พญานาคราช 4 ตระกูล นครคำชะโนด

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Ajarn Pithak, 23 พฤศจิกายน 2009.

  1. angeltk229

    angeltk229 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,584
    ค่าพลัง:
    +6,912
    ยินดีต้อนรับค่ะคุณตูนซัง ทิ้งคำถามไว้เลยค่ะ เดี๋ยวเจ้าของกระทู้คงเข้ามาตอบค่ะ หากมีอะไรที่พอจะช่วยตอบให้ได้ก็ยินดีตอบค่ะ:cool:
     
  2. ตูนซัง

    ตูนซัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    91
    ค่าพลัง:
    +719
    อยากรุ้ว่าพญานาค สีทอง สีเขียว สีดำ และสีฟ้าอมเขียว

    มีหัวหน้าชื่ออะไรมั่งครับ(เรียกหัวหน้าป่าวครับ)
     
  3. ตูนซัง

    ตูนซัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    91
    ค่าพลัง:
    +719
    ได้ยินเสียงเพลงที่ คุณปราญชลี เปิดในหน้า125แล้วรุ้สึกยังไงก็ไม่รู้ครับ

    เศร้า เหงา สงบ ในใจยังไงก็ไม่รุ้ครับ

    (มีใครฟังแล้วรู้สึกตื้นตันน้ำตาไหลปะครับ)
     
  4. Ajarn Pithak

    Ajarn Pithak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,367
    ค่าพลัง:
    +2,126
    [​IMG]
     
  5. pk010209

    pk010209 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    973
    ค่าพลัง:
    +2,634

    พี่คร๊าบ (เอะพี่เปล่าน๊า) พญานาคมีหลายตระกูลน๊า ที่พี่เรียกว่าหัวหน้าก็มีเยอะซะด้วย แต่องค์สูงสุดเป็นผู้ดูแลเหล่านาคราชทั้งป่วงก็ องค์วิรูปักข์
     
  6. ตูนซัง

    ตูนซัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    91
    ค่าพลัง:
    +719
    ขอบคุณครับ[​IMG]
     
  7. ตูนซัง

    ตูนซัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    91
    ค่าพลัง:
    +719
    เห็นพญานาคองค์สีดำกับองค์สีเขียวแล้วรุ้สึกกลัวๆไงไม่รุ้ครับ

    โดยเฉพาะองค์สีดำรู้สึกน่ากลัวมาก
     
  8. pk010209

    pk010209 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    973
    ค่าพลัง:
    +2,634
    หนะ! ผู้ใหญ่บ้านมาบอกแล้ว อะเพิ่มให้ องค์นาคาธิบดีทั้ง 9 พระองค์
    1.พญาอนันตนาคราช
    2.พญามุจลินท์นาคราช
    3.พญาภุชงค์นาคราช
    4.พญาศรีสุทโธนาคราช
    5.พญาศรีสัตตนาคราช
    6.พญาเพชรภัทรนาคราชหรือพญาเกล็ดแก้วนาคราช
    7.พญานาคดำแสนศิริจันทรานาคราช
    8.พญายัสมันนาคราช
    9.พญาครรตระศรีเทวานาคราช
     
  9. Pompaka

    Pompaka เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    380
    ค่าพลัง:
    +351



    แล้วองค์ไหนที่เป็นตระกูล ฉัพพยาปุตตะบ้างอ่ะครับ
     
  10. pk010209

    pk010209 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    973
    ค่าพลัง:
    +2,634
    โหย บอมถามอยากอะ ท่านเป็นนาคาธิบดี ท่านจะแปลงกายยังไงก็ได้ แต่โดยพื้นฐานแล้วพี่ไม่แน่ใจ อาจจะมีแค่องค์เพชรภัทรนาคราชกระมั่ง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 กรกฎาคม 2010
  11. Pompaka

    Pompaka เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    380
    ค่าพลัง:
    +351

    หะหะ....โทษทีคับที่ถามยากไป พอดีรู้สึกถูกชะตากับนาคตระกูลนี้ ^_^


    ดีนะ...ที่คนตอบคำถามไม่ใช่คนที่รู้สึกไม่ถูกชะตาอย่างแรง
     
  12. Ajarn Pithak

    Ajarn Pithak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,367
    ค่าพลัง:
    +2,126
    วินยฺ. จุลฺลวคฺโค(๒) ข้อ ๒๖-๒๗ หน้า ๑๑

    [๒๖] เตน โข ปน สมเยน อ ฺ ตโร ภิกฺขุ อหินา ทฏฺโ
    กาลกโต โหติ ฯ ภควโต เอตมตฺถํ อาโรเจสุ ฯเปฯ นห ๒-
    นูน โส ภิกฺขเว ภิกฺขุ [๓]- จตฺตาริ อหิราชกุลานิ เมตฺเตน จิตฺเตน
    ผริ ฯ สเจ หิ โส ภิกฺขเว ภิกฺขุ [๓]- จตฺตาริ อหิราชกุลานิ เมตฺเตน
    จิตฺเตน ผเรยฺย น หิ โส ภิกฺขเว ภิกฺขุ อหินา ทฏฺโ กาลํ
    กเรยฺย ฯ กตมานิ จตฺตาริ อหิราชกุลานิ ฯ วิรูปกฺขํ อหิราชกุลํ
    เอราปถํ อหิราชกุลํ ฉพฺยาปุตฺตํ อหิราชกุลํ กณฺหาโคตมกํ
    อหิราชกุลํ นห ๒- นูน โส ภิกฺขเว ภิกฺขุ อิมานิ จตฺตาริ อหิราชกุลานิ
    เมตฺเตน จิตฺเตน ผริ ฯ สเจ หิ โส ภิกฺขเว ภิกฺขุ อิมานิ
    จตฺตาริ อหิราชกุลานิ เมตฺเตน จิตฺเตน ผเรยฺย น หิ โส
    ภิกฺขเว ภิกฺขุ อหินา ทฏฺโ กาลํ กเรยฺย ฯ อนุชานามิ ภิกฺขเว
    อิมานิ จตฺตาริ อหิราชกุลานิ เมตฺเตน จิตฺเตน ผริตุ อตฺตคุตฺติยา
    อตฺตรกฺขาย อตฺตปริตฺตาย ๔- ฯ เอว ฺจ ปน ภิกฺขเว กาตพฺพํ
    [๒๗] วิรูปกฺเขหิ เม เมตฺตํ เมตฺตํ เอราปเถหิ เม
    ฉพฺยาปุตฺเตหิ เม เมตฺตํ เมตฺตํ กณฺหาโคตมเกหิ จ

    อปาทเกหิ เม เมตฺตํ เมตฺตํ ทิปาทเกหิ ๑- เม
    จตุปฺปเทหิ เม เมตฺตํ เมตฺตํ พหุปฺปเทหิ เม
    มา มํ อปาทโก หึสิ มา มํ หึสิ ทิปาทโก ฯ
    มา มํ จตุปฺปโท หึสิ มา มํ หึสิ พหุปฺปโท ฯ
    สพฺเพ สตฺตา สพฺเพ ปาณา สพฺเพ ภูตา จ เกวลา
    สพฺเพ ภทฺรานิ ปสฺสนฺตุ มา กิ ฺจิ ปาปมาคมา ฯ
    อปฺปมาโณ พุทฺโธ อปฺปมาโณ ธมฺโม อปฺปมาโณ สงฺโฆ
    ปมาณวนฺตานิ สิรึสปานิ ๒- อหิ วิจฺฉิกา สตปที อุณฺณานาภี สรพู
    มูสิกา กตา เม รกฺขา กตา เม ปริตฺตา ๔- ปฏิกฺกมนฺตุ
    ภูตานิ โสหํ นโม ภควโต นโม สตฺตนฺนํ สมฺมาสมฺพุทฺธานนฺติ [๕]- ฯ



    วินัยปิฎก เล่ม ๗ จุลลวรรค ภาค ๒ ข้อ ๒๖-๒๗ หน้า ๑๑ บรรทัด ๕
    เรื่องภิกษุถูกงูกัด
    [๒๖] สมัยต่อมา ภิกษุรูปหนึ่งถูกงูกัดถึงมรณภาพ ภิกษุทั้งหลาย
    กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค
    พระผู้มีพระภาค ... ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุรูปนั้นไม่ได้แผ่
    เมตตาจิตไปสู่ตระกูลพญางูทั้ง ๔ เป็นแน่ เพราะถ้าภิกษุรูปนั้นแผ่เมตตาจิตไปสู่
    ตระกูลพญางูทั้ง ๔ ภิกษุรูปนั้นจะไม่พึงถูกงูกัดถึงมรณภาพ ตระกูลพญางูทั้ง ๔
    อะไรบ้าง คือ
    ๑. ตระกูลพญางูวิรูปักขะ
    ๒. ตระกูลพญางูเอราปถะ
    ๓. ตระกูลพญางูฉัพยาปุตตะ
    ๔. ตระกูลพญางูกัณหาโคตมกะ
    ภิกษุรูปนั้นไม่ได้แผ่เมตตาจิตไปสู่ตระกูลพญางูทั้ง ๔ นี้เป็นแน่ เพราะถ้า
    ภิกษุนั้นแผ่เมตตาจิตไปสู่ตระกูลพญางูทั้ง ๔ นี้ ภิกษุนั้นจะไม่พึงถูกงูกัดถึงมรณภาพ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้แผ่เมตตาจิตไปสู่ตระกูลพญางูทั้ง ๔ นี้
    เพื่อคุ้มครองตน เพื่อรักษาตน เพื่อป้องกันตน ก็แล พึงทำการแผ่อย่างนี้:-
    คาถาแผ่เมตตากันงูกัด
    [๒๗] เรากับพญางูตระกูลวิรูปักขะ จงมีเมตตาต่อกัน
    เรากับพญางูตระกูลเอราปถะ จงมีเมตตาต่อกัน
    เรากับพญางูตระกูลฉัพยาปุตตะ จงมีเมตตาต่อกัน
    เรากับพญางูตระกูลกัณหาโคตมกะ จงมีเมตตาต่อกัน
    เรากับฝูงสัตว์ที่ไม่มีเท้า จงมีเมตตาต่อกัน
    เรากับฝูงสัตว์ ๒ เท้า จงมีเมตตาต่อกัน
    เรากับฝูงสัตว์ ๔ เท้า จงมีเมตตาต่อกัน
    เรากับฝูงสัตว์มีเท้ามาก จงมีเมตตาต่อกัน
    สัตว์ไม่มีเท้าอย่าได้เบียดเบียนเรา สัตว์ ๒ เท้าอย่า
    ได้เบียดเบียนเรา สัตว์ ๔ เท้าอย่าได้เบียดเบียนเรา
    สัตว์มีเท้ามากอย่าได้เบียดเบียนเรา แลสัตว์ที่เกิด
    แล้วยังมีชีวิตทั้งมวลทุกหมู่เหล่า จงประสพความ
    เจริญ อย่าได้พบเห็นสิ่งลามกสักน้อยหนึ่งเลย
    พระพุทธเจ้ามีพระคุณหาประมาณมิได้ พระธรรมมีพระคุณหาประมาณมิได้ พระ
    สงฆ์มีพระคุณหาประมาณมิได้ แต่สัตว์เสือกคลานทั้งหลาย คือ งู แมลงป่อง
    ตะขาบ แมลงมุม ตุ๊กแก หนู มีคุณพอประมาณ ความรักษาอันเราทำแล้ว
    ความป้องกันอันเราทำแล้ว ขอฝูงสัตว์ทั้งหลายจงถอยกลับไปเถิด เรานั้นขอมนัส
    การแด่พระผู้มีพระภาค ขอนมัสการแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้ง ๗ พระองค์ ฯ
     
  13. Ajarn Pithak

    Ajarn Pithak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,367
    ค่าพลัง:
    +2,126
    นำบทสวดมาฝากครับ
    ขันธะปะริตตัง

    (หัวหน้านำ) หันทะ มะยัง ขันธะปะริตตัง ภะณามะ เสฯ

    วิรูปักเขหิ เม เมตตัง เมตตัง เอราปะเถหิ เม,
    ฉัพยาปุตตาหิ เม เมตตัง เมตตัง กัณหาโคตะมะเกหิ จะ.
    อะปาทะเกหิ เม เมตตัง เมตตัง ทิปาทะเกหิ เม,
    จะตุปปะเทหิ เม เมตตัง เมตตัง พะหุปปะเทหิ เม,
    มา มัง อะปาทะโก หิงสิ มา มัง หิงสิ ทิปาทะโก,
    มา มัง จะตุปปะโท หิงสิ มามังหิงสิ พะหุปปะโท.
    สัพเพ สัตตา สัพพา ปาณา สัพเพ ภูตา จะ เกวะลา,
    สัพเพ ภัทรานิ ปัสสันตุ มา กิญจิ ปาปะมาคะมา.
    อัปปะมาโณ พุทโธ, อัปปะมาโน ธัมโม, อัปปะมาโณ สังโฆ,
    ปะมาณะสันตานิ สิริงสะปานิ, อะหิ วิจฉิกา สะตะปะที อุณณานาภี
    สะระพู มูสิกา, กะตา เม รักขา กะตา เม ปะริตตา, ปะฏิกะมันตุ ภูตานิ,
    โสหัง นะโม ภะคะวะโต, นะโม สัตตันนัง สัมมาสัมพุทธานัง.

    (คำแปล) ความเป็นมิตรของเรา จงมีกับพระยานาคทั้งหลาย สกุลวิรูปักข์ด้วย,
    ความเป็นมิตรของเรา จงมีกับพระยานาคทั้งหลาย สกุลเอราบทด้วย, ความเป็น
    มิตรของเรา จงมีกับพระยานาคทั้งหลาย สกุลฉัพยาบุตรด้วย, ความเป็นมิตรของ
    เรา จงมีกับพระยานาคทั้งหลาย สกุลกัณหาโคตมกะด้วย.
    ความเป็นมิตรของเรา จงมีกับสัตว์ทั้งหลาย ที่ไม่มีเท้าด้วย, ความเป็น
    มิตรของเรา จงมีกับสัตว์ทั้งหลาย ที่มี ๒ เท้าด้วย, ความเป็นมิตรของเรา จงมีกับ
    สัตว์ทั้งหลาย ที่มี ๔ เท้าด้วย, ความเป็นมิตรของเรา จงมีกับสัตว์ทั้งหลาย ที่มีเท้า
    มากด้วย, สัตว์ไม่มีเท้าอย่าเบียดเบียนเรา, สัตว์ ๒ เท้าอย่าเบียดเบียนเรา, สัตว์ ๔
    เท้าอย่าเบียดเบียนเรา, สัตว์มากเท้าอย่าเบียดเบียนเรา.
    ขอสรรพสัตว์มีชีวิตทั้งหลาย ที่เกิดมาทั้งหมดจนสิ้นเชิงด้วย, จงเห็นซึ่ง
    ความเจริฐทั้งหลายทั้งปวงเถิด โทษลามกใดๆ อย่าได้มาถึงแล้วแก่สัตว์เหล่านั้น.
    พระพุทธเจ้า ทรงคุณไม่มีประมาณ, พระธรรม ทรงคุณไม่มีประมาณ,
    พระสงฆ์ ทรงคุณไม่มีประมาณ, สัตว์เสือกคลานทั้งหลาย คือ งู แมงป่อง ตะเข็บ
    ตะขาบ แมงมุม ตุ๊กแก หนู เหล่านี้ล้วนมีประมาณ (ไม่มากเหมือนคุณพระรัตนตรัย),
    ความรักษา อันเรากระทำแล้ว ความป้องกัน อันเรากระทำแล้ว, หมู่สัตว์ทั้งหลาย
    จงหลีกไปเสีย, เรานั้นกระทำการนอบน้อม แด่พระผู้มีพระภาคเจ้าอยู่, ทำการนอบ
    น้อม แด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย ๗ พระองค์อยู่.

    เจริญในธรรมครับ สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 กรกฎาคม 2010
  14. Ajarn Pithak

    Ajarn Pithak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,367
    ค่าพลัง:
    +2,126
    เจ้าบอมหายไปนานเลยนะครับ
     
  15. Pompaka

    Pompaka เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    380
    ค่าพลัง:
    +351

    ก็วิ่งเล่นไล่ล่า....อยู่แถวนี้แหล่ะครับ ^_^
     
  16. Ajarn Pithak

    Ajarn Pithak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,367
    ค่าพลัง:
    +2,126
    อาสาฬหบูชา วันแห่งชัยชนะของมนุษย์
    <table align="center" border="0" cellpadding="3" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr bgcolor="#ffffcc"><td valign="center"> </td></tr> <tr><td align="center" valign="top"><table border="0" cellpadding="2" cellspacing="2" width="95%"><tbody><tr><td class="A2" valign="top"> <table align="center" bgcolor="#f5f5f5" border="0" cellpadding="2" cellspacing="2"><tbody><tr><td>[​IMG]</td></tr><tr><td align="center">
    </td></tr></tbody></table>
    </td></tr></tbody></table></td></tr><tr><td align="center" valign="top"><table border="0" cellpadding="2" cellspacing="2" width="95%"><tbody><tr><td class="A2" valign="top">

    ธรรมเทศนาใน วันนี้ นับว่าเป็นธรรมเทศนาพิเศษ อาสาฬหบูชา ดังที่ท่านทั้งหลายก็ทราบดีอยู่แล้วสำหรับวันอาสาฬหบูชานี้ เป็นที่เข้าใจกันอยู่แล้วเหมือนกันว่ากระทำการบูชาเป็นที่ระลึกเนื่องในการ ที่พระพุทธองค์ได้ตรัสพระธรรมเทศนา ที่เป็นหัวใจแห่งพระศาสนาและเป็น ครั้งแรกของการประกาศพระธรรมของพระองค์ เรียกได้ว่าเป็นวันที่พระธรรมได้ปรากฏออกมาอย่างเป็นหลักเป็นฐานในโลกนี้ ในนามที่เรียกกันว่าพระพุทธศาสนาในทุกวันนี้

    ท่านทั้งหลาย ควรจะพิจารณาดูให้ดี ในลักษณะที่เกี่ยวข้องกันอยู่กับมนุษย์อย่างลึกซึ้ง ข้อนี้มีใจความสำคัญที่สุดอยู่ตรงที่ว่า ก่อนหน้านี้ มนุษย์ยังอยู่ในความมืด หรือว่าโลกยังอยู่ในความมืด ไม่มีแสงสว่างที่แท้จริง ที่จะทำให้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร เมื่อถึงวันเช่นวันนี้ เมื่อ 2,500 กว่าปีมาแล้วนั้น ได้มีบุคคลคนหนึ่งคือพระพุทธเจ้า ได้ประกาศสิ่งที่ควรจะเรียกได้ว่าเป็นแสงสว่างแก่มนุษย์ถ้าพร้อมกันนั้นก็ เรียกว่าเป็นธรรมาณาจักรที่พระองค์ประกาศออกไป

    ในฐานะที่เป็นแสง สว่างนั้น จะช่วยให้เรารู้จักความจริง เกี่ยวกับชีวิตจิตใจ เกี่ยวกับความสุข ความทุกข์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือ ความดับทุกข์ในฐานะที่เป็นธรร-มาณาจักรนั้นคือเป็นสิ่งที่กล่าวได้ว่า
    พระธรรมได้ปรากฏเป็นแสงสว่างขึ้นมาในโลก เป็นชัยชนะของมนุษย์ มนุษย์จะไม่ต้องพ่ายแพ้แก่กิเลสหรือความทุกข์อีกต่อไป

    ดังนั้น วันนี้จึงเป็นวันสำคัญสำหรับมนุษย์ คือเป็นวันแห่งชัยชนะของมนุษย์เหนือความมืด กิเลสและความทุกข์ เป็นต้นนั่นเอง

    ก่อน หน้านี้มนุษย์อยู่ในความมืดและความทุกข์ วันนี้เป็นวันสำหรับเปิดเผยให้ขึ้นมาจากความมืดและความทุกข์ เป็นชัยชนะของมนุษย์ที่มีต่อความมืดและความทุกข์ จึงเป็นวันสำคัญ เมื่อเผอิญมาตรงกันกับวันเพ็ญเดือนอาสาฬห เราก็เลือกเอาชื่อเดือนมาเป็นชื่อการบูชานี้ ขอให้เข้าใจกันอย่างนี้ทุก ๆ คน อย่าได้เห็นเป็นเพียงชื่อวัน ชื่อเดือน ชื่อปี แล้วก็ทำกันปีหนึ่ง ครั้งหนึ่ง อย่างนี้พอเป็นพิธี เหมือนที่ทำกันโดยมากเลย จะได้มองเห็นความลึกซึ้งและความสำคัญของสิ่งที่เรียกว่า ธัมมจักกัปปวัตนะ คือการยังธรรมจักรให้เป็นไปของพระผู้มีพระภาคเจ้า

    พระองค์ทรงหมุน จักรให้เป็นไปเพื่อขยี้ความทุกข์ของมนุษย์ให้หมดสิ้นไป สิ่งที่เรียกว่าจักรนั้น หมายถึงสิ่งที่มีลักษณะกลม หมุนได้ และมีความคม ที่จะตัดสิ่งทั้งปวงให้แหละให้ขาดไปอย่างนี้ก็มี เป็นอาวุธชนิดหนึ่งที่ช่วยให้เกิดการทุ่นแรงและให้เกิดความรวดเร็วในการที่ จะเคลื่อนไป แต่เราจะเอาความหายของคำว่า " ธรรมจักร " ในความหมายไหนก็ตาม มันใช้ได้ด้วยกันทั้งนั้น

    ถ้าจะเอาความหายของคำว่าจักรที่เป็นอาวุธ ก็หมายความว่ามันต้องตัดให้ขาดออกไปไม่มีอะไรต้านทานได้ ในที่นี้ก็คือตัดกิเลสและความทุกข์อย่างหนึ่ง และตัดความคิดความโง่เขลาของคนในโลกในสมัยนั้นด้วยอย่างหนึ่ง เพราะพระพุทธเจ้าทรงประกาศธรรมจักรออกไป หมายความว่า ทรงประกาศไปเพื่อทำลายมิจฉาทิฐิต่าง ๆ ที่มีอยู่ในขณะนั้นให้หมดไป ให้มนุษย์มีสัมมาทิฐิ ให้มิจฉาทิฐิเป็นฝ่ายพ่ายแพ้

    ธรรมจักร ของพระพุทธองค์ช่วยตัดความโง่ของเราตัดความเป็นมิจทิฐิของเราให้หมดไปเหลือ เป็นสัมมาทิฐิหรือความรู้ความฉลาด นี้เรียกว่าจักรในลักษณะที่เป็นของมีคม สำหรับจะฟังฝ่าไปในท่ามกลางความมืดและความทุกข์ ให้มนุษย์ได้พบกับแสงสว่าง

    อีก อย่างหนึ่ง คำว่าจักรหมายถึงลูกล้อนั้น หมายถึงเคลื่อนไปโดยเร็วโดยสะดวก นี้ก็มีลักษณะของปัญญาเป็นความหมายอันสำคัญอยู่ในนั้น หมายถึงไปจากความโง่ ความหลง ไปสู่ความสว่างไสว ความเจริญรุ่งเรือง

    ...เพราะฉะนั้นเรา จึงควรจะพากันมาชื่นชมยินดีในสิ่งที่เรียกว่า ธัมมจักกัปปวัต- นะ คือการยังธรรมจักรให้เป็นไปของพระผู้มีพระภาคเจ้า ซึ่งพระองค์ได้ทรงกระทำแล้วในวันเช่นวันนี้ คือวันเพ็ญในเดือนอาสาฬห..

    ใน วันนั้น มีคนหนึ่งที่ได้รับผลแห่งการประกาศธรรมจักรของพระองค์ ดังที่เรารู้กันอยู่แล้วว่า พระอัญญาโกณทัญญะ ได้มีธรรมจักษุ ดวงตาเห็นธรรม โดยสรุปเป็นคำบาลีว่า " ยงฺกิญฺจิ สมุทยธมฺมํ สพฺพนฺตํ นิโรธธมฺมํ " ซึ่งมีใจความว่า สิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งหมดมีความดับไปเป็นธรรมดา นี่แหละเป็นหัวข้อใจความของธรรมที่จะต้องเห็น...

    ดวงตาเห็นธรรมมี ความสำคัญอยู่ที่ว่า เป็นการเห็นสิ่งทั้งหลายเหล่าใดที่มีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา ย่อมจะมีความดับเป็นธรรมดาดังนี้ สรุปความแล้วก็คือว่า ถ้า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นก็จะเห็นโลกนี้ว่าไม่มีอะไรนอกไปกว่าการเกิด ๆ ดับ ๆ โลกนี้มีแต่การเกิด ๆ ดับ ๆ อยู่ทุกขณะ ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่ไม่เป็นการเกิดดับ

    คนโดยมากหรือตัวผู้ มองทั้งหลายเหล่านั้น ล้วนแต่มองเห็นโลกนี้เป็นของเที่ยงแท้ถาวร อยากจะมีนั่นมีนี่เป็นของตัว แล้วก็ยึดมั่นถือมั่นสิ่งนั้นสิ่งนี้ ด้วยความยึดมั่นต่าง ๆ นานา ไม่มองเห็นว่าโลกนี้ไม่มีอะไรอื่น นอกจากการเกิดดับ

    สมมติว่าเราไปที่ทะเลที่มีคลื่นจัด เราก็จะเห็นว่าทะเลนั้นไม่มีอะไรนอกจากการเกิดดับ ๆ ของลูกคลื่น ไม่มีอะไรมากไปกว่านนั้นเลย แต่สำหรับโลกทั้งโลกนั้นเราไม่ได้มีความรู้สึกอย่างนั้น เพราะไม่มีดวงตาเห็นธรรม ถ้ามีดวงตาเห็นธรรม มองไปที่อะไรก็จะเห็นเป็นเพียงการเกิดดับ ๆ จะเป็นวัตถุแท้ ๆ ก็มีการเกิดดับ แต่เราดูเป็นของหยุดนิ่ง เป็นของไม่เกิดไม่ดับ เพราะไม่ได้มองให้ลึกซึ้งว่า มันมีการเกิดและมีการดับ มีความรู้สึกแต่ชั่วขณะที่มองจึงไม่เห็นการเกิดดับ ถ้าศึกษาจนรู้จนเข้าใจว่าสิ่งเหล่านั้นเมื่อก่อนนี้มันก็ไม่มี แล้วมันก็มา และมันก็ค่อยเปลี่ยนไป แล้วมันก็ดับลง...

    ทีนี้จะมองกันถึงอีกคาถา หนึ่งที่ว่า " เย ธมฺมา เหตุปฺปภวา " สิ่งใดมีเหตุเป็นแดนเกิด " เตสํ เหตํ ตถาคโต " พระตถาคตทรงแสดงเหตุแห่งธรรมนั้น " เตสญฺจโย นิโรโธ จ " และทรงแสดงความดับแห่งธรรมเหล่านั้นด้วยเพราะการดับไปแห่งเหตุ " เอวํวาที มหาสมโณ " พระมหาสมณะผู้เป็นครูของเราพูดแต่อย่างนี้ ไม่มีพูดอย่างอื่น

    ลอง คิดดูเถิดว่าสิ่งใดมีเหตุเป็นแดนเกิด สิ่งนั้นก็มีความดับ เพราะดับไปแห่งเหตุ พระพุทธเจ้าทรงแสดงถึงการที่สิ่งนั้นเกิดมาแต่เหตุ และการที่สิ่งนั้นจะต้องดับไปเพราะดับแห่งเหตุ

    ทั้งหมดนี้ก็เป็นการ แสดงอย่างเดียวกันให้เห็นว่าสิ่ง ทั้งหลายทั้งปวงเป็นอย่างไร เมื่อเรามองเห็นว่า โลกนี้มีการเกิด แล้วทำไมจะไม่เห็นว่ามีการดับ ทำไมจะต้องเศร้าใจในเมื่อโลกนี้จะต้องดับไป ถ้ามีความหวั่นกลัวในเรื่องการเกิดและการดับแล้ว มันหวั่นกลัวไปในทางที่ไม่อยากจะให้เกิด ไม่อยากจะให้ดับ เพราะฉะนั้น ความอยากอันนั้นเอง จึงเป็นเครื่องมือปิดบังเสียซึ่งดวงตาที่จะเห็นธรรม จึงไม่มีดวงตาที่จะเห็นธรรมได้เพราะเหตุนี้ นี่แหละคือปัญหาซึ่งกำลังเป็นอยู่ในหมู่มนุษย์โลก แม้กระทั่งที่เป็นพุทธบริษัท ที่เป็นพุทธบริษัทกันแต่ปาก หมายความว่าเป็นตามธรรมเนียมตามประเพณี พ่อแม่เป็นพุทธบริษัทลูกก็เป็นพุทธบริษัท หลานก็เป็นพุทธบริษัท เหลนก็เป็นพุทธบริษัท อย่างนี้เรื่อย ๆ ไป เรียกว่า เป็นพุทธบริษัทแต่ตามธรรมเนียมประเพณีก็ไม่ได้เปรียบผู้อื่นนัก คงไม่มีดวงตาเห็นธรรมด้วยกัน นี้ก็เพราะเหตุว่าความเป็นพุทธบริษัทนั้นตกต่ำเสื่อมทรามลงไป วัฒนธรรมของพุทธบริษัทเนื่องกันอยู่กับพระพุทธศาสนาก็พากันตกต่ำลงไป ถ้าว่าพุทธบริษัทยังเป็นพุทธบริษัทอยู่อย่างถูกต้องก็จะต้องมีวัฒนธรรม ชนิดที่ช่วยให้คนในบ้านในเรือนมีดวงตาเห็นธรรมได้โดยง่าย ข้อนี้หมายความว่า ถ้าเป็นพุทธบริษัทที่รู้ธรรมะ ก็เอาธรรมะมาพูดจนเป็นของกลางบ้าน หรือประจำบ้านประจำเรือนไป กลายเป็นวัฒนธรรมประจำบ้านไปในที่สุด

    ...การ เห็นธรรมนั้นคือเห็นว่าไม่มีอะไร นอกจากการเกิด ๆ ดับ ๆ แห่งสังขารทั้งปวง ชีวิตร่างกายนี้ก็เป็นสักว่าสังขารทั้งปวง เงิน ทอง ข้าวของ ทรัพย์สมบัติ ก็เป็นสักว่าสังขารทั้งปวง เกียรติยศ ชื่อเสียง ความสุข ความทุกข์ก็ล้วนแต่เป็นสังขารทั้งปวง เพราะฉะนั้นไม่มีอะไร นอกจากสังขารทั้งปวงที่เกิด ๆ ดับ ๆ อยู่จิตใจอย่าไปผูกพันกับสิ่งเหล่านั้น ให้เป็นจิตใจที่เป็นอิสระ เป็นปกติอยู่เหนือสิ่งเหล่านั้นอยู่เสมอไป

    ถ้า ไม่มั่วยินดียินร้าย ก็หมายความว่าไปตกต่ำอยู่ภายใต้สิ่งเหล่านั้น ให้สิ่งเหล่านั้นมันบีบบังคับ จนไม่มีความเป็นมนุษย์เหลืออยู่เลย จนกลายเป็นทาสของสิ่งเหล่านั้นไปเสียแล้ว และจะเป็นมนุษย์ได้อย่างไรกัน เพราะคำว่า " มนุษย์ " แปลว่าผู้มีใจสูง ต้องมีใจสูงอยู่เหนือสิ่งเหล่านั้นจึงจะเป็นมนุษย์

    ถ้ามีจิตใจตกต่ำ อยู่ภายใต้สิ่งเหล่านั้นแล้วมันก็ไม่ใช่มนุษย์ และสิ่งเหล่านั้นมันก็เหยียบย่ำบุคคลนั้นให้สูญเสียความเป็นมนุษย์ไปในที่ สุด แล้วไปเป็นอะไร ลองคิดดูมันก็เป็นนรก เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย นั่นเอง ในรูปร่างอย่างนี้ที่เห็น ๆ อยู่กันนี่แหละ เป็นสัตว์นรก เป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เมื่อไรก็ได้ วันหนึ่งกี่ครั้งกี่หนก็ได้ เมื่อใดมีความใจร้อนเหมือนไฟเผาเมื่อนั้นคนนั้นเป็นสัตว์เดรัจฉาน เมื่อใดคนนั้นหิวกระหายทางจิตวิญญาณมีวิตกกังวลไม่มีที่สิ้นสุด เมื่อนั้นคนนั้นเป็นเปรตและเมื่อใดมีความขี้ขลาดหวาดกลัวไปเสียหมดอย่างไม่ ควรจะขลาด เมื่อนั้นคนนั้นแหละเป็นอสุรกาย

    นี่แหละคิดดูเถอะว่าการ ตกต่ำอยู่ภายใต้สังขารเหล่านั้น มันทำให้เป็นอะไร มันทำให้สูญเสียความเป็นมนุษย์และไปเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย ทั้งนี้ก็เพราะเหตุว่า คนเหล่านั้นไม่มีดวงตาเห็นธรรม

    ....ขอให้เรา นึกถึงความจริงข้อนี้โดยไม่ต้องเข้าใครออกใคร ไม่ต้องเข้ากับตัวเราเอง ให้เห็นแก่ความจริงแล้วตัดสินพิพากษาวินิจฉัยลงไป ให้มันจริงว่าเรากำลังเป็นอะไร เมื่อรู้ว่าอะไรเป็นอย่างไรแล้ว ก็พยายามหลีกเลี่ยงสิ่งที่ไม่ควรจะเป็น ให้เป็นแต่สิ่งที่ควรจะเป็น เช่นเป็นมนุษย์หรือเป็นพุทธบริษัทดังนี้เป็นต้น เป็นมนุษย์ก็มีจิตใจสูงอยู่เหนือสิ่งเหล่านี้ เป็นพุทธบริษัทก็มีความสว่างไสวรุ่งเรืองอยู่ เพราะมีธรรมะเหนือสิ่งใดหมด

    นี่แหละคือปัญหาเฉพาะหน้า ที่เราจะต้องนึกสำหรับเราทุกคนที่เป็นพุทธบริษัท โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันอาสาฬหปุณมีเช่นวันนี้

    ...เรา ควรได้พิจารณากันต่อไปอีกถึงข้อที่ว่า พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า สิ่งใดมีเหตุเป็นแดนเกิด สิ่งนั้นก็ดับไปเพราะการดับแห่งเหตุ เพราะมีคำพูดว่าสิ่งใดมีเหตุเป็นแดนเกิดสิ่งนั้นดับไปเพราะเหตุ ก็กับเหตุ มันก็ต้องหมายความว่ามีบางสิ่งที่ไม่ได้เกิดจากเหตุ เมื่อไม่ได้เกิดจากเหตุก็คือไม่มีเหตุ เพราะฉะนั้นมันไม่ต้องดับ ไม่ต้องดับไปเพราะความดับแห่งเหตุ

    นี่แหละคือสิ่งที่เราจะต้องรู้ จะต้องเข้าใจ จะต้องมีดวงตาเห็น และเข้าถึงให้ได้หลังจากที่ได้มองเห็นสิ่งที่มีเหตุเป็นแดนเกิดและดับไป เพราะเหตุ นั้นคือความทุกข์และก็เห็นสิ่งที่ดับทุกข์ก็คือสิ่งที่ไม่ต้องเป็นไปตามเหตุ ถ้าจิตใจเป็นไปตามเหตุก็เป็นจิตใจที่เป็นทุกข์ ถ้าเป็นจิตใจที่เข้าถึงธรรมะที่อยู่เหนือเหตุจิตใจนั้นก็ไม่เป็นทุกข์นั้น คือเข้าถึงนิพพาน สิ่งที่เรียกว่านิพพานนั้นอยู่เหนือเหตุ ไม่มีเหตุ แต่เป็นธรรมชาติ เป็นธรรมชาติอันสูงสุดอย่างหนึ่ง มีอยู่ในฐานะเป็นของตรงกันข้ามจากสิ่งทั้งหลายที่มีเหตุ สิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นเพราะเหตุ นิพพานอย่างเดียวไม่ได้เกิดขึ้นเพราะเหตุ สิ่งทั้งหลายดับไปเพราะดับแห่งเหตุ แต่นิพพานก็มิได้ดับไปเพราะดับแห่งเหตุเพราะว่าไม่มีเหตุ ดังนั้นจึงเป็นของอนันตกาล คือเป็นของไม่เปลี่ยนแปลงไม่เกิดดับ เป็นของนิรันดรซึ่งในพระพุทธศาสนาเรียกว่า " อมตธรรม " คือสิ่งที่ไม่รู้จักตาย

    ถ้าเรามองเห็นสิ่งที่รู้จักตาย ต้องหมายความว่า เรามองเห็นสิ่งที่ไม่รู้จักตายด้วย การเห็นแต่เรื่องรู้จักตายหรือมีเหตุดับเหตุอย่างเดียวอย่างนี้ ยังไม่เรียกว่าเห็น ต้องเห็นสิ่งที่ตรงกันข้ามด้วย จึงจะเห็นทั้งสองสิ่งอย่างถูกต้อง ถ้าเห็นทุกข์ก็ต้องเห็นความดับทุกข์ด้วย จึงจะเรียกว่าเห็นทุกข์

    เดี๋ยวนี้เราเห็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งแต่ในด้าน เดียวเสมอไปไม่เห็นทั้งสองด้าน จึงไม่เรียกว่ามีดวงตาเห็นธรรม แม้คำบาลีจะกล่าวแต่เพียงว่า สิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดาสิ่งนั้นมีความดับเป็นธรรมดา ก็มิได้หมายความว่าให้เห็นแต่สิ่งนั้น คือจะต้องเห็นสิ่งที่ตรงกันข้ามด้วย คือสิ่งที่มิได้มีการเกิดเป็นธรรมดาและมิได้มีการดับเป็นธรรมดาด้วย นั่นแหละคือการเห็นนิพพานหรือความดับทุกข์

    ...พระพุทธเจ้าท่านได้ ตรัสว่า โลกนี้ก็ดี เหตุให้เกิดโลกนี้ก็ดี ความดับแห่งโลกนี้ก็ดี ทางให้ถึงความดับแห่งโลกนี้ก็ดี ตถาคตบัญญัติไว้ในร่างกายที่ยาวประมาณวาหนึ่งนี้อันมีทั้งสัญญาและใจ คือในร่างกายที่ยังเป็น ๆ ยังมีชีวิตยังมีความรู้สึกนึกคิดอยู่ได้นี้แหละ ให้มองให้ดีมีอยู่ทั้งสังสารวัฏและนิพพานโลก และเหตุให้เกิดโลกนั้นคือสังสารวัฏ ความดับสนิทแห่งโลกและทางถึงความดับสนิทแห่งโลกนั้นเป็นฝ่ายนิพพาน ค้นหาได้ในร่างกายนี้ เราต้องหาความดับทุกข์ที่ความทุกข์ เพราะเราต้องการจะดับทุกข์ ดับตัวทุกข์ที่ไหนความดับทุกข์มันก็มีที่นั่นเพราะฉะนั้นต้องเห็นความดับ ทุกข์ในตัวความทุกข์นั่นเอง..

    ถ้ามีการยึด ถือมากก็ต้องเป็นทุกข์มาก ดับความยึดถือเสียได้มันก็ไม่มีความทุกข์ การดับความยึดถืออย่างสูงสุดเสียได้มันก็ได้นิพพานมา คือความดับอย่างยิ่ง ถ้าเรารู้จักแสวงหาความดับทุกข์ในตัวความทุกข์แล้วก็เรียกว่าเป็นผู้รู้ ธรรมะ หรือมีดวงตาเห็นธรรมแล้วเป็นแน่นอน

    ...วันอาสาฬหบูชา เป็นวันแห่งชัยชนะของมนุษย์ เป็นวันที่มนุษย์มีชัยชนะเหนือความทุกข์และกิเลส ดังที่ได้กล่าวแล้ว ดังนั้นวันนี้เป็นสัญลักษณ์ของแสงสว่าง เป็นวันแห่งแสงสว่าง เราต้องมีแสงสว่างที่จะรู้จักสิ่งเหล่านั้นตามที่เป็นจริง





    เรียบ เรียงจากหนังสือ " อาสาฬหบูชาเทศนา " ซึ่งเป็นธรรมเทศนาในโอกาสวันอาสาฬหบูชาวันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๑๑ ณ สวนโมกขพลาราม อ .ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี

    ที่มาจาก อาสาฬหบูชา วันแห่งชัยชนะของมนุษย์ : ศาลาธรรม [ออนไลน์ 27/7/53]
    </td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>
     
  17. Ajarn Pithak

    Ajarn Pithak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,367
    ค่าพลัง:
    +2,126
    พระพุทธเจ้าทั้ง ๒๗ พระองค์ ก่อน องค์สมเด็จองค์ปัจจุบัน


    ๑.พระตัณหังกรพระพุทธเจ้า
    ฉายา : ผู้กล้าหาญ
    ความสูง : ไม่ปรากฏ
    รัศมี :ไม่ปรากฏ
    บำเพ็ญบารมี : ๑๖ อสงไขยแสนกัป
    วรรณะ : กษัตริย์
    พุทธบิดา:พระเจ้าอานันทะ
    พุทธมารดา:พระนางสุนันทา
    พระนคร : ปุปผวดี
    ใช้ชีวิตฆราวาส : ๑๐,๐๐๐ ปี
    ยานพาหานะที่ใช้ออกบวช : ทรงประทับบนหลังช้างออกบวช
    ระยะเวลาการทำความเพียร : ๗ วันจึงตรัสสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
    ต้นไม้ตรัสรู้ : ต้นไม้พญาสัตตบรรณ
    อายุขัย : ๑๐๐,๐๐๐ ปี จึงปรินิพพาน

    ๒.พระเมธังกรพุทธเจ้า
    ฉายา : ผู้มียศใหญ่
    ความสูง : ไม่ปรากฏ
    รัศมี :ไม่ปรากฏ
    บำเพ็ญบารมี :๑๖ อสงไขยแสนกัป
    พุทธบิดา: พระเจ้าสุเมธ
    วรรณะ : กษัตริย์
    พุทธมารดา: พระนางยโสธรา
    พระนคร : เมขละ
    ใช้ชีวิตฆราวาส : ๘,๐๐๐
    ยานพาหานะที่ใช้ออกบวช : ไม่ระบุ
    ระยะเวลาการทำความเพียร : ครึ่งเดือนจึงตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
    ต้นไม้ตรัสรู้ : ต้นไม้กิงสุกะ (ต้นทองกวาว)
    อายุขัย : ๙๐,๐๐๐ ปี จึงปรินิพพาน

    ๓.พระสรณังกรพระพุทธเจ้า
    ฉายา : ผู้เกื้อกูลแก่ชาวโลก
    ความสูง : ไม่ปรากฏ
    รัศมี :ไม่ปรากฏ
    บำเพ็ญบารมี : ๑๖ อสงไขยแสนกัป
    วรรณะ : กษัตริย์
    พุทธบิดา: พระเจ้าสุมงคล
    พุทธมารดา: พระนางยสวดี
    พระนคร : สุวิบุล
    ใช้ชีวิตฆราวาส : ๑,๐๐๐ปี
    ยานพาหานะที่ใช้ออกบวช :ทรงประทับบนหลังช้างออกบวช
    ระยะเวลาการทำความเพียร : ๑ เดือนจึงตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
    ต้นไม้ตรัสรู้ : ที่โคนต้น ปิปผลิ (ต้นไม้เลียบ)
    อายุขัย : ๘๐,๐๐๐ปี จึงปรินิพพาน


    ๔.พระปัจฉิมทีปังกรพุทธเจ้า
    ฉายา : ผู้ทรงไว้ซึ่งปัญญษอันรุ่งเรือง
    ความสูง : ๘๐ ศอก
    รัศมี : แผ่ซานออก ๑๐ โยชน์โดยรอบ
    บำเพ็ญบารมี : ๑๖ อสงไขยแสนกัป
    วรรณะ : กษัตริย์
    พุทธบิดา:พระเจ้าสุเทวัจฉะ
    พุทธมารดา:พระนางสุเมธา
    พระนคร : รัมมวดี
    ใช้ชีวิตฆราวาส : ๑๐,๐๐๐ ปี
    มเหสี : ปทุมา
    ยานพาหานะที่ใช้ออกบวช : ทรงประทับบนหลังช้างออกบวช
    ระยะเวลาการทำความเพียร : ๑๐ เดือน จึงตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
    ต้นไม้ตรัสรู้ :ที่โคนต้น ปิปผลิ (ต้นไม้เลียบ)
    บัลัลงก์สูง : ๕๓ ศอก (บัลลังก์ที่ประทับนั่งในวันตรัสรู้)
    อายุขัย : ๑๐๐,๐๐๐ ปีจึงปรินิพพานที่สวนนันทาราม

    ๕. พระโกณฑัญญพุทธเจ้า
    ฉายา : ผู้เป็นประมุขแห่งหมู่ชน
    ความสูง : ๘๘ ศอก
    รัศมี : แผ่ซานออกไปไม่ประมาณ
    บำเพ็ญบารมี :๑๖ อสงไขยแสนกัป
    วรรณะ : กษัตริย์
    พุทธบิดา: พระเจ้าสุนันท
    พุทธมารดา: พระนางสุชาดาเทวี
    พระนคร : รัมมวดี
    ใช้ชีวิตฆราวาส : ๑๐๐๐๐ ปี
    พระมเหสี : รจิเทวี
    บุตร:ชีวิตเสนะ
    ยานพาหานะที่ใช้ออกบวช : ทรงราชรถออกบวช
    ระยะเวลาการทำความเพียร : ๑๐ เดือนจึงตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
    ต้นไม้ตรัสรู้ : ที่โคนต้นสาลกัลยาณี ( ต้นขานาง)
    บัลัลงก์สูง ๕๗ ศอก
    อายุขัย : ๑๐๐,๐๐๐ปีจึงปรินิพพานที่สวนจันทาราม
     
  18. Ajarn Pithak

    Ajarn Pithak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,367
    ค่าพลัง:
    +2,126
    ๖.พระมงคลพุทธเจ้า
    ฉายา : ผู้เป็นบุรุษประเสริฐ
    ความสูง : ๘๘ ศอก
    รัศมี : แผ่ซ่านออกไปเหลือประมาณ
    บำเพ็ญบารมี :๑๖ อสงไขยแสนกัป
    วรรณะ : กษัตริย์
    พุทธบิดา: พระเจ้าอุตตระ
    พุทธมารดา: พระนางอุตตราเทวี
    พระนคร : อุตตระ
    ใช้ชีวิตฆราวาส : ๙,๐๐๐ ปี
    มเหสี ยสวดี
    บุตร สีวละ
    ยานพาหานะที่ใช้ออกบวช : ทรงม้าออกบวช
    ระยะเวลาการทำความเพียร : ๘ เดือนจึงตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
    ต้นไม้ตรัสรู้ : ที่โคนต้นนาคะ (กากะทิง หรือ บุนนาค)
    บัลลังก์สูง : ๕๗ ศอก
    อายุขัย : ๙๐,๐๐๐ ปีจึงปรินิพพานที่สวน เวสสภู

    ๗.พระสุมนพุทธเจ้า
    ฉายา : ผู้เป็นวีรบุรุษผู้มีพระหฤหัยงาม
    ความสูง : ๙๐ ศอก
    รัศมี : แผ่ซ่านออกไปเหลือประมาณ
    บำเพ็ญบารมี : ๑๖ อสงไขยแสนกัป
    วรรณะ : กษัตริย์
    พุทธบิดา: พระเจ้าทุสัต
    พุทธมารดา: พระนางสิริมาเทวี
    พระนคร : เขมละ
    ใช้ชีวิตฆราวาส : ๙,๐๐๐ ปี
    มเหสี วฏังสี
    บุตร อนูปโม
    ยานพาหานะที่ใช้ออกบวช : ทรงประทับบนหลังช้างออกบวช
    ระยะเวลาการทำความเพียร : ๑๐ เดือน จึงตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
    ต้นไม้ตรัสรู้ : ที่โคนต้นนาคะ
    อายุขัย : ๙๐,๐๐๐ ปีจึงปรินิพพานที่สวน อังคาราม

    ๘. พระเรวตพุทธเจ้า
    ฉายา : ผู้เพิ่มพูนความยินดี
    ความสูง : ๘๐ ศอก
    รัศมี : แผ่ซ่านออกไปเหลือประมาณ
    บำเพ็ญบารมี :๑๖ อสงไขยแสนกัป
    วรรณะ : กษัตริย์
    พุทธบิดา: พระเจ้าวิปุล
    พุทธมารดา: พระนางเจ้าวิปุลาเทวี
    พระนคร : สุธัญญวดี
    ใช้ชีวิตฆราวาส : ๖,๐๐๐ ปี
    มเหสี สุทัสนา
    บุตร วรุณ
    ยานพาหานะที่ใช้ออกบวช : ทรงราชรถออกบวช
    ระยะเวลาการทำความเพียร : ๗ เดือน จึงตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
    ต้นไม้ตรัสรู้ : ที่โคนต้นนาคะ
    อายุขัย : ๖๐,๐๐๐ปีจึงปรินิพพานที่เมืองหลวงสุธัญญวดี

    ๙. พระโสภิตพุทธเจ้า
    ฉายา : ผู้สมบูรณ์ด้วยพระคุณ
    ความสูง : ๕๘ ศอก
    รัศมี : แผ่ซ่านออกไปเหลือประมาณ
    บำเพ็ญบารมี : ๔ อสงไขยแสนกัป
    วรรณะ : กษัตริย์
    พุทธบิดา: พระเจ้าสุธรรม
    พุทธมารดา: พระนางสุธรรมาเทวี
    พระนคร : สุธรรมนคร
    ใช้ชีวิตฆราวาส : ๙๐๐๐ ปี
    มเหสี มกิลา
    บุตร สีหะ
    ยานพาหานะที่ใช้ออกบวช : ออกบวชทั้งปราสาท (ลอยไปทั้งปราสาท)
    ระยะเวลาการทำความเพียร : ๗ วัน จึงได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
    ต้นไม้ตรัสรู้ : ที่โคนต้นนาคะ
    อายุขัย :๙๐,๐๐๐ ปีจึงปรินิพพานที่สวนสีหาราม


    ๑๐. พระอโนมทัสีพุทธเจ้าพุทธเจ้า
    ฉายา : ผู้สูงสุดในหมู่ชน
    ความสูง : ๕๘ ศอก
    รัศมี : แผ่ซ่านออกไปเหลือประมาณ
    บำเพ็ญบารมี : ๑๖ อสงไขยแสนกัป
    วรรณะ : กษัตริย์
    พุทธบิดา: พระเจ้ายสวันต
    พุทธมารดา: พระนางยโสธราเทวี
    พระนคร : จันทวดี
    ใช้ชีวิตฆราวาส : ๑๐,๐๐๐ ปี
    มเหสี: สิริมา
    บุตร: อุปสาละ
    ยานพาหานะที่ใช้ออกบวช : ทรงเสลี่ยงออกบวช
    ระยะเวลาการทำความเพียร : ๑๐ เดือน จึงได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
    ต้นไม้ตรัสรู้ : ที่โคนต้นอัชชนะ(ต้นกุ่ม)
    อายุขัย :๑๐๐,๐๐๐ ปีจึงปรินิพพานที่สวนธรรมาราม
     
  19. Ajarn Pithak

    Ajarn Pithak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,367
    ค่าพลัง:
    +2,126
    ๑๑. พระปทุมพุทธเจ้า
    ฉายา : ผู้ทำให้โลกสว่าง
    ความสูง : ๕๘ ศอก
    รัศมี : แผ่ซ่านออกไปเหลือประมาณ
    บำเพ็ญบารมี : บำเพ็ญบารมีครบถ้วน
    วรรณะ : กษัตริย์
    พุทธบิดา: พระเจ้าอสมะ
    พุทธมารดา: พระนางอสมาเทวี
    พระนคร : จัมปกะ
    ใช้ชีวิตฆราวาส : ๑๐,๐๐๐ ปี
    มเหสี อุตตรา
    บุตร รัมมะ
    ยานพาหานะที่ใช้ออกบวช : ทรงม้าออกบวช
    ระยะเวลาการทำความเพียร : ๘ เดือน จึงได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
    ต้นไม้ตรัสรู้ : ที่โคนต้นมหาโสณะ (ต้นอ้อยช้างใหญ่)
    อายุขัย :๑๐๐,๐๐๐ ปีจึงปรินิพพานที่สวนธรรมาราม

    ๑๒. พระนารทพุทธเจ้า
    ฉายา : ผู้เป็นสารถีประเสริฐ
    ความสูง : ๘๘ ศอก
    รัศมี : แผ่ซ่านออกไปเหลือประมาณ
    บำเพ็ญบารมี : ๔ อสงไขยแสนกัป
    วรรณะ : กษัตริย์
    พุทธบิดา: พระเจ้าสุเทวะ
    พุทธมารดา: พระนางอโนมาเทวี
    พระนคร : ธัญวดี
    ใช้ชีวิตฆราวาส : ๙๐๐๐ ปี
    มเหสี วิชิตเสนา
    บุตร นันทุตตระ
    ยานพาหานะที่ใช้ออกบวช : ทรงเดินเท้าออกบวช
    ระยะเวลาการทำความเพียร : ๗ วัน จึงได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
    ต้นไม้ตรัสรู้ : ที่โคนต้นมหาโสณะ (ต้นอ้อยช้างใหญ่)
    อายุขัย :๙๐,๐๐๐ ปีจึงปรินิพพานที่สวนธรรมราชา


    ๑๓. พระปทุมุตตรพุทธเจ้า
    ฉายา : ผู้เป็นที่พึ่งของหมู่สัตว์
    ความสูง : ๕๘ ศอก
    รัศมี : แผ่ซ่านไปไกล ๑๒ โยชน์
    บำเพ็ญบารมี : บำเพ็ญบารมีครบถ้วน
    วรรณะ : กษัตริย์
    พุทธบิดา: พระเจ้าสุนันทา
    พุทธมารดา: พระนางสุชาดาเทวี
    พระนคร : หงสวดี
    ใช้ชีวิตฆราวาส : ๑๐,๐๐๐ ปี
    มเหสี สุตทัตตา
    บุตร อุตระ
    ยานพาหานะที่ใช้ออกบวช : ออกบวชทั้งปราสาท (ลอยไปทั้งปราสาท)
    ระยะเวลาการทำความเพียร : ๗ วัน จึงได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
    ต้นไม้ตรัสรู้ : ที่โคนต้นไม้สลฬ (ต้นสน)
    อายุขัย :๑๐๐,๐๐๐ ปีจึงปรินิพพานที่สวนนันทาราม

    ๑๔. พระสุเมธพุทธเจ้า
    ฉายา : ผู้หาบุคคลเปรียบมิได้
    ความสูง : ๘๘ ศอก
    รัศมี : แผ่ซ่านออกไปเหลือประมาณ
    บำเพ็ญบารมี : บำเพ็ญบารมีครบถ้วน
    วรรณะ : กษัตริย์
    พุทธบิดา: พระเจ้าสุทัต
    พุทธมารดา: พระนางสุทัตตาเทวี
    พระนคร : สุทัสสนะ
    ใช้ชีวิตฆราวาส : ๙๐๐๐ ปี
    มเหสี สุมนา
    บุตร ปุนัพพะ
    ยานพาหานะที่ใช้ออกบวช : ทรงช้างออกบวช
    ระยะเวลาการทำความเพียร : ครึ่งเดือน จึงได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
    ต้นไม้ตรัสรู้ : ที่โคนต้นนีปะ (ต้นกระทุ่ม)
    อายุขัย :๙๐,๐๐๐ ปีจึงปรินิพพานที่สวนเมธาราม

    ๑๕. พระสุชาตพุทธเจ้า
    ฉายา : ผู้เลิศกว่าสัตว์โลกทั้งปวง
    ความสูง : ๕๐ ศอก
    รัศมี : แผ่ซ่านออกไปเหลือประมาณ
    บำเพ็ญบารมี : บำเพ็ญบารมีครบถ้วน
    วรรณะ : กษัตริย์
    พุทธบิดา: พระเจ้าอุคคตะ
    พุทธมารดา: พระนางปภาวคี
    พระนคร : สุมงคล
    ใช้ชีวิตฆราวาส : ๙๐๐๐ ปี
    มเหสี ศิรินัททา
    บุตร อุปเสนะ
    ยานพาหานะที่ใช้ออกบวช : ทรงม้าออกบวช
    ระยะเวลาการทำความเพียร : ๙ เดือน จึงได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
    ต้นไม้ตรัสรู้ : ที่โคนต้นไผ่ใหญ่ (มหาเวฬุ)
    อายุขัย :๙๐,๐๐๐ ปีจึงปรินิพพานที่สวนสีลาราม
     
  20. Ajarn Pithak

    Ajarn Pithak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,367
    ค่าพลัง:
    +2,126
    ๑๖. พระปิยะทัสสีพุทธเจ้า
    ฉายา : ผู้ประเสริฐกว่าหมู่นรชน
    ความสูง : ๘๐ ศอก
    รัศมี : แผ่ซ่านออกไปเหลือประมาณ
    บำเพ็ญบารมี : บำเพ็ญบารมีครบถ้วน
    วรรณะ : กษัตริย์
    พุทธบิดา: พระเจ้าสุทัต
    พุทธมารดา: พระนางจันทวดีพระนคร : สุทัสสนะ
    ใช้ชีวิตฆราวาส : ๙๐๐๐ ปี
    มเหสี วมลา
    บุตร กัญจนเวฬะ
    ยานพาหานะที่ใช้ออกบวช : ทรงรถพระที่นั่งออกบวช
    ระยะเวลาการทำความเพียร : ๖ เดือน จึงได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
    ต้นไม้ตรัสรู้ : ที่โคนต้นไม้กักกุธ (ต้นกุ่ม)
    อายุขัย :๙๐,๐๐๐ ปีจึงปรินิพพานที่สวนอัสฏฐาราม

    ๑๗. พระอัตถทัสสีพุทธเจ้า
    ฉายา : ผู้มีพระกรุณา
    ความสูง : ๘๐ ศอก
    รัศมี : แผ่ซ่านออกไปเหลือประมาณ
    บำเพ็ญบารมี : บำเพ็ญบารมีครบถ้วน
    วรรณะ : กษัตริย์
    พุทธบิดา: พระเจ้าสาคร
    พุทธมารดา: พระนางสุทัสนาเทวี
    พระนคร : โสภณ
    ใช้ชีวิตฆราวาส : ๑๐,๐๐๐ ปี
    มเหสี วิสาขา
    บุตร เสละ
    ยานพาหานะที่ใช้ออกบวช : ทรงช้างออกบวช
    ระยะเวลาการทำความเพียร : ๘ เดือน จึงได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
    ต้นไม้ตรัสรู้ : ที่โคนต้นจัมปปะ (ต้นจัมปาป่า)
    อายุขัย :๑๐๐,๐๐๐ ปีจึงปรินิพพานที่สวนอโนมาราม


    ๑๘. พระธัมทัสสีพุทธเจ้า
    ฉายา : ผู้บรรเทาความมืด
    ความสูง : ๘๐ ศอก
    รัศมี : แผ่ซ่านออกไปเหลือประมาณ
    บำเพ็ญบารมี : บำเพ็ญบารมีครบถ้วน
    วรรณะ : กษัตริย์
    พุทธบิดา: พระเจ้าสรณะ
    พุทธมารดา: พระนางสุนันทาเทวี
    พระนคร : สวณะ
    ใช้ชีวิตฆราวาส : ๘๐๐๐ ปี
    มเหสี วิจิโกลี
    บุตร ปุญญวัฑฒะ
    ยานพาหานะที่ใช้ออกบวช : ออกบวชทั้งปราสาท (ลอยไปทั้งปราสาท)
    ระยะเวลาการทำความเพียร : ๗ วัน จึงได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
    ต้นไม้ตรัสรู้ : ที่โคนต้นรัตตกุรวกะ(ต้นซ้องแมวแดง)
    อายุขัย :๑๐๐,๐๐๐ ปีจึงปรินิพพานที่สวนเกสราราม

    ๑๙. พระสิทธัทตถพุทธเจ้า
    ฉายา : ผู้หาบุคคลใดเสมอมิได้ในโลก
    ความสูง : ๖๐ ศอก
    รัศมี : แผ่ซ่านออกไปเหลือประมาณ
    บำเพ็ญบารมี : บำเพ็ญบารมีครบถ้วน
    วรรณะ : กษัตริย์
    พุทธบิดา: พระเจ้าอุเทน
    พุทธมารดา: พระนางสุปปัสสาเทวี
    พระนคร : เวภาระ
    ใช้ชีวิตฆราวาส : ๑๐,๐๐๐ ปี
    มเหสี สุมนา
    บุตร อนูปมะ
    ยานพาหานะที่ใช้ออกบวช : ประทับวอทองออกบวช
    ระยะเวลาการทำความเพียร : ๑๐ เดือน จึงได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
    ต้นไม้ตรัสรู้ : ที่โคนต้นกรรณิการ์
    อายุขัย :๑๐๐,๐๐๐ ปีจึงปรินิพพานที่สวนอโนมาราม

    ๒๐. พระติสสพุทธเจ้า
    ฉายา : ผู้ประเสริฐกว่านักปราชญ์ทั้งหลาย
    ความสูง : ๖๐ ศอก
    รัศมี : แผ่ซ่านออกไปเหลือประมาณ
    บำเพ็ญบารมี : บำเพ็ญบารมีครบถ้วน
    วรรณะ : กษัตริย์
    พุทธบิดา: พระเจ้าชยสันต์
    พุทธมารดา: พระนางปทุมา
    พระนคร : เขมะ
    ใช้ชีวิตฆราวาส : ๗,๐๐๐ ปี
    มเหสี สุภัททา
    บุตร อานันทะ
    ยานพาหานะที่ใช้ออกบวช : ทรงม้าออกบวช
    ระยะเวลาการทำความเพียร : ๘ เดือน จึงได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
    ต้นไม้ตรัสรู้ : ที่โคนต้นไม้อสนะ (ต้นประดู่ลาย)
    อายุขัย :๑๐๐,๐๐๐ ปีจึงปรินิพพานที่สวนนันทาราม
     

แชร์หน้านี้

Loading...