ผลที่เกิดขึ้นในโลกนี้ ล้วนมาจาก “กรรม” ทั้งสิ้น

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย supatorn, 26 สิงหาคม 2017.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    45,900
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,041
    รู้กรรมด้วยธรรมะ
    ประภา จุลชาต
    การเจริญสติปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน จะแก้กรรมได้ และจะรู้กรรมของตนเองได้ นั่นจริงหรือ? ข้าพเจ้าเป็นคนไม่เชื่ออะไรง่าย ๆ เรื่องเวรเรื่องกรรมไม่เคยเชื่อ จนได้มาประสบกับตัวเอง ได้พิสูจน์เอง…

    ข้าพเจ้าเกิดมาเป็นเด็กหญิงที่แข็งแรง สุขภาพร่างกายสมบูรณ์ดี แต่มีแผลติดตัวมาอยู่ตรงกระเบนเหน็บซึ่งตรงกับจุดศูนย์รวมประสาท เป็นแผลลึก กว่าจะรักษาให้หายได้เป็นเวลาหลายวัน ต่อมาถูกตะปูตำที่เท้าทำให้อักเสบเดินไม่ได้ ได้รับการผ่าตัดจากแพทย์ แต่ก็กลายเป็นคนเท้าพิการ

    เวลาผ่านไปหลายปี ความพิการที่เท้าก็ยังไม่หาย ขาก็เริ่มลีบเล็กลง ไม่มีแรง จึงได้เข้าโรงพยาบาลผ่าตัดหลังตรงกระเบนเหน็บ เพื่อแก้ระบบประสาทตั้งแต่เอวถึงปลายเท้าให้ดีขึ้น ในเวลาต่อมาขาข้างขวาเกิดอ่อนแรงลงไปมาก ปลายเท้าตกต้องผ่าตัดแก้ไขกันอีก โดยตอกข้อเท้าให้หักแล้วงัดปลายเท้าขึ้นเอาเหล็กเสียบตรึงไว้ ๓ อัน ต้องใส่เฝือกอยู่นาน ปัจจุบันนี้เหล็กที่เสียบกระดูกไว้เกิดหลวม เวลาเดินถ้าก้าวเท้าไม่ถูกจังหวะจะเจ็บ แพทย์ให้ผ้าตัดใหม่ ข้าพเจ้าไม่ผ่า ขอยุติการผ่าตัดกันเสียที ไม่ทราบว่า ข้าพเจ้ามีเวรกรรมอะไร ถูกตะปูตำเท่านั้น ต้องกลายมาเป็นคนขาพิการ แต่ข้าพเจ้าก็อดทน ต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บที่ประดังกันเข้ามา บางครั้งเป็นพร้อมกันตั้ง ๓ โรค ขาเจ็บ เป็นไข้ กระเพาะปัสสาวะอักเสบ ปัสสาวะออกมาเป็นเลือด เป็นในเวลาเดียวกันหมด มีคนแนะนำให้ไปหาพระให้ท่านดูให้ว่ามีเวรกรรมอะไร จะได้แก้กรรมได้ถูก ข้าพเจ้าไม่เชื่อ จนกระทั่งครั้งหนึ่งผู้อำนวยการกองวิเคราะห์กรมพัฒนาที่ดิน คือ คุณศิริพันธุ์ จิตะสมบัติ ได้กรุณาพาข้าพเจ้าไปหาพระที่จังหวัดนครปฐม ท่านบอกว่าท่านช่วยอะไรไม่ได้เลย เจ้ากรรมนายเวรมารุมล้อมท่านเต็มไปหมดและบอกว่า อย่าช่วย ผู้หญิงคนนี้เป็นคนใจร้ายมาก ข้าพเจ้าไม่เชื่อจึงพูดท้าทายออกไป “ถ้าอย่างนั้นก็ให้มาเอาชีวิตไปเสีย เอาไปเดี๋ยวนี้เลย” พระท่านก็ย้ำถามว่า “จะเอาอย่างนี้จริง ๆ หรือ” ข้าพเจ้าตอบยืนยัน ท่านก็นั่งสมาธิติดต่อเจ้ากรรมนายเวรอยู่ครู่หนึ่ง ท่านก็บอกว่า “เขาไม่เอา เขาจะทรมานข้าพเจ้าอยู่อย่างนี้ และจะต้องได้รับความเจ็บปวดจากการผ่าตัดอีก” ข้าพเจ้าไม่เชื่อ แต่ผลสุดท้ายก็ต้องเข้าโรงพยาบาลผ่าตัดอีกจริง ๆ เวลาผ่านไปเพียงเดือนเดียวเท่านั้นข้าพเจ้าต้องผ่าไส้ติ่ง แต่คิดว่าเป็นการบังเอิญมากกว่า รวมแล้วเข้าโรงพยาบาลผ่าตัดมาทั้งหมด ๑๖ ครั้ง สลบ ๑๔ ครั้ง ไม่สลบ ๒ ครั้ง และยังไม่รู้ว่ากว่าข้าพเจ้าจะสิ้นชีวิต จะต้องเข้าผ่าตัดกันอีกหรือไม่

    ข้าพเจ้าเคยไปกราบนมัสการเกจิอาจารย์มาหลายองค์ แม้แต่การเข้าทรงก็เคยไปสัมผัสมา เพราะอยากรู้อยากศึกษาเรื่องลี้ลับเรื่องเวรเรื่องกรรม ผลสรุปจากการที่ไปพบ จะพูดถึงกรณีของข้าพเจ้าคล้ายกันหมดว่า ข้าพเจ้าเป็นคนโหดเหี้ยม ทารุณ ร้ายกาจ คิดแล้วไม่อยากจะเชื่อ จนกระทั่งได้มาพบกับท่านเจ้าคุณหลวงพ่อจรัญ ท่านเจ้าอาวาสวัดอัมพวัน เมื่อพบหน้าข้าพเจ้าครั้งแรก ท่านก็ชี้หน้าว่า “ใจร้าย” ทั้ง ๆ ที่หลวงพ่อยังไม่ได้พูดคุยหรือซักถามอะไรข้าพเจ้าเลย หลวงพ่อยังไม่เห็นด้วยว่า ข้าพเจ้ามีขาพิการ ข้าพเจ้าคลานเข้าไปกราบพร้อมกับคนอื่น ๆ อีกหลายคน พอเงยหน้าขึ้นมาหลวงพ่อก็ว่า

    ใจร้าย รู้สึกงง ไม่ได้ทำอะไรใครเลย ทำไมหลวงพ่อว่าใจร้าย หลวงพ่อว่าแล้วก็หัวเราะบอกว่า “อดีตชาติ” ท่านเจ้าคุณหลวงพ่อคงใช้จิตดู เห็นหนอ…เห็นหนอ…

    เมื่อข้าพเจ้าไปเข้าปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานครั้งแรก โดยการชักชวนจากอาจารย์มุกดา วิภาวสุ ได้ไปเข้าร่วมในโครงการพัฒนาจิตซึ่งยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ จัดขึ้นที่วัดอัมพวัน โดยมี คุณแม่ ดร. สิริ กรินชัย เป็นวิทยากร ข้าพเจ้าตกลงไปด้วยเพราะเกรงใจ พี่มาชวนหลายครั้งแล้ว และยังจะเป็นผู้คอยดูแลช่วยเหลือให้ได้รับความสะดวกทุกประการอีกด้วย เมื่อเดินทางไปถึงวัดอัมพวัน จังหวัดสิงห์บุรี ข้าพเจ้าก็เริ่มไม่สบายใจ อึดอัดบอกไม่ถูก เรียกว่าเซ็งเป็นที่สุด ผู้คนเยอะแยะขวักไขว่ไปหมด

    พิธีเริ่มด้วยการสวดมนต์ไหว้พระรับกรรมฐาน ท่านเจ้าคุณหลวงพ่อท่านเจ้าอาวาสวัดอัมพวัน มาเป็นองค์ประธานเปิดการอบรม เสร็จแล้วเริ่มปฏิบัติเดินจงกรม นั่งสมาธิปฏิบัติกันที่หอประชุมภาวนากรศรีทิพา ข้าพเจ้าเริ่มปวดศีรษะ แล้วก็ปวดมากขึ้นเรื่อย ๆ พอถึง ๕ ทุ่มก็อาเจียน ต้องทานยาแก้แพ้ให้ง่วงหลับไป พอตี ๔ ตื่นขึ้นมาทำภารกิจส่วนตัวเสร็จแล้วก็ไปที่หอประชุมปฏิบัติกันก่อน เวลา ๖.๐๐ น. คุณแม่สิริ ท่านก็มานำสวดมนต์ ไว้พระ ฟังธรรม ๗.๐๐ น. ไปรับประทานอาหารเช้า ๘.๐๐ น. เข้าปฏิบัติต่อ ในวันนี้ตรงกับวันที่ ๒ เมษายน ๒๕๓๓ ซึ่งเป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี คุณแม่สิริ ท่านนำลูกโยคีถวายราชสดุดี หลังจากนี้ก็เดินจงกรม นั่งสมาธิ

    พอเริ่มปฏิบัติ อาการปวดศีรษะก็เริ่มรุนแรงขึ้น ท้องก็ปวด ต้องนั่งเฉย ๆ อาการก็ยังไม่หาย อาเจียนออกมาเรื่อย ต้องนั่งกอดกระโถนไว้อาเจียนแล้วอาเจียนเล่า อยู่ในห้องกรรมฐาน เลยต้องกลับที่พัก

    ข้าพเจ้าตัดสินใจกลับบ้าน ได้บอกให้อาจารย์มุกดา วิภาวสุ ผู้ทำหน้าที่พี่เลี้ยงไปเหมารถมารับกลับบ้าน อาจารย์มุกดาและกัลยาณมิตรอีกหลายคนไม่ให้กลับ เพราะรู้อาการของโรคกันดี ข้าพเจ้าจนปัญญากลับไม่ได้ อาเจียนก็ยังไม่หยุด รู้สึกเพลียและทรมานเหลือเกิน คุณสมประสงค์ ลูกศิษย์ของท่านเจ้าคุณหลวงพ่อ ได้นำเอาตะไคร้ที่หลวงพ่อทำเป็นยาไว้ มาชงน้ำให้ดื่ม พอดื่มน้ำตะไคร้ของหลวงพ่อไปได้สักพักหนึ่ง อาเจียนก็หยุด อาการปวดศีรษะก็ทุเลาเบาคลายลงไปมาก มีแต่อาการอ่อนเพลียเท่านั้น ตอนบ่ายข้าพเจ้าเห็นว่าอาการดีขึ้นแล้ว จึงไปปฏิบัติที่หอประชุม คราวนี้ปฏิบัติได้โดยไม่อาเจียน ไม่ปวดท้อง ไม่ปวดศีรษะ มีสมาธิในการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานได้ดี แต่จะหิวบ้าง คืนนี้ข้าพเจ้านอนหลับสบาย

    พอเช้าวันรุ่งขึ้นตื่นขึ้นมารู้สึกว่ามีความสุขกายสบายใจ ชุ่มชื่นใจอย่างบอกไม่ถูก เย็นกายเย็นใจมีความสุขมาก ความสุขสดชื่นแบบนี้ข้าพเจ้าไม่เคยได้สัมผัสมาก่อนเลย อาจารย์มุกดาและกัลยาณมิตรทุกคนต่างก็มีความยินดีและมาอนุโมทนากับข้าพเจ้า แล้วพูดว่า “พี่ภา ชนะแล้ว” หมายถึง ชนะมารที่มาเป็นอุปสรรคขัดขวางการบำเพ็ญเพียรปฏิบัติธรรม ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานของข้าพเจ้า ซึ่งเป็นมารมาในรูปโรคภัยไข้เจ็บ ถ้าข้าพเจ้าดื้อรั้นกลับบ้านไป ข้าพเจ้าก็จะแพ้มารและแพ้ตลอดไป คุณแม่สิริท่านบอกว่า ถ้าใครมีเวรมีกรรม มีโรคภัยไข้เจ็บประจำตัวมาก ก็จะมีอาการเป็นเหมือนอย่างข้าพเจ้าเป็นนั้น จะมากหรือน้อยสุดแต่กรรมที่ทำไว้ หลวงพ่อท่านบอกว่า การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานจะช่วยแก้กรรมให้เบาบางลงได้ ปฏิบัติแล้วแผ่บุญกุศลแผ่เมตตาให้เจ้ากรรมนายเวรไปเรื่อย ๆ สักวันหนึ่งเจ้ากรรมนายเวรอาจจะใจอ่อน เลิกจองเวรกับเราก็ได้ หรือมิฉะนั้นผลบุญที่เราทำเพิ่มพูนไว้มาก ๆ จนล้น จะช่วยให้เราหนีกรรมไปห่างไกลจนกรรมตามไม่ทัน และจะหลุดพ้นได้ในที่สุด

    เดี๋ยวนี้ข้าพเจ้าเชื่อในเรื่องกฎแห่งกรรม เรื่องของจิตวิญญาณแล้ว หลังจากที่ข้าพเจ้าได้ปฏิบัติ และได้เข้ามาปฏิบัติที่วัดอัมพวันหลายครั้งแล้ว คนที่ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานจะรู้กรรมด้วยตนเอง นี่เป็นความจริงดังที่ได้พิสูจน์และได้พบเห็นในขณะที่นั่งสมาธิอยู่ ข้าพเจ้าได้เห็นผู้หญิงคนหนึ่งรูปร่างหน้าตาสวยมาก ผิวเนื้อสองสี ผมยาวประบ่า นัยน์ตาดำคม คิ้วโก่งเรียวได้รูปสวย นุ่งผ้าพื้นสีเขียวคล้ำ ใส่เสื้อแขนกระบอกคอกลมสีขมพูเข้ม มายืนจ้องดูข้าพเจ้าด้วยสายตาที่ดุดันแข็งกร้าว คล้ายกับจ้องมองคู่อาฆาตด้วยความเคียดแค้น และทำท่าจะเดินเข้ามาทำร้าย ข้าพเจ้าก็จ้องมองเธอ

    ทันใดนั้นสภาพหน้าที่ขาวสวยเกลี้ยงเกลากลับเปลี่ยนไป มีเลือดแดงสด ๆ ไหลออกมาจากทางใต้ไรผมบนหน้าผาก ไหลออกมาเป็นทางเต็มหน้า ตาจับจ้องอยู่ที่ข้าพเจ้า และจะเดินเข้ามาใกล้ ข้าพเจ้าเกิดความกลัว เลยออกจากสมาธิ ภาพหญิงนั้นก็หายไป ข้าพเจ้าไปเรียนถามคุณแม่สิริ ท่านบอกว่านั่นแหล่ะเป็นเจ้ากรรมนายเวรที่ข้าพเจ้าไปทำร้ายเขาไว้ เธอมาปรากฏให้เห็นต้องแผ่เมตตาแผ่บุญกุศลไปให้ แต่ข้าพเจ้าไม่ได้แผ่ คิดไม่ทัน ออกจากสมาธิเสียก่อน ถ้ายังอยู่ในสมาธิกำหนดตามรู้ต่อไป เราจะรู้ว่าไปทำร้ายเธอไว้อย่างไร ท่านเจ้าคุณหลวงพ่อบอกว่า ข้าพเจ้าสมาธิแรงแต่จิตตก ขาดการกำหนด ต้องกำหนดให้ทัน ตามให้รู้ และให้หมั่นปฏิบัติเสมอ ๆ แล้วจะดีขึ้น

    ครั้งหนึ่งกรรมตามสนองข้าพเจ้าทันตาเห็นในชาตินี้ เมื่อข้าพเจ้าอายุประมาณ ๑๐ ขวบ ได้จุดไฟเผามดตายทั้งรัง เวลาผ่านไปประมาณ ๔๐ ปี กรรมนั้นก็ตามสนอง ในคืนหนึ่งประมาณตี ๓ ข้าพเจ้ากำลังนอนหลับอยู่ ก็ต้องพรวดพราดตื่นขึ้นเพราะมีตัวอะไรมากัด พอเปิดไฟดู ปรากฏว่ามีมดตัวเท่ามดตะนอย สีดำ ปากมีเขี้ยวเหมือนก้ามปู ตัวมีขน มารุมกัดข้าพเจ้าตั้งแต่บริเวณเอวลงไปถึงขา ได้เอามือปัดออก บางพวกก็วิ่งหนีไปโดยเร็ว บางพวกก็ไม่ไป กัดติดอยู่อย่างนั้น ข้าพเจ้าอยากจะเอามือถูขยี้ให้ตายให้หมด แต่ใจหนึ่งห้ามไว้ไม่ให้ทำ เดี๋ยวจะเป็นเวรกรรมต่อไปอีก เลยจับดึงออก ขนาดจับดึงยังไม่ค่อยยอมปล่อย กัดติดจนเป็นแผลเลือดออกซิบ ๆ ชั่วเวลาไม่ถึง ๑ นาที มดเหล่านั้นก็หายไปหมด ข้าพเจ้าไม่กล้านอนต่อ กลัวมดเหล่านั้นจะมากัดอีก เลยไปอาบน้ำเอาแป้งทา บ่ายวันนั้นข้าพเจ้าเป็นไข้ อักเสบแผลที่ถูกมดกัน ต้องทานยาอยู่ ๓ วัน เวลาผ่านไปประมาณ ๒ เดือน มดก็มากัดข้าพเจ้าอีก แต่คราวนี้มากัดไม่มากเหมือนคราวแรก ข้าพเจ้ารู้แล้วเขามาทวงหนี้ เพราะเราเคยทำเขาไว้ ก่อนนอนข้าพเจ้าจะนั่งสมาธิแผ่เมตตาให้มดทุกคืน หลังจากนั้น ก็ไม่มีมดมากัดอีกเลย

    เมื่อเดือนเมษายน ๒๕๓๔ ข้าพเจ้าได้พบ อาจารย์วิภา รัศมีอมรวิวัฒน์ ผู้ซึ่งมีการศึกษาดี จบปริญญาโท จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เป็นศิษย์หลวงพ่อวัดอัมพวัน และคุณแม่สิริ กรินชัยด้วย อาจารย์ได้กรุณาใช้สมาธิตรวจกรรมให้ข้าพเจ้า ท่านบอกว่า ข้าพเจ้าทำกรรมไว้มาก ใจร้าย (พูดเหมือนหลวงพ่อเลย) ต้องใช้เวรกรรมไปอีกนาน เพราะโหดเหี้ยม ดุ ฆ่าคน ทำร้ายทั้งคนและสัตว์ ทำให้เขามีความทุกข์เดือดร้อนเจ็บปวดแสนสาหัส บางรายถึงแก่ชีวิต และบอกว่าเห็นผู้หญิงคนหนึ่งถูกข้าพเจ้าทำร้ายและทรมานจนเดินไม่ได้ แถมยังเอาโซ่ล่ามขาไว้แล้ว เอาไปขังไว้ในกรง จนถึงแก่ความตายนอกจากนี้ยังทารุณข้าทาสหญิงชายอีกด้วย

    ฟังดูแล้วเหมือนเป็นเรื่องนิทาน แต่การหมั่นเพียรปฏิบัติทำให้เชื่อว่าเป็นความจริง สิ่งลี้ลับอีกเรื่องหนึ่งที่ข้าพเจ้าประสบกับตัวเองในขณะนั่งสมาธิ ข้าพเจ้านั่งอยู่ที่ระเบียงหอประชุมภาวนากรศรีทิพา ข้าง ๆ พระบรมรูปของ ร.๕ นั่งไปได้ประมาณ ๕ นาที จิตสงบดิ่งลึก ทันทีนั้นข้าพเจ้ามีอาการหอบ หายใจไม่สะดวก ต้องหายใจทางปากข้าพเจ้าอดทนนั่งต่อไป อาการหอบยิ่งทวีความรุนแรงหนักขึ้นเหมือนกับจะขาดใจ ข้าพเจ้าไม่ได้กำหนดตาม รู้ไม่ทันกรรม กลับคิดวิตกกังวลไปว่าข้าพเจ้าเกิดเป็นโรคหอบหืดขึ้นมาอีกโรคหนึ่งแล้ว ขณะนั้นอาการหอบหนักมาก หายใจไม่ทัน ใจจะขาดอยู่แล้ว ทุรนทุราย ต้องแหงนหน้าขึ้นแล้วหายใจทางปาก ทนต่อไปไม่ไหวเลยลืมตาขึ้น ออกจากสมาธิอาการหอบกระสับกระส่ายอยู่นั้น หายไปเป็นปลิดทิ้งเลย เป็นไปได้อย่างไรกัน ข้าพเจ้าจึงไปเล่าให้ท่านอาจารย์ พ.อ. (พิเศษ) ทองคำ ศรีโยธิน ฟัง ท่านก็รู้ทันทีว่าเป็นอาการของกรรม ท่านบอกว่าน่าเสียดาย ถ้านั่งสมาธิอยู่ต่อไปจนขาดใจไปในขณะนั้นจะดีมาก จะตัดเวรตัดกรรมที่เราเคยทำกับใครไว้นั้นหมดสิ้น และจะรู้ด้วยว่าเราไปทำอะไรเขาไว้ อาจจะไปอุดปากอุดจมูก หรือจับใครกดน้ำ หรือไม่ก็บีบคอเขา ทำให้เขาหายใจไม่ออก จะถึงกับตายหรือไม่ก็ตาม ข้าพเจ้ามีโอกาสใช้หนี้กรรมแล้ว แต่กลับใช้ไม่หมด เพราะออกจากสมาธิเสียก่อน ความจริงแล้วถ้าขาดใจตายในขณะนั่งสมาธิอยู่นั้นจริง ๆ ก็จะตายเพียงแค่ความรู้สึกในสมาธิเท่านั้น ตัวจริง ๆ ไม่ได้ตายไปด้วย

    การนั่งสมาธิแต่ละครั้ง มักจะมีปรากฏการณ์แปลก ๆ มาปรากฏแก่ข้าพเจ้าอยู่เสมอ บางครั้งจะมีดวงตาหลายคู่มาจับจ้องดูข้าพเจ้า มีทั้งดวงตาดุ โกรธ บางครั้งก็ดวงตาซีดเซียวเหมือนคนตาย มาชำเลืองดู ข้าพเจ้าก็แผ่เมตตาไปให้ตามที่ท่านเจ้าคุณหลวงพ่อสอน ภาพดวงตาเหล่านั้นก็หายไป จะเป็นอยู่อย่างนี้เสมอ

    บ่ายวันหนึ่งขณะที่ข้าพเจ้านั่งสมาธิอยู่บนศาลาสุธรรมภาวนา วัดอัมพวัน ก็มีมือเอื้อมมาทางด้านขวาจะจับแขนข้าพเจ้า มองเห็นแค่ครึ่งแขน ส่วนทางด้านซ้ายก็มีผู้หญิงคนหนึ่งใส่เสื้อผ้าสีคล้าย ๆ ผ้าดิบ ยืนหันข้างให้ แต่หันหน้ามามองข้าพเจ้านัยน์ตาดุ จ้องมองนัยน์ตาเขียวเลย ข้าพเจ้ากำหนดตามไม่ทันอีก ยกแขนสลัดหลบมือที่เอื้อมมาจับนั้น ลืมตาขึ้น ภาพนั้นก็หายไป

    ข้าพเจ้าพยายามไปปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานในรายการที่ยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทยฯ จัดที่วัดอัมพวันทุกปี ได้รับการอบรมจากคุณแม่สิริ กรินชัย และพระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณหลวงพ่อพระภาวนาวิสุทธิคุณ บัดนี้ข้าพเจ้าได้รู้ซึ้งแล้วว่า ข้าพเจ้าได้ทำกรรมไว้มากมาย และจะต้องชดใช้ ข้าพเจ้าจะพยายามปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานเพียรให้มาก และพยายามแผ่กุศลขออโหสิกรรมจากเจ้ากรรมนายเวร เชื่อว่าสักวันหนึ่งเจ้ากรรมนายเวรจะใจอ่อน ยอมอโหสิกรรมให้แก่ข้าพเจ้า เพราะวิปัสสนากรรมฐานเท่านั้นจะช่วยข้าพเจ้าได้

    ข้าพเจ้าเคารพและศรัทธาหลวงพ่อมาก ข้าพเจ้ามีความตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่า จะต้องเดินทางไปเข้าร่วมพิธีต้อนรับปีใหม่ที่วัดอัมพวัน จังหวัดสิงห์บุรี เพื่อให้เกิดเป็นสิริมงคลแก่ตัวเอง ซึ่งท่านเจ้าคุณหลวงพ่อจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี ครั้นถึงกำหนดวันเดินทาง ปรากฏว่าข้าพเจ้ามีภารกิจที่จะต้องทำ จึงได้ฝากเสื้อผ้ากับอาจารย์ลักษมี ธีระชาติไปก่อน แล้วจะตามไปในบ่ายวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๓๔ จะไปกับเด็กที่เป็นพี่เลี้ยงคนหนึ่งให้คอยรอรับที่วัด วันที่ ๓๐ ธันวาคม เมื่อข้าพเจ้าเสร็จธุระ ก็รีบไปจองตั๋วที่สถานีขนส่งตลาดหมอชิต ส่วนเด็กที่จะเดินทางไปด้วยนั้น เกิดมีภารกิจ เดินทางไปด้วยไม่ได้ ข้าพเจ้าเลยตัดสินใจไปคนเดียวเพราะนัดแล้ว เด็กได้ไปส่งที่ท่ารถ ซึ่งผู้คนแออัดเต็มไปหมด เนื่องจากอยู่ในช่วงเทศกาลส่งปีเก่ารับปีใหม่ ข้าพเจ้าจองตั๋วรถทัวร์ปรับอากาศตั้งแต่เวลา ๑๒.๐๐ น.เศษ ปรากฏว่าเกือบจะ ๑๗.๐๐ น. แล้ว ยังไม่ได้ขึ้นรถ เพราะรถแน่นทุกคัน ข้าพเจ้าแย่งขึ้นรถกับเขาไม่ไหว รู้สึกวิตกกังวลและไม่สบายใจเป็นอย่างมาก เพราะเย็นแล้ว กว่าจะไปถึงสิงห์บุรีก็คงจะเป็นเวลากลางคืน ลงรถก็ไม่ถูก ไม่รู้จะทำอย่างไรดี ไม่ไปก็ไม่ได้ ข้าพเจ้าคิดสู้ อะไรจะเกิดก็ให้เกิด ต้องไปให้ได้ในคืนนี้ ข้าพเจ้านึกถึงหลวงพ่อและได้ทำจิตให้สงบ ทำสมาธิขอบารมีท่านเจ้าคุณหลวงพ่อให้ช่วยคุ้มครองและช่วยให้เดินทางไปวัดได้ด้วยความปลอดภัย ต่อจากนี้ก็นั่งแผ่เมตตาและส่งกระแสจิตถึงหลวงพ่อไปเรื่อย ๆ พอประมาณ ๑๗.๐๐ น. เศษ รถทัวร์ไปสิงห์บุรีก็เข้ามาอีกคันหนึ่ง ข้าพเจ้าตัดสินใจไปรถคันนี้ ถึงยืนก็จะไป ข้าพเจ้าจึงขึ้นไปยืนอยู่ตรงตอนหน้ารถ รถยังไม่ทันออกก็มีผู้หญิงคนหนึ่ง หน้าตาสวย อายุไม่เกิน ๔๐ ปี นั่งอยู่ตรงที่นั่งตรงที่ข้าพเจ้ายืนอยู่ ได้ถามว่า “นั่งด้วยกันไหมคะ มีที่ว่างอยู่อีกที่หนึ่ง” ข้าพเจ้าตอบทันที “นั่งค่ะ ขอบคุณค่ะ” เมื่อเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว ก็มาคิดแปลกใจ ทำไมมีที่ว่างเหลืออยู่อีก ตอนที่ขึ้นรถมาดูแล้วก็เห็นคนนั่งเต็มหมด ถ้ามีที่ว่างอยู่อย่างนี้คนที่ขึ้นมาก่อนทำไมไม่เข้าไปนั่ง? ใช่แล้ว! บารมีของท่านเจ้าคุณหลวงพ่อแน่ ๆ หลวงพ่อช่วยลูก ดลบันดาลให้มีที่ว่างเหลืออยู่ให้ลูกได้นั่ง ๑ ที่ สาธุ ข้าพเจ้านึกในใจ

    ขณะที่รถวิ่งไป ๒ ข้างทางมืดจดจำอะไรไม่ได้เลย ลงรถไม่ถูก เลยตัดสินใจไปลงสุดทางรถ แล้วค่อยหาทางเหมารถเข้าวัด ผู้หญิงคนที่ให้ข้าพเจ้านั่งด้วยได้ซักถามข้าพเจ้าว่าจะไปไหน ก็ได้เล่าให้เธอฟัง เธอก็แนะนำวิธีการไปเหมารถให้ พอรถเลี้ยวเข้าประตูวัด ข้าพเจ้ารู้สึกมีความอบอุ่น หายกลัว มีความปลื้มปิติชุ่มชื่นใจอย่างบอกไม่ถูก ข้าพเจ้ามาถึงวัดอัมพวันได้จริง ๆ มาคนเดียวได้

    ข้าพเจ้ายกมือขึ้นไหว้ไปทางโบสถ์และไว้พระหน้ากุฏิหลวงพ่อ เพราะบารมีหลวงพ่อแท้ ๆ พูดถึงสิ่งมหัศจรรย์ สิ่งลี้ลับต่าง ๆ นี้ ข้าพเจ้าเชื่อแล้ว เชื่อว่ามีจริงอย่างแน่นอน ท่านเจ้าคุณหลวงพ่อจรัญเทศน์ว่า การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน มีกุศลแรงจะช่วยแก้กรรมได้ ถ้าท่านผู้อ่านยังไม่เชื่อในเรื่องเหล่านี้ ลองมาปฏิบัติดู ปฏิบัติอย่างจริงจังแล้วจะรู้ได้ด้วยตนเอง การกำหนดทุกอิริยาบถนั้นถือว่าเป็นการปฏิบัติอันดับหนึ่งทีเดียว ท่านเจ้าคุณพระอาจารย์ใหญ่ พระธรรมธีรราชมหามุนีก็ได้เทศน์สอนไว้ว่า การกำหนดอยู่ทุกลมหายใจเข้าออกให้รู้อยู่ตลอดเวลา หายใจเข้าก็ให้รู้ว่าเราต้องตาย หายใจออกก็ให้รู้ว่าเราต้องตาย แบบนี้ท่านบอกว่าเราไม่ประมาท และยังเทศน์ไว้อีกว่า ถ้าอยากรวยต้องให้ทาน อยากสวยให้รักษาศีล อยากเป็นผู้มีปัญญาต้องภาวนา ข้าพเจ้าจะขอยึดมั่นในการปฏิบัติเจริญสติปัฏฐาน ๔ ตลอดไป ตั้งแต่ข้าพเจ้าเข้าไปปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานอยู่ที่วัดอัมพวันแล้ว ทำให้ความเจ็บไข้ของข้าพเจ้าทุเลาเบาคลายลงไปมาก เพราะรู้จักการกำหนด ขาก็แข็งแรงดีขึ้นด้วย

    ประภา จุลชาต
    ๑๒๔/๓ ซ.วัดใหม่พิเรนทร์อิสรภาพ กรุงเทพฯ ๑๐๖๐๐
    โทร. ๔๖๖ ๐๘๗๑

    :- https://rulesofkarma.wordpress.com/ก๖๙-กระโดดตึกเก้าชั้น/ก๖๒๓-รู้กรรมด้วยธรรมะ/
     
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    45,900
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,041
    บุพเพอาละวาด

    upload_2024-8-9_7-56-24.png

    คนเราจะรักกันก็ต้องมีกรรมบางอย่างเป็นเหตุให้รักกัน คนเราจะเลิกกันก็ต้องมีกรรมบางอย่างเป็นเหตุให้เลิกกัน ทั้งกรรมในอดีตสัมปยุตกับกรรมในปัจจุบัน ไม่มีใครจะฝืนกรรมของตัวเองได้ กรรมในอดีตมันผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไป มันแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว อย่าเก็บเอามาคิดทำใจให้ขุ่นมัว
    .
    ธรรมท่านสอนให้ทำกรรมปัจจุบันให้ดีที่สุด ให้มีสติปัญญาจดจ่ออยู่ในปัจจุบัน การจะคิดอะไร จะทำอะไร จะพูดอะไร ให้พิจารณาให้สุขุมรอบคอบเสียก่อน อันใดใช่ประโยชน์ อันใดไม่ใช่ประโยชน์ สิ่งใดควร สิ่งใดไม่ควร ข้อสำคัญคือต้องมีคุณธรรม ศีลธรรม จริยธรรมประจำใจ อย่าทำลายหิริโอตตัปปะภายในใจตนเอง จะหาทางออกจากทุกข์ไม่เจอ
    .
    บางคนไม่เคยฝึกหัดอบรมจิตใจมาก่อน พอเผชิญกับความผิดหวังรุนแรง ก็ยากที่จะทำใจ เพราะไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะต้องมาเจอกับเรื่องเลวร้ายเช่นนี้ สติไม่เข้มแข็ง ปัญญาไม่เฉียบคม เกิดความเศร้าโศกเสียใจจนใจแทบพังทลาย
    .
    upload_2024-8-9_7-56-24.png

    แต่ใจนี้เป็นธรรมชาติอมตะที่ไม่เคยแตกสลาย แม้จะเจ็บปวดรวดร้าวเพียงใด กาลเวลาคือ ยาวิเศษที่จะซ่อมแซมใจให้กลับคืนมาสู่สภาพเดิมได้ ขอเพียงใจอย่าคิด พูด และทำในสิ่งที่ผิด ให้เป็นกรรมปัจจุบันซ้ำเติมตัวเองจนเกิดเหตุการณ์เลวร้ายหนักเข้าไปอีก บางคนคิดไม่ลงปลงไม่ตกจนกลายเป็นโรคซึมเศร้า บางคนก็ถึงกับฆ่าตัวตายกลายเป็นกรรมสาหัสสากรรจ์ ถ้าตัวเองเอาแต่คิดทำร้ายใจตัวเอง ใคร ๆ ก็คงช่วยอะไรไม่ได้
    .
    ทั้งนี้ ย่อมขึ้นอยู่กับว่า ใครจะมีสติกล้า ปัญญาคม ที่สามารถรักษาใจตัวเองได้ดีเยี่ยมเพียงใด สติปัญญาเมื่ออบรมดีแล้วย่อมเป็นองครักษ์พิทักษ์ใจได้อย่างยอดเยี่ยมอัศจรรย์เหนือกว่าสิ่งใด ๆ ในโลก
    .
    ธรรมสำคัญที่สามารถกำจัดทุกข์ภายในใจได้อย่างเฉียบขาด เป็นวิหารธรรมของพระอรหันต์คือ “สันตุษฐี ปะระมัง ธะนัง” แปลความว่า “ความสันโดษ เป็นทรัพย์อย่างยิ่ง” ถึงแม้คนมีกิเลสยากที่จะทำได้ แต่ถ้ามีความพยายามที่จะทำ คอยอบรมจิตไปทุกวัน ฝึกจิต ฝืนจิตต่อต้านกิเลสความอยากไว้ได้บ้าง ความทุกข์ใจก็จะน้อยลง
    .
    upload_2024-8-9_7-56-24.png

    สันโดษคือความพอใจในสิ่งที่ตนมีตนได้ ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหน้าตา สติปัญญาความเฉลียวฉลาด ฐานะทางสังคม ทรัพย์สมบัติ พ่อแม่พี่น้อง มิตรสหาย แม้มีดีบ้าง ไม่ดีบ้าง จะชอบใจหรือไม่ชอบใจ ก็ต้องทำใจให้ยอมรับ และพยายามอยู่กับสิ่งเหล่านั้นให้ได้โดยไม่ต้องคิดเรื่องที่จะทำให้ใจเป็นทุกข์
    .
    ถ้าอยากได้ดีกว่านั้น ธรรมท่านสอนให้หามาด้วยการงานอันชอบ มีความขยันหมั่นเพียรประกอบสุจริต ไม่ทำผิดศีลผิดธรรม รู้จักรักษาทรัพย์เก็บหอมรอบริบ คบเพื่อนที่ดี ไม่ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายฟุมเฟือยจนเกินฐานะของตนเอง ทำกรรมปัจจุบันให้ดีที่สุด ผลดีย่อมปรากฏขึ้นเอง เมื่อได้ผลอย่างไรก็จงพอใจอย่างนั้น ถ้ายังไม่พอใจก็ให้ทำเหตุดีให้มากยิ่งขึ้นไปอีก อย่าไปทำเหตุชั่ว
    .
    นี่แหละ! ความสันโดษเป็นทรัพย์อย่างยิ่ง คือ ใจที่ไม่มีทุกข์นั่นเอง ไม่มีทรัพย์ใดในโลกจะมีคุณค่ายิ่งไปกว่าใจนี้อีกแล้ว
    .
    ดังนั้น จึงไม่ควรที่ ใคร ๆ จะทำร้ายใจของตนเอง ด้วยการคิดไม่ดี คิดเป็นอกุศลอยู่ตลอดเวลา ให้คิดปลดเปลื้องทุกข์ออกจากใจตัวเองก่อน ด้วยการคิดดี คิดเป็นกุศล อย่ามัวไปคิดโทษคนอื่น สิ่งอื่นว่า มาทำให้เราเป็นทุกข์ ให้รู้ว่า ความคิดโทษคนอื่น สิ่งอื่น นั่นแล คือตัวต้นเหตุที่ทำให้ใจเป็นทุกข์หนักยิ่งขึ้น
    .
    upload_2024-8-9_7-56-24.png

    ถ้าไม่รู้ว่าจะคิดอะไรดี ก็ให้ใจมาอยู่กับ พุทโธ ๆๆ คิดพุทโธ ๆๆ นี่แหละ สามารถสยบทุกข์ใจได้ทุกอย่าง ถ้าพอสงบใจได้บ้างแล้ว ยังไม่รู้ว่าจะคิดอะไรให้กว้างขวางไปกว่านี้ ก็ให้คิดว่า สัพเพ สังขารา อนิจจา, สัพเพ สังขารา ทุกขา, สัพเพ ธัมมา อนัตตา .
    คิดวนเวียนกลับไปกลับมาทั้งวันทั้งคืน ทำเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ จิตจะค่อย ๆ เกิดความคิดที่ละเอียดแยบคายแตกแขนงออกไปเองตามจริตนิสัยของแต่ละคนที่ไม่เหมือนกัน หากมีสิ่งใดมาสัมผัสใจ แล้วทำให้ใจคิดปรุงแต่งเป็นทุกข์ใจขึ้นมา ก็ให้พิจารณาสิ่งนั้นลงสู่กฏแห่งไตรลักษณ์นี้
    .
    ให้สอนใจว่า ทุกสรรพสิ่งไม่เที่ยง เดี๋ยวมันก็ผ่านไป มันเป็นทุกข์เพราะมันจะต้องแตกต้องพัง จะเอาใจไปยึดถืออะไรไว้ไม่ได้เลย พอตายแล้วก็ไม่มีอะไรเป็นของเราสักชิ้นสักอัน ถึงเราไม่ยอมจากมันไป แต่มันก็ต้องจากเราไปอยู่ดี เพราะทุกสรรพสิ่งต้องพังทั้งนั้น ทั้งตัวเขาตัวเรา ไม่มีสิ่งใดไม่แตกไม่พัง อันนี้คือหมัดเด็ด ที่จะฆ่ากิเลสที่เป็นต้นเหตุแห่งทุกข์ทั้งมวลให้สิ้นซากจากใจได้
    .
    นี่คือ ธรรมาวุธ ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประทานไว้กับชาวพุทธทุกคน ใครหมั่นศึกษาพิจารณาทุกสรรพสิ่งน้อมลงสู่ไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ทั้ง ๓ นี้ให้มาก ๆ ทุกข์ในใจก็จะน้อยลงไปเรื่อย ๆ จนถึงขั้นทุกข์หมดสิ้นไปได้อย่างแน่นอน
    :- https://www.doisaengdham.org/สายธารธรรม-โดยเจ้าอาวาส/บุพเพอาละวาด.html
     
  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    45,900
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,041
    พระอรหันต์อยู่ไหน
    ผมเพิ่งได้รับหนังสือธรรมะชื่อ “พระอรหันต์อยู่ไหน” ของ ท่าน ว.วชิรเมธี จากสถาบันวิมุตตยาลัย รวมเรื่องที่ท่านไปเทศน์ในต่างประเทศ ช่วงที่มีสมีบางคนทำตัวเป็นหลวงปู่ บ่อนทำลายพุทธศาสนาในเมืองไทย เป็นหนังสือที่พุทธศาสนิกชนทุกคนควรอ่าน ผมอ่านแล้วก็อดไม่ได้ที่ต้องนำมาเล่าสู่กันฟังเป็นเรื่องสุดท้ายในเล่ม ซึ่งผมจะเล่าแบบย่อให้อ่านกันนะครับ

    เป็นตำนานปรัมปราคติจากจีนว่า มีชายหนุ่มคนหนึ่งหลงใหลในคุณวิเศษเวทไสย วันหนึ่งมีข่าวว่ามี พระอรหันต์ ธุดงค์มาจำพรรษาอยู่บนยอดเขา จึงไปลาแม่ที่อายุใกล้แปดสิบ เพื่อไปหาพระอรหันต์ แม่รักลูกมากก็ให้ลูกไป แม้ตัวเองจะหูตาฝ้าฟาง

    ชายหนุ่มเดินทางเจ็ดวันเจ็ดคืนจึงบรรลุยอดเขา รออีกครึ่งวันจึงได้มีโอกาสเข้าไปกราบหลวงปู่ที่มีเครายาวเฟื้อย แล้วถามว่า หลวงปู่ครับ เขาลือว่าหลวงปู่เป็นพระอรหันต์ ผมบุกป่าฝ่าดงมาแสนไกล เพื่อแสวงหาคำตอบว่า หลวงปู่เป็นพระอรหันต์จริงหรือไม่ จะได้กราบไหว้ให้เป็นสิริมงคลแก่ชีวิต

    หลวงปู่ ตอบว่า “โยมเอ๊ย อาตมาไม่ได้เป็นพระอรหันต์อะไรหรอก คนเขาลือกันเอง” ชายหนุ่มก็พูดว่า “หลวงปู่ไม่ได้เป็นพระอรหันต์ แล้วมานั่งให้คนกราบไหว้ทำไม” หลวงปู่ตอบว่า “อาตมาก็ไม่ได้เรียกร้องให้ใครมากราบ เขามากราบกันเอง อาตมาก็สงเคราะห์ไป” ชายหนุ่มก็บอกว่า “งั้นผมก็ผิดหวังสิครับ เสียเวลาเดินทางตั้งเจ็ดวัน”

    หลวงปู่ก็บอกว่า “โยมไม่เสียเวลาหรอก อาตมาไม่ได้เป็นพระอรหันต์ก็จริง แต่อาตมารู้ว่าพระอรหันต์มีคุณสมบัติอย่างไร จำไว้นะ พระอรหันต์มีคุณสมบัติสองประการ ถ้าเจอที่ไหนให้กราบทันที (1) ชอบสวมเสื้อเอาข้างในกลับมาไว้ข้างนอก เอาข้างนอกกลับไปไว้ข้างใน (2) ชอบใส่รองเท้าสลับข้าง เอาขวามาเป็นซ้าย ซ้ายมา เป็นขวา ถ้าเจอคนที่มีคุณสมบัติอย่างนี้ เข้าไปกราบได้เลย นั่นแหละพระอรหันต์ตัวจริง”

    ชายหนุ่มเสียใจมาก ใช้เวลาเดินทางกลับบ้านอีกเจ็ดวัน พอเข้าปากซอยก็ตะโกนหาแม่แต่ไกล แม่กำลังนึ่งข้าวเป่าไฟใกล้พลบค่ำ ได้ยินเสียงลูกก็ทิ้งเตาไฟวิ่งถลันออกไปจากบ้านคิดถึงลูกสุดหัวใจ พอวิ่งออกจากบ้าน ก็รู้สึกเย็นวาบ ปรากฏว่าไม่ได้สวมเสื้อให้เรียบร้อย มีแต่เสื้อชั้นใน จึงวิ่งกลับเข้าบ้าน หยิบเสื้อปุๆ ปะๆ มาสวมทับ วิ่งออกมาอีกรอบ คราวนี้เจ็บจี๊ดที่เท้าก้อนกรวดบาด นึกขึ้นมาได้ ไม่ได้สวมรองเท้า กลับเข้าบ้านสวมรองเท้า อารามรีบร้อน ขวาเลยเป็นซ้าย ซ้ายเลยเป็นขวา

    แม่ลูกเจอกันก็กอดกันด้วยความคิดถึง ลูกกอดแม่ร้องไห้พูดว่า “แม่ครับ ผมรู้สึกแย่มากถูกหลอกไปถึงบนยอดเขาไกลแสนไกล ชาวบ้านก็ถูกหลอก ไม่มีหรอกพระอรหันต์ในโลกนี้” แม่ก็ปลอบลูกว่าไม่เป็นไรหรอกลูก เรากลับเข้าบ้านกันเถอะ”

    เมื่อลูกผละจากอกแม่ มองหน้าแม่ตั้งแต่หน้าลงมาจนถึงเสื้อแม่ สังเกตเห็นว่า แม่ใส่เสื้อกลับข้างในเป็นข้างนอก เลยอุทานว่า “ผมไม่อยู่สองอาทิตย์ แม่เป็นอัลไซเมอร์เลยนะ ดูสิสวมเสื้อเอาข้างในกลับข้างนอก กลัดกระดุมก็ไม่เท่ากัน” แล้วก็สวมเสื้อให้แม่ใหม่ แล้วก็สังเกตเห็นว่า แม่ใส่รองเท้าผิดข้าง ขวาเป็นซ้าย ซ้ายเป็นขวา ก็เลยก้มลงถอดรองเท้าให้แม่

    พลันก็ได้ยินเสียง หลวงปู่ แว่วเข้าหูว่า “โยมไม่เสียเวลาหรอก หลวงปู่ไม่ได้เป็น พระอรหันต์ แต่รู้ว่าพระอรหันต์มีลักษณะยังไง จำไว้นะ ถ้าเจอใครที่มีคุณสมบัติสองประการนี้ (1) สวมเสื้อข้างในกลับข้างนอก (2) สวมรองเท้ากลับข้าง คนนั้นคือพระอรหันต์ตัวจริง”

    ถอดรองเท้าไม่ทันเสร็จ ชายหนุ่มก็ขนลุก เกิดอาการสว่างโพลงขึ้นในหัวใจ เราช่างโง่เหลือ วิ่งหาพระอรหันต์ไปร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ ที่แท้พระอรหันต์คือพ่อแม่เราเอง สององค์นี้ให้ชีวิตเรา เลี้ยงดูเรามา รักเราอย่างไม่มีเงื่อนไข ก่อนที่จะไปกราบไหว้พระองค์ไหน โยมทั้งหลายจงอย่าลืมกราบไหว้พ่อแม่ของเราให้ดีที่สุดก่อน ปราชญ์ท่านบอก ว่ากราบพระหมื่นองค์แสนองค์ก็ไม่นับว่ามีคุณค่า หากเธอยังไม่เคยกราบมารดาบิดาตัวเอง

    เรากินอิ่มนอนอุ่น ท่านกินอิ่มนอนอุ่นเหมือนเราหรือเปล่า? เรามีเงินทองใช้ ท่านมีเงินทองใช้เหมือนเราหรือเปล่า? เรามีสุขภาพดี ท่านมีสุขภาพดีเหมือนเราหรือเปล่า? ก็เอามาฝากให้ท่านผู้อ่านไปคิดเป็นการบ้านวันหยุดครับ.
    :- https://www.thairath.co.th/news/politic/359478
     

แชร์หน้านี้

Loading...