พบวัดพิลึก ห้ามไหว้พุทธรูป

ในห้อง 'ข่าวพุทธศาสนา' ตั้งกระทู้โดย WebSnow, 26 กรกฎาคม 2008.

  1. - เงาะป่า -

    - เงาะป่า - เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    521
    ค่าพลัง:
    +565
    สำหรับผมสิ่งใดที่ควรเห็นดีก็น้อมนำไว้ ส่วนความเห็นใดที่ไม่ตรงกัน ก็ขอใช้สติปัญญาใคร่ครวญกันเอาครับ ขอให้เจริญในทางธรรมยิ่งๆขึ้นไปทุกท่านครับ

    อนุโมทนากับเจ้าของกระทู้ และ ทุกความเห็นครับ
    -------------------------------------------------------------------------------------------------------
    "จงจำไว้นะ เมื่อยังไม่ถึงเวลา เทพเจ้าองค์ใดจะคิดช่วยเจ้าไม่ได้ ครั้นถึงเวลา ทั่วฟ้าจบดินก็ต้านเจ้าไม่อยู่ จงอย่าไปเร่งเทวดาฟ้าดินเมื่อบุญเราไม่เคยสร้างไว้เลย จะมีใครไหนมาช่วยเจ้า"
    -------------------------------------------------------------------------------------------------------
    ร่วมสร้าง " อุโบสถเงิน" วิหารทานที่ในครั้งนึงในชีวิตไม่ควรพลาดครับ
    --> http://palungjit.org/showthread.php?t=140433
    พระคุณพ่อ
    --> http://palungjit.org/showthread.php?p=1326572#post1326572
    มาเที่ยว วัดเกตการาม จ.เชียงใหม่ วัดประจำปีจอกัน
    --> http://palungjit.org/showthread.php?t=136821
    พุทโธหาย....?
    --> http://palungjit.org/showthread.php?p=1329341#post1329341
    ปรัชญาพุทธกับคนรัก(ที่ไม่รักเรา) เอ๊า!!ใครอกหักยกมือขึ้น
    --> http://palungjit.org/showthread.php?p=1338677#post1338677
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กรกฎาคม 2008
  2. kamineko

    kamineko เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    134
    ค่าพลัง:
    +565
    หลักตรวจสอบพระธรรมคำสั่งสอน

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
    ดูกรโคตมี ท่านพึงรู้ธรรมเหล่าใดว่า ธรรมเหล่านี้

    เป็นไปเพื่อความกำหนัด ไม่เป็นไปเพื่อความคลายกำหนัด
    เป็นไปเพื่อประกอบสัตว์ไว้ ไม่เป็นไปเพื่อพรากสัตว์ออก
    เป็นไปเพื่อสั่งสมกิเลส ไม่เป็นไปเพื่อไม่สั่งสมกิเลส
    เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักมาก ไม่เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย
    เป็นไปเพื่อความไม่สันโดษ ไม่เป็นไปเพื่อความสันโดษ
    เป็นไปเพื่อความคลุกคลีด้วยหมู่คณะ ไม่เป็นไปเพื่อความสงัด
    เป็นไปเพื่อความเกียจคร้าน ไม่เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร
    เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงยาก ไม่เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงง่าย

    ดูกรโคตมี ท่านพึงทรงจำไว้โดยส่วนหนึ่งว่า
    นี้ไม่ใช่ธรรม ไม่ใช่วินัย ไม่ใช่คำสั่งสอนของพระศาสดา ฯ


    สงสัยตรงทำบุญแล้วโอนบุญเบิกบุญ นี่แหละ การทำบุญทำทาน เป็นไปเพื่อขัดเกลาจิตใจ เพื่อลดความตระหนี่ ละความโลภ เป็นเพื่อยังประโยชน์แก่ผู้อื่น
    ทำไมต้องเน้นโอนบุญเทวดา เจ้ากรรมนายเวร แล้วอธิษฐานขอในเรื่องต่างๆ มันดูขัดๆ กับหลักการไม่กราบไหว้พระพุทธรูป เพราะเป็นสิ่งสมมติ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กรกฎาคม 2008
  3. ซ้อจิตต์

    ซ้อจิตต์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    183
    ค่าพลัง:
    +63
    ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับพระเกษม แนวทางของท่าน ทำให้ชาวพุทธไขว้เขวไปหรือปล่าว
     
  4. พลัjจิต

    พลัjจิต สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2008
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +18
    อาบัติข้อใดละท่าน บอกด้วยดิ
     
  5. พลัjจิต

    พลัjจิต สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2008
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +18
    ผมเคยเห็นพระพุทธเจ้าคับ อันนี้ไม่ได้โม้
    เมื่อเคยเห็นแล้วทุกวันนี้ผมไม่เคยกราบพระพุทธรูปอีกเลย
    และผมก็ไม่เคยไปวัดสามแยกด้วย แต่รู้ว่าหลวงพ่อเกษมท่านอยู่อริยะระดับไหนด้วย
    ผู้ที่เห็นพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างท่องแท้ คือบุคคลประเภทเดียวกันคับ
     
  6. พลัjจิต

    พลัjจิต สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2008
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +18
    แล้วเจดีย์ใดควรกราบไหว้ละ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กรกฎาคม 2008
  7. พลัjจิต

    พลัjจิต สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2008
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +18
    คนเรานี้ก็โง่ๆ พูดมาได้ว่า พระพุทธรูปเปรียยบเสมือนตัวแทนของพระพุทธเจ้า คิดแบบนี้ศาสนาล้มจมหมด พระธรรมต่างหากคือตัวแทนของพระพุทธเจ้า พระสงฆ์คือผู้บริสุทธ์เป็นผู้สืบทอดพระธรรมของพระพุทธเจ้า พระสงฆ์จริงๆนะมีน้อยนัก
     
  8. ผมยังเลวอยู่มาก

    ผมยังเลวอยู่มาก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2008
    โพสต์:
    187
    ค่าพลัง:
    +539
    เขาพูดก็แล้ว บอกก็แล้ว ชี้แจงก็แล้ว ก็ยังจะมีการตะแบง
    สัตว์โลกหนอ สัตว์โลก มนุษโลก เทวโลก พรหมโลก นิพพาน มีไม่ไป อยากจะไปอบายภูมิกันนัก

    พุทธบูชามหาเตชะวันโต ธัมมะบูชามหาปัญโญ สังฆะบูชามหาโภควาโห ติโลกะนาถัง อภิปูชามิ
     
  9. ผมยังเลวอยู่มาก

    ผมยังเลวอยู่มาก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2008
    โพสต์:
    187
    ค่าพลัง:
    +539
    หลวงปู่มั่น ผู้เป็นบูรพาจารย์สายพระป่า

    พระแก้วมรกต

    เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อครั้งท่านพระอาจารย์มั่นพักที่วัดป่าบ้านหนองผือ พระอุปัชฌาย์อุ่น (พระครูบริบาลสังฆกิจ (อุ่น อุตตโม) วัดอุดมรัตนาราม อำเภออากาศอำนวย จังหวัดสกลนคร) ได้ไปกราบนมัสการฟังเทศน์ และได้นำรูปพระแก้วมรกตขนาด 20 นิ้ว เป็นภาพพิมพ์ใส่กรอบไปถวายท่านพระอาจารย์ แต่ดูท่านจะลืมทำความสะอาด เพราะมีฝุ่นจับอยู่ ท่านพระอาจารย์ก็น้อมรับด้วยความเคารพ
    หลังจากท่านอุปัชฌาย์อุ่นลาลงกุฏิไปแล้ว ท่านพระอาจารย์ได้ทำความสะอาด โดยนำผ้าสรงน้ำของท่านฯ มาเช็ดถู ผู้เล่า (หลวงตาทองคำ-ภิเนษกรมณ์) เอาผ้าเช็ดพื้นเข้าไปช่วยทำความสะอาดด้วย เพราะเห็นว่าผ้ายังสะอาดอยู่ ท่านหันมาเห็นเข้า พูดว่า
    "อะไรกัน นั่นรูปพระพุทธเจ้าแท้ๆ ยังเอาผ้าเช็ดพื้นมาถูได้"
    ผู้เล่าสะดุ้งไปทั้งตัว เพราะความโง่เขลาปัญญาอ่อน ท่านฯ ก็เลยทำความสะอาดเอง
    เสร็จแล้วก็มีเพื่อนภิกษุทยอยกันขึ้นไป รวมทั้งท่านอาจารย์วิริยังค์ด้วย ท่านเลยเทศน์ถึงความมหัศจรรย์ของพระแก้วมรกต ท่านว่า
    "พระแก้วมรกตประดิษฐานอยู่ในประเทศใด ประเทศนั้นจะไม่ว่างจากพระอริยบุคคล พระอริยบุคคลมีอยู่ในประเทศใด ประเทศนั้นจะไม่ฉิบหายด้วยภัยแห่งสงคราม"
    การเสด็จไปสู่สถานที่ต่างๆ ของพระแก้วมรกตนั้นมีปัจจัย 3 อย่าง คือ เพื่อเผยแผ่พระพุทธศาสนา เกิดกลียุคในประเทศนั้น และด้วยความรัก
    และท่านยังบอกอีกว่า วัดพระแก้วนี้เป็นวัดพระพุทธเจ้าโดยเฉพาะ พระสงฆ์อยู่ไม่ได้ เพราะพระสงฆ์มาจากตระกูลต่างๆ ทั้งหยาบทั้งละเอียด ไม่รู้พุทธอัธยาศัย พุทธธรรมเนียม เพราะพระพุทธเจ้าเป็นทั้งกษัตริย์ และผู้สุขุมาลชาติ เมื่อพระสงฆ์ไม่รู้พุทธธรรมเนียม ถ้าไปอยู่ก็มีแต่บาปกินหัว
    ผู้รู้ทั้งพุทธอัธยาศัยและพุทธธรรมเนียมแล้ว มีพระมหากษัตริย์องค์เดียวเท่านั้น ครั้งพุทธกาลก็มีพระเจ้าพิมพิสารเท่านั้นทรงรู้ แต่จอมไทย คือ พระมหากษัตริย์ทรงรู้มาแล้ว ได้ทรงสร้างวัดถวายจำเพาะพระแก้วเท่านั้น
    พระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์เป็นหน่อเนื้อพุทธางกูร คือ จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในกาลข้างหน้า ต่างแต่วาสนาบารมีมากน้อยต่างกันเท่านั้น ท่านจึงทรงรู้พุทธอัธยาศัยเป็นตัวแทนพระพุทธเจ้า
    ผู้ใดย่างกรายเข้าสู่วัดพระแก้วเป็นบุญทุกขณะที่อยู่ในบริเวณวัด แม้แต่ชาวต่างชาติ มีโอกาสเข้าไปในบริเวณวัดพระแก้ว จะด้วยศรัทธาหรือไม่ก็ตาม ก็ได้เข้ามาสู่วงศ์พระพุทธศาสนาโดยปริยาย หรือจะบังเอิญก็แล้วแต่ สามารถเป็นนิสัยให้เข้ามาได้ ต่อไปจะสามารถมาเกิดเป็นคนไทย สืบต่อบุญบารมีสำเร็จมรรคผลได้
     
  10. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    ก็มองหลายๆมิติสิ

    เพราะ สิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี

    ใครๆก็รู้ว่า สิ่งที่ตนนับถือบูชานั้นไม่ใช่หิน ไม่ใช่ปูน ทองเหลือง
    แต่เป็การระลึกถึง พระบริสุทธิคุณสาม โอวาทสาม
    ในทางอภิธรรม พระพุทธรูปเปรียบเหมือนจิตฝ่ายกุศล
    การมองเห็นพระพุทธรูปบ่อยๆ ระลึกถึงบ่อยๆ
    จิตย่อมมีกำลังเป็นกุศล ย่อมเกิดปิติได้

    หากมองในแง่ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ความเป็นปึกแผ่น
    พระพุทธรูปของไทยนี่แหละ บอกถึงชาติที่มีความเป็นอริยะ
    และ บอกถึงความสามัคคี ของชนในชาติด้วย
     
  11. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    แม้ผู้ที่ได้ภูมิอริยะสูงๆแล้ว
    การสวดมนต์ไหว้พระ ยังมีอยู่
    และ ดูเหมือนจะสำรวมนอบน้อมกว่าเดิมด้วยซ้ำ

    หากถามท่านเหล่านั้นว่าท่านไหว้อะไร
    ก็ต้องถามกลับไปว่า ขณะไหว้บูชา ใจท่านนึกถึงสิ่งใด.
     
  12. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    พวกที่ไปไหว้ ขูดหวย ขอโชคลาภ บนบาน
    พวกเนี่ยแหละ ที่พระท่านสอนให้มีสติ
    เราไปบนบาน กราบ ไหว้หิน ไหว้ปูนให้ช่วยแก้ทุกข์ให้เรา
    มันก็แก้กันผิดๆ ไม่รู้เหตุรู้ผล ใจมันเป็นมิจฉาทิฎฐิ

    ส่วนพวกไหว้พระ แล้วระลึกถึง คุณรัตนไตย โอวาทสาม
    นอบน้อม แก่ผู้ควรนอบน้อม
    บูชา แก่ผู้ที่ควรบูชา
    อย่างนั้นไม่ใช่สัมมาทิฎฐิ ดอกหรือ
     
  13. tagami

    tagami Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    33
    ค่าพลัง:
    +48
    สุดทางที่อเวจีมหานรกสถานเดียวครับงานนี้
     
  14. พอเพียง

    พอเพียง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2006
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +70
    อุทเทสก แปลว่า ผู้แสดง หรือ ผู้สวด

    เจดีย์ แปลว่า สิ่งที่ควรระลึกถึงและควรค่าแก่การบูชา

    อุทเทสิกเจดีย์ จึงแปลว่า สิ่งที่ควรระลึกถึงผู้ที่ีแสดง

    ในกรณีของพุทธศาสนานี้ต้องหมายถึง การระลึกถึงพระพุทธเจ้าที่เป็นผู้ประกาศพระธรรมคำสอน

    เพราะฉะนั้น สิ่งที่จะระึลึกถึงพระพุทธเจ้าในกรณีนี้่ก็คือ พระธรรมวินัยทั้งหมดที่พระองค์ได้แสดงไว้

    ไม่ใช่รูป ไม่ใช่เหรียญ ไม่ใช่วัตถุใดๆทั้งหมดทั้งสิ้น

    เรื่องนี้มีกล่าวไว้ในพระไตรปิฎกด้วย

    เรื่องความหมายของอุทเทสิกเจดีย์ที่แท้จริง เล่ม 60 หน้า 267

    ...พระอานนทเถระรับว่า ดีละ แล้วทูลถามพระตถาคตว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เจดีย์มีกี่อย่าง.

    พระศาสดาตรัสตอบว่า มีสามอย่างอานนท์.

    พระอานนทเถระทูลถามว่า สามอย่างอะไรบ้าง พระเจ้าข้า.

    พระศาสดาตรัสว่า ธาตุเจดีย์ ๑ ปริโภคเจดีย์ ๑ อุทเทสิกเจดีย์ ๑.

    พระอานนทเถระทูลว่าข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อพระองค์เสด็จจาริกไป
    ข้าพระองค์อาจกระทำเจดีย์ได้หรือ.

    พระศาสดาตรัสว่า อานนท์ สำหรับธาตุเจดีย์ไม่อาจทำได้ เพราะธาตุเจดีย์นั้น
    จะมีได้ในกาลที่พระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว

    สำหรับอุทเทสิกเจดีย์ก็ไม่มีวัตถุปรากฏ เป็นเพียงเนื่องด้วยตถาคตเท่านั้น...


    คัดลอกจาก http://www.samyaek.com/board2/index.php?topic=1176.msg10583;topicseen#msg10583
     
  15. พอเพียง

    พอเพียง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2006
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +70
    และบางส่วนจาก
    http://www.samyaek.com/board2/index.php?topic=1175.0

    รู้เรื่องพระพุทธรูปตามความเป็นจริง

    รูปเหมือนพระพุทธเจ้าไม่มีเล่ม 32 หน้า 214 บรรทัด 6

    อปฺปฎิโม (ไม่มีผู้เปรียบ) ความว่า อัตภาพ ( ความเป็นตัวตน )<O:p</O:p
    เรียกว่ารูปเปรียบ ชื่อว่าไม่มีผู้เปรียบ เพราะรูปเปรียบอื่นเช่นกับอัตภาพของท่านไม่มี
    อีกอย่างหนึ่ง มนุษย์ทั้งหลายกระทำรูปเปรียบใดล้วนแล้วด้วยทองและเงินเป็นต้น
    ในบรรดารูปเปรียบเหล่านั้น ชื่อว่าผู้สามารถกระทำโอกาสแม้สักเท่าปลายขนทราย<O:p</O:p
    (แม้เพียงนิ๊ดนึง) ให้เหมือนอัตภาพของพระตถาคต ย่อมไม่มี<O:p
    พราะเหตุนั้น จึงชื่อว่าไม่มีผู้เปรียบแม้โดยประการทั้งปวง.

    อปฺปฎิสโม (ไม่มีผู้เทียบ) ความว่า ชื่อว่าไม่มีผู้เทียบ <O:p
    เพราะใคร ๆ ชื่อว่าผู้จะเทียบกับอัตภาพของพระตถาคต นั้นไม่มี<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    รูปเหมือนพระพุทธเจ้า...ไม่มี (อีกที) เล่ม 11 หน้า 66

    <O:p</O:p
     
  16. พอเพียง

    พอเพียง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2006
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +70
    คุณสมบัติของพระรัตนตรัย ที่พระพุทธรูปไม่มี เล่ม 33 หน้า 327<O:p</O:p

    ชื่อว่า พุทธ เพราะกำจัดภัยของเหล่าสัตว์ ด้วยให้สิ่งที่เป็นประโยชน์เป็นไป
    ให้ออกจากสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ หรืออีกอย่างหนึ่ง พระพุทธเจ้าชื่อว่าเป็นสรณะ
    เพราะกำจัดภัยของสัตว์ทั้งหลายด้วยการให้หันเข้าหาประโยชน์
    และให้หันเหออกจากสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูล ทรงเป็นที่ดำเนินไปในเบื้องหน้า
    ทรงเป็นที่ยึดเหนี่ยว ทรงเป็นผู้ทำลายทุกข์

    ชื่อว่า ธรรม เพราะยกสัตว์ให้ข้ามจากกันดารคือภพ และเพราะทำความเบาใจ<O:p</O:p
    แก่สัตว์โลก

    <O:p</O:p
    ชื่อว่า สงฆ์ เพราะทำสักการะแม้มีประมาณน้อย กลับได้ผลไพบูลย์.

    <O:p</O:p
    ฉะนั้น พระรัตนตรัยจึงเป็นสรณะ โดยปริยายแม้นี้

    และเล่ม 39 หน้า 19<O:p</O:p

    บัดนี้ จะกล่าวอธิบายคำที่ว่าจะประกาศพระสรณตรัยนั้น ด้วยข้ออุปมา <O:p</O:p
    (ข้อเปรียบเทียบ) ทั้งหลาย ก็ในคำนั้น<O:p</O:p
    พระพุทธเจ้าเปรียบเหมือน พระจันทร์เพ็ญ
    พระธรรมเปรียบเหมือนกลุ่ม รัศมีของพระจันทร์
    พระสงฆ์เปรียบเหมือน โลกที่เอิบอิ่มด้วยรัศมีของพระจันทร์เพ็ญที่ทำให้เกิดขึ้น

    <O:p</O:p
    พระพุทธเจ้าเปรียบเหมือน ดวงอาทิตย์ทอแสงอ่อน ๆ
    พระธรรมดังกล่าวเปรียบเหมือน ข่ายรัศมีของดวงอาทิตย์นั้น
    พระสงฆ์เปรียบเหมือน โลกที่ดวงอาทิตย์นั้นกำจัดมืดแล้ว.

    <O:p</O:p
    พระพุทธเจ้าเปรียบ เหมือนคนเผาป่า
    พระธรรมเครื่องเผาป่าคือกิเลสเปรียบเหมือน ไฟเผาป่า
    พระสงฆ์ที่เป็นบุญเขต เพราะเผากิเลสได้แล้ว เปรียบเหมือนภูมิภาคที่เป็นเขตนาเพราะเผาป่าเสียแล้ว.

    <O:p</O:p
    พระพุทธเจ้าเปรียบเหมือน เมฆฝนใหญ่
    พระธรรมเปรียบเหมือน น้ำฝน
    พระสงฆ์ผู้ระงับละอองกิเลสเปรียบเหมือน ชนบทที่ระงับละอองฝุ่นเพราะฝนตก.

    <O:p</O:p
    พระพุทธเจ้าเปรียบเหมือน สารถีที่ดี
    พระธรรมเปรียบเหมือน อุบายฝึกม้าอาชาไนย
    พระสงฆ์เปรียบเหมือน ฝูงม้าอาชาไนยที่ฝึกมาดีแล้ว.

    <O:p</O:p
    พระพุทธเจ้าเปรียบเหมือน ศัลยแพทย์ [หมอผ่าตัด] เพราะทรงถอนลูกศรคือ ทิฏฐิได้หมด
    พระธรรมเปรียบเหมือน อุบายที่ถอนลูกศรออกได้
    พระสงฆ์ผู้ถอนลูกศรคือทิฏฐิออกแล้ว เปรียบเหมือน ชนที่ถูกถอนลูกศรออกแล้ว.
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    อีกนัยหนึ่ง <O:p</O:p
    พระพุทธเจ้าเปรียบเหมือน จักษุแพทย์ เพราะทรงลอกพื้นชั้นโมหะออกได้แล้ว<O:p</O:p
    พระธรรมเปรียบเหมือน อุบายเครื่องลอกพื้น [ตา]
    พระสงฆ์ผู้มีพื้นชั้นตาอันลอกแล้ว ผู้มีดวงตาคือญาณอันสดใส เปรียบเหมือนชนที่ลอกพื้นตาแล้ว มีดวงตาสดใส. <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    อีกนัยหนึ่ง <O:p</O:p
    พระพุทธเจ้าเปรียบเหมือนแพทย์ผู้ฉลาด เพราะทรงสามารถกำจัดพยาธิ<O:p</O:p
    คือ กิเลสพร้อมทั้งอนุสัยออกได้<O:p</O:p
    พระธรรมเปรียบเหมือน เภสัชยาที่ทรงปรุงถูกต้องแล้ว
    พระสงฆ์ผู้มีพยาธิคือ กิเลสและอนุสัยอันระงับแล้วเปรียบเหมือน
    หมู่ชนที่พยาธิ(ความเจ็บป่วย) ระงับแล้ว เพราะการประกอบยา.

    <O:p</O:p
    อีกนัยหนึ่ง <O:p</O:p
    พระพุทธเจ้าเปรียบเหมือน ผู้ชี้ทาง <O:p</O:p
    พระธรรมเปรียบเหมือน ทางดี หรือ พื้นที่ที่ปลอดภัย
    พระสงฆ์เปรียบเหมือน ผู้เดินทางถึงที่ที่ปลอดภัย

    <O:p</O:p
    พระพุทธเจ้าเปรียบเหมือน นายเรือที่ดี
    พระธรรมเปรียบเหมือน เรือ
    พระสงฆ์เปรียบเหมือน ชนผู้เดินทางถึงฝั่ง.

    <O:p</O:p
    พระพุทธเจ้าเปรียบเหมือน ป่าหิมพานต์
    พระธรรมเปรียบเหมือน โอสถยาที่เกิดแต่ป่าหิมพานต์นั้น
    พระสงฆ์เปรียบเหมือน ชนผู้ไม่มีโรคเพราะใช้ยา.

    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    พระพุทธเจ้าเปรียบเหมือน ผู้ประทานทรัพย์
    พระธรรมเปรียบเหมือน ทรัพย์
    พระสงฆ์ผู้ได้อริยทรัพย์มาโดยชอบเปรียบเหมือน ชนผู้ได้ทรัพย์ตามที่ประสงค์.

    <O:p</O:p
    พระพุทธเจ้าเปรียบเหมือน ผู้ชี้ขุมทรัพย์
    พระธรรมเปรียบเหมือน ขุมทรัพย์
    พระสงฆ์เปรียบเหมือน ชนผู้ได้ขุมทรัพย์.<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    อีกนัยหนึ่ง <O:p</O:p
    พระพุทธเจ้าผู้เป็นวีรบุรุษเปรียบเหมือน ผู้ประทานความไม่มีภัย<O:p</O:p
    พระธรรมเปรียบเหมือน ไม่มีภัย
    พระสงฆ์ผู้ล่วงภัยทุกอย่างเปรียบเหมือน ชนผู้ถึงความไม่มีภัย

    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    พระพุทธเจ้าเปรียบเหมือน ผู้ปลอบ
    พระธรรมเปรียบเหมือน การปลอบ
    พระสงฆ์เปรียบเหมือน ชนผู้ถูกปลอบ

    <O:p</O:p
    พระพุทธเจ้าเปรียบเหมือน มิตรดี
    พระธรรมเปรียบเหมือน คำสอนที่เป็นหิตประโยชน์
    พระสงฆ์เปรียบเหมือนชน ผู้ประสบประโยชน์ตน เพราะประกอบหิตประโยชน์ (ประโยชน์เกื้อกูล)

    <O:p</O:p
    พระพุทธเจ้าเปรียบเหมือน บ่อเกิดทรัพย์
    พระธรรมเปรียบเหมือน ทรัพย์ที่เป็นสาระ
    พระสงฆ์เปรียบเหมือน ชนผู้ใช้ทรัพย์ที่เป็นสาระ

    <O:p</O:p
    พระพุทธเจ้าเปรียบเหมือน ผู้ทรงสรงสนานพระราชกุมาร
    พระธรรมเปรียบเหมือน น้ำที่สนานตลอดพระเศียร
    พระสงฆ์ผู้สรงสนานดีแล้วด้วยน้ำคือพระสัทธรรม เปรียบเหมือน หมู่พระราชกุมารที่สรงสนานดีแล้ว.

    <O:p</O:p
    พระพุทธเจ้าเปรียบเหมือน ช่างผู้ทำเครื่องประดับ
    พระธรรมเปรียบเหมือน เครื่องประดับ
    พระสงฆ์ผู้ประดับด้วยพระสัทธรรมเปรียบเหมือน หมู่พระราชโอรสที่ทรงประดับแล้ว.

    <O:p</O:p
    พระพุทธเจ้าเปรียบเหมือน ต้นจันทน์
    พระธรรมเปรียบเหมือน กลิ่นอันเกิดแต่ต้นจันทน์นั้น
    พระสงฆ์ผู้ระงับความเร่าร้อนได้สิ้นเชิงเพราะอุปโภคใช้พระสัทธรรมเปรียบเหมือน ชนผู้ระงับความร้อนเพราะใช้จันทน์<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    พระพุทธเจ้าเปรียบเหมือน บิดามอบมฤดกโดยธรรม
    พระธรรมเปรียบเหมือน มฤดก
    พระสงฆ์ผู้สืบมฤดกดือพระสัทธรรม เปรียบเหมือน พวกบุตรผู้สืบมฤดก.

    <O:p</O:p
    พระพุทธเจ้าเปรียบเหมือน ดอกปทุมที่ปาน
    พระธรรมเปรียบเหมือน น้ำอ้อยที่เกิดจากดอกปทุมที่บานนั้น
    พระสงฆ์เปรียบเหมือน หมู่ภมรที่ดูดกินน้ำอ้อยนั้น.
    พึงประกาศพระสรณตรัยนั้น ด้วยข้ออุปมาทั้งหลายดังกล่าวมาฉะนี้.<O:p</O:p
    <O:p</O:p


    วัตถุทั้งหมดไม่ว่ารูปอะไรก็เป็นอย่างนี้แหละ...ไม่มีข้อยกเว้นเล่ม 66 หน้า 153
    <O:p</O:p
    พระสมณะครั้นรู้รูปอย่างนี้แล้วจึงพิจารณารูป คือ พิจารณาโดยความเป็นของไม่เที่ยงเป็นทุกข์
    เป็นโรค เป็นดังหัวฝี เป็นดังลูกศร เป็นของลำบาก เป็นอาพาธ เป็นอย่างอื่น
    เป็นของชำรุด เป็นเสนียดเป็นอุบาทว์เป็นภัย เป็นอุปสรรค เป็นของหวั่นไหว <O:p</O:p
    เป็นของแตกพัง เป็นของไม่ยั่งยืน เป็นของไม่มีที่ซ่อนเร้น เป็นของไม่มีที่พึ่ง <O:p</O:p
    เป็นของว่าง เป็นของเปล่า เป็นของสูญ เป็นอนัตตา เป็นโทษ <O:p</O:p
    เป็นของมีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา <O:p</O:p
    เป็นของไม่มีแก่นสาร เป็นมูลแห่งความลำบาก เป็นดังเพชฌฆาต <O:p</O:p
    เป็นของปราศจากความเจริญ เป็นของมีอาสวะ (เป็นของหมักดอง) <O:p</O:p
    เป็นของอันเหตุปัจจัยปรุงแต่ง เป็นเหยื่อแห่งมาร เป็นของมีชาติเป็นธรรมดา <O:p</O:p
    เป็นของมีชราเป็นธรรมดา เป็นของมีพยาธิ (ความเจ็บป่วย) เป็นธรรมดา <O:p
    เป็นของมีมรณะเป็นธรรมดา เป็นของมีความโศก ความรำพัน ความเจ็บกาย ความเจ็บใจและความแค้นใจ เป็นธรรมดา <O:p</O:p
    เป็นของมีความเศร้าหมองเป็นธรรมดา เป็นเหตุเกิดแห่งทุกข์ เป็นของดับไป <O:p</O:p
    เป็นของชวนให้หลงแช่มชื่น เป็นอาทีนพ (เป็นของมีโทษ) <O:p</O:p
    เป็นนิสสรณะ (เป็นของต้องพรากจากไป)<O:p</O:p

    *** แต่ก็ไม่ได้บังคับใครทุกคนให้ต้องเชื่อ - ต้องถือตามหรอกนะ
    ให้พิจารณาเอาตามสติปัญญาของแต่ละคนที่จะเอื้ออำนวยให้

    ใครอยากจะถือพระพุทธรูปยึดติดอยู่ในรูปทั้งหลายว่าเป็นที่พึ่งที่ระลึก<O:p
    ก็เอาตามที่ใจต้องการก็แล้วกัน หรือใครจะเลิกถือพระพุทธรูปเลิกยึดติด
    รูปทั้งหลายว่าเป็นที่พึ่งว่าเป็นที่ระลึก ก็เอาตามที่ใจต้องการก็แล้วกันนะ<O:p</O:p
    -----------------------------------------------------------------------------------<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    เล่ม 24 หน้า 401

    <O:p</O:p
    รูปใด ๆ จะอยู่ในโลกนี้หรือโลกอื่นและจะอยู่ในอากาศ มีรัศมีรุ่งเรืองก็ตามที
    รูปทั้งหมดเหล่านั้น อันมารสรรเสริญแล้ว วางดักสัตว์ไว้แล้ว <O:p</O:p
    เหมือนเขาใส่เหยื่อล่อเพื่อฆ่าปลา ฉะนั้น.<O:p</O:p

    บ่วงแห่งมาร เล่ม 28 หน้า 192

    <O:p</O:p
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย รูปที่จะพึงรู้แจ้งด้วยจักษุ อันน่าปรารถนา น่าใคร่
    น่าพอใจน่ารัก อาศัยความใคร่ ชวนให้กำหนัด มีอยู่ หากภิกษุเพลิดเพลิน
    สรรเสริญหมกมุ่น พัวพันรูปนั้น ภิกษุนี้เรากล่าวว่าไปสู่ที่อยู่ของมาร
    ตกอยู่ในอำนาจของมารถูกมารคล้อง รัด มัดด้วยบ่วง
    ภิกษุนั้นพึงถูกมารผู้มีบาปใช้บ่วงทำได้ตามปรารถนาฯลฯ

    <O:p</O:p
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมารมณ์ที่จะพึงรู้แจ้งด้วยใจ อันน่าปรารถนา น่าใคร่
    น่าพอใจ น่ารัก อาศัยความใคร่ชวนให้กำหนัด มีอยู่ หากภิกษุเพลิดเพลินหมกมุ่น
    พัวพันธรรมารมณ์นั้น ภิกษุนี้เรากล่าวว่าไปสู่ที่อยู่ของมาร ตกอยู่ในอำนาจ
    ของมาร ถูกมารคล้อง รัด มัดด้วยบ่วง ภิกษุนั้นพึงถูกมารผู้มีบาป
    ใช้บ่วงทำได้ตามปรารถนา.
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    รักสิ่งใด...ตายแล้วก็จะไปอยู่กับสิ่งนั้น เล่ม 43 หน้า 17 บรรทัดที่ 7<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ...ลำดับนั้น พี่สาวของท่านจัดแจงวัตถุมียาคูและภัตเป็นต้น
    เพื่อประโยชน์แก่ภิกษุสามเณรผู้ทำจีวรของพระติสสะนั้น.
    ก็ในวันที่จีวรเสร็จ พี่สาวให้ทำสักการะมากมาย.
    ท่านแลดูจีวรแล้ว เกิดความเยื่อใยในจีวรนั้นคิดว่า "ในวันพรุ่งนี้ เราจักห่มจีวรนั้น"
    แล้วพับพาดไว้ที่สายระเดียง ในราตรีนั้น ไม่สามารถให้อาหารที่ฉันแล้วย่อยไปได้
    มรณภาพ (ตาย) แล้ว เกิดเป็นเล็นที่จีวรนั้นนั่นเอง
     
  17. สวนะ

    สวนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    465
    ค่าพลัง:
    +201
    เริ่มแรกเมื่อเห็นหัวข้อกระทู้นี้
    เรียนตามตรงว่า ไม่แวะดีกว่า
    "ไม่ขอ ปรามาสผู้ใด"
    วันนี้ลองแวะมาพิจารณาดู
    ก็เป็นอย่างที่คิด..
    เอาเป็นว่า..ส่วนใหญ่ผู้ที่แวะเข้าเว็บนี้
    ล้วนเป็นผู้พื้นฐานการศึกษา และปฏิบัติดี
    แล้วจิตใจก็น้อมรำลึกถึงคุณพระรัตนตรัยเป็นที่ตั้ง
    ต่างแต่ว่า ใครจะศึกษาลึกซึ้งเพียงใด
    จะยึดสิ่งใดเป็นแนวทางปฏิบัติของตน
    เพียงแต่ขอให้ละเสียซึ่งการ เบียดเบียนสรรพสิ่ง ด้วยกาย วาจา ใจ
    เพียรแสวงหา ทางหลุดพ้นเป็นที่สุดเทอญ
    ขออนุโมทนากับทุกท่านค่ะ
     
  18. เฮียปอ ตำมะลัง

    เฮียปอ ตำมะลัง ทุกสิ่งจบสิ้นลงด้วยความตาย วุ่นวายทำไม ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    24,969
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +91,130
    ไหว้พระพุทธรูป



    [​IMG]
    ครั้งหนึ่ง สมเด็จฯ โต ได้ไปสวดมนต์ที่บ้านชาวเหนือ หรือ ปัจจุบันคือ
     
  19. nopam

    nopam สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    36
    ค่าพลัง:
    +1
    จริงนะ ชาวพุทธแต่ทะเบียนบ้านนี่! อายชาวอิสลามจริง ศาสนาเขาก็ไม่มีอะไรต้องแบบว่าเถียงผิด ถูกแบบนี้ เพราะเขาไม่มีวัตถุให้ยึดใช่หรือเปล่าและเขาก็มีศาสนิกนับถือเพิ่มขึ้น นี่เล่นยึดมาแต่โบราณกาล สอนกันผิด ๆๆ มาตั้งแต่บรรพบุรษ โน้นๆๆๆๆ สืบ ๆๆๆ กันมา ไม่รู้ว่าผิด ถูก พอหลวงปู่เกษมอ้างพระไตรปิฎก ก็ตะแบงป๊าย ....อยากจะถามว่าพระพุทธรูปที่ยังอยู่ร้านค้า ร้านปั้นทียังไม่ได้ตั้งชื่อซะโก้หรูนั้น ที่ไม่ได้เอาปลุกเสกอะไรนั่น นั้นนะเป็นพระพุทธรูปที่ควรบูชาด้วยหรือเปล่า คิดๆๆๆๆๆซะ หรือพระพุทธรูปที่หักพังคอขาดบ้างทิ้งละเกะละกะบ้าง เป็นพระพุทธเจ้าด้วยหรือเปล่า คิดซะ ยึดอะไรกัน แล้วแต่ละวัดละองค์นั้นมีชื่อว่านั้นนี่ เป็นพระพุทธเจ้าองค์ไหน คิดๆๆๆๆๆๆ ซะ งง ๆๆๆ มั๊ย ....แล้วจะหาแต่ทางไปนิพพานกันโอ๊ย...แล้วยึดเกาะอยู่กันแบบนี้จะไปไหนดี ก็สอนให้ยึดกันแบบนี้มาน้าน นานมันก็เป็นแบบนี้ทำไมไม่พัฒนา ให้มันไม่มีบ้าง.... หรือปฏิวัติก็ได้ เนี๋ยเถียงกันแบบนี้ พระพุทธรูปที่มีอยู่ก็นั่งเฉ้ย หลงสมมติกันหรือเปล่าเนี๋ย รู้มั๊ยว่าแต่ละวัดที่มีพระพุทธรูปดังนั่นเทวดาที่เป็นมิฐฉาทิฐิเกาะอยู่ต่างหากเทวดานี่ไม่ใช่เล่น ๆ นะรู้เปล่า ก็เหมือนคนแหละมีทั้งดีไม่ดี เนี๋ยเราคิดแบบนี้นะไม่ได้ธรรมะข้อไหนเล้ยเป็นปุถุชนน้าหนา นี่หละ...แต่เคยเห็นหลวงพ่อปัญญาท่านตำหนิ คนที่ชอบนำพระพุทธรูปมาถวายที่วัดชลฯ หลวงพ่อก็บ่นว่าไม่มีประโยชน์มากนัก สู้นำเงินไปสร้างโรงพยาบาล โรงเรียนที่สาธารณกุศลดีกว่า และพอรู้ว่าหลวงปู่เกษมสอนแบบเลยเข้ากันกับจิตว่าเออ ดีเหมือนกันเห็นสร้างซะเงินจมไปหมดบางทีเป็นล้าน ๆๆนะบางองค์น่ะ ถ้าได้มาสร้างโรงเรียนหรือโรงพยาบาลคงดีกว่ามั๊ง แถมพาให้คนยึดติดอย่างที่เป็นกันอยู่นี่อีก....นี่แหละชาวพุทธแล้วก็จะสอนกันแต่ทางไปนิพพาน จะไปยังไงนี่ ติดจนป่านนั้น..............แล้วนะดูซิ ท่านนักศิลปะคนไหน รุ่นไหนสร้างนะ รูปหน้าพระพุทธรูปก็จะเหมือน ช่างท่านนั้น รุ่นนั้น สังเกตุซิ นี่น่ะนะจะสมมติให้เป็นพระพุทธเจ้า แล้ว พระสงฆ์ที่พากันสวด เสก นะ ผิดวินัยหรือเปล่าไปดูพระวินัยซิ ทั่วแผ่นดินเลยนี้แล้วตั้งแต่สมัยโน้นเลยกรุงสุโขทัยอีกมั๊ง รู้แต่ว่าสมัยพุทธกาลไม่มี มามีรูปปั้นสมัยพระเจ้ามิลินหรือพระเจ้าเมธันเดอร์อะไรนี่ บอกให้จนป่านนี้แล้วจะยึดอีกมั๊ยนี่ คิดๆๆๆๆๆๆๆๆ ซิ เพราะยึดจึงทุกข์งัย แล้วบางที่นะเห็นข่าวออกมาว่าโจร ขโมยบ้างโดนทำตัดเศียรบ้าง ก็เป็นทุกข์กัน ด่าโจร ก็เพราะมีงัย ...จึงต้องโดนขโมยโดนทำร้าย แล้วพวกที่ขายกันที่ท่าพระจันทร์หละ ทำงัยดี สมควรให้พระพุทธเจ้าเป็นวัตถุมั๊ย ลืมกันแล้วเหรอ ดูๆๆๆๆ คิดๆๆๆๆ ถ้าคิดได้อย่าไปกราบหลวงปู่เกษมนะ จะตราหน้าไว้เลยพวกที่ปรามาสท่านเราไม่ใช่ลูกศิษย์ ลูกหาอะไรของท่านแต่ชอบท่านพูดตามความเป็นจริง ตามธรรมชาติ ไม่มีอะไรปรุงแต่ง พูดตามพระพุทธเจ้าสอน ทั้งหมด และมีตำราอ้างด้วยคือพระไตรปิฎก เพราะคนไทยไม่อ่านพระไตรปิฎกนี่แหละ ดูอิสลามซิ วันๆ เขาอ่านแต่คัมภีร์ หัดไปอ่านพระไตรปิฎกซะ อย่าไปอ่านตำราของที่ท่าน ๆๆ เขียนตามภูมิรู้ตัวของตัวเองมาก พระไตรปิฎกนั่นคือแว่นตาวิเศษ จริง ๆ แล้วมาเทียบเคียงกับท่าน ๆๆ ต่างนำมาสอนว่าเข้ากันได้หรือเปล่า ไม่รู้นะเป็นคนชอบอ่านพระไตรปิฎก สนุกด้วยในพระสูตรต่าง ๆ พระพุทธเจ้ามีคุณ หาประมาณไม่ได้เลยจะมาเทียบกับที่บูชา กันอยู่นี่จะได้เร้อ....
     
  20. นายฉิม

    นายฉิม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2004
    โพสต์:
    2,099
    ค่าพลัง:
    +2,696
    เจตนาท่านดีนะสำหรับความคิดผม
     

แชร์หน้านี้

Loading...