ผลของการแยก กาย ใจ จิต

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย oatthidet, 23 สิงหาคม 2012.

  1. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    ผมไม่กลัว ผี ครับ และ พบเจอบ่อยครั้งแล้วครับ จนรู้ว่า ผี เดินแบบไหน

    คนเดินแบบไหน เจ้ากรรมนายเวร ก็รู้เห็นจรเข้าใจแล้วว่า คือ สิ่งใด

    ทั้งที่วิญญาณเหล่านั้นก็ไปเกิดแล้ว หากคุณต้องการรู้ก็เข้าไปดูในจิตน่ะครับ

    จะเห็นเจ้ากรรมนายเวรของแท้ครับ แม้แต่พลังงานบางชนิดที่ผู้คนนับถือ

    สาธุครับ
     
  2. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    มีพระสูตรที่น่าสนใจ..พระวจนะเรื่อง การกระทำที่ถูกต้องตามกาละเทศะ สำหรับสมาธินิมิต--ปัคคาหนิมิต--อุเบกขานิมิต....พระวจนะ"ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ตามประกอบในอธิจิต พึงทำในใจซึ่งนิมิตทั้งสาม โดยกาลอันควรคือ.......พึงทำในใจซึ่งสมาธินิมิต โดยการอันควร,,,,,,พึงทำในใจซึ่งปัคคาหนิมิตโดยกาลอันควร............พึงทำในใจซึ่งอุเบกขานิมิต โดยกาลอันควร..........ภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุผู้ตามประกอบในอธิจิต พึงกระทำในใจแต่เพียงสมาธินิมิตโดยส่วนเดียว ฐานะเช่นนั้น จะทำให้เป็นไปเพื่อความเกียจคร้าน...................ภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุตามประกอบในอธิจิต พึงกระทำในใจแต่เพียงปัคคาหนิมิตโดยส่วนเดียวเท่านั้นไซร้ ฐานะเช่นนั้น จะทำจิตให้เป็นไปเพื่อความฟุ้งซ่าน.....................ภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุตามประกอบในอธิจิต พึงกระทำในใจแต่เพียงอุเบกขานิมิตโดยส่วนเดียวเท่านั้นไซร้ ฐานะเช่นนั้น จะไม่ทำจิตให้ตั้งมั่นโดยชอบ เพื่อ ความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย.......................ภิกษุทั้งหลายในกาลใดแล ภิกษุผู้ตามประกอบในอธิจิต กระทำในใจซึ่งสมาธินิมิตโดยกาลอันควร กระทำในใจซึ่งปัคคาหนิมิตโดยกาลอันควร...........กระทำในใจซึ่งอุเปกขานิมิต โดยกาลอันควร ในกาลนั้น จิตนั้น ย่อมเป็นจิตอ่อนโยน ควรแก่การงาน เป็นจิตประภัสสร ไม่รวนเร ย่อมตั้งมั่นโดยชอบ เพื่อความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย......................ภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนช่างทองหรือลูกมือของช่างทอง ประกอบตัวเบ้าแล้วฉาบปากเบ้า แล้วจับแท่งทองด้วยคีม วางปากที่เบ้า แล้วสูบลมด้วยกาลอันควร ภิกษุทั้งหลาย ถ้าช่างทองหรือลูกมือของช่างทอง จะพึงสูบลมตะพึดไปโดยส่วนเดียว กะทองนั้น ฐานะเช่นนั้น ก็จะทำให้ทองใหม้(สุกเกิน)...ถ้าพรมน้ำตะพึดไปกะทองนั้น ฐานะเช่นนั้น ก็จะทำให้ทองนั้นเย็น(อยู่เช่นเดิม)ถ้าตวจดูตะพึดดดยส่วนเดียวกะทองนั้น ฐานะเช่นนั้นก็จะทำให้ทองนั้นไม่ถึงความสุกอย่างพอดี............ภิกษุทั้งหลายในกาลใด ช่างทองหรือลูกมือของช่างทองสูบลมโดยกาลอันควรกะทอง นั้น พรมน้ำโดยกาลอันควรกะทองนั้น ตรวจดูโดยกาลอันควรกะทองนั้น ในกาลนั้นทองนั้นย่อมเป็นทองมีเนื้ออ่อน ควรแก่การงานแก่ช่างทอง มีรัศมีเนื้อไม่ร่วน และเหมาะสมแก่การกระทำของช่างทอง ถ้าใครจะปราถนากระทำ เครื่องประดับต่างต่างเช่น ตาบ ตุ้มหู สร้อยคอ หรือสุวรรณมาลาก็ตาม ก็สำเร็จประโยชน์แก่เขานั้น นี้ฉันใด...............ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ตามประกอบในอธิจิต พึงทำในใจซึ่งนิมิตทั้งสามโดยกาลอันควร คือพึงทำในใจซึ่งสมาธินิมิต โดยกาลอันควรพึงทำในใจซึ่งปัคคาหนิมิตโดยกาลอันควร พึงทำในใจซึ่งอุเปกขานิมิตโดยกาลอันควรฉันนั้นเหมือนกัน..............ถ้าภิกษุน้อมจิตไปเพื่อกระทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่ง ซึ่งธรรมที่ควรทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งใดใด เธอย่อมลุถึงซึ่งความสามารถทำได้จนเป็นสักขีพยาน ในธรรมนั้นนั้นนั่นเทียว ในเมื่ออายตนะยังมีอยู่มีอยู่.......(อริยสัจจากพระโอษฐ์ ท่านพุทธทาส):cool:ป.ล. สมาธินิมิต(เครื่องหมายคือสมาธิหรืออารมณ์เป็นหนึ่ง)...ปัคคาหนิมิต(เครื่องหมายคือความเพียร).........อุเบกขานิมิตผเครื่องหมายคือความวางเฉย):cool:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 สิงหาคม 2012
  3. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    -### เมื่อมีความสงบแล้วสามารถเห็นความเคลื่อนไหวความรู้สึกของการกระทบ(สิ่งที่เรียกว่าใจ) ที่ว่าความรู้สึกจากการกระทบนี้(ใจ) ความรู้สึกอย่างที่ว่านี่เป็นความรู้สึกแบบไหน(บอกลักษณะหรือยกตัวอย่างเปรียบเทียบให้พอเข้าใจก็ได้)

    -ตัวอย่าง เมื่อถูกมีดบาด จะมีความรู้สึกเกิดขึ้นก่อนครับ ก่อนที่จะเจ็บ ต้องสังเกตุด้วยตนเองครับ ความรู้สึกว่าถูกมีดบาด การรับรู้ความรู้สึกจึงเกิดขึ้น

    -### ส่วนการแยกกายออกจากจิตนั้น ที่ถามท่านว่า แยกยังไง? ท่านตอบว่า การยกจิตออกจากการรับรู้ทางความรู้สึก เมื่อทำได้บ่อยครั้งเข้า การนึกคิดที่เกิดมีขึ้นมานั้น จะไม่ส่งผลให้เกิดการปรุ่งแต่ง ด้วยไม่ให้ความสนใจในการนึกคิดนั้นๆ

    -การแยก กาย ออกจาก จิต นั้น เป็นการปฎิบัติที่มีการภาวนา หรือ การเพ่งครับ ส่วนการยกจิตนั้น เป็นการแยก ใจ ออกจาก จิต ครับ การปรุงแต่งนั้นจะต้องมี ใจ และ จิต ครับ ไม่เช่นนั้นจะปรุงแต่งไม่ได้ครับ

    - ##การนึกคิดและการปรุงแต่งในที่นี้เหมือนกันหรือแตกต่างกันอย่างไร?

    -การปรุงแต่งประกอบด้วย การนึกคิด การกระทำ การจดจำ แตกต่างจากการนึกคิดเพียงอย่างเดียวครับ แต่มีที่มาจากการนึกคิดครับ ผมมีคำที่แสดงให้เห็นในอีกมุมหนึ่งครับ เป็นคำของหลวงปู่ดู่หากผมจำไม่ผิดครับ คือ หยุดจึงรู้ แต่อาศัยการนึกคิด

    -##ส่วนคำถามที่จะถามต่อก็คือ การนึกคิดในที่นี้เกิดจากอะไร? เกิดได้ยังไง? เรียกว่าการปรุงแต่งได้หรือไม่? แล้วเราสามารถบังคับไม่ให้จิตไม่ให้สนใจในการปรุงแต่งได้ด้วยหรือไม่?

    -การนึกคิดเกิดมาจากการปรุงแต่ง ซึ่งคงต้องกล่าวถึงการทำงานของ จิต ครับ ต้องเริ่มจากการกระทบครับ ไม่ว่าจะกระทบทางอายตนะใด ก็จะส่งผลให้เกิดความรู้สึก และ รับรู้ความรู้สึกนั้นๆ แล้วจึงส่งผลกลับไปที่ ใจ จึงเกิดการนึกคิด และ จึงแสดงออกด้วยการกระทำ รับรู้ และ จดจำด้วย จิต การปรุงแต่งผมได้อธิบายไปก่อนหน้านี้แล้วครับ สามารถทำได้ครับในการไม่สนใจการปรุงแต่ง หรือ ยก จิต ออกก่อนที่จะรับรู้ความรู้สึก การปรุงแต่งก็จะไม่เกิดขึ้น แต่ต้องมีฐานสมาธิที่ตั้งมั่นเสียก่อนครับ

    ผมยินดีสนทนาธรรมด้วยเหตุผลครับ ผมไม่ได้มุ่งหวังว่าจะต้องมีใครเชื่อ แต่หากก่อให้เกิดประโยชน์แม้เพียงเล็กน้อย ผมก็ยินดีเป็นอย่างยิ่งครับ

    สาธุครับ
     
  4. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    ผู้ที่เห็น จิต ย่อมสงบนิ่ง และ ไม่ปรุงแต่ง โดยไม่มีการเคลื่อนไหว

    หาใช่ผู้ที่ไม่มีความเป็นปกติ ผมได้อธิบายกับคุณในหลายครั้ง ทั้งตักเตือนด้วยดีหลายครั้งแล้ว

    แต่คุณก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี คุณได้พูดคุยกับผมในหลายครั้งแล้ว ต่าว่าด่าทอผมด้วยคำที่หยาบคายมาก

    หากคุณว่างพอที่จะมาคอยหาเหตุถกเถียงกับผม ผมว่าคุณเอาเวลานี้ไปปฎิบัติดีกว่าครับ

    สาธุครับ
     
  5. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    ผมไม่มีความจำเป็นที่ต้องอวดใครครับ และ ผมก็ไม่ได้สนใจว่าใครจะมาเลื่อมใสผม

    ผมเคยได้บอกกล่าวไปแล้วว่า ผมปฎิบัติเองอยู่บ้านมา 17 ปีแล้วครับ

    ส่วนคำสอนจากครูบาอาจารย์ก็พอได้รู้มาบ้าง จากเว็บบ้าง แต่ผมก็รู้มาก่อนหน้านั้นแล้วครับ

    จนทุกวันนี้ผมไม่ได้อ่านจากหนังสือมานานแล้วครับ ผมเฝ้าดูจาก จิต ของตัวผมเอง

    ที่ผมมาบอกกล่าวในเรื่องการปฎิบัตินั้น เป็นการทะนุบำรุงพระศาสนาครับ หาใช่มาอวดตน

    มีแต่ผู้คนในนี้ที่ได้อ่านคำกล่าวของผม และ ไม่มีใครรู้ตัวตนที่แท้จริงของผม

    ถึงอยากจะมาหาผมก็มาไม่ได้ ยกเว้นคนที่มีเมล์ของผมเท่านั้น และ ผมก็ไม่ได้แสดงท่าทีที่โอ้อวดครับ

    ผมศัทธา พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยิ่งกว่าสิ่งใด และ ศัทธา พระอาจารย์มั่น ด้วยใจจริง

    ที่ผมบอกกล่าวว่าปฎิบัติเอง เพราะผมเคยทดลองนั่งพุทโธ นั่งสัมมาอะระหัง แต่ไม่เกิดผลครับ

    ผมจึงหาคำภาวนาเอาเอง ด้วยเคยได้ยินมาว่า นะ โม พุท ธา ยะ นั้นหมายถึงพระพุทธเจ้า 5 พระองค์

    ผมจึงนำมาเป็นคำภาวนา โดยไม่สนใจสิ่งอื่นใด นอกจากคำที่ผมภาวนาครับ

    ผมเคยบอกกล่าว คุณเอกวี เรื่องที่ผมได้เห็น จิต เพราะผมถูกมีดบาด เมื่อนานมาแล้วครับ

    จากนั้นมาผมก็เฝ้าดู จนได้เห็น ใจ ว่าเป็นเช่นไร หากคุณจะไม่เชื่อผมก็ไม่เป็นไรครับ

    ผมไม่ได้บังคับให้ใครมาเชื่อครับ แต่ที่ผมบอกกล่าวนี้ เพื่อว่าใครมาพบเจอในสิ่งที่ผมกล่าว

    ก็จะได้เข้าใจได้ง่ายขึ้น ว่าควรที่จะปฎิบัติเช่นใดต่อไป นี่คือจุดแระสงค์ของผมครับ

    สาธุครับ
     
  6. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    ความรู้สึกใช่ ใจ ไหมครับ ความรู้สึกจะเคลื่อนไหวเมื่อ จิต นิ่งสงบดีแล้วครับ

    สาธุครับ
     
  7. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    สภาวะแห่งฌาณนั้น เป็นการแยก กาย ออกจาก จิต ไหมครับ แล้วใช่สมถะไหมครับ

    หากคุณยังยึดติดในตัวตน คุณก็จะแสดงตัวตนดั่งเช่นที่คุณกระทำอยู่นี้ครับ

    คอยกล่าวว่าร้ายผู้อื่นโดยไม่ลืมหู ลืมตา จ้องคอยทำลายโดยไม่ทบทวนด้วยเหตุ-ผล

    สิ่งที่คุณจะได้ประโยชน์จะมีเกิดขึ้นไหมครับ ที่ผมไม่ถกเถียงกับคุณ

    เพราะผมเข้าใจว่าคุณ ศัทธาพระอาจารย์มั่น ผู้ที่ศัทธาพระอาจารย์มั่น จะให้ความสนใจ

    ในเหตุ-ผลเป็นที่ตั้ง จะไม่กล่าวโทษผู้อื่นด้วยอารมณ์อย่างแค้นเคือง

    แต่ขณะนี้ ผมรู้แล้วว่าคุณ ไม่ได้ศัทธาพระอาจารย์มั่น เพราะถ้าคุณศัทธา

    คุณจะไม่ทำให้พระอาจารย์ท่านผิดหวัง หากไม่จำเป็นไม่ควรที่จะสนทนากันอีกครับ

    สาธุครับ
     
  8. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    การอ่านตำราต้องใช้เวลา หากผมอ่านตำราแล้วเพียงเพื่อมาแสดงให้ถูกใจผู้อื่น

    เป็นการกระทำที่ดี ที่ถูกต้องหรือครับ ทำโดยต้องคอยแคร์ กลัวว่าจะไม่ถูกต้อง

    ผู้ที่มีชื่อเสียงทางธรรม ไม่ว่าจะกล่าวเช่นไร ผู้คนก็จะทำความเข้าใจอย่างเต็มที่

    แม้ว่าจะกล่าวไม่ดีเพียงใด ก็จะเห็นเป็นสิ่งที่ดีอย่างยิ่ง ผมไม่ได้ต้องการให้ใครมาเลื่อมใสศัทธา

    แต่ผมบอกกล่าวเพื่อประโยชน์ของผู้ที่ผ่านทางเท่านั้น ผู้ที่ยังไม่ถึงก็เป็นธรรมดาที่อ่านแล้วไม่เข้าใจ

    ส่วนผู้ที่ถึงแล้ว อ่านเพียงเล็กน้อยก็เข้าใจอย่างชัดเจน สิ่งใดที่ยึดติดคงเห็นชัดนะครับ

    สาธุครับ
     
  9. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    ถึงไม่ตรงทั้งหมด แต่ก็เกือบทั้งหมดครับ อนุโมทนาในการแสดงออกทางภาษาครับ

    เพราะอาจจะใช้ภาษาไม่ตรงกัยน่ะครับ

    สาธุครับ
     
  10. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ ก่อนอื่น ผมจะสรุปสั้น ๆ ออกมาก่อนว่า กระทู้นี้เป็นกระทู้ในระดับ อภิธรรม
    +++ มีลักษณะของ การรายงานเป็นหลัก การอธิบายเป็นรอง
    +++ เหมาะสำหรับ ผู้ที่รู้จัก สติ มาแล้วในระดับหนึ่ง
    +++ ไม่เหมาะต่อ ผู้ที่ยังไม่รู้จัก สติ และผู้ที่ใช้การท่องจำจากตำราเป็นหลัก

    +++ คำว่าสติ คือ การกำหนดจิต แล้ว ผลลัพธ์ออกมาเป็นสภาวะรู้ (สำหรับผู้ที่ชำนาญ)
    +++ สำหรับผู้เริ่มต้น คำว่าสติ คือ การกำหนดจิต แล้ว ผลลัพธ์ออกมาเป็นรู้สึกตัว เพื่อให้สภาวะรู้ทำงานอยู่กับกาย

    แค่ ประโยคนี้ก็ผิดแล้ว...ครับ

    +++ ตัวอย่างสำหรับผู้ที่ไม่เหมาะ ปรากฏแล้วครับ

    สติ แปลว่า ระลึก...ผมอ่านมาจากตำำรา และ ยืนยันว่าถูกต้องด้วย เพราะ ผม ระลึกเป็นแล้วครับ.....หาก ยัง บอกว่า สติคือ การ กำหนด คุณ ก็ ตกม้าตายตั้งแต่ ยังไม่ขยับม้า เพื่อจะ ขี่ ด้วยซ้ำ....

    +++ ระลึกของคุณ bankbankbank คือความ จำ ครับ และลักษณะของการละลึก ของคุณ ไม่ได้ทำให้เกิด สติ เลย
    +++ และผมบอกแล้วว่า ไม่เหมาะต่อ ผู้ที่ยังไม่รู้จัก สติ และผู้ที่ใช้การท่องจำจากตำราเป็นหลัก
    +++ คุณไม่เคยรู้จักแม้แต่คำว่า อะไรคือกำหนดจิต การระลึกของคุณแต่ละครั้ง ให้ผลเป็นความจำ ทั้งสิ้น
    +++ คำว่าสติ จะใช้ได้ในกรณีเดียวเท่านั้น คือ การกำหนดจิต แล้ว ผลลัพธ์ออกมาเป็นสภาวะรู้
    +++ นอกนั้น เป็น ความจำ ทั้งสิ้น

    ไปเอามาจากไหน สติ แปลว่า กำหนด

    +++ ไปเอามาจากไหนว่าผมเขียนว่า สติ แปลว่า กำหนด
    +++ การอ่านที่ไร้สติ และสามัญสำนึกแบบนี้ คือ พาล ครับ ตรง ๆ เลย

    คนที่เขา ระลึกเป็นแล้ว มาอ่านข้อความแบบนี้ เขาก็ รู้แล้วว่า คุณ คิดๆเอา
    +++ ตัวคุณเองยังไม่รู้จักอาการที่เรียกว่า ระลึก เลย ความคิดเอาเอง เออเอาเอง ของคุณนี่ เข้าขั้นจริง ๆ ครับ

    พระ สัมธรรม ปฏิรูป...((ธรรมมะแท้ๆเสื่อมไป )) เพราะ มีการ คิดๆเอาโดยปฏิบัติผิดขั้นตอนของ คำสอน เป็นอย่างนี้เอง.....
    +++ พระ สัธธรรม ปฏิรูป มีต้นกำเหนิดมาจาก ผู้ที่ท่องจำมาก แต่ไม่ได้ปฏิบัติ จึงคิดเอาเอง เออเอาเอง แบบคุณ bankbankbank นี่ตรงประเด็นเอามาก ๆ ตรงกับลักษณะที่สมัยก่อนเขาเรียกันว่า "ปีศาจคาบคัมภีร์" ตัวจริงเลยครับ
    +++ เตือนไว้แล้วว่า ไม่เหมาะต่อ ผู้ที่ยังไม่รู้จัก สติ และผู้ที่ใช้การท่องจำจากตำราเป็นหลัก

    พิจารณา มากๆก่อน จะโพส เถอะครับ...ช่วยกันจรรโลง คำสอน ของพระพุทธองค์ อย่าให้เพี้ยนมากไปกว่านี้เลย....บาปกรรมเปล่าๆครับ
    +++ พยายามปฏิบัติให้มาก ๆ ก่อน จะโพส เถอะครับ...ช่วยกันจรรโลง คำสอน ของพระพุทธองค์ อย่าให้เพี้ยนมากไปกว่านี้เลย....บาปกรรมเปล่าๆครับ

    +++ ลัทธิท่องจำแล้วนำมาโพสในกระทู้ของผู้ปฏิบัติ รวมทั้งการอ่านที่ไร้สติและสามัญสำนึก นั้น ให้โทษต่อตนเองและผู้อื่นครับ
    +++ ถ้าร้อน ก็รีบ ๆ ไปอาบน้ำซะก่อนก็แล้วกัน
     
  11. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    หากผมต้องดิ้นรน เพียงเพื่อให้ผู้อื่นถูกใจ ว่าต้องแบบนี้ ผมคงไหลไปตามความอยาก

    อยากให้ผู้คนมาเลื่อมใสศัทธาในตัวผม เช่นนั้นหรือครับ เพื่ออะไรครับ ได้อะไรครับ

    ปฎิบัติมาเพื่อลด ละ วาง ความอยากที่มีในตนเอง แต่จะแสดงธรรมด้วยความอยาก

    คงเข้าใจในคำอธิบายนะครับ ผมอธิบายไว้ชัดเจนแล้วครับ

    สาธุครับ
     
  12. Workgroup

    Workgroup เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    693
    ค่าพลัง:
    +1,947
    กาย ใจ นิ ตัวเดี่ยวกันนะครับ เป็น สังขาร

    จิต นี้ คือ จิต เรา ดวงเดี่ยวครับ

    ทำยังไงให้เป็นหนึ่ง ให้มี "สติ" อยู่ กลับ จิต

    ถ้าพี่ทำได้ขณะนี้ แล้ว สามารถ มองหน้า เพื่อนมนุษย์ ว่า คนนี้

    เคยเสพ กาม อีก คน เคย พูดเพ้อเจ้อ อีกคน คิดไม่ดี

    ถ้า "อินทรีย์ 5" แข็งแรง

    ยึดติด อวิชชา ที่ได้เรียนมา ก็ไม่ได้ ไปนิพาน

    อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

    ดูตัวเราดีที่สุดครับ

    คําสั่งสอนของพระพุทธเจ้า สอนให้ปล่อยว่าง

    เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป

    สาธุ ทุกท่าน ที่ ปฎิบัติ ธรรม ครับ
     
  13. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    เราพูดแต่ภาษาท้องถิ่น เวลาไปอยู่ภาคกลาง
    ก็ต้องหัดพูดภาษากลางมั่ง

    เห็นคุณโอ๊ด สมัครมาตั้งแต่ปี 2010
    เวลาคนชวนใช้ภาษากลาง

    ก็มักจะบอกว่าไม่มีครู เรียนรู้เอง

    เวลาผ่านไปก็ 1 เดือน 3 เดือน 6เดือน 9เดือน
    ก็ยังบอกว่า ไม่มีครู เรียนรู้เอง

    จนมาโพสก่อนหน้านี้ ก็ยังบอกว่า ไม่มีครู เรียนรู้เอง

    ได้ สมาธิ ได้ปัญญาอะไรมา มันทำให้ขี้เกียจขนาดนั้นเลยหรือ
     
  14. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    ผมได้บอกกล่าวในโพสของ คุณหวั่นเที่ยง ไปแล้วว่า หากจะแสดงธรรมด้วยความอยาก

    โดยที่ผมหลีกเลี่ยงการใช้วาจาที่รุนแรงไปแล้ว แต่ผมคงต้องอธิบายอีกครั้งครับ

    หากต้องแสดงให้ผู้อื่นพึงพอใจในทุกครั้ง เพียงเพื่อให้ผู้คนเหล่านั้นหันมาเลื่อมใสศัทธา

    คงจะเป็นได้เพียงความอยากที่มีในตน ภาษากลางที่คุณกล่าวถึงนั้น ยึดติดในตำรามากไปไหมครับ

    ทำไมไม่กล่าวในเชิงเหตุ-ผลที่สัมผัสได้จริงล่ะครับ และ ผมก็กล่าวภาษาไทยด้วยนะครับ

    หาได้กล่าวเป็นภาษาอื่นๆ การทำความเข้าใจนั้น ในครั้งแรกที่ต้องเรียนบาลี ทำไมจึงทำความเข้าใจล่ะครับ

    ทั้งที่หาใช่ภาษาไทยไม่ คุณปราบเทวดา คุณลองหยุดต่อความกับผมนะครับ แล้วหันกลับ

    ไปมองดูที่การนึกคิดของคุณดีๆครับ ว่าทำไม เพราะอะไร เหตุ-ผลจะเกิดความชัดเจนครับ

    สาธุครับ
     
  15. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    ไว้คุณเห้นด้วยตัวคุณเองดีกว่าครับ ถึงผมจะอธิบายมากไปกว่านี้ ก็ไม่เป้นการอันควรครับ

    เพราะผู้ที่ไม่เชื่อ ย่อมบังคับให้เชื่อไม่ได้ครับ ที่คุณนำสิ่งที่แสดงออกทางฤทธิ์นั้น

    ผมได้กระทำมาหมดแล้วครับ จนเห็นสาเหตุที่ก่อให้เกิดการยึดติดแล้วครับ ซึ่งผมมีพยานมากมายครับ

    เพียงแต่ผมไม่เห็นประโยชน์ในการกล่าวในเรื่องเหล่านี้ครับ ทางบ้านของผมเองนั้น

    ผมได้เตือนไปหลายคนแล้ว บางคนเชื่อก็ไม่เป้นไร บางคนไม่เชื่อจนพบเจอในสิ่งที่ผมบอกกล่าว

    โดยไม่มีผิดเพี้ยนเลย เห็นจนรู้ว่าหากยึดติดย่อมต้องหลงแน่นอน ไว้คุณเข้าใจก่อนครับ

    สาธุครับ
     
  16. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    บาลีที่ถูกแปลมาเป็นภาษาไทยแล้ว นั่นคือภาษากลางๆ
    ที่เราคนไทย สื่อสารกัน

    ผมน่ะ เจตนาจะให้คุณ ศึกษาภาษากลางๆมั่ง
    มันจะทำให้วกกลับมาดู ทำความเข้าใจ ในสิ่งที่ตนเองฝึกมา

    เวลาสนทนากับคนอื่น คำพูดที่บอกว่า
    " ผมไม่ไ้ด้ศึกษาตำรา ผมฝึกเอง " มันจะเป็นเยี่ยงไร

    อย่างคำว่า สังขาร

    มีความหมายแปลได้อย่างแยบคาย

    แปลว่า สิ่งต่างๆมีปัจจัยประกอบกันขึ้น เรียกว่า สังขาร
    ว่าโดยย่อ คือ สัตว์ และ อาการ

    การนำไปใช้ในบางจังหว่ะ หากจะเอาคำว่า "ปรุงแต่ง" แต่ถ่ายเดียวไปใช้
    และก็หากจะใช้ "หยุดความปรุงแต่ง"ไปใช้

    แม้จะบอกว่าไม่ปรุงแต่ง แต่ในความเป็นจริงมันปรุงแต่งของมันอยู่แล้ว

    มีแต่ อุปาทาน เท่านั้น ที่หยุดได้ หรือหากจะรียกว่า สังขาร ดับได้

    แต่ในความเป็นจริง สังขารดับไม่ได้ แต่ดับได้ คือ ตัวอุปาทาน

    ความยึดมั่นถือมัน ว่า นี่ บุคคล เราเขา มันไม่มี

    สาคูกั๊บเป็นต้นฯ
     
  17. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    ชัดเจนนะครับ ในตัวสีแดง คงไม่ต้องอธิบายเพิ่มนะครับ ไม่มีบุคคล เราเขา

    ผมอธิบายไปชัดเจนแล้ว หากคุณรู้สึกร้อนรนมากก็จงหยุดเถอะครับ หากผมต้องดิ้นรน

    เพียงเพื่อจะให้ผู้อื่นรู้สึกสบายใจ และ หันมาเลื่อมใสศัทธาในคำกล่าวของผม

    ที่ผมได้ปฎิบัติมานั้น คงเป็นเพียงการเสียเวลาเปล่า หากไม่มีการยึดติดในสิ่งที่คุณกล่าว

    มุ่งเน้นที่เหตุ-ผล คงไม่ต้องมีปัญหาให้ถกเถียงด้วยเรื่องเพียงเล็กน้อย ผมได้อ่านเกล็ดธรรม

    จากเว็บพลังจิตบ้าง จากเฟสบุ๊คบ้าง จากgoogleบ้าง และ เปรียบเทียบกับสิ่งที่ประสบณ์

    จึงได้แสดงออกด้วยการมุ่งมั่นที่จะจรรโลงพระศาสนา และ ไม่แสดงออกในทางชี้โทษของผู้อื่นเลย

    แต่ถามว่าเคยมีไหมในการชี้โทษ ผมตอบว่ามีครับที่จะแสดงให้เขาหยุดการหาเหตุมาถกเถียง

    ด้วยการชี้โทษ เพียงแต่ยิ่งไม่ทำให้เกิดสิ่งที่ควร ผมจึงได้หยุดกระทำการชี้โทษด้วยไม่ต้องการถกเถียง

    พระพุทธศาสนา จะเริ่มเสื่อมก็ด้วยการชี้โทษผู้นั้น ผู้นี้ ด้วยยึดถือว่านเองนั้นรู้มาก

    หากคุณไม่พึงพอใจ ก็ควรที่จะข้ามไปครับ กรุณามองที่ประโยชน์ของส่วนรวมครับ

    หรือ หากคุณรู้เห็รในสิ่งที่ชี้ชัดว่าสามารถหลุดพ้นได้อย่างชัดเจน ก็ควรนำมาแสดงต่อสาธารณะชนครับ

    ดีกว่ามาบอกผมให้ไปศึกษาเล่าเรียน เพื่อจะได้สนทนาในภาษากลาง ผมไม่เคยไปบอกให้ใครเข้ามาอ่านนะครับ

    สาธุครับ
     
  18. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    ... สาคูกั๊บ ...
     
  19. somchai_eee

    somchai_eee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    332
    ค่าพลัง:
    +413
    น่าเสียดาย ๆ มานะสูงเกินไป

    [​IMG]

    ในสาระบบ เมื่อมีเกิด มีแค่รูปและนาม ซึ่งก็คือ รูป จิต เจตสิก เท่านั้น
    ในสาระบบ แห่งการหลุดพ้น มีแต่ นิพพาน เท่านั้น

    ปรมัตธรรม มีแค่ รูป จิต เจตสิก นิพพาน เท่านั้น สัจจะหรือบัญญัติ ต่างๆล้วนแตกแยกย่อยจาก ธรรมเหล่านี้

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]
     
  20. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    จิต เจตสิก รูป นิพพาน ๔ คำนี้ มีผู้ที่รู้จริง และ เข้าใจจริงๆกี่คน

    ที่สามารถอธิบายได้ชัดเจนด้วยเหตุ-ผล โดยใช้คำที่เป็นภาษาไทย และ เข้าใจได้ง่ายบ้าง

    หากมีคงจะเป็นการดี ที่จะสื่อความเข้าใจในกระบวนการทั้งหมดได้

    สาธุครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...