พญานาคราช 4 ตระกูล นครคำชะโนด

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Ajarn Pithak, 23 พฤศจิกายน 2009.

  1. naknoi.b

    naknoi.b เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,042
    ค่าพลัง:
    +1,714
    พี่ปราง..สบายดีปะคับ เบนซ์ชอบภาพแทนตัวจัง นางผู้อุบัติในดอกบัวสวยหวาน..แต่ก้ยังเศร้า..เอ๊ะหรือว่าอารมณ์เบนซ์มันเศร้าก็ไม่รู้ถึงได้มองอะรัยๆมันเศร้าไปหมด....
     
  2. Nakraksa

    Nakraksa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    3,481
    ค่าพลัง:
    +14,350
    แอบดูเค้านัดกัน ไม่เห็นนะไม่เห็น
     
  3. naknoi.b

    naknoi.b เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,042
    ค่าพลัง:
    +1,714
    หวัดดีคับพี่อุ้ม..เบนซ์มีบางอย่างจะรบกวนถามพี่สาวในความรู้สึกเบนซ์ๆ ว่าพี่อุ้มมีความขุ่นเคืองเบนซ์อยู่ใช่รึเปล่าคับ จากหลายๆอย่างมันทำให้เบนซ์จับกระแสความรู้สึกได้ว่าพี่สาวยังมีอะไรที่คั่งค้างนอนขุ่นกันอยู่ในใจ
    เบนซ์คงไม่ต้องบอกว่าเรื่องอะรัยบ้าง เพราะบางเรื่องพี่สาวอาจจะรู้ดีกว่าเบนซ์...
    ท้ายสุดใกล้วันเกิดของพี่สาวแล้วน้องก้ขอให้พี่สาวมีความสุขมากๆ ขอให้ครอบครัวของพี่มีแต่ความสุขกันทุกคน
    โดยเฉพาะคุณแม่ของพี่สาว เบนซ์ขอให้ท่านสุขภาพแข็งแรง อยู่เป็นร่มโพธิ์ให้กับพี่สาวไปตราบนานเท่านาน..
    สุดท้าย..เบนซ์ต้องขอโทษหากบางเหตุการณ์และหรือบางสิ่งหรืออาจจะบางคำพูดที่อาจทำให้ผิดพร่องหมองใจหรือกระทบกับความรู้สึก... แต่เบนซ์อยากจะบอกว่าเบนซ์ไม่มีเจตนาที่จะทำให้ใครๆได้รับความไม่สบายทางใจเลย...แต่อาจจะเพราะการกระทำดังกล่าวที่ทำลงไปเบนซ์อาจจะกระทำโดยไม่รู้ตัวนั้นก็อาจจะเป็นได้...อย่างรัยเสียน้องก็ขอขมาพี่สาวด้วยและหวังไม่หวังว่าพี่สาวจะยกโทษให้...เพราะน้องก้ไม่รู้ว่าน้องทำผิดอะรัย...

    ปล..ฝากขอโทษเจ้าของบ้านพี่ยาด้วยที่น้องเข้ามารบกวนและอาศัยบ้านหลังนี้อยู่ตั้งนานสองนาน...
    พี่ยาคับ นับแต่นี้เบนซ์คงจะไม่เข้ามาเที่ยวที่พระนครนี้อีกแล้วนะคับ เมื่อเบนซ์ทำให้ผู้อาวุโสของบ้านขุ่นข้องหมองใจ เบนซ์ก็คงมิสมควรที่จะเข้ามาเที่ยวที่บ้านหลังนี้อีก....
    พี่ปราง พี่เพชร พี่ปราญ และทุกๆคน เบนซ์ขอโทษนะสำหรับทุกเรื่องราว หวังว่าถ้ามีโอกาสเราคงจะได้เจออกันนะคับ...
    เบนซ์มาเพราะหน้าที่ ท้ายสุดเมื่อวันเวลาของหน้าที่มาถึงก็คงต้องกลับเพราะหมดหน้าที่.....ดีจัยนะคับที่ได้เจอพี่ๆทุกคน...พี่ปราญการเดินทางในวันข้างหน้านั้นเหนื่อยนัก หากพี่เหนื่อยเมื่อไหร่อย่าลืมกลับมาพักที่บ้านเรานะ ทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ ภายใต้กรอบภูเข้าสีเงินยวง หายเหนื่อยแล้วค่อยออกเดินทางต่อ.sleeping_rbสู่เส้นทางอันเป็นนิรัน!<O:p</O:p
     
  4. Nakraksa

    Nakraksa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    3,481
    ค่าพลัง:
    +14,350
    เรื่องรูปที่ปราญถอดออกจากคอส่งให้เพชรวันนั้นไงพี่ เห็นเค้าคุยกัน นู๋เลยบอกว่านู๋ไมได้ตั้งใจไถนะ ชักรู้สึกผิด

    พี่อุ้มแหละร้อนตัว 555 โดนไถเป็นอาชีพ
     
  5. deejaimark

    deejaimark เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2006
    โพสต์:
    1,844
    ค่าพลัง:
    +16,511
  6. Nakraksa

    Nakraksa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    3,481
    ค่าพลัง:
    +14,350
    ฟุ้งไปหรอืเปล่าไอ้น้อง มีเรื่องอะไรพิจารณากันที่ปัญหา แล้วนำปัญญามาแก้ ตอนนี้ให้กลับไปคิดก่อนก็ได้ อยู่กับตัวเองให้เย็นๆใจ ทำใจให้สบาย ทำกายให้สนุก สิ่งดีๆมันต้องเข้ามาจนได้

    อณูแห่งเดวะ ล้วนมีหน้าที่ผิดแผกกัน ยังมิทันได้จัดการสิ่งใด จักไปเสียแล้วฤ
     
  7. Ajarn Pithak

    Ajarn Pithak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,367
    ค่าพลัง:
    +2,126
    สวัสดีครับลูกหลานองค์นาคา นาคี ทุกท่าน และผู้มาเยือน
    สติมาปัญญาเกิด คำพูดมนุษย์เรานั้นยอมแสดงถึงความพึงพอใจ และไม่แสดงถึงความพึงพอใจ ในเรื่องใด จริงแท้แค่ไหน เราต้องหันมาพูดคุยกัน
     
  8. Nakraksa

    Nakraksa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    3,481
    ค่าพลัง:
    +14,350
    สวัสดีเจ้าค่ะ ท่านเจ้าเมือง ลูกเมืองผลุบๆโผล่ๆ น่าเห็นจายเนอะ
     
  9. ภัทรอังคาร

    ภัทรอังคาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    4,904
    ค่าพลัง:
    +14,098
    เอ้อ เบนซ์ พี่ก็ยังไม่เข้าใจนะ ว่าเบ๊นซ์ไปเอาความคิดนี้มาจากไหน พี่ไม่เคยได้คิดรู้สึกขัดข้องหรือขุ่นใจอะไรน้องเลย คิดมากไปหรือป่าว เมื่อวันก่อนพี่ยังพีเอ็มไปหา แต่เราก็ไม่ตอบ พี่ก็ยังไม่เห็นจะโกดหรือจะว่าไรเลย เจ้าบอมพี่ว่ามากกว่าอีกว่าแบบตรงๆจะๆ แต่สำหรับเราพี่ไม่เคยคิดอะไร พี่บอกและยืนยันตรงนี้ได้เลยนะว่าไม่มีอะไรที่โกรธเืคือง เรื่องที่พี่ขุ่นข้องหมองใจเราไม่มีและไม่ควรคิด เพราะที่ผ่านมาเรารักกันดีอยู่แล้ว อย่าให้เรื่องไม่เป็นเรื่องมาทำให้ความรู้สึกสะดุดไป

    แต่ที่คิดตรงกันอย่างนึงคือเรื่องออกจากกระทู้ พี่คิดมาก่อนเบ๊นซ์อีกว่าพี่อุ้ืมจะออกจากกระทู้เพราะรู้สึกหลังๆมันไม่เหมือนเดิม ก็เลยคิดอยู่วันนี้แหละว่าจะมาครั้งสุดท้ายแล้วก็จะไม่มาแล้ว ถ้าความคิดเห็นตรงกันก็ต่างคนต่างแยกกันตามทางที่ใครอยากจะเดินละกัน ไม่มีอะไรต้องขอขมา ไม่มีอะไรต้องยกโทษให้ เพราะไม่ได้เห็นว่ามีความผิดอะไรเลย ถ้าคิดเองเออเองเพราะสาเหตุไรไม่รู้อันนี้ก็ไม่รู้จะช่วยยังไงได้ แล้วคิดว่าอะไรที่ทำให้ขุ่นข้องหมองใจเพราะมันไม่มีจิงๆ
     
  10. ภัทรอังคาร

    ภัทรอังคาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    4,904
    ค่าพลัง:
    +14,098
    เอ้อ สงสัยจะจริงฟระ เลยเป็น ค ไม่ใ่ช่เป็นคนไง ไม่ต้องตอบแล้วนะเพราะจะไม่เข้ามาแล้ว
     
  11. Ajarn Pithak

    Ajarn Pithak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,367
    ค่าพลัง:
    +2,126
    พี่เพชรคนสวยได้อะไรอะ ไม่เห็นนำมาฝากน้องยาเลยครับ
     
  12. Nakraksa

    Nakraksa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    3,481
    ค่าพลัง:
    +14,350
    เชื่อว่าให้ด้วยความรู้สึก ก็แหมนะ เล่นเอามือสั่นซะขนาดนั้น จริงๆได้รับด้วยความซาบซึ้งนะ แต่ไม่อยากให้คิดว่าติดหนี้ บอกแล้วไงว่ายังไงก็ไม่เอาคืน รู้สึกว่าอยากให้ปราญสบายใจที่สุดเท่านั้นเอง เป็นห่วงนะ คนดี
     
  13. Nakraksa

    Nakraksa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    3,481
    ค่าพลัง:
    +14,350
    กรี๊สสส จะเอาอะไรมาฝาก ได้มาแค่อย่างละชิ้น แถมคนให้ก็บอกว่า เจ้าของมารับไปถูกตัวแล้ว จะให้เค้าว่าไงล่ะน้องยา
     
  14. Ajarn Pithak

    Ajarn Pithak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,367
    ค่าพลัง:
    +2,126
    (สมเด็จพระญาณสังวรฯ)

    เมตตา คือ ภาวะของจิตที่มีเยื่อใยไมตรีจิตมิตรใจคิดเกื้อกูลด้วยสุขประโยชน์ ปราศจากอาฆาตพยาบาทขึ้งเคียดโกรธแค้น
    แสดงออกทางสีหน้าและสายตาที่สงบแช่มชื่น มองดูด้วยสายตาอันแสดงถึงใจที่เอิบอาบด้วยความปราถนาดีให้มีความสุข ปราศจากความมุ่งร้ายที่เป็นภัยเวรทั้งปวง

    เมตตานี้เป็นพรหมวิหาร ธรรมข้อหนึ่งที่พึงอบรมให้มีขึ้นในจิต วิธีอบรม คือ ระวังใจมิให้โกรธแค้นขัดเคืองอาฆาตพยาบาท เมื่อ ภาวะของจิตเช่นนั้นเกิดขึ้น ก็พยายามสงบระงับเสีย หักคิดว่าตนเองรักสุข ต้องการความสุขฉันใด คนอื่นสัตว์อื่นทั้งปวงก็ฉันนั้น และตนเองปราถนาสุขแก่คนซึ่งเป็นที่รักที่พอใจฉันใด ก็ควรปราถนาสุขแก่คนอื่นสัตว์อื่นฉันนั้น

    เมื่อทำความสงบอาฆาต พยาบาทและทำไมตรีจิตมิตรใจให้เกิดขึ้นได้แล้ว ก็หัดแผ่จิตเช่นนี้ออกไปแก่คนอื่นสัตว์อื่นโดยเจาะจง หรือโดยไม่เจาะจงทั่วไป ด้วยใจที่คิดปราถนาสุขประโยชน์ ดังเช่นคิดว่า...

    "จงอย่ามี เวร อย่าเบียดเบียน อย่ามีทุกข์ มีสุขรักษาตนให้สวัสดีเถิด"

    อันที่จริงภาวะของจิตที่มีความรักใคร่ปราถนาให้เป็นสุข ย่อมมีอยู่ในตนและในคนที่เป็นที่รักอยู่เป็นปรกติ แต่ยังเจือด้วยราคะสิเนหาบ้าง เจือด้วยอาฆาตพยาบาทในผู้อื่นสัตว์อื่นบ้าง นี้จึงนับว่าเป็นภาวะของจิตที่เป็นสามัญธรรมดา

    พระบรมศาสดาทรงสั่ง สอนธรรม ก็คือทรงสั่งสอนให้ปรับปรุงสิ่งที่มีอยู่เป็นสามัญธรรมดานี้แหละ ให้เป็นธรรม คือเป็นคุณเกื้อกูลขึ้นมา คือให้ปรับปรุงความรักใคร่ปราถนาสุขดังกล่าวให้เป็นคุณอันบริสุทธิ์ที่ เกื้อกูลกว้างขวางออกไป มิให้คับแคบเฉพาะตนและคนซึ่งเป็นที่รักในวงแคบของตน หรือจำเพาะพวกของตน แต่ให้แผ่กว้างออกไป

    ตลอดจน ถึงไม่มีจำกัดไม่มีประมาณ และให้ปราศจากอาฆาตพยายาบาท ทั้งให้บริสุทธิ์จากราคะสิเนหาด้วย
    เพราะว่าอาฆาตพยาบาทเป็นศัตรูที่ห่างของเมตตา ราคะสิเนหาเป็นศัตรูที่ใกล้ของเมตตา

    ความรักใคร่ ที่เป็นสามัญธรรมดาของโลกย่อมเจือด้วยสิ่งทั้งสองนี้ ส่วนที่เป็นเมตตาอันบริสุทธิ์ย่อมปราศจากสิ่งทั้งสองนั้น ทางปฏิบัติอบรมก็ต้องอบรมสิ่งที่มีอยู่เป็นธรรมดาโลกนี้แหละ ให้เป็นธรรมขึ้นมา และย่อมเป็นเครื่องคุ้มครองโลก

    ดังภาษิตที่ว่า "โลโกปตฺถมฺภิกา เมตฺตา...เมตตาเป็นธรรมเครื่องคุ้มครองโลก" ดังนี้




    ที่มา ศีลและพรหมวิหาร ๔ : สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
     
  15. Ajarn Pithak

    Ajarn Pithak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,367
    ค่าพลัง:
    +2,126
    <table align="center" width="100%" border="0" cellpadding="3" cellspacing="0"><tbody><tr bgcolor="#ffffcc"><td valign="center">
    </td></tr> <tr><td align="center" valign="top"><table width="95%" border="0" cellpadding="2" cellspacing="2"><tbody><tr><td class="A2" valign="top">
    อภัยทาน : พระศรีญาณโสภณ (สุวิทย์ ปิยวิชฺโช)


    อภัยทาน
    พระศรีญาณโสภณ (สุวิทย์ ปิยวิชฺโช)



    การผูกอาฆาตพยาบาท จองเวร ให้ผลข้ามภพข้ามชาติ

    ถ้า เราเปรียบภพชาติเหมือนคืนวัน
    การนอนหลับเหมือนการตาย การตื่นนอนเหมือนการเกิด
    ภพชาติก็ใกล้ตัวเราเข้ามา

    การผูกอาฆาต พยาบาทเหมือนการเข้านอนโดยไม่ได้อาบน้ำชำระร่างกาย
    หลับก็ไม่เป็นสุข ตื่นขึ้นมาก็ไม่สดชื่น

    ในแต่ละวัน จิตของเราเก็บเกี่ยวเฉี่ยวโฉบอารมณ์รัก โลภ โกรธ หลง อิจฉา นินทา
    อาฆาต พยาบาท ขุ่นแค้น ขัดเคือง นานาชนิดเอาไว้

    ถ้าไม่มีวิธีชำระก็จะ เกิดสนิมใจขึ้นมา
    กระทั่งไม่อาจนอนได้อย่างมีความสุขหากไม่ชำระร่างกาย ฉันใด
    ใจที่ไม่ถูกชำระจะทำให้ฝันร้าย อารมณ์หงุดหงิดหลับไม่สนิท ฉันนั้น

    การ แสดงอภัยทานเป็นการชำระใจ
    แม้จะดูพูดง่าย แต่ก็ทำได้ยากหากไม่ฝึกทำจนเป็นปกติ


    เพื่อให้เข้า ใจง่ายและอยากทำให้ได้
    ขอให้เรามาพิจารณาเหตุผล
    ถึงความต่อเนื่อง ของผลกรรมที่มีผลข้ามภพข้ามชาติว่า
    ให้ผลเผ็ดร้อนเพียงใด และยังเป็นผลที่เราหนีไม่ได้อีกด้วย

    เราต้องถามตนเองก่อนว่า
    เราต้องการยุติการ เผล็ดผลของกรรมกันคนๆ นั้นเพียงภพนี้
    หรือต้องการจะพบเขา จะเจอเขาอีกในชาติต่อๆ ไป

    เราต้องการจะยุติปัญหาเหล่านี้เพียงภพ ชาตินี้
    หรือต้องการลากยาวไปถึงภพชาติข้างหน้า
    เรามีสิทธิเสรีในตัว เราที่จะหยุดหรือสร้างเหตุต่อไปอีก


    บางคน รักมาก หลงมาก เพราะเขาดีมาก
    ก็ปรารถนาให้พบกันทุกภพทุกชาติ

    บางคนก็ อธิษฐานไม่ขอร่วมเดินทาง แต่ก็ไม่ยกโทษ
    ในที่สุดผลของการไม่ยกโทษ คือไม่ยอมให้อภัย
    ก็เหมือนการผูกสิ่งที่เราไม่ชอบไว้ที่เอวตนเองตลอด เวลา

    การให้อภัย จะทำให้เราสามารถยุติปัญหาต่างๆ ได้
    เหมือนคนล้างแก้วน้ำสะอาด
    ทำ ให้เหมาะสมที่จะรองรับน้ำบริสุทธิ์ที่เทลงไปใหม่
    เหมือนการโยนของที่เรา ไม่ชอบทิ้งเสีย โดยไม่ต้องเสียดาย


    การให้อภัยคือการแสดง กำลังใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมนุษย์
    อภัยทานนั้นเวลาจะให้ไม่ต้องไปขอใคร
    ไม่เหมือนใครมาขอเงินเรา เราต้องควักกระเป๋าให้
    แต่ให้อภัย เราไม่ต้องหาจากไหน และไม่รู้สึกว่าเป็นการสูญเสีย

    ขอให้เราภูมิใจเถิด เมื่อมีใครมาขอโทษ เมื่อมีใครให้อภัยเรา
    หรือเมื่อสำนึกได้ว่า เราได้ทำอะไรผิดพลาดไป ก็ขอโทษกัน

    </td></tr></tbody></table></td></tr><tr><td align="center" valign="top"><table width="95%" border="0" cellpadding="2" cellspacing="2"><tbody><tr><td class="A2" valign="top"> <table align="center" bgcolor="#f5f5f5" border="0" cellpadding="2" cellspacing="2"><tbody><tr><td>[​IMG]</td></tr><tr><td align="center">
    </td></tr></tbody></table>
    </td></tr></tbody></table></td></tr><tr><td align="center" valign="top"><table width="95%" border="0" cellpadding="2" cellspacing="2"><tbody><tr><td class="A2" valign="top"> การขอโทษ หรือการให้อภัย มิใช่การเสียหน้า หรือเสียรู้
    มิใช่การได้เปรียบเสีย เปรียบแต่อย่างใด
    หากแต่เป็นการชำระใจให้สะอาด เหมือนภาชนะสกปรก ก็ชำระล้างให้สะอาด


    ในชีวิตที่เหลืออยู่นี้ อาจจะดูเหมือนยาว
    แต่ มีใครบอกได้ว่าเราจะอยู่ได้ปลอดภัยถึงวันไหน
    เราต้องการความทรงจำที่เลว ร้าย หรือต้องการความทรงจำที่ดีในชีวิต

    เราต้องการนั่งนอนอย่างมี ความสุข มีชีวิตอยู่ด้วยความอิ่มเอิบ
    หรือต้องการมีชีวิตอยู่ด้วยการถอน หายใจด้วยความทุกข์และกังวลใจ
    สิ่งเหล่านี้กำหนดได้ที่ตัวเราเอง กำหนดวิธีคิดให้ถูกต้อง


    ความ คิดเป็นสิ่งที่ทรงพลังมาก
    สุขหรือทุกข์ของมนุษย์อยู่ที่วิธีคิด


    คิดเป็นก็พ้นทุกข์
    คิดไม่เป็น แม้แต่เรื่องมิใช่เรื่อง ก็อาจเกิดเรื่องได้


    ขอ ให้เรามาคิดดูว่า ในชีวิตของเราคนหนึ่ง
    อย่างเก่งก็อยู่ได้ ๗๕ ปี เกินนี้ไปถือเป็นกำไรชีวิต
    ทำไมเราจะเสียเวลามาครุ่นคิดเรื่องไร้สาระ
    ทำไม เราจะต้องเสียเวลามาทำเรื่องที่ทำให้เกิดทุกข์

    การยอมกันเสียบ้าง ก็เป็นความสุขได้ไม่ยาก
    เราอาจคิดว่า การให้อภัยบ่อยๆ แก่คนบางคน
    เขา อาจจะไม่ปรับตัว ยังก่อเหตุอยู่เสมอๆ
    งานก็ไม่สำเร็จ ยังเหลวไหลอยู่เหมือนเดิม
    นั่นอาจเป็นเหตุผลในการทำงาน

    แต่สำหรับเหตุผลของใจนั่น
    เมื่อให้อภัย ใจเราก็เบา


    การ ยกโทษ อาจดูเหมือนเรายอม
    เราไม่ติดใจ ไม่เอาเรื่อง แล้วจะทำให้เขากำเริบ
    ส่วนเราเสียเปรียบ

    ความ จริงไม่ใช่
    เรากำลังบำเพ็ญบารมีขั้นสูง คือ “อภัยทาน”
    อันเป็น “ทานบารมี” ที่สูงส่ง
    การ ยอมแพ้อาจเป็นชัยชนะยิ่งใหญ่ข้ามภพชาติ


    ขอให้สังเกตความ เปลี่ยนแปลงทางกายภาพ
    เวลาเราโกรธ เกลียด พยาบาทใคร
    สีหน้าของเราจะ เปลี่ยนไป เลือดในร่างกายจะผิดระบบ
    เช่น เวลาโกรธจัด จิตที่ถูกครอบงำโดยอารมณ์ร้าย
    ก็มีลักษณะเช่นเดียวกันคือ ความรุ่มร้อนไม่พอใจ ทำอะไรก็กังวลเป็นทุกข์

    แต่พอยกโทษให้ ก็จะรู้สึกทันทีว่า ยิ้มได้ จิตเบาสบาย
    ที่เปรียบกันว่าเหมือนยกภูเขา ออกจากอก
    รู้สึกจิตเป็นอิสระทันทีเพราะหมดห่วง หมดทุกข์ หมดสนิมที่จะกัดกร่อนจิตใจ

    วิธีคิด มีความสำคัญมากสำหรับชีวิตของคน
    เรามักได้ยินเสมอๆ ว่า แพ้หรือชนะอยู่ที่กำลังใจ
    แท้จริงแล้ว คำว่า “กำลัง ใจ”
    ก็คือวิธีคิดนั่นเอง พลังที่ยิ่งใหญ่ของมนุษย์ คือการที่ “ใจ” มีกำลัง


    มนุษย์เราจึงต้อง สร้างกำลังใจให้แก่กันและกัน
    กำลังใจเป็นสิ่งที่ให้ไม่รู้จักหมด
    ยิ่ง เราให้คนอื่นได้มากเท่าไหร่ กำลังใจก็จะยิ่งเกิดขึ้นแก่เรามากเท่านั้น
    เหมือน วิชาความรู้ ยิ่งให้ยิ่งพอกพูน ยิ่งหวงไว้เฉพาะตัวก็ยิ่งหดหาย

    การให้อภัย อาจพูดง่าย แต่ทำยาก
    แม้ จะเป็นเรื่องยาก เพราะใจไม่อยากทำ
    แต่ก็สามารถทำได้เมื่อเราฝืนใจทำ
    และ จะเป็นความสุขใจในภายหลังเมื่อครวญคำนึงถึง


    การตอบ รับซึ่งกันและกัน
    ถ้าเป็นความดี เป็นความรัก ความอบอุ่นก็ดีไป
    แต่ ถ้าเป็นความเกลียด ความโกรธ
    สิ่งที่จะตามมา คือการรับรู้และเก็บอารมณ์ทั้งโกรธและเกลียดนั้นไว้ด้วยกันทั้งสองฝ่าย

    เมื่อ รู้แล้วก็ควรสละอารมณ์นั้นด้วยตัวเราเองก่อน
    เพื่อป้องกันจิตเรามิให้ เป็นทุกข์เพราะคนนั้นเป็นเหตุ
    เราอาจคิดเสมือนหนึ่งไม่ได้มีเขาอยู่ใน โลกนี้เลยก็ได้
    การให้อภัยเขา คือคิดถึงเขาในฐานะเพื่อนร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตาย
    ไม่สมควรจะไปยึดเป็นรักเป็นชัง

    ก็เมื่อแม้แต่รัก ท่านยังสอนให้เราละทิ้ง มิให้ยึดติด
    แล้วทำไมเราจะยังมองเห็นโกรธเป็นสิ่งที่จะต้องยึดมั่นอยู่ ได้




    ที่มา : จากหนังสือ “อภัยทาน”
    </td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>
     
  16. Ajarn Pithak

    Ajarn Pithak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,367
    ค่าพลัง:
    +2,126
    คิดอย่างนี้สิจึงจะนำให้พ้นทุกข์


    เราต้องเข้า ใจชัดเจนทั้งสองอย่าง
    ในการปฏิบัติของเรา เราต้องพยายามติดตามดู ความ รู้สึกนึกคิด
    ตลอดวันตลอดคืน ไม่ใช่ปฏิบัติเฉพาะเมื่ออยู่ที่วัด
    ตั้งแต่นี้ต่อไปไม่ว่าเราจะอยู่ที่ ไหน อยู่ที่บ้าน อยู่ที่ทำงานหรือเที่ยวไป
    ก็ตาม พยายามคอยระวังความรู้สึกนึกคิดของตัวเอง ติดตามศึกษา


    ความ จริงเราไม่ต้องทำอะไรมาก
    เพียงแต่คอยสำรวมระวัง คอยสังเกตว่า
    เรามี ความรู้สึกอย่างไร คิดอย่างไร
    ให้มีสติ สัมปชัญญะ ระลึกรู้อยู่ รู้สึกตัวอยู่เสมอ
    อันนี้ให้ถือเป็นหน้าที่ของเรา
    เราไม่ ต้องอ่านหนังสือ หรือฟังเทศน์อะไรมากมาย
    เพียง แต่พยายาม เปลี่ยนนิสัย ให้เป็นคนช่างสังเกต
    คือ สังเกตความรู้สึกนึกคิดของตัวเอง
    สังเกตว่า เรากำลังทำอะไรอยู่ กำลังพูดอะไร กำลังคิดอะไร
    การปฏิบัติเช่น นี้ การพยายามติดตามสังเกตเช่นนี้ จะทำให้เกิดปัญญา
     
  17. Nakraksa

    Nakraksa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    3,481
    ค่าพลัง:
    +14,350
    ตามใจเถิดท่าน หากพิจารณาว่าชอบแล้วก็ทำไป ทำสิ่งใดแล้วมีความสุข จึ่งทำสิ่งนั้น ทุกอย่างตั้งอยู่ตามกฎไตรลักษณ์ สาธุ อนุโมทนามิ
     
  18. find truth

    find truth เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    209
    ค่าพลัง:
    +1,363
    ไหนว่าจะให้แอ้เป็นคนหาให้ใหม่อ่ะ จำได้นะที่คุณปราญบอกว่า สงสัยแอ้ต้องเป็นคนหามาให้ใหม่อ่ะ :'(
     
  19. find truth

    find truth เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    209
    ค่าพลัง:
    +1,363
    คุณเพชรขา วันนั้นที่แอ้เจอคุณเพชรตัวจริง ๆ หรือเปล่าค่ะ เนี่ย ไหงกลับมาจำอะไรไม่ได้เลยอ่ะ สงสัยต้องมีรอบหน้าว่าคนคนเดียวกันรึเปล่า ที่มาเนี่ย อิอิ
     
  20. Ajarn Pithak

    Ajarn Pithak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,367
    ค่าพลัง:
    +2,126
    ประวัติความเป็นมาของเมืองสุวรรณโคม คำ กว่าจะมาถึงนครเชียงแสน
    ตำนานของนครโยนก ก็คือตำนานลี่ผีของเจ้าคำหมั้นวงกดรัตนะได้กล่าวไว้ มีข้อความดังนี้ :
    พระเจ้าสิริวงสา กษัตริย์ของนครโพธิสารหลวง (นครโคตปูระ หรือ โคตบูร หรือ สีโคตรตะบอง เขตเมืองท่าแขกในปัจจุบัน) มีพระราชบุตร 2 พระองค์ องค์แรกมีพระนามว่า อินทรวงศา และ องค์น้องพระนามว่า ไอยกุมาร เมื่อพระบิดาสวรรคต ราชโอรสองค์โตก็ขึ้นครองราชย์สมบัติ และองค์รองเป็นมหาอุปราช พระยาอินรวงศามีพระโอรส ทรงพระนามว่า พระยาอินทปฐม และพระยาไอยกุมารมีพระธิดา ทรงพระนามว่า นางอูรสา และ พระโอรส พระธิดาทั้งสองพระองค์ได้อภิเษกสมรสกัน ครั้นพระยาอินทรวงศาสวรรคต พระยาอินทปฐมกุมาร ก็ขึ้นครองราชย์สมบัติแทน

    เมื่อนั้น พระยาไอยกุมาร ผู้เป็นอาและเป็นพ่อตา ได้สละตำแหน่งมหาอุปราช แล้วพาบริวารเดินเรือกลับขึ้นตามแม่น้ำโขง เป็นเวลา 3 เดือน จึงถึงเกาะเขิน ซึ่งตั้งอยู่ด้านซ้ายปากแม่น้ำกก ทางทิศตะวันตก พระยาไอยกุมาร จึงตัดสินใจตั้งราชนครที่เกาะเขิน อันประกอบด้วยครัวเรือนเบื้องต้น 3,000 ครัวเรือน
    ขณะนั้นข่าวดีก็ได้มาถึงพระองค์ว่า ราชธิดาของพระองค์ได้ให้ประสูติพระโอรส ที่มีเดชานุภาพตั้งแต่ประสูติ และต่อมาก็เกิดอภินิหารขึ้นหลายอย่างในราชสำนักนครโคตรปูระ (โคตรบูร) อันเป็นสาเหตุให้เสนาอามาตย์ และ ไพร่ฟ้า กลัวว่าจะเกิดภัยพิบัติทำให้บ้านเมืองล่มจมได้

    เมื่อเสนาอามาตย์เอาความขึ้นทูลถวายพระบิดาผู้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน พระองค์เลยทรงรับสั่งให้เอาพระมเหสีและราชบุตรใส่แพลอยน้ำ ครั้นเมื่อพระเจ้าไอยกุมารทรงทราบเรื่องนี้ ก็เสียพระทัยเป็นยิ่งนัก จึงได้ทรงรับสั่งให้ไพร่ฟ้าราษฎรทำการบวงสรวงจุดธูปเทียน โคมไฟ และ ประทีป บูชาพญานาค ให้สว่างทั่วแม่น้ำโขงเป็นเวลา 7 วัน 7 คืนเพื่อขอให้พญานาคชูเอาเรือของพระธิดาและองค์กุมารน้อยไว้ไม่ไหลสู่ลงทะเล (ตามตำนานบอกว่า พญานาคได้สร้างลี่ผีขึ้น จึงปรากฏเป็นดอนขี้นาค เพื่อกั้นแม่น้ำโขง ทำให้แพองค์กุมารน้อยไหลขึ้นเหนือจนถึงเกาะเขิน) การที่บวงสรวงพญานาคโดยการจุดประทีป โคมไฟ ธูปเทียนบูชาไหลไปตามแม่น้ำโขงนี้เอง จึงก่อให้เกิดประเพณีการไหลเรือไฟของลาวครั้งแรก และ ปฏิบัติกันตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา และด้วยเหตุผลเดียวกันนี้เอง ชุมชนใหม่ที่ตั้งขึ้นบนเกาะเขินนั้น จึงได้รับการขนานนามว่า เมืองสุวรรณโคมคำ ซึ่งได้มาจากพระนามขององค์กุมารน้อย ซึ่งมีพระนามว่า สุวรรณมุข ทวาร และชื่อของพิธีจุดโคมบวงสรวงพญานาค ซึ่งเรียกว่า โคมคำ

    เมืองสุวรรณโคมคำนั้น ตั้งขึ้นในสมัยใด และเชื้อกษัตริย์เมืองโพธิสารหลวงนั้นเป็นชาติพันธุ์ใด ?
    ตามตำนานของประเทศศรีลังกา ซึ่งท่านฟรังซิสการเย เขียนไว้ในหนังสือการสำรวจแม่น้ำโขงของท่าน ในศตวรรษที่ 19 กล่าวไว้ว่า เมืองสุวรรณโคมคำนั้นปรากฏตัวอยู่ในศตวรรษที่ 5 ของคริสตกาล และตามตำนานน้ำท่วมโลก ซึ่งได้กล่าวถึงพระยาศรีสัตนาคที่ครองเมืองหนองกระแสแสนย่าน ได้นำกำลัง 7 โกฏิ ( 7 พันล้าน) ยกลงมาตามแม่น้ำโขง และเป็นต้นกำเนิดของนาค 15 ตระกูล ในหลวงพระบาง และต่อมาชาวเมืองโพธิสารหลวง (ศรีโคตรตะบอง หรือ โคตรบูร) นั้นเป็นเชื้อขอม

    ตำนานยังบอกว่า เมืองสุวรรณโคมคำนั้น เติบโตอย่างรวดเร็ว เพียงแค่ 3 ปีเท่านั้น บ้านเรือนของไพร่พลก็มีถึง 100,000 หลัง

    ครั้งต่อมา เมืองสุวรรณโคมคำมีการประพฤติไม่ซื่อสัตย์ต่อพ่อค้า ซึ่งเป็นพวกนาคชาวหลวงพระบาง ทำให้เกิดการขัดแย้งกัน ชาวหลวงพระบางจึงได้ยกกำลังมาบุกทำลายเมืองสุวรรณโคมคำจนราบ ทำให้ชาวเมืองแตกตื่นอพยพไปทั่วสารทิศ เช่น หนีเข้าอุโมงค์ ไปศรีสัชนาลัย และหลวงพระบาง และได้นำประเพณีไหลเรือไฟไปปฏิบัติด้วย

    ต่อมายังมีเชื้อนาคตระกูลลาวจก คือ ลาวทางภาคเหนือของเชียงราย ได้มาสร้างนครสุวรรณโคมคำขึ้นอีกครั้ง ตามตำนานมีกำแพงเมืองรอบ 4 ด้าน และ แต่ละด้านยาว 3,000 วา ด้วยเหตุนี้ เมืองสุวรรณโคมคำที่สาบสูญไปแล้วจึงได้ชื่อเรียกใหม่ว่า เมืองนาเคนทรนคร หรือ นาคบุรี หรือ เมืองนาคพันทุสิงหนวัตนคร หรือ นคร เชียงลาว เนื่องจากว่าชาวลาวภาคเหนือ (นาค) เป็นผู้สร้างขึ้น นอกจากชื่อต่าง ๆ นั้นแล้ว ในตำนานต่าง ๆ ของชาวลาวภาคเหนือ และมหากาพย์เรื่อง ท้าวฮุ่ง ท้าวเจือง ยังได้เรียกไว้อีกชื่อหนึ่งว่า นครเงินยาง หรือ เงินยวง ต่อมาเมื่อพระยาแสนภูได้มาครองเมืองดังกล่าวก็ได้อีกชื่อว่า เชียง แสน (เก่า)
    ตระกูลลาวจกได้ครองนครเชียงลาว หรือ นาคบุรี หรือ นครเงินยาง มาตลอด 43 รัชสมัย จนมาถึงสมัยขุนเจือง กษัตริย์ลาวคนแรก ที่รวบรวมเผ่าต่าง ๆ ให้เป็นอาณาจักรเดียวกันอยู่ทางภาคเหนือ เมื่อ ค.ศ. 1096 ขุนเจืองได้ยกกองทัพพิชิตหลวงพระบาง เชียงขวาง และปะกัน (แคว้นแกวจี ของเวียตนาม) จากนั้นก็รวมเป็นอาณาจักรเดียวกัน โดยเฉพาะรวมตระกูลนาคและตระกูลขอมเข้าด้วยกัน พระองค์จึงถือได้ว่าเป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่พระองค์หนึ่งของเหล่าบรรดาเผ่า พันธุ์ต่างๆ ของชาติลาว อาณาจักรของขุนเจืองล่มสลายในรัชสมัยที่ 4 ของกษัตริย์หลวงพระบาง คือในสมัยรัชกาลของขุนกันฮาง ผู้ซึ่งเป็นเหลนโหลนของขุนเจือง หลังจากพ่ายแพ้ให้แก่กองทัพของขุนลอ ที่ยกทัพมาจากเมืองแถง ( ปัจจุบันคือ เดียนเบียนฟู ของเวียตนาม)

    เมือง สุวรรณโคมคำ อันเป็นชื่อแรกของนครโบราณแห่งนี้ นับว่าได้ผ่านการถูกทำลาย และ สร้างขึ้นใหม่หลายครั้งหลายหน และมีชื่อเรียกต่าง ๆ มากมาย ในที่สุดก็เหลือให้เห็นแต่ร่องรอยของเมืองร้างอันน่าสะเทือนใจ
    ปัจจุบันนี้ทางแผนกวัฒนธรรม แขวงบ่อแก้ว และ กระทรวงแถลงข่าวและวัฒนธรรม ได้มีมาตรการอนุรักษ์และประกาศให้เป็นปูชนียสถานแห่งชาติ เป็นสถานที่อนุรักษ์และหวงห้าม เป็นอุทยานแห่งการศึกษาหาความรู้ แหล่งท่องเที่ยวและผักผ่อนหย่อนใจของนักค้นคว้า นักศึกษา นักอนุรักษ์นิยม และรักษาวัฒนธรรมอันหลากหลาย นั่นก็คือ ธรรมชาติที่สวยงามและปลอดโปร่ง

    ออกไปไม่ไกลจากปูชนียอุทยานแห่งนี้ มีสิ่งดึงดูดใจนักท่องเที่ยวที่มาที่แห่งนี้ คือ บ่อน้ำร้อนคุณภาพดี ต้นไม้ที่หายากหลายชนิด ร่องรอยอดีต สามเหลี่ยมทองคำ ถ้ำคูหา และวิถีชีวิตของชนเผ่าต่าง ๆ ที่หลากหลาย นอกจากนั้นที่พิเศษอีกอย่างคือ เมื่อถึงวันบุญออกพรรษา ก็จะได้ชมการไหลเรือไฟบูชาพญานาค ณ ที่ที่เป็นต้นกำเนิดของประเพณีนี้ และ เมื่อถึงฤดูดอกงิ้วบาน ก็จะได้ร่วมบุญดอกงิ้วอันสนุกสนานรื่นเริงหาที่ใดเปรียบได้เหมือน
    <style>table.cnt,tr.cnt,td.cnt,tbody.cnt,div.pyl,pre.pyl,p.pyl {border:0 none;border-top:0;border-right:0;border-bottom:0;border-left:0;padding:0px; margin:0px;font-family:Verdana,Helvetica,Arial,sans-serif;font-size:16px; font-size-adjust:none;font-stretch:normal;font-style:normal;font-variant:normal;font-weight:normal;line-height:normal;}table.cnt,td.cnt,div.pyl,pre.pyl,sup.pyl,a.pyl,p.pyl {color:black;background:#F9F9F9;text-decoration: none;}a.pyl:hover{text-decoration: underline;}table.cnt,div.pyl,pre.pyl {width:auto;}pre.pyl,div.pyl {overflow:visible;}div.pyl {position: relative; float: left; padding-left: 3px; padding-right: 3px; height: 55px;}</style><table style="width: 25px; height: 40px;" class="cnt"><tbody><tr><td class="cnt"></td></tr></tbody></table>​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 มิถุนายน 2010

แชร์หน้านี้

Loading...