พญานาคราช 4 ตระกูล นครคำชะโนด

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Ajarn Pithak, 23 พฤศจิกายน 2009.

  1. find truth

    find truth เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    209
    ค่าพลัง:
    +1,363
    หลังมือมาเบา ๆ นะ 555
     
  2. Nakraksa

    Nakraksa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    3,481
    ค่าพลัง:
    +14,350
    จ้า จะค่อยๆหลังมือ สำหรับแอ้ เริ่มวันนี้เลยนะ เดี๋ยวสิ้นปีกันพอดี ก๊ากก
     
  3. ศรีค่ะ

    ศรีค่ะ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2010
    โพสต์:
    40
    ค่าพลัง:
    +55
    จะหยอด กระปุก 1 หรือ 2 บาท ก็ไม่เป็นปัญหา หรอกค่ะ อย่างไร ใจก็ไป แล้ว เหลือ กาย เท่านั้น .....

    ถ้าจะไปเมื่อไหร่ ก็บอกได้ นะค่ะ ไปเจอกันที่นั่นได้ ค่ะ .....


    :z8
     
  4. ศรีค่ะ

    ศรีค่ะ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2010
    โพสต์:
    40
    ค่าพลัง:
    +55

    อันนี้จริง ๆ นะ ทำไม ตอนนี้ ลูกหลานพญานาค เยอะ มากค่ะ คง ต้อง มี อะไรสักอย่าง นะ เห็นด้วยค่ะ คุณ เพชร......

    แล้วนี่คาถาอะไร มีความหมาย หรือ เปล่า ค่ะ จะได้ สวดได้ถูก ค่ะ ....
     
  5. Nakraksa

    Nakraksa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    3,481
    ค่าพลัง:
    +14,350
    คุณศรี อันนี้เป็นคาถาบูชาขันธกุมารของเพชรเองแหละจ้ะ ช่วงนี้เพชรเองเฮี้ยนๆยังไงไม่รู้ เลยลงไว้น่ะ แหะแหะ
     
  6. สิงหนวัติ

    สิงหนวัติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มกราคม 2009
    โพสต์:
    788
    ค่าพลัง:
    +2,107
    ไม่ต้องรีรออะไรหรอกครับ มัวแต่หยอด ไม่ได้ไปซักที ถ้าจะไปให้รีบไปนะครับ ชีวิตคนไม่แน่นอน พรุ่งนี้จะได้ตื่นลืมตาดูโลกหรือเปล่ายังไม่รู้เลย ฮ่าๆๆๆๆ ให้รีบๆ ว่องๆ นะครับ เวลาจะรวยจะได้รวยแบบติดไอพ่น ไม่ต้องรีรอ
     
  7. Nakraksa

    Nakraksa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    3,481
    ค่าพลัง:
    +14,350
    โห น้องเทียนเอาเรื่องรวยมาล่อ เด๋วกู้เงินไปวัดเขากันดีกว่า ไปกันทั้งห้องนี่แหละ อิอิ
     
  8. Ajarn Pithak

    Ajarn Pithak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,367
    ค่าพลัง:
    +2,126
    พวกเราที่อยู่กันที่นี่เราพูดว่าการทำงานก็เพื่อเอาเหงื่อมาล้างความเห็นแก่ตัวการทำงานเป็นการปฏิบัติธรรมและมันจะทำลายความเห็นแก่ตัวได้เอง -ท่านพุทธทาส
     
  9. Ajarn Pithak

    Ajarn Pithak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,367
    ค่าพลัง:
    +2,126
    เราไม่ต้องรอให้เป็นคนที่พร้อมทุกสิ่งทุกอย่างหรอกแต่ขอให้เราสร้างสภาพแวดล้อมให้ตัวเราเองเป็นสภาพแวดล้อมแห่งธรรมะเถิด-ท่านวชิรเมธี
     
  10. Ajarn Pithak

    Ajarn Pithak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,367
    ค่าพลัง:
    +2,126
    ความอดทนมีคุณลักษณะเปรียบเหมือนผืนแผ่นดินที่มีความหนักแน่นรับได้ทั้งของดีและของเสียและเหมื่อนช้างศึกที่ฝ่าฟันไปในสนามรบไม่หวาดหวั่นจนบรรลุถึงจุดหมายที่ต้องการได้-ท่านปยุตโต
     
  11. Ajarn Pithak

    Ajarn Pithak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,367
    ค่าพลัง:
    +2,126
    [​IMG]

    พระราชสังวรญาณ (พุธ ฐานิโย)
    วัดป่าสาลวัน อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา

    ทำไมพระพุทธเจ้าจึงสอนศีล ๕

    ในเมื่อเรามาถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะที่พึ่ง ก็หมายความว่า เราจะรับเอาพระพุทธเจ้าเป็นพระบรมศาสดา
    สมมติว่า พระพุทธรูปท่านพูดได้ เราปฏิญาณตนว่า
    "พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้าว่าเป็นที่พึ่งที่ระลึก"
    ถ้าพระพุทธเจ้าท่านพูดได้….. "เธอจะเอาจริงไหม"
    ถ้าเราตอบท่านว่า "เอาจริง"
    "เอา จริงแล้วปฏิบัติตามคำสั่งของเราได้ไหม"
    "คำสั่ง ของพระองค์ท่านคืออะไร"
    "ศีล ๕ ประการนั้นอย่างไร"
    "โอ๊ย! ปฏิบัติไม่ได้แล้ว มันยาก"
    "ช่วยไม่ได้" พระองค์จะบอกเราอย่างนี้
    ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น เพราะว่า ศีล ๕ ข้อนี้เป็นหลักธรรมที่เป็นข้อมูล เป็นจุดเริ่มแห่งการกระทำที่เป็นความดี ในฐานะที่เราเป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้า
    ธรรม ทั้งหลายที่กล่าวอยู่นั้น มันเป็นธรรมะกลาง ๆ หลักปฏิบัติสมาธิภาวนาก็เป็นหลักกลาง ๆ ไม่สังกัดในลัทธิและศาสนาใด ๆ ทั้งสิ้น แต่ว่าศีล ๕ ข้อนี่มันเป็นบทบัญญัติที่พระพุทธเจ้ายอมรับ ยอมรับเอามาสมทบกับหลักคำสอน
    ศีล ๕ ประการนี้ พระเจ้าองค์ใดบัญญัติไว้เราก็ไม่ทราบได้ยินแต่ว่าเป็นมนุษยธรรม ไม่ได้กล่าวว่าพระพุทธเจ้าทรงบัญญัติ เรารับทราบกันเพียงว่าเป็นมนุษยธรรม เพราะเป็นธรรมที่ไม่เคยสาบสูญไปจากโลก


    ศีล ๕ คือจุดกำเนิดของความดีทั้งปวง

    …ผู้ใดปฏิบัติธรรมคำสอนของพระบรมศาสดา ให้เกิดผลเกิดประโยชน์ทางมรรคผลนิพพานอย่างแท้จริง ขอให้ยึดมั่นในศีล ๕ ประการ เมื่อท่านมีศีล ๕ ข้อนี้โดยบริสุทธิ์บริบูรณ์แล้ว ความเป็นมนุษย์ของท่านสมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์เต็ม
    เมื่อเป็นเช่นนั้น ท่านจะปลูกฝังคุณความดีอันใดลงไป คุณความดีอันนั้นก็จะฝังแน่นในกาย ในวาจา และใจของท่าน


    สงครามที่มีการประหัตประหารซึ่งกันและกันด้วยอาวุธระเบิด


    ศีล ๕ ป้องกันการฆ่า

    …การรักษาศีล ๕ เพื่อป้องกันไม่ให้มนุษย์ฆ่ากัน เราพยายามฆ่าเขา เขาต้องพยายามฆ่าเราตอบ
    ถ้าสมมติว่าเราไปฆ่าพ่อ ฆ่าแม่เขาตาย ลูกเต้าหลานเหลนเขามี เขาก็ผูกพยาบาทอาฆาต พยายามแก้แค้น เพราะ
    - ปาณาติบาต การฆ่าเป็นเหตุให้เกิดการอาฆาตจองเวรและเป็นเหตุให้มนุษย์เกิดมีการฆ่ากัน
    - อทินนาทาน เบียดเบียนทรัพย์สมบัติของท่าน ท่านโกรธท่านก็ฆ่าเอา
    - กาเมสุมิจฉาจาร ข่มเหงน้ำใจท่าน ท่านโกรธ ท่านก็ฆ่าเอา
    - สุรามัวเมา มอมเมาตัวเองคุมสติไม่อยู่ เดี๋ยวก็ทะเลาะเบาะแว้งกันแล้วก็ได้ฆ่ากัน
    …ถ้า หากว่าใครไม่สามารถที่จะรักษาศีล ๕ ได้ตลอดถึงสัตว์เดรัจฉาน ไม่ต้องหนักใจ ตั้งใจกันเอาอย่างนี้ ขึ้นชื่อว่ามนุษย์ฉันจะไม่ฆ่า ไม่เบียดเบียน ไม่ข่มเหง ไม่รังแก ใครมีความจำเป็นจะฆ่าเป็ดฆ่าไก่แกงกินเชิญตามสบาย แต่ว่ามนุษย์อย่าไปแตะต้อง
    ในเมื่อเราปรับพื้น ฐานรักษาในระดับมนุษย์ให้มีพื้นฐานอันมั่นคง จนรู้สึกว่ามนุษย์นี้เราแตะต้องไม่ได้ ฆ่าไม่ได้ เบียดเบียนไม่ได้ ความเมตตาปราณีมันจะเพิ่มพลังงานขึ้น ในที่สุดมันจะแผ่คลุมไปถึงสัตว์เดรัจฉานเอง แล้วสัตว์เดรัจฉานเราก็จะฆ่าไม่ได้ นี่ความเป็นไปของมันจะเป็นอย่างนี้ เช่นอย่าง นักรักษาศีลบางคน แม้แต่มดแมงก็ไม่ฆ่า แต่โมโหมาจับปืนยิงเพื่อนมนุษย์อะไรทำนองนี้ แสดงว่าเราปูพื้นฐานในระดับมนุษย์ไม่สมบูรณ์



    ตัดกรรมตัดเวรด้วยศีล ๕

    การ ทำบาปทำกรรม สิ่งที่เรียกว่าเป็นบาป การกระทำด้วยกาย ด้วยวาจา โดยมีใจเป็นผู้เจตนา คือมีความตั้งใจทำลงไปแล้วเป็นบาปทันที มีแต่ละเมิดศีล ๕ ข้อเท่านั้น นอกนั้นไม่มีปัญหา เพราะฉะนั้นใครรักษาศีล ๕ ให้ บริสุทธิ์บริบูรณ์ จึงเป็นการตัดทอนผลเพิ่มของบาปกรรม
    …พระพุทธเจ้าสอนไว้ว่า ใครทำกรรมใดไว้ ได้รับผลของกรรมนั้นแน่นอนหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไปทำพิธีตัดกรรมก็เป็นการลบล้างคำสอนของพระพุทธเจ้า กรรมใดใครก่อลงไปแล้ว ใจเป็นผู้จงใจคือเจตนาที่ทำลงไป พอทำลงไปแล้วกรรมอันเป็นบาป ภายหลังมาเรามานึกว่าเราไม่ต้องการผลของบาป มันก็หลีกเลี่ยงปฏิเสธไม่ได้ เพราะใจเป็นผู้สั่งให้ กาย วาจา ทำลงไป พูดลงไป ใจตัวนี้ต้องรับผิดชอบโดยความเป็นธรรม โดยหลักของธรรมชาติ เพราะฉะนั้น การที่เราจะไปทำพิธีตัดกรรมนี่หมายถึงตัดผลของบาป มันตัดไม่ได้ อย่าไปเข้าใจผิด
    ขอให้พุทธบริษัททั้งหลาย จงปลูกฝังนิสัยให้เด็กของเราในข้อนี้เป็นเรื่องจำเป็นและสำคัญที่สุด ถ้าเด็ก ๆ ของเรานี่ไปเข้าใจว่าทำบาปทำกรรมแล้วไปทำพิธีล้างบาปทำพิธีตัดกรรม แล้วมันหมดบาป ประเดี๋ยวเด็ก ๆ มันทำบาปแล้วไปหาหลวงพ่อ หลวงพี่ ตัดบาปตัดกรรมให้ มันก็ไม่เกิดความกลัวต่อบาป เพราะฉะนั้น อย่าไปเข้าใจผิดว่าทำกรรมอันเป็นบาปแล้วตัดกรรมให้มันหมดไป มันเป็นไปไม่ได้ แต่ตัดเวรนี่มีทาง
    …เวร หมายถึงการผูกพยาบาทอาฆาต คอยแก้แค้นกันอยู่ตลอดเวลา เช่นอย่างเราฆ่าเขาตาย บางทีนึกถึงบาปกรรมกลัวว่าเขาจะอาฆาตจองเวร เราทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้เขา ถ้าหากว่าเขาได้รับส่วนกุศลจากเรา เขาได้รับความสุข เขาเลื่อนฐานะจากภาวะที่ทุกข์ทรมานไปสู่ฐานะที่มีความสุข เขานึกถึงคุณงามความดี ถึงบุญถึงคุณของเรา เขาก็อโหสิกรรมให้แก่เรา ไม่ตามล้างตามผลาญกันอีกต่อไป อันนี้ตัดเวรนี่ตัดได้



    ใช้กิเลสให้เกิดประโยชน์โดยความเป็นธรรมด้วยศีล ๕
    หลวงพ่อ หลวงพี่ทั้งหลายท่านไปเที่ยวสอนคนไปเทศน์ที่ไหน ก็บอกว่า โยม ละโลภ โกรธ หลง ให้มาก ๆ หน่อยนะ ละให้มันหมด อย่าโลภมากหลาย
    แต่อาตมะมาพิจารณาดูแล้ว พยายามละกิเลส โลภ โกรธ หลง มาแต่อายุ ๑๔ ปี เดี๋ยวนี้ ๗๐ ปีย่างแล้ว ยังมีโลภอยู่ สิ่งที่ยังโลภอยู่เวลานี้ โลภใหญ่ที่สุดก็คือ อยากให้วัดวาศาสนาเจริญ อยากให้คณะสงฆ์มีทุนการศึกษาปริยัติธรรมและการเผยแพร่ อยากให้โรงพยาบาลมีเครื่องมือเครื่องใช้ครบ ล้วนเป็นกิริยาของความโลภทั้งนั้น
    ความโลภนี้ จริงอยู่ มันเป็นกิเลสประเภทอกุศลมูล แต่เมื่อมันมีอยู่ในจิตในใจของเรานี่ เราพยายามละอย่างไรมันก็ละไม่ได้ มันไม่ใช่สิ่งที่เราจะไปอาบน้ำฟอกสบู่ให้มันสะอาดเหมือนร่างกายที่มีขี้โคลน เปรอะเปื
    ้อน มันทำอย่างนั้นไม่ได้
    …เมื่อมันมี แล้วเรายอมรับสภาพความจริงว่าเรามี… เราลองพิจารณาคุณประโยชน์ของมัน คนอยากได้ อยากดี อยากมี อยากเป็น เพราะมีความโลภ ถ้าคนหมดความโลภแล้ว จะไม่รู้จักทำอะไร เอาไว้ให้มันกระตุ้นเตือนใจให้เกิดความทะเยอทะยาน
    …สิ่งปรารถนาในสังคมมนุษย์มี ๕ อย่าง : ความมีลาภ ความมียศ สรรเสริญ ความสุข อำนาจ ห้าอย่างนี้ทุกคนปรารถนาและทุกคนมีสิทธิเสรีภาพในการแสวงหาด้วยกันทั้งนั้น แต่ว่าการแสวงหานี่ควรจะมีขอบเขต ขอบเขตก็คือศีล ๕ นั่นเอง เราทำอะไรลงไปด้วยอำนาจของกิเลส โลภ โกรธ หลง แต่ว่าเราไม่ละเมิดศีล ๕ ข้อใดข้อหนึ่ง พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ตำหนิว่าเราเป็นผู้ทำผิด


    ศีล ๕ ปรับพื้นฐานความเป็นมนุษย์
    เราทั้งหลายที่พากันนึกภูมิใจว่า เราเป็นมนุษย์ผู้มีจิตใจสูง มีความเห็นเข้าข้างตนเอง เห็นว่าเรามีขา ๒ ขา หัวชี้ฟ้า พูดได้ มีความคิดสูง ว่าเราเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์ เราพิจารณาตามหลักดูว่า…
    ขณะใดเรามีจิตใจเมตตาปรานี เอื้อเฟื้อ โอบอ้อมอารี
    ขณะนั้น ใจเราเป็นมนุษย์ กายเราก็เป็นมนุษย์
    ขณะใดใจมีหิริโอตตัปปะ อายต่อบาป สะดุ้งกลัวต่อบาป ไม่อาจทำบาปทั้งในที่
    ลับและที่แจ้ง
    ขณะนั้น กายเราเป็นมนุษย์ แต่ใจเป็นเทวดา
    ขณะใดที่ใจของเรามันเกิดโหดเ**้ยมขึ้นมา… อยากฆ่าใคร ฆ่า อยากด่าใคร ด่า
    อยากตีใคร ตี…
    ในขณะนั้น กายของเราเป็นมนุษย์ แต่ใจเป็นสัตว์เดรัจฉาน
    ขณะใดที่เราเกิดความเหนื่อยหน่ายท้อแท้ไม่เอาไหน ประโยชน์ตนไม่คำนึงถึง
    ประโยชน์ท่านก็ไม่เอา ปล่อยชีวิตให้ล่วงเลยไปโดยไม่มีประโยชน์อันใด
    ขณะ นั้น กายของเราเป็นมนุษย์ แต่ใจของเราเป็นเปรต
    ขณะ ที่เรามีความรู้สึกสำนึกผิดชอบ ชั่วดี มีจิตใจรู้ ตื่น เบิกบาน สว่าง สะอาด
    ในขณะนั้น กายของเราเป็นมนุษย์ แต่จิตใจของเราเป็นพระสงฆ์ ถ้าสำเร็จเป็นอรหันต์ ก็เป็นพระอริยเจ้า
    …นี่คือการพิจารณาตัวเองอยู่กันที่ตรงนี้
    ศีล ๕ ปูพื้นฐานการปกครองแบบประชาธิปไตย
    …หัวใจของประชาธิปไตยอยู่ที่การเคารพสิทธิมนุษยชน ผู้มีศีล ๕ บริสุทธิ์ บริบูรณ์ ก็เป็นผู้เคารพทุกสิทธิ แม้สิทธิในความมีชีวิตอยู่ของมด แมง เหลือบ ยุง เราก็เคารพเขา เพราะฉะนั้น ศีล ๕ จึงเป็นธรรมะที่เป็นมูลฐานให้เกิดการปกครองระบอบประชาธิปไตย นักกฎหมายลองเอาไปวินิจฉัยลองดูว่าเป็นจริงไหม
    สมาธิ ต้องอาศัยศีล
    …การปฏิบัติธรรมนี้ ต้องพยายามปรุงแต่งกาย วาจาให้เป็นศีลโดยเจตนาเบื้องต้นก่อน แล้วพยายามฝึกหัดจิตให้มีความมั่นคงเป็นปกติ สามารถสร้างความเป็นปกติจิตขึ้นมาได้ กลายเป็น ศีลใจ ในเมื่อศีลใจบังเกิดขึ้น ศีลกาย ศีลวาจา ก็พลอยเป็นปกติไปด้วย โดยที่เราไม่ต้องควบคุมและบังคับใด ๆ ทั้งสิ้น
    …การ ปฏิบัติธรรมสำคัญอยู่ที่ความเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ นักภาวนาที่ไม่ค่อยได้ผล หรือจิตสงบลงไปแล้วไปนิ่งซืด ๆ อยู่เฉย ๆ ไม่มีน้ำมีนวล เพราะศีลไม่บริสุทธิ์ ถ้าใครเจอปัญหาอย่างนี้ให้รีบพิจารณาศีลของตนเอง
    …สมาธิที่มีศีลเป็นหลักประกันความปลอดภัย มิจฉาสมาธิเข้ามาแทรกไม่ได้ แม้แต่จิตสงบสว่างลงไปแล้วมองเห็นภาพนิมิตต่าง ๆ ผู้ภาวนาเพราะอาศัยศีลเป็นหลักประกันความปลอดภัยจะไม่เข้าใจผิดในนิมิตนั้น ๆ
    …แม้จะเป็นนิมิตภาพผู้วิเศษ ภูติ ผี ปีศาจ ตามที่เราเข้าใจหรือใคร ๆ อาจชักจูงให้เราเข้าใจผิด เราจะไม่เข้าใจผิด แต่จะเข้าใจว่า ภาพนิมิตต่าง ๆ ที่มองเห็นนั้นเป็นแต่เพียงอารมณ์จิต เป็นมโนภาพที่จิตของเราปรุงแต่งขึ้นมา แล้วจะมีสติสัมปชัญญะรู้เท่าทัน ไม่หลงยึดในสิ่งเหล่านั้น…
    การภาวนาเห็นภาพ นิมิตต่าง ๆ นี้ ถ้าสติสัมปชัญญะไม่เพียงพอ หรือรู้ไม่ทัน อันตราย


    ศีลของจิตคือสติสัมปชัญญะ

    …กฎเกณฑ์ตั้งแต่ศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ เป็นวิธีการ เวลาท่านเรียงลำดับ ท่านยกศีลไว้ในเบื้องต้นเพราะว่า ศีลเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เราต้องละวางโดยเจตนา…
    เมื่อ เรารักษากาย วาจา ให้เรียบร้อยเป็นปกติ กายปกติ วาจาปกติ ก็เป็นเหตุ เป็นปัจจัยหนุนเนื่องให้จิตมีความเป็นปกติ เมื่อจิตเป็นปกติ ศีลก็วิ่งไปสู่จิต จิตจะปรากฏเหลือแต่
    สติวินโย ตัวเดียว คือมีสติเป็นผู้นำ มีความสำนึกผิดชอบชั่วดีอยู่ตลอดเวลา เป็นสัญญลักษณ์ให้เรารู้ตัวว่า พุทธะ กำลังเกิดขึ้นที่จิตของเรา
    เมื่อจิตมีสติสัมปชัญญะควบคุมกันอยู่ตลอดเวลา สำนึกรู้พร้อมอยู่ตลอดเวลา บางครั้งบางโอกาสจิตจะวิ่งไปสู่ความสงบนิ่ง รู้ ตื่น เบิกบาน มีปีติ มีความสุข ก็กลายเป็นจิตพุทธะ แล้วการปฏิบัติศีล สมาธิ ปัญญา ปฏิบัติไปแล้ว สมาธิก็ดี ปัญญาก็ดี กลายเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เกิดศีลอย่างมั่นคง


    ฝึกสติ เพื่อสร้างจิตให้เป็นพุทธะ

    เพียงแต่เราทำสติตามรู้การยืน เดิน นั่ง นอน รับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิด ไม่ต้องไปนั่งสมาธิ หลับตาภาวนากันที่ไหนไม่ต้องเข้าห้องกรรมฐาน ๗ วัน ๑๕ วัน ไม่ต้องสละงานในหน้าที่ที่เรารับผิดชอบอยู่ไปสู่สถานที่วิเวกแห่งใด… เมื่อเราพยายามฝึกหัดทำสมาธิแบบนี้ เราจะไม่พบอุปสรรคขัดขวางการปฏิบัติ และเราไม่ต้องเลือกกาล เลือกเวลา ไม่ต้องอ้างโน่นอ้างนี่ว่าเราไม่มีเวลาจะทำ…
    …ใน หลักมหาสติปัฏฐานท่านสอนว่า การก้าวไปก็รู้ การถอยกลับก็รู้ การคู้แขนเหยียดแขนก็รู้… เอาตัวรู้ตัวเดียวตามรู้ เมื่อสติสัมปชัญญะทรงพลังขึ้น ตัวรู้ที่เราตกแต่งเอานี้จะกลายเป็นอัตโนมัติ สามารถที่จะตามรู้ความรู้สึกนึกคิดและความเคลื่อนไหวของเราเองทุกขณะจิต เมื่อตัวรู้นี้มีพลังแก่กล้าขึ้น จิตสามารถที่จะมีสติตามรู้ทุกอย่างอันเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของเราอยู่ ทุกขณะจิ
    ต เมื่อเป็นเช่นนั้นโอกาสที่จิตจะสงบลงเป็นสมาธิย่อมมีได้ในโอกาสใดโอกาสหนึ่ง
    …พยายามกำหนดพิจารณารู้เรื่องของจิตของกายนี้ ให้รู้ชัดเจนลงไป อย่ามัวแต่มุ่งที่จะรู้โลกหน้าโลกอื่น รู้แล้วก็ไม่มีประโยชน์อะไร ถ้าภาวนาไปแล้วไปเห็นเทวดา ๆ เขาก็ไม่มาช่วยขัดกิเลสให้เราหรอก ถ้าภาวนาแล้วไปเห็นนรก เราจะเอาน้ำทองแดงในหม้อนรกมาชำระล้างกิเลสก็เป็นไปไม่ได้ เห็นพระอินทร์ พระพรหมท่านก็ช่วยอะไรเราไม่ได้
    การปฏิบัติธรรม ตามแนวพระพุทธเจ้าที่ถูกต้อง อยู่ที่การสร้างจิตของตัวเองให้มีพลังเข้มแข็ง มีสติสัมปชัญญะรู้รอบอยู่ที่ตัวเอง สามารถยืนหยัดอยู่ในความเป็นอิสระได้ตลอดกาล ไม่ต้องพึ่งพาอาศัยอะไร พุทโธ ธัมโม สังโฆ หรืออารมณ์ที่กำหนดรู้ เป็นแต่เพียงสื่อนำจิตให้ดำเนินเข้าไปสู่ความสงบตั้งมั่นเป็นสมาธิ มีสติปัญญา เมื่อเรามีสมาธิ มีสติปัญญาแก่กล้าแล้ว คำว่า พุทโธ ธัมโม สังโฆ หรือสิ่งที่กำหนดเหล่านั้นไม่มีความหมาย เรามากำหนดหมายเอาเฉพาะแต่สิ่งที่มาสัมผัสรู้กับจิต แล้วสติรู้ทันในขณะปัจจุบัน นี่เป็นเรื่องสำคัญ



    ผลเบื้องต้น

    …แม้ ว่าใครภาวนาแล้วจิตไม่สงบเป็นสมาธิ ไม่ได้ญาณไม่ได้ฌานอย่างที่ท่านว่าก็ตาม แม้ไม่รู้เห็นอะไรก็ตามแต่ให้สังเกตดูสติของเรานี้มันดีขึ้นกว่าที่เราไม่ เคยภาวนาไห
    ม ถ้าสังเกตดูสติ เมื่อเรามีความคิดอะไรแล้วสติมันโผล่ขึ้นมา คิดอะไรมันตามรู้ไป ๆ เมื่อพูดมันไปจ้องอยู่กับคำพูด เมื่อคิดมันไปจ้องอยู่กับความคิด เมื่อทำงานมันไปจ้องอยู่กับงาน เมื่อมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น จิตสามารถมีสติปัญญาแก้ไขปัญหาในปัจจุบันได้ทันท่วงที เมื่อมีปัญหาชีวิตประจำวันมันแก้ได้ เมื่อมีปัญหาการงานมันแก้ได้ ขอให้สังเกตดู ถ้าได้อย่างนี้แล้ว แม้ว่าจิตจะยังไม่สงบเป็นสมาธิเท่าที่ควรก็ตาม ถือว่าเป็นการปฏิบัติได้ผล


    ผลบั้นปลาย

    …ขณะใดที่เราสามารถฝึกอบรมจิตใจของเราให้มีสติสัมปชัญญะกลายเป็น ตัวปกติเด่นชัดอยู่ภ
    ายใน เมื่อสิ่งใดเกิดขึ้นรู้ รู้แล้วจักปล่อยวาง มีสติสัมปชัญญะ มีปัญญารู้แจ้งเห็นจริงในกฎธรรมชาติ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ปล่อยวางจิตเป็นกลางโดยปกติ เป็นกลางโดยเที่ยงธรรม สิ่งใดเกิดขึ้นดับไปภายในจิต สักแต่ว่ารับรู้ รู้แล้วก็ปล่อยวางไป เพราะอาศัยความที่จิตมีสติสัมปชัญญะเข้มแข็ง สามารถปรุงจิตให้มีพลังงานดำรงตัวเด่นอยู่โดยความเป็นอิสระ ไม่ตกอยู่ในอำนาจของสิ่งใด เมื่อเป็นเช่นนั้น นิโรธ ธรรมชาติของจริงฝ่ายคุณธรรมที่เราปฏิบัติถึงย่อมปรากฏเด่นชัดขึ้นมา
    เมื่อจิตเป็นปกติ ไม่หวั่นไหวต่อกิเลสและอารมณ์ มีแต่ความปกติ รู้ ตื่น เบิกบานอยู่ตลอดเวลา เปรียบเหมือนน้ำในท้องทะเลหรือน้ำในขัน ในตุ่ม ที่ไม่กระเพื่อมมีแต่นิ่งปราศจากคลื่นฟอง แม้น้ำจะลึกแสนลึก แต่เราสามารถมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างในใต้ท้องทะเลหรือก้นตุ่ม ก้นขันได้อย่างถนัด แม้จะมองดูเงาหน้าของเราก็มองเห็นได้ชัดเจน
    เมื่อจิตของเราเป็นปกติ นิ่ง ไม่กระเพื่อม รู้ ตื่น เบิกบานเป็นปกติ เราก็สามารถมองเห็นสภาพความจริงภายในจิต เปรียบเหมือนมองเห็นเงาหน้าของตัวเอง นอกจากจะมองเห็นเงาหน้าของตัวเองแล้ว ยังมองเห็นช่องทางที่จะดำเนินชีวิตไป เพื่อปฏิบัติดำเนินชีวิตไปสู่แนวทางแห่งการบรรลุมรรค ผล นิพพาน หรือการพ้นทุกข์ซึ่งเรียกว่า มัคคปฏิปทา ย่อมปรากฏเด่นชัดขึ้น นี่คือกฎธรรมชาติฝ่ายดี ซึ่งเกิดจากศีล สมาธิ ปัญญา ที่เราอบรมแล้ว

    ที่มาจากเว็บ http://www.agalico.com/board/showthread.php?t=19474
     
  12. Ajarn Pithak

    Ajarn Pithak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,367
    ค่าพลัง:
    +2,126






    เนื้อเรื่องและรูปมาจาก เวบพลังจิต ครับ เป็นสิ่งที่ดีครับ จึงขออนุญาต เผยแพร่ครับ

    ใน
    สมัย ต้นปฐมกัป มีพญากาเผือกสองตัวผัวเมีย ทำรังอยู่ที่ต้นมะเดื่อริมฝั่งแม่น้ำคงคาอันเป็นธรรมชาติสถาน รื่นรมย์ ในเวลาต่อมาต่อมา พระโพธิสัตว์ ได้ทรงปฏิสนธิเกิดในครรภ์แม่พญากาเผือก พร้อมกันถึง ๕ พระองค์ เมื่อครบทศมาส แม่กาเผือกก็ออกไข่ ณ ที่รังต้นมะเดื่อ จำนวน ๕ ฟอง (สถานที่นี้ในกาลต่อมาเรียกว่า วัดพระเกิด) และคอยเฝ้า ดูแลรักษาไข่ด้วยความทะนุถนอมเป็นอย่างดี อยู่ มาวันหนึ่งพญากาเผือกออกไปหากินถิ่นแดนไกลไปถึงสถานที่แห่งหนึ่งอันสมบูรณ์ ด้วยธรรมชาติ แม่กาเผือกเพลินหากินอาหาร ชื่นชมกับธรรมชาติจนมืดค่ำ เกิดลมพายุใหญ่พัดกระหน่ำมืดครึ้มทั่วไปหมด ทำให้หาหนทางออก ไม่ถูก จึงหลงอยู่ในบริเวณสถานที่นั้น (สถานที่นั้นในกาลต่อมาเรียกว่า เวียงกาหลง) แม่กาเผือกได้อยู่ที่เวียงกาหลง คืนหนึ่ง จนเช้าจึงรีบถลาบินกลับที่พัก แต่ปรากฏว่ากิ่งไม้มะเดื่อที่ทำรังอยู่ถูกลมพายุใหญ่พัดหักล้มลงไปในแม่น้ำ แม่กาเผือกตกใจรีบบินถลาหาลูกที่ยังอยู่ในไข่ แต่หาเท่าไรก็ไม่พบ ด้วยความเศร้าโศกเสียใจ ในที่สุดก็สิ้นใจตายอย่างน่าสงสาร

    แต่ ด้วยอานิสงส์ที่มีความเมตตารักลูกอันบริสุทธิ์กับทั้งที่ลูกของแม่กา เผือกเป็นพระโพธิสัตว์ถึง ๕ พระองค์ จึงเป็นกุศลหนุนส่งให้แม่กาเผือกไปจุติยังแดนพรหมโลกชั้นสุทธาวาส ได้พระนามว่า “ฆติกามหาพรหม” จักได้เป็นผู้ถวาย อัฏฐะบริขาร บวชแก่ลูกทั้ง ๕ พระองค์ เมื่อจะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ส่วนไข่ทั้ง ๕ ถูกลมพัดตกน้ำไหลไปในสถานที่ต่าง ๆ ไข่ฟองที่ ๑ แม่ไก่เก็บไปดูแลรักษา ไข่ฟองที่ ๒ แม่นาคราชเก็บไปดูแลรักษา ไข่ฟองที่ ๓ แม่เต่า เก็บไปดูแลรักษา ไข่ฟองที่ ๔ แม่โคเก็บไปดูแลรักษา ไข่ฟองที่ ๕ แม่ราชสีห์เก็บไปดูแลรักษา

    ครั้น ใน กาลเวลาต่อมา พระโพธิสัตว์ทั้ง ๕ ก็ประสูติออกจากไข่ ปรากฏเป็นมนุษย์บุรุษรูปงานทั้ง ๕ พระองค์ และเจริญเติบโตอยู่กับแม่เลี้ยงด้วยความกตัญญู รู้จักหน้าที่ ทดแทนบุญคุณจนถึงอายุได้ ๑๒ ปี ด้วยบุญกุศลเก่าหนุนส่งก็มีจิตคิดที่จะออกบวชบำเพ็ญเนกขัมมะบารมี เป็นฤาษีอยู่ในป่า จึงได้อำลาแม่เลี้ยงของตนเหมือนกันทั้ง ๕ พระองค์ ฝ่ายแม่เลี้ยงก็ไม่ขัดความประสงค์ อนุญาตให้ลูกไปบวช บำเพ็ญบารมีอยู่ในป่าด้วยความอนุโมทนา

    แม่ เลี้ยงทั้ง ๕ เป็นปณิธานที่มุ่งมั่น จะบำเพ็ญบารมีพระโพธิญาณ เพื่อเป็นพระพุทธเจ้าโปรดสัตว์โลกให้พ้นจากกองทุกข์ในวัฏฏะสงสาร จึงฝากนามของแม่เลี้ยงไว้กับลูกเพื่อเป็นอนุสรณ์ตำนานไว้แก่โลกต่อไปในภาค หน้า เมื่อลูกได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าโปรดโลกแล้วตามลำดับพระนามดังต่อไปนี้

    องค์ที่ ๑ มีพระนามว่า พระกกุสันโธ เพราะตามนามแม่เลี้ยงเป็นไก่

    องค์ ที่ ๒ มีพระนามว่า พระโกนาคมโน เพราะตามนามแม่เลี้ยงเป็นนาค

    องค์ที่ ๓ มีพระนามว่า พระกัสสโป เพราะตามนามแม่เลี้ยงเป็นเต่า

    องค์ ที่ ๔ มีพระนามว่า พระโคตโม เพราะตามนามแม่เลี้ยงเป็นโค

    องค์ที่ ๕ มีพระนามว่า พระศรีอาริยเมตไตรโย เพราะตามนามแม่เลี้ยงเป็นราชสีห์

    ในกัปนี้ชื่อว่า ภัททกัปเป็นกัปที่เจริญที่สุดเพราะมีพระ พุทธเจ้าเกิดขึ้นในโลกนี้ถึง ๕ พระองค์ จึงเป็นที่มาของ คำว่า “นโมพุทธายะ” นะ คือ พระกกุสันโธ โม คือ พระโกนาคมโน พุท คือ พระกัสสโป ธา คือ พระโคตโมยะ คือ พระศรีอาริยเมตไตรโย จนเป็นคาถาที่ใช้สืบต่อกันมา ฝ่าย พระโพธิสัตว์ ทั้ง ๕ เมื่อออกบวชเป็นฤาษีก็ได้บำเพ็ญเพียรพระกัมมัฏฐานจนสำเร็จญาณอภิญญาสมาบัติ อยู่มาวันหนึ่งได้เหาะมาหาอาหารผลไม้ และบำเพ็ญเพียรธรรมที่ป่าดอยสิงกุตตระ ณ ใต้ต้นนิโครธ อันร่มเย็นด้วยกิ่งไม้สาขาใหญ่ ฤาษีทั้ง ๕ ได้มาพบกัน ณ ที่นี้โดยไม่ได้นัดหมาย จึงสอบถามถึงความเป็นมาของกันและกันจนรู้ว่าแต่ละองค์ก็มีแต่แม่เลี้ยง ฤาษีทั้ง ๕ จึงร่วมกันตั้งสัจจะอธิษฐานขอให้ได้พบแม่บังเกิดเกล้า ด้วยอำนาจสัจจะอธิษฐานธรรมอันบริสุทธิ์ดังก้องไปถึงพรหมโลก ท้าวฆติกามหาพรหม ซึ่งเดิมคือ แม่กาเผือก ทราบเหตุการณ์ทั้งหมดจึงจำแลงเพศเป็นรูปเดิม ขนขาวสวยงาม มาปรากฏตัวอยู่ข้างหน้าของฤาษีทั้ง ๕ เมื่อลูกฤาษีได้ทราบเรื่องราวทั้งหมด ก็รู้สึกสลดสังเวชใจและสำนึกบุญคุณอันใหญ่หลวงของแม่กาเผือก จึงน้อมนมัสการผู้เป็นแม่ กราบขอสัญลักษณ์อนุสรณ์ผู้บังเกิดเกล้าไว้บูชา ได้มาเป็นผ้าฝ้ายเป็นตีนกาสัญลักษณ์ของแม่กาเผือกให้แก่ลูกฤาษีทั้ง ๕ ไว้ใช้เป็นไส้ประทีปจุดบูชาทุกวันพระ และต่อมาได้กลายเป็นประเพณีจุดประทีปตีนกาบูชาแม่กาเผือก ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ ลอยกระทง เป็นตำนานสืบไว้ตลอดกาลนาน

    ฤาษี โพธิสัตว์ทั้ง ๕ ต่างพากันตั้งหน้าบำเพ็ญเพียรรักษาศีลธรรมภาวนามิได้ขาดจนดับขันธ์ ได้ไปจุติบนเทวโลกชั้นดุสิตพิภพ และในกาลต่อมาก็วนเวียนบำเพ็ญเพียรบารมีทุกภพชาติที่กำเนิดเกิดในสงสารวัฏ นี้ จนบารมีเต็มเปี่ยมสมบูรณ์ทั้ง 30 ทัศแล้ว ก็ ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ฆติกามหาพรหมผู้เป็นแม่ต้นกัปโลกา ก็จะนำเอาบริขาร คือ บาตรไตรจีวร มาถวายลูกโพธิสัตว์ทั้ง ๕ พระองค์ในชาติสุดท้ายที่จะได้เป็นพระพุทธเจ้าโปรดโลกทุกพระองค์

    กาล เวลาอันยาวนานผ่านไปจนถึงปัจจุบัน พระโพธิสัตว์ลูกแม่กาเผือก ก็ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าโปรดโลกไปแล้วถึง ๔ พระองค์ ตามลำดับดังนี้

    พระกกุ สันโธสัมมาสัมพุทธเจ้า มีอายุ ๔ หมื่นปี มีเขมวตีนนครของพระเจ้าเขมะเป็นราชธานี

    พระโกนาคมโนสัมมาสัมพุทธเจ้า มีอายุ ๓ หมื่นปี มีโสภวตีนนครของพระเจ้าโสภะเป็นราชธานี

    พระกัสสโปสัมมาสัมพุทธเจ้า มีอายุ ๒ หมื่นปี มีพาราณสีนครของพระเจ้ากิงกิเป็นราชธานี

    พระโคตโมสัมมาสัมพุทธเจ้า มีอายุ ๘๐ ปี มีกบิลพัสดุ์นครของพระพุทธเจ้าสุทโธทนะเป็นราชธาน

    ส่วน พระโพธิสัตว์องค์ที่ ๕ อันเป็นลูกองค์สุดท้ายของแม่กาเผือก คือ พระศรีอริยเมตไตรย์ จักเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๕ ในภัททกัป จะมีอายุถึง ๘ หมื่นปี



    นิทานแม่กาเผือก
    "ปฐม กาลปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า ของพระโพธิสัตว์เจ้า ๕ พระองค์"

    ย้อนหลังไป ๒๐ อสงไขย กับอีก ๑ มหาแสนกัปป์ สมัยอยู่ในช่วง มัณ ฑกัปป์ ที่มีพระพุทธเจ้าได้เสด็จมาอุบัติตรัสรู้ในโลก ๔ พระองค์ คือ

    พระสัมมา สัมพุทธเจ้าตัณหังกรพุทธเจ้า
    พระสัมมา สัมพุทธเจ้าเมธังกรพุทธเจ้า
    พระสัมมา สัมพุทธสรณังกรพุทธเจ้า
    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทีปังกร พุทธเจ้า

    ในสมัย พระพุทธเจ้าทีปังกร นั้น ยังมีไก่ป่าตัวหนึ่งอาศัยอยู่ไม่ไกลจากอารามที่ประทับของพระองค์ ตอนกลางวันก็จะเที่ยวออกหากินภายในบริเวณวัด ได้มีโอกาสพบเห็นพระพุทธเจ้าอยู่เป็นประจำ ก็ บังเกิดความศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธเจ้า จึงเกิดมีความปรารถนาอยากเป็นพระพุทธเจ้าบ้าง...

    วิตก อยู่หลายวันเพราะคิดว่าตัวเองเป็นเพียงสัตว์เดรัจฉาน จะคิดการได้สำเร็จหรือไม่จนร่างกายผ่ายผอม อยู่มาวันหนึ่งเป็นวันคืนเดือนเพ็ญ ๑๕ ค่ำ พระจันทร์เต็มดวงจึงเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าเพื่อทูลถามปัญหาข้อใจนั้น พระองค์ทรงทราบด้วยญาณวิถีแห่งพระองค์ว่า จะมีไก่ตัวหนึ่งมีความประสงค์จะเข้ามาเฝ้าเพื่อต้องการทูลถามปัญหาทั้งปวง เป็นปัญหาที่จะนำมาซึ่งประโยชน์แก่สัตว์โลกทั้งหลาย เป็นปัญหาที่ไม่เคยมีใครๆ เคยถามมาก่อนพระองค์จึงได้ทรงตรัสเรียกไก่ตัวนั้นที่พักอยู่ใต้ต้นไม้ใกล้ๆ นั้นให้เข้ามาหา

    "ดู ก่อนเจ้าไก่ ! เจ้าจงเข้ามาเถิด เราจะช่วยยกปัญหาอันหนักออกจากจิตให้"

    ฝ่าย ไก่เมื่อได้ยินพระดำรัสนี้ จึงเกิดความอัศจรรย์เป็นยิ่งนัก เพราะพระองค์ทรงรู้ความคิดของตนเอง จึงตัดสินใจเดินเข้าไปใกล้พระองค์ให้ทรงรู้ความคิดของตนเอง จึงตัดสินใจเดินเข้าไปใกล้ พระองค์ทรงให้การต้อนรับในท่าอิริยาบถที่สบายเป็นกันเองกับไก่ด้วยการประทับ นั่งห้อยพระบาทคงข้างพระพุทธอาสน์เพื่อเปลี่ยนอิริยาบถของพระวรกายแล้วได้ ตรัสว่า

    “เจ้ามีปัญหา คาจิตอันใด ก็ถามเราได้เลย”

    ไก้จึงทูลถามว่า

    " ข้าพระพุทธองค์เป็นสัตว์ที่เกิดมาด้วยภูมิอันต่ำแต่มีความปรารถนาที่ตั้งใจ จริงอยากเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งในอนาคตกาลเสมือนดังพุทธองค์ ความต้องการวันนี้อของข้าพระพุทธเจ้าไม่รู้ว่าจะบรรลุดังเจตจำนงหรือไม่"

    เมื่อ พระพุทธองค์ได้ทราบแล้วจึงทรงแสดงธรรมการสร้างบารมีทังหลายให้ไก่ได้ฟังว่า จักสำเร็จได้ ด้วยการสร้างบารมีทั้งหลายอันยาวนานนั้น บุคคลที่ทำการสร้างบารมีนั้นเรียกว่าพระโพธิสัตว์ เมื่อยังไม่ได้รับการพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งนั้น เรียกว่าอนิยต โพธิสัตว์คือ พระโพธิสัตว์ที่ยังไม่แน่ใจว่าจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าหรือไม่ ครั้นเมื่อได้รับพยากรร์จากพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งแล้วจึงได้ชื่อ ว่า
    พระนิยตโพธิสัตว์ คือ พระโพธิสัตว์ที่จะได้มาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน

    เมื่อ ไก่ได้ฟังแล้วจึงได้ทูลถามถึงพิธีการปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าครั้งแรก พระพุทธองค์จึงตรัสถึงประเพณีที่นิยมว่าให้ก่อกองทรายให้เป็นรูปเจดีย์และหา เครื่องสักการะต่างๆ อันควรที่จะหาได้ เช่น ดอกไม้ แล้วกล่าวคำสรรเสริญแก่พระรัตนตรัย ต่อจากนั้นให้ตั้งสัจจอธิษฐานปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่ง ในอนาคต แล้วในที่สุดให้ตั้งใจสมาทานศีลห้าเป็นพื้นฐานก่อน เมื่อถึงวันพระก็ให้สมาทานศีลแปดตามกำลังความเหมาะสม และสภาวะของตนแล้วตั้งใจบำเพ็ญบารมีไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่

    "แม้เป็นสัตว์ก็สามารถปรารถนา
    เป็นหน่อพุทธางกูลได้"

    ไก่ ประเสริฐตัวนั้น จึงทูลลาพระชินสีห์กลับไปยังที่พักของตนและได้เดินเวียนประทักษิณรอบแห่ง ธรรมสภานั้นก่อนด้วยความเคารพบูชาที่มีต่อพระพุทธองค์ ในวันต่อมาไก่ตัวนั้นก็ได้เดินไปที่หาดทรายอันขาวสะอาดบริสุทธิ์ดังดอกฝ้าย จึงได้ใช้เท้าของตัวเองเขี่ยทรายให้เป็นกอง แล้วตั้งจิตจำนงอันแน่วแน่พร้อมกับส่งเสียงออกมาทางปากว่า

    "เราจะเป็นพระ พุทธเจ้า ๆ ๆ ๆ อยู่อย่างนี้ตลอดเวลาโดยไม่รู้เหน็ดเหนื่อย
    จนทรายสูงขึ้นท่วมหัวไก่"

    ยังมี อีเห็น ตัวหนึ่งมีลักษณะคล้ายกับชะมดและพังพอน มี ลำตัวเรียวยาวขาสั้น หางยาวมีปากแหลมยาวกำลังออกหากินอยู่บริเวณนั้น ได้ยินเสียงไก่จึงคิดจะจับกิน ครั้นมาเห็นอาการของไก่ดังนั้นจึงแปลกใจและไก่เองก็ไม่มีความกลัวตายเลยจึงเข้าไปถามไก่ เมื่อได้รับรู้ความจริงดังนั้นก็ เกิดศรัทธาอยากจะ เป็นพระพุทธเจ้าบ้าง จึงช่วยไก่นั้นก่อเจดีย์ทราย โดยเอาขาหน้าทั้งสองเขี่ยทรายขึ้น เอาขาหลังทั้งสองเหยียบกันไว้ ทำให้ทรายสูงขึ้นโดนลำดับจนถึงเที่ยงคืน

    ยังมี เต่า ตัวหนึ่งออกหากินอยู่บริเวณนั้น ได้ยินไก่และอีเห็นจึงเกิดความสงสัยค่อยคลานมาดูแล้วก็ต้องอัศจรรย์ใจแก่ภาพ ที่ปรากฎอยู่เบื้องหน้า ที่เห็น ไก่และอีเห็นกำลังช่วยกันก่อ เจดีย์ทรายปากก็ร้องว่า

    "เราจะเป็นพระพุทธเจ้า ๆ ๆ ๆ"

    อย่างไม่ รู้จักเหน็ดเหนื่อยเพราะสัตว์ทั้งสองนี้ อันที่จริงนั้นจักอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้เพราะถ้าอีเห็นเจอไก่เมื่อไรก็ต้องไล่จับกินเสียเมื่อนั้นแต่ณ ที่นี้สัตว์ทั้งสองอยู่ด้วยกันถมช่วยกันทำงานด้วยความตั้งใจสามัคคีกันอีก เต่าจึงเข้าไปถามไถ่เพื่อให้แจ้งใจ เมื่อได้รับทราบเหตุการณ์อันนั้นจากไก่ ซึ่งถือว่าเป็นพี่ใหญ่ ในขณะนั้นก็บังเกิดความเลื่อมใส จึงขออนุญาตไก่ช่วยร่วมสร้างเจดีย์ทรายกองนั้น เพื่อความที่จะได้เป็นพระพุทธเจ้าด้วย โดยเต่าได้ใช้หัวบ้าง กระดองบ้าง ใต้ท้องกระดองบ้าง ดันทรายขึ้นให้เป็นกองตามความสามารถของตน ที่จะกระทำได้ สัตว์ทั้งสามปฏิบัติก่อการใหญ่ โดยการพยายามทำทรายให้เป็นกองใหญ่ จนเวลาล่วงเลยไปถึงบ่ายสองโมง

    จะขอกล่าวถึง โค ตัวหนึ่งกำหลังกินหญ้าอยู่บริเวณใกล้แม่น้ำเนรัญชรานั้น มีนายพรานคนหนึ่งออกป่าล่าสัตว์ได้เห็นโคตัวนั้น จึงใช้หน้าไม้ยิงใส่โคตัวนั้น แต้โคตัวนั้นได้วิ่งหนีไปจนไกล โคตัวนั้นได้หนีมาจนกระทั่งมาพบสัตว์ทั้งสามตัว คือ ไก่ อีเห็น เต่า กำลังก่อเจดีย์ทราย ดังนั้นจึงเข้าไปถามด้วยความอัศจรรย์ใจในเหตุการณ์นั้น ครั้นเมื่อได้รู้ดังนั้นจึงขออนุญาตจากไก่ได้ร่วมสร้างเจดีย์ทราย

    "เพื่อปรารถนาเป็นหน่อของพุทธางกูรด้วย"

    เมื่อ ไก่อนุญาตแล้วโคก็เข้าไปช่วยโดยใช้เท้าทั้งข้างหน้าและข้างหลังเขี่ยทรายให้ สูงขึ้น บางครั้งก็พูดออกมาว่า ถ้าแม้นายพรานตามมาทันและจะมาฆ่าแล่เอาเนื้อตนไป ก็ไม่เสียดายและ พร้อมที่จะทานเลือดเนื้อนี้ แลชีวิตนี้ เพื่อพระโพธิญาณอันประเสริฐนั้น แล้วก็เปล่งคำว่า

    "เราจะเป็นพระ พุทธเจ้า ๆ ๆ ๆ
    ไป พร้อม กับสัตว์ทั้งสามนั้น"

    ฝ่าย นายพราน เมื่อติดตามโคนั้นมาใกล้เข้าได้ยินสัตว์ทั้งสี่ร้องระเบ็งเซ็งแซ่นั้น จึงเข้าไปแอบดูได้เห็นอาการของสัตว์ทั้งสี่นั้นแล้ว จึงซ่อนอาวุธไว้ในป่า แล้วจึงเดินเข้าไปหาสัตว์ทั้งสี่นั้น ฝ่ายสัตว์ทั้งสี่นั้นก็ไม่ได้แสดงอาการสะดุ้งตกใจกลัวแม้แต่น้อย กลับมองดูตนเองด้วยความเมตตา จึงเข้าไปถามไถ่ผู้เป็นประธานใหญ่ในที่นั่น จึงได้เล่าเหตุการณ์นั้นให้ฟัง นายพรานนั้นถือว่าตนเองเป็นมนุษย์ย่อมมีปัญญามากกว่าสัตว์ทั้งสี่นั้นจึงลอง ถามปัญหาธรรมต่างๆ จากไก่ ไก่ก็ตอบให้หายข้องใจได้หมด แต่ก็ยังไม่ปักใจเชื่อเต็มที่ จึงถามว่าปัญหาที่ท่านตอบมาท่านรู้มาแต่ที่ใด ไก่จึงตอบว่าตนเองเพิ่งได้ไปเฝ้า พระพุทธเจ้าทีปังกร มาเมื่อวานนี้เอง

    นาย พรานจึงเชื่อและขอร่วมในการสร้างบารมีจากไก่ด้วย ไก่และสัตว์ทั้งหลาย คือ อีเห็น เต่า โค ก็อนุโมทนาและยินดีให้ร่วม นายพรานจึงได้สร้างเจดีย์กับสัตว์เหล่านั้น ด้วยตนเองเป็นมนุษย์สามารถทำการสร้างเจดีย์ได้รวดเร็วและสวยงาม ครั้งเสร็จทั้งหมดจึงให้นายพรานนั้นไปหาดอกไม้มา นายพรานก็ได้ไปเก็บดอกบัวสีขาวสะอาด ซึ่งกำลังตูมอยู่มา ๕ ดอก ทั้งหมดได้พากันอาบน้ำชำระร่างกายแล้ว จึงพากันไปสักการะเจดีย์ทรายนั้น

    "พร้อมกับตั้ง สัจจะอธิษฐานโดยให้ไก่เป็นผู้นำก่อน ต่อจากนั้นก็ อีเห็น เต่า โค
    และนายพราน ตามลำดับ"
    เมื่อ อธิษฐานเสร็จแล้ว ไก่ผู้เป็นประธานจึงให้ทั้งหมดได้ร่วมกันสมาทานศีล ๕ เสร็จแล้วไก่ก็ทำประทักษิณรอบเจดีย์ทรายนั้น แล้วแยกย้ายกันกลับไปที่อยู่ของตนในเวลานั้นแล ฝ่ายพญานาคที่อยู่ใต้บาดาล ณ ที่นั้นก็ได้มานำเอาเจดีย์นั้นลงไปบูชาที่เมืองบาดาลของตนด้วยกำลังแห่ง ฤทธิ์

    หลังจากที่หน่อพุทธางกูรทั้ง ๕ ตายจากภพชาติแห่ง ไก่ อีเห็น เต่า โค และมนุษย์ ด้วยแรงแห่งสัจจาอธิษฐานสัญญาไว้ต่อกัน เมื่อคราวนั้นความปรารถนาต่อความเป็นพุทธเจ้า ...

    ชาติ ต่อมาจึงได้มาเกิดร่วมพร้อมกันเป็นลูกของ แม่กาเผือก โดยที่กาเผือกสองผัวเมียได้อาศัยอยู่ในป่าใหญ่ ทำรังอยู่บนต้นมะเดื่อใกล้ริมฝั่งแม่น้ำ อยู่ต่อมาแม่กาเผือกก็ตกไข่ออกมา ๕ ฟอง แม่กาเผือก ๒ ผัวเมีย ก็ได้แบ่งวาระกันดูแลรักษาไข่เป็นอย่างดีด้วยความรักความเอ็นดู ถ้าวันไหนแม่กาเผือกออกจากรังไปหาอาหาร ผู้มีหน้าที่เฝ้าดูไข่ก็ต้องเป็นของแม่กาเผือก ในทางตรงกันข้ามถ้าวันไหนแม่กาเผือกได้ออกจากรังไปหาอาหารบ้าง ผู้ที่รับผิดชอบรังไข่ทั้ง ๕ ฟอง ก็ต้องเป็นของพ่อกาเผือก ผลัดกันทำหน้าที่นี้เรื่อยมา

    อยู่ มาวันหนึ่งวาระแห่งการหาอาหารเป็นของพ่อกาเผือกได้ออกไปจากรังตั้งแต่เช้า วันนั้นบังเอิญว่าแม่กาเผือกมีธุระที่จะออกไปนอกรังบ้าง จึงได้ทิ้งไข่ไว้แต่เพียงลำพัง เป็นจังหวะเหมาะที่ฝนได้ตกลงมาห่าใหญ่จนกลายเป็นพายุมีลมพัดฟ้าร้อง ฟ้าผ่าบ้าง ประหนึ่งว่ามีความพิโรธโกรธใครมิทราบ สายลมได้พัดพาเอาต้นไม้โค่นลงมาราบเรียบดังหน้ากลอง สิ่งไหนก็ต้านทานไม่อยู่ แม้แต่ขุนเขาเองก็แทบจะเอาตัวไม่รอดเช่นกัน ดีที่ยังมีพืชพันธ์แมกไม้ต่างปกคลุมเป็นเกาะป้องกันไว้ให้ มิฉะนั้นแล้วก็คงจะลอยไปตามสายลมอย่างไม่มีวันกลับ

    ด้วย ฤทธิ์เดชแห่งสายลมประกอบกับสายฝน จึงได้พัดพาต้นไม้มะเดื่ออันเป็นที่ทำรังของสองผัวเมียกาเผือก ได้รับอานิสงส์พลอยหักพังไปตามพันธุ์ไม้อื่นๆ ด้วย ทำให้ไข่ทั้ง ๕ ฟองพลัดตกลงไปสู่สายน้ำ

    "ด้วยโอกาสวาสนาบารมีธรรมแห่งพระโพธิสัตว์ ธรรมชาติอันใดก็ทำอันตรายมิได้"

    โดย มิได้ตกลงบนพื้นดิน โขดหิน กระทบไม้ สิ่งที่จะเป็นอันตรายต่อไข่นั้นต่างก็หลีกทางให้ โดยความพอใจ สายแห่งน้ำฝนบวกกับกระแสไหลแห่งแม่น้ำ ได้พักนำพาเอาไข่ทั้ง ๕ ฟอง ไปสู่สถานที่ต่างกันตามยถากรรมแห่งหน่อพุทธังกูรนั้น สายแห่งน้ำทำให้ไข่ทั้ง ๕ ฟอง ได้รู้จักแห่งความพลัดพรากจากกันโยไหลไปตามกระแสน้ำคนละทิศทางทางกัน

    พอ ฝนหยุดตกเวลาก็ล่วงเลยไปหลายชั่วยาม กว่ากาเผือกสองผัวเมียจะบินกลับมาถึงรังได้ก็ยากเย็นแสนเข็ญ เพราะภูมิประเทศแปรเปลี่ยนไปด้วยอำนาจแห่งพายุอันแสนโหดร้ายนั้น เที่ยวบินเสาะแสวงหาต้นไม้มะเดื่อที่ทำรังกว่าจะได้พบก็นาน แต่ก็ได้เห็นแต่เพียงซากไม้มะเดื่อที่โค่นล้มลงฟาดท่าแม่น้ำเท่านั้น มองไปตามซอกมุมิ่งก้านสาขาไม้มะเดื่อก็ไม่พบฟองไข่ของตน จึงกลับบินสู่ท้องฟ้าอีกครั้งกลับไปมาสายตาจ้องมองหาไข่ของตนก็ไม่พบ กลับบินลงมาเที่ยวหาบนพื้นดิน ผิวน้ำ ซอกโขดหินก็ยังไม่พบ คิดว่าลูกของตนคงตายไปแล้ว

    ด้วย ความอาดูรโศกเศร้าก็เกิดขึ้นยิ่งเท่าทวีคูณ ด้วยความรักที่มีต่อไข่ของตน ไม่เป็นอันจะกินจะนอนแลไม่ได้พากันออกหาอาหารเป็นเวลาหลายวัน ร่างกายก็ซูบผอมจนต้องตรอมใจตาในที่สุด ด้วยความอาลัยอาดูรต่อลูกรัก ด้วยแรงแห่งผลกรรมที่ได้กระทำบุญกุศลบารมีที่ได้เป็นผู้ให้กำเนิดก่อแห่ง หน่อพุทธังกูร ด้วยเจตนาผลนำส่งให้แม่กาเผือกได้ไปเกิดในพรหมโลกเป็นพระพรหม ชื่อว่า ฆฏิการมหาพรหม เสวย สุขในสวรรค์พรุ่งพร้อมไปด้วยทิพยสมบัติ มีเทพธิดาเป็นบริวารมากมาย

    กล่าวถึงไข่หน่อ พุทธางกูรทั้ง ๕ ใบ เมื่อสายน้ำได้พัดพาไปอย่างไม่รู้ทิศทาง เมื่อฝนหยุด น้ำก็ลด ไข่ทั้ง ๕ ฟอง ก็ตกไปคนละทิศละทางใกล้บ้างไกลบ้าง ตามแรงแห่งกระแสน้ำที่จะพัดพาไป

    ไข่ใบที่ ๑ ไหลลอยไปตกค้างอยู่ชายป่าแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นบริเวณที่แม่ไก่ตัวหนึ่งมีชื่อว่า กกุสันธตาทีสวาทีลง มากินน้ำและอายน้ำ ด้วยเดชะแห่งบุญของหน่อพุทธังกูรจึงดลจิตให้แม่ไก่เกิดความเมตตาแล้วได้นำไป ฟูมฟักเลี้ยงดูไว้ เมื่อเวลาผ่านไปไม่นาน ไข่นั้นก็ฟักออกมาแต่ไม่ออกมาเป็นสัตว์โดยทั่วไป กลับฟักออกมาเป็นมนุษย์มีบุคลิกลักษณะครบ ๓๒ บริบูรณ์ด้วยความงามสดใสแห่งเพศชาย แม่ไก่ก็เฝ้าเลี้ยงไว้เสาะแสวงหาอาหารหล่อเลี้ยงมาจนเติบใหญ่

    ไข่ใบที่ ๒ ไหลลอยไปตามกระแสน้ำไปตกค้างอยู่ ณ ชายป่าแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นที่อยู่ของแม่นาคตัวหนึ่ง มีชื่อว่า โกนาคมโน ใน ขณะที่แม่นาคกำลังแวกว่ายไปมาตามกระแสน้ำ กำลังเพลิดเพลินไปตามกระแสน้ำไหลอยู่นั้น ก็เหลือบตามไปเห็นไข่ฟองหนึ่ง ซึ่งน้ำซัดมาติอยู่ที่ชายหาด มานาคจึงนำไข่ไปเก็บไว้ในถ้ำ บำรุงเฝ้ารักษาไว้เป็นอย่างดี ด้วยความรักเสมือนว่าเป็นลูกของตนแท้ๆ อยู่มาไม่นาน ไข่ใบนั้นก็แตกออกมา ที่ปรากฏแก่สายตาของแม่นาค ภายในไข่ใบนั้นเป็นร่างกายของทารกผู้ชายรูปร่างหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู แม่นาคได้เฝ้าถนอมรักเลี้ยงดูแสวงหาอาหารมาให้กินอย่างไม่อดอยาก จนทารกนั้นเติมใหญ่ขึ้นมามีรูปร่างหน้าตาดีบุคลิกน่าเกรงขาม

    ไข่ใบที่ ๓ ไหลไปตามกระแสน้ำ มุ่งหน้าไปไกลไปตกค้างอยู่บนเกาะทรายแห่งหนึ่ง เป็นสถานที่ที่แม่เต่าตัวหนึ่งชื่อว่า กัสสัปโป กำลังจะไปตากอากาศบนหาดทรายนั้น หลังจากที่เที่ยวเสาะแสวงหาอาหารการกินจนอิ่มท้องแล้ว จึงไปแสวงหาที่พักผ่อนบ้าง ในบางขณะที่กำลังขึ้นจากแม่น้ำก็ได้พบไข่ใบหนึ่ง ทันทีที่ได้พบก็เกิดความเตตารักใคร่จึงได้นำไปเก็บไว้ อยู่ต่อมาอีกไม่นานไข่ใบนั้นก็ฟักออกมาเป็นเด็กน้อยรุปงามโสภา แม่เต่าก็เลี้ยงมาจนเติบใหญ่ตามกำลังความสามารถของตน แต่มนุษย์นั้นก็มีความกตัญญูรู้คุณเมื่อโตแล้วก็หาเลี้ยงตอบบ้างเช่นกัน

    ไข่ใบที่ ๔ น้ำก็ซัดพาลอยไปค้างอยู่ริมฝั่งแม่น้ำบริเวณท่าแห่งหนึ่ง เป็นท่าที่แม่โคตัวหนึ่งชื่อว่า โคตรมะ ลงมากินน้ำที่ท่าน้ำอยู่เป็นประจำ วันนั้นได้พบไข่ใบหนึ่งก็เกิดความเมตตาปราณีเกิดกุศลจิตขึ้นมา จึงนำไปเก็บไว้ ณ ที่พักของตน อยู่มาไม่นาน ไข่ใบนั้นก็แตกออกมาเป็นมนุษย์ดูน่ารักน่าเอ็นดู แม่โคก็เอานมตนเองให้กินเลี้ยงดูมาจนเติบใหญ่

    ไข่ใบที่ ๕ ได้ไหลไปตามกระแสน้ำซัดไปตกค้างอยู่ชายป่าท่าน้ำแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นท่าน้ำที่แม่ราชสีห์ตัวหนึ่งชื่อว่า อริยเมตไตรโย กำลังจะลงมากินน้ำและพบไข่ใบนั้นเข้าก็เกิดกุศลเมตตาจิต คิดเป็นกุศลจึงได้นำเอาไข่ใบนั้นเก็บไปรักษาไว้เป็นอย่างดี ณ ภายในถ้ำอันเป็นที่อยู่ของคนเอง อยู่มาไม่นานไข่นั้นก็แตกกะเทาะเปลือกออกมา ภายในไข่นั้นเป็นร่างของทารก ราชสีห์ก็เฝ้าเลี้ยงดูแสวงหาอาหารมาป้อน ป้องกันอันตรายต่างๆ ให้จนทารกนั้นเติบใหญ่ขึ้นมา



    วันเวลาล่วงเลยไป... เด็กทั้ง ๕ คน ก็เจริญเติบโตขึ้นมาจนอายุย่างเข้า ๑๖ ปี จึงได้เกิดความสงสัยว่า

    เรานี้เกิดมาจากไหน แม่ที่เลี้ยงเราจนเติบใหญ่อยู่จนทุกวันนี้เป็นแม่บังเกิดเกล้าจริงหรือ ? ด้วย ว่าแม่เราเป็นสัตว์ แต่เราเองเป็นมนุษย์ ไม่น่าจะใช่เป็นแม่ผู้บังเกิดเกล้าแน่นอน”

    ทั้ง ๕ คน ต่างก็คิดสงสัยเหมือนกนหมดทุกคน จึงตัดสินใจเข้าไปถามแม่เลี้ยงของตน ถึงเหตุการณ์แต่หนหลังว่า มีความเป้นมาอย่างไร ทั้งแม่ไก่ มานาค แม่เต่า แม่โค และแม่ราชสีห์ ต่างก็เล่าและตอบถึงเรื่องราวเหตุการณ์ตั้งแต่หนหลังให้ลูกฟังว่า


    " ได้พบเห็นไข่ลอยมาตามสายน้ำมาติดเกาะ ติดชายหาด ติดท่าน้ำ แม่ก็เลยเก็บมาเฝ้าดูแลรักษาไว้ ไม่นานเจ้าก็กะเทาะเปลือกออกมาเป็นทารก แม่ก็เลี้ยงดูมาจนเติบใหญ่จนถึงทุกวันนี้แหละ แท้จริงแล้วแม่เป็นเพียงแม่เลี้ยง มิใช่แม่บังเกิดเกล้าที่แท้จริงของเจ้าหรอก อันว่าแม่ที่แท้จริงของเจ้านั้นแม่ก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร อยู่ที่ไหน แม่ก็อยากจะทราบอยู่เหมือนกัน เพราะเหตุการณ์ก่อนหน้าที่จะพบเจ้านั้น ก่อนนั้นฝนตกลงมาอย่างแรง อีกทั้งมีพยุพัดแรงจัดด้วยต้นไม้หักกันระเนระนาด พอหลังจากนั้นมาแม่ก็ได้พบเจ้า ซึ่งขณะนั้นยังคงเป็นไข่อยู่"

    เมื่อหน่อพุ ทธางกูรทั้ง ๕ ได้รับทราบแห่งความจริงของชีวิตแล้ว ก็คิดอยากพบแม่ที่แท้จริง จึงไปกราบลาแม่เลี้ยงของตนเพื่อออกเดินทางไปติดตามหาแม่ผู้บังเกิดเกล้า แต่การไปนั้นจะขอบวชเป็นฤาษีด้วยเพื่อสะดวกต่อการแสวงหา อีกทั้งเพื่อเป็นการบำเพ็ญบารมีด้วย จึงได้เข้าไปอาศัยอยู่ในป่าต่อไป

    เหตุการณ์ แห่งหน่อพุทธังกูรทั้ง ๕ กระทำอยู่นั้นเป็นพฤติกรรมที่ต่างก็ได้นัดหมายกันไว้ก่อน ต่างก็กระทำเหมือนกันทุก ๆ อย่าง แม่เลี้ยงทั้ง ๕ ก็อนุญาตและอวยชัยให้พรให้ไปดีมีสุขสมหวังปราศจากทุกข์โศกโรคภัยต่างๆ ไป แล้วก็อย่าให้ลับ ขอให้กลับมาเยี่ยมเยือนแม่บ้าง ถ้าได้ถึงฝั่งตรัสรู้ธรรมได้เป็นพระโพธิญาณพุทธเจ้าแล้ว แม่ก็ขอฝากชื่อแม่ไว้ด้วย เพื่อจะได้เป็นอนุสรณ์ของแม่ไว้ในวันข้างหน้า ด้วยว่า

    แม่ไก่ขอฝากชื่อของตนเองไว้กับลูก ขอให้เป็นชื่อของพระพุทธเจ้าในอนาคตว่า กุกกุสันธะ

    แม่นาคขอ ฝากชื่อของตนเองไว้กับลูก ขอให้เป็นชื่อของพระพุทธเจ้าในอนาคตว่า โกนาคมนะ

    แม่เต่าขอฝากชื่อของตนเองไว้กับลูก ขอให้เป็นชื่อของพระพุทธเจ้าในอนาคตว่า กัสสปะ

    แม่โคขอฝากชื่อของตนเองไว้กับลูก ขอให้เป็นชื่อของพระพุทธเจ้าในอนาคตว่า โคตมะ

    แม่ราชสีห์ขอฝากชื่อของตนเองไว้กับลูก ขอให้เป็นชื่อของพระพุทธเจ้าในอนาคตว่าอริยเมตโตรยะ

    หลังจากนั้นชายหนุ่มทั้ง ๕ ก็เดินทางไปบำเพ็ญศีลภาวนาอยู่ในป่าตามสถานที่ของตนเองต่อไป

    [​IMG]
    กล่าวถึง ท้าวสักกเทวราช เมื่อได้ทราบว่าหน่อพุทธางกูรทั้ง ๕ ออกบวชเป็นฤาษีเดินทางเข้าไปพงไพร จึงตรัสสั่งให้ วิสสุกรรมเทพบุตร ให้ลงไปจัดเตรียมการต้อนรับ

    วิสสุกรรม เทพบุตร เมื่อได้รับสั่งเช่นนี้แล้ว จึงเหาะลงมายังโลกมนุษย์ตรงไปยังป่าหิมพานต์ ตรงสถานที่หน่อพุทธังกูรเดินทางเข้าไปนั้น แล้วเนรมิตอาศรมทั้งห้าหลังเรียงรายกันไปตามลำดับ ซึ่งจัดตั้งห่างกันไว้พอเหมาะพอควร จัดเครื่องบริขารอันเป็นของใช้สอยสำหรับดาบสทั้งหลาย และได้จัดเตรียมอาหารการกินไว้อย่างครบครัน พร้อมกันนั้นก็ได้เนรมิตต้นไทรใหญ่ให้เป็นที่ร่มเงาร่มเย็นไว้ใกล้อาศรมละ หนึ่งต้น และได้เนรมิตบังลังก์ไว้ด้วย เพื่อจะให้ฤาษีทั้ง ๕ ได้ผักผ่อนคลายอารมณ์ตามเวลาอันควร พร้อมได้จารึกชื่อฤาษีทั้ง ๕ ไว้ที่หน้าอาศรม

    เมื่อ หน่อพุทธางกูรทั้ง ๕ แต่ละองค์ต่างก็เดินทางมาถึงอาศรมที่เนรมิตไว้นั้น และได้อ่านคำจารึกที่ได้เขียนไว้ที่อาศรมนั้น ต่างก็รู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนี้เกิดจากพระอินทร์เป็นผู้สร้างไว้เพื่อตน เมื่อเห็นเครื่องบริขารของดาบสที่จัดเตรียมไว้ จึงได้บวชเป็นฤาษีแล้วตั้งใจบำเพ็ญเพียรภาวนาอย่างจริงจัง ฤาษีทั้ง ๕ ได้บำเพ็ญธรรมกรรมฐานอย่างตั้งใจทำ เพื่อต้องการอยากเห็นหน้าแม่ผู้บังเกิดเกล้าของตน หลังจากที่ได้พลัดพรากจากกันมาตั้งแต่เป็นไข่นั้น

    อยู่ มาวันหนึ่ง หลังจากที่ได้บำเพ็ญตบะไปได้ระยะหนึ่งแล้ว ฤาษีทั้ง ๕ ก็ได้ออกมาพักผ่อนตามที่ต่างๆ ด้วยความเบิกบานสำราญใจ จึงมาได้พบกันเข้าโดยบังเอิญที่ภูเขาลูกหนึ่ง ชื่อว่า สิงคุตตระปิฎฐา ใต้ต้นไม้นิโครธอันมีกิ่งก้านสาขาที่ร่มเย็นสบายยิ่งนัก เมื่อได้มีโอกาสต่างก็ไต่ถามชื่อเสียงเรียงนามของกันและกัน พร้อมทั้งความเป็นมา

    เมื่อ ได้ทราบความเป็นมาแห่งชีวิตของแต่ละท่านแล้ว พวกตนทั้ง ๕ ต่างก็เกิดมาจากไข่เหมือนกัน มีเหตุการณ์ที่จะต้องพลัดพรากจากกัน โดยถูกกระแสน้ำพัดพาที่ต่างกัน แล้วได้อาศัยอยู่กับสัตว์ผู้ที่มีจิตเมตตากรุณาได้นำเอาเลี้ยงไว้จนมีชีวิต รอดมาได้ พร้อมทั้งได้ออกเดินทางมาบวชเป็นฤาษีในป่านี้ เพื่อต้องการอยากเห็นหน้าแม่ ซึ่งเหตุการณ์แห่งชีวิตดังกล่าวเหมือนกันทุกประการ จากนั้นก็ได้จัดเรียงลำดับพี่น้องกันว่าคนที่ตกค้างอยู่หัวน้ำเป็นพี่คนโต คนที่ตกค้างอยู่ใต้แม่น้ำถัดมาก็เป็นน้องถัดกันมาตามลำดับก่อนหลัง ทั้งนี้ก็เพราะว่าทั้ง ๕ คนได้สันนิษฐานเอาว่า

    "พวกตนคงจะเป็นพี่ น้องเกิดร่วมท้องมารดาเดียวกัน"

    ดังนั้นจึงได้พากันตั้งจิตอธิษฐานต่อสิ่ง ศักดิ์สิทธิ์ จงดลบันดาลให้แม่บังเกิดเกล้าของเราชงมาปรากฏกายต่อหน้าพวกเราด้วยเถิด

    กล่าวถึง แม่กาเผือก เมื่อกลับมาที่รังของตนแล้ว ไม่เห็นหน้าลูกก็เสียใจอาลัยรักจนขาดใจตาย แล้วไปเกิดเป็น ฆฏิการพรหม ในสวรรค์จนอายุได้ ๑๒,๐๐๐ ปี ด้วยอานุภาพแห่งอธิษฐานบารมี หลังจากที่ฤาษีทั้ง ๕ อธิษฐานแล้วก็ร้อนไปถึงฆฏิการพรหมผู้เป็นแม่ เมื่อเล็งญาณวิถีอันวิเศษลงมายังเมืองมนุษย์แล้ว ได้เห็นลูกชายทั้ง ๕ คนได้เป็นฤาษีบำเพ็ญเพียรบารมีอยู่ท่ามกลางป่าหิมพานต์ มีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่อยากจะเห็นหน้าผู้เป็นแม่ เมื่อรู้ดังนี้แล้วจึงลงจากสวรรค์ จำแลงแปลงกายเป็นกาเผือก เปล่งเสียงร้องออกมาว่า

    "กา กา กา กา กา" เรียกลูกทั้ง ๕ ที่เป็นฤาษีให้เข้ามาหา เมื่อฤาษีทั้ง ๕ ได้ยินเช่นนั้น จึงได้พากันเข้ามาหา ต่อจากนั้นจึงได้พากันซักถามถึงสาเหตุแห่งความเป็นมาตั้งแต่หลังก่อนเก่า ฆฏิการพรหมจึงเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้ลูกทั้ง ๕ ฟัง ตั้งแต่ต้นจนถึงวันที่ได้พลัดพรากจากกัน เมื่อลูก ๆทั้งหลายต้องการอยากจะพบเห็นแม่ก็เลยลงมาจากสวรรค์ตามความตั้งใจของลูก จึงจำแลงแปลงกายเป็นกาเผือกมา เพื่อจะบอกให้รู้ว่าแม่บังเกิดเกล้าที่แท้จริงของลูก คือ กาเผือก

    ฆฏิการพรหม เมื่อรู้ถึงความปรารถนาของลูก ๆ มีความยินดีปรีดาจึงได้ทำด้ายตีนกาให้ลูกคนละเส้น แล้วบอกว่า

    ตีนกา นี้ เป็นรูปรอยเท้าของแม่ ถ้ารักและคิดถึงแม่ก็ให้เคารพกราบไหว้ด้ายตีนกานี้ ก็จะสำเร็จสมปรารถนา”

    และแล้ว ฆฏิการพรหมก็ได้กลับคืนไปยังสวรรค์ตามเดิม

    ฤาษี ทั้ง ๕ เมื่อได้รับด้ายตีนกาจากแม่แล้ว จึงนำไปตั้งไว้ในสถานที่อันสมควร ตั้งใจบำเพ็ญเพียรภาวนา และเคารพกราบไหว้ด้ายตีนกาที่แม่ให้ไว้นั้นเป็นประจำทุก ๆวัน ครั้นตายจากโลกนี้ไปแล้ว ก็ได้ไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดุสิต เมื่อจิตติจากสวรรค์ชั้นดุสิตแล้ว ก็ได้มาเวียนว่ายตายเกิดท่องเที่ยวไปเกิดในภพต่างๆ จนนับภพนับชาติไม่ถ้วน ทั้งนี้ ก็เพื่อบำเพ็ญบารมี ๓๐ ทิศ เมื่อบำเพียรบารมีครบแล้วก็ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าตามลำดับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 มิถุนายน 2010
  13. Nakraksa

    Nakraksa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    3,481
    ค่าพลัง:
    +14,350
    มหาโมทนากับน้องยา อ่านแล้วตื้นตันน้ำตาจะไหล

    รูปพระจากที่ไหนหรือน้องยา งามจับตาจับใจจริงๆ
     
  14. angeltk229

    angeltk229 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,584
    ค่าพลัง:
    +6,912
    ทุกข์เป็นเพื่อน

    คนมีความทุกข์ ให้คิดเสียว่า"ความทุกข์เป็นเพื่อนเราไปก่อน"
    เราเห็นทุกข์ จึงจะมีความสุข เพราะว่าทุกข์นั่นแหละจะไม่ทำให้เพื่อนของเราต้องเดือดร้อน
    "ถ้าเรารู้จักหาประโยชน์จากความทุกข์ เราก็จะมีความสุขตลอดไป"
    ความสุข บางทีก็เหมือนยาเสพติดที่ร้ายแรง
    เพราะตัวสุขทำให้เกิดการเคยชิน ไม่สู้การ ไม่สู้งาน ทำให้เสียนิสัยได้เหมือนกัน
    ฉะนั้น จะต้องรู้จักความทุกข์ให้มาก เพราะทำให้เกิดความอดทน ความพยายาม ความสบายเกินไปจะเป็นโปลิโอทางวิญญาณ
    ...ยิ่งแก้ยิ่งยากเข้าไปอีก

    จากหนังสือ ธรรมะวาทะ รัตนวาที
     
  15. ศรีค่ะ

    ศรีค่ะ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2010
    โพสต์:
    40
    ค่าพลัง:
    +55
    [​IMG]



    สวยมาก ๆ ค่ะ โมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ค่ะ น้องยา รับบุญเยอะ ๆ นะค่ะ
     
  16. find truth

    find truth เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    209
    ค่าพลัง:
    +1,363
    ง่ะ ก็อยากรวยเร็ว ๆ เหมือนกัน แต่ค่ารถยังไม่ได้แล้วจะไปกันยังไงหนอ สงสัยต้องไปกู้แบบคุณเพชรซะแล้วซิ
     
  17. angeltk229

    angeltk229 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,584
    ค่าพลัง:
    +6,912
    [MUSIC]http://palungjit.org/attachments/a.1018997/[/MUSIC]
    ขออนุญาตน้องยานะคะ
    เนื่องจากพี่ได้วนเวียนฟังบทเพลง พุทธบูชาลีลานาคราช อยู่หลายสิบรอบมากๆ
    ฟังจนแทบจะลุกขึ้นขยับตัวตามจังหวะแล้ว
    เนื่องด้วยน้องยาวางเพลงนี้ไว้ในหน้าแรกๆ พี่จึงคิดว่าอยากให้คนที่ตามมาอ่านในช่วงหลังๆได้ฟังบทเพลงนี้อีกครั้ง จึงขออนุญาตนำมาลงไว้นะคะ
    เสียงโหวดในช่วงเริ่มต้นเพลง สะท้อนสะเทือนใจมากๆ ฟังแล้วอยากหลับไปเลย
    ดนตรีก็เริ่มจากวังหวะช้าๆแล้วเร็วขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าฟังกี่ครั้งๆก็ยังรู้สึกเหมือนเดิมค่ะ


    ขอบคุณน้องยาที่นำบทเพลงนี้มาลงให้ได้ฟังกัน
    ขอบคุณท่านผู้แต่งเพลง ผู้บรรเลงและผู้ที่เกี่ยวข้องทุกท่าน
    ด้วยความระลึกถึง
    (อดีต)ธิดาแห่งปาตาล
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  18. Ajarn Pithak

    Ajarn Pithak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,367
    ค่าพลัง:
    +2,126
    ทาน ศีล ภาวนา (พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต)<!-- google_ad_section_end -->

    <hr style="color: rgb(255, 255, 255); background-color: rgb(255, 255, 255);" size="1"> <!-- google_ad_section_start -->ทาน
    ........คือ เครื่องแสดงน้ำใจของมนุษย์ผู้มีจิตใจสูง มี เมตตาจิตต่อเพื่อนมนุษย์และสัตว์ด้วยการให้ การเสียสละแบ่งปัน มากน้อยตามกำลังของวัตถุเครื่องสงเคราะห์ที่มีอยู่ จะเป็นวัตถุทาน ธรรมทานหรือวิทยาทาน เพื่อสงเคราะห์ผู้อื่นโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนใดๆ นอกจากกุศล คือความดี ที่ได้จากทานนั้น เป็นสิ่งตอบแทนที่เจ้าของทานได้รับอยู่โดยดีเท่านั้น อภัยทานควรให้แก่กันเมื่ออีกฝ่ายหนึ่งผิดพลาดหรือล่วงเกิน คนมีทานย่อมเป็นผู้สง่าผ่าเผยและเด่นในปวงชน เป็นที่เคารพรักในหมู่ชน จะตกอยู่ทิศใดย่อม ไม่อดอยากขาดแคลน จะมีสิ่งหรือผู้อุปถัมภ์จนได้ไม่อับจนทนทุกข์ ผู้มีทานประดับตนย่อมไม่เป็นคนล้าสมัย บุคคลทุกชั้นไม่รังเกียจ ผู้มีทานย่อมเป็นผู้ อบอุ่น หนุนโลกให้ชุ่มเย็น การเสียสละจึงเป็นเครื่องค้ำจุนโลกการสงเคราะห์กันทำให้โลกมีความหมายตลอดไป ไม่เป็นโลกที่ไร้ชาติขาดกระเจิงเหลือแต่ซาก แผ่นดินไม่แห้งแล้งแข่งกับทุกข์ตลอดไป

    ศีล
    ........คือรั้วกั้นความเบียดเบียนและทำลายสมบัติร่างกาย และจิตของกันและกัน ศีล คือพืชแห่งความดีอัน ยอดเยี่ยมที่ควรมีประจำชาติมนุษย์ ไม่ปล่อยให้สูญหายไปเพราะมนุษย์ไม่มีศีลเป็นรั้วกั้น เป็นเครื่องประดับตัวจะไม่มีที่ให้ซุกหัวนอนหลับสนิทได้โดยปลอดภัย แม้โลกเจริญด้วยวัตถุจนกองสูงกว่าพระอาทิตย์ แต่ความรุ่มร้อนแผดเผาจะทวีคูณยิ่งกว่าพระอาทิตย์ ถ้ามัวคิดว่าวัตถุมีค่ามากกว่าศีลธรรม ศีลธรรมเป็นเพียงสมบัติของมนุษย์ พระพุทธเจ้า ผู้ค้นพบและนำมาประดับโลกที่กำลังมืดมิดให้สว่างไสว ร่มเย็นด้วยอำนาจศีลธรรมเป็นเครื่องปัดเป่า ความคิดของมนุษย์ผู้มีกิเลสผลิตอะไรออกมา ทำให้โลกร้อนจะบรรลัยอยู่แล้ว ยิ่งปล่อยให้ความคิดตามอำนาจโดยไม่มีศีลธรรมช่วยเป็นยาชโลมไว้บ้าง จะผลิตยักษ์ใหญ่ทรงพิษขึ้นมากว้านกินมนุษย์ จน ไม่มีอะไรเหลืออยู่บ้างเลย ความคิดของคนสิ้นกิเลสที่ทรงคุณอย่างสูงคือพระพุทธเจ้า มีผลให้โลกได้รับความร่มเย็นซาบซึ้งกับความคิดที่เป็นกิเลส มีผลให้ตนเอง และผู้อื่นได้รับความเดือดร้อนจนคาดไม่ถึงผิด กันอยู่มาก ควรหาทางแก้ไข ผ่อนหนักให้เบาลงบ้าง ก่อนจะหมดทางแก้ไขศีลจึงเป็นเหมือนยาปราบโรค ทั้งระบาดและเรื้อรัง

    ภาวนา
    ...........คือการอบรมใจให้ฉลาดเที่ยงตรงต่อเหตุผลอรรถธรรม รู้จักวิธีปฏิบัติต่อตัวเองและสิ่งทั้งหลาย ยึดการภาวนาเป็นรั้วกั้นความคิดฟุ้งของใจให้อยู่ในเหตุผลอันจะเป็นทางแห่งความสงบสุข ใจที่ยังมิได้รับการอบรมจากภาวนาจึงเปรียบ เหมือนสัตว์ที่ยังมิได้รับการฝึกหัด ยังมิได้รับประโยชน์จากมันเท่าที่ควร จำต้องฝึกหัดให้ทำประโยชน์ ถึงจะได้รับประโยชน์ตามควร ใจจึงควรได้รับการอบรมให้รู้เรื่องของตัว จะเป็นผู้ควรแก่งานทั้งหลายทั้งส่วนเล็กส่วน ใหญ่ภายนอกภายใน ผู้มีภาวนาเป็นหลักใจจะทำ อะไรชอบใช้ความคิดอ่านเสมอ ไม่เสี่ยงและไม่เกิดความเสียหายแก่ตนและผู้เกี่ยวข้อง การภาวนาจึงเป็นงานเพื่อผลในปัจจุบันและอนาคต

    การงานทุกชนิดที่ทำด้วยใจของผู้มีภาวนา จะสำเร็จลงด้วยความเรียบร้อยทำด้วยความใคร่ ครวญเล็งถึงประโยชน์ที่จะได้รับ เป็นผู้มีหลักมีเหตุผลถือหลักความถูกต้องเป็นเข็มทิศทางเดินของกาย วาจา ใจ ไม่เปิดช่องให้ความอยากอันไม่มีขอบเขตเข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะความอยากดั้งเดิม เป็นไปตามอำนาจของกิเลสตัณหา ซึ่งไม่เคยสนใจต่อความผิดถูกดีชั่ว พาเราเสียไปจนนับไม่ถ้วนประมาณไม่ถูก จะเอาโทษมันก็ไม่ได้ยอมให้เสียไปอย่างน่าเสียดาย ถ้าไม่มีสติระลึกบ้างเลยแล้ว ของเก่าก็เสียไปของใหม่ก็พลอยจมไปด้วย ไม่มีวันฟื้นคืนตัว ฉะนั้น

    การภาวนา จึงเป็นเครื่องหักล้างความไม่มีเหตุผลของตนได้ดี วิธีภาวนานั้นลำบากอยู่บ้าง เพราะเป็นวิธีบังคับใจ วิธีภาวนาก็คือวิธีสังเกตตัวเองสังเกตจิตที่ มีนิสัยหลุกหลิก ไม่อยู่เป็นปกติสุขด้วยมีสติ ตามระลึกรู้ความเคลื่อนไหวของจิต โดยมีธรรมบทใดธรรมบทหนึ่งเป็นคำบริกรรม เพื่อเป็นยารักษาจิตให้ทรงตัวอยู่ได้ ด้วยความสงบสุขในขณะภาวนา ที่ให้ผลดีก็มีอานา ปาณสติ คือ กำหนดจิตตามลมหายใจเข้าออกด้วยคำภาวนา พุทโธพยายามบังคับใจให้อยู่กับอารมณ์แห่งธรรมบทที่นำมาบริกรรม ขณะภาวนา พยายามทำอย่างนี้เสมอจะค่อยรู้สึก ตัว และปล่อยวางไปเป็นลำดับ มีความสนใจหนัก แน่นในหน้าที่ของตนเป็นประจำ จิตที่สงบตัวลงเป็นสมาธิเป็นจิตที่มีความสุข เย็นใจมาก และจำไม่ลืมปลุกใจให้ตื่นตัวและตื่นใจได้อย่างน่าประหลาด เมื่อพูดถึงการภาวนาบางท่านรู้สึกเหงาหงอย น้อยใจว่า ตนมีวาสนาน้อยทำไม่ไหว เพราะกิจการ ยุ่งยากทั้งภายในบ้านและนอกบ้าน ตลอดงานสังคมต่างๆ ที่ต้องเป็นธุระจะมานั่งหลับตาภาวนาอยู่ เห็นจะไม่ทันอยู่ทันกินกับโลกเขาทำให้ไม่อยากทำประโยชน์ที่ควรได้ จึงเลยผ่านไป ควรพยายามแก้ไขเสียบัดนี้ แท้จริงการภาวนา คือ วิธีแก้ความยุ่งยากลำบากใจทุกประเภท ที่เป็นภาระหนักให้เบาและหมดสิ้นไป ได้อุบายมาแก้ไขไล่ทุกข์ออกจากตัว

    การอบรมใจด้วยการภาวนา ก็เป็นวิธีหนึ่งแห่งการรักษาตัวเป็นวิธีที่ เกี่ยวกับจิตใจ ผู้เป็นหัวหน้างานทุกด้านจิต จำ ต้องเป็นตัวการรับภาระแบกหาม โดยไม่คำนึงถึงความหนักเบาว่าชนิดใดพอยกไหวไหมจิต ต้องรับภาระทันที ดี-ชั่ว-ถูก-ผิด-หนัก-เบา เศร้าโศกเพียงใดบางเรื่องแทบเอาชีวิตไปด้วย ขณะนั้นจิตใจยังกล้าเอาตัวเข้าเสี่ยงแบกหามจนได้มิหนำซ้ำยังหอบเอามาคิดเป็นการบ้านอีกจนนอนไม่หลับ รับประทานไม่ได้ก็มีคำว่าหนักเกินไปยกไม่ไหว เกินกำลัง ใจคิดและต้านนั้นไม่มีงานทางกาย ยังมีเวลาพักผ่อนนอนหลับและยังรู้ประมาณว่า ควรหรือไม่ควรแก่กำลังของตนเพียงใด

    ส่วน งานทางใจไม่มีเวลาได้พักผ่อนเอาเลย พักได้เล็กน้อยขณะนอนหลับเท่านั้นแม้เช่นนั้นจิตยังอุตส่าห์ทำงานด้วยการละเมอเพ้อฝันต่อไป อีก ไม่รู้จักประมาณว่าเรื่องต่างๆ นั้น ควรแก่กำลังของใจเพียงใด เมื่อเกิดอะไรขึ้นทราบ แต่ว่าทุกข์เหลือทน ไม่ทราบว่าทุกข์เพราะงานหนักและเรื่องเผ็ดร้อนเหลือกำลังใจจะสู้ไหว ใจคือนักต่อสู้ ดีก็สู้ ชั่วก็สู้ สู้จนไม่รู้จักหยุดยั้งไตร่ตรอง สู้จนไม่รู้จักตายหากปล่อยไปโดยไม่มีธรรมเป็นเครื่องยับยั้ง คงไม่ได้รับความสุข แม้จะมีสมบัติก่ายกองธรรม เป็นเครื่องปกครองสมบัติและปกครองใจ ถ้าขาดธรรมเพียงอย่างเดียวความอยากของใจจะพยายามหาทรัพย์ ได้กองเท่าภูเขาก็ยังหาความสุขไม่เจอไม่มี ธรรมในใจเพียงอย่างเดียว จะอยู่ในโลกใด กองสมบัติใด ก็เป็นเพียงเศษเดนและกองสมบัติเดนเท่านั้น ไม่มีประโยชน์อะไรแก่จิตใจแม้แต่นิด ความ ทุกข์ทรมาน ความอดทน ทนทานต่อสิ่งกระทบกระทั่งต่างๆ ไม่มีอะไรจะแข็งแกร่งเท่าใจ ถ้าได้รับความ ช่วยเหลือที่ถูกทาง ใจจะกลายเป็นของประเสริฐให้ เจ้าของได้ชมอย่างภูมิใจต่อเรื่องทั้งหลายทันที จิตเป็นสมบัติสำคัญมากในตัวเราที่ควรได้รับ การเหลียวแลด้วยวิธีเก็บรักษาให้ดี ควรสนใจ รับผิดชอบต่อจิตอันเป็นสมบัติที่มีค่ายิ่งของตน วิธีที่ควรกับจิตโดยเฉพาะก็คือ ภาวนา ฝึกหัดถาวนาในโอกาสอันควรควรตรวจดูจิตว่ามี อะไรบกพร่องและเสียไป จะได้ซ่อมสุขภาพจิตคือ นั่งพินิจพิจารณาดูสังขารภายใน คือ ความคิดปรุงแต่งของจิตว่าคิดอะไรบ้างในวันและเวลาที่นั่งๆ มีสาระประโยชน์ไหม คิดแส่หาเรื่อง หาโทษขนทุกข์มาแผดเผาตนอยู่นั้น พอรู้ผิดถูกของตัวบ้างไหมพิจารณาสังขารภายนอก ว่ามีความเจริญขึ้นหรือเจริญลงสังขารร่างกาย มีอะไรใหม่หรือมีความเก่าแก่ชราหลุดลงไ ป

    พยายามเตรียมตัวเตรียมใจเสียแต่เวลาที่พอจะทำได้ ตายแล้วจะเสียการให้ท่องอยู่ในใจเสมอว่า เรามีความแก่เจ็บตายอยู่ประจำตัวทั่วหน้ากัน ป่าช้า อันเป็นที่เผาศพภายนอก และป่าช้าที่เผาศพภายในคือตัวเราเองเป็นป่าช้าร้อยแปดพันเก้าแห่งศพที่นำมาฝัง หรือบรรจุอยู่ในตัวเราตลอดเวลาทั้งศพเก่าศพ ใหม่ทุกวัน พิจารณาธรรมสังเวช พิจารณาความตายเป็นอารมณ์ย่อมมีทางถอดถอนความเผลอเย่อหยิ่ง ในวันในชีวิตและวิทยฐานะต่างๆ ออกได้จะเห็น โทษแห่งความบกพร่องของตัว และพยายามแก้ไขเป็นลำดับมากกว่าจะไปเห็นโทษของคนอื่นแล้วมานินทาเขา ซึ่งเป็นความไม่ดีใส่ตน นี่คือการภาวนาคือ วิธีเตือนตน สั่งสอนตน ตรวจตราดูความบกพร่องของตนว่า ควรแก้ไขจุดใดตรงไหนบ้างใช้ความพิจารณาอยู่ ทำนองนี้เรื่อยๆ ด้วยวิธีสมาธิภาวนาบ้างด้วย การรำพึงในอิริยาบทต่างๆ บ้าง ใจจะสงบเย็น ไม่ลำพองผยองตัวและความทุกข์มาเผารนตัวเอง เป็นผู้รู้จักประมาณในหน้าที่การงานที่พอ เหมาะพอดีแก่ตัว ทั้งทางกายและทางใจ ไม่ลืมตัวมั่วสุมในสิ่งที่เป็นหายนะต่างๆคุณสมบัติ ของผู้ภาวนานี้มีมากมาย ไม่อาจพรรณนาให้จบสิ้นได้ ทาน ศีล ภาวนา ธรรมทั้ง ๓ นี้ เป็นรากแก้วของความเป็นมนุษย์ และเป็นรากเหง้าของพระศาสนาผู้เกิดมาเป็น มนุษย์ ต้องเป็นผู้เคยสั่งสมธรรมเหล่านี้มาอยู่ ในนิสัยของผู้จะมาสวมร่างเป็นมนุษย์ ที่สมบูรณ์ด้วยมนุษย์สมบัติอย่างแท้จริง……………………..

    พระอาจารย์<st1></st1>มั่น ภูริทัตโต


    ที่มา http://www.samathi.com/meditation/showthread.php?t=1096
     
  19. find truth

    find truth เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    209
    ค่าพลัง:
    +1,363
    1 ชีวิตก็มีค่า ทุกชีวิตมีความสำคัญ
    เรามาทำความเข้าใจในการทำบุญที่เราไม่เข้าใจถึงผลที่เราจะได้รับ เพราะบุญที่เรากำลังจะทำนั้นมันเป็นชีวิตของผู้อื่นที่จะได้รับทุกขเวทนา เพื่อแลกกับความสุขใจของเรา ซึ่งเราเองก็ไม่ได้มีเจตนาจะให้ผู้อื่นได้รับทุกขเวทนาเช่นกัน ฉะนั้นเราจึงต้องมาทำความเข้าใจกันเสียใหม่คือ
    5 อันดับของสัตว์ที่นิยมปล่อยคือ
    อันดับที่ 1 ปลาไหล

    อันดับที่ 2 หอยขม

    อันดับที่ 3 นก

    อันดับที่ 4 เต่า

    อันดับที่ 5 ปลาหมอ


    บางเสี้ยวส่วนของความจริงที่รายการทีวี "จุดเปลี่ยน" พบและเป็นความจริงคือ

    "ปลาไหลขนาดเล็กตัวเป็น ๆ นับพันกิโลกรัมต่อวัน ถูกเบียดอัดมาในกระสอบปุ๋ยเดินทางจากเขมรมาสู่ประเทศไทยหลายต่อหลายทอด โดยมีเงื่อนไขว่าพวกเขาเหล่านั้นจะต้องมีชีวิตรอดไปจนกว่าจะถึงมือผู้ใจบุญ
    และถูกปล่อยลงสู่แหล่งแม่น้ำ แต่ปลาไหลที่ปล่อยลงสู่แม่น้ำ ลึก และไหลเชี่ยว ไม่สามารถอยู่รอดได้ เพราะธรรมชาติของปลาไหลต้องอยู่ในน้ำแฉะ มีดินโคลนให้มุดเพื่อหลบพัก"
    "หอยขมที่เคยอยู่แต่ในดินโคลนตามธรรมชาติ เมื่อถูกเทลงสู่ก้นแม่น้ำลึกอย่างเจ้าพระยา พวกเขาก็จะจมน้ำตายได้เหมือนกัน "
    " นกกระติ๊ดก็จะสูญพันธุ์ในไม่ช้า เพราะคนจับมาเบียดเสียดในกรงแคบ บางตัวแข้งขาหักตายคากรง ส่วนที่เหลือที่มีผู้ใจบุญมาซื้อและปล่อยไป พวกเขาเหล่านั้นก็บอบช้ำเกินกว่าจะรอดชีวิต และบ้างก็ไม่มีแหล่งหากินในเมือง ในที่สุดพวกเขาเหล่านั้นก็ต้องมาตายในเมืองหลวง"
    " เต่าเป็นสัตว์เลื้อยคลาน แต่คนส่วนใหญ่เข้าใจว่าเต่าเป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ และเมื่อถูกปล่อยลงสู่แม่น้ำที่ลึกและเชี่ยว พร้อมทั้งไม่มีสิ่งใดให้ยึดเกาะ เต่าก็จะต้องว่ายน้ำต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด จนกว่าจะขาดใจตาย เพราะหิว เหนื่อย และหมดแรง
    เต่าเป็นสัตว์ที่อายุยืนที่สุดในโลก แต่ถ้าเต่าถูกปล่อยในที่ที่แออัดน้ำเน่าเสียไม่มีที่ให้เกาะ เต่าก็จะตายอย่างทรมาน เพราะ อาการเจ็บป่วยที่กระดองเน่าเปื่อย และจมน้ำตาย "กลายเป็นสัตว์ที่น่าสงสารที่สุดในโลกชนิดหนึ่ง"


    ทำไมการปล่อยสัตว์ในยุคสมัยนี้จึงมีบาปมากกว่าบุญ

    1. เพราะปล่อยไม่ถูกที่ไม่ถูกทาง ทั้งสภาพความเป็นอยู่และศัตรูธรรมชาติ ทำให้สัตว์ที่ถูกปล่อยออกไปไม่มีโอกาสรอดชีวิต

    2. เพราะส่งเสริมให้มีการจับสัตว์ที่อยู่ในธรรมชาติอย่างปกติสุขมากักชังหน่วงเหนี่ยวทรมาน ซึ่งเขาเหล่านั้นเคยมีอิสรภาพอยู่แล้ว

    3. ในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การจับ กักขัง ขนส่ง และ รอจำหน่าย มีสัตว์จำนวนมากต้องตายอย่างทรมานก่อนที่จะได้รับอิสรภาพ
    ทั้งที่สัตว์เหล่านั้นเคยมีอิสรภาพอยู่แล้ว แต่กลับมาถูกจับขังเพื่อรอผู้ใจบุญมาปลอดปล่อยเท่านั้นหรือ

    สิ่งมีชีวิตแม้จะเล็กเท่าฝุ่นละอองแต่นั่นมันก็เท่ากับ 1 ชีวิต...





















     
  20. Ajarn Pithak

    Ajarn Pithak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,367
    ค่าพลัง:
    +2,126

    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
     

แชร์หน้านี้

Loading...