พญานาคราช 4 ตระกูล นครคำชะโนด

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Ajarn Pithak, 23 พฤศจิกายน 2009.

  1. สิงหนวัติ

    สิงหนวัติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มกราคม 2009
    โพสต์:
    788
    ค่าพลัง:
    +2,107
    เร็ว ๆ นี้ จะไปเยือนถิ่นนาคา
     
  2. เนติมา

    เนติมา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    42
    ค่าพลัง:
    +54
    อยากไปทริป นี้ด้วยจังคะ แต่กลัวว่า ถึงวันจะลางานไม่ได้ เพราะ มีงานเข้า
    แล้วจะไปกันยังไงคะ นั่งเครื่องไปลงที่อุดร หรือ ขับรถไปกันคะ
     
  3. ธิดารัตน์

    ธิดารัตน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,939
    ค่าพลัง:
    +4,568
    กราบสวัสดีรอบกระทู้ค่ะ
    ไม่ได้เข้ามานานแล้ว นานมากกก
    พอดีมีโอกาสได้ไปสะสมบุญอยู่ อิอิ
    อีกอย่างก็ได้คำตอบบางเรื่องที่ไม่สมบูรณ์เท่าใดนัก
    เลยหลบไปทำใจ ^___^~
    หวังว่าคงสบายดีกันทุกท่านทุกคนนะคะ
    ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัยและองค์พญานาคทุกองค์
    ปกปักรักษาชาวกระทู้ในมีจงแต่ความสุขนะคะ
     
  4. ธิดารัตน์

    ธิดารัตน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,939
    ค่าพลัง:
    +4,568
    กราบสวัสดีรอบกระทู้ค่ะ
    ไม่ได้เข้ามานานแล้ว นานมากกก
    พอดีมีโอกาสได้ไปสะสมบุญอยู่ อิอิ
    อีกอย่างก็ได้คำตอบบางเรื่องที่ไม่สมบูรณ์เท่าใดนัก
    เลยหลบไปทำใจ ^___^~
    หวังว่าคงสบายดีกันทุกท่านทุกคนนะคะ
    ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัยและองค์พญานาคทุกองค์
    ปกปักรักษาให้ชาวกระทู้จงมีแต่ความสุขนะคะ
     
  5. คุณชัชช์

    คุณชัชช์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    833
    ค่าพลัง:
    +725
    แวะเข้ามาทักทายกันนะครับ
     
  6. Ajarn Pithak

    Ajarn Pithak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,367
    ค่าพลัง:
    +2,126
    พญานาค ณ เชียงคาน ตอนที่ ๑



    เรื่องราวที่ผมเล่าต่อไปนี้ เป็นเหตุการณ์ที่เกี่ยวกับความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้สติและปัญญาในการอ่าน



    ย้อนกลับไปเมื่อตอนสักปี 2530 หรือ 2531 ผมเป็นเด็กที่ชอบว้ายน้ำโขง หาปลา ไลเบ็ด(ตกปลา) ไลมอง(หาปลาโดยใช้ตาขาย จับปลาริมแม่น้ำโขง) ด้วยผมบ้านผมอยู่คุ้มวัดใหญ่ ก็จะมีกิจกรรมในวัยเด็กที่แสนจะว่างในช่วงระยะเวลาเปิดเทอมใหญ่ ตอนนั้นหัวใจยังไม่ว้าวุ่น

    สถานที่น่าเล่นน้ำที่สุดของไทเชียงคาน คือ ตรงซอย 5 จะมีโขดหิน กั้นกลางสุด ตรงนี้เองที่เกิดเรื่องราวขึ้น
    วันหนึ่งช่วงที่ผม ไปเตะบอลกับเพื่อนและกลับบ้านสัก หกโมงเย็นกว่า ๆ ย่าผมตามหาผม นึกว่าผมไปเล่นน้ำ ย่าผมบอกว่า ห้ามไปเล่นน้ำอีก เพราะเณรที่วัดใหญ่จมน้ำตาย ตอนนี้นักประดาน้ำงมอยู่

    เรื่องราวเป็นไปมาไงไม่แน่ชัด แต่ที่แน่ ๆ สามวันพบศพลอยขึ้นมาที่ หน้าวัดท่าคก คับคล้ายคับคลาว่า เณรที่ตายเป็นเณรที่มาจากวังสะพุง รับกัญเทศน์ อะไรสักอย่างที่วัดใหญ่และทางวัดก็ส่งศพกลับบ้านหรือไงไม่ทราบ

    ก่อนถึงวันเทศ สักหนึ่งวัน ผู้ใหญ่ทางวัดจะต้องเอากุ้งหอยปู่ปลา มาใส่ข้อง(ที่ใส่ปลา)ไว้ระหว่างพระเทศจะได้ครบอะไรสักอย่าง ตอนเป็นเด็กไม่ได้ถาม เข้าใจว่าจะต้องมี ปลามีหอย มีปูจะได้ครบกัญเทศน์ ว่าอย่างนั้น เทศน์โปรดสัตว์

    คนแก่ในวัดก็เลย พากันไปจับปลาในสระวัดใหญ่ เมื่อก่อนจะมีสระปลาอยู่ สองสระ สระแรกอยู่ตรงที่ตั้งศาลากลางเปรียญใหม่ในปัจจุบัน สระที่สองอยู่ที่ กุฏิไม้เก่า ข้างกุฏิคอนกรีตใหม่ในปัจจุบัน

    ปลาที่จับกันคือ จับในสระที่สอง ระหว่างที่เหวี่ยงแห ออกไปนั้นฝนตกปรอย ๆ จับปลาได้ปลาประหลาด 1 ตัวแล้วก็ปล่อยไป ไปเหวี่ยงแหอีกมุม ก็ได้ปลาประหลาดตัวเดิม เหวี่ยงไปได้หลายรอบ ก็ยังได้ปลาตัวเดิม ฝนก็ตกลงมามาก เลยตัดสินใจเอาปลาตัวนี้หล่ะ ผลคือพอได้ปลาตัวนี้ นำใส่ข้องแช่น้ำเตรียมเข้าพิธี ฝนหยุดตกทันที

    ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ลงความเห็นว่า น่าจะเป็นวิญญาณเณรมาสิงอยู่ในปลาประหลาดตัวนี้ เพื่อที่จะฟังเทศน์สุดท้าย

    พอเสร็จงานจากการเทศ ปลาประหลาดตัวนี้ได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย

    ย้อนกลับมาตรงที่ ตอนเณรรูปนี้จบน้ำ ระหว่างที่ไหว้น้ำอยู่กลางแม่น้ำโขง เขาเล่ากันว่าเณรกำลังลอยไปสู่โขดหินหนึ่ง แต่พอพีมีงู ไว้ตัดหน้าเณรก็เลย ว่ายกลับและจมน้ำในที่สุด และโพล่ที่วัดท่าคก

    ซึ่งตามความเชื่อที่ฟังมา คือ จะมีรูพญานาค ที่แก่งตรงนั้น และอีกรูคือตรงวัดท่าคก

    พญานาค ณ เชียงคาน ตอนที่ ๒



    ย้อนไปเมื่อปี 2551 ผมนำลูกแก้วขอความเมตตาหลวงตาม้าอธิษฐานจิต เป็นแก้วจักรพรรดิ ป้องกันภัยพิบัติ และเมื่อผมถึงที่พักในกรุงเทพ

    คล้าย ๆ กับว่าครึ่งหลับครึ่งตื่น มีชายสองคนขึ้นมาจากแม่น้ำโขงคุ้มวัดใหญ่ มาหาผมบอก แนะนำตัวว่าตัวเขาเองคือพญานาค อยู่ที่คุ้มวัดใหญ่ ขอลูกแก้วสักสองลูก

    ครั้งผมตื่นนำ รุ่งเช้าส่งลูกแก้วกลับบ้านที่เชียงคาน หลังจากนั้นอาผมได้รับพัสดุ จับลูกแก้ว ขนลุกไปทั้งตัว อดีตที่เป็นความเดิมชาติก่อน ๆ ได้ตามมาสู่อาของผมทีละนิด

    ผ่านไปเร็วเหมือนโกหก ... กันยายน 52 อาผมได้ขึ้นมากรุงเทพ ผมได้นำแก้วจักรพรรดิที่ท่านเสด็จมาเองในการพิธีอัญเชิญของอาจารย์ศุภรัตน์ แสงจันทร์ ได้มอบให้อานำกลับบ้าน

    ครั้งไปถึงอาจารย์สมหมาย ที่วัดท่าสำราญ บ้านคกไฝ่ อ.ปากชม ได้โทรหาอาผม บอกว่าพญานาคท่านมาบอกว่าโยมได้แก้วมา พญานาคขอแก้วมาสร้างวัด ซึ่งอาจารย์สมหมายท่านรู้ได้อย่างไร ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้บอกกล่าวท่านเลย

    จึงเป็นที่มาของ ... การสร้างผ้าป่า สร้างพระบาทสี่รอย และ พระเหนือพรหม ที่วัดท่าสำราญ

    ออกนอกเรื่องซะนาน ที่คุ้มวัดใหญ่ จะมีวังพญานาคอยู่ เป็นเชื่อสายของ ปู่ศรีสุทโธนาคราช และมีเชื่อสายของ ปู่สุวรรณนาคราช ในความรู้สึกผมเป็นเช่นนั้น

    ผมไม่ได้สนใจเรื่องพญานาคสักเท่าไร ในชีวิตก็เคยเจอ ในมินิตสามครั้ง และช่วงนี้พอดีญาติผม ไปข้องเกี่ยวกับวงศาคณาญาติ ทางพญานาค ทั้งถ่ายรูปติดทั้งมีเพชรพญานาค (ไม่ใช่ตามที่เห็นทั่วไปที่วางขาย ๆ กัน) และญาติผมก็ดึงผมเข้ามาเกี่ยวข้อง ... ในบางเรื่องราว

    เรื่องราวแปลก รูพญานาคที่บ้านผม คือญาติผมได้ไปทำบุญที่วัดภูน้อย(ก่อนถึงบ้านผาแบ่น) คนทรงที่เขาตามหาพญานาคบอกว่า บ้านผมมีรูพญานาค อยู่จำนวนสามรู

    อย่างนี้ต้องท้าพิสูจน์ ผลคือ มีจริง ๆ เจ้าของบ้านยังไม่รู้ว่าที่บ้านมีรูเลย คนอื่นรู้ได้อย่างไร ช่างเถอะ มาต่อเรื่องราวพญานาคตอนสามดีกว่า

    เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้ สติ และ ปัญญาในการอ่าน

    อ้างอิงจาก พญานาค ณ เชียงคาน ตอนที่ ๑ - Thai Chiangkhan นำมาเมื่อวันที่ 16/8/54
     
  7. Ajarn Pithak

    Ajarn Pithak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,367
    ค่าพลัง:
    +2,126
    พระอาจารย์เกษม อาจิณณสีโล วัดป่าสามแยก อำเภอน้ำหนาว จังหวัดเพชรบูรณ์ [​IMG]
    <table style="border-bottom: #c0c0c0 1px; border-left: #c0c0c0 1px; border-top: #c0c0c0 1px; border-right: #c0c0c0 1px" border="0" cellpadding="1" cellspacing="0" width="321"> <tbody> <tr> <td style="border-bottom: #c0c0c0 1px; border-left: #c0c0c0 1px; border-top: #c0c0c0 1px; border-right: #c0c0c0 1px" valign="middle">
    หลวงปู่เกษม อาจิณฺณสีโล
    ประวัติโดยสังเขป
    </td> </tr> </tbody> </table>

    พระอาจา ย์เกษม อาจิณฺณสีโล เป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่หล้า พระอริยเจ้าแห่งวัดภูจ้อก้อ จ.มุกดาหาร อุปสมบทเมื่อ พ.ศ. 2529 ในฝ่ายธรรมยุติ หลังจากอุปสมบทไม่นานก็เกิดความประทับใจกับประสบการณ์ทางจิตที่ได้รับจากการ ฝึกเล่นๆ จึงตั้งใจอยู่ปฏิบัติต่อ ไปขออยู่กับหลวงตามหาบัว แต่ท่านแนะนำให้ไปอยู่ปฏิบัติกับหลวงปู่หล้าที่ ภูจ้อก้อ เมื่อไปก็ไม่ได้อยู่กับหลวงปู่หล้า แต่อยู่วัดใกล้ ๆ กับหลวงปู่หล้า ได้ฝึกฝนตัวเองอย่างอุกฤต เป็นเวลา 5 ปี จึงรู้จักธรรมชาติ พอเป็นที่สบายใจ

    ท่านมีประสบการณ์ทางจิต ที่โลดโผนพิสดาร แม้เดินจงกรมก็สามารถเดินเหยียบอากาศเอาผ้าไปพาดไว้บนกิ่งไม้สูงสิบเมตรได้ ทั้งสามารถมองเห็นภูตผีปีศาจเทวดา นาค ครุฑ ยักษ์อย่างแจ่มชัด แม้กระทั่งลืมตา มีญาณระลึกชาติย้อนหลังได้มากมายหลาย ชาติ

    เป็นพระสงฆ์ที่ใช้เวลา ท่องเที่ยวไปในนรกสวรรค์บ่อยที่สุด คล้ายนิทานเรื่องพระมาลัยโปรดสัตว์โลก เป็นพระสงฆ์รูปเดียวและรูปแรกที่กล้าพูดกล้าเปิดเผยเรื่องราวลี้ลับโดยไม่ สนใจเสียงส่อเสียดของชาวโลก และเป็นพระที่ไม่สนใจในลาภ ยศ ชื่อเสียง เป็นพระสงฆ์ที่เทพยดาทั้งสูง - ต่ำ ตลอดจนภูตผีปีศาจให้ความเคารพรักมาก วัดของท่านจึงเป็นจุดที่เทพยดาและภูต – ผี – ปีศาจ – เปรต ที่ตกทุกข์ได้ยากทั่ว ๆ ไปพากันมุ่งไปหาเพื่อขอความช่วยเหลือและแต่ละวันพวกประชาชนมากหน้าหลายตา ทั่ว ๆไปต่างดั้นด้นข้ามภูเขา ผ่านหนทางอันทุรกันดารไปกราบท่านเพื่อปรึกษาหาทางแก้ไขปัญหาชีวิตต่างๆ

    เมื่อนำคำสอนที่ท่านแนะนำ ไปปฏิบัติก็ประสบผลสำเร็จที่ตนเองวาดหวังไว้ แต่ท่านไม่อยากดัง ถ้าไปขอนำประวัติท่านลงหนังสือท่านจะไม่ยอมพูดด้วย แต่ท่านจะมีเมตตามากในการเทศน์การสอนทั้งวันทั้งคืนท่านมีเวลาพักผ่อนในแต่ ละวันน้อยจริงๆ นอกนั้นหมดไปกับการต้อนรับผู้มาเยือน กลางคืนก็ต้องต้อนรับแก้ไขปัญหาหมู่ชนในโลกทิพย์เป็นส่วนมาก แล้วนั่งพูด ๆ ทั้งวัน

    ท่านมีแผ่นซีดีแจกจ่ายให้ นำไปฟังแล้วบอกว่า “ ฟังแล้วให้นำไปปฏิบัติแล้วแจกจ่ายกันฟังต่อ ฟังเข้าใจแล้วไม่จำเป็นต้องมาเพราะคนพูดเหนื่อยแล้วนึกอยากทำบุญให้ทำที่ไหน ก็ได้ ไม่ไปวัดก็ได้ พ่อแม่เป็นพระอรหันต์อยู่ในบ้าน ทำบุญกับพ่อแม่แล้วอุทิศบุญให้เทวดาและเหล่าสรรพสัตว์ในโลกทิพย์ก็ได้ผลเท่า กับถวายทานในพระอรหันต์ วัดของอาตมามีพอกินพอใช้แล้ว ไม่ขาดแคลนอะไร จึงไม่มีความจำเป็นต้องมาหลั่งไหลมาทำบุญที่นี่ ” ดังนี้
    แนวการสอนของพระอาจารย์เกษม

    ชีวิตของมนุษย์และสัตว์ ทั้งในโลกนี้และในโลกทิพย์มีส่วนสัมพันธ์กัน เข้าไปอยู่ในกฎแห่งกรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน ในการเวียนว่ายตายเกิดไปๆมาๆ คนที่จะไม่เคยเป็นญาติ ไม่เคยเป็นเพื่อน ไม่เคยเป็นเจ้ากรรมนายเวรกันไม่มี ชีวิตของทุกผู้ทุกคนจึงมีส่วนสัมพันธ์กันไม่มากก็น้อย ทั้งในส่วนดีมากและดีน้อย ทั้งในส่วนเลวมากเลวน้อย ทั้งในส่วนที่ทำให้เกิดความเคียดแค้นชิงชังมากและชิงชังน้อย ทั้งในส่วนที่รักและอุปการะมากและน้อย นี่เป็นกรณีหนึ่ง

    การได้ดีตกยาก เจ็บไข้ได้ป่วย ของมนุษย์และสัตว์ส่วนหนึ่งเกิดจากผลกรรมในอดีตชาติและปัจจุบันชาติ อีกส่วนหนึ่งได้รับเหตุปัจจัยกระทบจากสิ่งรอบข้าง อีกส่วนหนึ่งเกิดจากการกระทำของวิญญาณลี้ลับที่เรามองไม่เห็น เช่น เทวดาช่วยเหลือ เทวดาให้โทษ ผีให้โทษ เจ้ากรรมนายเวรที่เคียดแค้นชิงชังให้โทษ

    ในคนทุกคน สัตว์ทุกตัว จะมีเทวดารักษาอย่างน้อย 2 องค์ เทวดาประจำตัวนี่แหละที่ชอบช่วยเหลือให้เราประสบความสำเร็จ หรือช่วยปกป้องคุ้มครองให้เรารอดพ้นจากภัยอันตรายที่น่าหวาดเสียวมาได้อย่าง น่าอัศจรรย์ ซึ่งบางทีเราก็ยกให้เป็นคุณงามความดีของวัตถุมงคลที่แขวนคอเสียก็มี เด็กน้อยบางคนไม่มีวัตถุมงคลแขวนคอเลย แต่ตกบ้านตกเรือนด้วยความซุกซน แต่ไม่ได้รับอันตรายเพราะเหมือนมีใครมาอุ้มไว้ก่อนตกถึงพื้น บุคคลบางคนไม่มีวัตถุมงคลติดตัวเลย แต่สามารถหลุดพ้นจากอุบัติเหตุและการดักทำร้ายของศัตรูมาได้อย่างปาฏิหารย์ นั่นคือการปกปักรักษาจากเทวดาประจำตัวเขา และ/หรือ ญาติในโลกทิพย์ของเขา
    พวกเราชาวพุทธแต่ละคนล้วน เคยทำบุญให้ทานมาแล้วทั้งสิ้น ทั้งในชาตินี้และในชาติก่อน ถ้าจะนับบุญก็คงใหญ่เท่าภูเขาเลากา หรือเท่าก้อนโลก แต่ไม่รู้จักใช้บุญของตนเองให้เกิดประโยชน์ในปัจจุบันชาติ จึงต้องรอตายแล้วจึงไปรับบุญในสรวงสวรรค์ คนทำบุญจึงชอบบ่นว่าทำแต่บุญไม่เห็นได้ดีสักที ที่เป็นเช่นนี้เพราะเขาไม่เคยให้บุญแก่เทวดาที่รักษาตัวเอง ไม่เคยให้เจ้ากรรมนายเวรที่ตามจองเวรกันอยู่ ไม่เคยให้เทวดาและญาติทิพย์ที่อาศัยอยู่ในเขตบ้านเขตเรือน ไม่เคยให้แก่เทวดาที่ช่วยดูแลรักษากิจการงานห้างร้าน ไม่เคยให้เทวดาที่รักษาเจ้านายของตัว

    เทวดาเหล่านั้นบางองค์อาจ มีบุญน้อย มีฤทธิ์น้อย จึงไม่สามารถช่วยเหลืออะไรเราได้มาก แต่ถ้าเขาได้รับบุญจากเราบ่อย ๆ เขาจะกลายเป็นเทวดาที่มีฤทธิ์มีอำนาจ สามารถช่วยเหลือให้เราประสบความสำเร็จได้ดังใจหมาย บางคนอ้างว่าทำบุญทุกครั้งก็กรวดน้ำให้เทวดาและเจ้ากรรมนายเวรทุกครั้งก็ไม่ เห็นมีอะไรเปลี่ยนแปลง โปรดเข้าใจว่าท่านให้ไม่เป็น เขาจึงไม่ได้รับ เช่นให้ไม่เจาะจง หรือแสงบุญหมดแล้วจึงมากรวดน้ำให้ เขาก็ไม่ได้รับ

    <table style="border-bottom: #c0c0c0 1px; border-left: #c0c0c0 1px; border-top: #c0c0c0 1px; border-right: #c0c0c0 1px" border="0" cellpadding="1" cellspacing="0" width="407"> <tbody> <tr> <td style="border-bottom: #c0c0c0 1px; border-left: #c0c0c0 1px; border-top: #c0c0c0 1px; border-right: #c0c0c0 1px" height="118" valign="middle">
    การใช้บุญสร้างความสำเร็จในปัจจุบัน
    พระพุทธเจ้าทรงแสดงการเกิดของบุญไว้ 3 ประการย่อ ๆ คือ

    1.บุญเกิดจากการให้ทาน
    2.บุญเกิดจากการรักษาศีล
    3. บุญเกิดจากการภาวนาอบรมจิตใจ


    </td> </tr> </tbody> </table>

    โดยสรุปแล้วการสร้างความ ดีทุกประการล้วนเป็นแหล่งของการเกิดผลบุญกุศลทั้งสิ้น แล้วก่อให้เกิดอานิสงส์ที่จะสร้างความสำเร็จในชีวิตได้ทั้งสิ้น
    *

    เมื่อกำลังให้ของแก่ใคร ไม่ว่าจะถวายของแก่พระสงฆ์ ให้ของแก่พ่อแม่ พี่น้อง ญาติมิตร แม้เอาข้าวให้หมากิน เอาอาหารโยนให้ปลากิน เอาเศษอาหารโปรยให้มดกิน ย่อมเกิดกระแสบุญขึ้น เป็นแสงเรืองรองแผ่ออกจากตัวผู้กำลังให้ เพียงไม่กี่วินาทีแสงนี้จะพุ่งหายขึ้นไปเบื้องบนแล้วสะสมเป็นกองบุญของผู้ ให้อยู่บนเทวโลกดังนั้นขณะให้ของแก่ใครจึงควรอธิษฐานจิตคิดทันทีว่า “ บุญนี้จงเป็นของเทวดาผู้รักษาตัวข้า หรือ บุญนี้จงเป็นของเจ้ากรรมนายเวรของข้า หรือบุญนี้จงเป็นของเทวดา ภูต – ผี - ปีศาจ - เปรต – ครุฑ - นาค - ยักษ์ ที่อาศัยอยู่ในสถานที่เรือกสวนไร่นา หรือเคหะสถานบ้านเรือนของข้า หรือบุญนี้จงเป็นของเทวดาผู้รักษาบุตรของข้า จงเป็นของเทวดาผู้รักษาบิดามารดาของข้า เป็นต้น ขึ้นอยู่กับเราว่าต้องการแก้ไขในจุดไหน เช่น

    บุตรของเราเกเร เหลือเกินชอบสร้างแต่ความเดือดร้อน สั่งสอนไม่ฟัง แบบนี้ต้องให้เทวดาผู้รักษาตัวเขาเป็นผู้ขนาบตักเตือน วิธีที่เทวดาตักเตือนนั้นท่านจะสั่งการไปที่ความรู้สึกนึกคิดจิตใจของเขา ถ้าเทวดาประจำตัวของเขาเป็นมิจฉาทิฏฐิ เมื่อได้รับบุญบ่อย ๆ เทวดารู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงในตัวเอง มีชีวิตที่สุขสบายขึ้น มีฤทธิ์อำนาจขึ้น เขาจะทราบได้เองว่าสิ่งที่เขาได้รับนั้นมาจากไหน เมื่อเราอุทิศบุญให้ ท่านก็อธิษฐานด้วยว่า “ เมื่อเทวดาได้รับบุญแล้วขอให้มีความสุข ๆ มีกินมีใช้ มีเสื้อผ้าที่อยู่อาศัย และขอให้ช่วยอบรมตักเตือนให้ลูกของข้าเป็นคนดีด้วย ” ดังนี้ ไม่นานหรอก จะเกิดกรณีพิศดารขึ้นกับบุตรเกเรคนนั้นจนต้องเปลี่ยนพฤติกรรมเป็นคนดีแน่นอน

    สามีหรือภรรยา คู่ครองของตนเองเป็นคนที่น่าเอือมระอาเหลือเกิน อยากให้คู่ครองดี รักเรา ละเลิกจากความประพฤติชั่วเหลวไหล ก็ให้ทำแบบเดียวกับที่ให้บุญแก่เทวดาที่รักษาบุตร

    กิจการค้าของท่านล้มเหลว หรือซบเซา เมื่อท่านทำบุญทุกครั้งควรอุทิศบุญให้เทวดาประจำตัวของท่านและเทวดาที่ดูแล กิจการค้าด้วยพร้อมกันไป แล้วอธิษฐานว่า “ เทวดารับบุญของเราแล้วโปรดช่วยเหลือกิจการค้าธุรกิจของเราให้ประสบความ สำเร็จด้วยเถิด ถ้าเราร่ำรวยขึ้นก็จะทำบุญให้ท่านยิ่ง ๆ ขึ้นไปอีก ” จะใช้คำเรียกตนเอง ว่าข้า ว่าเรา ก็ได้ทั้งนั้น

    ร้านค้าขาย จะเป็นร้านอะไรก็แล้วแต่ เมื่อทำบุญก็ให้อุทิศบุญแก่เทวดาที่รักษาร้านค้านั้นด้วย แล้วบอกว่า “ เทวดาเมื่อได้รับบุญแล้วโปรดเรียกลูกค้ามาอุดหนุนให้มาก ๆ ด้วย ”

    การอุทิศบุญ ไม่ต้องพูด ไม่ต้องกรวดน้ำ ให้ใช้การคิด ต้องรีบคิดให้ทันที อย่าชักช้าเพราะแสงบุญที่เกิดขึ้นจะดำรงอยู่ไม่กี่วินาทีแล้วจะหายไปอยู่ใน สวรรค์ ถ้าเราฝึกบ่อย ๆเราจะชำนาญในการคิด เพราะมีกระแสแรงกว่าพูดออกจากปากเวลาหย่อนก้อนข้าวลงในบาตรให้คิดส่งบุญ ทันที และคิดให้ชัดเจนอย่าลางเลือน ให้ของแก่ใครเมื่อของหลุดจากมือเราก็ให้คิดทันที อย่าช้า

    การรักษาโรคภัยไข้เจ็บ โรคภัยไข้เจ็บที่เกิดกับตัวเราสืบเนื่องจากเจ้ากรรมนายเวรผู้เคียดแค้นชิง ชัง กระทำทั้งสิ้นพระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า ผู้ฆ่าสัตว์ย่อมอายุสั้น ผู้เบียดเบียนสัตว์ย่อมมีสุขภาพไม่ดี ดังนั้นการรักษาต้องส่งบุญไปให้แก่เจ้ากรรมนายเวรที่ทำให้เกิดอาการเจ็บป่วย นั้น ๆ และให้แก่เทวดาผู้รักษาตัวเราในขณะเดียวกัน โปรดอธิษฐานว่า “ หมอใดยาใดที่สามารถรักษาอาการนี้ให้หายขาดได้ ขอให้เทวดาจงนำหมอนั้นมารักษาเรา เจ้ากรรมนายเวรได้รับบุญของเราแล้วจงอโหสิกรรมให้เราด้วย ถ้าเราหายจะทำบุญให้แก่ท่านยิ่ง ๆ ขึ้นไป ” การอธิษฐานเบิกบุญเก่าอุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรที่รบกวนควรทำวันละหลาย ๆ ครั้งจนเขาพอใจ อาการป่วยของเราจะหายเร็วขึ้น

    วิธีการให้บุญแก่เจ้ากรรม นายเวร ควรทำดังนี้เป็นตัวอย่างเช่น คนป่วยมะเร็งจุดไหน เมื่อส่งบุญให้คิดว่า “ บุญนี้ให้แก่เจ้ากรรมนายเวรที่ก่อให้เกิดการเจ็บป่วยตรง .......... พวกเชื้อโรคมะเร็งเมื่อได้รับบุญแล้วขอให้เจ้ามีชีวิตที่ดีขึ้น มีภพภูมิที่สูงขึ้น จงหลุดจากภาวะชีวิตชั้นต่ำเดี๋ยวนี้ เมื่อเราหายแล้วเราจะทำบุญให้แก่พวกเจ้า ส่งชีวิตของพวกเจ้าให้สูงขึ้นเรื่อย ๆ พวกเจ้าจงเลิกจองเวรจองกรรมในเราเสียที ตั้งแต่นี้เราจะตั้งตนอยู่ในศีลในธรรม เลิกการเบียดเบียนเข่นฆ่าชีวิตสัตว์อื่น ขอส่งบุญที่เกิดจากการรักษาศีลแก่เจ้าด้วย ”

    ผู้มีอาชีพเกี่ยวเนื่อง กับการฆ่าหรือเบียดเบียนสัตว์อื่น เช่นเจ้าของโรงฆ่าสัตว์ คนขายเนื้อสัตว์ ชาวประมง คนขายปลาสดตามตลาด เชือดไก่ขาย คนเหล่านี้ต้องสร้างบาปกรรมทุกวัน ๆ จึงก่อความเคียดแค้นชิงชังให้แก่สัตว์ที่ถูกฆ่าอยู่ทุกวี่ทุกวัน เขาก็พยายามจองล้างจองผลาญ แต่ในขณะที่บุญเก่าของผู้นั้นยังมีอยู่ เจ้ากรรมนายเวรก็ทำอะไรไม่ได้ แต่หากว่านายเวรได้ช่องทางเมื่อไร วิญญาณสัตว์ที่เคียดแค้นเหล่านั้น (นายเวร) จะตามมาทวงและให้ร้ายได้ทันที ดังนั้น ต้องพยายามไถ่ถอนกรรมของตัวด้วยการทำบุญ แล้วอุทิศให้วิญญาณสัตว์ที่ตัวเองฆ่า ทำบ่อย ๆ ส่งบ่อย ๆ เอาเนื้อสัตว์ที่เราขายนั้นทำอาหารถวายพระหรือเลี้ยงผู้อื่น อธิษฐานว่า “ บุญนี้ให้สัตว์ทั้งหลายที่เราได้ฆ่า หรือ ผู้อื่นฆ่าเพราะคำสั่งเรา เหล่าสัตว์เหล่าใดได้รับบุญแล้วขอให้มีแต่ความสุขความเจริญ มีชีวิตวิญญาณที่ดีขึ้น จงหลุดพ้นจากกรรมเวรที่ตัวเองเคยสร้างไว้แล้ว จงมีภพภูมิที่สูงขึ้นไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเป็นเทวบุตรเทวดาในสรวงสวรรค์ เมื่อได้รับบุญแล้วจงอโหสิกรรมให้เราด้วย อย่าได้จองเวรซึ่งกันและกันเลย เจ้าตายเพราะเราแต่ก็มีชีวิตที่ดีขึ้นเพราะเรา ดีกว่าเจ้าตายเองหรือตายเพราะฝีมือผู้อื่น ซึ่งมีชีวิตทุกข์ทรมาน ”

    การขับไล่ผีหรือคุณไสยออก จากร่างผู้ป่วย เอาของให้ทานแก่ผู้ทรงศีล จะพระหรือฆราวาสก็ได้ แล้วอุทิศบุญเจาะจงถึงผีในร่างผู้ป่วยขอให้ได้รับบุญนี้ เมื่อได้บุญแล้วโปรดออกจากร่างผู้ป่วยเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่ยอมออกก็ให้บ่อย ๆ ให้สิ่งของเล็ก ๆ น้อย ๆให้เงินห้าบาทสิบบาท ให้กาแฟ 1 แก้ว โอวัลติน 1 แก้ว แล้วอุทิศได้ทั้งนั้น ในกรณีมีคุณไสยเข้าร่างผู้ป่วย ให้อธิษฐานดังนี้ “ ด้วยอำนาจพระพุทธเจ้า ด้วยอำนาจพระธรรม ด้วยอำนาจพระสงฆ์ โปรดจงลบล้างอำนาจชั่วช้าต่ำทรามที่มีผู้ส่งเข้าผู้ป่วยให้สูญสลายไป ณ บัดนี้ ” จากนั้นให้ทานแก่ผู้ทรงศีลขณะนั้นอธิฐานว่า “ ขอบุญนี้จงถึงวิญญาณชั่วร้ายที่มีคนส่งเข้าร่างผู้ป่วย เมื่อเจ้าได้รับบุญแล้วจงมีความสุขความเจริญ จงมีฤทธิ์มีอำนาจหลุดพ้นจากการบังคังกดขี่ของผู้ทรงเวทวิทยาคมที่ส่งเจ้ามา จงออกจากร่างคนป่วยเดี๋ยวนี้ ” ถ้าไม่หายให้ทำบ่อย ๆ เดี๋ยวอาการก็ดีขึ้นเองโดยไม่ต้องไปทำพิธีอะไรอื่น หรือไม่ต้องไปจ้างหมอผีผู้มีวิทยาคมที่ไหนมาแก้ เพราะอำนาจของพระรัตนตรัยนั้นยิ่งใหญ่เหนือทุกสิ่งทุกอย่างในสากลจักรวาล

    หลีกเลี่ยงการสวดมนต์ เพื่อขับไล่วิญญาณ บทสวดมนต์แต่ละบทมีอำนาจขับไล่และเบียดเบียนพวกวิญญาณชั้นต่ำในโลกทิพย์ให้ ได้รับความเดือดร้อน พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติห้ามมิให้ภิกษุทำน้ำมนต์ขับไล่ผีไว้ในพระวินัยบัญญัติ ดังนั้นเมื่อผู้ใดกล่าวบทสวดมนต์เพื่อเจริญพุทธานุสติ ธัมมานุสติ และสังฆานุสติ โปรดอย่าตั้งจิตเบียดเบียนภูตผีปีศาจชั้นต่ำทั้งหลายให้ได้รับความเดือดร้อน เมื่อจะสวดให้ตั้งจิตระลึกเสียก่อนว่า “ ภูตผีปีศาจชั้นต่ำทั่งหลาย บัดนี้เราจะกล่าวบทสวดมนต์ ใครชอบฟังเอาบุญกุศลก็ให้ตั้งใจฟัง หากใครฟังแล้วทรมานก็ให้หลีกหนีไปที่อื่นจนกว่าเราจะสวดมนต์เสร็จแล้วจึง กลับมาเถิด เราไม่ได้สวดเพื่อขับไล่ใคร แต่สวดเพื่อเจริญในพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณเท่านั้น ” การนิมนต์พระมาทำพิธีขับไล่ภูตผี ในบ้านนั้นไม่ถูกต้องโดยประการทั้งปวง และควรงดให้เด็ดขาดเพราะวิญญาณนั้นเขาอยู่อาศัยที่นั้นมาก่อนเราอย่างสงบสุข บางตนก็เป็นญาติที่เราเคารพรักมาก่อน ตายแล้วมีบุญน้อยกุศลน้อยก็เป็นภูติผีอาศัยอยู่ในบ้านนั้น ภูติผีบางตนมีความทุกข์เดือดร้อน พยายามส่งกระแสความเดือดร้อนให้เรารู้สึกเพื่อจะได้ทำบุญส่งให้เขา แต่คนไม่เข้าใจคิดว่าเขาเบียดเบียนหลอกหลอน จึงนิมนต์พระมาสวดขับไล่ เมื่อเราไปทำพิธีขับไล่เขายิ่งเดือดร้อน แล้วพวกวิญญาณเหล่านั้นจะรวมหัวกันกลั่นแกล้งผู้คนในบ้านให้เดือนร้อน วุ่นวายกันมากขึ้น มีแต่เรื่องทะเลาะขัดแย้งกันเนือง ๆ สังเกตดู บ้านไหนที่มีคนถือวิชาอาคมสวดมนต์ไล่ผีบ่อย ๆ คนในบ้านจะหาความรักสามัคคีกันไม่ได้เลย พ่อ แม่ ลูก สามี ภรรยา ทะเลาะขัดแย้ง จนฆ่ากันตายก็มี ต่อไปเมื่อมีเหตุเดือดร้อนควรทำบุญอุทิศให้พวกเขา เมื่อพวกเขาอยู่สุขสบายก็จะเลิกรบกวนเรา แล้วจะกลับเป็นเทวดาชั้นดีที่คอยปกปักรักษาเราต่อไป

    หลีกเลี่ยงการติดผ้ายันต์กันภูตผีในบ้าน หรือการพกเครื่องรางของขลังที่เบียดเบียนวิญาณชั้นต่ำ
    เพราะสิ่งเหล่านี้จะกระทบกระเทือนถึงวิญญาณชั้นต่ำให้ได้รับความเดือดร้อน และเคียดแค้น อันจะส่งผลให้เขาเป็นเจ้ากรรมนายเวรจองล้างจองผลาญเราไม่มีที่สิ้นสุดโดยที่ เราไม่รู้ตัว บ้านเรือนเคหะสถาน เป็นของที่มีอยู่ในโลกนี้ เป็นทั้งที่อยู่ของผู้มีชีวิตในโลก และในอีกมิติหนึ่งที่เรามองไม่เห็น ไม่ควรเห็นแก่ตัวว่าเป็นสมบัติของเราเพียงผู้เดียว ควรร่วมกันอยู่กันอย่างสงบสุข พวกวิญญาณต้องอาศัยบุญกุศลถึงอยู่ได้ ถ้าได้รับบุญจากมนุษย์ผู้อาศัยอยู่ในผืนแผ่นดินเดียวกันเขาย่อมพึงพอใจ และจะรักษามนุษย์ให้มีความสุขความเจริญ แม้พระพุทธเจ้าก็ตรัสสอนไว้ใน
    เทวตาทิสสทักขิณานุโมทนา ว่า


    <table style="border-bottom: #c0c0c0 1px; border-left: #c0c0c0 1px; border-top: #c0c0c0 1px; border-right: #c0c0c0 1px" border="0" cellpadding="1" cellspacing="0" width="288"> <tbody> <tr> <td style="border-bottom: #c0c0c0 1px; border-left: #c0c0c0 1px; border-top: #c0c0c0 1px; border-right: #c0c0c0 1px" valign="middle"> ยัสมิง ปะเทเส กัปเปติ วาสัง ปัณฑิตะชาติโย
    สีลวันเตตถะ โภเชตวา สัญญะเต พรหมะจาริโน
    ยา ตัตถะ เทวตา อาสุง ตาสัง ทักขิณะมาทิเส
    ตา ปูชิตา ปูชะยันติ มานิตา มานะยันติ นัง
    ตะโต นัง อนุกัมปันติ มาตา ปุตตังวะ โอระสัง
    เทวะตานุกัมปิโต โปโส สะทา ภัทรานิ ปัสสะติ

    </td> </tr> </tbody> </table>

    แปลความว่า ผู้ฉลาดชาติบัณฑิต เมื่ออาศัยอยู่ ณ สถานที่แห่งใด ควรเชื้อเชิญผู้ทรงศีลเข้าไปเลี้ยงดูในสถานที่แห่งนั้น แล้วอุทิศบุญให้แก่เทวดาผู้อาศัยอยู่ ณ สถานที่แห่งนั้น เทวดาเมื่อได้รับการบูชาแล้วย่อมบูชาตอบ คือทำความอนุเคราะห์ช่วยเหลือผู้อุทิศบุญให้แล้วนั้น เหมือนบิดามารดาผู้รักบุตรย่อมอนุเคราะห์บุตร ผู้ใดได้รับการช่วยเหลือจากเทวดาแล้วย่อมประสบแต่ความเจริญรุ่งเรืองเป็น นิจ.

    การให้ทานแก่บุคคลย่อมมีผลบุญแตกต่างกัน

    • ให้ในพระสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธานย่อมเกิดผลมากกว่าให้พระพุทธเจ้าพระองค์เดียว

    • ให้ในพระพุทธเจ้าย่อมมีผลมากกว่าให้ในพระอรหันต์

    • ให้ในพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ผู้ออกจากนิโรธสมาบัติย่อมมีผลมมากกว่าให้ในพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ในสถานภาพปกติ

    • ให้ในพระอรหันต์ย่อมมีผลเหนือกว่าให้ในพระอนาคามี

    • ให้ในพระอนาคามีย่อมมีผลมากกว่าให้พระสกิทาคามี

    • ให้ในพระสกิทาคามีย่อมมีผลมากกว่าให้แก่พระโสดาบัน

    • ให้ในพระโสดาบันย่อมมีผลมากกว่าให้แก่ผู้ทรงฌาน

    • ให้ในผู้ทรงฌานย่อมเหนือกว่าให้ในพระผู้ประพฤติศีลตามปกติ

    • ให้ในผู้มีศีลย่อมมากกว่าให้ผู้ไม่มีศีล

    • ให้ในคนย่อมมากกว่าให้ในสัตว์

    • ให้ในสัตว์ผู้โพธิสัตว์ย่อมมีผลมากกว่าให้ในสัตว์ธรรมดา

    • ให้ในสัตว์ที่มีคุณย่อมเกิดผลมากกว่าให้แก่สัตว์ที่ไม่มีคุณ

    • และแม้แต่ให้อาหารแก่พวกมดปลวกก็ยังเกิดบุญกุศล







    <dir> ดังนั้น ชื่อว่าการให้ย่อมเกิดบุญกุศลทั้งสิ้น แต่มากน้อยต่างกัน เงิน 1 บาทถวายพระอรหันต์มีผลมากมายนับ
    </dir>






    ไม่ได้ แต่ให้ในภิกษุผู้ทุศีลมีผลน้อย นี่คือความแตกต่างของนาบุญ ถ้ารู้จักเลือกก็ให้เลือกเถิด ถ้าเลือกไม่ได้ก็ให้ถวายในสงฆ์ส่วนรวมก็มีอานิสงส์มาก

    • เมื่อตั้งใจรักษาศีล ก็ย่อมเกิดบุญกุศลขึ้น ทุกครั้งที่ระลึกถึงศีลตัวเองรักษาดีแล้ว ไม่ด่างพร้อย ก็สามารถอธิษฐานส่งบุญได้ว่า “ บุญที่ข้าพเจ้าได้รักษาศีลนี้ขอมอบแก่ ................ ” ดุจที่กล่าวมาในการให้นั่นแล

    • ก่อนจะนั่งภาวนาทุกครั้ง ให้เริ่มคิดอย่างนี้ “ ขออำนาจพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จงดลบันดาลบุญที่ข้าพเจ้ากำลังจะภาวนาเวลานี้ จงสำเร็จแก่ผู้ต้องการบุญ ผู้ใดคิดอยากได้ ขอให้บุญภาวนาที่กำลังจะทำนี้เป็นของท่านตามปรารถนา ” หรือเราจะให้ใครก็ให้อธิษฐานเอาเอง แล้วก็เริ่มภาวนาได้เลย หลังจากเลิกภาวนาก็ให้อุทิศบุญนี้ไปอีกครั้งหนึ่ง.

    หมายเหตุ บุญที่ภาวนานี้กำลังแรง พวกภูตผีชั้นต่ำมักรับไม่ค่อยได้จึงต้องเปิดจ่ายไว้ก่อนทำ เขาจะได้รับตามความสามารถของตนเอง ถ้าภาวนาเสร็จแล้วจึงให้ก็เปรียบเหมือนเราเปิดน้ำจากท่อดับเพลิงแล้วให้เขา เอาภาชนะมาตวง เขาจะรับไม่ได้เนื่องจากฐานจิตของเขาไม่แข็งแรงพอ ถ้าเราอธิษฐานเปิดไว้ก่อนก็เหมือนกับเปิดก๊อกน้ำออกค่อย ๆ ใครมีภาชนะน้อยก็เอามาตวงได้ แต่สำหรับเทวดาบุญหนักศักดิ์ใหญ่ท่านสามารถรับบุญใหญ่หลังภาวนาได้ เปรียบเหมือนท่านมีโอ่งมีถังขนาดใหญ่สำหรับรองรับน้ำที่พุ่งจากท่อดับเพลิง นั่นเอง

    • การทำคุณงามความดีทุกครั้ง เช่นการได้ช่วยเหลือคน การได้ทำประโยชน์ส่วนรวม ย่อมก่อให้เกิดความีปิติดีใจ นั่นและคือบุญ ให้รีบส่งบุญถึงผู้ที่เราต้องการให้บุญทันที

    • ส่งบุญเก่าที่ทำไว้แล้ว บุญที่เราทำไว้มีมากมายที่สะสมอยู่ในสรวงสวรรค์ ทั้งที่ทำไว้ในอดีตชาติหรือในชาตินี้ เราสามารถเบิกบุญนั้นมาแจกจ่ายอุทิศให้แก่ผู้อยู่ในโลกวิญญาณได้ เหมือนเรามีเงินเก็บในธนาคารเราก็อาศัยบัตรเอทีเอ็มกดเงินออกมาใช้จ่ายได้
    การเบิกบุญนั้นต้องอาศัย อำนาจพระรัตนตรัย คือให้ตั้งจิตคิดอธิษฐานว่า “ ด้วยอำนาจของพระพุทธเจ้า ด้วยอำนาจของพระธรรม ด้วยอำนาจของพระสงฆ์ จงบันดาลให้บุญของข้าพเจ้าถึงแก่................ ” จะให้ใครก็คิดเอาเอง การเบิกบุญแจกจ่ายนี้สามารถให้ได้ทุกเวลาเมื่อระลึกขึ้นได้ ไม่ว่าจะยืน เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม อุจจาระ ปัสสาวะ แม้กระทั่งว่าสามีภรรยากำลังร่วมเพศกัน เกิดความสุขความพอใจในขณะนั้น ก็สามารถส่งบุญคือความสุขนั้น ให้แก่ญาติทิพย์ได้

    • คนในศาสนาไหนก็ส่งบุญได้ ไม่ว่าพุทธ คริสต์ อิสลาม ฮินดู ซิก ล้วนมีวิธีสร้างกุศลผลบุญสะสมคุณงามความดีด้วยกันทั้งสิ้น เมื่อเกิดบุญกุศลขึ้นสามารถส่งถึงผู้อยู่ในโลกทิพย์ได้ด้วยวิธีเดียวกัน ถึงเช่นกัน ก่อผลลัพธ์แบบเดียวกัน พุทธศาสนาต่างจากศาสนาอื่นตรงที่มีจุดสุดยอดของการหลุดพ้นจากทุกข์คือนิพพาน มีแนวทางปฏิบัติเพื่อเข้าสู่จุดนั้นโดยเฉพาะ มีคำสอนเต็มไปด้วยเหตุและผลสามารถพิสูจน์ได้แบบวิทยาศาสตร์ ซึ่งศาสนาอื่นไม่มี ส่วนการทำคุณงามความดีนั้นถึงแม้จะมีแนวทางแตกต่างกันก็เพียงปลีกย่อยเท่า นั้น ไม่เป็นที่ขัดแย้งกัน

    ผลของการส่งบุญ


    • ทำให้เทวดาที่ได้รับบุญแล้วมีอิทธิฤทธิ์ขึ้น สามารถช่วยเหลือผู้ส่งบุญให้ได้รับความสำเร็จ เทวดาที่
    รักษาเคหะสถานบ้านช่องบาง แห่งสามารถจำแลงแปลงกายเป็นเจ้าของบ้าน เปิด - ปิดทีวี วิทยุ และ ไฟฟ้าในบ้านได้เอง ทำให้พวกลักเล็กขโมยน้อยไม่กล้าเข้าไปลักขโมยเพราะเข้าใจว่าเจ้าของบ้านอยู่ ในบ้าน ทั้งที่ความจริงไม่มีคนอยู่ในบ้านเลย เทวดาสามารถป้องกันไม่ให้เกิดไฟไหม้บ้าน ป้องกันภัยอันตรายจากพายุ ต้นไม้หักโค่นล้มทับบ้าน บ้านใหนถูกไฟไหม้แสดงว่าเทวดาไม่รักษาเพราะเจ้าของบ้านมีบาปกรรมและไม่เคย ส่งบุญให้เทวดาและเจ้ากรรมนายเวร ที่บ้านข้าพเจ้าผู้เขียนก็มีเหตุแปลกเกิดขึ้นบ่อยๆ พัดลมปิดเอง ไฟฟ้าปิดเอง ถ้าทำอะไรไม่เหมาะสมจะมีสิ่งตักเตือนเกิดขึ้น
    ยิ่งเดี๋ยวนี้มาเกี่ยว ข้องผูกพันกับองค์พ่อ ๑๖ คือท้าวเวสวัณ และท้าวกุเวร คือองค์พ่อจิตรา หรือพญายมราช หรือองค์พ่อเหล็กไหล แม้ปั๊กไฟฟ้าที่เสียบทิ้งไว้จนหม้อจะไหม้ ท่านยังถอดออกได้ ไปไหนมาไหนกลับบ้านดึกดื่น ท่านเปิดไฟหลังบ้านไว้ให้ (สวิทไฟอยู่ในบ้าน) ไปไหนมาจะกลับเข้าบ้าน หรือขณะกำลังเดินอยู่ ฝนจะตกรดหัว แค่ยกมือท่วมหัว บอกท่านว่า พ่อครับ อย่าเพิ่งให้ฝนตกเลย กลับถึงบ้านค่อยตก หรือไปถึงที่หมายค่อยตก ก็จะเป็นไปตามนั้น แต่บางครั้งท่านก็ต่อว่าเอาเหมือนกัน ท่านว่าเกิดมาในโลกมันก็ต้องมีกรรมเล็ก ๆ น้อยที่ต้องชดต้องใช้ มีดบาด ตะปูตำ หนามเกี่ยว หนาว ร้อน ฝนตก แดดออก มันเป็นเรื่องของโลก ไม่ใช่อะไรก็ต้องให้พ่อช่วยหมด พ่อมีหน้าที่มากหลาย สานุศิษย์มากมาย ใช่จะต้องมานั่งดูแลเจ้า แม้กระทั่งหัวก็ไม่ให้เปียกฝน


    • ทำให้เจ้ากรรมนายเวรหยุดการจองเวรแล้วกลับมาเป็นเทวดาที่ปกปักรักษาตัวเรา

    • ทำให้เป็นที่รักของเทวดาและมนุษย์-สัตว์ ทั้งหลาย ไปทางไหนมีเสน่ห์แก่ผู้พบเห็น


    • สามารถห้ามฟ้าฝนได้ สามารถขอฝนให้ตกก็ได้ ตัวข้าพเจ้าชอบเข้าป่าหาสมุนไพรช่วงหน้าฝนตกชุกที่สุดในช่วงที่ผ่านมา เมื่อข้าพเจ้าจะออกจากบ้านและขับมอเตอร์ไซด์ไปตามถนน ก็จะอธิษฐานเบิกบุญให้แก่ภูตผีปีศาจทั้งหลายที่สถิตตามรายทางที่เดินทางผ่าน ให้พญาครุฑผู้ปกป้องแผ่นฟ้า ให้แก่พญานาคผู้ปกป้องผืนน้ำ ช่วงที่ข้าพเจ้าเดินทางอย่าได้ประสบอุบัติเหตุ และอย่าให้ฝนตกในระหว่างทาง เมื่ออยู่ในป่ากำลังขุดหัวยาก็อธิษฐานว่า ด้วยอานุภาพของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ข้าพเจ้าขอเบิกบุญของข้าพเจ้าจากสวรรค์ให้แก่ภูตผีปีศาจ เทวดา ยักษ์ ครุฑ ที่อาศัยอยู่ในบริเวณป่าแห่งนี้ ขออันตรายใดๆอย่าได้มีแก่ข้าพเจ้า พญานาคจงหยุดฝนในบริเวณนี้ พญาครุฑจงพัดเอาฝนที่ตกแล้วไปลงที่อื่น อย่าให้ข้าพเจ้าซึ่งกำลังทำงานต้องเปียกฝน ปรากฎว่าการเดินทางวันนั้นไม่มีฝน แต่ท้องถนนเปียกแสดงว่าฝนตกก่อนหน้านั้นแล้ว เมื่ออยู่ในป่าไม่มีฝน พอออกมาถนนพบว่าถนนเปียก น้ำเจิ่งนองเต็มถนน เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นหลายครั้ง ข้าพเจ้าได้ฟังจากการเล่าของพระคุณเจ้าจึงนำมาปฏิบัติ ท่านเล่าว่าช่วงเกิดพายุใหญ่ต้นไม้หักระเนระนาด เกิดลูกเห็บตกลงมาหนาเป็นคืบในรอบนอกวัด แต่ที่วัดไม่มีฝน ไม่มีลม ไม่มีลูกเห็บ หลังจากนั้นพญาครุฑตัวโหญ่ได้มาหาท่านเรียนว่าเขาได้โอบปีกปกปิดบังวัดไว้ จึงไม่มีฝนหรีอพายุตกในวัด


    • การเดินทางจะไม่มี อุบัติภัยตามท้องถนน เมื่อจะมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นข้างหน้าจะมีเหตุให้รถเราติตขัดเสียหายจนวิ่ง ต่อไม่ได้ เมื่อเหตุผ่านไปแล้วรถเราจะดีเอง เมื่อเดินทางไปถึงจุดที่เกิดอุบัติเหตุนั้นก็จะพบเหตุการณ์อันน่าหวาดเสียว ที่เกิดขึ้นก่อน มีผู้คนล้มตายก็มี หากรถของเราไม่ติดขัดเสียก่อน เราก็อาจจะเป็นหนึ่งในผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิตนั้นก็ได้


    • ธุรกิจการค้า หน้าที่การงาน จะเจริญรุ่งเรือง จะพบช่องทางทำมาหากินที่แจ้งชัด ถ้าตกงานก็จะได้งานทำ ถ้าเจ้านายเกลียดก็จะรักชอบขึ้น
      ร้านอาหาร ร้านขายของ จะมีแขกเข้าร้านมากกว่าเดิม และอย่าลืม ถ้ามีคนมาอุดหนุนให้อธิษฐานบุญให้แก่เทวดาที่รักษาลูกค้าที่มาอุดหนุนทันที ต่อมาเทวดาก็จะดลใจให้ลูกค้ากลับมาหาเราอีก


    • นอนหลับสบายไม่สะดุ้งผวาด้วยภัยอันตรายรอบทิศทางแม้ฝันก็ฝันดี


    • ร่างกายจะแข็งแรงสุขภาพสมบูรณ์ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บมารบกวน


    • ครอบครัวจะอยู่กันอย่างมีความสุขมีความเข้าอกเข้าใจกัน


    • เพื่อนบ้านก็จะรักใคร่ปรองดองกัน ไม่เบียดเบียนส่อเสียดกัน ให้ความเกรงอกเกรงใจซึ่งกันและกัน

    พระอาจารย์เกษมเล่าว่า วิชาจ่ายบุญนี้ใช้กันมากมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล แต่เพิ่งสาบสูญไปเมื่อ 500-600 ปีมานี่เอง ถ้าค้นคว้าในพระไตรปิฎกก็พบมากแห่งที่เกี่ยวข้องกับการทำบุญและเทวดาผู้รับ บุญ
    พระอาจารย์ค้นพบวิชานี้ โดยบังเอิญและด้วยความพยายาม ซึ่งมีเล่าอยู่ในแผ่น ซีดี วีซีดี MP3 ที่ท่านได้แสดงไว้ การแสดงธรรมแต่ละครั้ง แก่บุคคลแต่ละคณะมากมาย มีเรื่องราวที่น่าสนใจมาก บางตอนก็เล่าเรื่องประสบการณ์ ในนรกบ้าง ในสวรรค์บ้าง ถ้ามีนักปฏิบัติไปถามก็จะสอนเกี่ยวกับการปฏิบัติทางจิตล้วนๆ ถ้านักปฏิบัติภาวนาได้ฟังแล้วก็จะเกิดจิตศรัทธาแน่วแน่ในการปฏิบัติทางจิต ยิ่งๆขึ้นไป

    ที่ข้าพเจ้าเล่ามานี้เป็นเพียงเบื้องต้น - ย่อๆ เท่านั้น รายละเอียดยังมีอีกมาก

    คนจะเลิกทำบาปมาแสวงบุญก็ เพราะได้ฟังธรรม คนจะสนใจให้ทาน รักษาศีลบำเพ็ญภาวนา ก็เพราะได้ฟังธรรม คนจะหลุดพ้นจากทุกข์ได้ก็เพราะได้ฟังธรรม พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า “ ธรรมทานคือการให้ธรรมเหนือกว่าการให้สิ่งอื่นๆทั้งหมด แม้ถวายทานในพระสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธานก็ยังไม่เหนือกว่าธรรมท่านได้ ”

    บุญกุศลที่เกิดจากธรรมทาน นี้ ข้าพเจ้าขอมอบแด่เทวดาที่รักษาท่านผู้อ่านและผู้ฟังทุกท่าน เมื่อเทวดาได้รับบุญนี้แล้วจงมีความสุขความเจริญ มีฤทธิ์มีอำนาจ จงช่วยเหลือท่านผู้อ่านและผู้ฟังให้ประสบความรุ่งเรืองยิ่งๆขึ้นไปตลอดกาล นานเทอญ...
     
  8. zomkiku

    zomkiku เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    94
    ค่าพลัง:
    +141
    เคยฝันว่าตัวเองอยู่ในโบสถ์ แล้วภายในโบสถ์
    มีพญานาคสีดำ และ สีทอง ตัวไม่ใหญ่มากนักอยู่คู่กัน
    แล้วรอบโบสถ์มีพญานาคสีเขียวตัวใหญ่มาก ใหญ่ขนาดรอบโบสถ์ได้ลอยอยู่

    ก็ไม่ทราบว่าความฝันนี้หมายถึงอะไร และมีความเกี่ยวพันอย่างไรกะพญานาคค่ะ
     
  9. jackyworng

    jackyworng สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    20
    ค่าพลัง:
    +3
    เข้ามาขอความรู้เรื่องพญานาคด้วยครับ
     
  10. Ajarn Pithak

    Ajarn Pithak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,367
    ค่าพลัง:
    +2,126
    เรื่องข้าวสารดำ


    วันนี้จะขอเล่าถึง ข้าวสารดำ ในความเชื่อที่ได้อ่านมาจากหนังสือ กายสิทธิ์ ยุคอภิญญา ที่เขียนโดยอาจารย์ศุภรัตน์ แสงจันทร์


    อนุภาพข้าวสารดำแก้คุณไสย อีกทั้งรับประทานแก้โรคปัจจุบันและโรคที่ไม่ทราบสาเหตุปรากฏว่าสิ่งที่เป็นอยู่หายไปอย่างน่าอัศจรรย์


    หลังจากที่ผมได้อ่านหนังสือเล่มนี้แล้วผมได้อธิษฐานขอเมื่อปลายเดือนเมษายน 2552 จนกระทั้งเดือนตุลาคม ปีเดียวกันนี้ผมได้ข้าวสารดำโดยบังเอิญพบที่บ้านผมเอง จำนวนหนึ่งได้นำมาเป็นมวลสารผสมสร้างพระผงจักรพรรดิที่ผมทำแจกและถวายพระ



    เมื่อเห็นว่าเหลือน้อย จึงอยากจะออกตาหาบ้าง ช่วงสงกรานต์ว่าง คืนวันที่ 11 เมษายน 53 ผมได้ทำการอธิษฐานขอเพื่อนำมาช่วยคนที่โดนคุณไสย และนำมาผสมสร้างพระต่อไป
    และได้ทำการเสี่ยงทายเหรียญ หากออกหัว สามครั้งติดกัน
    เป็นการยืนยันว่าเดินทางไปหาครั้งนี้จะได้ข้าวสารดำกลับมา



    ผลคือโยนได้หัวสามครั้งติด


    วันรุ่งขึ้นผมได้เดินทางไปอยุธยา กราบหลวงปู่ทวดที่วัดแค และเดินลัดเลาะไปหาวัดข้าวสารดำ


    ระหว่าง เดินเข้าไปนั้นถามลุงคนหนึ่งแกได้ชวนคุยแล้วก็พอไปวัดข้าวสารดำ ซึ่ง วัดที่ว่ามีเพียง พระพุทธรูป สามองค์ แล้วก็ เพิงมุงหลังคาสังกะสีเทพื้น ขนาด 2 เมตรคูณ 4 เมตรเท่านั้น


    ลุงแกเล่าให้ฟังว่า แกไม่รู้ประวัติอะไรนักหรอก รู้แต่ว่าพี่ชายลุงสร้างไว้บอกว่าเป็นวัดข้าวสารดำ แล้วลุงแกก็เดินเข้าไปหยิบข้าวสารดำมาให้ผม 10 กว่าองค์ได้


    หลังจากดูแกก็บอกว่า มอบให้ผม


    คุยกับแกสักพักใหญ่ ๆ ผมก็ถึงเวลาเดินทางกลับ


    ตาม ความรู้สึก สถานที่แห่งนี้ที่เรียกว่า วัดข้าวสารดำ คงจะอยู่ในสมัยอยุธยา หรือก่อนหน้านี้ ส่วนข้าวสารดำนั้นจะสร้างขึ้นในสมัยอยุธยาหรือไม่ ผมไม่ทราบ รู้สึกเพียงแต่ว่า ที่แห่งนี้ยังมีอีกมิติหนึ่งที่ซ้อนอยู่
    และสิ่งที่สร้างข้าวเหนียวดำนี้น่าจะเป็นข้าวของเมืองบังบด




    ทำให้เรื่องราวโยงใยถึงปู่ ซึ่งผมเรียกว่าปู่ ท่านอายุ 85 ปีแล้วยังแข็งแรงเดินไปมาได้สบาย


    เมื่อตอนที่ผมกลับไปเชียงคาน สร้างพระบาทสี่รอยนั้น ผมนำข้าวสารดำไปด้วย ปู่บอกเคยมีคนเล่าว่า ทุกเดือนห้า ที่แห่งหนึ่ง(ขออภัยจำไม่ได้ว่าที่ไหน) ผีเมืองบังบดจะทำสร้างหรือว่าเก็บเกี่ยวข้าวสารดำ
    (เมืองบังบดกับเมืองลับแล ประเภทเดียวกัน)



    ผมจึงเข้าใจว่า ที่ลุงบอกว่าจะเจอข้าวสารดำตอนฝนตก นั้นน่าจะมาจากชาวเมืองบังบดได้ทำนาและข้าวสารได้หล่นลงพื้นดิน คือมิติปัจจุบัน


    เพราะระหว่างเดินผ่านวัดแค รู้สึกว่าตรงข้าว ๆ โบสถ์จะประตูมิติอยู่ ทั้งขาไปและขากลับ จริงเท็จแค่ไหนไม่ทราบเพียงแค่รู้สึกอย่างนั้น


    ไว้ผมจะกลับไปหาคำตอบอีกครั้งหนึ่งเมื่อถึงหน้าฝน



    [​IMG]
     
  11. Ajarn Pithak

    Ajarn Pithak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,367
    ค่าพลัง:
    +2,126
    การปิดนรก
    หลวงพ่อฤๅษีท่านสอนไว้ละเอียด และการหนีนรกแบบง่ายๆ ก็แนะนำไว้หลายวิธี ผมจะไม่เขียนให้เสียเวลา กรุณาช่วยตนเองหาอ่านและศึกษากันเอาเอง
    ผมขอแนะนำวิธีที่ผมใช้อยู่เป็นปกติ เพราะเป็นคำสั่งของสมเด็จองค์ปฐม มีความสำคัญดังนี้
    ทรงตรัสว่า ทุกครั้งที่คุณหมอจะสนทนาธรรม หรือตอบปัญหาธรรมที่ซอยสายลม ให้ปฏิบัติดังนี้
    ก่อนสนทนาธรรม ให้คุณหมอเป็นผู้นำ แนะนำทุกคนหันหน้าไปทางพระพุทธรูป แล้วตั้งจิตอธิษฐาน (ในใจไม่ต้องออกเสียง) มีใจความสำคัญว่า
    ข้าพระพุทธเจ้าขออธิษฐานจิต ให้สัจจะต่อพระพุทธองค์ว่า ในระหว่างที่สนทนาธรรมกันเป็นเวลา ๓ ชั่วโมงนี้
    ๑. ข้าพเจ้าของดเว้นไม่กระทำชั่วทั้ง ๕ ประการ คือไม่ฆ่าสัตว์และไม่ทรมานสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่พูดปด (และไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดส่อเสียดนินทาผู้อื่น ไม่พูดเรื่องเหลวไหลไร้สาระ) ไม่เสพสุราและของมึนเมาที่ทำให้สติฟั่นเฟือน
    ๒. มีจิตมั่นคงต่อพระรัตนตรัย ไม่สงสัยในคำสอนของพระพุทธองค์
    ๓. ในระหว่างที่สนทนาธรรมกัน เป็นเวลาประมาณ ๓ ชั่วโมงนี้ ความตายอาจเกิดขึ้นกับเหล่าข้าพระพุทธเจ้าก็ได้ เพราะความตายเป็นของเที่ยง แต่ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง เพียงหายใจเข้าแล้วหายใจออกไม่ได้ ความตายก็เกิดขึ้นแล้ว
    ๔. ในปัจจุบันนี้ข้าพระพุทธเจ้าเห็นทุกข์ เห็นโทษ เห็นภัยจากการเกิดมามีร่างกายซึ่งไม่เที่ยงแล้ว โดยไม่สงสัยในธรรม ๕ ประการที่พระองค์ทรงแนะให้พิจารณาบ่อย ๆ อยู่เนืองๆ คือ เรื่องการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจ และมีความปรารถนาไม่สมหวัง ล้วนเป็นทุกข์ ทุกภพทุกชาติที่เกิดมาไม่มีทางพ้นจากทุกข์ทั้ง ๕ ประการนี้ไปได้ จึงไม่ปรารถนาที่จะเกิดมาพบกับความทุกข์ทั้ง ๕ ประการนี้อีก ขันธ์ ๕ หรือร่างกายตายไปเมื่อไหร่ ข้าพระพุทธเจ้าก็พร้อม เพราะซ้อมตายและพร้อมที่จะตายอยู่เสมอ ตามที่พระพุทธองค์ทรงแนะนำไว้ พร้อมที่จะเอาจิตขึ้นไปสู่แดนพระนิพพาน อยู่กับพระพุทธองค์และหลวงพ่อฤๅษีบนพระนิพพานอย่างถาวร นิพพานสุขขัง
    ที่ผมเขียนไว้ยาวและละเอียด ก็เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจ เพราะบุคคลที่เกิดมามีจริตนิสัยและกรรมแตกต่างกันมาก และไม่เสมอกันตามกรรม หรือบารมี อันเป็นกำลังใจที่สะสมกันมาไม่เท่ากัน แต่สำหรับคนที่มีปัญญามาก ไม่จำเป็นจะต้องอธิษฐานยาวนักก็ได้เพียงใช้หลักทั้ง ๔ ข้อ อันเป็นอุบายในการตัดสังโยชน์ ๓ ข้อแรกเท่านั้นเอง คือ
    ๑. ตัดสักกายทิฏฐิ ว่าร่างกายนี้มันไม่ใช่เรา มันไม่ใช่ของเรา อารมณ์ขั้นต้นก็คือไม่ประมาทในความตาย รู้ตัวอยู่เสมอ และยอมรับความจริงว่า คนเราทุกคนเกิดมาแล้วจะต้องตาย ไม่ช้าก็เร็วตามกรรมที่ตนเองทำเอาไว้เองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
    ๒. มีจิตมั่นคงในพระรัตนตรัย ไม่สงสัยในพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์
    ๓. มีศีล ๕ ข้อเต็ม และบริสุทธิ์ (แม้ชั่วคราวในระหว่างที่ปฏิบัติธรรม สนทนาธรรม หรือระหว่างที่สวดมนต์ไหว้พระทุกครั้ง)
    ๔. จิตเห็นทุกข์ เห็นโทษ เห็นภัย จากการเกิดมามีร่างกายอย่างชัดเจนแล้ว ไม่ปรารถนาจะเกิดมาพบความทุกข์เช่นนี้อีก ขันธ์ ๕ หรือร่างกายตายเมื่อไหร่ ก็พร้อมที่จะไปพระนิพพานเมื่อนั้น (คือมีจิตเบื่อกาย เบื่อเกิด คือ อารมณ์นิพพิทาญาณนั่นเอง)
    สำหรับผู้มีปัญญามาก ผมขอสรุปสั้นๆ ว่ามี มรณานุสสติ บวกอุปสมานุสสติ และมีศีลบริสุทธิ์เท่านั้น (ศีลานุสสติ) เท่านั้น ก็พ้นนรกได้อย่างถาวร เพราะผู้ใดมีอนุสติทั้ง ๓ ข้อนี้ทรงตัวอยู่กับจิตแล้ว ผู้นั้นก็มีอารมณ์ของพระโสดาบัน กันนรกหรืออบายภูมิ ๔ ได้อย่างถาวร (ทรงตัวไม่มีเสื่อมอีกต่อไป)
    หมายเหตุ
    ก) ผู้ที่มีจิตที่มั่นคงในพระรัตนตรัย ก็คือผู้มีศีลานุสสตินั่นเอง
    ข) เพราะบุคคลผู้มีปัญญาทางพุทธย่อมรู้ดีว่าศีลมีอยู่แล้วในตนทุกคน ไม่จำเป็นต้องไปขอศีลจากพระอีก ผู้ใดไปขอศีลจากพระ ก็คือคนยังไม่มีศีล เป็นศีลจน มาวัดหรือพบพระทีใดก็ขอศีลทุกที ผู้มีปัญญารู้ว่าตัวเจตนาที่จะงดเว้นไม่กระทำกรรมชั่วคือศีล จิตจะยกเว้นทั้ง ๕-๘-๑๐ หรือ ๒๒๗ ก็ขึ้นอยู่ที่ข้อนี้ข้อเดียวจึงรักษาศีลได้เบาๆไม่หนัก ไม่สงสัยในธรรมที่ตนเองปฏิบัติ
    ค) ผู้มีศีลานุสสติ ก็คือผู้มีจิตมั่นคงในพระรัตนตรัยนั่นเอง หรือผู้มีจิตมั่นคงในพระรัตนตรัย ก็คือผู้ไม่สงสัยในพระธรรมคำสั่งสอน ของพระพุทธองค์ หรือบาลีเรียกวิจิกิจฉา นั่นเอง ธรรมในพุทธศาสนาเกี่ยวเนื่องกันหมด ถ้าเข้าใจจริงหรือมีปัญญา
    ผมก็ขอจบไว้เพียงเท่านี้ เพราะยิ่งเขียนก็ยิ่งยาวออกไปเรื่อยๆ เพราะธรรมในพุทธศาสนาเกี่ยวเนื่องกันหมด ตามที่กล่าวแล้ว เหตุเพราะจิตยังไม่หมดกิเลส ยังมีอารมณ์ปรุงแต่งอยู่ ยังติดดียังติดบุญอยู่ จึงยังฟุ้งดีอยู่เป็นธรรมดา ยังมีอารมณ์ปรารถนา ไม่อยากให้ผู้อื่นที่ยังมีปัญญาทางพุทธน้อยต้องตกนรก หรืออบายภูมิ ๔ โดยไม่จำเป็น เพราะจิตมีสภาวะรู้กับเร็ว ให้เขารู้อย่างไรจนชิน (จิตเป็นฌาน) จิตเขาก็เร็วไปตามนั้น จิตเกาะบุญเกาะความดีก็ไปดีสู่สุคติ จิตเกาะบาป เกาะความชั่ว ก็ไปชั่วสู่ทุคติ จิตเกาะแมว เกาะหมา ก็ไปเกิดเป็นหมา เป็นแมว จิตเกาะพระพุทธเจ้า เกาะหลวงพ่อฤๅษี ก็ไปอยู่กับพระพุทธเจ้ากับหลวงพ่อฤๅษี
    ให้ผู้อ่านบทความนี้แล้วนำไปคิดพิจารณาด้วยปัญญาของตนให้ดีๆ กรรมใครกรรมมัน ผมมีความปรารถนาดีต่อทุก ๆ คน ให้ใช้ธรรมจากกาลามสูตรที่พระองค์ทรงตรัส (สอนเดียรถีย์สองคน ซึ่งมาขอให้พระองค์ตัดสินปัญหาให้กับพวกเขา) ไว้เป็นหลักพิจารณา เนื่องจากบทความนี้ผู้เขียนยังไม่จบกิจในพระพุทธศาสนา ย่อมยังมีกิเลส ตัณหา อุปาทาน และอกุศลกรรมอยู่เป็นธรรมดา (แต่หากเป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว ก็ให้เชื่อได้เลยโดยไม่ต้องสงสัย) ส่วนหลัก ๑๐ ข้อในกาลามสูตรนั้น พระองค์ทรงแนะให้ใช้สำหรับผู้ที่ยังไม่จบกิจในการตัดกิเลสหรือพวกนอกศาสนา ซึ่งก็คือเดียรถีย์นั่นเอง
    เช่น สอนธรรมทางพุทธศาสนาว่า นรกสวรรค์ไม่มีหรอก พรหมเทวดาไม่มี คนตายแล้วไม่เกิดหรือนิพพานก็สูญ ซึ่งเป็นการสอนตรงกันข้ามกับพระพุทธเจ้าโดยตรง ๑๐๐% ฟังแล้วควรใช้หลัก ๑๐ ข้อในกาลามสูตร เป็นหลักสำคัญในการตัดสิน เพราะเขาค้านคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าโดยตรง ผมจึงต้องขออาราธนาบารมีของพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ขอให้ท่านผู้อ่านบทความนี้แล้ว จงโชคดีพ้นนรกได้ในชาติปัจจุบันนี้ด้วยกันทุกๆท่านเทอญ
    หมายเหตุ
    เพื่อให้ผู้ศรัทธาในบทความนี้เข้าใจดียิ่งขึ้น ผมขอแนะนำให้ท่านอ่านคิริมานนทสูตรฉบับพกพา ซึ่งมีผู้ศรัทธาหลายท่านพิมพ์แจกไปแล้ว ประมาณสี่หมื่นเล่ม ทรงตรัสสอนโดยสมเด็จพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ซึ่งมีหลักคำสอนง่ายๆ ๑๐ ข้อ แล้วท่านจะเข้าใจดีและหมดสงสัยเรื่องนรก สวรรค์ นิพพาน ตายแล้วต้องเกิดตามกฎของกรรมที่ตนเป็นผู้กระทำไว้ วิธีหนีกรรม หนีหรือพ้นจากกฎของไตรลักษณ์ตามลำดับ จนเข้าสู่แดนพระนิพพาน ตรัสสอนไว้ชี้แนะวิธีไว้ชัดเจน ส่วนการปฏิบัติเพื่อให้เกิดผล อยู่ที่ความเพียรของพวกเราเอง ผู้มีปัญญา ย่อมใช้เวลาทุกนาทีให้เกิดประโยชน์ ไม่ประมาทในความตาย เช่น การจราจรติดขัดมาก ก็ภาวนาพุทโธ กำหนดรู้ลมหายใจเข้า-ออก สวดมนต์ในใจตลอดทาง ยกเอาพระธรรมบทใดบทหนึ่งขึ้นมาพิจารณาให้เกิดปัญญา หรือเอาธรรมฉบับพกพาขึ้นมาอ่าน เพราะธรรมภายนอกไม่สามารถจะแก้ไขได้ ทรงให้แก้ที่ตนเองอันเป็นธรรมภายใน เป็นการฝึกจิตให้สู่อารมณ์พระนิพพานโดยตรง ขอให้ผู้อ่านแล้วนำไปปฏิบัติอย่างจริงจังจงโชคดีทุกคน
    รวบรวมโดย พล.ต.ท. นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 สิงหาคม 2011
  12. Ajarn Pithak

    Ajarn Pithak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,367
    ค่าพลัง:
    +2,126


    ฝันดีนะครับ สงสัยคงมีความเกี่ยวพันธ์ในทางการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองสืบไป มั่นปฏิบัติ รักษาศีล ภาวนานะครับ
     
  13. Ajarn Pithak

    Ajarn Pithak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,367
    ค่าพลัง:
    +2,126
    ประวัติความเป็นมา ปู่อือลือ พญานาคประจำ บึงโขงหลง จ.บึงกาฬ

    บึงโขงหลง อยู่ใน อ.บึงโขงหลง จังหวัดบึงกาฬ เป็นบึงขนาดใหญ่แห่งหนึ่งของเมือง บึงกาฬ มีพื้นที่ประมาณ 11 ตารางกิโลเมตร ชาวบึงโขงหลงใช้บึงนี้เพื่อประกอบอาชีพทางเกษตรกรรม ประมง กสิกรรม

    บริเวณ แห่งนี้เดิมเป็นที่ตั้งเมือง ๆ เมืองชื่อ รัตพานคร มี พระอือลือราชา เป็นผู้ครองนคร มเหสีชื่อ นางแก้วกัลยา มีพระธิดาชื่อ พระนางเขียวคำ

    ต่อมา พระนางเขียวคำ ได้อภิเษกสมรสกับพระเจ้าสามพันตา มีพระโอรสชื่อ เจ้าชายฟ้ารุ่ง ซึ่งเป็นผู้ที่มีความเฉลียวฉลาด มีความรอบรู้ และมีรูปงาม

    ต่อมาเจ้าชายฟ้ารุ่ง ได้อภิเษกสมรสกับ นาครินทรานี ซึ่งเป็นพระธิดาของพญานาคราชแห่งเมืองบาดาล ที่แปลงกายเป็นมนุษย์ การอภิเษกสมรสจัดกันอย่างมโหฬาร ทั้งเมืองบาดาล และเมืองมนุษย์ (รัตพานคร)

    มีการเฉลิมฉลองถึง 7 วัน 7 คืน เพื่อเป็นการสมโภชน์สัมพันธไมต รีระหว่างพญานาคราช กับ พระเจ้าอือลือราชา ในโอกาสนี้ด้วย

    ซึ่งหลังจากนั้น ทั้งมนุษย์และพญานาค อยู่กินกันมาเป็นเวลา 3 ปี ก็ไม่สามารถจะมีผู้สืบสายสกุลได้ (เพราะความต่างระหว่างธาตุมนุษย์กับนาค) จึงทำให้เกิดความเศร้าโศกใจกับคนทั้งสอง

    ต่อมา เจ้าหญิงนาครินทรานี ได้ล้มป่วยลง ทำให้ร่างกายของนาง ที่จำแลงเป็นมนุษย์ได้กลับกลายเป็นนาคตามเดิม และข่าวนี้ ได้แพร่สะพัดออกไปทั่วกรุงรัตพานคร และถึงแม้นางจะร่ายมนตร์กลับมาเป็นมนุษย์ แต่ประชาชนและพระเจ้าอือลือก็ไม่พอใจ

    จึงได้ขับไล่นางนาครินทรานี กลับสู่เมืองบาดาลดังเดิม โดยได้แจ้งให้พญานาคราชมารับตัวกลับ

    ทางด้านพญานาคราช ได้ขอเครื่องกฎภัณฑ์ของตระกูลคืน แต่พระเจ้าอือลือราชา ไม่สามารถคืนให้ได้ เนื่องจาก นำไปแปรสภาพเป็นอย่างอื่นแล้ว ทำให้พญานาคราชกริ้วมาก จึงประกาศว่า จะทำลายเมืองรัตพานคร โดยจะเหลือวัดเอาไว้ 3 แห่งเท่านั้น

    หลังจากพญานาคกลับไป ในตอนกลางคืน พญานาคราชได้ยกพลไพร่พล มาถล่มเมืองรัตพานคร ประชาชนทั้งหมด ไม่มีใครรอดพ้นจากฤทธิ์นาคได้ พอนางนาครินทรานีทราบข่าว ก็ขึ้นมาตามหาเจ้าชายฟ้ารุ่ง จนถึงแม่น้ำสงครามก็ไม่พบ นางจึงกลับเมืองบาดาล

    หลังจากเหตุการณ์ผ่านไป เมืองรัตพานครได้แปรสภาพเป็น "บึงหลงของ" ต่อมาเพี้ยนเป็น บึงของหลง และ บึงโขงโหลง ไปในที่สุด

    ซึ่งวัดที่เหลืออยู่ 3 แห่ง ก็คือ วัดดอนแก้ว (วัดแก้วฟ้า) วันดอนโพธิ์ (วัดโพธิ์สัตว์) และ วัดดอนสวรรค์ (วัดแดนสวรรค์) ส่วนเส้นทางที่นางนาครินทรานี ออกตามหาเจ้าชายฟ้ารุ่ง คือ ห้วยน้ำเมา (เมารัก)
    <!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 สิงหาคม 2011
  14. Ajarn Pithak

    Ajarn Pithak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,367
    ค่าพลัง:
    +2,126
    พระศรีอาริยเมตไตรย์ ตามคำบอกเล่าของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    <hr style="color:#FFFFFF; background-color:#FFFFFF" size="1">
    [​IMG]

    พระศรีอาริยเมตไตรย์
    ตามคำบอกเล่าของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    พระโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลาย เป็นผู้บำเพ็ญพระบารมีอย่างยาวนาน
    จนปรากฏเป็นยอดปรมัตถบารมีอันประเสริฐ
    เกิดสำเร็จผล ทรงพระอภินิหาร ประกอบด้วยพระเดชามหานุภาพ
    เป็นพุทธสมบัติที่จะมาอุบัติตรัสเป็นพระสัมมาสัมพุทธ​

    พระอนาคตวงศ์นี้มาอุบัติตรัสเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสิบพระองค์ในโลก
    ณ อนาคตกาลภายหน้า นั้น มี 10 พระองค์ ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสอธิบายถึง​


    - พระศรีอาริยเมตไตรย์ พระองค์หนึ่ง
    - พระราม พระองค์หนึ่ง
    - พระธรรมราช พระองค์หนึ่ง
    - พระธรรมสามี พระองค์หนึ่ง
    - พระนารท พระองค์หนึ่ง
    - พระรังสีมุนีนาถ พระองค์หนึ่ง
    - พระเทวเทพ พระองค์หนึ่ง
    - พระนรสีหะ พระองค์หนึ่ง
    - พระติสสะ พระองค์หนึ่ง
    - พระสุมงคล พระองค์หนึ่ง ​


    ซึ่งต่อจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราไป
    โดยลำดับกัปป์ นับตั้งแต่ภัทรกัปป์นี้เป็นต้นไป
    พระพุทธเจ้าสิบพระองค์นี้ ทรงสร้างพระบารมีสิบทัศครบบริบูรณ์แล้ว
    จึงทรงพระคุณ มีอภินิหารต่างๆ ยิ่งหย่อนกว่ากัน
    ด้วยสามารถพระบารมีนั้นๆของพระองค์
    อันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพยากรณ์ตรัสไว้แก่พระสารีบุตร
    โดยพุทธภาษิตบรรยาย จัดเป็นพุทธประวัติกาลอนาคตเรื่องหนึ่งฯ ​

    โดย บัดนี้จะขอกล่าวถึงพระพุทธเจ้าลำดับถัดไปจาก
    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันของเราๆท่านๆ ซึ่งพระนามว่า​

    พระศรีอาริยเมตไตร

    ครั้ง หนึ่ง สมเด็จพระสรรเพ็ชญ์พุทธเจ้าเสด็จยับยั้งอาศัยใกล้กรุงสาวัตถีมหานคร วสนฺโต เมื่อสมเด็จพระชินวรผู้ทรงญาณสำราญพระอิริยาบถ เข้าพรรษาอยู่ในบุพพาราม อันพระวิสาขา สร้างถวายสิ้นทรัพย์ ๒๗ โกฏิฯ ​

    ครั้ง นั้น พระองค์ทรงปรารภซึ่งพระอชิตเถระ ผู้หน่อบรมพุทธางกูรอริยเมตไตรยเจ้าให้เป็นเหตุ พระโลกเชษฐ์จึงตรัสพระธรรมเทศนา สำแดงซึ่งพระโพธิสัตว์ทั้ง ๑๐ องค์ อันจะมาตรัสเป็น องค์สมเด็จพระพุทธเจ้าในอนาคตกาลฯ ครั้งนั้น พระธรรมเสนาบดีสารีบุตรเถรเจ้า จึงกราบทูลอาราธนา พระองค์ก็นำมาซึ่งอดีตนิทาน แห่งสมเด็จพระพุทธเจ้าทั้ง ๑๐ พระองค์ ที่จะลงมาตรัสในอนาคตกาลเบื้องหน้าต่อไป ​

    เป็นใจความว่า เมื่อศาสนาพระตถาคตครบ ๕๐๐๐ ปีแล้ว ฝูงสัตว์ก็มีอายุถอยลง คงอยู่ ๑๐ ปีเป็นอายุขัย ครั้งนั้นแล จะบังเกิดมหาภัยเป็นอันมาก มีสัตถันตะระกัปป์ มนุษย์ทั้งหลายจะวุ่นวายเป็นโกลาหล เกิดรบพุ่งฆ่าฟันซึ่งกันและกัน จะจับไม้และใบหญ้าก็กลับกลายเป็นหอก ดาบ แหลน หลาว อาวุธน้อยใหญ่ ไล่ทิ่มแทงกัน ถึงซึ่งความฉิบหายเป็นอันมาก ฝูงมนุษย์ทั้งหลายที่มีปัญญา ก็หนีไปซุกซ่อนตัวอยู่ในซอกห้วย หุบเขา เมื่อพ้น ๗ วันล่วงไปแล้ว มนุษย์ทั้งหลายที่เร้นซ่อนอยู่นั้น เห็นสงบสงัดเสียงคนก็ออกมาจากที่ซ่อนเร้น ครั้นเห็นซึ่งกันและกัน ก็มีความสงสารรักใคร่เป็นอันมาก เข้าสวมสอดกอดรัดร้องไห้กันไปมา บังเกิดมีความเมตตากรุณากันมากขึ้นไป ครั้นตั้งอยู่ในเมตตาพรหมวิหาร แล้วก็อุตสาหะรักษาศีล ๕ จำเริญกรรมฐานภาวนาว่า อยํ อตฺตภาโว อันว่าร่างกายของอาตมานี้ อนิจฺจํ หาจริงมิได้ ทุกฺขํ เป็นกองแห่งทุกข์ฝ่ายเดียว อนตฺตา หาสัญญา สำคัญมั่นหมายมิได้ ด้วยกายอาตมาไม่มีแก่นสารฯ
    …..เมื่อมนุษย์ทั้งหลาย ปลงสัญญาเห็นในกระแสพระกรรมฐานภาวนาดังนี้เนืองๆ อายุของมนุษย์ทั้งหลายก็วัฒนาจำเริญขึ้นไป ที่มีอายุ ๑๐ ปีเป็นอายุขัยนั้น ค่อยทวีขึ้นไปถึง ๒๐ ปีเป็นอายุขัย ค่อยทวีขึ้นไปทุกชั้นทุกชั้น จนอายุได้ ร้อย พัน หมื่น แสน โกฏิ จนถึงอสงไขยหนึ่ง ครั้นนานไปเห็นว่าไม่รู้จักความตายแล้ว ก็มีความประมาท มิได้ปลงใจลงในกอง ทุกฺขํ อนิจฺจํ อนตฺตา อายุก็ถอยน้อยลงมาทุกทีจนถึง ๘ หมื่นปี ฝนก็ตกเป็นฤดูคือ ๕ วันตก ๑๐ วันตก ในชมพูทวีปทั้งปวงมีพื้นแผ่นดินราบคาบสม่ำเสมอเป็นอันดีฯ ​

    ครั้ง นั้น กรุงพาราณสีเปลี่ยนนาม ชื่อว่า เกตุมมะดี โดยยาวได้ ๑๖ โยชน์ โดยกว้างได้ ๑ โยชน์ มีไม้กัลปพฤกษ์เกิดทั้ง ๔ ประตูเมือง มีแก้ว ๗ ประการ ประกอบเป็นกำแพงแก้ว ๗ ชั้นโดยรอบพระนคร ครั้งนั้น มหานฬกาลเทวบุตร ก็จุติลงมาเกิดเป็นสมเด็จบรมจักรพรรตราธิราช ทรงพระนามว่า พระยาสังขจักร เสวยศิริราชสมบัติในเกตุมมะดีมหานคร ในท่ามกลางเมืองนั้นมีปรางค์ปราสาททองอันแล้วไปด้วยแก้ว ๗ ประการ ผุดขึ้นมาแต่มหาคงคา ลอยมายังนภาดลอากาศเวหา มาตั้งอยู่ในท่ามกลางพระนคร ปรางค์ปราสาทนี้ แต่กาลก่อนเป็นปรางค์ปราสาทแห่งสมเด็จพระเจ้ามหาปะนาท ครั้นสิ้นบุญพระเจ้ามหาปะนาทแล้ว ปรางค์ปราสาทนั้นก็จมลงไปในคงคา เมื่อสมเด็จบรมจักรจอมทวีปผู้ทรงพระนามว่า พระยาสังขจักร ได้เสวยราชสมบัติในเกตุมมะดีนั้น ปรางค์ปราสาทก็ผุดขึ้นมาแต่มหาคงคาด้วยอานุภาพแห่งบรมจักร ประดับไปด้วยหมู่พระสนมแสนสาวสุรางค์ทั้งหลายประมาณ ๘ หมื่น ๔ พัน พระองค์มีพระราชโอรสประมาณพันพระองค์ พระราชโอรสผู้ใหญ่นั้น ทรงพระนามว่า อชิตราชกุมาร เจ้าอชิตราชกุมารนั้น เป็นปรินายกแก้ว แห่งสมเด็จพระราชบิดาผู้เป็นพระยาบรมสังขจักร อันบริบูรณ์ไปด้วยแก้ว ๗ ประการ คือ ​

    จักรแก้ว ๑
    นางแก้ว ๑
    แก้วมณีโชติ ๑
    ช้างแก้ว ๑
    ม้าแก้ว ๑
    คฤหบดีแก้ว ๑
    ปรินายกแก้ว ๑​

    อันว่าสมบัติบรมจักรนั้นย่อมมีทุกสิ่งทุกประการ
    เป็นที่เกษมสานต์ยิ่งนัก เหลือที่จะพรรณนาในกาลนั้นฯ ​

    ฝ่าย ว่า มหาปุโรหิตผู้ใหญ่ของสมเด็จพระเจ้าสังขจักรนั้น เป็นมหาพราหมณ์ประกอบไปด้วยอิสริยยศเป็นอันมาก หาผู้จะเปรียบเสมอมิได้ มีนามปรากฏว่า สุตพราหมณ์ นางพราหมณีผู้เป็นภรรยานั้นมีนามว่า นางพราหมณวดีฯ ในกาลนั้น สมเด็จพระบรมโพธิสัตว์ พระศรีอาริยเมตไตรยเจ้า รับอาราธนานิมนต์แห่งฝูงเทพยดาทั้งหลาย ก็จุติลงมาจากสวรรค์เทวโลก ลงมาถือเอาปฏิสนธิในครรภ์แห่งนางพราหมณวดี ภรรยาแห่งมหาปุโรหิตพราหมณ์ผู้ใหญ่ ในวันบัณณสี อุโบสถ เพ็ญเดือน ๘ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เวลาปัจจุสสมัยใกล้รุ่ง พร้อมด้วยอัศจรรย์ทั้งหลาย ๑๒ ประการ เทพยดาพากันกระทำสักการบูชาดังห่าฝนตกลงในกลางอากาศ แล้วก็มีปรางค์ปราสาททั้ง ๓ ผุดขึ้นมา เพื่อจะให้เป็นที่สำราญ แห่งพระบรมโพธิสัตว์เจ้า ​


    ปราสาท ๑ ชื่อว่า ศิริวัฒนะ
    ปราสาท ๑ ชื่อว่า สิทธัตถะ
    ปราสาท ๑ ชื่อว่า จันทกะ ​

    ปรางค์ปราสาททั้ง ๓ นี้เป็นที่จำเริญพระศิริสวัสดิมงคล ควรจะให้สำเร็จประโยชน์ทุกประการ ปรากฏงามดังดวงพระจันทร์ แล้วหอมฟุ้งไปด้วยกลิ่นอันหอมมิรู้ขาด เดียรดาษไปด้วยนางนาฏพระสนมประมาณ ๗ แสน ส่วนสมเด็จพระอัครมเหสีแห่งสมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรย บรมโพธิสัตว์เจ้านั้น ทรงพระนามว่า พระจันทมุขี เป็นประธานแห่งนางบริวารทั้ง ๗ แสน มีพระราชโอรสองค์ ๑ ทรงพระนามว่า พราหมณ์วัฒนกุมาร เมื่อพระมหาบุรุษผู้ประเสริฐ ทรงพระสำราญแรมอยู่ในปรางค์ปราสาททั้ง ๓ ควรแก่ฤดูโดยนิยมดังนี้ฯ จนพระองค์มีพระชนม์ได้ ๘ หมื่นปี แล้วจึงเสด็จขึ้นสู่รถแก้วอันเป็นทิพย์วิมานมีศิริหาเสมอมิได้ เสด็จไปประพาสอุทยานทอดพระเนตรเห็นจตุรนิมิตทั้ง ๔ ประการนี้ เป็นเทวทูตยังธรรมสังเวชให้เกิดขึ้น ก็มีพระทัยน้อมไปในบรรพชา พิจารณาเห็นเพศสมณะนั้นเป็นอารมณ์ ในขณะนั้นอันว่าปรางค์ปราสาทแก้วซึ่งทรงพระสำราญยับยั้งอยู่นั้น ก็ลอยไปในอากาศเวหา พร้อมทั้งพระราชโอรส และหมู่นิกรอนงค์นางกัลยาทั้งหลายก็ไปกับปรางค์ปราสาทนั้น ​

    ครั้ง นั้นเปรียบประดุจดังว่า พระยาสุวรรณราชหงส์ทองอันบินไปในอากาศเวหา ฝ่ายฝูงเทพยดาทั้งหลายในหมื่นจักรวาล ก็ชวนกันถือเครื่องสักการบูชา เหาะตามกันมากระทำสักการบูชาในอากาศเวหา แน่นเนื่องกันมาเป็นอเนกอสงไขย ทั้งท้าวพระยามหากษัตริย์ทั้งหลาย ๘ หมื่น ๔ พัน พระนครก็ดี และชาวนิคมประจันตประเทศชนบททั้งหลายก็ดี ก็ชวนกันมากระทำสักการบูชาด้วยดอกไม้และของหอม มีประการต่างๆเต็มเดียรดาษกลาดเกลื่อนไปทั้งชมพูทวีป เหล่าพวกอสูรทั้งหลาย ก็เข้าแวดล้อมพิทักษ์รักษาปรางค์ปราสาทฯ ฝ่ายพระยานาคราชนั้น กระทำสักการบูชาด้วยแก้วมณี พระยาสุวรรณราชปักษีกระทำสักการบูชาด้วยแก้ว อันเป็นเครื่องประดับตน พระยาคนธรรพ์ทั้งหลายนั้น กระทำสักการบูชาด้วยเครื่องทิพย์ดุริยางค์ ฟ้อนรำ มีประการต่างๆฯ ​

    ปาง เมื่อองค์สมเด็จพระบรมโพธิสัตว์ศรีอาริยเมตไตรยเจ้าเสด็จออกบรรพชานั้น ฝูงเทพยดา อินทร์ พรหม ยม ยักษ์ และ มนุษย์ นาค ครุฑ คนธรรพ์ทั้งหลาย กระทำสักการบูชา ทั้งพระยาบรมจักรพรรตราธิราชเจ้าผู้ประเสริฐ ก็พร้อมด้วยแสนสาวสนมในทั้งปวง และโยธาหาญ หมู่จตุรงค์องค์พยุหะเสนาอเนกนับมิได้ เสด็จไปที่ใกล้แห่งสมเด็จพระบรมโพธิสัตว์ ​

    ครั้ง นั้นมหาชนทั้งหลายทั้งปวง มีความปรารถนาจะทรงบรรพชาแล้วก็ลอยไปในอากาศ กับด้วยพระบรมโพธิสัตว์เจ้า ด้วยเดชานุภาพแห่งบรมจักร และอานุภาพแห่งพระศรีอาริยเมตไตรยบรมโพธิสัตว์นั้น ครั้นเสด็จถึงควงไม้พระศรีรัตนมหาโพธิ์ คือไม้กากะทิงแล้ว ปรางค์ปราสาทแก้วก็เลื่อนลอยลงจากอากาศใกล้ในที่ปริมณฑลไม้มหาโพธินั้น ฝ่ายท้าวมหาพรหมก็เชิญซึ่งพานผ้ากาสาวพัสตร์ กับเครื่องบริขารทั้ง ๘ น้อมเข้าไปถวายสมเด็จพระบรมโพธิสัตว์ แล้วพระองค์จึงชักเอาพระแสงดาบแก้วตัดพระเกศเกล้าให้ขาด แล้วก็โยนขึ้นไปในอากาศเวหา ถือเครื่องบริขารทั้ง ๘ ประการ ทรงเพศบรรพชาเสร็จแล้ว ส่วนว่าบริวารทั้งหลายทั้งปวงนั้น ก็ชวนกันบรรพชา บวชตามสมเด็จพระโพธิสัตว์เจ้าเป็นอันมาก ฝ่ายพระมหาบุรุษราช องค์พระศรีอาริยเมตไตรยเจ้านั้น กระทำความเพียรอยู่ที่ใกล้พระศรีมหาโพธิสิ้นประมาณ ๗ วัน ในเมื่อเวลาเย็นพระองค์ก็เสด็จเข้าไปสู่ควงไม้พระมหาโพธิ ขึ้นทรงนั่งเหนือรัตนอปราชิตบัลลังค์พระที่นั่งแก้ว แล้วทรงพระคำนึงระลึกถึงบุพพชาติของพระองค์ด้วย บุพเพนิวาสานุสติญาณ ทรงเห็นโดยลำดับกัน ประจักษ์แจ้งในปฐมยามฯ ครั้นล่วงเข้ามัชฌิมยามทรงเห็นซึ่ง จุติ-ปฏิสนธิ แห่งสัตว์ทั้งหลาย ด้วยทิพย์จักษุญาณฯ ครั้นล่วงไปในปัจฉิมยามที่สุดนั้น พระองค์พิจารณาซึ่งปัจจัยการ อันประกอบไปด้วยองค์ ๒ ประการ ตามกระแสพระปฏิจจสมุปบาทธรรม ด้วยสามารถอนุโลม ตรัสรู้ตลอดกัน ในลำดับนั้นก็ได้สำเร็จแก่พระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณ ทรงพระนามว่า อรหังสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นอาทิ ปรากฏเป็นพระพุทธคุณทั่วโลกธาตุ แล้วพระองค์ก็ยังมนุษย์ทั้งหลายประมาณแสนโกฏิ ให้ดื่มกินซึ่งน้ำอมฤตรสคือพระสัทธรรม เห็นพระนิพพานอันมิได้รู้แก่ รู้ตาย เป็นธรรมาภิสมัย ให้บังเกิดแก่ฝูงเทพยดาและมนุษย์ทั้งหลาย ได้ตรัสรู้มรรคและผลหาประมาณมิได้ฯ - และองค์พระศรีอาริยเมตไตรยเจ้าผู้ทรงพระภาคมีประเภทเป็นอันงามนั้น

    - พระองค์มีพระวรกายสูงได้ ๘๘ ศอก
    - พระองค์ใหญ่กว้างได้ ๒๕ ศอก
    - ตั้งแต่พระบาทถึงพระชานุมณฑลมีประมาณ ๒๒ ศอก
    - ตั้งแต่พระชานุมณฑลขึ้นไปถึงพระนาภีประมาณ ๒๒ ศอก
    - ตั้งแต่พระนาภีขึ้นไปถึงพระรากขวัญทั้ง ๒ ประมาณ ๒๒ ศอก
    - ตั้งแต่พระรากขวัญขึ้นไปถึงพระเศียรเกล้า ที่สุดยอดพระอุณหิส เปลวพระพุทธรัศมีนั้น ประมาณ ๒๒ ศอก เสมอกันทั้ง ๔ส่วน
    - พระรากขวัญทั้ง ๒ แต่ละอันนั้นยาวได้ ๕ ศอก
    - อันว่าพระหัตถ์ทั้ง ๒ ซ้าย-ขวานั้น ยาวได้ ๔๐ ศอก ( เข้าใจว่าความยาวจากหัวไหล่ถึงปลายนิ้วมือแต่ละข้าง ยาวได้ ๔๐ ศอก…..พีรจักร )
    - ในระหว่างภายในแห่งพระพาหาทั้ง ๒ ซ้าย-ขวา นั้นมีประมาณ ๒๕ ศอก
    - พระอังคุลีแต่ละอันยาวได้ ๕ ศอก
    - ฝ่าพระหัตถ์แต่ละข้างกว้างได้ ๕ ศอก
    - พระศอโดยกลมรอบมีประมาณ ๕ ศอก โดยยาวก็ ๕ ศอก
    - พระโอษฐ์เบื้องบนเบื้องล่างกว้าง ๑๐ ศอกเสมอกัน เป็นอันดี
    - พระชิวหาอยู่ภายในพระโอษฐ์ยาว ๑๐ ศอก
    - พระนาสิกสูงยาวลงมาได้ ๗ ศอก
    - ดวงพระเนตรทั้ง ๒ โดยกว้างได้ ๗ ศอก
    - แววพระเนตรทั้ง ๒ ที่ดำ กลม เป็นปริมณฑลอยู่นั้น มีประมาณ ๕ ศอก - พระขนงแต่ละข้าง ยาวได้ ๕ ศอก
    - ในระหว่างพระขนงทั้ง ๒ กว้างได้ ๔ ศอก
    - พระกรรณทั้ง ๒ แต่ละข้าง ยาวได้ ๗ ศอก
    - ดวงพระพักตร์นั้นเป็นปริมณฑล กลมดังดวงพระจันทร์เมื่อวันเพ็ญ มีประมาณกลมได้ ๒๕ ศอก
    - พระอุณหิสที่เวียนเป็นทักขิณาวัฏรอบพระเศียร เป็นเปลวพระพุทธรัศมีขึ้นไปนั้น โดยกลมรอบได้ ๒๕ ศอกฯ

    …..ลำดับนี้ จะพรรณนาไม้พระศรีรัตนมหาโพธิต่อไป อันว่า ต้นไม้กากะทิง ที่เป็นไม้ศรีมหาโพธินั้น ​

    - มีปริมณฑลไปได้ ๑๒๐ ศอก
    - มีกิ่งทั้ง ๕ โดยรอบครอบนั้นก็ได้ ๑๒๐ ศอก
    - แต่ต้นขึ้นไปปลายสุดกิ่งนั้นได้ ๒๔๐ ศอก โดยสูง โดยสะกัดเป็นปริมณฑลเหมือนกัน
    - มีใบสดเขียวอยู่เป็นนิจจกาล
    - ทรงดอกและเกสรหอมฟุ้งขจรมิรู้ขาด เปรียบประดุจดอกปาริชาติ ในดาวดึงสาสวรรค์ก็เหมือนกันฯ ​

    สมเด็จ พระสัพพัญญูองค์พระศรีอาริยเมตไตรยเจ้า ทรงทวัตติงสามหาปุริสลักษณะประกอบไปด้วยพระฉัพพรรณรังสี พระพุทธรัศมี ๖ ประการ สว่างออกจากพระสรีรกายเป็นอันงาม ประดุจดังท่อธารสุวรรณ ธาราน้ำทองอันไหลหลั่งออกมา เต็มเปี่ยมบริบูรณ์ไปด้วยสุขทุกเมื่อ มีสติระลึกถึงพระพุทธคุณเป็นอารมณ์เนืองๆ ด้วยเดชานุภาพพระพุทธคุณนั้น มนุษย์ทั้งหลายได้บริโภคซึ่งโภชนาหารแต่เนื้อแห่งข้าวสาลี อันบังเกิดมีมาเอง ได้ประดับประดาสรีรกายและผ้านุ่งผ้าห่ม เครื่องอาภรณ์ต่างๆ แต่ต้นไม้กัลปพฤกษ์ ประพฤติเลี้ยงชีวิตเป็นบรมสุขฯ ปางเมื่อพระองค์ผู้ทรงสวัสดิภาคเป็นอันงาม ทรงพระนามว่า พระศรีอาริยเมตไตรยเจ้า ตรัสแสดงพระสัทธรรมเทศนา
    พระธัมมจักกัปปวัตตนสูตรนั้น มนุษย์และเทพยดาทั้งหลายได้ซึ่งธรรมาภิสมัย มรรคและผลธรรมวิเศษ ประมาณ ๓ แสนโกฏิฯ ​

    อัน ว่าองค์พระศรีอาริยเมตไตรยเจ้า ทรงสร้างพระบารมีมาสิ้นกาลช้านานถึง ๑๖ อสงไขยกำไรแสนมหากัปป์ มีศีลบารมี ทานบารมี เป็นต้น เต็มบริบูรณ์ กองพระบารมีทั้งหลายที่สำเร็จเป็นองค์พระสรรเพ็ชญ์พุทธเจ้า นั้นคือ พระบารมีจองพระองค์ครั้ง ๑ ปรากฏชัดเจนเป็นปรมัตถบารมี อันยิ่งยอดกว่าพระบารมีทั้งปวงฯ ​

    สมเด็จพระ พุทธเจ้าของเราจึงนำมาซึ่งอดีตนิทาน แห่งกองพระบารมีของสมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรยมาตรัสพระสัทธรรมเทศนาแก่พระสา รีบุตรเถรเจ้าว่า อตีเต กาเล ในกาลล่วงลับมาแล้วช้านาน มีองค์สมเด็จพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งทรงพระนามว่า พระสิริมิตร ได้ตรัสในโลก​


    หนึ่งในอดีตชาติของพระศรีอาริยะเมตไตรยที่ได้ทรงบำเพ็ญบารมีไว้

    ครั้ง นั้น องค์พระศรีอาริยเมตไตรย ได้เสวยศิริราชสมบัติ ในเมืองอินทปัตต์มหานคร ทรงพระนามว่าบรมสังขจักร มีแก้ว ๗ ประการ อยู่มาในกาลวันหนึ่ง พระเจ้าสังขจักรเสด็จทรงนั่งอยู่ภายใต้เศวตฉัตร มีพระทัยปรารถนาว่า ผู้ใดมาบอกข่าวว่า พระพุทธรัตนะพระธรรมรัตนะ พระสังฆรัตนะ บังเกิดมีแล้ว พระองค์จะสละศิริราชสมบัติบรมจักร พระราชทานให้แก่บุคคลผู้นั้นแล้ว พระองค์ก็จะเสด็จพระราชดำเนินไปยังองค์สมเด็จพระพุทธเจ้า ในกาลนั้น ยังมีกุลบุตรเข็ญใจผู้หนึ่ง ไปบรรพชาเป็นสามเณรอยู่ในพระพุทธศาสนา ด้วยมารดาของสามเณรเป็นทาสทาสีอยู่ในตระกูลหนึ่ง สามเณรนั้นคิดแสวงหาทรัพย์จะไปให้แก่มารดา ให้พ้นจากทาสทาสี จึงเที่ยวไปโดยลำดับจนถึงกรุงอินทปัตต์มหานคร ฝูงมหาชนชาวพระนคร ไม่รู้จักว่าสามเณรเป็นอย่างไร ครั้นเห็นเข้าก็สงสัยว่าเป็นมหายักษ์ ก็พากันจับไม้ไล่ทุบตีสามเณรฯ สามเณรนั้นก็กลัว วิ่งหนีมหาชนเข้าไปจนถึงพระราชวัง ไปยืนอยู่ตรงพระพักตร์ของพระองค์ พระองค์จึงตรัสถามว่ามาณพนี้มีนามชื่อใด เจ้าสามเณรกราบทูลว่า อาตมภาพมีนามว่าสามเณร จึงตรัสถามว่าสามเณรนั้นด้วยเหตุดังฤา สามเณรจึงทูลว่าข้าพเจ้ามีนามว่าสามเณรนั้น ด้วยเหตุว่าข้าพเจ้ามิได้กระทำบาปในภายนอก แล้วตั้งอยู่ภายในแห่งกุศล เหตุดังนั้นจึงมีนามว่าสามเณร พระองค์ก็ทรงตรัสถามว่า นามกรของท่านนั้นบุคคลผู้ใดให้แก่ท่าน สามเณรจึงทูลว่า พระอาจารย์ของข้าพเจ้าให้แก่ข้าพเจ้า พระองค์จึงตรัสถามว่า อาจารย์ของท่านนั้นชื่อดังฤา สามเณรจึงทูลว่าอาจารย์ของอาตมามีนามว่าภิกษุ จึงทรงตรัสถามต่อไปว่าพระอาจารย์ของท่านนั้นมีนามว่าภิกษุนั้นด้วยเหตุดังฤา สามเณรจึงทูลว่าอาจารย์ของข้าพเจ้านั้น ชื่อรัตนะเป็นแก้วอันหาค่ามิได้ ​

    ครั้น ทรงสดับว่าพระสังฆรัตนะในพระพุทธศาสนาหาได้เป็นอันยากยิ่งนัก พระองค์ก็มีความชื่นชมยินดีหาที่จะอุปมามิได้ คำนึงอยู่ในพระราชหฤทัยว่า จะเสด็จลงจากอาสน์ไปนมัสการเจ้าสามเณรที่ใกล้ ด้วยความปิติกายของพระองค์ก็ลอยไปตกลงตรงหน้าเจ้าสามเณร เดชะที่พระองค์มีพระราชหฤทัยเลื่อมใสในพระสังฆรัตนะ ดอกประทุมชาติก็บังเกิดผุดขึ้นรองรับพระองค์ไว้มิได้เป็นอันตราย จึงถวายนมัสการเจ้าสามเณรโดยเบญจางคประดิษฐ์ แล้วจึงตรัสถามเจ้าสามเณรต่อไปว่า พระสังฆรัตนะอาจารย์ของท่านนั้นบุคคลผู้ใดให้นามกร เจ้าสามเณรก็ทูลว่า อาจารย์ของข้าพเจ้านั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงนามว่า พระสิริมิตรสัพพัญญู พระองค์โปรดประทานให้นามว่าพระสังฆรัตนะแก่อาจารย์ของข้าพเจ้า ​

    เมื่อ สมเด็จพระบรมโพธิสัตว์ผู้ทรงอุตสาหะในพระศาสนา ได้ทรงฟังสามเณรออกวาจาว่า องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว พระองค์ก็ถึงวิสัญญีภาพลงอยู่กับที่ ครั้นพระองค์ได้พระสติขึ้นมา จึงตรัสถามสามเณรอีกว่า ดูก่อนเจ้าสามเณรผู้เจริญ บัดนี้องค์สมเด็จพระพุทธเจ้าเสด็จยับยั้งอยู่ในที่ดังฤา สามเณรจึงทูลว่า สมเด็จพระมหากรุณาธิคุณเจ้าเสด็จยับยั้งอยู่ในบุพพารามวิหาร อันมีอยู่ในอุตตรทิศแต่กรุงอินทปัตต์มหานครนี้ไปไกลกันมีประมาณ ๑๖ โยชน์ ได้ทรงฟังสามเณรแจ้งความว่า สมเด็จพระพุทธเจ้าบังเกิดแล้วในโลก จึงตรัสว่าดูก่อนสามเณร ผิว่าองค์สมเด็จพระสัพพัญญูเจ้าเสด็จอยู่ในฐานทิศใด เราก็จะไปในประเทศทิศนั้นฯ ​

    สมเด็จพระเจ้า สังขจักรบรมบพิตรผู้ประเสริฐ หาความเอื้อเฟื้อในศิริราชสมบัติบรมจักรของพระองค์มิได้ ด้วยมีพระทัยนั้นผูกพันอยู่ในการที่จะได้พบเห็นองค์สมเด็จพระพุทธเจ้าเป็น ที่ยิ่งอย่างอุกฤษฏ์ ก็กระทำการราชาภิเษกเจ้าสามเณรนั้น ให้สึกออกเสวยศิริราชสมบัติแทนพระองค์ เป็นพระยาอันประเสริฐ ครั้นกระทำการราชาภิเษกเจ้าสามเณรแล้ว ก็เสด็จออกแต่พระองค์เดียวโดยอุตตราภิมุขมีพระทัยเฉพาะต่ออุตตรทิศ ตั้งพระทัยไปสู่บุพพารามวิหาร อันเป็นที่ประทับแห่งองค์สมเด็จพระสิริมิตรสัพพัญญูสัมมาสัมพุทธเจ้า ​

    สมเด็จ บรมสังขจักรจอมทวีปเป็นสุขมาลชาติ พระสรีรกายนั้นละเอียดอ่อนเป็นอันดี เมื่อเสด็จพระราชดำเนินไปตามมรรคาหนทางแต่พระบาทเปล่า เวลาวันเดียวพระบาททั้ง ๒ ข้างก็ภินทนาการแตกออก จนพระโลหิตไหลตามฝ่าพระบาททั้ง ๒ เมื่อพระบาททั้ง ๒ ทำลาย จะเดินไปมิได้แล้ว ในกาลนั้น พระองค์ก็ลงนั่งคุกเข่าคลานไปทีละน้อยค่อยคมนาการไปตามหนทางที่เจ้าสามเณร ชี้แจงบอกมานั้น จะได้ละความเพียรเสียหามิได้ ครั้นล่วงไปถึง ๔ วัน พระหัตถ์ซ้าย-ขวา และพระชงฆ์ทั้ง ๒ ข้างนั้นก็แตกช้ำโลหิตไหลออกมา จะคลุกคลานไปก็มิได้ ให้เจ็บปวดแสนสาหัส เห็นขัดสนพระทัยนักแล้ว ถึงกระนั้นพระองค์จะได้คิดท้อถอยย้อนรอยกลับคืนมาหามิได้ อาตมาต้องไปให้ถึงสำนักองค์สมเด็จพระผู้ทรงพระภาคเจ้าให้จงได้ ครั้นพระองค์คุกคลานไปมิได้แล้วก็ลงพังพาบไถลไปแต่ทีละน้อยด้วยพระอุระของ พระองค์ ประกอบไปด้วยทุกขเวทนาเหลือที่จะอดกลั้น พระองค์ยึดหน่วงเอาพระพุทธคุณของสมเด็จพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ ด้วยพระเจตนาจะใคร่พบเห็นพระผู้เป็นอธิบดีอันใหญ่ยิ่ง แล้วก็ทรงอดกลั้นซึ่งทุกขเวทนานั้นเสีย หาเอื้อเฟื้ออาลัยในร่างกายของพระองค์ไม่ฯ ​

    ครั้ง นั้น สมเด็จพระสิริมิตรสัพพัญญูผู้ประเสริฐ พระองค์ทรงพระมหากรุณาเล็งดูสัตว์โลกทั้งหลายด้วยสัพพัญญุตาญาณ ก็รู้แจ้งเห็นด้วยกำลังความเพียรแห่งบรมสังขจักรนั้นเป็นอุกฤษฏ์ยิ่งโดย วิเศษ แล้วก็มิใช่อื่นมิใช่ไกล เป็นหน่อพุทธางกูร พุทธพงศ์อันเดียวกันกับพระตถาคต สมควรที่พระตถาคตจักเสด็จไปสู่ที่ใกล้แห่งบรมสังขจักร เมื่อพระองค์ทรงพระดำริแล้ว ก็เสด็จพระพุทธดำเนินมาด้วยพระศิริวิลาสเป็นอันงาม แล้วพระองค์กระทำอิทธิฤทธิ์นิรมิต พระบวรกายของพระองค์ให้อันตรธานสูญหายกลับกลายเป็นมาณพหนุ่มน้อย ขึ้นขับรถทวนมรรคามาเฉพาะหน้าแห้งสมเด็จบรมสังขจักรนั้น แล้วพระพุทธสัพพัญญูเจ้าจึงร้องถามไปว่า ผู้ใดมานอนอยู่กลางทางขวางหน้ารถเราจงหลีกไปเสียเราจะขับรถไปฯ ฝ่ายพระบรมโพธิสัตว์จึงตรัสตอบพระพุทธฎีกาว่า ดูก่อนนายสารถีผู้ขับรถ ท่านจะมาขับเราไปให้พ้นจากหนทางนั้นด้วยเหตุดังฤา ตัวเราผู้รู้จักคุณสมเด็จพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ยิ่งนัก ชอบแต่นายสารถีจะยั้งรถของท่านให้หลีกเราเสียจึงจะสมควร ถ้าท่านไม่หลีกก็ให้ท่านขับรถไปเหนือหลังเราเถิด ซึ่งจะให้เราหลีกนั้นเราหาหลีกไม่ แล้วจึงมีพระพุทธฎีกาว่าถ้าแหละท่านจะไปยังสำนักพระพุทธเจ้าแล้ว จงมาขึ้นรถไปกับเราเถิด เราจะพาท่านไปให้ถึงสำนักสมเด็จพระพุทธเจ้าให้สมดังความปรารถนา พระจอมขัตติยาจึงตอบว่า ถ้าท่านเอ็นดูกรุณาแก่เรา เราก็มีความยินดีสาธุอนุโมทนาด้วยท่าน
    ว่าแล้วหน่อพระพิชิตมารก็อุตสาหะดำรงทรงพระกายขึ้นสู่รถแห่งสมเด็จพระผู้มี พระภาคเจ้า สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าก็หันหน้ารถไปตามมรรคา พาพระยาสังขจักรไป ​

    ครั้นถึงกึ่งกลางมรรคาหน ทางแล้ว สมเด็จพระอมรินทราธิราชกับองค์ดวงสุชาดาผู้เป็นอัครมเหสีนั้น นำเอาโภชนาหารอันเป็นทิพย์กับทั้งน้ำทิพย์ลงมา จำแลงเพศเป็นบุรุษยืนอยู่ตรงหน้ารถแล้วร้องว่า ดูก่อนนายสารถีผู้เจริญเอ๋ย ท่านอยากข้าวน้ำโภชนาหารหรือ เราจะให้ เมื่อโกสีย์อมรินทราธิราชกับนางสุชาดากล่าวดังนั้น สมเด็จพระสัพพัญญูเจ้าซึ่งแปลงเพศเป็นนายสารถีขับรถจึงว่า มาณพผู้เจริญ บุรษทุพลภาพผู้หนึ่งมาในรถด้วยเรา มีความลำบากเวทนานัก ท่านจะให้ข้าวน้ำโภชนาหารแก่เราก็ให้เถิด เราจะได้ให้แก่บุรุษทุพลภาพนั้นบริโภค ท้าวโกสีย์อมรินทร์กับนางสุชาดาก็ให้ข้าวน้ำโภชนาหารอันเป็นทิพย์แก่องค์ สมเด็จพระมหาบุรุษสัทธรรมสารถีผู้ประเสริฐ พระองค์ก็ประธานให้แก่พระบรมโพธิสัตว์บรมสังขจักรเสวยข้าวน้ำโภชนาหารอัน เป็นทิพย์ ครั้นพระองค์เสวยอิ่มหนำสำเร็จแล้ว ด้วยเดชะข้าวน้ำโภชนาหารอันเป็นทิพย์อุปัทวโทมนัสทุกขเวทนาในสรีรกาย ก็อันตรธานหาย พระองค์ก็มีสรีรกายเป็นสุขเสมอเหมือนแต่ก่อน ​


    องค์ สมเด็จพระพุทธเจ้าก็พาพระยาสังขจักรไปใกล้บุพพารามวิหาร แล้วพระองค์ก็นิสีทนาการนั่งบนพระบวรพุทธอาสน์ในพระวิหาร ส่วนสมเด็จพระบรมโพธิสัตว์ก็เสด็จลงจากรถ เข้าไปสู่บุพพารามวิหาร ทอดพระเนตรแลไปได้ทัศนาการเห็นองค์สมเด็จพระพุทธเจ้า ผู้ประกอบไปด้วยทวัตติงสมหาบุรุษลักษณะอสีตยานุพยัญชนะประดับ ทั้งพระพุทะรัศมีอันโอภาสสว่างรุ่งเรืองออกจากพระวรกายอันเสด็จทรงนั่งอยู่ ในที่นั้น ​

    พระองค์ก็ทรงวิสัญญีภาพลงตรงพระ พักตร์แห่งสมเด็จพระผู้ทรงพระภาคด้วยความโสมนัสสาการ เกิดความปิติยินดีหาที่สุดมิได้ ส่วนสมเด็จพระสัพพัญญูเจ้าจึงมีพระพุทธฎีกาตรัสว่า ดูก่อนมหาบุรุษราชผู้เป็นอภิชาตชายอันประเสริฐ พระตถาคตเสด็จอยู่ในที่นี้แล้ว ​

    ครั้งนั้น สมเด็จพระบรมสังขจักรก็ได้ซึ่งอัสสาสประสาท เกิดความยินดีชื่นชมก้มเศียรเกล้า คลานเข้าไปในสำนักสมเด็จพระพุทธองค์เจ้า เสด็จนั่งยังที่อันสมควรแล้วจึงยกพระกรขึ้นประนมบังคมเหนือศิโรตม์กระทำ อภิวาทนมัสการ กราบทูลว่า ภนฺเต ภควา ข้าแต่สมเด็จพระพุทธองค์เจ้า บัดนี้ข้าพระบาทถึงสำนักพระองค์เจ้าแล้ว ขอจงทรงพระกรุณาเป็นที่พึ่งแก่ข้าพระพุทธเจ้า โปรดตรัสแสดงพระธรรมเทศนาอันอุดม ให้ข้าพระบาทฟังในกาลบัดนี้ฯ ​

    ปาง นั้น สมเด็จพระชินศรีจึงตรัสพระสัทธรรมเทศนาโปรดแก่พระยาสังขจักร เมื่อพระองค์ได้ทรงสดับพระสัทธรรมเทศนาบทหนึ่งสิ้นเนื้อความลงแล้ว ก็ทูลห้ามสมเด็จพระพุทธเจ้าว่า ขอพระองค์จงหยุดพระธรรมเทศนาเสียเถิด อย่าทรงสำแดงต่อไปเลยฯ ​


    ***มี ปุจฉาว่า เหตุไฉนพระเจ้าสังขจักรจึงทูลห้ามสมเด็จพระพุทธเจ้าเสียดังนี้ เดิมทีสิมีพระทัยผูกพันในพระพุทธศาสนา ระลึกถึงซึ่งคุณพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสังฆเจ้าเป็นอันมาก ทรงสู้สละศิริราชสมบัติบรมจักรเสด็จมาด้วยความลำบากแทบถึงซึ่งชีวิต ครั้นมาประสพพบพระภควันตบพิตร พระองค์ประทานธรรมเทศนาแล้วห้ามเสียด้วยเหตุประการใดฯ

    ***วิสัชนา ว่า สมเด็จบรมสังขจักรทรงคิดเห็นว่า ถ้าสมเด็จพระพุทธเจ้าโปรดประทานพระสัทธรรมเทศนาเป็นอันมาก แล้วพระองค์ก็เสด็จมาแต่พระองค์เดียวเปลี่ยวพระทัยนัก จะหาเครื่องไทยธรรมอันสมควรที่จะสักการบูชา ให้สมควรแก่รสพระสัทธรรมนั้นหามีไม่ บัดนี้เราได้สดับรับรสพระธรรมเทศนาแต่บทเดียว เครื่องสักการบูชาของอาตมานี้มิพอสมควรกันกับพระสัทธรรมแล้ว พระองค์ทรงคิดดังนี้ จึงทรงห้ามสมเด็จพระพุทธเจ้าเสีย


    พระองค์ จึงกราบทูลว่า ข้าพระพุทธเจ้าเกล้ากระหม่อมฉันได้สดับฟังพระสัทธรรมของพระองค์ในกาลบัดนี้ พระองค์ทรงพระมหากรุณาตรัสพระสัทธรรมเทศนาสำแดงพระนิพพานอันเดียวเป็นที่สุด พระสัทธรรมอยู่แล้ว ข้าพระพุทธเจ้าจะตัดเศียรเกล้า อันเป็นที่สุดแห่งสรีรกายแห่งข้าพเจ้า ออกกระทำสักการบูชาพระสัทธรรมเทศนาของสมเด็จพระพุทธองค์ก่อน ตรัสดังนั้นแล้ว พระเจ้าสังขจักรผู้มีอัธยาศัยอันยิ่ง จึงทรงอธิษฐานขอให้เล็บของพระองค์คมดังพระแสงดาบ เด็ดซึ่งพระศอให้ขาดแล้ววางไว้บนฝ่าพระหัตถ์ ตั้งปณิธานความปรารถนา ออกพระโอษฐ์ตรัสด้วยวาจาว่า ภนฺเต ภควา ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงศิริเป็นที่เฉลิมโลก เชิญพระองค์เสด็จเข้าสู่เมืองแก้วอันเกษมสานต์ คือพระอมตมหานิพพานอันสำราญก่อนข้าพระบาทเถิด ข้าพระบาทจะขอตามเสด็จไปสู่พระนิพพานอันสำราญต่อภายหลัง ด้วยข้าพระพุทธเจ้าได้ถวายเศียรเกล้าบูชาพระสัทธรรมเทศนาของพระองค์ในกาลบัด นี้ ในที่สุดขาดพระวาจาปณิธานปรารถนาลง พระบรมโพธิสัตว์ก็จุติจิตต์สิ้นชีวิตไปบังเกิดในดุสิตาสวรรค์เทวโลกฯ ​

    ดู ก่อนสำแดงสารีบุตร ครั้นเมื่อพระบรมโพธิสัตว์ศรีอาริยเมตไตรยเจ้าได้ตรัสเป็นพระสัพพัญญูสัมมา สัมพุทธเจ้าแล้ว จึงมีพระองค์สูงได้ ๘๘ ศอก ด้วยผลทานที่เด็ดพระเศียรกระทำสักการบูชาพระสัทธรรม พระองค์ทรงพระรัศมีสิ้นทั้งกลางวันกลางคืนมิได้ขาดนั้น ด้วยผลอานิสงส์ที่พระองค์ทรงอุตสาหไปในมรรคาหนทาง ปรารถนาจะพบเห็นสมเด็จพระพุทธเจ้าจนพระโลหิตไหลออกจากพระบาท และพระชงฆ์ พระหัตถ์ พระอุระของพระองค์เมื่อเป็นบรมสังขจักรนั้นฯ อนึ่ง พระพุทธรัศมีของพระองค์แผ่ซ่านตลอดไปเบื้องบนจนถึงพรหมโลก เบื้องต่ำตลอดลงไปจนถึงมหาอเวจีนรก ด้วยผลอานิสงส์ที่พระองค์เด็ดพระเศียรออกกระทำสักการบูชาพระสัทธรรมโลหิตไหล ออกจากพระเศียร อนึ่ง ในพระศาสนาพระศรีอาริยเมตไตรยเจ้า บังเกิดมีไม้กัลปพฤกษ์นึกได้สำเร็จความปรารถนานั้น ด้วยผลอานิสงส์ที่พระองค์เสด็จไปตามมรรคหนทาง จะใคร่พบองค์สมเด็จพระพุทธเจ้า ถ้วนถึง ๗ วันเป็นกำหนด จึงได้ประสพพบปะฯ

    ดู ก่อนสำแดงสารีบุตร ผู้เป็นพระยาธรรมของพระตถาคต ฝูงคนทั้งหลายที่มิได้เห็นรูปกายของพระตถาคตนี้ แล้วได้กระทำทานรักษาศีลจำเริญเมตตาภาวนาด้วยเดชะผลานิสงส์ ฝูงคนทั้งหลายเหล่านั้นจักได้บังเกิดทันพระพุทธศาสนา องค์สมเด็จพระศรีอาริยะเมตไตรย อันจะมาบังเกิดเป็นพระสัพพัญญูสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคตฯ สำแดงมาด้วยเรื่องพระศรีอาริยเมตไตรยบรมโพธิสัตว์ ก็ยุติแต่เท่านี้ฯ เอวํ ก็มีด้วยประการฉะนี้ ​
     
  15. ศามตา

    ศามตา สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +3
    ..เรา.. เป็นทั้งอดีตและปัจจุบัน

    ขอทักทาย ญาติพี่น้องทั้งหลาย เรา นาคี ผู้ซึ่งไม่สามารถระลึกได้ว่าเราเป็นใคร​

    เราเข้ามาที่นี่เพื่อหวังเพียงเพื่อเล่าเรื่องราวครั้งหนึ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ​

    เราเชื่อสิ่งใดมีเกิดสิ่งนั้นมีดับ ดังนั้นไม่มีสิ่งใดในโลกที่เป็นอัศจรรย์ แต่เป็นเพียงสิ่งที่เกิดขึ้นน้อยครั้ง หรือยากจะเกิดขึ้น แต่กับสังคมโลกปัจจุบัน
    สิ่งเหล่านั้นอาจเรียกได้ว่าน่าอัศจรรย์​

    เราจะไม่เอ่ยนามบุคคลในที่เล่านี้ เพื่อเป็นการปกปิดไว้ซึ่งสิ่งที่ควรปิด
    เราขอแทนตัวเองในที่นี้ว่า "..เรา.."

    เราได้มณีนาคาสีม่วงและสีเหลืองมาและนี่คือปฐมเหตุแห่งเรื่องทั้งมวล ​

    มณีนาคา - อาบแสงจันทร์ หวังเพียงสักครั้งให้ได้ทำ จึงดั้นด้นไป ณ ที่แห่งหนึ่ง ที่นั่นเราได้หวนคืนอดีตที่ครั้งหนึ่งเป็น...เรา...

    ที่นั้นติดเชิงเขา ลานโขดหินขาว ถ้ำมากมาย เป็นลานกว้าง เป็นเขตติดชายแดน เป็นอีกแหล่งของเผ่าพันธุ์พญานาค รวมถึงเขตแคว้นขอมโบราณ
    มีอาถรรพ์ มีคำสาป ​

    ณ ที่แห่งนั้น เราได้เป็นทั้งอดีตและปัจจุบันในคราวเดียวกัน (ไม่ใช่ร่างทรงแต่อย่างใด) ด้วยอำนาจของกรรมที่เคยทำร่วมกันกับบุคคลผู้หนึ่งไว้ ได้ดึงเราให้กลับมาเพื่อทำหน้าที่ ที่พึงกระทำตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน นั้นคือการเป็นผู้เสียสละ เป็นผู้ละ จากสิ่งที่เป็นของของตน เพื่อให้ได้มาซึ่งความสงบ​

    เราเป็นผู้นำ และเป็นตัวแทนของเหล่านางทั้งหลายอันอยู่ในห้วงทุกข์ ผู้ตกอยู่ในคำสาป และวังวนของความไม่รู้ เพื่อการขออโหสิจากท่าน ผู้ครั้งหนึ่งเป็นดั่งเจ้าชีวิต เราและเหล่านางทั้งหลายเป็นผู้ถูกสังเวยด้วยชีวิต เพื่อให้ได้มาซึ่งความมั่นคงในฐานนันดรแห่งอำนาจ​

    หน้าที่นี้ ทำให้เราต้องมาที่นี่ ถือศีล ณ ที่แห่งนี้ พร้อมกับท่านผู้นั้น ตลอด 3 วัน 2 คืน ถือปฎิบัติแบบเดียวกัน แต่ต่างสถานที่ ไม่ทานอาหาร ให้ทานแต่น้ำ กับน้ำมะพร้าว และไม่ให้เอ่ยปากพูดจากับใครใดใด ในขณะเดียวกัน เราก็ถือศีล 8 ​

    ตลอดเวลาที่อยู่ ณ ที่แห่งนั้น เรา เป็นทั้งตัวตนที่เป็นอดีต และตัวตนที่เป็นปัจจุบัน เหมือนเช่น "ทวิภพ" ​

    จนวันลา เรานำพานดอกไม้ธูปเทียน ไปขออโหสิแด่ท่าน เสียงที่เปล่งออกมา เราได้ยินทางหูชัดเจน ดังไปถึงในใจ นั่นไม่ใช่เสียงเราที่เป็นปัจจุบันแต่อย่างใด เสียงนั้นเต็มไปด้วยความสั่นเครือ หวานและเข้มแข็ง แต่ละคำที่เปล่งออกมา เต็มตื้นไปด้วยอิ่มเอม สุขแกมเศร้า​

    "เรา ตัวแทนเหล่านางทั้งหลาย ขออโหสิกรรมแด่ท่าน ซึ่งการที่ได้กระทำมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน และอนาคตกาล ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพาน ขอท่านอโหสิกรรม เราขอให้เราเป็นคู่กรรม คู่ธรรมของท่านตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพาน
    นิพพานะ ปัจชโย โหตุ"

    สิ่งที่นำเรามาที่บอร์ดแห่งนี่ ก็เพราะมีคนบอกเราว่า เราเป็นลูกหลานทางนี้โดยตรง เราจึงมา และอยากฝากข้อความไว้​

    "อดีตพึงรู้ได้ แต่จงอย่าติดยึด อดีตเป็นสิ่งที่เราเรียกร้องกลับไปเป็นไม่ได้ จงเดินไปข้างหน้า ในทางที่ถูกที่ควร

    ควรนำอดีตที่รับรู้ มาแก้ไขในปัจจุบัน เพื่อไม่ให้เดินตามรอยกรรมเช่นอดีตที่ผ่านมา

    ไม่ว่าเราจะเคยเป็นใหญ่ เมื่อในอดีต เราก็ยังต้องลงมาเกิดตามกรรม แล้วฐานันดรใหม่ก็เป็นไปตามกรรมเช่นกัน"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 สิงหาคม 2011
  16. Ajarn Pithak

    Ajarn Pithak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,367
    ค่าพลัง:
    +2,126
    อ่านแล้วรู้สึกดีครับ ยินดีที่รู้จักนะครับ ชื่อไรครับ
     
  17. ศามตา

    ศามตา สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +3
    เรียก ..เรา.. ดีกว่า ชื่อเล่นเราซ้ำกับพี่ๆน้องๆ ในนี้ เดียวสับสนกัน
     
  18. Ajarn Pithak

    Ajarn Pithak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,367
    ค่าพลัง:
    +2,126

    อ๋อ ครับงั้นเรียก คุณ เรา
     
  19. suphattra

    suphattra สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    191
    ค่าพลัง:
    +19
    ณ ที่แห่งนั้น เราได้เป็นทั้งอดีตและปัจจุบันในคราวเดียวกัน (ไม่ใช่ร่างทรงแต่อย่างใด) ด้วยอำนาจของกรรมที่เคยทำร่วมกันกับบุคคลผู้หนึ่งไว้ ได้ดึงเราให้ กลับมาเพื่อทำหน้าที่ ที่พึงกระทำตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน นั้นคือการเป็นผู้เสียสละ เป็นผู้ละ จากสิ่งที่เป็นของของตน เพื่อให้ได้มาซึ่งความสงบ เเละเเม่นางนาคีเจอท่านนั้นหรื่อยัง ค่ะ เเม่นางนาคีนางงามมากค่ะ
     
  20. ศามตา

    ศามตา สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +3
    ..เรา.. เจอท่านนั้น ณ ที่แห่งนั้น

    และท่านก็ยังเป็นเช่นเคย

    บัดนี้ เราได้กล่าวคำอโหสิกรรม กับท่านเรียบร้อยแล้ว

    ..เรา.. และท่านนั้น ต่างหวังปั้นปลายแห่งการหลุดพ้นจากความไม่รู้ จากวังวนสังสารวัฎ​
     

แชร์หน้านี้

Loading...