถามยังไม่มีความเข้าใจในเรื่องเจตนาการละเว้นการกระทำบาป เพราะเด็กทารกคือผู้ไร้เดียงสาจึงไม่มีเจตนาในการละเว้นนั่นเองครับ ศีลจึงไม่เกิดแก่เด็กทารกเป็นต้นครับ สาธุ

    และจากกระผมเคยกล่าวแสดงไว้มากมาย ทุกอย่างมีเหตุและผล ความเป็นพระอริยะก็มีหลายลำดับชั้นตามตำรา ตั้งแต่พระโสดาบันฝ่ายปฏิมรรค ไปจนกระทั้งพระโสดาบันฝ่ายปฏิผล และพระอรหันต์ฝ่ายปฏิผล เวลาเราจะเปรียบเทียบหรือพิจารณาก็ควรพิจารณาเป็นลำดับชั้นไป การกล่าวถึงจึงต้องละเอียดอ่อน ส่วนฝ่ายพระโพธิสัตว์ก็มีหลายลำดับชั้นเช่นกัน เวลากล่าวปเรียบเทียบก็เช่นกัน จึงต้องมีการเฉพาะเจาะจง ไม่เช่นนั้นก็จะคลาดเคลื่อนไม่ถูกต้องตามความเป็นจริง

    สุดท้ายก็อย่างที่กระผมได้กล่าวไว้แล้ว แม้ฆาราวาสผู้ปฏิบัติดี ได้พระโสดาบัน ท่านก็เป็นพระอริยะพระองค์หนึ่ง ดังนั้นเรื่องนี้ก็สุดแท้แต่ท่านว่าจะเห็นชอบอย่างไรตามภูมิปัญญาของท่าน เราคิดดี ย่อมเกิดผลดีแก่จิตเรา พัตนาจิตของเราให้ดีงามยิ่งๆขึ้นไปครับ

    ขอบคุณทุกๆนานาทัศนะ เราแลกเปลี่ยนกันย่อมทำให้เห็นหลายแง่มุมหลายความคิด บัณฑิตทั้งหลาย ต้องเป็นนักรู้จักรวบรวมข้อมูล ต้องฉลาดในการคิดวิเคราะห์ ตามหลักเหตุและผล ต้องเป็นผู้ฉลาดในการปฏิติตน ต้องฉลาดในการวิเคราะห์ผล สุดท้ายย่อมเป็นผู้รู้แจ้งได้เฉพาะตน เป็นผุ้หลุดพ้นได้เฉพาะตนครับ นั้นคือสิ่งที่พระพุทธองค์กล่าวสรรเสริญครับ สาธุ
     
  18. justpon

    justpon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +467
    รบกวนอ่านข้อความของคุณนะครับ
    แต่พระโพธิสัตว์ที่มีบารมีปานกลางถึงมาก สามารถละกิเลสได้มากกว่าพระโสดาบันและพระสกิทาคามีก็มี แต่ท่านทรงอารมณ์พระอนาคามีหรือพระอรหันต์ก็มี ดังนั้น กรณีนี้ ก็อยู่ที่ปัญญาของลูกแล้วว่า ลูกจะยกให้ท่านเป็นพระอริยะด้วยหรือไม่ก็อยู่ที่ปัญญาความเห็นของลูก

    อนึ่งแท้จริงความเป็นพระอริยะ ไม่ได้อยู่ที่ใครเป็นอะไรปราถนาอะไร แต่ความเป็นพระอริยะนั้น ขึ้นอยู่กับสิ่งเดียว คือศีลบริสุทธิ์และความดีงาม ทั้งกาย วาจา ใจ เท่านั้น ขอให้อย่าไปสงสัยอะไรให้มากเลย แค่การคิดดี พูดดี ทำดี ไม่ทำบาบ รักษาศีลให้บริสุทธิ์ ก็ดีงามสมควรยกย่องแล้ว


    พระโพธิสัตว์สามารถละกิเลสได้มากกว่า พระโสดาบัน พระสกิทาคามี แถมยังทรงอารมณ์พระอนาคามีหรือพระอรหันต์ก็มี แล้วคุณยีงบอกอีกว่า พระโพธิสัตว์อุปบารมี จนึงบารมีปลาย ทรงได้แบบนั้น ถ้าบารมีปลายก่อนจะเป็นพระพุทธเจ้าผมไม่เถียงแต่คุณพูดไม่ถูกคือท่านแค่รู้และเทียบได้แค่นี้แต่ไม่สามารถทรงอารมณ์แบบนั้นได้ การทรงอารมณ์เนี่ยจะต้องอยู่ในสถานะและคุณธรรมนั้น ๆ หากท่านเหล่านี้ได้คุณธรรมนั้นก็ไม่สามารถแต่งงานและมีลูกได้นะครับ เพราะพระอนาคามี และพระอรหันต์เนี่ยไม่มีราคะแล้ว ขนาดพระสกิทาคามี ราคะแทบจะไม่เกิดเลย แล้วสังเกตุดูในทศชาติชาดก ขนาดพระเวสสันดรเองหรือเจ้าชายสิตธัตถะยังแต่งงานและมีลูกเลยจะทรงอารมณ์นั้นได้อย่างไร แล้วความเป็นอริยะเนี่ยไม่ได้ขึ้นที่ศีลเพียงอย่างเดียวนะครับ ถ้าเป็นพระโสดาบันนี่ต้องละสังโยชน์ 3 ประการ คือ 1 สักกายะทิฐิ 2 วิจิกิจฉา 3 สีลัพพตปรามาส จะเห็นว่าศีลเป็น 1 ใน 3 เท่านั้น ถ้าคุณไม่เคารพ พระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ ก็ไม่สามารถเป็นพระอริยเจ้าแล้ว หรือ คุณไม่รู้ว่าร่างกายต้องตาย ต้องเสื่อมยังคงยึดกับร่างกายคุณก็เป็นไม่ได้ ส่วนการรักษาศีลนั้นคุณพูดถูกคือดูจากเจตนาว่าเราล่วงเกินด้วย กาย วาจา หรือ ใจ หรือเปล่า เพราะถ้าเราไม่ก้าวล่วงทั้ง กาย วาจา หรือใจแล้ว ศีลเราจะเรียกว่า อธิศีล จะทำให้สมาธิมีกำลังมาก สามารถตัดและละกิเลส ได้บางส่วน หากมีสังโยชน์ในข้ออื่นดังที่ได้กล่าวมาแล้วประกอบ ทรงได้ก็จะได้พระโสดาบันนะครับ ไม่ใช่เพียงแค่ คิดดี พูดดี ทำดี ไม่ทำบาบ รักษาศีลให้บริสุทธิ์ แบบที่คุณพูดแบบเดียวครับ
     
  19. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    การที่เราจะเปรียบสิ่งใด เราท่านทั้งหลายต้องมีความรู้ความเข้าใจที่มากพอสมควรในสิ่งสองสิ่งนั้นที่จะทำการเปรียบเทียบ หากท่านยังไม่รู้หรือเข้าใจมากพอทั้งสองสิ่งนั้นท่านก็ไม่สามารถทำการเปรียบเทียบได้

    อนึ่ง เรื่องความเป็นพระโพธิสัตว์ นั่น เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ยาก มีความสลับซับซ้อน เพราะส่วนหนึ่งเป็นวิสัยแห่งพุทธภูมิ เรื่องการเกิดมาสร้างบารมีนั้นเป็นเรื่องที่ไม่สามารถทราบหรือพยากรณ์ได้ ส่วนการจะเป็นนักบวช เป็นชาวบ้าน พ่อค้า พรามหณ์ กษัติย์ จะมีสามี ภริยา บุตรหรือไม่ ทุกอย่างเป็นไปตามวิบากกรรมเท่านั้น เมื่อมาเกิดแล้ว จึงต้องรับใช้วิบากกรรม แต่ในขณะเดียวกัน ก็ต้องปฏิบัติธรรมรักษาจิตให้สะอาดบริสุทธิ์ และสร้างกุศลบารมียิ่งๆขึ้นไป ทุกอย่างจึงมีเหตุและผลประกอบ เสมอ

    ดังนั้นกระผมเองซึ่งเชื่อมั่นภูมิธรรมแห่งตน[แต่ไม่ได้ยึดมั่นอะไร]จึงมีความเห็นว่า เพราะตนมีความรู้แจ้งมากพอสมควรในความเป็นพระโสดาบัน จนถึงพระอรหันต์ฝ่ายหนึ่ง และความเป็นพระโพธิสัตว์ บารมีขั้นต้น กลาง ปลาย ส่วนหนึ่ง จึงประเมิณได้ว่า สามารถเปรียบเทียบในความเป็นพระอริยะได้ ตามวิธีการ หลักการณ์ เหตุและผล และอาศัยธรรมทั้งหลายประกอบ จึงได้แสดงเหตุและผลไว้ตามที่ได้กล่าวแสดงมาแล้วทั้งหมดทั้งสิ้นเป็นอย่างนี้ครับ
    ส่วนท่านใดจะเชื่อหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับภูมิปัญญาความเข้าใจความคิดตามหลักพิจารณาตามเหตุและผลของท่าน ครับ สาธุ
     
  20. อภิมาร

    อภิมาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    711
    ค่าพลัง:
    +2,154


    ขออนุญาติครับ

    เคยได้ยินอยู่..หลงในสภาวะที่เรียกว่า "ฌาณ"

    ครูอาจารย์ท่านบอกว่าคนที่ได้ฌาณหลงว่าเป็น

    พระอรหันต์ก็มี..สภาวะของฌาณที่เข้มก็สามารถ

    กดข่มนิวรณ์ได้ คงน่าจะเอาสภาวะของอารมณย์นั้น

    อุปมาเป็นตัวเปรียบเทียบ..สิ่งที่ผมเข้าใจคำว่า

    "เป็น" มันควรเป็นอะไรที่เฉพาะ สิ่งที่พระพุทธเจ้าท่าน

    ทรงบัญญัติไว้แล้ว สำหรับผมเชื่อว่าเป็นหนึ่งไม่มีสองแน่นอน

    แต่ในท่านผู้ที่กำลังปฎิบัติเพื่อเรียนรู้.ท่านเหล่านั้น

    อาจบอกว่า "ท่านอาจพบสิ่งที่พระพุทธองค์ไม่ได้ทรง

    บัญญัติไว้ นั่นถือเป็นความเชื่อเฉพาะบุคคลหรือบางกลุ่ม

    ก็สุดแล้วแต่ท่านเพราะ "ผลที่ได้ก็ตามสมควรแก่การปฎิบัติ"ครับ

    ก็ขอให้ก้าวหน้าในการปฎิบัติ...อนุโมทนาครับ.
     

แชร์หน้านี้

Loading...