พบวัดพิลึก ห้ามไหว้พุทธรูป

ในห้อง 'ข่าวพุทธศาสนา' ตั้งกระทู้โดย WebSnow, 26 กรกฎาคม 2008.

  1. สปาต้า

    สปาต้า Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    242
    ค่าพลัง:
    +46
    http://84000.org/anisong/39.html

    39 อานิสงส์ปิดทองพระพุทธรูป
    ...... นัยว่าพระเจ้ามหารถราช เสวยสมบัติ ในสักกราชาวดีนคร ท้าวท่านเป็นสัมมาทิฎฐิบุคคล
    คือมีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ตรงกันข้ามกับ พระเจ้าปัญจาลราช กษัตริย์กรุงปัญจาลราชนคร
    เป็นมิจฉาทิฎฐิบุคคล คือไม่นับถือพระพุทธศาสนา กษัตริย์ทั้งสองเป็นสหายที่ไม่เคยเห็นหน้ากันเลย
    ครั้งหนึ่ง พระเจ้าปัญจาลราชได้ส่งผ้ารัตนกัมพลผืนหนึ่งไปถวายพระเจ้ามหารถราช
    พระเจ้ามหารถราช ทอดพระเนตรเห็นผ้ารัตนกัมพล แล้วจึงตรัสว่าสหายเราส่งผ้าอันมีค่ามากมาให้เรา
    เราก็ควรจัดส่งแก้วอันประเสริฐไปให้ตอบแทนพระสหาย ดังนี้ พระเจ้ามหารถจึงคิดว่า เราจะส่งแก้วสิ่ง
    ใดหนอซึ่งมีค่ามากเหนือสิ่งอื่นใด พิจารณาแล้วเห็นว่า แก้วใดๆจะประเสริฐกว่าพุทธรัตนะย่อมไม่มี
    จึงตกลงใจจะส่งพุทธรัตนะไปถวาย จึงสั่งให้ช่างนำแผ่นทองคำตีเป็นแผ่นบางแล้วให้เขียนรูปพระพุทธเจ้า
    ลงไปในแผ่นทองคำด้วยชาตหรคุณมีขนาดองค์ประมาณ 1 ศอก
    แล้วสั่งให้อำมาตย์เชิญพระพุทธรูปทองนั้นลงสู่สำเภาเพื่อนำไปถวายพระเจ้าปัญจาลราช ก่อนที่จะส่งราชทูตไป
    พระองค์ยกมือขึ้นประณมถวายนมัสการ โดยทรงระลึกถึงองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
    "ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลาย พระองค์มีความประสงค์จะสั่งสอนเวไนยสัตว์ในประเทศใดๆ
    ขอพระองค์ทรงเสด็จไปยังประเทศนั้นๆ แล้วยังประโยชน์ให้เกิด แก่สัตว์จำพวกนั้นเถิด
    พระเจ้าปัญจาลราชสหายของหม่อมฉันเป็นมิจฉาทิฎฐิ มีความเห็นผิดจากทำนองครองธรรม
    มิได้มีความเชื่อความเลื่อนใสในพระองค์ ถ้าพระองค์เสด็จไปยังพระนครนั้นแล้ว
    ขอพระองค์ได้โปรดแสดงปาฎิหาริย์ทรมานพระเจ้าปัณจาลราชให้ละซึ่งมิจฉาทิฎฐิด้วยเถิด"
    อธิษฐานเสร็จแล้วเสด็จลงน้ำประมาณพระศอ(พระพุทธเจ้าอยู่บนเรือ
    ท่านจึงลงไปในน้ำซึ่งต่ำกว่า) เพื่อส่งรูปพระพุทธเจ้านั้นไปยังเมืองปัญจาลนคร
    ในขณะนั้น บรรดาแก้วอันเกิดในมหาสมุทรมีสีต่างๆก็ผุดขึ้นจากท้องมหาสมุทรลอยอยู่เหนือน้ำเพื่อบูชา
    พระพุทธรูปนั้น พื้นน้ำงามวิจิตรด้วยแก้ว 7 ประการประหนึ่งพื้นแห่งภาชนะทอง ดอกปทุมทั้งหลายก็ผุดขึ้น
    เหนือพื้นน้ำพญานาคทั้งหลายก็ได้พานาคบริษัทออกจากนาคพิภพขึ้นมาสักการบูชาด้วยสุคันธมาลา เทวดาทั้งหลายก็เรี่ยราย ดอกไม้ทิพย์ลงมาจากอากาศ
    เมื่อราชทูตไปถึงกรุงปัญจาลนครแล้ว จึงเข้าไปถวายบังคมพระเจ้าปัญจาล แล้วกราบทูลเหตุอัศจรรย์ ให้
    ทราบโดยตลอด ท้าวเธอทรงโสมนัสปรีดาในเครื่องบรรณาการเป็นยิ่งนัก ได้เสด็จออกพร้อมจตุรงคเสนารับสั่ง
    ให้ชาวเมืองประโคมแตรสังข์ กังสดาล เสด็จไปยังท่าน้ำ ถวายนมัสการสักการบูชา แล้วเสด็จลงไปในน้ำประมาณพระศอ
    ทอดพระเนตรเห็นพระพุทธรูปแล้วทรงยินดีทรงแสดงตนเป็นพุทธมามกะ

    แล้วด้วยอำนาจความศัทธาของพระเจ้าปัญจาลราช และด้วยอำนาจอธิษฐานของพระเจ้ามหารถราช
    พระพุทธรูปนั้นก็ลอยขึ้นไปบนอากาศเปล่งรัศมี 6 ประการ
    จับพื้นปฐพีตลอดจนถึงพรหมโลก กลบแสงแห่งอาทิคย์ กลบแสงรัศมีเทวดาในหมื่นโลกธาตุ ณ กาลนั้น
    ในคราวนั้นพระอินทร์ ได้เสด็จลงมาถวายนมัสการพร้อมด้วยเทพบริษัท มนุษย์ก็เห็นเทวดา เทวดาก็เห็นหมู่มนุษย์
    พระเจ้าปัญจาลราชเห็นปาฎิหาริย์เช่นนั้น ทรงโสมนัสยินดียิ่งนักได้นำพระพุทธรูปไปประดิษฐานในพระมนเทียร
    แล้วบูชาด้วยประทีปธูปเทียนชวาลา ทรงแสดงองค์เป็นอุบาสก
    ในเวลาต่อมาพระองค์ได้ให้ช่างแกะรูปพระพุทธเจ้าด้วยแก่นจันทน์แล้วประดิษฐานไว้ในศาลาไม้บุณนาค
    แล้วรับสั่งให้ชาวเมืองพากันมาปิดทองพระพุทธรูป ในครั้งนั้นพระโพธิสัตว์เป็นคนเข็ญใจในเมืองนั้น
    เมื่อได้ยินเสียงโฆษณาดังกล่าวแล้วตัดสินใจ อำลาลูกอำลาเมียเพื่อไปขายตัวให้เป็นทาส
    แล้วจะได้เงินมาซื้อทองปิดพระพุทธรูป แต่ด้วยความเห็นใจของภรรยา ภรรยาจึงยอมขายตนและลูกเป็นค่าทอง
    พระโพธิสัตว์นำลูกเมียไปขายในตระกูลที่มั่งคั่งแล้วนำไปซื้อทอง
    ปิดพระพุทธรูป
    เมื่อทองไม่พอจึงรำพึง "ใครหนอจักทำเนื้อมนุษย์ ให้เป็นทองได้ เราจักบริจาคตน "
    ในครั้งนั้นท้าวสักกเทวราชได้เสด็จลงมายืนอยู่ตรงหน้าแสดงตนเป็นช่างทอง ต่อพระโพธิสัตว์
    เมื่อทราบว่าช่างทองนั้นสามารถทำเนื้อให้เป็นทองได้จึงประกาศแก่เทพเทวดาขออาวุธเชือดเลือดเนื้อตกลงมา
    เมื่อได้ ศัสตราวุธแล้วพระโพธิสัตว์ก็เชือดเนื้อของตนจนตราบเท่าปิดทองสำเร็จ
    เกิดความยินดีโสมนัส สลบลงแทบเท้าพระพุทธรูป
    พระอินทร์ได้เยียวยาให้หายเป็นปรกติ แล้วเป็นผู้มีกายดุจสีทอง พระอินทร์ตรัสพยากร "
    ท่านจัดได้เป็นพระศรีสรรเพชญ์
    ในอนาคต " แล้วพระอินทร์ก็กลับสู่วิมาน
    พระเจ้าปัญจาลราชพร้อมชาวเมือง ได้ทำการสักการบูชาแก่พระโพธิสัตว์ และแบ่งสมบัติให้พระโพธิสัตว์
    เป็นอันมาก ครั้นดับขันธ์แล้วพระโพธิสัตว์ไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิตเสวยสมบัติอันมโหฬาร


     
  2. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    การแสดงออก "ทางกาย" และ "ทางวาจา"

    ก็เพราะว่า มี "ใจ" เป็นผู้กำหนด
    ให้แสดง(ทางกาย).. ให้กล่าว(ทางวาจา)..
    ตามที่ "ใจ" ปรารถนา

    "ใจ" แต่ละดวง ของแต่ละคน
    ก็เป็นไป ตามบุญ ตามกรรม ตามบารมี

    "ใจ" ของแต่ละบุคคล ก็จะแสดง หรือ กล่าววาจา
    "ที่สามารถเข้าถึงธรรมได้" ในลำดับขั้นตามบุญ กรรม และบารมี
    ของในห้วงเวลาในขณะนั้น ๆ

    ที่กล่าว ว่า.. เป็นไป ตามบุญ ตามกรรม ตามบารมี นั้น..

    ตามบุญ..
    เมื่อ กุศลกรรม เข้าถึง ก็จะทำบุญ ทำทาน รักษาศีล บำเพ็ญภาวนา
    สั่งสม กรรมดี ไป

    ตามกรรม..
    เมื่อ อกุศลกรรม เข้าถึง ก็จะไม่เห็นความสำคัญของ ทาน ศีล ภาวนา
    และกระทำความชั่ว(ผิดศีล) สะสม กรรมชั่ว ไป

    ทั้งกรรมดี และกรรมชั่ว ที่รวบรวมไว้ ในแต่ละภพภูมิ แต่ละชาติ
    นั้น ก็คือ การบำเพ็ญ เป็นไปตาม "บารมี" (บารมี นี่.. คือ กำลังใจ)

    กำลังใจ ที่จะทำความดี หรือ เลว ในห้วงเวลานั้น ๆ

    "ใจ" แต่ละ ดวงจิต ต่างก็ต้องบำเพ็ญบารมี
    ผ่านภพ ผ่านชาติ เพื่อให้ถึงซึ่ง "พระนิพพาน"

    แต่ทว่า กว่าจะถึง พระนิพพาน
    นี่.. ก็ต้องเป็น ปรมัตถบารมีท้าย ปลายสุด

    กว่าจะถึง ปรมัตถบารมีท้าย ปลายสุด..
    ย่อมต้องผ่าน..
    บารมีต้น..
    อุปบารมี คือ บารมีกลาง..
    และ ปรมัตถบารมี

    ปรมัตถ์
    ยังมีปรมัตถ์ต้น ปรมัตถ์กลาง และปรมัตถ์ปลาย อีก....

    ยกตัวอย่าง..
    องค์สมเด็จพระประทีปแก้ว สัมมาสัมพุทธองค์
    ปรารถนา "ปัญญาธิกะ" (4 อสงไขย กำไรแสนกัป)

    พระพุทธองค์ ย่อมต้องบำเพ็ญ พระบารมี
    ผ่าน.. บารมีต้น 9 อสงไขย
    ผ่าน.. บารมีกลาง 7 อสงไขย
    เข้าเขตปรมัตถ์ต้น อีก 4 อสงไขย
    ปรมัตถ์กลาง อีก แสนกัป
    ปรมัตถ์ปลาย เมื่อได้รับคำพยากรณ์จาก สมเด็จพระพุทธธีปังกร
    (พระพุทธเจ้า องค์ที่ 25 เมื่อนับย้อนถอยหลังไป จากปัจจุบัน)

    จึงสามารถ บรรลุธรรม แห่งพระโพธิญาน

    พวกเรา เหล่า "สาวก" ก็ต่างบำเพ็ญเพียรบารมี เช่นกัน
    เพียง 1 อสงไขย กำไรแสนกัป ก็ถึงพระนิพพานได้แล้ว

    แต่ทว่า การนับให้ครบบารมี 1 อสงไขย กำไรแสนกัป นี้
    เขาจะนับ จำนวนปี ที่เกิดมาบนโลก เท่านั้น
    ภพภูมิ อื่น นรก สวรรค์ พรหม ไม่นับรวม

    เกิดมาครั้งหนึ่ง อายุ 100 ปี แล้วก็ ตายไป (เก็บยอดจำนวนปีไว้)
    เกิดมาใหม่ อายุ 90 ปี แล้ว ตายไป (ก็นำไปรวมกับยอดเดิม)
    เกิดอีก... ตายไปอีก.. (ก็นำไปรวมกับยอดเดิม)
    เกิดอีก... ตายไปอีก.. (ก็นำไปรวมกับยอดเดิม)
    เกิดอีก... ตายไปอีก.. (ก็นำไปรวมกับยอดเดิม)
    ....
    ....
    ....
    ....
    เกิดอีก... ตายไปอีก.. (ก็นำไปรวมกับยอดเดิม)

    กระทั่ง เมื่อรวมได้ ครบ 1 อสงไขย แสนกัป ก็จะถึง.. ปรมัตถ์ปลาย
    จึงจะสามารถ ฟังธรรม ยินดีในธรรม มีความเพียรในการปฏิบัติธรรม

    มองเห็นประโยชน์ในทาน ศีล และภาวนา
    มองเห็นทุกข์
    มองเห็นโทษ
    ของการเกิด.. การตาย.. การว่ายเวียน ในวัฏฏะ

    เกิดปัญญา เพียรในการละ โลภ โกรธ และหลง
    สามารถเข้าถึงธรรมอันบริสุทธิ์

    อันมี พระนิพพาน เป็นที่สิ้นสุด
    หยุดการเกิด.. หยุดการตาย กันเสียที....

    ...............................................................................................

    คนทั้งหลาย..
    ปุถุชนทั้งหลาย..

    ไม่ว่า ฆราวาส ก็ดี
    หรือ โกนหัว ห่มผ้ากาสายะ เป็นสมณเพศ ก็ตามที

    ย่อมอยู่ใต้กฏแห่งบุญ กรรม บารมี ดังกล่าว ด้วยกันทั้งนั้น (ปุถุชน)

    เราจะยืนอยู่ที่ตรงไหน ของบุญ กรรม และระดับต่าง ๆ ของบารมี
    การแสดง.. ดี หรือ ชั่ว
    การกล่าววาจา.. เน่าเหม็น หรือ หอมหวล ทวนลมได้

    ย่อมมาจาก "ใจ" นั่นเอง

    เราจะฟัง จะเชื่อ จะยินดี จะปฏิบัติ เช่นไร
    ก็ไม่พ้น บุญ กรรม และบารมี แห่งตัวของเราเอง เท่านั้น

    ไม่มีใครที่ไหน.. แม้แต่ พระพุทธองค์..
    ที่จะสามารถสอน หรือ กล่าวแสดงธรรม
    ให้บุคคลที่อยู่ในห้วงบารมีต้น บารมีกลาง
    เกิดความหลุดพ้น จากวัฏฏะ ไปได้

    การแสดงธรรม จึงเป็นของกลาง ๆ
    จะมุ่งหวังว่า ทุกคนต้องเข้าใจ ในสิ่งที่เรากล่าวแสดง

    ก็จะเก่งเกิน พระพุทธเจ้า ไป

    การเก่งเกินกว่า พระพุทธเจ้า
    เก่งเกินกว่า ครู อาจารย์ ที่บริสุทธิ์แล้ว
    ก็จะมีพลังมาก สามารถทะลุ ทะลวง ลงนรก ไป ได้ง่าย ๆ

    สุดท้ายนี้..
    ก็ขอมุทิตา ยินดี กับผู้เห็นธรรม
    ไม่ขอซ้ำเติม กับ ผู้หลงผิด ผู้แสดงผิด ผู้กล่าวผิด

    ขอน้อมนอบ กราบ คำตรัสสอน
    ของสมเด็จพระผู้มีพระภาค อันดียิ่งยอด แล้ว

    การกล่าวแสดง มานี้..
    หากเกิดเป็นประโยชน์ใด ๆ ได้บ้าง
    ก็คือ คุณความดี ของพระรัตนตรัย

    หากไม่เกิดประโยชน์ใด ๆ
    ก็ย่อมแสดงถึง กรรมของผมเอง ที่เข้าใจมาผิด ๆ

    ตัวของเรา ผู้อ่าน ก็จึงต้องใช้พิจารณญาน ด้วยตัวของเราเอง

    และขอได้โปรด อโหสิกรรม อุเบกขาบารมี แก่กระผม ด้วยเถิด

    ทั้งนี้.. ก็เป็นไปตามบุญ กรรม และบารมี แห่งใครมัน
    อุเบกขา.. วางเฉยเสียได้.. ก็ตามมา


    ดังนั้นเอง
    ตัวของเรา ใครไหนเล่า จักช่วยได้
    นอกจาก ตัวของเราเอง.


    ...............................................................................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กรกฎาคม 2008
  3. หลานศิษย์

    หลานศิษย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 เมษายน 2008
    โพสต์:
    191
    ค่าพลัง:
    +561
    ท่านสอนผิดแล้ว สอนเกินครู เกินอาจารย์ ไปแล้ว

    เอาง่าย ๆ ท่านบวชพระ ตั้งแต่วันแรกจนถึงปัจจุบัน เดินเข้าอุโบสถ ต้องกราบพระ
    ใครๆ เห็นพระ ก็กราบ ก็ไหว้

    แล้วใช้สรรพนามอย่างนี้ ไม่มีความเคารพ ในพระพุทธเจ้า

    สอนเกินอาจารย์แล้ว สอนผิดแล้ว
     
  4. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    <!-- currently active users --><TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 47 คน ( เป็นสมาชิก 8 คน และ บุคคลทั่วไป 39 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"></TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>มหาหิน, ChotiZ, หลานศิษย์, ศุภกฤต, gosheen, MVPhoenix </TD></TR></TBODY></TABLE>

    จอ คอมพิวเตอร์ ร้อนผะผ่าว อุ่น ๆ หรือ เย็นใจ
    เป็น "เครื่อง" ของใคร ก็ของมัน นิ๊....

    ...............................................................................................
     
  5. อนันตาลัย

    อนันตาลัย สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +13
    กามสุขัลกาลิมานุโยโค... หนทางแห่งการย่อย่อจนเกินไปนำมาซึ่งความวินาศฉิบหาย

    อัตถิกาลิมานุโยโค... ปฎิบัติตนในหนหนทางแห่งความสุดโต่ง ก็นำมาซึ่งความวิบัติ เช่นเดียวกัน

    มหาบุรษที่มองเห็นตามความเป็นจริง และ ปฏิบัติตนให้ดำเนินอยู่ในความพอดี ไม่ตึงเกินไป ไม่ย่อหย่อนเกินไป ย่อมทำให้หลุดพ้น และเข้าถึงความจริง และความถูกต้องได้มากที่สุด
     
  6. kacher

    kacher เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    504
    ค่าพลัง:
    +235
    ตึงเกินไปรึเปล่าค่ะ
    พระพุทธเจ้าท่านให้เดินทางสายกลางนะค่ะ
     
  7. r^f,kdglup,kd

    r^f,kdglup,kd บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    ทุกอย่างล้วนมีเหตุผล อนิจจัง ทุกขัง อนันตา

    ท่านอาจจะสูงส่งเกินที่พวกเราจะเข้าใจก็ได้
     
  8. pum_anatta

    pum_anatta เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    369
    ค่าพลัง:
    +805
    ** ขออนุญาตลบ มีพี่บอกให้เพ่งดูตัวเองก่อนดีกว่า ก็เลยขอดูอยู่เฉยๆดีกว่าเราไม่รู้ ไม่พูดจะดีกว่า เดี๋ยวเป็นการไปปรามาสท่าน **

    ***
    แต่ก็อุทิศบุญอยู่สม่ำเสมอเหมือนกันค่ะ ^_^
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 กรกฎาคม 2008
  9. สปาต้า

    สปาต้า Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    242
    ค่าพลัง:
    +46
    อรรถกถา อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เอกธัมมาทิบาลี
    วรรคที่ ๑
    http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=20&i=99&p=1

    <SUP>๑-</SUP> ม. อุ. เล่ม ๑๔/ข้อ ๗๑๓

    แต่นั้น เมื่อกาลล่วงไปๆ ชนเหล่านั้นคิดว่า นี้ชื่อว่าเป็นธรรมเครื่องเนิ่นช้า พวกเราจะต้องการอะไรด้วยธรรมเครื่องเนิ่นช้านี้ จึงทิ้งท่อนผ้าโยนไปเสียในป่า.
    ในกาลนั้น เพศชื่อว่าหายไป.
    ได้ยินว่า การห่มผ้าขาวเที่ยวไปเป็นจารีตของคนเหล่านั้น มาแต่ครั้งพระกัสสปทศพล ดังว่านี้ ชื่อว่าการอันตรธานไปแห่งเพศ.
    ชื่อว่าอันตรธานไปแห่งธาตุ พึงทราบอย่างนี้ :-
    ปรินิพพานมี ๓ คือ
    กิเลสปรินิพพาน การปรินิพพานแห่งกิเลส,
    ขันธปรินิพพาน การปรินิพพานแห่งขันธ์,
    ธาตุปรินิพพาน การปรินิพพานแห่งธาตุ.
    บรรดาปรินิพพาน ๓ อย่างนั้น
    กิเลสปรินิพพาน ได้มีที่โพธิบัลลังก์.
    ขันธปรินิพพาน ได้มีที่กรุงกุสินารา.
    ธาตุปรินิพพาน จักมีในอนาคต.
    จักมีอย่างไร?
    คือ ครั้งนั้น ธาตุทั้งหลายที่ไม่ได้รับสักการะและสัมมานะในที่นั้นๆ ก็ไปสู่ที่ๆ มีสักการะและสัมมานะด้วยกำลังอธิษฐานของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย. เมื่อกาลล่วงไปๆ สักการะและสัมมานะก็ไม่มีในที่ทั้งปวง. เวลาพระศาสนาเสื่อมลง พระธาตุทั้งหลายในตามพปัณณิทวีปนี้ จักประชุมกันแล้วไปสู่มหาเจดีย์ จากมหาเจดีย์ไปสู่นาคเจดีย์ แต่นั้นจักไปสู่โพธิบัลลังก์. พระธาตุทั้งหลายจากนาคพิภพบ้าง จากเทวโลกบ้าง จากพรหมโลกบ้าง จักไปสู่โพธิบัลลังก์แห่งเดียว. พระธาตุแม้ประมาณเท่าเมล็ดพันธุ์ผักกาดจักไม่หายไปในระหว่าง.
    พระธาตุทั้งหมดจักประชุมกันที่มหาโพธิมัณฑสถานแล้ว รวมเป็นพระพุทธรูป แสดงพุทธสรีระประทับนั่งขัดสมาธิ ณ โพธิมัณฑสถาน. มหาปุริสลักษณะ ๓๒ อนุพยัญชนะ ๘๐ พระรัศมีประมาณวาหนึ่งทั้งหมดครบบริบูรณ์ทีเดียว.
     
  10. wvichakorn

    wvichakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    3,683
    ค่าพลัง:
    +9,239
    พระท่านต้องไปพบจิตแพทย์ค่ะ
     
  11. สปาต้า

    สปาต้า Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    242
    ค่าพลัง:
    +46
    อรรถกถา มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ วิภังควรรค
    ทักขิณาวิภังคสูตร
    http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=14&i=706&p=1


    ถามว่า ก็เมื่อพระตถาคตปรินิพพานแล้ว อาจเพื่อถวายทานแด่พระสงฆ์ ๒ ฝ่ายมีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขหรือ.
    ตอบว่า อาจ.
    อย่างไร. ก็พึงตั้งพระพุทธรูปที่มีพระธาตุในฐานะประมุขของสงฆ์ ๒ ฝ่ายในอาสนะ วางตั่ง ถวายวัตถุทั้งหมดมีทักขิโณทกเป็นต้นแด่พระศาสดาก่อน แล้วถวายแด่พระสงฆ์ ๒ ฝ่าย. ทานเป็นอันชื่อว่าถวายสงฆ์ ๒ ฝ่ายมีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ด้วยประการฉะนี้.
     
  12. mamboo

    mamboo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,129
    ค่าพลัง:
    +1,973

    เห็นด้วยอย่างยิ่งค่ะ ^^;2
     
  13. สฬายตนะ

    สฬายตนะ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +0
    ไหว้พระพุทธรูป แล้วยึดติดถือมั่น จะไม่ถึงแก่น
    ไหว้พระพุทธรูป แล้วไม่ยึดติดถือมั่น จะถึงแก่นได้
    ไม่ไหว้พระพุทธรูป แล้วยึดติดถือมั่น จะไม่ถึงแก่น
    ไม่ไหว้พระพุทธรูป แล้วไม่ยึดติดถือมั่น จะถึงแก่นได้

    ไหว้ไม่ไหว้ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ สำคัญที่ใจ ยึดติดหรือไม่? นี่และประเด็น <!--MsgFile=20-->
     
  14. theliger

    theliger เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2007
    โพสต์:
    735
    ค่าพลัง:
    +219
    เข้าใจครับว่าท่านมีแนวคิดของท่าน
    แต่ว่า อ่ะนะ
     
  15. runchoo_man

    runchoo_man เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    597
    ค่าพลัง:
    +593
    กราบพระพุทธรูป ก้อไม่น่าเสียหายอะไรนี่
     
  16. ศรศิลป์

    ศรศิลป์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,232
    ค่าพลัง:
    +3,200
    ผมดูวีซีดีของหลวงพี่เกษม แล้วลีลาท่าทางการพูด หลับตาคิดว่า อ.เฉลิมชัย โฆสิตพิพัฒน์ มาพูด เหอๆ ลีลาการพูดคล้ายกัน คำสอนหลายอย่างของท่านผมไม่เห็นด้วยบางอย่าง ผมกะอยู่แล้วว่าสักวันท่านคงจะหลุด แล้วก็เป็นจริงเสียด้วยสิ
     
  17. BRAVA

    BRAVA สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    57
    ค่าพลัง:
    +2
    คนเรามีสิทธิ ที่จะวิพากวิจารณ์ ไม่ว่าจะพูดหรือพิมพ์ออกมาหรือไม่ก็ได้ การวิจารณ์ที่หมายถึงการรู้จักคิ วิเคราะห์เเละรวบรวมข้อมูลเสียก่อน อย่าประณามท่านทั้งที่คุณยังไม่ได้ศึกษาในสิ่งที่ท่านพูด บางที สื่อก็แอบสอดใส้ทัศนะเอาไว้ให้คุณโดยไม่รู้ตัว อย่าปรามาสท่านทั้งๆที่คุณไม่เคยศึกษาท่านเลยค่ะ เข้าใจว่าอะไรที่มันขัดกับประเพณีที่เคยทำมานาน มันแก้ยากมากเหลือ ขอเชิญท่านที่ยังสงสัย ไปศึกษาท่านดูก่อน แต่ถ้าขัดใจมากๆจนไม่อยากรับรู้อะไรเลย ก็แล้วเเต่เถิดค่ะ
     
  18. เด็กโชว์พาว

    เด็กโชว์พาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,081
    ค่าพลัง:
    +470
    ไม่ให้มีวัตถุมงคลเครื่องรางของขลังเนี่ยพอมีเหตุผลนะแต่ไม่ให้กราบพระพุทธรูปนี่ไม่ไหวอ่ะ
     
  19. TaeyoLySiS

    TaeyoLySiS เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    383
    ค่าพลัง:
    +278
    อืมม
    ท่านอาจจะตรงไปมาก จนกลายเป็นผลเสียมากกกกก
    แต่จะมาบอกว่าสอนตรงตามพระไตรปิฎกเท่านั้นมันก้อฟังดูไม่ขึ้น
    ถึงเราจะไม่เคยได้ศึกษาพระไตรปิฎกอย่างถ่องแท้

    แต่เราก็พอจะเดาออกได้ว่า
    "พระไตรปิฎกคงไม่ได้บอกว่าให้กราบไหว้ แต่ก็ไม่ได้บอกว่าห้ามกราบไหว้นี่นา
    และที่แน่ๆ พระไตรปิฎกคงไม่ได้สอนให้ทำลายพระพุทธรูป"
    (ไม่รู้ถูกป่าว รบกวนผู้รู้ที่คร่ำหวอดอยู่กับพระไตรปิฎกช่วยยืนยัน)

    ยังไงซะ พระพุทธรูปก็ยังเปรียบเสมือน
    Symbolic ของการมีอยู่ของศาสนาพุทธ
    และการมีอยู่ของมหาบุรษผู้ชี้แนะทางพ้นจากห้วงทุกข์เมื่อ 2551 ปีล่วงมาแล้ว

    ก็เหมือนกับธงชาติ หรือ เพลงชาตินั่นแหละ เป็น สัญลักษณ์ของประเทศไทยหรือชาติไทย
    การยืนตรงเคารพธงชาติ ก็เหมือนกับการแสดงออกเป็นรูปธรรม เฉกเช่นการเคารพพระพุทธรูป

    ส่วนการตั้งใจเป็นคนดีของชาติช่วยพัฒนาชาติให้เจริญรุ่งเรือง ก็เหมือนเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดที่เราควรทำ แต่ไม่ใช่สิ่งที่จับต้องได้แต่เห็นผลได้ เฉกเช่นเดียวกะการปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า

    เคยได้หนังสือ คู่มืออุทิศบุญที่ได้ผล โดย พระอาจารย์เกษม อาจิณณสีโล
    ได้เปิดอ่านผ่านๆ แต่ก้อรู้สึกทะแม่งๆ ในใจ แต่ก็ไม่ได้หารือกะใครๆที่ได้มาเช่นกัน
    และก็ไม่ได้อ่านต่อ เพราะกลัวอ่านจบแล้วจะโดนล้างสมองไปซะก่อนเลยกะว่าจะเอาไว้อ่านทีหลัง หลังจากที่อ่านหนังสือธรรมมะเล่มอื่นๆ ที่มีอยู่ให้หมดซะก่อน จนถึงตอนนี้ก็ยังอ่านไม่ได้อ่านเล่มอื่นๆ ไม่จบ หุ หุ
    จนมาเห็นข่าวนี้ซะงั้น

    เด๋วจาเอามาอ่านอย่างมีสติและกำกับด้วยหลักกาลามสูตร
     
  20. ชนะ สิริไพโรจน์

    ชนะ สิริไพโรจน์ ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,891
    กระทู้เรื่องเด่น:
    14
    ค่าพลัง:
    +35,260
    ไม่เห็นด้วยกับเนื้อหา แต่โมทนากับผู้โพสที่นำเรื่องราวมาให้ทราบ
    ขอบคุณมากครับ คุณมหาหิน
     

แชร์หน้านี้

Loading...